ร่วมทำบุญบูชา สำเร็จสิทธิพระที่นั่งมหาบัลลังก์(ปรารถนาเป็นหนึ่งกุณฑธานเถระ) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    ถ้าใครจะฝากคำถามเรื่องอะไร PM ทิ้งไว้ได้เลยนะ:cool:
     
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    วันนี้นั่งเฝ้ากระทู้ รอคำถามนะครับ555+ มีไรก็ PM ไว้เลย
     
  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเรียกจิตเข้ามา เดี๋ยวจะนำมาเป็นหัวข้อพูดคุยกัน ติดตามนะครับ
     
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    วันนี้ก็ติดตามกันเดี๋ยวจะมาลงเรื่องที่ค้างไว้จากเมื่อวาน
     
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่สิวริศร EQ 6826 7214 3 TH

    พี่ธีรพจน์ EQ 6826 7215 7 TH
     
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    พูดคุยยามเย็น

    ก็มาเข้าเรื่องที่ค้างกันไว้นะครับ

    สำหรับคำถามเกี่ยวกับวัตถุมงคล มีคนสงสัยว่าวัตถุมงคลที่ใช้เรียกจิตนี่เป็นของอันตรายมั้ย คือจะมีผลกระทบรึสะท้อนกลับอะไรกับคนใช้รึคนถูกใช้รึเปล่า

    อันนี้ก็จะตอบในภาพรวมเลย ไม่เฉพาะการเรียกจิตคน แต่รวมไปถึงเวลาเราเพ่งนึกถึงใครในวัตถุมงคลบางประเภทเช่นที่มีผลสะท้อนกลับให้คนคิดร้ายเราแพ้ภัยตัวเองเราก็นึกถึงหน้าเขาแบบนั้น

    ท่านว่ามันแยกกันเป็นสองกรณี กรณีแรกคือในส่วนของคุณวิชา อย่างนึกถึงเขาเรียกจิตเขา กลืนกินเขา คุณวิชาก็เป็นส่วนของคุณวิชา แต่การกระทำที่เราไปเพ่งไปนึกถึงนั้นมันเป็นกระบวนการทางความคิด ซึ่งมันจะสอดรับกับคุณวิชาประเภทนั้นๆ แม้เราอยู่ไกลกัน แม้เราไม่ได้เจอหน้ากัน แต่เราเคยเห็นกันหรือมีความทรงจำร่วมกันเช่นนี้ ดุจว่าเรานึกถึงอดีตสอดคล้องไปกับคาถาและคุณวิชาของเครื่องมงคลนั้น ตรงนี้มันทำให้ใจเราเกิดตัวปิติ เกิดความสบายใจ วางใจ มีกำลังใจที่จะทำสิ่งต่างๆที่เราคิดไว้

    เช่นนี้ท่านว่าการณ์ทั้งหลายนั้นก็สำเร็จไปส่วนหนึ่ง เนื่องจากทุกความคิดและการกระทำนั้นไม่มีสิ่งสูญเปล่า เมื่อสมาธิประสานกับคุณวิชาแล้วกลการเรียกจิตให้เค้านึกถึงเราหรือมีเมตตาเราโอนอ่อนผ่อนตามเรานั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงเลย

    ในขณะเดียวกันหากเราไปเพ่งโทษผู้อื่น คิดจะทำลายหรือกำจัดกัน อีกฝ่ายหนึ่งนั้นเขาจะเป็นอันตรายมั๊ย ท่านว่าตรงนี้ก็อย่าลืมว่าครูบาอาจารย์เทพยดาฟ้าดินนั้นเค้าไม่ได้ตาบอดอันนี้ต้องตระหนักเอาไว้ให้ดีเพราะท่านคุ้มตัวเราอยู่แล้ว ไม่ใช่นึกอยากทำร้ายใครก็ทำได้หากเราคิดร้ายกับผู้ใดใจของเรานั่นแหละที่จะทุกข์เอง ตัวทุกข์มันมาก่อน มันจะเกาะกินใจเราเอง ทำอะไรก็ไม่เป็นสุข ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ในกรณีเดียวกันหากเค้าคิดร้ายกับเรา สิ่งแรกไม่ต้องไปมองถึงคุณวิชาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ สิ่งนั้นก็คือความทุกข์มันจะตามล้างผลาญตัวเขาเองเช่นกัน

    กรณีนี้เหมือนการแผ่เมตตา แผ่ความรัก แผ่ความรู้สึกดีของเราไปให้เขา ไม่ต้องกลัวว่าให้แล้วเขาจะไม่รับ เขาจะรับมันไม่ได้ ทำไปก็เสียเปล่าเสียเวลา ท่านว่าทุกอย่างมันมีคลื่นมีความสัมพันธ์กับจิตวิญญาณและชีวิตที่เชื่อมต่อกันในกฏแห่งสังสารวัฏทั้งสิ้น เคยหรือไม่ที่เห็นหน้าใครแล้วรู้สึกผูกพันธ์ เคยหรือไม่ที่กลับมามองหน้าคนที่เราเกลียดแล้วอยู่ดีๆรู้สึกเมตตา ในกรณีนี้เช่นการแผ่เมตตาใช้จิตนึกถึงเค้าปรารถนาดีกับเค้า ถึงจะไม่มีเครื่องรางอันประกอบด้วยคุณวิชาเสริมส่งก็ยังสามารถทำได้เพียรทำไป หากแต่ถ้าเสริมด้วยคุณวิชาจะไวและสัมฤทธิ์ผลเร็วกว่าเท่านั้น

    และตรงข้ามกันการเพ่งโทษผู้ใดมันก็ย่อมมีผลในตัวเองเช่นกัน แต่หากเราจงเกลียดจงชังใครถึงปานนั้นแล้ว ให้ใช้สติพิจารณาให้ดีว่าความร้อนรุ่มเหมือนเพลิงสุมดุจไฟนรกนั้น ก่อนที่เราจะส่งความอาฆาตพยาบาทไปให้ถึงใคร ความเลวร้ายนั้นมันย่อมจะทำร้ายตัวเราเอง เผาตัวเราเองก่อนอยู่ร่ำไป แม้ไม่มีเครื่องรางใดมาเกี่ยวข้องมันก็ให้ผลเช่นเดิมไม่ต่างกัน

    ท่านว่าเครื่องรางนั้นควรใช้ให้ถูกทางถูกวิธี พ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหลายที่เมตตาทำด้วยอิทธิวิธีนั้น ท่านย่อมปรารถนาจะเห็นคนรักกัน เห็นสังคมที่สงบสุข เห็นความผาสุกเกิดขึ้นในสังคม เอาไปใช้ด้วยความรักความปรารถนาดี เพื่อคุ้มครองตัวและเพื่อความสำเร็จในชีวิตของตัวเอง แน่นอนว่าไม่มีครูบาอาจารย์ท่านใดอยากเห็นว่าใครเอาไปทำร้ายผู้อื่น อันเป็นเหตุนำตนไปสู่ทุกข์คติแน่นอน

    ถามว่าอันตรายมั๊ย ตัวเครื่องรางตัวคุณวิชาใดๆต่อให้เปรียบเหมือนดาบมีคม มันก็ย่อมไม่เป็นอันตราย ถ้าผู้ถือนั้นอยู่ในกรอบของศีลธรรมและเป็นคนดี มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเครื่องรางหรือวิชาใด แต่มันขึ้นอยู่กับตกอยู่ที่ใคร ใครเป็นคนใช้ ดังนั้นท่านจึงเน้นย้ำเสมอเรื่องการเจริญสติทำสมาธิพัฒนาปัญญาของตน เพื่อจะได้รู้เท่าทันโลก ก้าวทันตามอารมณ์ความคิดความรู้สึกของตนเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2016
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    เดี๋ยวติดตามเล่นเกมส์รอบสิ้นเดือนนี้กันนะครับ รับรองว่ามีอะไรดีๆแน่นอน:cool:
     
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    วันนี้เดี๋ยวเรามาคุยเรื่องเล่นเกมส์สิ้นเดือนกันนะ ตอนนี้ขอเปิดรับความเห็นแบบครั้งก่อน ใครมีความคิดดีๆเกี่ยวกับเกมส์อะไรมาเล่นกันก็ PM เข้ามาได้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2016
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    ติดตามกันนะครับ พรุ่งนี้เราจะมาเล่นเกมส์แจกของดีกัน:cool:
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,095
    ค่าพลัง:
    +16,623
    ร่วมเล่นเกมส์ แจกตะกรุดพ่อหัวหอม(มังกรเก้าหัว)

    แต่โบราณนั้นบูรพาจารย์ให้ความสำคัญในองค์กำเนิด มีความเชื่อสืบทอดมารองรับทั้งพุทธและพราหมณ์เกี่ยวกับการบูชาสัญลักษณ์องค์กำเนิดนี้

    หลายคนมักจะมองว่าน่าเกลียดบ้าง ดูไม่เหมาะสมในการพกพาบ้างเพราะคิดไปทางลามกอนาจาร พ่ออาจารย์ท่านว่าสิ่งเหล่านี้ก็เหมือนสัญลักษณ์ตัวแทนของบิดามารดา ทางฝ่ายพราหมณ์เขาก็มีศิวลึงค์ที่สร้างจากวัสดุต่างๆให้คุณต่างกันไปตามวัตถุที่นำมาทำ ส่วนทางฝ่ายเราก็มีปลัดขิกเช่นกัน

    ท่านว่าปลัดขิกนี้มีมานานเป็นศาสตร์และวิชาที่แตกต่างกันไปของแต่ละสำนัก เกจิผู้เสกนั้นต้องเสกให้มีตัวมีตน มีชีวิตและมีคุณครบถ้วนทุกประการ แม้จะเอาไปทำการค้าขายก็ต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แม้จะพกพาไปเกี้ยวพาราสีกุลบุตรกุลธิดาใดก็ย่อมปรากฏอิทธิคุณทางด้านเสน่หาอย่างน่ามหัศจรรย์ พกพาเป็นเมตตามหานิยมแก่ชนทั่วไป จะแช่น้ำทำน้ำมนต์รดพืชผลทางการเกษตรก็เจริญเติบโตได้ดีไม่มีศัตรูพืชมาทำลาย ทำลายล้างอาถรรพ์ได้ทุกรูปแบบ ทั้งกันคุณไสยทำลายอวิชชาฝ่ายต่ำไม่ให้เข้ามาถึงตัว แก้ลมเพลมพัดกันเขี้ยวงาอาวุธ ซ้ำยังเป็นที่หวาดกลัวของภูติผี

    วิชาปลัดขิกนั้นท่านว่าเป็นศาสตร์ที่มีการลงหลายประเภท ยุคนี้ที่ดังสุดๆเลยก็จะเป็นของหลวงพ่ออี๋ ท่านว่าถ้าหล่นลงน้ำก็ว่ายน้ำตามกันเลยทีเดียว ถึงแม้วิชาการทำปลัดขิกนี้จะเป็นของเล่นของพระอริยเจ้า ไม่ใช่ของน่ารังเกียจมีมลทินแต่อย่างใด เนื่องจากสังคมเปลี่ยนแปลงไป ทั้งสังคมไทยนั้นถูกสั่งสอนมาให้มองเรื่องเพศ สัญลักษณ์เหล่านี้ไปทางลามกอนาจาร น่าอับอายควรปกปิด บางครั้งคนที่พกปลัดขิกมักจะพกออกมานอกเสื้อนอกเครื่องแต่งกาย เวลามีคนเห็นก็จะพาลคิดไปว่าเล่นคุณเล่นของเป็นพวกลามก ซ้ำปลัดขิกแต่ละสำนักก็มีขนาดต่างกันไปตั้งแต่ตัวเล็กจนตัวใหญ่เท่าแขนก็มี บางคนที่รู้ว่าเป็นของดีนิยมชมชอบก็พกอาราธนาโดยลืมคิดถึงสายตาคนรอบข้างไป กลายเป็นว่าจากที่จะมีคุณดังกล่าวจะพกพาไปเกี้ยวใคร จะพกพาไปหากิน บางคนที่เห็นเค้าจะไม่ชอบเอาเสีย แทนที่จะเกี้ยวได้จะขายได้ก็กลับเป็นชวดไปหมดตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ทำให้การพกพานั้นต้องพกแบบลับๆไม่ให้คนเห็น สุดท้ายก็ทำหายบ้างหลงลืมบ้าง บางคนมีและเห็นว่าพกพาบูชายากจึงไม่ได้ใส่ใจไปเลย

    พ่ออาจารย์ท่านพิจารณาแล้วว่าปลัดขิกนี้ แท้จริงเป็นของดีมีคุณแห่งองค์กำเนิดซึ่งเป็นคุณของพระบิดา มีฤทธิ์วิเศษท่านว่าไม่ต่างจากเทพพรหมอย่างใดเพราะว่ามีชีวิต การปลุกเสกนั้นท่านว่าต่างจากพระเครื่องหรือเครื่องรางธรรมดาทั่วไป เพราะไม่มีอาถรรพ์ใด สถานที่ใด หรือผู้มีฤทธิ์วิเศษใดจะสามารถหยุดรั้งฤทธานุภาพขององค์กำเนิดนั้นได้ เค้าไปได้หมด เข้าได้ทุกที่ไม่มีข้อห้าม พ่ออาจาย์ท่านว่าหนนี้จะทำไว้เสียวาระหนึ่ง ให้ง่ายต่อการพกพา แม้เป็นบุรุษสตรีหรือกุลบุตรกุลธิดาก็สามารถพกได้ ไม่ต้องกลัวใครเห็น

    พ่ออาจารย์ท่านจึงนำแผ่นตะกั่วลงถมที่ผ่านการลงถมอักขระตามสูตรบูรพาจารย์มาลงจารเป็นรูปปลัดขิกพร้อมกับลงคาถาอักขระบังคับกำกับไว้ ท่านว่าลงปลัดเช่นใดตะกรุดพ่อเนื้อหอมนี้ก็ลงเช่นนั้น อาจารย์อี๋ วัดสัตหีบ เสกปลัดขิกอย่างใดเราก็ใช้สูตรนั้น เดินตามรอยเท้าท่าน ท่านว่าใช้แทนกันได้ไม่ต้องเสียเวลาหา

    เมื่อได้ฤกษ์ท่านลงจารไว้ได้จำนวนหนึ่งแล้วก็นำมาตั้งธาตุปลุกเสก ท่านว่าทำจนตะกรุดแต่ละดอกมีชีวิต ซ้ำยังเชิญหลวงพ่ออี๋มาร่วมเสกอีกคำรบหนึ่งโดยบอกท่านไว้ว่าเอาให้ขลังให้แรงเสมอหรือดีกว่าของเก่า พ่ออาจารย์ท่านว่าเสกตะกรุดพ่อหัวหอมนี้ทีไร เสกเสร็จแล้วต้องมาไล่เก็บทุกที เพราะตะกรุดส่วนมากจะซน จะเด้งกระเด็นออกจากขันจากพานกันหมด ยิ่งเสกยิ่งซนไม่มีอยู่กับที่ ท่านว่าธาตุลงครบมีชีวิตเหมือนผูกจิตเจตสิกขึ้นมา โดยท่านรับรองว่าตะกรุดพ่อหัวหอมนี้ดีกว่าปลัดขิกปกติอย่างแท้จริง โดยสำทับว่าจะไม่ดีได้อย่างไรเพราะท่านอี๋มาลงให้ต้องหลายวาระ

    เมื่อเสกเสร็จท่านจึงนำมาแจกจ่ายแก่พ่อค้าแม่ค้าและคนที่ขอของดีเอาไปประกอบอาชีพ เอาไปเป็นเสน่ห์เมตตาบูชา เค้าพูดตรงกันว่าตะกรุดดอกเล็กๆนี้แปลก มันมีชีวิต ท่านว่าท่านไม่ได้ถามอะไร เพราะมีแต่คนใช้เท่านั้นแหละจะรู้เอง พอแจกไปแล้วด้วยขนาดที่เล็กเนื่องจากพ่ออาจารย์ท่านตั้งใจลงจารมากโดยตั้งใจจะให้เล็กที่สุดง่ายต่อการพกพา พอมีประสบการณ์กันมากขึ้นคนที่เคยใช้ก็มาขอเพิ่ม เลยเถิดไปจนขอบูชาตั้งราคาค่างวดกันดอกละห้าร้อย ดอกละพัน พ่ออาจารย์ท่านเห็นว่าต่อไปจะทำไม่ได้อีกเนื่องจากมีขนาดเล็กต้องใช้สมาธิและกำลังใจสูงเวลาลงจารเรียกสูตรผูกธาตุตั้งรูปนาม ท่านจึงไม่ได้ออกให้ใครหรือนำไปแจกจ่ายใครอีก

    * ตะกรุดพ่อหัวหอมนี้ พ่ออาจารย์ท่านว่าให้นำมากำไว้ในมือแล้วภาวนาธาตุสี่ คือนะมะพะธะไว้ มันเป็นของมีชีวิต หากชอบคาถายึดติดกับการภาวนาก็ให้ภาวนาธาตุสี่สั้นๆเพียงเท่านี้ ท่านว่าจะใช้อะไรก็บอกกล่าวได้เลย จะไปไหนจะทำอะไรก็อธิษฐานใจให้พ่อคุณเค้าช่วยเปิดทางให้ พูดกับเค้าเพราะๆ พ่อคุณจ๋าวันนี้ลูกจะไปไหน ไปทำอะไรก็ว่าไป ขอให้ได้ให้สำเร็จ อธิษฐานเสร็จจะฉีดพรมด้วยน้ำหอมก็ยิ่งดี ท่านว่าใช้ไปเถอะยิ่งใช้ยิ่งขลัง


    เนื่องจากตะกรุดพ่อหัวหอมนี้มีเหลือจำนวนหนึ่งไม่มากนัก พ่ออาจารย์จึงมอบให้นำมาเล่นเกมส์กัน สำหรับเกมส์ที่จะร่วมเล่นกันหนนี้ก็เป็นเกมส์ง่ายๆต่อจากคราวที่แล้ว คราวก่อนเราให้แนะนำวัดหรือศาสนาสถานไป แต่หนนนี้จะเฉพาะเจาะจงลงไปอีก เอาเฉพาะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ให้แนะนำพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่แต่ละท่านนิยมไปกราบไหว้บูชากัน ว่าอยู่วัดไหน ถ้าจะให้ดีมีประวัติบอกไว้เจริญศรัทธาผู้คนก็จะยิ่งดี เหมือนช่วยประชาสัมพันธ์ให้วัดให้มีคนเห็นคนอยากเดินทางไปทำบุญได้บุญกันทั้งทางตรงและทางอ้อม ผู้ที่ตามอ่านทุกท่านจะได้รับทราบและไปกราบไหว้บูชากันตามความสะดวกในโอกาสต่อไป

    สำหรับเกมส์ก็เริ่มเล่นได้เลย หมดเวลาปิดเกมส์วันพรุ่งนี้ตอนหกโมงเย็น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2016
  11. pom1967

    pom1967 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +317
    ร่วมเล่มเกมส์
    พระพุทธสิงห์สอง
    วัดศรีบุญเรือง
    ถ.สำราญชายโขง ต.ศรีบุญเรือง อ.เมือง จ.มุกดาหาร โทร.042-611388
    พระพุทธสิงห์สอง
    ประวัติพระพุทธสิงห์สอง
    เจ้ากินรี เจ้าเมืองคนแรกของมุกดาหาร ซึ่งขณะนั้นยังขึ้นต่อเมืองเวียงจันทร์ ประมาณปี พ.ศ.2310-2317 ได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดศรีบุญเรือง เมื่อคราวที่เจ้าเมืองมาบูรณะและปฎิสังขรณ์ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้พระพุทธรูปจะไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่ประชาชนทั่วไปก็ตาม แต่ชาวบ้านตำบลศรีบุญเรือง ชาวจังหวัดมุกดาหาร เคารพเลื่อมใส.
     
  12. chukit1967

    chukit1967 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2015
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +218
    ร่วมเล่นเกมส์ครับ
    ประวัติ หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย จ. หนองคาย
    หลวงพ่อพระใส เป็นพระพุทะรูปขัดสมาธิรบปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก มีพระรูปลักษณะงดงาม ขนาดหน้าตักกว้าง ๒ คืบ ๘ นิ้ว ส่งนสูงจากพระชงฆ์เบื้องล่างถึงยอดพระเกศ ๔ คืบ ๑ นิ้ว ของช่าวไม้
    ปัจจุบันได้ประดิษฐานภายในอุโบสถวัดโพธิ์ชัย (พระอารามหลวง) อ. เมืองหนองคาย จ. หนองคาย เป็นพระพุทธรูปที่ชาวจังหวัดหนองคายนับถือ ว่าศักดิ์สิทธิ์มาก และเป็นที่เคารพสักการะอย่างยิ่ง
    ประวัติการสร้างซึ่งเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก
    สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ลงความเห็นไว้ในหนังสือ ตำนานพุทธเจดีย์สยาม หน้า ๑๐๒ ว่า พระพุทธรูปล้านช้างที่งามยิ่งกว่าองค์อื่นคือ พระสุก พระเสริม พระใส โดยมีพระราชธิดา ๓ พระองค์ แห่งกษัตริย์ล้านช้าง เป็นเจ้าของศรัทธา
    พีธีหล่อ มีคนสูบเตาหลอมทองอยู่ไม่ขาดระยะ นับเป็นเวลา ๗ วันจนถึงวันที่ ๘ มาขอสูบเตาช่วยหลวงตา
    และสามเณรน้อยรูปหนึ่งทำการสูบเตาอยู่ ปรากฏมีชีปะขาวคนหนึ่งมาขอสูบเตาช่ายหลวงตา และสามเณรน้อยขึ้นไปฉันเพล และแล้วสิ่งที่เป็นอัศจรรย์ที่ทุกคนเห็นก็คือ ทุกคนแลเห็นคนสูบเตามากกว่าผิดปกติ ท่อเตาก็มีมากแต่ละคนเป็นชีปะขาวหมด และทองได้ถูกเทลงในเบ้าทั้ง ๓ เบ้าเรียบร้อย และไม่ปรากฏเห็นชีปะขาวนั้นอีกเลย
    การประดิษฐาน เดิมทีนั้นหลวงพ่อพระใสได้ประดิษฐาน ณ เมืองเวียงจันทร์ พ.ศ ๒๓๒๑ สมัยกรุงธนบุรี
    ได้อัญเชิญไว้ที่เมืองเวียงคำ และถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดโพนชัย เมืองเวียงจันทร์อีก ต่อมาในราชกาลที่ ๓
    เจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทร์เป็นกบฏ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ เป็นจอมทัพยกพลมาปราบ จึงได้อัญเชิญ พระสุก พระเสริม พระใส ลงมาด้วย โดยอัญเชิญมาจากภูเขาควายขึ้นประดิษฐานบนแพไม้ไผ่ ซึ่งผูกติดกันอย่างหมั่นคงล่องมาตามลำน้ำงึม เมื่อล่องมาถึงตรงบ้านเวินแท่น ในขณะนั้นเกิดอัศจรรย์แท่นของพระสุกได้เกิดแหกแพจมลงไปในน้ำ โดยเหตุที่มีพายุพัดแรงจัด และบริเวณนั้นได้นามว่า “เวาแท่น”
    การล่องแพก็ยังล่องมาตามลำดับจนถึลน้ำโขง (ปากน้ำงึม) เฉียงกับบ้านหนอลกุ้ง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย
    ได้เกิดพายุใหญ่เสียงฟ้าคำรามคะนองร้องลั่น ในที่สุดพระสุกได้แหกแพจมลงไปในน้ำ ซึ่งอาการวิปริตต่างๆ ก็ได้หายไปเป็นอัศจรรย์ยิ่ง บริเวณนั้นจึงได้ชื่อว่า “เวินสุก” และพระสุกก็จมอยู่ในน้ำตรงนั้นมาจนถึลปัจจุบันนี้
    ก็ยังเหลือแต่พระเสริม พระใส ที่ไดนำขึ้นมาถึงเมืองหนองคาย พระเสริมนั้น ได้ถูกอัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิ์ชัย ส่วนพระใสได้อัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดหอก่อง (ปัจจุบัน คือ วัดประดิษฐิ์ธรรมคุณ)
    ต่อมาในราชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเก้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็น (ข้าหลวง ) อัญเชิญพระเสริม จากวัดโพธิ์ชัยหนองคายไปกรุงเทพฯ ด้วย แต่พอมาถึงวัดโพธิ์ชัยหลวงพ่อพระใสได้แสดงปาฏิหาริย์ จนเกรียนหักจึงอัญเชิญลงไปไม่ได้ ได้แต่พระเสริมลงกรุงเมพฯ ประดิษฐาน ณ วัดปทุมวนาราม
    ส่วนหลวงพ่อพระใสได้อัญเชิญ ประดิษฐษน ณ วัดโพธิ์ชัย อ. เมืองหนองคาย จนถึงปัจจุบัน
     
  13. seaown

    seaown เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +984
    ขอร่วมเล่นเกมส์และเป็นการกล่าวถึงวัดที่มีพระพุทธรูปศักด์สิทธิ์ที่่ผมเคารพศรัทธาซึ่งแท้จริงแล้วมีอยู่หลายองค์ แต่ที่จะไปกราบขอพรบ่อยเพราะสะดวกในการเดินทาง ก็คือ หลวงพ่อโสธร จ.ฉะเชิงเทรา และ หลวงพ่อทันใจวันบางเสร่(อยู่ใกล้ชายทะเลบางเสร่) และ หลวงพ่อทันใจ วัดพันเสด็จนอก(อยู่ถนนสาย331ก่อนถึงวัดหลวงปู่ฮก จ.ชลบุรี) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ขอได้ไหว้รับ ซึ่งเป็นวัดที่ผมจะเข้าไปกราบไหว้อยู่บ่อยครั้ง ครับผม ขอบคุณครับ (f)
     
  14. sakmalai

    sakmalai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    504
    ค่าพลัง:
    +1,344
    ร่วมเล่นเกมส์ ครับ
    “หลวงพ่อทันใจ” อยู่ที่ “วัดพระธาตุดอยคำ” เป็นพระวัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวเชียงใหม่มากว่า 1,400 ปี เป็นสถานอันศักดิ์สิทธิ์เป็นศูนย์รวมน้ำใจของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ
    ”หลวงพ่อทันใจ” ท่านให้โชคลาภและมีญาณวิเศษที่ให้ผู้คนที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ แม้กระทั่งอัมพฤกษ์หรืออัมพาต หายขาดมาได้รวมถึงผู้คนที่นิยมเสี่ยงดวงกับกับการซื้อหวย โชคดีกันไปอย่างไม่น่าเชื่อ การอธิษฐาน จะต้องใช้ดอกมะลิสด 50 พวงขึ้นไป และสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการให้อธิษฐานขอพร คือ ขอได้เพียง “อย่างเดียวเท่านั้น” ท่านถึงจะให้พรได้สมใจหวัง ซึ่งปัจจุบันผู้คนที่มาอธิฐานและขอพรหรือบนบานศาลกล่าวกันเป็นจำนวนมาก พอได้โชคลาภ โชคดีดังที่ขอ ก็จะนำดอกมะลิมากราบไหว้อีกเป็นจำนวนมาก..ใครมาเที่ยวเชียงใหม่อย่าลืมมาแวะอธิษฐานขอพร "หลวงพ่อทันใจ" กันนะครับ
     
  15. kwangpha

    kwangpha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +448
    พระเจ้าแข้งคม วัดศรีเกิด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
    พระเจ้าแข้งคม เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์ ปางมารวิชัยขนาดใหญ่ ขัดสมาธิราบ วัสดุสัมฤทธิ์ลงรักปิด ทอง ขนาดหน้าตักกว้าง
    ๙๔ นิ้ว สูง ๑๑๒ นิ้ว น้ำหนัก ๓,๙๖๐ กิโลกรัม ศิลปะสมัยล้านนา มีลักษณะพิเศษคือ พระชงฆ์เป็นสันขึ้น จึงเรียกว่า "แข้งคม"
    ปัจจุบันประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารวัดศรีเกิด

    หนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ ได้กล่าวถึงพระเจ้าแข้งคม หรือพระป่าตาลน้อยว่า มีพุทธลักษณะแบบลวปุระ และขนานนามว่า "พระกัม
    โพชปฏิมา" มีประวัติว่า พระเจ้าติโลกราช เจ้านครเชียงใหม่องค์ที่ ๑๐ (พุทธศักราช ๑๙๘๕ - ๒๐๓๑) พระนามบาลีว่า พระเจ้าสิริ
    ธรรมจักรพรรดิ พิกลราชาธิราช ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง เป็นผู้สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ ได้กล่าวถึงประวัติว่า

    "ปีเถาะ จุลศักราช ๘๔๙ (พุทธศักราช ๒๐๒๗) วันพุธ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๘ จันทร์เสวย สตภิสฤกษ์ พระเจ้าสิริธรรม
    จักรพรรดิพิกลราชาธิราช ทรงมอบภาระให้สีหคตเสนาบดี และอาณากิจจาธิบดีมหาอำมาตย์ หล่อพระพุทธรูปสัม
    ฤทธิ์องค์ใหญ่ ทองหนักประมาณสามสิบสามแสน ให้มีลักษณะเหมือนพระพุทธรูปแบบลวปุระ หล่อที่วัดป่าตาลมหา
    วิหารทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราชธานีเชียงใหม่ ครั้นหล่อเสร็จแล้ว พระมหากษัตริย์ทรงอัญเชิญพระบรมสารีริก
    ธาตุประมาณ ๕๐๐ องค์ กับพระพุทธรูปแก้ว ทอง และเงิน จากหอพระธาตุส่วนพระองค์ มาบรรจุไว้ในพระเศียรพระ
    พุทธรูปสัมฤทธิ์องค์ใหญ่"
    (น้ำหนัก ๓๓ แสน เท่ากับ ๓,๙๖๐ กิโลกรัม วัดป่าตาลมหาวิหารคือวัดตโปทาราม)

    พุทธลักษณะพิเศษของพระพุทธรูปที่พระเจ้าติโลกราชโปรดให้สร้าง นักโบราณคดีปัจจุบันกล่าวว่า มีศิลปะสมัยอู่ทองผสม พระชงฆ์
    เป็นแนวสัน จึงเรียกว่าพระแข้งคม หรือพระแค่งคม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. PaChaRah

    PaChaRah Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +63
    ร่วมเล่นเกมส์
    วัดสะตือสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ปี พ.ศ.2400 โดยหลวงพ่อโต หรือ
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ตั้งอยู่ที่ ต.ท่าหลวง อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา
    ที่มาของชื่อวัดนี้ เนื่องจากสมัยก่อนบริเวณมีต้นสะตือใหญ่เป็นสัญลักษณ์
    เลยนำมาตั้งเป็นชื่อวัด ภายในมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ประดิษฐานทางทิศใต้ของวัด
    องค์พระยาว 25 วา เชื่อหรือไม่ว่าหลวงพ่อโตท่านเกิดที่นี่ มารดาของท่านได้ให้กำเนิดท่าน
    ณ บนเรือที่จอดอยู่ในแม่น้ำป่าสักที่ทอดตัวทางด้านหลังของวัด

    ในวิหารจะมีช้างอธิษฐานเสี่ยงทาย วิธีคือ
    นั่งคุกเข่าชิดตัวช้างและเสมอด้านหน้าในด้านที่ตนเองถนัด
    ตั้งใจระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็อธิษฐาน
    ถามเรื่องอะไรก็ได้ แล้วจึงยกช้าง โดยที่ผู้ชายใช้นิ้วก้อยยกช้าง ผู้หญิงใช้นิ้วนางยก
    ยกครั้งที่ 1 เรื่องที่อธิษฐานถาม ประสบความสำเร็จ จะยกช้างขึ้น
    ยกครั้งที่ 2 อธิษฐานเรื่องเดิม ถ้าประสบความสำเร็จ ก็จะยกช้างไม่ขึ้นครับ
     
  17. anusorn497061

    anusorn497061 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +1,023
    ร่วมเล่นเกมส์
    หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระพุทธรูปเก่าองค์หนึ่ง ที่ขุดพบอย่างบังเอิญเมื่อวันจันทร์ที่ ๒ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ปีกุน เดือน ๑๒ พ.ศ. ๒๕๐๒ องค์หลวงพ่อเป็นดิน ตั้งอยู่บนคันคลองระพีพัฒน์ฝั่งขวา หันหน้าลงน้ำ ทิศตะวันออก ในท้องที่ ต.คชสิทธิ์ อ.หนองแค จ.สระบุรี
    ก่อนที่จะพบองค์หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ บริเวณดังกล่าวเป็นเนินดินที่มีระดับสูงกว่าองค์หลวงพ่อ มีเฉพาะทางคนเดินแคบๆ เท่านั้น ต่อมาได้มีคนงานชลประทานประตูน้ำพระเอกาทศรถ มาขุดดินที่เป็นเนินนั้นไปถมริมตลิ่งที่น้ำเซาะพัง
    คนงานได้ขุดดินมาหลายวันแล้ว จนไปถึงบริเวณที่องค์หลวงพ่อประดิษฐาน ซึ่งเป็นดินที่แข็งมาก ผิดไปจากบริเวณอื่น คนงานจึงขุดดินไม่เข้า แต่ได้ขุดดินไปรอบๆ ที่พอจะขุดได้ ดินก็แตกเป็นรูปพระ โดยไม่มีใครคาดคิดว่า จะเป็นองค์หลวงพ่อ
    ชาวบ้านรู้ข่าวเข้าก็มามุงดูกันจำนวนมาก บางคนก็พูดว่า พระพุทธรูปมาเกิด แต่บางคนคิดไปว่า คนงานชลประทานปั้นองค์พระขึ้นมากันเอง
    พอตอนเย็น นางฝอย ชาวบ้านคนหนึ่งที่อาศัยอยู่หลังตลาดหนองตาโล่ ไปหาบข้าวลงเรือที่ ๗ อาร์ จะกลับบ้าน เดิมผ่านมาทางองค์หลวงพ่อ นางฝอยไม่ได้คิดว่าที่เห็นเป็นรูปพระนั้นจะเป็นองค์พระจริงๆ จึงเอาเปลือกอ้อยเป็นธูป และเอาใบมะขามเทศเป็นทอง มาไหว้เป็นการล้อเลียน แล้วก็เดินทางกลับบ้าน แต่ยังไม่ทันถึงบ้าน นางฝอยเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง จึงนึกขึ้นได้ว่า ไปไหว้ล้อเลียนองค์พระนั้นเข้า จึงจุดธูปกราบขอขมาอภัยหลวงพ่อ อาการปวดหัวก็หายทันที
    ตอนเย็นวันเดียวกัน ยายเกลี้ยง บ้านอยู่ใกล้องค์หลวงพ่อ ก็กลายเป็นคนเทียมทรงขึ้น ทั้งๆ ก่อนหน้านี้ ไม่เคยเป็นมาก่อน ชาวบ้านพากันมามุงดูกันอย่างเนืองแน่น มีผู้สอบถามหลวงพ่อว่า มาจากไหน หลวงพ่อบอกว่า มาอยู่ที่นี่เมื่อสมัย ๒ แล้ว มาคล้องช้าง สามวันไม่ได้ช้าง นอนหลับที่แคร่บนต้นไม้ พระเครื่องได้ตกลงมาแล้ว แต่ก็หาไม่เจอ ต่อมาได้มีคนเอาดินมาถมบริเวณ (คลองระพีพัฒน์ใช้คนขุดเอาดินขึ้นมาถมเมื่อประมาณ ๗๐ ปีก่อน)
    ยายหนูถามหลวงพ่อว่า ชื่ออะไร หลวงพ่อบอกว่า หากบอกชื่อให้แล้ว จะรับทำสัญญาได้ไหม ยายหนูบอกว่า รับทำให้ได้ หลวงพ่อจึงบอกว่า ให้นิมนต์พระ ๕ วัดมาสวด ให้ตั้งศาลเพียงตา ให้ทำขัน ๕ ทุกๆ วัน และจัดงานกลางเดือน ๑๒ ประจำทุกปี
    แล้วหลวงพ่อก็บอกว่า ท่านชื่อ "สำเร็จศักดิ์สิทธิ์" ใครมากราบไหว้ทำอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์ และสำเร็จทุกอย่าง ตามที่คิดไว้
     
  18. uit

    uit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +351
    ร่วมเล่นเกมส์ครับ

    หลวงพ่อหริ่ง
    ด.มะรุม ต.พลสงคราม อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา 30160
    โทรศัพท์ 044-367209 044-367162


    พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการบวช การสาบาน สำหรับคนที่อยากลด อยากเลิกพวกอบายมุขต่าง ๆ อาทิ เหล้า การพนัน และสิ่งไม่ดี ทั้งปวง

    คำเตือน วัดมะรุมเป็นวัดที่มีหลวงพ่อหริ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นวัดที่มีผู้คนมาทำบุญเป็นจำนวนมาก ไม่ขาดสายมาทุกวัน เป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังในการเลิกเหล้า มีผู้คนจากหลายสถานที่ มาเลิกเหล้าแล้วประสบผลสำเร็จในชีวิต หากสาบานแล้วคิดว่าจะทำไม่ได้ให้รีบ ไปถอนสาบาน เพราะ จะมีอันเป็นไป ตามสัตย์สาบานของตัวเอง แทบทุกราย แต่หากทำได้จะเจริญรุ่งเรือง ตามบุญที่ได้กระทำสิ่งอันเป็นมงคลให้ชีวิตตนเอง พบเห็นมากับคนใกล้ตัว จึงได้นำมาบอกเล่า วัดนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เยอะครับ หลวงพ่อองค์จริง หน้าตักประมาณ 5 นิ้ว กระแสเย็นมากครับ หากมีโอกาส ได้สักการะและร่วมบุญสัมพันธ์ จะเป็นศิริมงคลผู้กราบไหว้

    ประวัติ ตามคำบอกเล่าของปู่ ย่า ตา ยาย หลายต่อหลายคน โดยจะขอเอ่ยนามเฉพาะบุคคลที่มีอายุมากที่สุดช่วงนั้น คือ ปู่เที่ยง จงเพ็งกลาง อดีตผู้ใหญ่บ้านมะรุม ๒ สมัย ซึ่งช่วงนั้นท่านมีอายุ ๙๕ ปี สัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ สุขภาพแข็งแรงดี
    ท่านได้เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๙ รวมอายุได้ ๙๗ ปี ท่านเกิดปี พ.ศ. ๒๔๕๒ โดยได้เล่าว่า เมื่อประมาณอายุได้ ๑๖–๑๗ ปี ได้มีชาวเผ่ากุลากลุ่มหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ทางภาคอีสานตอนบน ได้ลงมาค้าขายเครื่องเงิน และมาขอพักอาศัยที่ศาลาวัดมะรุมอยู่หลายวัน เพื่อขายสินค้าด้วยการหาบ หลังจากค้าขายอยู่พอประมาณแล้วก็ออกเดินทางต่อไปโดยมิได้สั่งลา วันนั้นหลวงพ่ออ้น พร้อมด้วยพระลูกวัดออกบิณฑบาตรตามปกติเมื่อมาถึงวัดก็ทำภัตกิจพิจารณาภัตตาหาร แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด วันนั้นหลวงพ่ออ้น และพระภิกษุสามเณร ไม่สามารถเปิดฝาบาตรได้เลย ประจวบกับพวกกุลาก็ได้ออกจากวัดไปแล้ว กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นก็ย่อมสนอง วันๆนั้นพวกกุลาก็ขายของไม่ได้สักบาทเลย แม้หาบคอนที่อยู่บนบ่า ก็วางไม่ลงเช่นกัน เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น พวกกุลาจึงได้กลับมาหาหลวงพ่ออีกครั้ง และทำการขอขมาหลวงพ่อก็ให้อภัยทุกประการ จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ได้แลกเปลี่ยนคาถาอาคมซึ่งกันและกัน และหนึ่งในนั้น ที่ชาวกุลายินยอมพร้อมใจ ก็ได้ถวายพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ที่นำติดตัวไปด้วยทุกครั้ง นามว่าหลวงพ่อกริ่ง ราวปี พ.ศ. ๒๔๖๗ ที่ได้นามว่าหลวงพ่อกริ่ง เพราะเวลาเขย่าจะมีเสียงดังกริ่งๆ แต่ปัจจุบัน คนมักจะเรียกท่านว่าหลวงพ่อหริ่ง

    อีกส่วนหนึ่งที่อยากจะกล่าวไว้ ณ ที่นี้ก็คือ บ้านโนนวัด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗–๒๕๕๒ ได้ขุดค้นพบโครงกระดูกของบรรพบุรุษ อายุประมาณ ๔,๐๐๐ ปี เป็นจำนวนมากรวมทั้งเครื่องใช้ต่างๆ อีกมากมาย ในช่วงเดือน ธันวาคม- กุมภาพันธ์ ของทุกปีจะมีการขุดค้นหลุมฝังศพโดยชาวต่างชาติ ท่านสามารถเยี่ยมชมได้ แต่หลังจากนั้น ของที่จะได้นำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์พิมาย เนื่องจากบ้านโนนวัดยังไม่มีที่เก็บ

    กระทูอ้างอิง

    http://palungjit.org/threads/ไปสาบานโดยไม่เต็มใจ-ที่วัดมะรุม-อ-โนนสูง-จ-โคราชมา.345117/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • lp.jpg
      lp.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.3 KB
      เปิดดู:
      50
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2016
  19. อรหโตพุทโธ

    อรหโตพุทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2015
    โพสต์:
    498
    ค่าพลัง:
    +1,017
    ร่วมเล่นเกมส์ครับ

    หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยปางมารวิชัย(สะดุ้งมาร) องค์พระเป็นทองสำริดทั้งองค์ หน้าตักกว้าง 3 ศอก 1 คืบ ลืมพระเนตร ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถวัดบางพลีใหญ่ใน ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เป็นพระพุทธรูปที่ได้รับการกล่าวขวัญว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่เคารพสักการะของชาวบางพลีและพุทธศาสนิกชนทั่วไป

    ความศักดิ์สิทธิ์
    หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน
    มีเรื่องเล่าเมื่อครั้งที่หลวงพ่อโตยังประดิษฐานอยู่ในพระวิหารเก่าว่า บางวันที่เป็นวันพระขึ้น 15 ค่ำ กลางคืนผู้คนจะได้ยินเสียงพึมพำอยู่ในวิหารคล้ายเสียงสวดมนต์ ครั้นเมื่อเข้าไปดูก็ไม่เห็นมีใครอยู่ในนั้นเลยนอกจากหลวงพ่อโต บางคราวพระภิกษุสามเณรในวัดจะเห็นพระภิกษุชราห่มจีวรสีคร่ำคร่า ถือไม้เท้าเดินออกมายืนสงบนิ่งอยู่หน้าวิหาร ผู้ที่พบเห็นต่างก็เรียกกันมาดู เมื่อทุกคนเห็นพร้อมกันดีแล้ว ภิกษุชรารูปนั้นก็เดินหายเข้าไปในวิหารตรงองค์ของหลวงพ่อ เป็นดังนี้หลายครั้งหลายหน บางครั้งจะมีผู้เห็นเป็นชายชรารูปร่างสง่างาม มีรัศมีเปล่งปลั่ง นุ่งขาวห่มขาวเข้ามาหาหลวงพ่อแล้วก็หายไปตรงพระพักตร์ของท่าน

    เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2520 หลวงพ่อได้กระทำให้เกิดปาฏิหาริย์ที่องค์ท่านซึ่งเป็นทองสัมฤทธิ์ เกิดนุ่มนิ่มไปหมดทั้งองค์ดังเนื้อมนุษย์ และต่อมาในปี พ.ศ. 2522 ก็เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้อีกครั้งหนึ่ง

    ชาวบางพลีต่างเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์และบารมีขององค์หลวงพ่อโต ได้คุ้มครองชุมชนบางพลีให้ปลอดภัยจากอัคคีภัย เพราะชุมชนอื่นที่อยู่โดยรอบ อาทิ ตลาดบางบ่อ ตลาดจระเข้ ตลาดคลองด่าน ล้วนแต่เคยประสบกับอัคคีภัยมาแล้วทั้งนั้น

    แม้แต่กระทั่งรูปเหรียญหลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน ชาวบ้านทั้งใกล้ไกลต่างพากันห้อยคอให้แก่บุตรหลานของตน เพราะกล่าวกันว่าเมื่อเด็กเผลอพลัดตกน้ำเด็กนั้นกลับลอยน้ำได้เป็นที่น่าอัศจรรย์ ตลอดจนทั้งพระเครื่องรางที่ทำเป็นรูปขององค์หลวงพ่อก็มีเรื่องเล่าอภินิหารป้องกันภยันตรายได้ต่างๆ นานา

    นอกจากนี้ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหลายต่างก็พากันมาบนบานกราบนมัสการองค์หลวงพ่อโต กล่าวกันว่าบางท่านที่ได้นำน้ำมนต์หลวงพ่อไปดื่มกินเพื่อความเป็นสิริมงคล ก็กลับปรากฏว่าโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นนั้นก็กลับหายวันหายคืนเป็นที่น่าอัศจรรย์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Buddhatho.jpg
      Buddhatho.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.7 KB
      เปิดดู:
      66
  20. runkey

    runkey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,114
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ร่วมเล่นเกมส์ครับ
    พระพุทธรัตนมณีโชติ (แก้วมณีโชติ)
    พระประธานอุโบสถในวัดสระแก้วปทุมทอง
    สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2486.
    องค์พระปางมารวิชัย ก่ออิฐถือปูนหน้าตัก 3 ศอก (59 นิ้ว) สูงจากฐาน 7 ศอก 1 นิ้ว (119 นิ้ว)ประดิษฐานในพระอุโบสถทรงโรง วัดสระแก้วปทุมทอง จังหวัดพิษณุโลก
    มีผู้เล่ากันว่า

    …หลวงพ่อโส โสภโณ ธุดงค์มาจากจังหวัดเลยและแวะปักกรด ณ บริเวณตำบลสระแก้วนั้น ได้บังเกิดศุภนิมิตในราตรีหนึ่งว่า “บริเวณนี้เป็นวัดเก่าแก่อายุหลายร้อยปี” จึงได้เดินสำรวจ พบเนินดินซึ่งปรากฏฐานอุโบสถเดิม และสมเด็จพระแก้วมณีโชติ พระประธานอุโบสถ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยเดิมสร้างด้วยศิลาองค์เล็กๆ อยู่ ณ จุดที่เป็นพระอุโบสถปัจจุบัน จึงแจ้งเรื่องราวดังกล่าวแก่เจ้าของที่ดิน เจ้าของที่ดินจึงถวายที่ดินให้สร้างเป็น วัดสระแก้วปทุมทอง และได้สร้างพระประธานองค์ใหม่ครอบองค์เดิม เมื่อประมาณ พ.ศ. 2486…

    ประดิษฐานในอุโบสถทรงโรง (แต่เดิมไม่มีซุ้มเรือนแก้ว และยักษ์ผู้อารักขาพระประธานอุโบสถ (อาฬวกยักษ์ และท้าวเวสสุวรรณ) เช่นเดียวกับพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร(วัดใหญ่) จังหวัดพิษณุโลก มีเพียงองค์สมเด็จพระแก้วมณีโชติเท่านั้น) ภายหลังในสมัยท่านพระครูศีลสารสัมบัน เป็นเจ้าอาวาส ได้ต่อเติมเพิ่มซุ้มเรือนแก้วจำลองอย่างพระพุทธชินราชในปี พ.ศ. 2508 พระนามองค์พระไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้ออกนามตั้งชื่อพระ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นท่านพระอธิการโส โสภโณ อดีตเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดสระแก้วปทุมทองเป็นผู้ตั้งพระนาม และไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้ปั้นองค์พระอีกเช่นกัน แต่องค์พระมีจุดเด่นตรงที่มีมณีรัตนชาติประดับตรงเปลวพระรัศมี หรือพระเกศ อันได้มาแต่เมืองเหนือ (องค์เก่าก่อนถูกลักไป)

    เคยมีผู้เล่ากันว่า ในคืนวันเพ็ญ จะมีแสงสว่างออกมาจากพระเกศเป็นที่อัศจรรย์ บางครั้งพระผู้ดูแลอุโบสถนึกว่าลืมปิดไฟ แต่พอเข้าไปกลับปรากฏว่าได้ยกสะพานไฟลงแล้ว ไม่น่าที่ไฟจะติดขึ้นเอง ช่วงหลังจึงติดตามปรากฏทราบว่า เป็นแสงจากมณีรัตนชาติในพระเกศสมเด็จพระแก้วมณีโชติ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...