ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PTT News

    News : "จีนเอาจริงแก้กฎหมายการบริโภคสัตว์ป่า"
    ไวรัส Covid-19 ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ หลายคนคงรู้แล้วว่ามีที่มาจากประเทศจีน ในเมืองอู่ฮั่น ที่มีค้าขายสัตว์ป่าแปลก ๆ รวมถึงการรับประทานสัตว์ป่าเหล่านั้นด้วย ถึงแม้ว่าจะยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ไวรัสนั้นมาจากค้างคาว งู หรือตัวนิ่ม ก็ตาม

    --ประเทศจีนกับการขายสัตว์ป่า--
    เนื่องจากว่าประเทศจีนยังมีวัฒนธรรมที่นิยมใช้สิ่งของที่่เป็นผลิตผลจากสัตว์ป่าต่างๆ ดังนั้นในการทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม เครื่องประดับ หรือแม้แต่นำมาเป็นสัตว์เลี้ยง ก็ยังคงเป็นความเชื่อที่มีมาแต่ยาวนาน ทั้งนี้ ประเทศจีนก็เคยมีการแบนไม่ให้ขายสัตว์ป่าบางประเภทในช่วงที่โรคซาร์สระบาดมาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด และยังคงมีการขายสัตว์ป่าชนิดอื่นๆ อยู่

    --การระบาดของไวรัสในตลาดอู่ฮั่น--
    เนื่องจากว่าเมืองอู่ฮั่นมีการขายสัตว์ต่างๆ มากมายหลากหลายชนิด และการที่จับสัตว์หลากหลายชนิดมาอยู่ด้วยกันนั้น เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก เนื่องจากว่าสัตว์ทุกชนิดมีไวรัสเป็นของตัวเอง แต่ถ้าเมื่อไรที่ไวรัสได้ติดต่อข้ามสปีชีส์ได้ ไวรัสจะกลายพันธุ์และทวีคูณความน่ากลัวมากขึ้น

    --อุตสาหกรรมสัตว์ป่าแปลกในประเทศจีน--
    ต้องเป็นที่ยอมรับว่า ในอุตสาหกรรมการค้าขายสัตว์ป่าแปลกใหม่ในประเทศจีนนั้น มีมูลค่าสูงมาก ซึ่งมีมูลค่าราวๆ 70,000 ล้านดอลลาสหรัฐ และมีผู้คนที่ทำงานในด้านนี้เกินหนึ่งล้านคน ซึ่งตั้งแต่เกิดไวรัสตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา ฟาร์มสัตว์ป่าเกือบสองหมื่นแห่งได้ถูกปิดตัวลง แต่คนจีนส่วนหนึ่งก็ยังคงเชื่อว่า การกินสัตว์ป่าแปลกๆ นั้นเป็นยาแผนโบราณ และยังไม่เห็นด้วยกับการห้ามค้าขายสัตว์ป่า

    --ประเทศจีนเอาจริงยอมเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม--
    ในขณะนี้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ประชุมเพื่อหารือกันในการแก้กฎหมายครั้งใหญ่ โดยกฎหมายการห้ามค้าขายสัตว์ป่าที่ใช้อยู่ในขณะนี้เป็นเพียงกฎหมายชั่วคราว เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน มีเรื่องของความเชื่อและวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

    Leo Poon นักไวรัสวิทยาของฮ่องกงกล่าวว่ารัฐบาลมีการตัดสินใจครั้งใหญ่ว่าจะยุติการค้าสัตว์ป่าในประเทศจีนอย่างเป็นทางการหรือเพียงแค่พยายามหาทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า เนื่องจากถ้ามีการห้ามในทันทีก็อาจจะเกิดผลกระทบที่ตามมา เช่นการลักลอบขายแล้วเกิดโรคระบาดขึ้นมา ก็อาจจะทำให้สืบข้อมูลได้ยาก เนื่องจากว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย และได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า "วัฒนธรรมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วข้ามคืนมันต้องใช้เวลา"

    ที่มา : CNN
    #PTTNews
    #Covid19
    #China

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PTT News

    PTT News
    ปตท. ชี้แจงไม่มีสต็อกแอลกอฮอล์ที่ใช้ในทางการแพทย์
    -สถานการณ์-
    ตามที่มีกระแสขอให้ ปตท. ส่งมอบแอลกอฮอล์ที่มีในสต็อกให้แก่สถานพยาบาลเพื่อนำมาผลิตเป็นเจลแอลกอฮอล์ สำหรับใช้ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ภายในประเทศนั้น

    -ข้อเท็จจริง-
    ปตท. ขอเรียนว่า ปตท. โดย บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) และบริษัทผู้ค้าน้ำมันในประเทศไทย “ไม่มีสต็อกแอลกอฮอล์ ที่ใช้ในทางการแพทย์จัดเก็บอยู่” แต่เป็นแอลกอฮอล์ที่ได้ผสมน้ำมันเบนซินบางส่วนมาตั้งแต่รับซื้อจากผู้ผลิตแล้ว เนื่องจากต้องแปลงสภาพ (Denature) ทำให้มีกลิ่นน้ำมันเบนซิน ซึ่งเป็นไปตามการควบคุมของรัฐในการดูแลสต็อกแอลกอฮอล์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะนำไปผสมเป็นน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ประเภทต่าง ๆ

    ดังนั้น แอลกอฮอล์ที่ ปตท. มีสต็อกอยู่ในขณะนี้ จึงไม่สามารถนำไปใช้ในทางการแพทย์หรือทำความสะอาดเชื้อโรคทั่วไปได้

    ทั้งนี้ หลังจากกรมสรรพสามิตได้มีประกาศ 2 ฉบับ เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขฯ เพื่อใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบที่มิได้ทำขึ้นเพื่อการจำหน่าย เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2563 และ ประกาศฯ เพื่อขาย เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 ซึ่งประกาศดังกล่าว ช่วยปลดล็อคให้ผู้ผลิตสามารถบริจาคหรือจำหน่ายแอลกอฮอล์ เพื่อให้มีแอลกอฮอล์ทางการแพทย์ออกสู่ท้องตลาดได้มากยิ่งขึ้น

    #PTTNews
    #แอลกอฮอล์
    #Covid19

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปิดร้านอาหารดัง ตึกออลซีซั่น หลังพบเจ้าของร้าน ติดเชื้อโควิด-19
    &w=476&h=249&url=https%3A%2F%2Fspcdn.springnews.co.th%2Fwp-content%2Fuploads%2F2020%2F03%2Fp1-71.jpg
    กรณีที่มีข่าวลือว่า เจ้าของร้านอาหารชื่อดัง ในตึกออลซีซั่นส์ เพลส ถนนวิทยุ ตรวจพบเชื้อไวรัสโควิด-19 หลังกลับจากประเทศเกาหลี แต่ไม่ได้กักตัว แท้จริงแล้วเจ้าของร้านได้เดินทางกลับจากสิงคโปร์ เมื่อต้นเดือน ก.พ. ที่ผ่าน ก่อนตรวจพบพายหลัง วันที่ 10 มี.ค. ว่าติดเชื้อโควิด-19

    ล่าสุดเจ้าของร้านอาหารได้โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊กร้านอาหาร Ohana Poké ชี้แจงถึงเรื่องนี้

    เจย์ กล่าวว่า หลังจากรู้ผลจาก รพ.กรุงเทพคริสเตียน ว่า ติดเชื้อ อย่างแรกที่ทำ คือ โทรเรียกผู้จัดการมาปิดร้านและแจ้ง All Seasons Place ทันที เนื่องจากความปลอดภัยของลูกค้า ซับพลายเออร์ และพนักงานในร้าน คือ ความสำคัญเร่งด่วนอันดับหนึ่ง แม้ว่าในทางเทคนิคยังต้องรอการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่การกันทุกคนออกจากสถานที่ใดๆ ที่เธอเคยไปเป็นประจำ คือ ความรับผิดชอบ

    พร้อมกันนี้ เธอได้แจกแจงรายละเอียดก่อนที่เธอจะพบว่าติดเชื้อไว้อย่างละเอียด เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ และเพื่อบรรเทาความวิตกของทุกฝ่ายได้เธอให้รายละเอียดเป็นข้อๆ ดังนี้

    1. เธอไปที่ร้านหลังสุด 6 มีนาคม อยู่ที่นั่น 2 ชม. และไม่เคยไปอีกเลย และปกติก็ไม่ค่อยไปร้านช่วงสุดสัปดาห์อยู่แล้ว และวันศุกร์ ไม่มีอาการใดๆ

    2. จนถึงเช้าวันเสาร์ก็ยังไม่มีอาการ พอวันอาทิตย์ อาการที่มี หนาวสั่นบ้าง ครั่นเนื้อครั่นตัว แต่ไม่มีอาการเหล่านี้เลยไม่ว่า ไข้ ไอ น้ำมูก หรือปวดศีรษะ และวัดไข้ตัวเองตลอดวันด้วยปรอท 2 อัน ไม่พบมีไข้

    3. วันอาทิตย์ อยู่บ้านส่วนใหญ่ เพราะมีอาการเล็กน้อยแต่ไม่มีไข้ ออกไปซื้อปรอทและอาหารที่ร้านขายยาหัวมุมและร้าน 7-11 ไม่ได้ใช้ระบบขนส่งมวลชน ไม่ได้ออกไปไหนมากกว่านั้น

    4. วันจันทร์ 9 มีนาคม ไป รพ. ช่วงสายๆ ยืนยัน อีกครั้งว่าไม่ได้ไปที่ร้าน

    5. มีไข้ครั้งแรกเที่ยงคืนวันจันทร์ ที่ รพ.กรุงเทพคริสเตียน และผลตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ออกมาเป็นบวกในเช้าวันนี้ 10 มีนาคม

    6. แจ้งข่าวคนใกล้ชิด บอกซูเปอร์ไวเซอร์ส ให้ปิดร้านทันที และดำเนินการทุกอย่างที่จำเป็นแบบเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

    7. จากนั้น ทุกอย่างดำเนินไปแบบรวดเร็วมาก ไม่หยุดเลยตั้งแต่นั้น

    ข่าวลือ

    1. เป็นข่าวลือที่ว่า เธอเป็นคนเกาหลี หรือเคยไปเกาหลี

    2. ด้วยเหตุนี้ จึงต้องแนบหนังสือเดินทางและบอร์ดดิง พาส วันกลับถึงกรุงเทพฯ

    3. ประทับตราเข้าประเทศไทย 2 ก.พ. 2020 เธอกลับมาอยู่ในกรุงเทพฯ มากกว่า 1 เดือนแล้ว หากระยะฟักตัวสูงสุด คือ 14 วัน ก็มีแนวโน้มว่าเธอน่าจะติดในกรุงเทพฯ ประเทศไทย

    4. ผู้ที่แพร่ข่าวลือ กรุณาหยุด การแพร่ข่าวลือและกระจายความหวาดกลัวในเวลาไม่ปกติอย่างมากเช่นนี้ ไม่ถูกต้องและเลวร้าย รับผิดชอบกับสังคม พูดความจริง และอย่าพูดความจริงแค่บางส่วน

    The post ปิดร้านอาหารดัง ตึกออลซีซั่น หลังพบเจ้าของร้าน ติดเชื้อโควิด-19 appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์
    https://www.springnews.co.th/thailand/bangkok/629143
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “นาโอมิ แคมป์เบลล์” กับชุดขึ้นเครื่องบินของเธอ
    4IW&w=476&h=249&url=https%3A%2F%2Fspcdn.springnews.co.th%2Fwp-content%2Fuploads%2F2020%2F03%2Fnn.jpg
    ซุปเปอร์โมเดลระดับโลก นาโอมิ แคมป์เบลล์ นางแบบชาวอังกฤษวัย 49 ปี โพสต์รูปของเธอก่อนขึ้นขึ้นบินแบบจัดเต็ม ในชุดสูทเต็มตัวรูปแบบฮาซแมตสีขาว พร้อมด้วย แว่นตา , หน้ากากอนามัยสีฟ้า และถุงมือยางสีชมพู นอกจากนี้ยังเพิ่มพร็อพด้วยกระเป๋าเดินทางสีขาวเพื่อให้เข้ากับชุดสูทของเธอและเสื้อคลุมสีเบจ

    กับคำบรรยายภาพทีว่า : ‘Safety First NEXT LEVEL. Full video coming on my YouTube soon.’ หรือ ‘ยกระดับความปลอดภัยขั้นกว่า วิดีโอตัวเต็มกำลังจะมาใน YouTube ของฉันเร็วๆ นี้’

    The post “นาโอมิ แคมป์เบลล์” กับชุดขึ้นเครื่องบินของเธอ appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์
    https://www.springnews.co.th/social/629091
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    แชร์จาก mark elkin,
    นี่จะเป็นความหายนะของยุโรปทั้งหมด
    ภายใน 7 สัปดาห์ประเทศยุโรปทุกประเทศจะถูกขังไว้
    อเมริกาด้วยนะ
    ตั้งใจหน่อยยยยยย
    เราเตือนจากจุดเริ่มต้นมากว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น
    จงระวังไว้

    jXPUZ2C0ty_2MJIrnua2DKeAkwWMPHKM-AX8nUtBJpw&_nc_ohc=3U4q6yeleSAAX8KGxF-&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg

    Sharing from Mark Elkin,
    This will be the whole of Europe’s downfall.
    Within 7 weeks, every European country will be in lockdown.
    America too.
    Pay attention.
    We warned from the very beginning these events would take place.
    Stay vigilant.

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    วิดีโออุกกาบาตในเมือง ghaziabad, อินเดีย เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว





     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Setiawan

    เทคนิคการล้างมือกับสบู่และน้ำ...

    นั่นอาจช่วยคุณจาก #coronavirus
    QcUce5N1uygl6nMakBk6Mm164-Ij1N15Y-G6NPz6o8A&_nc_ohc=cOb7T3_ydAQAX-4IiBH&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Environman

    สุดสลด! แม่-ลูกดับ ยีราฟด่างสีขาวถูกฆ่า โดยนักล่าในเคนยา หายากที่สุด คาดเหลืออีกเพียงตัวเดียวในโลก
    gIVQ6-L04X7AhFHhthPiGc7PC9HggemQygEWhHlBkAA&_nc_ohc=xIbfLoa1ytwAX-AbfpS&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg
    เจ้าหน้าที่เผยว่า แม่-ลูกยีราฟสีขาวในเคนยาที่หายากที่สุดในโลกที่อยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติ Hirola Conservation Program ถูกพบตายแล้ว

    โดยทั้งแม่ และลูกถูกฆ่าโดยพรานลักลอบสัตว์ป่า เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าได้พบโครง และกระดูกของพวกมันในชุมชนแห่งหนึ่งใน north-eastern Kenya's Garissa County ซึ่งคาดการณ์ว่าตายราว 4 เดือนแล้ว

    Mohammed Ahmednoor ผู้จัดการ Ishaqbini Hirola Community Conservancy เผยว่ายีราฟทั้งสองถูกพบครั้งสุดท้าย 3 เดือนก่อน มันเป็นวันที่เศร้าที่สุดของชุมชน Ijara และเคนยา เพราะเป็นชุมชนเดียวในโลกที่มียีราฟสีขาว

    การฆ่าครั้งนี้เป็นการกระทำที่เลวร้ายมาก ในขณะที่ชุมชนพยายามรักษาสัตว์ที่หายากชนิดนี้เอาไว้ ซึ่งมันได้สร้างความตระหนัก ในการสนับสนุนการอนุรักษ์มากขึ้นต่อไป Mohammed Ahmednoor กล่าว

    ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนฆ่า รวมถึงแรงจูงใจในการฆ่า โดยตอนนี้ The Kenya Wildlife Society กำลังเร่งทำการสืบสวนหาผู้กระทำความผิด

    ศูนย์อนุรักษ์นี้อยู่ในบริเวณใหญ่ที่ไม่มีรั้วชัดเจน โดยมีชุมชนอยู่ในเขตอนุรักษ์นี้ด้วย

    ยีราฟสีขาวเป็นที่รู้จักในปี 2017 โดยพบพร้อมลูกอีกหนึ่งตัว หลังจากนั้นลูกของมันอีกตัวได้เกิดขึ้นมา โดยนักท่องเท่ียวอยากเข้ามาดูยีราฟสีขาวนี้

    เจ้าหน้าที่เผยว่าพวกมันมีภาวะด่าง Leucism ทำให้เม็ดสีในร่างกายเปลี่ยนแปลง ต่างจากภาวะเผือกที่ทุกส่วนของร่างกายจะเป็นสีขาว สำหรับภาวะด่าง บางส่วนยังคงอยู่เหมือนเดิม

    ซึ่งขณะนี้ยังเหลือยีราฟสีขาวอีกตัวหนึ่งในพื้นที่ที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นตัวผู้ นักอนุรักษ์คาดการณ์ว่ามันเหลือตัวเดียวในโลก อย่างไรก็ตามก็มีการพบยีราฟขาวใน Tanzania แต่ก็ยังไม่ทราบว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร

    ในขณะที่ยีราฟทั้งหมดก็มีจำนวนประชากรที่ลดลงถึง 40% ใน 30 ปีที่ผ่านมา โดยการล่าฆ่าเพื่อใช้เนื้อ และหนังกำลังเพิ่มขึ้น ประชากรในปี 1985 มีอยู่ 155,000 ลดลงเหลือ 97,000 ในปี 2015
    ••
    สัตว์ป่าทั่วโลกกำลังถูกคุกคาม ทั้งการตัดไม้ทำลายป่า ไฟป่า โลกร้อน มลพิษ รวมถึง การล่า ฆ่า ค้า สัตว์ป่าโดยตรง ทั้งเพียงเพื่อความสนุก ความสุข สำราญของมนุษย์

    ถึงเวลายุติเรื่องแบบนี้เสียที ก่อนที่จะไม่เหลือสัตว์ป่าบนโลกใบนี้
    •••
    ที่มา

    https://edition.cnn.com/2020/03/10/africa/white-giraffes-kenya-poachers-trnd/index.html

    https://www.bbc.com/news/world-africa-518160

    https://youtu.be/LsM8n1g57SA

    https://youtu.be/XrvWK_sjeX4

    ร่มธรรม ขำนุรักษ์
    environman — rXcVHcydVQE.png รู้สึกเศร้าใน เคนยา

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Environman

    ปอดโลกเสื่อม! นักวิจัยเตือน แอมะซอนจ่อผันตัวจากแหล่งดูดซับคาร์บอน เสี่ยงกลายเป็นแหล่งปล่อย CO2 เหตุตัดไม้ทำลายป่า ไฟป่า เกษตร มลพิษมนุษย์

    ปอดของโลกกำลังจะพลิกบทบาทเป็นผู้ปล่อยคาร์บอนในอีก 15 ปี!

    นักวิจัยเตือน ป่าดิบชื้นของโลกกำลังสูญเสียความสามารถในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์อย่างรวดเร็ว ป่าดิบชื้นอย่างแอมะซอนมีความเสี่ยงในการที่จะเปลี่ยนบทบาทจากดูดซับคาร์บอนมาเป็นแหล่งผลิตภายใน 15 ปี แทน

    ป่าดิบชื้นเป็นป่าที่สร้างคุณประโยชน์มากมายให้แก่โลก ผลิตทั้งยา อาหาร ที่อยู่อาศัย เป็นแหล่งน้ำ และเป็นแหล่งที่ดูดซับคาร์บอนอย่างสำคัญ

    แต่ป่าที่เคยเป็นดังปอดของโลกกำลังถึงจุดอิ่มตัว ขณะที่มลพิษที่มนุษย์ปล่อยสูงขึ้นในแต่ละปี

    ความสามารถในการดูดซับของป่าแอมะซอนลดลง ผลมาจากจำนวนต้นไม้ที่หายไปจากไฟป่า ฤดูแล้ง หรือการตัดไม้ทำลายป่า

    อัตราการลดลงของป่านั้นแตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่ โดยตอนนี้ความสามารถในการดูดซับของแอมะซอนลดลงเร็วกว่าป่าดิบชื้นที่อยู่ใน sub-saharan Africa

    ทีมนักวิจัยของยุโรปและแอฟริกาสำรวจข้อมูลการเจริญเติบโตและการล้มตายของป่าที่ไม่ถูกบุกรุกจาก 11 ประเทศในทวีปแอฟริกาตลอด 50 ปี และนำมาเทียบข้อมูลโดยใช้การวัดที่เหมือนกันกับพื้นที่ป่ามากกว่า 300 แห่งในแอมะซอน

    งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Nature โดยจากข้อมูลทีมนักวิจัยคาดการณ์การดูดซับคาร์บอนของป่าในแอฟริกาจะลดลงไป 14% ในปี 2030 และในปี 2035 ป่าแอมซอนจะหมดความสามารถในการดูดซับคาร์บอน โดยกลายเป็นศูนย์ !!

    Wannes Hubau นักเชี่ยวชาญระบบนิเวศป่า จาก Belgium's Royal Museum for Central Africa กล่าวว่า การลดลงนี้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้กว่า 10 ปี โดยการตายของต้นไม้เป็นเรื่องธรรมชาติของวงจรต้นไม้ แต่การที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศจำนวนมากมันเหมือนเป็นตัวเร่งให้วงจรเหล่านี้เกิดขึ้นเร็วมากยิ่งขึ้น

    ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานที่ระบุว่าแอมะซอนสูญเสียความสามารถในการดูดซับคาร์บอนมาเป็นระยะเวลานานกว่าทศวรรษ ข้อตกลงจาก Paris Climate Agreement ก็ยังบันทึกไว้อยู่ว่าป่ามีความสามารถในการช่วยดูดซับคาร์บอนในระยะยาว

    ณ ขณะนี้ในหลาย ๆ ประเทศมีการวางแผนที่จะปลูกต้นไม้ให้มากขึ้น และในบริษัทใหญ่ ๆ หลายบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อชดเชยคาร์บอนที่ผลิต

    Anja Rammig จาก Technical University of Munich's School of Life Sciences กล่าวว่า จากการศึกษาเราควรรีบคิดว่าเราจะยังคงสามารถผลิตปริมาณคาร์บอนได้เท่าใดให้สอดคล้องกับเป้าหมายของการเจรจาในปารีสที่ต้องการควบคุมไม่ให้อุณภูมิโลกเพิ่มเกิน 2 องศา

    "เช่นเดียวกัน การอนุรักษ์ป่าดิบชื้นให้สมบูรณ์ และการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้รวดเร็วกว่าที่ข้อตกลงกำหนดไว้เป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะช่วยป้องกันหายนะโลกร้อนได้" Ramming กล่าวเพิ่มเติม

    ที่มา

    https://www.sciencealert.com/african-forests-and-the-amazon-are-flipping-from-carbon-sinks-to-major-sources

    https://www.nature.com/articles/s41586-020-2035-0?fbclid=IwAR2T_uRfWy4pUP_u0_MZTbyI1TEZovKAn49LzyzVCbSsljU0X2yjysRL9ag

    https://www.theguardian.com/environment/2020/mar/04/tropical-forests-losing-their-ability-to-absorb-carbon-study-finds

    ภาพ

    http://www.climateaction.org/news/deforestation-rates-in-amazon-rainforest-highest-in-a-decade

    เด็กหญิงแก้มยุ้ยเป็นมิตร
    environman

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Environman

    มอสโก รัสเซีย เผชิญฤดูหนาวที่ร้อนสุด! ตั้งแต่มีการบันทึกมา 140 ปี โดยปีนี้ร้อนทุบสถิติ แทบไม่มีหิมะเลย!
    VBCRzLiJzjqMQrOjZ-BXSVGI8xJZVj6OWvYu3jlrMIQ&_nc_ohc=K0HbjKCy7P0AX82Xh7I&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg
    ศูนย์อุทกอุตุนิยมวิทยาของรัสเซีย (Hydrometeorological Center of Russia) รายงานว่าจากการสังเกตุการณ์ของนักอุตุนิยมวิทยา หน้าหนาวที่ผ่านมาเป็นหน้าหนาวที่ร้อนสุดในรอบ 140 ปีของรัสเซีย ทำลายสถิติของปี 2015 -2016 ไป 1.3 องศาเซลเซียส

    กรุงมอสโกมีอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นเมื่อเทียบกับปกติ ซึ่งโดยปกติแล้วรัสเซียเป็นประเทศที่มีหิมะปกคลุมเป็นระยะเวลายาวนาน 4 - 5 เดือนต่อปี! ปีนี้มีรายงานระบุว่าอุณหภูมิเฉลี่ยพุ่งไปมากกว่า 7.5 องศาเซลเซียส

    Elena Volosyuk นักธรณีวิทยาระบุว่าการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิส่งผลต่อฤดูใบไม้ผลิที่ปกติเริ่มต้นขึ้นในเดือนมีนาคมนั้นมาเร็วกว่าปกติ และมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นประมาณ 7 - 8 องศากว่าค่าเฉลี่ย

    โดยปกติแล้วหน้าหนาวจะมีตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมจนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์

    Volosyuk กล่าวว่าหน้าหนาวปีนี้อากาศร้อนขึ้นอย่างผิดปกติ โดยอุณหภูมิสูงถึง 5 - 7 องศาเซลเซียส และในบางพื้นที่มีอุณหภูมิขึ้นไปถึง 15 - 18 องศาเซลเซียส อุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นไม่ได้เกิดเพียงแค่ในส่วนรัสเซียฝั่งยุโรป (รัสเซียฝั่งตะวันตกตั้งอยู่ในยุโรป) แต่กระทบไปถึงตะวันออกของภูเขา Ural รวมถึงทางตอนเหนือของไซบีเรียและแคว้น Yakutia ประเทศไซบีเรีย

    เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ปลายเดือนที่แล้ว กรุงมอสโกแทบไม่มีหิมะเลย บันทึกจาก Fobos center ชี้ว่าหิมะที่หนาที่สุดในปีนี้มีความหนาแค่ 10 - 11 ซม. เท่านั้น ซึ่งบางกว่าในปีอื่นๆ ถึง 7 ซม.

    เมื่อปีใหม่ที่ผ่านมามอสโกถึงกับต้องมีการใช้หิมะประดิษฐ์จากแหล่งผลิตน้ำแข็งท้องถิ่น เพื่อช่วยในช่วงเฉลิมฉลองกันเลยทีเดียว แต่ท้ายที่สุดท้ายน้ำแข็งประดิษฐ์ที่สั่งมาก็ละลายอยู่ดีเพราะว่าอากาศร้อนเกินกว่าจะคงสภาพไว้ได้

    จากข้อมูลของ Copernicus Climate Change Service ตั้งแต่ปี 1855 ประเทศอื่นๆในยุโรปก็เผชิญกับปัญหาดังกล่าว

    แต่ในปีนี้ ฤดูหนาวของยุโรปโดยเฉพาะทางเหนือและตะวันออกมีอุณภูมิที่อุ่นขึ้นถึง 3.4 องศเซลเซียสเมื่อเทียบกับช่วงปี 1981 - 2020 ซึ่งทาง Copernicus Climate Change Service กล่าวว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นในหน้าหนาวเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือโลกร้อน

    นอกจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น หน้าหนาวที่ผ่านมานี้ยังเผชิญกับเกิดมวลความกดอากาศต่ำในขั้วโลกเหนือที่ทำให้ Polar vertex กระแสมวลในเขตขั้วโลกรุนแรงขึ้น ซึ่งการเกิด Polar vertex นี้จะทำให้มวลความเย็นถูกกักอยู่แต่ในซีกโลกเหนือเท่านั้นทำให้ภูมิภาคอื่นๆไม่ได้รับความเย็นนี้ โดยปี 2019 - 2020 NOAA’s Climate Prediction Center ที่อเมริกาเผยว่าจะเป็นปีที่ความผันแปรในขั้วโลกเหนือรุนแรงที่สุด

    ซึ่งแน่นอนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อรัสเซีย Volosyuk กล่าวว่า อากาศ -15 ถึง -20 องศานี่ยังถือว่าเป็นหน้าหนาวนที่อุ่นมาก โดยปกติแล้วมันต้องหนาว -35 ถึง -40 องศาเลยทีเดียว

    นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าตัวที่เร่งกระตุ้นให้น้ำแข็งละลายไปทั่วโลกก็คือภาวะโลกร้อน ที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศ

    ประธานาธิบดี Vladimir Putin กล่าวในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่ารัสเซียร้อนขึ้น 2.5 เท่า เร็วกว่าค่าเฉลี่ยของโลก แต่เขาก็มีข้อกังขาถึงต้นตอของภาวะโลกร้อนว่ามาจากมนุษย์หรือไม่ โดยเขาคิดว่าสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงนั้นอาจจะเป็นกระบวนการของจักรวาล

    รัสเซียเป็นประเทศเจ้าใหญ่ลำดับที่ 4 ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศมากท่ีสุดในโลก อย่างไรก็ตามรัสเซียได้ร่วมทำข้อตกลง Paris Climate Agreement แต่ถึงกระนั้นกฎหมายที่ลงโทษผู้ก่อมลพิษก็ได้ถูกยกเลิกไปเมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่แล้ว เพราะหลายประเทศต้องการผลักดันอุตสาหกรรม

    https://edition.cnn.com/2020/03/04/europe/russia-warm-temperatures-moscow-climate-intl/index.html

    เด็กหญิงแก้มยุ้ยเป็นมิตร
    environman

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Environman

    ให้เราช่วยไหม? ภาพความห่วงใยของอุรังอุตังถึงเพื่อนมนุษย์ สายใยเชื่อมโยงระหว่างสายพันธุ์ ‍♂️
    FKRBu8btI0uElhnSrv84sjAr5rQSofuX5rfvmRzp8Pg&_nc_ohc=l0HUJ9N7RKAAX9PyqOt&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg
    จับภาพอุรังอุตังยื่นมือช่วยเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในน้ำ ขณะเจ้าหน้าที่เคลียร์พื้นที่ ไม่ให้งูทำอันตรายต่ออุรังอุตัง แสดงความห่วงใย สายใยสองสายพันธุ์

    ช่างภาพสมัครเล่น Anil Prabhakar จับภาพมิตรภาพอันแสนน่ารัก ลิงอุรังอุตังยื่นมือไปช่วยชายหนุ่มที่อยู่ในน้ำ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ Samboja, East Kalimantan บนเกาะ Borneo อินโดนีเซีย

    Prabhakar ออกเดินป่ากับเพื่อนของเขา ซึ่งเป็นป่าอนุรักษ์ดูแลโดย Borneo Orangutan Survival Foundation (BOS) องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในอินโดเนเซียที่ช่วยดูแลอุรังอุตังที่ใกล้สูญพันธ์บนเกาะบอร์เนียวและรักษาสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของมัน

    Prabhakar เล่าว่า เจ้าหน้าได้รับแจ้งมาว่าพบงูหลายตัวในบริเวณ พวกเขาจึงเข้าไปในป่าแถบนั้นเพื่อจับงูและเคลียร์พื้นที่ ไม่ให้ไปทำร้ายอุรังอุตัง

    ในขณะที่เจ้าหน้าที่ลงไปในน้ำโคลนเพื่อเคลียร์พื้นที่ ลิงอุรังอุตังตัวนึงเข้าไปใกล้เขาและมองด้วยความสงสัย หลังจากนั้นมันได้ยื่นมือออกไป ราวมันต้องการจะบอกว่า "ให้ช่วยอะไรไหม"

    Prabhakar ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ตรงนั้นจึงหยิบกล้องมาแชะภาพ โดยเขากล่าวว่า มันยากที่เจ้าหน้าที่จะเคลื่อนที่ได้ในโคลน น้ำที่ไหลแรง

    ช่างภาพมือสมัครเล่นคนนี้เผยว่า เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นเหตุการณ์แบบนี้ มันเป็นโมเม้นต์ที่อ่อนไหวและประทับใจมากๆ

    งูพิษนั้นเป็นสัตว์ที่เป็นอันตราย โดยมันเป็นนักล่าอุรังอุตัง ซึ่งนอกจากนี้อุรังอุตังยังโดนภัยคุกคามจากการสูญเสียที่อยู่อาศัย และการล่ามันอีกด้วย

    Prabhakat เผยว่าเขาดีใจอย่างมาก ที่โมเม้นต์นี้เกิดขึ้นกับเขา

    ที่มาภาพ

    https://www.instagram.com/p/B7phq1TFUyT/?igshid=1bfut0fqc1t74

    ที่มาข้อมูล

    https://www.cnn.com/2020/02/07/asia/orangutan-borneo-intl-scli/index.html?ofs=fbia

    https://www.thejakartapost.com/life/2020/02/10/more-than-meets-the-eye-in-photo-of-orangutan-offering-help-to-man.html

    ณิชากร บัวทรัพย์
    ร่มธรรม ขำนุรักษ์
    Environman

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Environman

    90% ของคนทั้งโลกกำลังสูดอากาศมลพิษ ภัยจากมนุษย์ วิจัยชี้ มลพิษอากาศทำคนอายุสั้นลง 3 ปี! ตายก่อนวัย 8.8 ล้านคน/ปี วอนหยุดเชื้อเพลิงฟอสซิล ใช้พลังงานสะอาด

    ตื่น!!! มลพิษทางอากาศทำให้ชีวิตเราสั้นลง 3 และเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 8.8 ล้านคนต่อปีทั่วโลก สาเหตุจากมลภาวะทางอากาศ

    มลภาวะทางอากาศเป็นปัจจัยที่สูงที่สุดในการที่ทำให้ชีวิตมนุษย์สั้นลงศาสตราจารย์ Jos Lelieveld นักเคมีจากสถาบัน Max Planck Institute กล่าวว่า มันทำร้ายเรามากกว่าการสูบุหรี่เสียอีก!

    การศึกษาพบว่าคนเราจะมีอายุบนโลกนี้มากขึ้นถ้าการปล่อยเชื้อเพลิงฟอสซิลหายไป ตามงานวิจัย ถ้ามลพิษทางอากาศที่ควบคุมได้ทั้งหมดถูกตัด อายุขัยเฉลี่ยของคนทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นมากกว่า 20 เดือน ทั้งนี้มลพิษเหล่านี้ไม่รวมมลพิษที่เกิดจากไฟป่าธรรมชาติหรือฝุ่นที่เกิดจากลม

    เมื่อเทียบกับสัดส่วนของการตายแล้ว มลพิษทางอากาศฆ่าคนได้มากกว่า 19 เท่าต่อปีเมื่อเทียบกับมาลาเรีย มากกกว่าการตายจาก HIV/AIDS 9 เท่า และมากกว่าแอลกอฮอล์ 3 เท่า!

    งานวิจัยแสดงให้เห็นว่ามลพิษทางอากาศกำลังเป็นปัญหาใหญ่ ทั้งมลพิษทางอากาศและการสูบบุหรี่สามารถป้องกันได้ แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาผู้คนให้ความสนใจกับมลพิษทางอากาศน้อยกว่าการสูบบุหรี่เสียอีก โดยเฉพาะในหมู่ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ ศาสตราจารย์ Thomas Münzel จากสถาบัน Max Planck Institute ใน Germany กล่าวว่า

    Münzel เสริมว่า “ทั้งนี้ต้นเหตุ 2 ใน 3 ที่ทำให้มนุษย์เรามีอายุสั้นลงล้วนเกิดจากฝีมือของมนุษย์ทั้งสิ้นซึ่งมาจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล แค่ในประเทศที่มีรายรับสูงก็ปล่อยมลพิษดังกล่าวมากถึง 80% แล้ว ซึ่งเราสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้มันเกิดได้ โดยการหันมาใช้พลังงานสะอาดแทน

    โดยบริเวณที่จะมีอัตราชีวิตสั้นลงที่สุดจากมลพิษคือแถบเอเชีย!!! โดยจีนจะมีอายุเฉลี่ยสั้นลงไปกว่า 4.1 ปี อินเดีย 3.9 ปี และปากีสถาน 3.8 ปี ขณะที่ในแอฟริกาค่าเฉลี่ยอายุผู็คนลดลง 3 ปี แต่ในบางประเทศที่เลวร้ายพุ่งสูงถึง 4.5 - 7.3 ปี

    นอกจากนี้ Lelieveld ยังกล่าวอีกไว้ด้วยว่า หากเรายกเลิกการใช้พลังงานฟอสซิลนอกจากเป็นผลดีต่อสุขภาพแล้ว ยังส่งผลต่อการช่วยลดสาเหตุที่ทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงอีกด้วย!

    Münzel ระบุว่าการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลทั่วโลกต้องลงมือแก้ไขปัญหา เราต้องการการปล่อยมลพิษที่น้อยลง ขณะนี้ WHO เผยว่า ประชากรกว่า 91% ทั่วโลกสูดอากาศปนเปื้อนมลพิษ

    ที่มา

    https://www.bangkokpost.com/world/1870444/air-pollution-pandemic-shortens-lives-by-3-years-study

    https://www.theguardian.com/environment/2020/mar/03/outdoor-air-pollution-cuts-three-years-from-human-lifespan-study

    https://www.who.int/news-room/detail/02-05-2018-9-out-of-10-people-worldwide-breathe-polluted-air-but-more-countries-are-taking-action

    เด็กหญิงแก้มยุ้ยเป็นมิตร
    environman

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Environman

    นี่อาจเป็นหลักฐานของสิ่งมีชีวิตบุคโบราณ! NASA พบ "ไทโอฟีน" สารอินทรีย์บนดาวอังคาร อาจเป็นของสิ่งมีชีวิตโบราณ บนโลกพบในถ่านหิน น้ำมันดิบ เห็ด เตรียมส่งยานศึกษาเพิ่มเติม
    jD4S_D93yP8YEnbupBIxmRIyJF_RTcodvGYHzU0_6ww&_nc_ohc=5MrFd4kPxCAAX-uNhgx&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg
    ยาน Curiosity ของ NASA พบสารอินทรีย์ "thiophenes" บนดาวอังคาร ซึ่งเป็นสารที่พบได้บนโลกในถ่านหิน น้ำมันดิบ และเห็ดที่แพงกว่าทองอย่างเห็ดไวท์ ทรัฟเฟิล อาจเป็นร่องรอยหลักฐานของสิ่งมีชีวิตในยุคโบราณของดาวอังคารที่ปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปจนหมดสิ้นแล้ว

    ดาวเคราะห์สีแดงนี้มีวันที่ยาวนานและมีแกนหมุนที่เอียง 25.19 องศาใกล้เคียงกับแกนหมุนของโลกส่งผลให้มันมีฤดูกาลเหมือนกับโลก ดาวอังคารจึงเป็นดาวเคราะห์ที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนให้ความสนใจและมองว่ามันอาจจะเป็นบ้านหลังที่สองของมนุษย์

    NASA จึงส่งหุ่นยนต์สำรวจชื่อว่า Curiosity ขึ้นไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2011 และมันเดินทางไปถึงดาวอังคารในเดือนสิงหาคม 2012 โดยยานนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมของดาวอังคารโดยเฉพาะ เพื่อสำรวจว่าที่นี่เหมาะกับการดำรงชีวิตของมนุษย์หรือไม่

    หลังจากมีการค้นพบสารอินทรีย์ไทโอฟีน Dirk Schulze‑Makuch นักชีวดาราศาสตร์ของ Washington State University กล่าวว่า “การพบสารนี้อาจเชื่อมโยงได้ว่าเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนดาวอังคาร แต่ควรมีการสำรวจเพิ่มเติมว่าสารนี้มาจากไหน การค้นพบที่วิเศษนี้ต้องการหลักฐานที่วิเศษพิเศษเช่นกัน นั่นคือการส่งคนไปที่นั่น และนักบินอวกาศจะมองผ่านกล้องจุลทรรศน์และเห็นว่าจุลินทรีย์กำลังเคลื่อนไหวอยู่จริง”

    Schulze-Makuch และทีมนักวิจัยตีพิมพ์งานวิจัยในวารสาร Astrobiology พวกเขาค้นหาถึงความเป็นไปได้ที่สารอินทรีย์ไทโอฟีนนี้จะมาจากสิ่งมีชีวิตจริงๆหรือมาจากกระบวนการทางเคมี ถึงทีมวิจัยจะพบความเป็นไปได้ว่ามันมาจากวิถีทางชีวภาพหรือมาจากสิ่งมีชีวิตมากกว่าทางเคมี พวกเขาก็ยังต้องการหลักฐานเพิ่ม

    ความเป็นไปได้ของที่มาของสารอินทรีย์นี้มีหลายแนวทาง อันที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือสารพวกนี้อาจมาจากพวกแบคทีเรียเมื่อ 3 พันล้านก่อน ซึ่งในยุคนั้นดาวอังคารมีอุณหภูมิสูงและชุ่มชื้นกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

    หรืออีกความเป็นไปได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตเลยคือ มันอาจมาพร้อมอุกกาบาตหรือดาวเคราะห์น้อยที่เคยชนดาวเคราะห์สีแดงนี้

    “ถ้าเราเจอไทโอฟีนบนโลก เราคงคิดว่ามันต้องมาจากสิ่งมีชีวิตแน่ๆ แต่เมื่อเจอมันบนดาวอังคาร แน่นอนว่าการพิสูจน์ต้องเยอะขึ้น” Dirk Schulze‑Makuch กล่าว

    ความลับของดาวอังคารยังคงเป็นเรื่องที่ไม่คลี่คลายต่อไป โดยมีความมุ่งมั่นที่จะศึกษาต่อไปโดย the European Space Agency ได้เตรียมปล่อยหุ่นยนต์ตระเวนสำรวจตัวใหม่ชื่อว่า the Rosalind Franklin และทาง NASA ก็ได้เตรียมส่ง Perseverance ไปเก็บตัวอย่างแร่ธาตุและวัตถุบนพื้นผิวดาวอังคารเพื่อช่วยไขปริศนาเรื่องสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารต่อไปวันที่ 17 กรกฎาคมปีนี้

    ที่มา

    https://metro.co.uk/2020/03/06/life-on-mars-12358454/

    https://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-8078901/Organic-molecules-discovered-NASA-Curiosity-rover-consistent-alien-life.html

    https://www.voathai.com/a/us-mars-rover-22jul1-126555878/924876.html

    https://www.voicetv.co.th/read/I5xk51VTT

    https://edition.cnn.com/2020/03/06/world/curiosity-rover-organic-molecules-thiophenes-scn/index.html

    ณิชากร บัวทรัพย์
    environman — ที่ Mars Planet

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Environman

    การศึกษาในนิวเซาท์เวลส์เผย ไฟป่าคร่าโคอาลาตายกว่า 5,000 ตัว ชี้โลกร้อน ไฟป่า ทำลายที่อาศัย ทำมันใกล้สูญพันธุ์ วอนเร่งปกป้อง
    sAtU9m4tgFw0E6_FV4PTVWvA1l99iJH_qLow7fDMVTQ&_nc_ohc=LctARz6EtLoAX-yDZ2m&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg
    New South Wales ประเมินว่าพวกเขาสูญเสียสัตว์โคอาลาเกือบ 12% จากจำนวนประชากรสัตว์ของรัฐ ในระหว่าง 2019 จนถึงปี 2020 จากการทำลายล้างของไฟป่า และตัวเลขจริงอาจจะพุ่งสูงขึ้นไปมากกว่านี้ก็เป็นได้

    กองทุนเพื่อสวัสดิภาพสัตว์ระหว่างประเทศ หรือ IFAW ได้ทำการศึกษาพบว่า 2 ใน 3 ของประชากรโคอาลาได้หายไปในช่วง 3 generations ที่ผ่านมา เนื่องจากความแห้งแล้ง ไฟป่า และกิจกรรมมนุษย์

    นักรณรงค์สัตว์ป่าเผยว่าเหตการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน และได้เรียกร้องมาตรการปกป้องโคอาลา จากการเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ พวกเขาต้องการให้โคอาลา New South Wales ได้รับการปกป้องอย่าฉุกเฉิน โดยภาวะโลกร้อน และไฟป่าเป็นภัยคุกคามต่อการสูญพันธุ์ของพวกมัน

    ไฟป่าใน New South Wales กินพื้นที่ไปกว่า 30 ล้านไร่ Josey Sharrad จาก IFAW กล่าวว่าก่อนที่จะเกิดไฟป่าจำนวนประชากรของเจ้าโคอาลาลดลงไปอยู่แล้วในหลาย ๆ พื้นที่ จากการถางป่า โรคติดต่อ และภัยบนท้องถนน

    แต่การเกิดมหันตภัยไฟป่าคร้ังล่าสุดนี้ทำให้เจ้าพวกโคอาลาเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากขึ้นไปอีกจากการที่เจ้าโคอาลาต้องเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉินจึงต้องเร่งเลื่อนขั้นให้มันเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ Endangered อย่างเร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะทำให้เจ้าโคอาลาเสี่ยงอันตราย และจะได้เร่งอนุรักษ์ได้อย่างทันท่วงที

    อย่างไรก็ตามการศึกษาวิเคราะห์การตายของโคอาลาในช่วงไฟไหม้ป่าดังกล่าว เป็นแค่ช่วงเวลา 15 สัปดาห์ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2019 ถึง 1 มกราคม 2020 ซึ่งหากรวมถึงเดือนกุมภาพันธ์แล้วตัวเลขอาจเพิ่มขึ้นไปอีก

    นักอนุรักษ์ออกมาเตื่อนว่า การสูญเสียจะมากยิ่งไปกว่าที่ศึกษามาก และถึงแม้ว่าจะมีป่าที่รอดจากการถูกเผาหลายแสนไร่ แต่มันก็ไม่มีสภาพที่เหมาะสมแก่การอยู่อาศัยของเจ้าโคอาลา จากความแห้งแล้ง

    https://www.independent.co.uk/news/world/australasia/australia-bushfires-koala-environment-climate-crisis-a9374486.html

    https://www.theguardian.com/environment/2020/mar/04/bushfires-likely-to-have-killed-about-5000-koalas-in-nsw-report-finds

    เด็กหญิงแก้มยุ้ยเป็นมิตร
    environman
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Environman

    ทางออกมลพิษพลาสติก? วิจัยพบหนอนกินพลาสติกได้ ด้วยแบคทีเรียในลำไส้ทำให้มันย่อยถุงพลาสติกได้! ชี้ตอนนี้ดีที่สุดมนุษย์ต้องลดสร้างขยะก่อนที่การศึกษาจะเสร็จ
    MATKEkpakuFnJ3OvXgAVLTno4RWz-ey1-MddyVy6WMA&_nc_ohc=TDydJW_sAzwAX8gdJ_p&_nc_ht=scontent.fbkk17-1.jpg
    ในปี 2017 มีการวิจัยค้นพบว่าหนอน Wax worm หนอนผีเสื้อกลางคืนสามารถย่อยสลาย และกินพลาสติกได้ แม้กระทั่ง Polyethylene พลาสติกที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ที่กำลังอยู่ในหลุมฝังกลบทุกวันนี้

    โดยล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ได้ทำความเข้าใจมันเพิ่มเติมมากขึ้น ว่าเจ้าหนอนสามารถทำเช่นนั้นได้อย่างไร โดยมันเป็นเพราะ bacteria ในลำไส้ของมันนั่นเอง หรือว่าจุลินทรีย์ microbiome

    ผลของงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the Royal Society B ทำให้เราเห็นระบบย่อยสลายทางชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษพลาสติกมากขึ้น

    "เราพบว่า Waxworm หนอนผีเสื้อมีจุลินทรีย์ในลำไส้ที่สามารถทำกระบวนการย่อยสลายพลาสติกทางชีวภาพได้" Chrisyophe LeMoine ซึ่งเป็น associate professor and chair of biology ใน Brandon University ประเทศ Canada เผย โดยกระบวนการนี้เป็นผลที่ทำให้มันสามารถเร่งการย่อยสลายพลาสติกได้

    โดยมีการคาดการณ์ว่าสัตว์หลายชนิดมีจุลินทรีย์ Microbiome ซึ่งสำหรับหนอนผีเสื้อ Waxworm นั้น จุลินทรีย์ในลำไส้ทำหน้าที่ย่อยและทำให้พลาสติกแตกสลาย แต่ตัวหนอนนั้นเป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดกระบวนการนั้นเอง

    งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร Environmental Science and Technology ว่า "หนอนนกสามารถกิน สไตโรโฟม (Styrofoam) หรือพลาสติกอื่น ๆ อีกหลายชนิดได้

    โดยหากย้อนไปในการค้นพบนี้ มันเกิดขึ้นจากความบังเอิญในสเปน โดยนักวิจัยจาก Biomedicine and Biotechnology of Cantabria (CSIC) ในสเปนที่บังเอิญพบว่า หนอนผีเสื้อสามารถย่อยสลายถุงพลาสติกได้จากการเอามันใส่ไว้ในถุงพลาสติก โดยเวลาผ่านไปพบว่าหนอนออกมาจากถุงได้ เกิดรูบนถุงหลายรู หนอน Waxworm เป็นตัวอ่อนผีเสื้อที่ปกติแล้วจะกินขี้ผึ้งในรัง

    หลังจากนั้นทีมได้ทำการศึกษาพบว่าเจ้า Wax worm สามารถย่อยถุงพลาสติก polyethylene ได้อย่างรวดเร็ว

    LeMoine เผยว่าขณะนี้ waxworms ยังไม่ใช่วิธีที่จะแก้ไขปัญหามลพิษพลาสติกได้เลย เพราะยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมถึงเจ้าตัวหนอน และจุลชีพในลำไส้ของมันมากขึ้น ก่อนที่จะนำมาปรับใช้ในวงกว้างได้

    หนึ่งในสิ่งที่ต้องศึกษาก็คือเราจะควบคุมสารพิษที่เจ้าหนอนปล่อยออกมาจากการขับถ่าย หลังที่มันกินพลาสติกเข้าไปได้อย่างไร

    "ในขณะที่ตอนนี้มีข่าวดีถึงการศึกษาเพิ่มเติม แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องศึกษาก่อนที่จะสามารถนำมาแก้ไขปัญหาพลาสติกของเราได้ ดังนั้นมันดีที่ที่สุดที่เราจะลดสร้างขยะพลาสติกก่อนที่การศึกษาจะสำเร็จ" Leoine ระบุ

    การค้นพบและคิดค้นสิ่งที่ช่วยเร่งย่อยสลายพลาสติกถือเป็นเรื่องดี เพราะพลาสติกอาจใช้วลาในการย่อยสลายตามธรรมชาติกว่า 100-1,000 ปี ซึ่งหนอนย่อยพลาสติกได้รับความสนใจจากคนทั้งโลก โดยมองว่าอาจเป็นทางออกแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกท่วมโลกได้

    แต่มันเป็นเพียงการแก้ปัญหาขยะที่ปลายทาง

    อย่าลืมว่าที่สำคัญเราต้อง ลด ละ เลิกสร้างขยะพลาสติก เพื่อแก้ปัญหาขยะตั้งแต่ต้นทางด้วย... อย่าผลักภาระให้เจ้าหนอนเลย

    ที่มา

    https://edition.cnn.com/2020/03/04/world/caterpillars-plastic-scn/index.html

    https://royalsocietypublishing.org/doi/10.1098/rspb.2020.0112

    ร่มธรรม ขำนุรักษ์
    environman

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Wudhichai Maitreesophone

    มีรายงานจาก Gordon Duff with Nahed al Husaini เจ้าของทวิตเตอร์ชื่อ
    VeteransToday on Twitter
    X7wDqbRGUb&w=540&h=282&url=https%3A%2F%2Fsouthfront.org%2Fwp-content%2Fuploads%2F2020%2F03%2F3-2.png
    ได้ทวีตข้อความไว้ว่า ทางฝ่ายตุรกี ได้ดักฟังการสื่อสารของทหารอเมริกันในซีเรีย และรายงานข่าวกรองของตุรกี ตรงกัน และได้บอกเล่าเรื่องราวนี้ให้แก่ผู้ก่อการร้ายในสังกัดของตุรกีได้รับรู้ว่า หน่วยปฏิบัติการพิเศษของสหรัฐได้ร่วมมือกับผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ได้เข้ามาในพื้นที่จังหวัด Idlib ในวันที่ 5 มีนาคม พร้อมกับนักการทูตสหรัฐเข้ามาในจังหวัด Idlib และทหารอเมริกันอยู่ที่นั่น 2 วัน

    ผู้ก่อการร้ายอัลกออีดะห์ พยายามที่จะก่อเหตุด้วยการแต่งเครื่องแบบทหารซีเรีย เข้าโจมตี Observation Post ของตุรกี และจะถ่าย VDO ไว้เป็นหลักฐาน เพื่อล้มการเจรจาระหว่าง ตุรกี กับ รัสเซีย และมีข่าวลือว่า เจ้าหน้าที่ตุรกีซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของ CIA / Gulen อาจมีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน

    นอกจากนั้นยังมีข่าวว่า ในวันที่ 5 มีนาคมที่นักการทูตสหรัฐเข้าไปในจังหวัด Idlib ได้มีการเตรียมแผนโดย กลุ่ม White Helmet กับผู้สื่อข่าว Reuters เตรียมการทำเรื่องกล่าวหาทหารรัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีโจมตี จนทำให้เด็ก 2 คนเสียชีวิต โดยบทได้กำหนดให้นักการทูตสหรัฐอุ้มเด็กที่เสียชีวิตนี้ด้วย แต่เกิดการผิดพลาด กลุ่ม White Helmet ได้รับบาดเจ็บจากสารเคมี ที่จะเอาออกมาสร้างเรื่อง จึงเกิดการยกเลิกการสร้างสถานการณ์นั้นไป

    ตอนนี้สหรัฐก็จะได้รับผลกรรม ที่ซาอุดิอาระเบีย จะทุ่มตลาดน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ ให้ต้องล่มสลายจากบาปกรรมที่สร้างไว้
    https://southfront.org/us-special-f...ib-in-false-flag-attack-on-turkish-forces-vt/
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    ลูกเห็บตกอย่างรุนแรงที่โบโกต้า โคลอมเบีย #10 มีนาคม









     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    Spain แฟนฟุตบอลบาเลนเซียหลายร้อยคนท้าทาย coronavirus และเชียร์ทีมของพวกเขานอก Mestalla เมื่อนัดการแข่งขันเกิดขึ้นในบ้าน
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150

แชร์หน้านี้

Loading...