@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 10 กรกฎาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    qfug4lV5kH6U9lZYEGxYohjI8BJQAFFc3LUwzcm0kHV8aLCktaNcRwxMvZeQDXQF6z-61kTP&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    ถาม : สมมติว่าเราต้องการเจาะจงทำบุญอุทิศให้เทวดา ๒ องค์ จำเป็นต้องแยกการทำบุญ ๒ ครั้งไหมครับ หรือว่าสามารถรวมกันได้เลย ?
    ตอบ : จะกี่องค์ก็ไม่ต้องแยก ยกเว้นว่าท่านขอมาเป็นการเฉพาะ อย่างเช่นว่าท่านหนึ่งขอสังฆทาน อีกท่านหนึ่งขอให้บวชพระ แต่ว่าหลังจากที่เราให้บุญสังฆทานท่านนี้ไปแล้ว หรือว่าให้บุญบวชพระกับท่านนี้ไปแล้ว ที่เหลือเราจะให้ใครก็ได้

    คือถ้าท่านไม่เจาะจงทำแค่อย่างเดียวก็ได้ กี่ท่านเราก็ให้ไป ท่านที่เจาะจงมาถ้าไม่เกินวิสัยก็จัดการให้ท่านหน่อย ถ้าลำบากก็บอกท่านก่อนว่า “เดี๋ยวขออีก ๑๐ ล้านแล้วค่อยทำให้ อยากได้เร็ว ๆ ก็มาช่วยผมหาเงินหน่อย..!” ...(หัวเราะ)...

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๙
    ภาพและที่มา : เว็บวัดท่าขนุน
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    DNpze7fLeGqQRZLAUxHX4xQhYWG7EJKvvfdzfdgVsCqYZBuKSVIx1k1XUr7iY6bPJP6XR5py&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    +++ ท่านวางกำลังใจในการทำบุญอย่างไร ? +++

    ถาม :
    การที่บุคคลคนหนึ่งจะเกิดขึ้นมาแล้วเพียบพร้อมบริบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สมบัติมหาศาลมาตั้งแต่เกิด เรียกได้ว่าตลอดทั้งชาติที่เกิดมานี้ไม่มีแม้ชั่วขณะใดของชีวิตที่จะบกพร่องในทรัพย์สินเลย “#ร่ำรวยมหาศาลตั้งแต่เกิดจนตาย” บุคคลประเภทนี้ต้องสร้างบุญมาแบบไหนและวางกำลังใจอย่างไรในขณะทำบุญ

    ตอบ : เอาท่านเมณฑกเศรษฐีเป็นตัวอย่างก็แล้วกัน #ชาติก่อนท่านสองคนผัวเมียมีอาชีพรับจ้าง ทำงานเช้าเพื่อให้มีเงินซื้ออาหารกินตอนค่ำ เมื่อทราบว่าทางวัดกำลังสร้างวัจจกุฎี (ส้วม) ถวายพระ ทั้งสองท่านยอมอด #เอาเงินที่ได้ของวันนั้นไปซื้อแผ่นทองเท่าปีกริ้น ไปปิดวัจจกุฎีถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา

    เกิดมาชาตินี้แค่เข้าท้องแม่ #หน่อไม้รอบบ้านก็งอกเป็นทองคำ #มีภูเขาทองเกิดขึ้นในบ้าน #มีแพะทองคำตัวเท่าช้างสารปราฏขึ้นล้อมบ้านไว้ ต้องการของสิ่งใดก็ไปชักสายยนต์ที่ปากแพะ สิ่งของนั้น ๆ ก็จะไหลออกมาเอง #ท่านมีเงินทองมากนับไม่ได้ ต้องตวงใส่เกวียนแล้วค่อยนับเป็นเล่มเกวียน

    #หลานสาวคือนางวิสาขาแต่งงาน ท่านให้สินเดิมติดตัวหลานไป เป็นเงิน ๕๐๐ เล่มเกวียน ทองคำ ๕๐๐ เล่มเกวียน ไม่ต้องพูดถึงข้าวของเครื่องใช้และผู้คนที่ยกให้ไปใช้สอย #แค่ฝูงวัวที่ให้ไป #นางวิสาขาก็แจกคนได้ทั้งเมืองสาเกตแล้ว

    ลองพิจารณาทบทวนดูว่าท่านวางกำลังใจในการทำบุญอย่างไร ?

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    YSb0aNUPoNhI5r9_6SE5Wa54i0DNPDq8m7ytLYlGkovmNqoIta8svNxeI45LEMl3Y665QtWb&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    "ใกล้เวลาแล้วนะ"

    "ในหรือต่างประเทศครับ ?"

    "ทั้งในและนอก น่าเสียดายที่ข้าบอกให้รักษาที่ดินและปลูกผักปลูกหญ้าเอาไว้ ถึงเวลาจะได้ไม่เดือดร้อน กลับไม่มีใครทำกัน"

    "ส่วนใหญ่เขาเห็นว่าเหนื่อยครับ สู้ขายที่ดินแล้วเอาเงินไปซื้อกินไม่ได้ สบายกว่ากันเยอะเลยครับ"

    "คิดกันแบบมักง่ายทั้งนั้น ถ้ามีเงินแต่หาซื้อไม่ได้ล่ะ ?"

    "ก็นั่นน่ะสิครับ มีแต่คนซื้อหาคนขายไม่ได้ หาข้าวปลาอาหารไม่ได้ ถึงเวลานั้นก็กลับตัวไม่ทันแล้ว"

    "อย่าลืมบอกให้ญาติโยมของแกแขวนพระติดตัวไว้ด้วย"

    "ผมบอกพระเณรไปหลายเดือนแล้วครับ แต่ก็เหมือนกับฟังผ่านหูไปเฉย ๆ"

    "ถ้าอย่างนั้นก็ต้องปล่อยวาง กรรมใครกรรมมัน"

    "ผมพกสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเขียวเหล็กไหลหน้ากากเงินเป็นปกติครับ แต่สงสัยว่าทำไมไม่สั่งให้พกสมเด็จองค์ปฐมของหลวงพ่อเอง ?"

    "แกคิดว่าหาง่ายนักใช่ไหม ? เดี๋ยวนี้องค์หนึ่งราคาเป็นแสน แล้วจะมีสักกี่คนที่มีปัญญาหาได้ ก็ต้องเอาที่ราคาถูกและพอที่จะหาได้ง่ายหน่อย"

    "คนเขาเกี่ยงกันว่าท่านองค์ใหญ่และหนักมาก สมเด็จองค์ปฐมพลิกชีวิตก็น่าจะใช้แทนได้นี่ครับ ?"

    "แกจะเอานักเศรษฐศาสตร์ไปรบแทนนักการทหารใช่ไหม ? เรื่องของความปลอดภัยในชีวิตตัวเอง ถ้ามันยังเกี่ยงอยู่ก็ปล่อยมันไปตามเวรตามกรรม"

    "อะไรเป็นตัวจุดชนวนในครั้งนี้ครับ ?"

    "เศรษฐกิจตกไปทั่วโลก น้ำมันขายไม่ออก เงินดอลลาร์ลดความสำคัญลง ประเทศอื่นมีท่าว่าจะแซงหน้าไปชนิดตามไม่ทัน"

    "ญาติโยมควรที่จะวางกำลังใจอย่างไรดีครับ ?

    "พิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมาในโลกแล้วพบกับเรื่องเช่นนี้ การมีชีวิตอยู่แบบนี้ขอเป็นชาติสุดท้าย ตายเมื่อไรขอไปพระนิพพานแห่งเดียว"

    "กราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    Dlf9-hSr9NL4EfJgxBy-V-7Nfl23SuS1h6ex9tdoIC3ZzorldXmCLXyB52fpTTFPz3JHH7-C&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ?temp_hash=b9eeff4a703d4ad864c9de89f210dedd.jpg

    ต้นเหตุของคำว่า "ใครจะใหญ่เกินกรรม" หลวงตาม้าท่านเล่าว่า มีอยู่ครั้งหนึงสมัยโน้น มีกลุ่มลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งนั่งถกเถียงกันเกี่ยวกับประเด็นทางโลกทางธรรมอย่างเข้มข้นต่อหน้าหลวงปู่ดู่ ระหว่างนั้นหลวงปู่ดู่ท่านเพียงนั่งฟังอยู่ไม่พูดอะไรอยู่เป็นเวลานาน แล้วท่านก็พูดขึ้นลอยๆว่า "ใครจะใหญ่เกินกรรม" สิ้นเสียงคำหลวงปู่ศิษย์ทุกคนตรงนั้นก็คิดขึ้นได้และเลิกถกเถียงกัน นับว่าเป็นความอัจฉริยะของหลวงปู่โดยแท้ อันคำที่หลวงปู่กล่าวนั้นจริงแท้แน่นอนโดยธรรม อันธรรมะนั้นเป็นสัจธรรมตามธรรมชาติ "ใครจะใหญ่เกินกรรม"

    กรรม คือ อะไร? กรรม คือ การกระทำ
    การกระทำนั้นมี 2 อย่าง คือ....
    1. การกระทำกรรมดี
    2. การกระทำกรรมชั่ว

    การกระทำกรรมดี เป็นการกระทำที่เป็นบุญหรือเป็นกุศล
    การกระทำกรรมชั่ว เป็นการกระทำที่เป็นบาปหรือเป็นอกุศล

    ถ้าหากบุญกุศลส่งผลเมื่อไรเราก็จะพบกับความสุข ความเจริญรุ่งเรือง ความสำเร็จ ความสมหวัง ความคล่องตัว มีกำไร ป่วยอยู่ก็จะหายป่วย ที่หน่ายอยู่ก็จะกลับมารัก ฯลฯ

    ถ้าหากบาปอกุศลส่งผลเมื่อไรเราก็จะพบกับความทุกข์ ความเสื่อม ความล้มเหลว ความผิดหวัง การติดขัด ขาดทุน ป่วยอยู่ก็จะตาย ที่รักอยู่ก็แหนงหน่าย ฯลฯ

    ฉะนั้นคำว่า " กรรม " หมายถึงความดีและความไม่ดีด้วยเพราะกรรมคือการกระทำ และท่านเลือกการกระทำในขณะปัจจุบันนี้ของท่านได้เอง อย่าลืมว่าคนเราต้องมีเสบียงไว้เลียงตัว หากไม่สร้างบุญบารมีไว้ ท่านจะลำบากในวันหน้า

    The cause of the word "Who is too big for karma?" There was one time in those days. A group of pupils sat down and debated intensely on worldly and moral issues in front of Reverend Grandfather Du. In the meantime, Reverend Grandfather Du was just sitting there listening, not saying anything for a long time. Then he spoke up with no doubt that "Who is too big for the karma"? The end of the word, all the grandfather pupils can think up and stop the debate. Considered as genius of Luang Pu truly The words that Reverend Grandfather said are true, of course. Dharma is a natural truth. "Who is too big for karma"

    What is karma? Karma is an act. There are 2 acts.

    Is

    1. Good deeds
    2. The act of bad karma

    Good deeds Is an act of merit or charity
    Bad karma Is an act of sin or evil

    If merit affects when we will find happiness. Prosperity, success, fulfillment, agility, profit, the sick will disappear. That sells, will return, love, etc.

    If sinfulness affects us, we will experience suffering, deterioration, failure, disappointment, disruption, loss, illness and death. Darling is tired, etc.

    Therefore, the word "karma" also means good and bad, because karma is an act. And you can choose your own actions now Do not forget that people need to have supplies for themselves. If not creating merit You will have trouble tomorrow .................................

    (Luang Ta Ma) buddha prome pun yo Temple Chiang Dow / Chiang Mai Thailand

    這個詞的原因 “誰對業力太大?” 那時只有一次。 一群學生坐在杜牧師的面前,就世俗和道德問題進行了激烈的辯論。 與此同時,杜牧師只是坐在那裡聽著,很久沒有說話。 然後他悄悄地說出 “誰對業力而言太大”?這句話的結尾,所有的祖父學生都可以思考並停止辯論。 真正被認為是Lu蒲的天才 當然,祖父牧師所說的話是真的。 佛法是自然的真理。 “誰對業力太大”

    什麼是業力? 業力是一種行為,共有兩種行為。



    1.善行
    2.業障的行為

    善行 是功德還是慈善行為
    業障 是犯罪或邪惡的舉動

    如果功績受到影響,我們何時才能找到幸福。 繁榮,成功,充實,敏捷,利潤,病人將消失。 那賣,會回來,愛,等等。

    如果罪惡影響到我們,我們將遭受痛苦,惡化,失敗,失望,破壞,損失,疾病和死亡。 親愛的很累,等等。

    因此,“業力”一詞也意味著好與壞,因為業力是一種行為。 您現在可以選擇自己的動作 不要忘了人們需要自己準備用品。 如果沒有創造價值 明天您會遇到麻煩.....................................(Luang Ta Ma)佛羅門雙峰寺 陶氏/泰國清邁

    言葉の原因 「カルマには誰が大きすぎますか?」 当時は一度だけでした。 生徒のグループが座って、祖父デュ牧師の前で世俗的で道徳的な問題について激しく議論しました。 その間、デュ牧師の祖父はただ座って聞いていて、長い間何も言わなかった。 それから彼は静かに言って 「カルマには誰が大きすぎるのか」という言葉の終わりに、すべての祖父の生徒は考えて議論を止めることができます。 本当にルアン・プーの天才と考えられている もちろん、祖父牧師が言った言葉は真実でした。 ダルマは自然な真実です。 「カルマには大きすぎる人」

    カルマとは何ですか? カルマは行為であり、2つの行為があります。



    1.善行
    2.悪いカルマの行為

    善行 功績または慈善行為
    悪いカルマ 罪または悪の行為です

    メリットが幸福を見つける時期に影響する場合。 繁栄、成功、充足、敏g性、利益、病人は消えます。 売られることは愛などに戻ります。

    罪深さが私たちに影響を与える場合、私たちは苦しみ、悪化、失敗、失望、混乱、喪失、病気、死を経験します。 ダーリンは冗談を言っています。

    したがって、カルマは行為であるため、「カルマ」という言葉も善悪を意味します。 そして、あなたは今、あなた自身の行動を選ぶことができます 人々が自分で物資を用意する必要があることを忘れないでください。 メリットがない場合 あなたは明日トラブルに直面するでしょう.................................(ルアンタマ)仏プロムプニョ寺院チェンマイ ダウ/チェンマイタイ

    Причина слова "Кто слишком велик для кармы?" Был один раз в те дни. Группа учеников сидела и интенсивно обсуждала мирские и моральные вопросы перед Преподобным Дедом Ду. Тем временем Преподобный Дедушка Ду просто сидел и слушал, долгое время ничего не говоря. Затем он тихо сказал «Кто слишком велик для кармы»? Конец слова, все ученики дедушки могут придумать и прекратить дискуссию. Считается действительно гением Луанг Пу Конечно, слова преподобного деда верны. Дхарма - это естественная истина. "Кто слишком велик для кармы"

    Что такое карма? Карма - это акт. Есть 2 акта.

    является

    1. Добрые дела
    2. Акт плохой кармы

    Добрые дела Это заслуга или благотворительность
    Плохая карма Это грех или зло

    Если заслуга влияет, когда мы найдем счастье. Процветание, успех, выполнение, ловкость, прибыль, больные исчезнут. То, что будет продано, вернется к любви и т. Д.

    Если грех влияет на нас, мы будем испытывать страдания, ухудшение, неудачу, разочарование, разрушение, потерю, болезнь и смерть. Дорогая шутит и т.д.

    Следовательно, слово «карма» также означает хорошее и плохое, потому что карма - это действие. И вы можете выбрать свои собственные действия сейчас Не забывайте, что людям нужны запасы для себя. Если не создает заслуги Завтра у вас будут проблемы ... (Луанг Та Ма) Будда Пром Пун Йо Храм Чан Доу / Чианг Май Таиланд

    La cause du mot "Qui est trop grand pour le karma?" Il y avait une fois à cette époque. Un groupe d'élèves s'est assis et a débattu intensément sur les questions mondaines et morales devant le révérend grand-père Du. Pendant ce temps, le révérend grand-père Du était assis là à écouter, sans rien dire pendant longtemps. Puis il a parlé sans aucun doute que "Qui est trop grand pour le karma"? A la fin du mot, tous les élèves de grand-père peuvent imaginer et arrêter le débat. Considéré comme le génie de Luang Pu vraiment Les mots que le révérend grand-père a dit sont vrais, bien sûr. Le Dharma est une vérité naturelle. "Qui est trop grand pour le karma"

    Qu'est-ce que le karma? Le karma est un acte. Il y a 2 actes.

    Est

    1. Bonnes actions
    2. L'acte du mauvais karma

    Bonnes actions Est un acte de mérite ou de charité
    Mauvais karma Est un acte de péché ou de mal

    Si le mérite affecte quand nous trouverons le bonheur. Prospérité, succès, épanouissement, agilité, profit, les malades disparaîtront. Qui vend, reviendra, aime, etc.

    Si le péché nous affecte, nous connaîtrons la souffrance, la détérioration, l'échec, la déception, la perturbation, la perte, la maladie et la mort. Ma chérie est fatiguée, etc.

    Par conséquent, le mot "karma" signifie aussi bien et mal, car le karma est un acte. Et vous pouvez maintenant choisir vos propres actions N'oubliez pas que les gens ont besoin de fournitures pour eux-mêmes. Si ne crée pas de mérite Vous aurez du mal demain ................................. (Luang Ta Ma) bouddha prome pun yo Temple Chiang Dow / Chiang Mai Thaïlande
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    a.jpg
    ถาม : การสร้างรูปพระโพธิสัตว์สำหรับกราบไหว้บูชา เช่น พระกษิติครรภโพธิสัตว์ เห็นมีบางท่านต้องการจะสร้าง ถ้าเราจะสร้างจริง ๆ ควรจะสร้างในรูปแบบไหนถึงจะเหมาะสมครับ ?
    ตอบ : สร้างแบบพระโพธิสัตว์

    ถาม : อานิสงส์ในการสร้างรูปเคารพพระโพธิสัตว์บารมีเข้มแบบนี้ จะได้อานิสงส์อย่างไรบ้างครับ ?
    ตอบ : อานิสงส์เทวตานุสติ

    ถาม : เตโชวิปัสสนา คืออะไรหรือครับ ?
    ตอบ : คือ เตโชวิปัสสนา ถ้าต้องการรู้จริง ๆ ให้ไปถาม "อาจารย์อ้อย"

    ถาม : ผมโหลดเสียงธรรมชาติมาฟังตอนนอน ในเสียงนั้นมีเสียงนกชนิดต่าง ๆ และเสียงน้ำตก หากผมตายในขณะที่ยังฟังเสียงนั้นอยู่ ผมจะเกิดเป็นสัตว์ตามเสียงนั้นทันทีไหมครับ ?
    ตอบ : ถ้าใจเกาะก็ไปเลย

    ถาม : ชาตินี้ปาราชิกแล้วสึกมาเป็นฆราวาส ทำมาหากินไม่ขึ้น ไม่ร่ำรวย เกี่ยวกับที่ปาราชิกหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : บางทีอาจจะโง่เกินไป จนทำมาหากินไม่เป็นก็ได้

    ถาม : เมื่อปาราชิกแล้ว สามารถทำทาน ภาวนา ตายแล้วเกิดเป็นพรหมหรือเทวดา และบรรลุธรรมได้ทันทีหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : เรื่องของปาราชิก เนื่องจากศีลเศร้าหมอง เพราะฉะนั้น...โอกาสที่จะไปเกิดในสุคติภูมิเป็นเรื่องที่ยากสุด ๆ แต่ถ้าสามารถขึ้นไปเกิดได้ ก็ยังคงต้องตะเกียกตะกายต่อไปอีกจนสุดกำลังที่ตนเองทำได้ ไม่ใช่ว่าจะได้บรรลุทันที

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๑
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    3mGD8ndY3FRKguf2GnMgfAc-rpbYpggBQTg9miYIgJ5K1V7CHL_U6k-l7Ll-dMl3xfoMagGF&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    อาจารย์วศิน อินทสระ



    #การฝึกให้เป็นคนพูดน้อย

    มีการฝึกฝนตนอีกวิธีหนึ่ง ก็คือ
    ฝึกฝนตนให้เป็นคนพูดน้อย
    นี่ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะฝึกฝนตน
    ควบคุมอินทรีย์ ฝึกฝนตนให้เป็นคนพูดน้อย

    ลิ้นมีหน้าที่อยู่สองอย่าง
    คือ รับรสอย่างหนึ่ง
    และมีหน้าที่ในการพูดอีกอย่างหนึ่ง
    เราควบคุมลิ้นนอกจากในเรื่องรสแล้ว
    ก็ให้เป็นคนพูดน้อย
    หรือว่าพูดเมื่อจำเป็นต้องพูด
    และก็หยุดพูดเมื่อหมดความจำเป็นแล้ว

    ในที่บางแห่งเราจะพบว่ามีคนพูด
    แต่ไม่ค่อยมีคนฟัง
    คนพูดกันขรมไปหมด ไม่ค่อยมีคนฟัง

    แม้ในที่ที่ต้องการความสงบอย่างยิ่ง ก็มีคนพูด

    เขาอดไม่ได้ ไม่ได้ฝึก
    ไม่ได้ควบคุมตนเอง
    ไม่ได้ฝึกฝนตนเอง

    ในเวลาฟังธรรม
    เป็นเวลาที่ต้องการความสงบที่สุด
    ต้องการความเรียบร้อยที่สุด
    ในสถานที่นั้นก็มีบ่อย ๆ
    ที่ท่านจะเห็นว่ามีคนพูดกัน
    คุยกันเป็นกลุ่ม ๆ ก็มี

    มันเสียบรรยากาศ
    มันทำลายความสงบของผู้อื่น
    ที่เขามีความตั้งใจ

    ฝึกฝนตนให้เป็นคนพูดน้อย
    หรือพูดเมื่อจำเป็นเท่านั้น
    และแม้ในเรื่องที่จำเป็นต้องพูด
    ก็พูดแต่พอประมาณ
    และหยุดพูดเมื่อหมดความจำเป็นแล้ว
    ..

    "ชีวิตกับครอบครัว"
    ท่านอาจารย์วศิน อินทสระ
    เพจอาจารย์วศิน อินทสระ


    ?temp_hash=393d74685932aec26ccb12b9138da499.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    yQUXERMRKQcxE0VHdO4PzNVa0LSEaLwyIFxGdNoD4TULeXEi35BGw6ZcZzCeVOc-zCDh7ny4&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    +++ โง่แล้วได้ดี +++

    "เอาจริงแล้วหรือครับท่านย่า ?"

    "เวลาที่ต่างกันมาก #ย่าจึงต้องให้เตรียมพร้อมไว้ก่อน ถ้ารอให้มีเหตุก่อนค่อยขยับ เวลาของพวกเจ้าอาจจะเลยไปเป็นปี ถึงเวลาก็จะมีคนมาโวยกับย่าจนได้"

    มองดูท่านย่าและบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ในชุดแดงพร้อมออกศึกแล้วสะท้อนใจ #ก่อนนี้อาตมาก็เคยอยู่ในสภาวะเช่นนี้ แต่ปัจจุบันนี้ไม่ใช่เช่นนั้นอีกแล้ว

    "ช่วยกำชับลูกหลานของย่าให้หน่อย #ว่าอย่าลืมพระคาถาเงินล้าน ใครทำมากได้มาก ใครทำน้อยได้น้อย #ใครไม่ทำก็อย่ามาบ่นให้ย่าต้องรกหู"

    "นอกจากศรัทธา (ความเชื่อ) ปสาทะ (ความเลื่อมใส) #ภาวนาโดยตัดความอยากรวยออกจากใจ #และต้องทำบุญอย่างสม่ำเสมอแล้ว ยังมีเคล็ดลับอะไรอีกไหมครับ ?"

    "ความมุ่งมั่นที่เป็นอธิษฐานบารมี ความเอาจริงเอาจังที่เป็นสัจบารมี ความสม่ำเสมอที่เป็นศีลบารมี ความพากเพียรภาวนาที่เป็นวิริยบารมี ความอดทนจนกว่าจะประสบความสำเร็จที่เป็นขันติบารมี การทำบุญที่เป็นทานบารมี การรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวให้พอเหมาะกับตนเองที่เป็นปัญญาบารมี การตั้งหน้าภาวนาโดยไม่สนใจผลที่จะเกิดขึ้นที่เป็นอุเบกขาบารมี การตั้งอารมณ์ภาวนามั่นคงจนกดกิเลสเอาไว้ได้ที่เป็นเนกขัมมบารมี การวางอารมณ์ใจให้ผ่องใสเยือกเย็นในระหว่างภาวนาที่เป็นเมตตาบารมี #เคล็ดลับแค่นี้ถ้าพวกเจ้าทำได้ #ก็สามารถใช้ผลของพระคาถาเงินล้านได้เต็มเปี่ยมทุกคน"

    "เอิ๊กกก...เป็นลม..!"

    อาตมาก็ไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำแล้วประสบความสำเร็จนั้น ที่แท้จริงแล้วประกอบไปด้วยบารมี ๑๐ อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ #เพิ่งจะมารู้เอาตอนที่ท่านย่าเมตตาเฉลยให้ทราบนี่เอง แสดงว่าก่อนหน้านี้เป็นการ "ขี้ตรงร่อง" ทำแบบโง่ ๆ ตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงเมตตาสอนไว้ จนกลายเป็น "#โง่แล้วได้ดี" อย่างทุกวันนี้..!

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    EiJL1CRMQzebYbTAhE9G976KBrh-xmFojDqY2SegXmMjcAxoZ4NWoBNa_Lh8_gPD63WRoFQb&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    #การขอพระ #ขอเทวดาให้ช่วย

    ถาม :
    คราวก่อนได้ถามว่า การอธิษฐานขอพรจากพระในเรื่องส่วนตัว เช่น ลาภ ยศ เป็นการไม่สมควร เมื่อได้ไปฟัง... เวลาท่านอธิษฐาน ท่านก็บอกว่าให้พระท่านช่วยเกื้อกูลสงเคราะห์ ต้องทำแบบไหนถึงเหมาะสม ?
    ตอบ : อะไรก็ตาม ต้องเป็นเรื่องของเหตุกับผลเท่านั้น #ถ้าเราสร้างเหตุเพียงพอ #เราขออะไรผลนั้นก็จะได้ ถ้าเราสร้างเหตุไม่พอขอให้ตายก็ไม่ได้

    การขอพระ ขอเทวดาให้ช่วย ต้องหมายความว่าเราขาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วเราตั้งใจจะทำความดีเพิ่มเติม ถ้าขาดเพียงเล็กน้อย แล้วตั้งใจทำดีเพิ่มเติมด้วย ท่านก็ช่วยสงเคราะห์ให้ก่อนได้ แต่ถ้าหากขาดเยอะท่านก็ช่วยไม่ไหวเหมือนกัน

    เพราะฉะนั้น..เรื่องศาสนาพุทธของเรา พระพุทธเจ้าบอกแต่ของจริง ในเมื่อพระองค์ท่านบอกของจริง เป็นเรื่องของเหตุและผล ร้องขอเฉย ๆ ไม่มีทางได้ ต้องสร้างเหตุเอาไว้ ผลถึงจะเกิด

    ถาม : ถ้าเราไม่ขอเลยครับ ?
    ตอบ : ไม่ขอเลย ก็บางครั้งก็อาจจะเจออย่างอานันทเศรษฐี #การขอเขาเรียกว่าอธิษฐานบารมี คือความตั้งใจอยู่ว่า สิ่งที่เราทำนี้ เราต้องการอะไร ? ต้องการเป็นอย่างไร ?

    อานันทเศรษฐี ท่านเปลี่ยนจากเศรษฐีเป็นคหบดี เปลี่ยนจากคหบดี กลายเป็นขอทาน พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า อานันทเศรษฐี ตอนที่เป็นมหาเศรษฐี ถ้าฟังธรรมจะเป็นพระโสดาบัน แต่ตอนนี้เธอเป็นขอทาน จิตใจมัวแต่กังวลอยู่กับการทำมาหากิน ฟังธรรมไปก็ไม่มีผล

    พระอานนท์ถามว่า พระพุทธเจ้าตรัสทุกอย่างแล้วไม่เป็นสอง พระองค์เคยตรัสเอาไว้ว่า บุคคลใดมีวิสัยจะได้มรรคผล จะไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น ทำไมอานันทเศรษฐีถึงเสื่อม ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า #อานันทเศรษฐีขาดอธิษฐานบารมี ในเมื่อไม่ตั้งใจเอาไว้ก่อนว่าต้องการให้เป็นอย่างไร ต้องการให้เป็นเมื่อไร เวลาที่ตัวเองต้องการก็เลยไม่มา สมมติว่าอยากจะกินข้าวตอนนี้ แต่อีก ๓ วันข้าวค่อยมา ก็ทนรอไปก็แล้วกัน..!

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕
    ที่มา : www.watthakhanun.com

    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมฯวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ?temp_hash=251b546a9286751235354e5ce4722f5d.jpg
    ในตัวเรา มีคน อยู่ "สามคน"


    หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาต
    เห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น
    จึงเข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไร

    ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า

    " ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระ
    แต่ผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ
    ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย
    ไม่มีใครเชื่อผมเลย ฮือ ฮือ

    "หลวงตานั่งลงข้าง ๆ
    พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า

    " เจ้ารู้ไหม ในตัวเรามีคนอยู่สามคน

    คนแรก คือ คนที่เราอยากจะเป็น
    คนที่สอง คือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น
    คนที่สาม คือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ "

    ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา

    " คนเราล้วนมีความฝัน ความทะยานอยาก
    ตามประสาปุถุชนทั่วไป
    ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย
    บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม
    เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน
    เช่น บางคนอยากเป็นนักร้อง เป็นนักมวย เป็นดารา
    ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่า
    โลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม
    ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประ ดับตน
    เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ "

    " มาถึงไอ้ตัวที่สอง
    จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น
    บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย
    เพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก
    แต่เราก็ยิ้มรับ
    แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์
    จนไม่อยากจะนึกถึง
    ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
    เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น
    มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้ "

    " อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ
    เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนี
    ทั้งที่ศพนั้นถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ
    บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร "

    " สมัยที่หลวงตายังไม่ได้บวช
    เคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีผัวแล้ว
    เพราะเห็นว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว
    ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่องชาวบ้านซุบซิบนินทา
    หาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน

    คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า
    ไร้วิจารณญาณใจแคบ
    มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง
    คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม

    เจ้าต้องจำไว้นะ...
    ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี
    ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา
    เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ
    อย่าเลียนแบบ นั่นแหละวิถีของนักปราชญ์
    ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล "

    " แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับ
    ในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อย ๆ "

    ลูกศิษย์หยุดร้องไห้แล้วเริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา

    " เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์
    เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้
    เราห้ามใจใครไม่ได้
    สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น
    แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา
    เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ
    เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง
    ใจเราควรสงบนิ่ง ... ยังไม่ต้องชำระ
    ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอก
    ให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่
    เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสาร
    มีเวลามองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง

    จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม "

    " เข้าใจครับหลวงตา "

    เครดิตเรื่องเล่าดีๆ จากสหายธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    CTFW2EgSbEWHp-g9pTdIA_erKNRdgnOBya8UvY5RGBm31-0pv8xcY7NPRNOxwi_twjwS_AdX&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    +++ ลองเดาดูว่าของคุณอยู่ในระดับไหน ? +++

    ถาม :
    ขออนุญาตเรียนถามเพิ่มเติมว่า จากคำถามก่อน บารมีของผมอยู่ในขั้นสามัญบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี ต้น กลาง ปลาย ประมาณไหนของผู้ปรารถนาพุทธภูมิ และควรจะพัฒนาต่ออย่างไรครับ ?

    ตอบ : #พุทธภูมิตั้งแต่อุปบารมีขั้นกลางขึ้นไป #ส่วนมากจะตัดศีรษะ ตัดแขน ตัดขา ควักดวงตา ควักหัวใจ เชือดเนื้อตัวเอง เพื่อผู้อื่นได้ #ส่วนพุทธภูมิปรมัตถบารมี #จะมาเน้นในเรื่องของอารมณ์พระอริยเจ้า โดยเฉพาะศึกษาพระนิพพานให้แจ้ง #ลองเดาดูว่าของคุณอยู่ในระดับไหน ? ส่วนการพัฒนาต่อไปก็คือเกิดแล้วเกิดอีก บำเพ็ญไปเรื่อย ต้องมีสักวัน..ต้องมีสักวัน..!

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    lGtNMZiMVldpP8OqSzDC-M1ZxpXaIGNq8WVNoxj60t8DeSd5q5dEgV9OWwYQ67oXVOO0yWXe&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    ภูติพระเจ้า - พุทธนิมิต

    หลวงปู่ท่านศึกษาเรื่องพลังงานของ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ถึงแม้ว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพานไปนานแล้ว ก็ยังมีพลังงานเหล่านี้อยู่ ส่วนในเรื่องข้อขัดแย้งระหว่างหลวงปู่กับอาจารย์ เฮง ไพรวัลย์ ซึ่งเป็นอาจารย์หลวงปู่สี วัดสะแก อาจารย์เฮงจะทำในด้านเกี่ยวกับพรหม คือจะเชื่อว่าพรหมยังมี แต่ในขณะเดียวกันจะถือว่า พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์พอเข้านิพพานแล้ว ก็สูญ ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีพลังเหลือ หลวงปู่จึงถามท่านว่า อาจารย์เคยไปพระปฐมเจดีย์แล้วเห็นพระธาตุเสด็จหรือเปล่า ท่านก็บอกว่าอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย คือสมัยที่เป็นเสือป่าตามเสด็จรัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งยังเป็นพระบรมโอรสาธิราช ในคืนนั้นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าเสด็จ ออกจากพระปฐมเจดีย์ ระยะหนึ่งแล้วกลับมาโดยมีรัศมีสีเขียวเป็นลูกกลมเท่าผลส้มเกลี้ยง ซึ้งในครั้งนั้นรัชกาลที่ ๖ พร้อมทั้งข้าราชบริพารที่ตามเสด็จก็เห็นทั่วกัน พระองค์จึงมีพระราชหัตถเลขาไปถึงพระราชบิดา หรือพระพุทธเจ้าหลวง โดยทรงอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ว่า "อาจเกิดจากสารเรืองแสง แต่ทรงมีข้อสงสัยว่า น่าจะเกิดขึ้นหลังฝนตก แต่การเสด็จของพระธาตุนั้น เกิดในขณะที่ฟ้าโปร่ง " รัชการที่ ๕ ได้มีพระราชหัตถเลขาตอบมาว่า " ไม่ต้องสงสัยในเรื่องนี้ เพราะพระองค์พร้อมทั้งข้าราชบริพารได้เคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของพุทธานุภาพ คือเป็นบารมีของบรมสารีริกธาตุนั่นเอง " ตรงนี้อาจารย์เฮงก็บอกว่า ตนเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น หลวงปู่จึงบอกว่า "ถ้าพระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุ เคลื่อนที่ไปได้ก็แปลว่า จะต้องมีพลังงานขับเคลื่อน ซึ่งพลังและบารมีนี้ก็แสดงว่าไม่ได้สูญหายไปไหน " หลวงปู่ยังกล่าวต่อว่า "กระดูกคนตายหลายร้อยหลายพันราย เห็นทิ้งกันเกลื่อนกลาดดาษดื่น ถ้าภูตพระเจ้าหมดไปแล้ว พระบรมธาตุจะเสด็จไปได้อย่างไร"อาจารย์เฮงนั่งเงียบ ไม่สามารถจะหาข้อโต้แย้งกับหลวงปู่ได้เพราะที่พระธาตุเสด็จ ก็เสด็จไปด้วยอำนาจของภูติเหล่านี้
    คาถาภูติพระเจ้า พุทธะสัง วิหะรัตตัง ปุญยังวะทามิ
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    xseSnTl42wQGzqtad3hlaA_UDOuK_r6_vauZ7yBv2u5bJGbgp0plK304FpKpOYreKfyKuHZ4&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    "ปลีกตัวเก่งที่สุดคือพระกรรมฐาน !!"

    ปัจจุบันนี้นี่ไปวัดไหนก็เหมือนกันนะ เปลี่ยนแปรสภาพไปหมด ไปวัดไหนก็เหมือนกันหมด เหมือนกันหมดยังไง ทุกวันนี้สมัยไฟฟ้า น้ำไหลไฟสว่างนะ ทางเดินก็มีรถนะ สมัยก่อนนี่น้ำไม่ไหลต้องไปหาบน้ำ ไฟไม่สว่างต้องจุดเทียน ใส่โคมไฟแล้วก็แขวนไว้ตามกิ้งไม้แล้วก็เดินจงกรมนะ จะเดินทาง...ไม่มีรถต้องพายบาตรแบกกรด หิ้วกาน้ำเดิน ไม่ได้ตั้งความหวังกับรถหรอก ออกวัดก็ไม่ได้ออกไปทางที่มีถนน ออกไปทางที่มีป่าไปเลย

    สมัยก่อนนะมันไม่มีไร่มีนา มากมายถึงขนาดนี้ สมัยก่อนนะมันเป็นป่าแล้วเขาก็ไม่รอมรั้ว ทุกวันนี้ผ่านที่ของใครไม่ได้เขารอมรั้วหมด ไปไม่ได้เดินไม่ได้ทุกวันนี้นะ แต่ก่อนนะลัดดงลัดโคก(ลัดป่า)ไปเลยเด้ เดินจากอุดรไปกาฬสินธิ์นี่ไม่มีรั้วขว้างทางเด้ ลัดป่าผ่านดงไปเลย ขึ้นเขาลัดโคกลัดป่าไปเลย สมัยก่อนมันเป็นอย่างนี้

    ทุกวันนี้ตั้งความหวังเด้ ถ้าจะไปไหนแล้ว...
    "ใครรถว่างว่ะ" จะไปนั่นนี่ไม่ยอมเดินนี่ ไปไหนก็กลัวแต่จะเหน็ดเหนื่อยล้า ไปไหนก็กลัวจะไม่มีอยู่มีกินนี่มันเป็นอย่างนี้ สมัยก่อนนี่ขึ้นเขา น้ำในกระติ๊กเล็กๆอย่างนี้ มันจะหมดแล้วแต่ทางที่เราจะเดินนี่เป็น ๒๐-๓๐ กิโล ที่จะเดินขึ้นเขาน้ำไม่มี คอแห้งก็แห้ง ทำไงถึงจะมีน้ำกินน้ำฉัน มองดูเขาเสียก่อนตามหุบเขามันจะมีต้นไม้เขียวๆ ส่วนอื่นๆมันจะแห้งใบมันก็จะร่วง ตรงที่ดินมันชุ่มมันก็จะมีน้ำซับมันก็จะเขียวๆ เดินลัดขึ้นไปเลยรับรองว่ามีน้ำ หาน้ำง่ายบนหลังเขาสมัยก่อนนะ เราก็สังเกตต้นไม้เอา

    บางทีก็มีน้ำเล็กๆน้อยๆไม่มาก เราก็ค่อยๆตักใส่กาแล้วก็มาต้มนะ พอมันเดือดแล้วก็เอามาตั้งวางไว้ พอมันเย็นแล้วก็กรองเอา น้ำที่ตักขึ้นมานะ ไม่ใช่ว่าจะสะอาดเด้นั้น น้ำขุ้นๆเด้แต่เรามาต้ม มันเย็นแล้วเราก็เอามาวางไว้ให้มันนอนลงเสียก่อน ค่อยเอามากรองเอาแต่ข้างบน บางที่เดือนมีนาคม เมษายน จะมีน้ำน้อย แต่บางที่นี่น้ำเยอะ ออกจากภูเขานี่ ตึ้มตึ้มๆทั้งวันทั้งคืน มันแล้วแต่สถานที่

    นี้คือประสบการณ์ในขณะที่เดินป่าเดินดงในสมัยก่อนนะ แสวงหาธรรมะนี่ไม่ใช่แสวงหาง่ายๆ แล้วเวลามีน้ำอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ไปห่วงเรื่องอาหารเด้ทีนี่เรื่องข้าวปลาอาหารบ้านนี่ ไม่ได้สนใจ แค่มีน้ำก็พักอยู่นั้นสักอาทิตย์ก่อนถึงไป พากันปักกลดละทีนี้ บางทีก็มีถ้ำก็ไปพักในถ้ำ

    พอปักกลดเสร็จ ก็กวาดทางจงกรมเดินจงกรมนั่งสมาธิถาวนา โอ้ย! มันเย็นบนเขาบนถ้ำ ลมมันผ่าน นั่งสมาธินี่ หายใจเข้าเย็นมันอิ่มเด้ อิ่มลมหายใจเข้าออกไม่ได้อิ่มอาหารเด้ อิ่มลมหายใจเข้าออก ไม่ได้อิ่มอาหารเด้ อิ่มลมหายใจเข้าออก !!

    ลมหายใจเข้า...อิ่ม ลมพัดโชยมาถูกผิวหนังของเรามันชุ่มฉ่ำพอดี๊พอดีทั้งข้างในข้างนอก มันมีความสุขเป็นพิเศษในขณะที่เราปฏิบัติอย่างนั้น นั่งไปจิตก็ยิ่งสงบไปยิ่งมีความสุข ถ้ามีบ้านคนอยู่นี้รับรองว่าไม่หนี(ลป.ขำ) ทีมันได้หนีก็เพราะไม่มีบ้านคน อยู่ได้ไม่เกิด ๑๕ วันก็ไปแล้ว...ลงเขาไป (ลป.ขำ)

    นี่ละบางทีนี้ไปไม่มีที่ลงเขาเด้ ชันลึกเป็นเหว มองลงไปนี่ โอ้ย! เป็น ๕๐-๖๐ เมตรโน้นนะ ทีนี้เราจะลงยังไงละ ไปที่ไหนก็ไม่มีที่ลง เดินหาต้นไชมันจะมีต้นไชอยู่ตามหน้าผา รากมันจะดิ่งลงไปถึงข้างล่างพุ่นเด้ รากมันลึกมันยางเด้ เราก็มัดของดีๆแล้วก็หย่อนของลงไปละ เชื่อกมันยาวเด้เชื่อกรุ่ม พวกหนึ่งก็ลงไปก่อนไปปลดของก่อน แล้วก็ยื่นของลงไป ต่อเชื่อกกันลงไป พอของลงไปละก็ลงละทีนี่เหมือนลิง

    ลงไปตามนั้นละผ้าจีวรก็มัดเอวแล้วก็ลง...
    โอ้ย! ขึ้นเขาลงเขานี่ ถ้าจะเดินตามหลังเขานี่มันไกลเด้ทีนี่ ไปอีกเป็นวันก็ไม่ถึง เพราะฉะนั้นต้องลัดลงตรงนี้เลย พอเจอต้นไชเราก็ลง นี่การที่เดินป่าเดินเขานี้มันลำบาก แต่ชาวบ้านของเราก็จะว่าลำบากนะ แต่สำหรับพระกรรมฐานเรานี่ไม่คิดว่าลำบากนะ สนุกเด้นี่สนุกมีความสุขนะ สุขอยู่กับการปฏิบัติธรรม ไม่ได้คิดเรื่องว่ายากได้นั้นอยากได้นี้หรอก คิดแต่ว่าหายใจเข้ามันสุขดี นั่งอยู่ไหนมันก็เย็นสบาย นี่ธรรมะมันถึงเกิดได้ง่าย

    ทีนี้พอเราไปหยุดปั๊บ เราไปจัดที่พักที่ตรงนี่จะแขวงกรด ก็ดูต้นไม้ต้นนี้ เชื่อกก็ผูกไว้ดรดก็แขวงไว้แล้วก็ข้างล่างก็กวาด เอาผ้านิสีทนะไปปูหรือผ้าอาบน้ำฝนไปปู แล้วก็ไปกวาดทางที่จะเดินจงกรม ตรงไหนที่มันไม่ตรงกับต้นไม้ เราก็กวาดไปบางทีมันก็งอไปงอมาโค้งไปโค้งมา เพราะมันไม่มีใครไปทำทางจงกรมให้ เดินจงกรมอย่างนั้นนั่งสมาธิภาวนามีความสุขเด้นั่น มีความสุขเป็นพิเศษ นี้ละการออกไปปฏิบัติธรรม

    เวลามานั่งทีนี่หมดทั้งภูเขานี่ ไม่มีเสียงอะไร ที่จะเป็นเสียงที่มันจะมาทำลายสมาธิของเรา มีแต่เสียงสัตว์ป่านะ ที่ว่าไม่มีะไรนะ คือ เสียงคนนี่ไม่มี ศัตรูอันดับหนึ่ง คือคน พระกรรมฐานต้องระมัดระวังไม่อยากพบใครทั้งนั้นเลย ถ้าเป็นผู้ชายก็พอว่าหน่อย ถ้าได้ยินเสียงพวกผู้หญิงไปเก็บเห็ดสับหน่อไม้นี่ มันมาทางนี้นี่ต้องหลบไปทางนี้ (ลป.ขำ) พอเขาผ่านไปแล้วเราก็กลับคืนมาที่เก่า ได้หลบเอาเด้ไม่ยอมให้พบนะ

    ปลีกตัวเก่งที่สุดคือพระกรรมฐาน ขนาดกางกรดไว้ตัวคนไม่มีแล้ว...หนี เอาไปไม่ได้ไปแต่ตัวคน เสียงเขามาทางโน้น เราก็หลบไปอีกทางโน้น พอเขาผ่านไปเราถึงจะออกมา ไม่ได้จะยอมให้พบง่ายๆเด้ พระกรรมฐานนะ เอาแต่ธรรมะอย่างเดียว!!

    เพราะมีความตั่งใจ มีความตั้งใจจดจ่ออยู่ตลอดเวลา ถึงจะเดินทางพายบาตรแบกกรดไปตามเขานี่นะ จิตมันยังอยู่ในนี้เด้ ไม่ได้ส่ายออกไปข้างนอกเด้ เหมือนกับตอนที่ราเดินจงกรมเหมือนกับที่เรานั่งสมาธิภาวนา เราก็จะรวมอยู่ที่นี้ดิ่งอยู่ที่นี้ พอหยุดปั๊บเมื่อไหร่นั่งลงไปก็หลับตา มันก็จะดิ่งเข้าไปเลย บางทียังไม่ได้ตั่งใจว่าจะนั่งสมาธิ พอนั่งลงปั๊บธรรมดานี่ดิ่งเข้าไปแล้วสมาธินี่ไม่ลุกแล้วทีนี่ ยังไม่ได้ตั้งหลักเลย จิตมันลงไปก่อนบางทีมันเป็นขนาดนั้นละ !

    ถอดจากเทปพระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินทสิริ
    วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

    ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ?temp_hash=6e2dc8f69b92985c88ce744447053741.jpg
    ถาม : ผมอยากทราบว่ามีวัตถุมงคลชิ้นใดบ้าง #ที่ช่วยส่งเสริมด้านการปฏิบัติธรรมให้สามารถทำหรือเข้าสมาธิได้ไว ?
    ตอบ : อันดับแรก #สมเด็จวัดระฆัง ไม่ได้พูดเล่นนะ เรื่องจริง...! อันดับที่สอง #พระของหลวงปู่บุดดา ขอยืนยันทั้งสองรายการนี้ ถ้าพกติดตัวจะรู้สึกว่าสนับสนุนการปฏิบัติธรรมได้ดีมาก

    ถาม : ผมอยากทราบว่ามีหรือไม่ครับ วัตถุมงคลที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีสมาธิระดับฌาน แต่ผู้ใช้สามารถใช้วัตถุมงคลนั้นให้สามารถส่งผล หรือแสดงอานุภาพได้เต็มที่ ?
    หากมี...มีวัตถุมงคลประเภทใด หรือสายไหนบ้าง ? ผมจะได้ไปเสาะหาครับ
    ตอบ : หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม แต่ดูของให้เป็นนะ ถ้าดูไม่เป็นโดนเขาหลอกมาก็ตัวใครตัวมัน

    ถาม : ผู้ใช้วัตถุมงคลมีสมาธิห่วย แต่มีความมั่นใจสูง วัตถุมงคลจะส่งผล หรือแสดงอานุภาพได้เต็มที่หรือไม่ครับ ?
    ตอบ : #ขึ้นอยู่กับว่าครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์ไว้เท่าไร ถ้าครูบาอาจารย์สงเคราะห์เต็มที่อย่างหลวงพ่อกวย ห่วยแค่ไหนท่านก็ช่วย เพราะท่านรักลูกศิษย์ท่าน

    หลวงพ่อกวยเป็นพระอาจารย์ที่รักลูกศิษย์สุด ๆ แล้วรักแบบไม่มีข้อแม้ จะดีจะชั่วท่านก็รัก ขนาดลูกศิษย์ติดคุกยังตามไปช่วยเลย ไปรดน้ำมนต์ให้ บอกว่าอีกกี่วันจะได้ออกจากคุก แล้วก็เป็นไปตามนั้น

    ครูบาอาจารย์ที่มาสายวิสุทธิมรรคบางรายไม่ชอบหลวงพ่อกวย เพราะหลวงพ่อกวยเล่นไสยศาสตร์เกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม แต่ของทุกอย่างที่ท่านทำไว้ มีอานุภาพที่เห็นผลจริง ๆ

    ถาม : แล้ววัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าขนุน สงเคราะห์ระดับไหนละคะ ?
    ตอบ : ก็เหมือนกับตัวท่านนั่นแหละ ตัวใครตัวมัน...!

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ( หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ )
    วัดท่าขนุน จังหวัดกาญจนบุรี

    คัดลอกจากเก็บตกบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๙
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    2g-HcVHUFvmmUXv0gm9LWzSGLUXBI1OvUmT09KfSJkkc6bLLoOERg_F8hzU1HDxtVyu6RRws&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ชมรมศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง
    3NBdiHGwxEPRw0z9ozBx-rezXXDEY83Svmm2i2Rha5FWA8Vq36AgMWdaYPBZ5jsZ6rEIDXHm&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    Watthasung.com

    ใครคือผู้ที่อยู่ในคำทำนาย
    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2760#2
    ...ตามที่ได้เล่าไปแล้วว่า คำทำนายสมัยก่อนปี พ.ศ.๒๕๐๐ สมัยนั้นมีการฉลองอายุพระพุทธศาสนากึ่งพุทธกาล คำทำนายนี้ได้ค้นพบที่พุทธคยา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๔ เป็นที่โด่งดังในวงการชาวพุทธกันมาก

    โดยเฉพาะในหนังสือ "ทิพยอำนาจ" เขียนโดยพระสาย "หลวงปู่มั่น" บอกไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๓ ว่า "พระมหาเถระโพธิสัตว์ ผู้มีบุญญาภิสมภาร มีอิทธาภินิหาร เชี่ยวชาญทางอภิญญาในสุวรรณภูมิ �จะได้เป็นผู้ทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก"

    "เมื่อพระพุทธศาสนาถึงกึ่ง ๕,๐๐๐ ปี นับตั้งแต่พุทธปรินิพพาน พระพุทธศาสนาจะกลับเจริญรุ่ง�เรืองถึงขีดสูงสุดคล้ายสมัยพุทธกาล จะมีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานถึงภูมิพระอรหันต์"

    อีกทั้งมีหนังสือเล่มหนึ่งเล่าไว้ว่า มีท้าวมหาพรหมมาเข้าทรง "เจ้าคณะจังหวัด แขวงเมืองเวียงจันทน์" บอกว่า

    "ต่อไปพระพุทธศาสนาในประเทศไทย จะเจริญรุ่งเรืองมาก พระมหาเถระองค์หนึ่งเป็นผู้�ทรงอภิญญา จะสามารถเผยแพร่พระพุทธศาสนาได้อย่างมั่นคง"

    พระธุดงค์องค์นั้น จึงถามต่อไปว่า "จะสังเกตได้อย่างไร ว่าบุคคลที่ท่านหมายถึงนั้น จะมีลักษณะอย่างไร ตามคำพยากรณ์ของท่าน?"

    พระพรหมองค์ที่มาประทับทรง "เจ้าคณะจังหวัด" ได้กล่าวตอบว่า

    "ขอให้สังเกตดูว่า พระองค์ไหนที่สามารถไปพบพระพุทธเจ้าได้ ยืนยันว่านิพพานไม่สูญได้ และ�สามารถสอนคนให้ไปพบนรกสวรรค์ได้ หรือพบพระพุทธเจ้าได้เช่นกัน องค์นั้นแหละที่ตกอยู่ในคำพยากรณ์"

    นี่ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนปี พ.ศ.๒๕๐๐ สมัยนั้นยังไม่มีข่าวเรื่อง "อภิญญา" เกิดขึ้น แม้แต่ผู้เขียนหนังสือ "ทิพยอำนาจ" ยังกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ว่า

    "...ข้าพเจ้า (เส็ง ปุสโส) ได้เรียนถาม พระอาจารย์ภูริทัตตเถระ (มั่น) ว่าคำทำนายโบราณนี้ จะเป็นจริงไหม ท่านว่า "เจ้าพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันทเถระ จันทร์) บอกว่าจริง"

    เมื่อข้าพเจ้าถามถึงความเห็นเฉพาะตัวของท่าน ท่านก็บอกว่าเป็นจริง เวลาก็จวนถึงแล้ว �เราคอยดูกันต่อไป..."

    พระมหาเถระพระโพธิสัตว์
    ...สำหรับคำทำนายชิ้นนี้ ใครที่เป็นลูกศิษย์พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ มานาน คงจะเคยอ่านเรื่องนี้มาจากหลวงพ่อบ้างแล้ว แต่แปลก..ที่ท่านกลับไม่เคยยกคำนี้มากล่าวไว้เลยว่า

    "...พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช ผู้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง จะเกิดภายในอุปถัมภ์ของ พระมหาเถระพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์นั้น จะจัดการสถาปนาบำรุงพระศาสนาของตถาคต ในระยะนี้เป็นยุคชาวศรีวิลัย..."

    อนาคตของประเทศชาติ
    ...แม้แต่การบรรยายเรื่อง "อนาคตของประเทศชาติ" ให้กับทหารที่ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา เมื่อวันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ ท่านก็พูดเพียงแค่นี้เองว่า

    “อานันทะ..ดูก่อน อานนท์ โลกต่อไปจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี (ประมาณ พ.ศ.๒๔๘๕) จะมีฝนเหล็กตกจากอากาศ จะมีไฟลุกจากอากาศ เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำมาทำลายมนุษย์ มนุษย์และสมณะชีพราหมณ์จะตายกันมาก

    แต่ว่า..อานนท์ ความเร่าร้อนก่อนกึ่งพุทธกาลนั้น ยังมีความเร่าร้อนน้อยกว่าความเร่าร้อนหลังกึ่งพุทธกาล

    หลังกึ่งพุทธกาลจะมีความร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้น ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นมาอาละวาด สมณะชีพราหมณ์จะล้มตาย

    ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาทั้งหลายจะฆ่าฟันกันและกัน จะตายกันไปคนละครึ่ง จึงจะหยุดยั้งเลิกรบกัน แต่ทว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น จะมีภัยเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่มากนัก”

    ความสงสัยเกิดขึ้นมานานแล้ว
    ...นี่ก็เป็นที่น่าสงสัยว่า ท่านต้องเคยอ่านพบข้อความทั้งหมดนี้ในคำทำนาย แต่เป็นที่น่าฉงนว่า ทำไมท่านไม่เอ่ยคำนี้ออกมาด้วย หรือท่านทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่ท่านไม่อยากอวดตัวของท่านเอง หรือไม่อยากตอบคำถามที่มีคนสงสัยในเรื่องนี้

    เสียดายที่ท่านล่วงลับไปแล้ว ความลับนี้ก็ยังเป็นปริศนากันอยู่ในเวลานี้ ผู้เขียนได้เขียนเรื่องนี้ก็เป็นวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ กาลเวลาล่วงมานานถึง ๗๙ ปีแล้ว จากได้พบคำทำนายนี้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๔

    สำหรับพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) ท่านนำเรื่องนี้มาวิจารณ์เมื่อปี ๒๔๙๓ ด้วยการถามหลวงปู่มั่นว่าจริงหรือไม่ หลวงปู่มั่นก็ยอมรับว่าจริง

    ส่วนข้อเขียนของเรานี้ เริ่มหยิบยกมาวิจารณ์อีกครั้งเมื่อปี ๒๕๖๓ กับเลข ๒๔๙๓ เลขก็คล้ายๆ กันนะ (ไม่ได้ให้หวยนะ) แต่สมัยนั้นก็ยังไม่มีคำตอบ เพราะท่านก็มรณภาพไปเสียก่อน

    อีกทั้งบุคคลที่ปรากฏอยู่ในคำทำนาย ตามที่คาดการณ์ไว้คือ "พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช" ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ และ "พระมหาเถระ" พระโพธิสัตว์ ปัจจุบันทั้งสองพระองค์นี้ ก็น่าจะล่วงลับดับสังขารไปแล้ว

    ฉะนั้น บทความที่นำมาวิเคราะห์นี้ ถือว่านำมาเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์กันเท่านั้น ไม่ได้ทึกทักว่าเป็นจริงเป็นจัง เพราะเราก็ไม่ได้ยินจากปากท่านโดยตรง

    แต่เท่าที่ค้นคว้าหาหลักฐานมาประกอบกัน เราจะรู้ได้อย่างไรว่า "พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช" และ "พระมหาเถระ" นั้น เป็นใครกันแน่ตามคำทำนายโบราณ หรือ "ใครคือผู้ที่อยู่ในคำทำนาย" ตามที่ตั้งหัวข้อบทความนี้เอาไว้

    ประเด็นแรก คำว่า "พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช ผู้เป็นพระโพธิสัตว์" เท่าที่มีหลักฐานออกไปเป็นสาธารณะ ตามสื่อต่างๆ ที่นำออกมาเผยแพร่ ดังนี้

    ในหลวง ร.๙ ปรารถนาพุทธภูมิ
    ...พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เคยถวายพระพรไว้ ณ พระตำหนักภุพิงค์ราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๐ ในตอนหนึ่งที่พระองค์ทรงตรัสถามหลวงพ่อว่า

    "เขาพูดกันว่าผมปรารถนาพุทธภูมิเป็นความจริงไหมครับ..?"

    หลวงพ่อถวายพระพรว่า...เรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่ พระองค์ปรารถนามานาน..แต่เวลานี้บารมีเป็น "ปรมัตถบารมี" แล้วก็เหลืออีก ๕ ชาติ และที่พระองค์ปฏิบัติมามันเลยแล้ว..ไม่ใช่ไม่สำเร็จ..!

    "พุทธภูมินี่..ต้องบำเพ็ญกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์เป็น "วิริยาธิกะ" วิริยาธิกะนี่..ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป นี่บำเพ็ญมาเกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว "แสนกัป" อาจยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ"

    ข้อนี้ก็สมกับคำของ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา ได้กล่าวไว้กับลูกศิษย์คนหนึ่ง เมื่อครั้งที่บวชอยู่กับท่านว่า

    "...วันหนึ่งข้างหน้า ในหลวงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งของโลก"

    พ่อมองหน้าผมแล้วย้ำว่า..."ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ"

    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
    “..ในหลวงพระองค์นี้ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์นะ”

    ท่านเจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทร์ฯ
    “...การที่คุณเอาธนบัตรที่มีรูปในหลวงไปใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงนั้น ไม่ดีเลย เพราะในหลวงท่านเป็น "พระโพธิสัตว์" การเอาพระรูปของท่านไปไว้ในที่ต่ำอย่างนั้น ย่อมบังเกิดโทษเป็นอันมาก ทีหลังอย่าพากันทำ..”

    เท่าที่สรุปคำกล่าวของพระมหาเถระ ที่มีความสำคัญหลายรูป ตามที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้ พอที่จะสรุปได้ว่า "พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช ผู้เป็นพระโพธิสัตว์" ตามคำทำนายเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๔ นั้น

    ต้องเป็นในหลวง รัชกาลที่ ๙ อย่างแน่นอน แล้วก็มีพบหลักฐานว่า พระโพธิสัตว์ทั้งสองนี้ เคยเกิดร่วมสร้างชาติสร้างแผ่นดิน ในอดีตเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว

    พระเจ้าตะวัน และ พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า
    ...โดยเฉพาะคำว่า "สุวรรณภูมิ" ในหลักฐานกระเบื้องจารของ อดีตท่านเจ้าคุณพระราชกวี (อ่ำ) วัดโสมนัสฯ ได้เล่าไว้ว่า

    ในสมัยสุวรรณภูมิ พ.ศ.๒๔๖ พระโพธิสัตว์ทั้ง ๒ พระองค์ คือ พระเจ้าตะวันอธิราช ผู้เป็นพระราชบิดา กับ พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า พระราชโอรส ได้บำเพ็ญทศบารมีร่วมกัน

    พระเจ้าตวันอธิราช กษัตริย์ผู้ครองกรุงสุวรรณภูมินี้ ได้วางรากฐานการสร้างพระบารมีไว้ให้พระราชโอรสของพระองค์ ในฐานะที่จะทรงเป็นกษัตริย์ต่อไปภายภาคหน้า อาทิ

    - การสร้างบ้านแปลงเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ปรับปรุงกองทัพให้เข้มแข็ง ส่งเสริมอาชีพของราษฏร โรงพยาบาลเพื่อสงเคราะห์พสกนิกร ฯลฯ

    - ส่วนด้านพระพุทธศาสนา ได้โปรดสร้างวัด โรงเรียนปริยัติธรรมสำหรับพระภิกษุสามเณร โดยมี พระโสณะ กับ พระอุตตระ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มีการมอบ "พัศยศ" สำหรับผู้สอบบาลีได้

    - ต่อมาก็มีการแต่งตั้งพระสงฆ์ไทยขึ้นเป็น "สมเด็จพระสังฆราช" เป็นพระองค์แรกของเมืองไทย จนได้สืบต่อวัฒนธรรมประเพณีต่าง ๆ มาจนถึงบัดนี้

    - อีกทั้งพระองค์ได้เสด็จประพาสไปยังนานาประเทศ ทั้งประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง และที่อยู่ห่างไกลออกไป ส่วนภายในประเทศอาณาเขตของพระองค์ ก็เสด็จเยี่ยมเยือนไปตามหัวเมืองต่าง ๆ อีกด้วย

    - พระราชจริยวัตรของ พระเจ้าตะวันอธิราชนี้ มีลักษณะที่ทรงปฏิบัติคล้ายกับพระราชจริยวัตรของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ของพระเจ้ากรุงสยาม ทุกประการ

    - ฉะนั้น ขนบธรรมเนียมประเพณีในด้านพระพุทธศาสนา เช่น พิธีกวนข้าวทิพย์ การสวดมนต์ หรือ พิธีการนิมนต์พระไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้าน ตลอดถึงพิธีกรรมต่างๆ ตามโบราณราชประเพณี เรามีการสืบทอดวัฒนธรรม อันเป็นมรดกไทยมานานนับพันปี

    ทั้งหมดนี้เป็นรากฐานที่ "พระเจ้าตะวันอธิราช" วางไว้ให้กับพระราชโอรสคือ "พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า" เพราะทั้ง ๒ พระองค์ต่างก็เป็น "พระมหาโพธิสัตว์" ที่บารมีเข้มข้นมาก่อน

    พระโสณะพยากรณ์
    ...ต่อมา หลังจากพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ก็ทรงมีพระราชหฤทัยที่ดำเนินรอยตามพระยุคลบาทของสมเด็จพระราชบิดา ในฐานะที่พระองค์ก็ทรงเป็น "พระโพธิสัตว์" เช่นเดียวกัน และก่อนที่ "พระโสณะ" จะนิพพาน ท่านก็ยังได้พยากรณ์ไว้อีกว่า

    "พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า จะมาเกิดที่ "กรุงเทพมหานคร" เมื่อนั้น "สุวรรณภูมิ" จะฟื้นชื่อมีคนรู้ทั่ว..."

    หนังสือ "พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์" เล่มนี้ ภายหลังได้ทูลถวายในหลวงพ่อ (ตามภาพที่ได้เห็นเมื่อตอนที่แล้ว) ต่อมามีการสร้่าง "สนามบินงูเห่า" ขึ้นใหม่

    พระองค์จึงทรงพระราชทานชื่อใหม่ว่า "สนามบินสุวรรณภูมิ" อันเป็นสนามบินนานาชาติ ตรงตามคำพยากรณ์ที่ว่า "เมื่อนั้น "สุวรรณภูมิ" จะฟื้นชื่อมีคนรู้ทั่ว" ถูกต้องทุกประการ

    คำว่า "อภิญญา"
    ...ต่อไปคราวนี้ก็เป็นการวิเคราะห์คำว่า "พระมหาเถระ พระโพธิสัตว์" กันต่อไปว่า ได้แก่..ใครคือผู้ที่อยู่ในคำทำนาย ?

    ข้อนี้ก็คงต้องสืบสาวราวเรื่อง ย้อนไปถึงคำว่า "อภิญญา" ส่วนใหญ่เรารู้จักกันแค่ "พระอภิญญา" แต่เพิ่งได้ยินเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๕ ว่ามี "เด็กอภิญญา" เกิดขึ้นด้วยที่เชียงใหม่

    แต่ถ้าย้อนไปถึงสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ บวชอยู่กับหลวงปู่ปาน พร้อมกับเพื่อนของท่านอีก ๒ องค์ก็ได้อภิญญา แต่มีคำสั่งให้เข้าป่าเมื่อบวชได้ ๑๐ พรรษาผ่านไปแล้ว ส่วนหลวงพ่อท่านเล่าไว้ดังนี้

    หลวงพ่อจงพยากรณ์
    ...ท่านสาธุชนพุทธบริษัท วันนี้ก็เป็น วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๓ ก็เป็นอันว่าหลังจากนั้นมา หลวงพ่อจงก็พยากรณ์ ท่านก็บอกว่า

    "กสิณทั้ง ๑๐ ประการนี่เธอใช้ได้หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเธอเอง (หมายถึงอาตมา) คล่องในกรรมฐาน ๔๐ แล้วก็มหาสติปัฏฐานสูตร

    ถามท่านว่า "ผมปรารถนาพุทธภูมิ ชาตินี้จะมีบุญวาสนาบารมีเต็มหรือขอรับ?"

    ท่านก็นิ่งนิดหนึ่ง สักหนึ่งวินาที ท่านบอกว่า

    "พระท่านบอกว่า ถ้าเธอมีอายุถึง ๖๐ ปี บุญวาสนาบารมีปรารถนาพุทธภูมิของเธอก็จะเต็มชาตินี้ แต่ว่าเธอมีอายุแค่ ๒๗ ปี จะต้องแบกบุญวาสนาบารมี ต้องบำเพ็ญบารมีไปอีกหลายชาติ"

    ท่านบอกต่อไปอีกว่า "ไม่เป็นไร..เธอก่อนจะเกิดมา เธอมีสัญญา"

    ถามว่า "สัญญาอะไร ขอรับ?"

    ท่านก็บอกว่า "หลังจากอายุ ๔๐ ปีไปแล้ว เธอต้องลาจากพุทธภูมิ แต่ว่าเวลานี้เธอต้องทำให้เข้ม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อย่าท้อถอยทุกอย่าง

    จะประสบกับทุกข์อะไรก็ตาม จะต้องสู้กับทุกข์ ตั้งใจปฏิบัติตามกิจพุทธภูมิทุกอย่าง เมื่อลาจากพุทธภูมิแล้ว สิ่งที่เธอลา เธอขอสัญญากับพระ พระท่านจะให้ แล้วจะได้ตามนั้น แต่ว่าเธอจะต้องทำกิจพุทธภูมิต่อไปจนกว่าจะตาย"

    นี่เป็นคำพยากรณ์ของหลวงพ่อจง หลวงพ่อจงนี่เป็น "พระอภิญญา" แต่ก็ไม่ใช่อภิญญาอย่างเดียว เป็นพระปฏิสัมภิทาญาณด้วย ท่านสอนต่อไปว่า

    "...แต่ว่าเธอทั้งหลาย จงอย่าลืมนะว่า ต้องยึดอริยสัจเป็นสำคัญ อริยสัจที่จะต้องตั้งใจทำให้มั่นก็คือ ทุกขสัจ เข้าใจในทุกขสัจอย่างเดียว ให้ได้จริง ๆ แล้วเธอจะเข้าใจผลในทุกขสัจ

    แต่ว่ากรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง จะต้องซ้อมไว้เป็นปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "อภิญญา" อย่าทำเป็นอันขาด การทำอภิญญาไม่ใช่วิสัยของเธอ เป็นวิสัยของสององค์นี่ ต้องอยู่ป่า ต้องใช้อภิญญา เธอจงเก็บอภิญญาไว้เป็นคู่มือ เป็นคู่ปัญญา เพื่อเข้าใจในการตัดกิเลส

    อภิญญาใหญ่อย่าไปสอน ถ้าขืนสอน เธอจะเหนื่อยเปล่า เพราะวิสัยแบบนี้ จะยากสำหรับบุคคลที่จะพึงทำได้ แต่ว่ามีอยู่ แต่ก็ไม่อยู่ในฐานะที่เธอจะต้องเป็นครู ต้องให้คนอื่นเขาเป็นครูกัน เธอเอาเท่านั้นก็พอ เป็นแค่..ปัจจัตตัง.."

    พระมหาเถระกล่าวถึงหลวงพ่อ
    ...ตามที่ได้นำคำบอกเล่าของหลวงพ่อนี้ คิดว่าท่านผู้อ่านคงจะได้คำตอบเอง โดยไม่ได้คิดยกย่องครูอาจารย์ หรือที่เรียกว่าอวย..กันเอง คำว่า "พระมหาเถระ พระโพธิสัตว์" ต้องเป็นองค์หลวงพ่อนั่นเอง โดยเฉพาะพระมหาเถระที่ได้กล่าวถึงหลวงพ่อไว้มีดังนี้

    หลวงพ่อดาบส สุมโณ พูดถึงหลวงพ่อฤๅษีว่า

    "...พระคุณเจ้าองค์นั้น เป็นอรหันต์องค์เอกองค์หนึ่งของโลกในปลายศาสนา ๕๐๐๐ ปี จะหาใครสอนเสมอเหมือนพระคุณท่านหาไม่ได้แล้ว พระคุณท่านองค์นั้นสอนได้คล้ายพระพุทธเจ้าสอน เพราะท่านปรารถนาพระโพธิญาณ

    ถ้าท่านไม่ลาพุทธภูมิหักใจเป็นพระอรหันตสาวกเสียก่อน ท่านเทศน์คราวไร เรา..พวกเรานี้ที่บำเพ็ญบารมีตามท่านมา ก็จะฟังเทศน์จากท่านเพียงครั้งเดียว ก็จะเป็นพระอรหันต์ตามได้"

    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร บอกว่า
    "...หลวงพ่อมหาวีระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ท่านเป็นโลกวิทู แจ้งทั้งโลก แจ้งทั้งธรรม"

    หลวงปู่บุดดา ถาวโร ยังปรารภถึงหลวงพ่อว่า
    "...หลวงปู่น่ะเหมือนหิ่งห้อย หลวงพ่อมหาวีระนั้น เหมือนพระอาทิตย์"

    หลวงปู่คำแสน (เล็ก) บอกว่า
    “..หลวงปู่บวชมา ๖๐ กว่าพรรษาเข้านี่แล้ว ยังไม่เคยพบพระองค์ไหนเหมือนหลวงพ่อ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)”

    หลวงปู่ดู่ กล่าวถึงหลวงพ่อว่า
    "...ท่านมหาวีระ ท่านมีบารมีสูง มีข้างบนเป็นกำลังหนุน เป็นอาจารย์ใหญ่สอนคนได้จำนวนมาก ข้าขอโมทนา พวกแกเกิดมาพบพระอรหันต์ที่มีบารมีสูง อย่าให้เสียทีที่ได้พบ เอาสิ่งที่ตนปฏิบัติบัติได้ (ญาณ) มาอบรมตนเอง"

    หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย
    “...พระเดชพระคุณหลวงพ่อวีระ วัดท่าซุงนี่ ท่านเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมอันสูงมาก บารมีสูง ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของท่าน ท่านจะไม่มาอีกแล้ว จะเข้าสู่พระนิพพาน

    เพราะฉะนั้นท่านจึงสั่งสอนให้ลูกหลานและศิษย์ท่านปฏิบัติให้เข้าถึงพระนิพพานกันหมด ขอจงได้ปฏิบัติติดตามคำสอนของหลวงพ่อเถอะ จะได้ถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้”

    หลวงตามหาบัว กล่าวถึงหลวงพ่อว่า
    "..พระดี จะหาอะไรดียิ่งกว่านั้นไปอีก .."

    เอาละ..ไล่เลียงเรื่องราวกันมายาวเหยียด เพื่อเป็นการวิเคราะห์เจาะลึกถึง "คำทำนาย" ในอดีต พอที่จะสรุปได้แล้วว่า ใครที่เกิดมาทันชาตินี้ ถือว่าโชคดีจริงๆ ที่ได้ทันการอุบัติของพระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์

    อันเป็นกาลสมัยพระพุทธศาสนารุ่งเรืองอีกวาระหนึ่ง จะมีพระอริยเจ้ามากมายคล้ายสมัยพุทธกาล สมดังคำทำนายที่กล่าวไว้ว่า

    "..ผู้มีบุญทั้ง�สองพระองค์ จะเสด็จเข้ามาบำรุงพระศาสนาของตถาคตเป็นเที่ยงแท้ สมณชีพราหมณ์จะตามเสด็จเป็นอันมาก.." ดังนี้แล

    หลวงพ่อฝึกอภิญญา

    ..ลำดับต่อไปนี้ จะเป็นการฟังคำสนทนาเมื่อปี ๒๕๒๑ เรื่องการฝึกอภิญญาของท่าน สมัยที่บวชอยู่กับหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เป็นเทปที่คุยหลังกรรมฐาน ที่ศาลานวราช โดยมีคณะเจ้าหน้าที่กองทุนจากกรุงเทพฯ ร่วมรับฟังอยู่ด้วย

    เทปชุดนี้มีประมาณ ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาที แต่ก็นำมาเพียงแค่ ๑ ชั่วโมงเท่านั้น ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่า เรื่องนี้อยู่ในม้วนนี้ ความจริงเป็นเรื่องยากที่จะค้นหาพบ เหมือนกับหาเข็มในมหาสมุทรนั่นแหละ แต่ผู้เขียนคิดในใจว่า ขอให้พบง่ายๆ ทั้งที่เทปมีนับพันม้วน

    แต่ปรากฏว่า พอเริ่มค้นหาก็เจอทันที นี่ก็ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดมาก ขอให้ตั้งใจฟังให้ดีจนจบ แล้วก็จะได้พบกับตอนต่อไป..สวัสดี
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    Watthasung.com

    คำทำนายโบราณ
    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2760
    ...จึงขอเริ่มการวิเคราะห์เปรียบเทียบ จากการทำนายโบราณโดย อดีตพระอริยคุณาธาร �(เส็ง ปุสโส) ท่านเป็นพระสายธรรมยุต เป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งได้เรียบเรียงไว้ในหนังสือ "ทิพยอำนาจ" มีใจความว่าอย่างนี้

    "...คำทำนายโบราณชิ้นหนึ่ง ได้เป็นที่ตื่นเต้นสนใจกัน เมื่อประมาณ ๑๐ กว่าปีมานี้ (ขณะที่�เขียน พ.ศ.๒๔๙๓) มีว่า

    "เมื่อพระพุทธศาสนาถึงกึ่ง ๕,๐๐๐ ปี นับตั้งแต่พุทธปรินิพพาน พระพุทธศาสนาจะกลับเจริญรุ่ง�เรืองถึงขีดสูงสุดคล้ายสมัยพุทธกาล จะมีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานถึงภูมิพระอรหันต์

    พระมหาเถระโพธิสัตว์ ผู้มีบุญญาภิสมภาร มีอิทธาภินิหาร เชี่ยวชาญทางอภิญญาในสุวรรณภูมิ �จะได้เป็นผู้ทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก

    เริ่มต้นที่อินเดีย ไปยุโรป และอเมริกา ประชา�ชนชาวโลกจะหันมานับถือพระพุทธศาสนามากมาย คนทั้งหลายจะนิยมในการฝึกอบรมจิตใจ ประเทศชาติบ้านเมืองก็จะร่มเย็นเป็นสุข ด้วยร่มเงาของพระพุทธศาสนา" ดังนี้

    บัดนี้ก็จวนจะถึงสมัยกึ่งพระพุทธศาสนาแล้ว เงาเจริญแห่งพระพุทธศาสนาเริ่มปรากฏแล้ว ชาวอัศดงคตประเทศ (ชาวตะวันตก) กำลังหันมาสนใจในพระพุทธศาสนามากขึ้น

    แต่ใครเป็นตัวการตามคำทำนายนั้น ยังมิได้ปรากฏแก่วงการพระพุทธศาสนา ขอให้คอยดูต่อไปว่า จะจริงเท็จแค่ไหน

    ถ้าคำทำนายเป็นจริงขึ้น ก็แปลว่าชาวพุทธผู้ให้คำทำนายนั้น มีทิพจักขุวิเศษที่สุดได้แน่ ๆ ทีเดียว และตัวการในคำทำนายนั้น จะเป็นบุคคลที่น่าอัศจรรย์ที่สุดของโลกสมัยใหม่ด้วย

    ข้าพเจ้า (เส็ง ปุสโส) ได้เรียนถาม พระอาจารย์ภูริทัตตเถระ (มั่น) ว่าคำทำนายโบราณนี้ จะเป็นจริงไหม? ท่านว่า "เจ้าพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันทเถระ จันทร์) บอกว่าจริง!"

    เมื่อข้าพเจ้าถามถึงความเห็นเฉพาะตัวของท่าน ท่านก็บอกว่าเป็นจริง เวลาก็จวนถึงแล้ว �เราคอยดูกันต่อไป..."

    เจ้าคณะจังหวัด แขวงเมืองเวียงจันทน์

    ..ใจความของเรื่องขอนำมากล่าวไว้เพียงแค่นี้ และเรื่องในทำนองเดียวกันนี้ บังเอิญผู้เขียนได้เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง มีพระองค์หนึ่งท่านเล่าว่า �

    ท่านได้เคยธุดงค์ไปเวียงจันทน์ ประเทศลาว ประมาณ พ.ศ.๒๔๙๐ และท่านได้เข้าไปสนทนากับเจ้าคณะจังหวัด แขวงเมืองเวียงจันทน์นั้น

    ขณะที่กำลังคุยกันอยู่ปรากฏว่า เสียงของเจ้าคณะจังหวัดองค์นั้นค่อยเปลี่ยนไป จึงได้สอบถามกลับตอบว่า ท่านเป็น “ท้าวมหาพรหม” ต้องการจะมาคุยด้วย เพราะเห็นกำลังคุยกันถึงเรื่องพระ�ศาสนากันอยู่ จึงได้ถามว่า

    "ต่อไปพระพุทธศาสนาจะเป็นอย่างไรบ้าง?"

    ท้าวมหาพรหมจึงบอกว่า "ต่อไปพระพุทธศาสนาในประเทศไทย จะเจริญรุ่งเรืองมาก พระมหาเถระองค์หนึ่งเป็นผู้�ทรงอภิญญา จะสามารถเผยแพร่พระพุทธศาสนาได้อย่างมั่นคง"

    พระธุดงค์องค์นั้น จึงถามต่อไปว่า "จะสังเกตได้อย่างไร ว่าบุคคลที่ท่านหมายถึงนั้น จะมีลักษณะอย่างไร ตามคำพยากรณ์ของท่าน?"

    พระพรหมองค์ที่มาประทับทรงเจ้าคณะจังหวัด ได้กล่าวตอบว่า

    "ขอให้สังเกตดูว่า พระองค์ไหนที่สามารถไปพบพระพุทธเจ้าได้ ยืนยันว่านิพพานไม่สูญได้ และ�สามารถสอนคนให้ไปพบนรกสวรรค์ได้ หรือพบพระพุทธเจ้าได้เช่นกัน องค์นั้นแหละที่ตกอยู่ในคำพยากรณ์"

    หลังจากท้าวมหาพรหมผู้ที่มาโดยมิได้รับเชิญได้กลับไปแล้ว ได้ถามเจ้าคณะจังหวัดองค์นั้น ปรากฏว่าท่านไม่รู้เรื่องเลย บอกว่ากำลังคุยกันอยู่ดีๆ ก็หมดความรู้สึกวูบไปเลย จึงไม่ทราบว่าพูดอะไรไปบ้าง เพิ่งมารู้สึกตัวตอนนี้แหละ

    แล้วพระธุดงค์องค์นั้น ท่านก็เขียนถึงเรื่อง "หลวงพ่อสด" วัดปากน้ำภาษีเจริญ สอนวิชาธรรมกายว่า เป็นที่แพร่หลายเหมือนกัน

    ท่านก็เขียนทำนองเป็นที่สงสัยอยู่เหมือนกัน เพราะตอนนั้นหลวงพ่อสดยังมีชีวิตอยู่ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องแปลก จึงได้นำมาเล่าไว้เป็นที่สังเกตต่อไป

    iUjvC2ZTMEZMZphI7HgpAF364_dfJrYyFRB_uVeh9wWGtt6JFTGPBVs-n4tMerk1GgJKBPm-&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ผม : ท่านครับ วัตถุมงคลหลวงปู่พิศดู ท่านขลังสุดๆครับ ด้านโชคลาภก็ดีมากๆ
    ท่านครับ ท่านเคยลองดูพลังจิต ของหลวงปู่ไหมครับ เวลาท่านกำหนดจิต ในเรื่องต่างๆ
    #ครูบากฤษดา : หลวงปู่ เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์เรา จะไปวิ่งนำท่านไม่ได้หรอก จิตในเรา ยังไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของหลวงปู่เลย
    เราแค่ วิ่งตามรอยท่านไป ท่านเก่งมากๆ เจนจบอภิญญาสมาบัติ ท่านสั่งสมมานาน จนที่สุด ไม่ปรากฏแล้ว
    ผม : วัตถุมงคลรุ่นไหน น่าใช้สุดครับ ท่านครูบา

    #ครูบากฤษดา : ดีทุกๆรุ่น ไม่ว่าทันท่านหรือไม่ทัน เหมือนกันหมด ยิ่งเป็นหลักธรรมของท่านนี่ ดีกว่าพระเครื่องอีก ไม่ต้องพกพา ยิ่งพกธรรมยิ่งเบาสบายนะ เพราะใจมีที่พึ่งแล้ว
    ผม : ตอนนี้ หลวงปู่อยู่ที่ไหนครับ
    #ครูบากฤษดา : ในที่ อิสระไร้ขอบเขต พรมแดน สว่างโล่ง "ว่างอิสระจิต"
    แม้แต่ในใจเหล่าศิษย์...ท่านก็สถิตอยู่ได้...ไร้ประมาณ
    QFsaPeCrZA2NTbuLXzu1YBISJeBncpv9tYjXC27CgXPbUJrICokYrtviMNjA2Zs8pM7cA6Sc&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    cr.
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    MW5MQpsRalqnrluCjR0D6kqwAW485lgI_7sBLk9EtgdyVMlYZXDRVqIugdTBl0mTLyW1hAAT&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของวิทยายุทธ์โบราณนี้รุ่นหลัง ๆ รู้สึกว่ายังไม่มีใครกินบรูซ ลีลง อย่างของหลี่เหลียนเจี๋ยแม้ว่าจะฝึกชนิดที่เรียกว่าเป็นที่ยอมรับกัน จนได้ขึ้นทะเบียนเป็นวัตถุโบราณที่มีชีวิตของประเทศจีน แต่ว่าไม่ได้เท่าบรูซ ลี เพราะว่าหลี่เหลียนเจี๋ยเขาฝึกหลายอย่างจนเกินไป ในเมื่อหลากหลายจนเกินไป ความชำนาญเฉพาะอย่างก็เลยไม่มี

    ของบรูซ ลีนี่เขาถึงขนาดเอาพวกหนังเก่า ๆ ของเขามาแล้วก็จับเวลาการออกหมัดออกเท้าของเขา แล้วสรุปได้ว่าเร็วที่สุดในโลก ๒ วินาทีออกได้ ๕ หมัด ใครทำได้ขนาดนั้นบ้าง ? มือปืนที่ยิงได้เร็วที่สุดก็คือบิล จอร์แดน กับ เจฟ คูเปอร์ ๒ คนนี่ก็ยังเถียงกันอยู่ว่าใครเก่งกว่า เพราะคนหนึ่งก็ถนัดลูกโม่ อีกคนหนึ่งถนัดเซมิ-ออโต้ คือ ปืนแมกกาซีน นั่นเร็วที่สุด ๓ วินาทีได้ ๕ นัด นั่นขนาดใช้กลไกเข้าช่วย แต่คราวนี้บรูซ ลีเขาใช้ความสามารถของตัวเอง ๒ วินาทีออกได้ ๕ หมัด เร็วกว่าอีก

    ถาม : ไม่ชัด
    ตอบ : เขาฝึกจนเป็นสภาพเดียวกับใจแล้ว บรูซ ลีเขาสอนลูกศิษย์ เขาชี้ดวงจันทร์ ลูกศิษย์ก็ชี้ เขาก็ถามว่า “คุณเห็นดวงจันทร์หรือเห็นนิ้ว ?” ลูกศิษย์บอกว่าเห็นนิ้ว เขาบอกว่าใช้ไม่ได้ ต้องเห็นนิ้วพร้อมกับดวงจันทร์ ลูกศิษย์ก็ถามว่าหลักการของอาจารย์คืออะไร ? คือ ออกอาวุธไวจนไร้เงา ถ้ายังมีเงาก็ยังมีช่องทางให้คนเขาป้องกันได้

    ถาม : ก็ไม่น่าจะเร็วจนตาไม่เห็นนี่คะ ?
    ตอบ : จริง ๆ ช้ากว่า แต่ว่าสายตาของคนพอเห็นแล้วต้องสั่งสมอง คราวนี้ของเขาเร็วกว่าการสั่งงานของสมอง คู่ต่อสู้จึงหลบไม่ทัน แล้วอีกอย่างหนึ่งพอความเร็วไปถึงระดับหนึ่ง สายตาคนจะปรับไม่ทัน จะเห็นเบลอ ๆ เท่านั้น

    #สรุปแล้วว่าท้ายสุดการฝึกทุกอย่างลงตรงจิต #พอสภาพจิตนิ่ง #ความที่จิตเร็วที่สุดจะเห็นทุกอย่างช้าไปหมด ถ้าถามว่าจิตเร็วขนาดไหน ต้องดูตอนเกิดอุบัติเหตุ พอเกิดอุบัติเหตุสภาพจิตของเราที่เขม็งตัวขึ้นมา จะรวมสิ่งที่สั่งสมมาทั้งหมด กลายเป็นคุณสมบัติเต็มที่ของตนแล้วแสดงออก เราจะเห็นภาพนั้นช้าทุกอย่าง

    ฉะนั้น..เวลาเกิดอุบัติเหตุเราจะเห็นว่าทำไมถึงช้า แต่จริง ๆ ไม่กี่วินาทีเองก็ชนเข้าไปแล้ว แต่จริงสภาวะจิตเร็วกว่า ทุกอย่างก็เลยเห็นเหมือนกับช้า ถ้าหากว่ามือเท้าตอบสนองได้ทันก็สามารถป้องกันได้

    ถาม : การปฏิบัติให้ผลดี สังเกตจากเวลาหกล้ม ระยะหลังเรารู้สึกว่าไม่กระแทกคือยั้งไว้ทันเหมือนเป็นไปโดยอัตโนมัติ แต่ไม่รู้ว่ายั้งไว้อย่างไร คราวล่าสุดถึงกับลื่นหงายหลังหัวลงพื้น แต่ไม่เป็นไร และรู้ด้วยว่าบังคับมือเท้า บังคับตัวอย่างไร... ข้อแตกต่างคืออะไรคะ?"

    ตอบ : สมาธิเริ่มดีขึ้น การรับรู้เริ่มชัดขึ้น ขั้นตอนต่าง ๆ เริ่มช้าก็ทำให้เราเห็นรายละเอียดที่มากขึ้น ถ้าจะเอาละเอียดจริง ๆ ก็อย่างที่เคยอธิบายแล้ว ว่าจะตื่น ก็ต้องถามตัวเองก่อนว่าจะตื่นแล้วหรือยัง ? ถ้าพร้อมที่จะตื่นก็กระจายความรู้สึกไป จนกระทั่งตลอดปลายมือปลายเท้า ประสาทสมบูรณ์พร้อมก็สั่งตัวเองว่าลืมตา ขยับลุก นั่ง ยืน ไปห้องน้ำ เป็นขั้น ๆ เหมือนกับบัญชาการหุ่นยนต์ตามโปรแกรม แต่คนอื่นจะเห็นเราลืมตาแล้วลุกเลย แต่ความจริงแล้วช้ามาก ค่อย ๆ ทำไปเดี๋ยวก็สั่งได้ทั้งหมด

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗
    ที่มา : www.watthakhanun.com

    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมฯวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...