@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

แสงสว่างเป็นกิเลส???








มีคนเล่าให้หลวงปู่ดู่ฟังว่า มีผู้กล่าวว่าการทำสมาธิเเล้วบังเกิดความสว่างนั้นไม่ดี เพราะเป็นกิเลส มืดๆ จะดี

หลวงปู่ดู่ท่านกล่าวว่า " ที่ว่าเป็นกิเลสก็ถูก เเต่เบื้องเเรกต้องอาศัยกิเลสไปละกิเลส ( อาศัยกิเลสส่วนละเอียด ไปละกิเลสส่วนที่หยาบ ) เเต่ไม่ได้ให้ติดในเเสงสว่าง หรือหลงเเสงสว่าง เเต่ให้ใช้เเสงสว่างให้ถูก ให้เป็นประโยชน์ เหมือนอย่างกับเราเดินผ่านไปในที่มืด ต้องใช้เเสงไฟ หรือจะข้ามเเม่น้ำมหาสมุทร ก็ต้องอาศัยเรือ อาศัยเเพเเต่เมื่อถึงฝั่งเเล้วก็ไม่ได้เเบกเรือ เเบกเเพขึ้นฝั่งไป "

เเสงสว่างอันเป็นผลจากการเจริญสมาธิก็เช่นนั้น ผู้มีสติปัญญาสามารถใช้เพื่อให้เกิดปัญญา อันเป็นเเสงสว่างภายใน ที่ไม่มีเเสงใดเสมอเหมือน ดังธรรมที่ว่า

" เเสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี "

 

ท่านจะเข้าสู่มรรคผลนิพพานในพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หรือยุคพระศรีอริยเมตไตยกันล่ะ ถ้าหมดช่วงยุคพระศรีฯ แล้วละก็โลกจะปิดกัป หรือที่เรียกว่า สุญญกัป คือ ไม่มีสิ่งที่มีชีวิตเหลืออยู่ ไม่มีโลก และทิ้งช่วงเป็นระยะเวลานานแสนนาน นับจำนวนปีไม่ได้เลยนะ


โลกถึงจะรวมตัวขึ้นมาใหม่ โดยอาศัย "ลม" พัดเศษฝุ่นต่างๆ ที่ลอยตัวอยู่ในอวกาศ กับ "น้ำ" มารวมกันเป็นก้อนโลก และพัฒนาจนกระทั่งมีสิ่งชีวิตเกิดขึ้น ฯลฯ


อย่างไรก็... ถ้าเข้าสู่มรรคผลนิพพานในยุคพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ไม่ได้ ก็ขอให้หมั่นปฏิบัติ ทาน(พอควร ตามกำลัง) ศีล สมาธิ ปัญญา กันให้มากๆ นะ เพื่อจะได้เกิดทันในยุคพระศรีอริเมตไตรย ฯลฯ สาธุ สาธุ สาธุ

 

ขณะนี้ คนเต็มวัด สวดจักรพรรดิกันกระหึ่ม... — ที่ วัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร

 

ประสพการณ์การสวดจักรพรรดิและปฏิบัติจิต

....อย่าหาว่าบ้านะ....
จากประสบการ์ที่มาสวดมนต์ที่วัดไตรมิตรกับหลวงตาม้า วันนี้....
1 . นั่งใกล้พี่ผู้หญิงไม่รู้จักกัน ถ้าจะเป็นลูกศิษย์ต้นๆกับหลวงตา ทักว่าหลวงปู่ดู่สอนให้ขยายกายใช่ไหม งงแรกรู้ได้ยังไง ไม่เคยเล่านอกกลุ่ม แล้วหลวงปู่บอกว่าให้สวดสบายๆ ไม่ต้องอธิษฐานอะไร
2. เริ่มสวดมนต์ ทีแรกก็นึกถึงหลวงปู่ดู่ซ้อนกาย พอสักพักได้เช่าพระจักพรรดิ์องค์เล็กมาก็มาถือไว้ที่มือและจำรูปลักษณ์จักรพรรดิ์ซ้อนกายแทน จำหน้าจำหลังก็มาดูแต่เครื่องทรงแล้วมาซ้อนกาย เกือบจะ 20 นาทีสุดท้าย ....เริ่มอีกแล้ว.... หลวงปู่บอกให้เอาพระไปไว้ที่หัวทำเหมือนมีกายท่านลงมาซ้อนที่กายเรา เอ้าแล้วคนก็เยอะอายก็อายกลัวคนอื่นว่าบ้า แต่ก็ทำตามแค่สวด 3 จบก็นำกลับมาถือไว้ด้านหน้าเหมือนเดิม... หลวงปู่เริ่มสอนเพิ่ม บอกว่าให้ทำกายเป็นทองด้วย จิตเราก็สวนทันทีไม่เห็นมีทองเลย ยังจะเถียงแบบเด็กอีก ดูมันนึก .... ไม่ทันสิ้นคำเถียง เห็นหลวงพ่อทองคำลอยมาจากด้านบนมาที่หน้า แล้วบอกว่านี้ไง ... ลืมเลยว่ามาสวดที่ไหน งานนี้มีหลวงพ่อทองคำมาเสริมการปฎิบัติ ....อีกแป๊ปเดียวหลวงพ่อโสธรทองคำก็มาอีกว่าให้จำรูปลักษณ์หลวงพ่อทองคำและหลวงพ่อโสธรเป็นกายเนื้อพร้อมกัน ส่วนเครื่องทรงจักพรรดิ์ให้นึกจากพระแก้วแดง
....เป็นประสบการณ์ตรง ที่หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตร หลวงพ่อโสธร ฉะเชิงเทรา มาช่วยกันสอน ...
ลูกจะพยายามปฎิบัติ ให้เลื่อนขั้นไปเรื่อยๆครับ..


https://www.facebook.com/profile.php?id=100002821220467&hc_ref=NEWSFEED

 

"วัดป่าธาราภิรมย์" ที่นี่ กับรายการ "แจ๋ว"
ที่ช่อง 3 ครับผม

พระอาจารย์โย และทีมงาน"วัดป่าธาราภิรมย์" ที่ตึกช่อง 3 family เพื่อเตรียม OnAir โครงการ "เยาวชน ตาอยู่ที่ภาพ จิตอยู่ที่พระ" การปฏิบัติธรรมตามแนวทางหลวงปู่ดู่...


"วัดป่าธาราภิรมย์" มอบพระแก้วแดง และประคำจักรพรรดิ ให้กับทาง ช่อง3 เฟมิลี่ ครับผม
อนุโมทนา สาธุบุญแด่ทุกๆท่านครับผม

 

ของจริง แต่..."คนไม่จริง"

 

วิญญาณ หรือสัมภเวสี หลายตน ทุกข์ทรมานมามาก บางตนเพิ่งขึ้นมาจากนรกหรือทุคติเช่นเปรต ที่อยู่ซ้อนในโลก เห็นความเป็นไปในโลกมาก แล้วยังจำได้ พอเค้าได้รับกำลังบุญจากการสัพเพฯของพวกเรา หรือ จากหลวงปู่ทวดหลวงปู่ดู่ ฯลฯ เค้าบอกเลยว่า จะไม่ยอมไปเกิดเป็นเทวดาที่สูงกว่านี้ หรือเกิดเป็นคน เพราะกลัวจะพลาดทำบาป จะคอยมาสวดมนต์กับพวกเรา แล้วรอจนพระศรีฯท่านมาตรัสรู้ ฟังธรรม แล้วเอามรรคผลยุคท่านเลย

 

ครู อุปัชฌาย์ ครูบาอาจารย์ ฯ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านช่วยครึ่งหนึ่ง ที่เหลือจงพึ่งทุนตนเอง

ทุนตนเอง คือ อะไร...

คือ ฉันทะ เจตนามุ่งมั่น ความศรัทธา ความเพียรพยายามที่จะพัฒนาชีวิตตนเอง ด้วยธรรมอันเป็นคุณ บุญ กุศล


...เราไม่อาจทราบชัดเจนว่าเราทำทุนไว้ในอดีตชาติเท่าไร เหมือนผู้ทรงวิชชาขั้นสูง ดังนั้น จงตั้งมั่นทำดี ณ ปัจจุบันให้มาก อย่าเสียเวลาเปล่า

ลมหายใจข้างหน้า สิ่งที่ทำไปเมื่อครั้งลมหายใจก่อน ก็เป็นอดีตกรรมดี ที่จะมาหนุนช่วยตนเองแล้ว

 

"บุญกับบาปถูกบันทึกที่จิต โดยอาศัยธาตุ พิจารณาให้ดี"

คติธรรมคำสอนหลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ

 

อารมณ์ดี ของหลวงตา ท่านหมายถึง..

ไม่เอาโลกธรรมมาใส่ใจครับ

โลกธรรม ทั้งรัก-ชัง สรรเสริญ-นินทาว่าร้าย ฯลฯ อันเป็นธรรมดาปกติทางโลก
ปล่อยเค้าเป็นๆเกิดๆดับๆไป แต่เรามีสุขจากภายในที่ได้เอาจิตใจไปอยู่กับ
ไตรสรณคมน์ หรือกรรมฐาน

พอโลกธรรมทางโลกมากระทบ ก็จะลืมง่าย แล้วมาอิ่มกับสุขในกรรมฐาน กับกระแสไตรสรณคมน์ภายใน



ถ้าใครสามารถมองเห็น ก็จะเห็นว่า
ทุกครั้งที่อารมณ์ดี( แบบทางธรรม ) แสงสว่างจากบุญที่เราเคยทำมา ตั้งแต่อดีตไกลแสนไกล จนมาถึงใกล้ๆ จะเข้ามาที่เราได้ทุกลมหายใจ



------

ส่วนอารมณ์ดีแบบโลกๆ คือ ความพอใจ ที่ยังต้องการสิ่งกระทบมากระทบทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าไม่ถูกกิเลส ก็จะกลายเป็นทุกข์
อารมณ์ดีแบบนี้ มันย้อนมาทำร้ายใจตนเองได้ทีหลัง




เมื่อเราพิจารณาได้ เราจะทราบว่า อารมณ์ดีแบบไหน คือ สิ่งที่เราควรทำไว้กับใจเนืองๆ