สภาวะการรู้เห็นการเกิด-ดับของ "จิตหรือสรรพสิ่ง" โดยแจ่มแจ้งเป็นอย่างไร?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย AVATAAR, 1 พฤศจิกายน 2014.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ปฏิบัติ พิจารณา

    มรรค 8 พิจารณา สติปัฏฐานสี่ กาย เวทนา จิต ธรรม เพื่อมรรคผลนิพพาน ครับ


    ^^
     
  2. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +3,204
    มีค่ะ ได้รับรู้ประสบการณ์ทางธรรมที่ดี ๆ และวิเศษหลายเรื่องเลยค่ะ
    แต่กลับฝึกสมาธิไม่ได้เรื่องเลย เหมือนจะให้เรียนรู้แต่เรื่องปัญญาว่า
    ให้รู้จักแก้ไขปัญหากับอารมณ์ตัวเองที่จะต้องปฏิบัติกับคนรอบข้างให้ได้
    ว่าทำอย่างไรจึงกระทำตอบคืนกลับให้ถูกต้อง ฝึกแต่สติสัมปชัญญะ
    แค่นั้นเองคะ ไม่รู้เพราะว่าอะไร อยากมีอภิญญาอย่างคนอื่นบ้างนะคะ^-^^-^
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    "ภาวนา คือรากแก้ว" (หลวงตามหาบัว ญาฯสัมปันโน)​

    คำภาวนา สร้างรากแก้ว ครับอย่าให้ขาด สร้างฐานฐานของสมาธิดี ยอดก็ดีตามครับ ^^
     
  4. chura

    chura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    688
    ค่าพลัง:
    +1,971
    ถ้าฝึกเจริญสติ สัมปชัญญะตาม(มรรค8ทุกข้อ) จะถูกต้องตามคำสอนครับ
    ถ้าจิตรวมเป็น สัมมาสมาธิ ได้เกิดจาก มรรคสมังคี คือเราเจริญมรรคทุกๆข้อ
    และเน้นข้อ สัมมาสติ คือเจริญสติปัฎฐานสี่ไปเรื่อยๆ กระทั่งจิตรวมเป็น
    สัมมาสมาธิ(เป็นผลจากการเจริยสติสัมปชัญญะ ตามมรรค8)จะเกิดฌาณ
    วิปัสสนา เข้าไปเห็นแจ้งกายใจ เห็นความเกิดดับของขันธ์5หรือเห็น
    ไตรลักษณ์ของขันธ์5ได้...สมาธิที่เกิด จึงเป็น สัมมาสมาธิ อันเป็นผล
    จากการเจริญสติ สัมปชัญญะ ตามมรรค8...

    ถ้าต้องการได้ อภิญญา ครูอาจารย์ท่านบอกเดินให้ถึงระดับ พระอนาคามี
    ให้ได้ก่อน ถ้ายังไม่ถึงอย่าไปเอาฤทธิ์เดี๋ยวจะหลงทางเสียเวลาไปเปล่าๆ
    ถ้าได้ พระอนาคามีแล้วถึงตอนนั้นก็ปลอดภัยแล้ว อภิญญาที่ได้จะเป็น
    ทางโลกุตระไม่ใช่ฌาณ โลกิยะ เมื่อจิตรวมเป็น สัมมาสมาธิ ก็อธิษฐานจิต
    เอาว่าต้องการเข้าไปเห็นภพชาติต่างๆ ถ้าพวกที่ไม่ต้องการอภิญญาก็เดิน
    เข้าสู่ อรหันต์ไปเลย เรียกว่า สุขวิปัสโก หลายๆคนไปเข้าใจผิดๆว่าเดิน
    ทางสายเจริญสตินี้ แล้วไม่ได้อภิญญา เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
    น๊ะครับ ฉะนั้นแล้วเจริญสติไปเรื่อยๆตามมรรค8 ถือว่าปฎิบัติถูกทางแล้ว
    เป็นทางแห่งอริยะชน...
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ "ไม่ใช่ ถาม-ตอบ" แต่เป็น "ทำ (ปฏิบัติ) - ตอบ (ตามอาการ)"
    +++ "ทำ" (สันทิฐิโก) เมื่อไร ก็ได้ "คำตอบ" (ปัจจัตตัง) เมื่อนั้น

    +++ ตรงนี้คุณ jityim "ทำ (ปฏิบัติ) - ตอบ (ตามอาการ)" หรือเปล่า ถ้าใช่ ผมก็ "ขออนุโมทนาด้วย"
    +++ หรือว่า ตรงกับตรงนี้ "+++ ลอง "ทำ" ดูนะครับ แต่ถ้ากลายเป็น "ลองคิดดู" เมื่อไร ก็คงต้อง "วาง" ไว้แค่นั้นก่อน นะครับ"

    +++ หากคุณ jityim เป็น "นักปฏิบัติ ตัวจริง" ตรงนี้ "ยากเกินความสามารถ" หรือเปล่า
    +++ ข้อ 1-3 นี้ อย่างเร็วก็ตก ยกละ 1-2 นาที อย่างช้า ก็ไม่ควรเกิน 10 นาที อย่าให้นานกว่านั้น แล้วให้ "พักยกสัก 3-5 นาที"

    +++ ส่วนของ "หลวงพ่อรัตน์ รัตนญาโน" นั้น ผมตามไป กูเกิ้ล ดูเฉย ๆ ก็เจอแต่ท่าน "พรรณา ตรงนั้น" ให้ฟังอย่าง สวยงาม เฉย ๆ

    +++ แต่หา "วิธีการทำ ให้ถึงตรงนั้น" ไม่เจอ ดังนั้น สำหรับผมแล้วถือว่า "เปล่าประโยชน์" เพราะ "ฟังไป ก็ไปไม่ถึง" ผลลัพธ์คือ "จิตเกิดความปรุงแต่ง" อันเปล่าประโยชน์

    +++ ถ้าคุณ jityim "เจอวิธีการ ทำ" ของ "หลวงพ่อรัตน์ รัตนญาโน" เมื่อไร ก็ "สมควรที่จะนำมาเผยแพร่" ไว้ในกระทู้นี้ด้วย (นักปฏิบัติตัวจริง สนใจ "วิธีทำ" มากกว่าสนใจ "นิยาย" นะครับ)

    +++ "ดำรงค์สติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า" สำหรับ "นักปฏิบัติตัวจริง" แล้ว คำว่า "ดำรงค์สติมั่น" คือ การ "ทำสติให้เป็นสมาธิ"

    +++ เมื่อ "สติเป็นสมาธิแล้ว" ก็จะเกิดอาการ "สติเห็น" ตรงนี้เท่านั้นที่เป็น "สัมมาปัญญา" นอกนั้นเป็น "ปรุงเห็นทั้งสิ้น"

    +++ ดังนั้น "ได้รับรู้ประสบการณ์ทางธรรมที่ดี ๆ และวิเศษหลายเรื่องเลยค่ะ แต่กลับฝึกสมาธิไม่ได้เรื่องเลย" ตรงนี้ก็ "บอกชัดแล้ว ว่าอะไรเป็นอะไร" ขอบคุณ "ที่พูดความจริง"

    +++ ส่วนคำพูดที่ว่า ""สิ่งนั้น"เหนือกว่าสภาวะรู้ (พ้นรู้)" นั้น แสดงได้อย่างชัดเจนแล้วว่า "ไม่รู้จัก สภาวะรู้" ยังอยู่แค่ "ผู้รู้ ที่ถูกรู้" เท่านั้นเอง

    +++ คำว่า "อภิญญา" นั้น มันเป็น "ผลลัพธ์ ของ สัมมาปัญญา" หาก "ดำรงค์สติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า" ยังไม่เกิดแล้ว มันก็เป็นได้แค่ "อภิอวิชชา" เท่านั้นเอง

    +++ ถามจริง ๆ ว่า คุณ jityim "เป็นนักปฏิบัติ" หรือเปล่า ถ้า "ไม่ใช่" ก็ไม่เป็นไร "ไปเรื่อย ๆ" ไปก่อน ก็แล้วกัน

    +++ ถ้าใช่ ตรงข้อ 1-3 หน้าแรก มัน "ยากเกินความสามารถ" หรือเปล่า ถ้า "ยากเกินไป" ก็วางไว้ให้คนอื่นเขา ก็แล้วกัน นะครับ
     
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ตอบท่านธรรมชาติค่ะ

    ถามว่าเป็นนักปฏิบัติตัวจริงไหม
    ปฏิบัติอยู่คะ อาการแบบไหนค่ะ จึงเรียกนักปฏิบัติตัวจริง

    ตอนนี้ปฏิบัติรู้เท่าทันอาการของอารมณ์อยู่คะ ยังรู้ตัวเองไม่ได้ตลอด
    เผลอมากรู้คะ ส่วนใหญ่จะรู้อาการตัวเอง ในขณะมีอารมณ์มากระทบคะ

    ถามว่า ทำตามปฏิบัติ ตอบตามอาการไหม
    จะเรียกว่าอย่างไรดีคะ เรียกว่า รู้และเข้าใจในอาการเหล่านั้นค

    เพราะได้รับประสบการณ์ทางจิตมา

    บางทีนะคะ การประสบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ถ้านำมาประมวล
    พิจารณาดูดี ๆ อาจจะทำให้เข้าใจลำดับขั้นสภาวะจิตของการปฏิบัติก็ได้นะคะ
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    มัวแต่ คิด ....ไม่ใช่ ปฏิบัติ

    การระลึก สภาวะธรรม คือ เราระลึกถึงการมีอยู่ มันแสดงตัว เกิด แล้วก็ดับ

    เราไม่ได้ไป นั่งคิดสาระตะ ไปนั่งจดจำ มัน ทำความเข้าใจมัน

    สภาวะ โลภ โกรธ หลง หรือ ความรู้สึกอื่นๆ มันเป็น สภาวะปรมัตถ์

    คือ มันสุดยอดแห่งบัญญัติอยู่แล้ว มาถึง ปลายผา ปลายทางแล้ว

    ไม่ใช่ มาฝึกระลึกปรมัตถ์ธรรม แล้ว ทะลึ่ง ไป หา ไปกระจาย
    ไปนั่ง สรุปความคิด ความเห็น รู้จัก ไม่รู้จัก วิเคราะ วิแคะ
    นั่น ฟังธรรมไม่เป็น ไม่เข้าใจ การ อาศัยระลึก

    ระลึกรู้สภาวะ ปรมัตถ์แล้ว(เจตสิก) ก็ไม่ต้อง วิแคะ

    ไม่ต้องไปสนใจว่า ละ หรือ ไม่ละ

    ให้สนใจไปที่ " ความยินดี ยินร้าย " ที่เป็น ตัวเหตุให้เกิด การเสวย

    ดูยินดี ยินร้าย เป็น ปรมัตถ์ อีกชั้น อาศัย ระลึกเพื่อเห็นความเกิดดับอีก

    หากกำหนดรู้ได้ ก็ มันดับของมันได้ จะต้องไป วิแคะ หรือไปนั่งดีใจ
    เสียใจ กับการมี การมา การไปของมันอีกไหม

    ถ้า ระลึกถูก จิตจะมี ปิติ ประกอบด้วยองค์ฌาณ อัตโนมัติ เพราะ
    สติ ไม่เกิดร่วมกับ " อกุศล "

    สภาวะอาสวะ อาจจะลั่นขึ้นมา ไปทาง อกุศล แต่ เราอาศัยระลึก
    เพื่อเจริญสติ หากภาวนาถูก จิตจะรับรู้ได้ถึง กุศลจิต อันเกิดจาก
    การเพียร ระลึก โดยไม่ต้อง วิแคะ ฮา อะไรอีก [ ถ้าไป วิแคะ
    จะเรียกว่า นิวรณ์ มันกัดเอา จากกุศลก็ผลิกกลับไปอกุศล ]

    ทำอย่างนี้บ่อยๆ จะ ปิติ ห้อมล้อมจิต จิตไม่ห่างจาก ฌาณ

    พอจิตไม่ห่างจาก ฌาณ พระพุทธองค์ตรัสว่า จิตนั้นย่อมเลือกเฝ้นธรรม
    เพื่อการระลึกยิ่งๆขึ้นไปอีก ด้วยตัวจิต จึงพ้นสังขาร วิตก วิจาร ดับ
    แต่จะระลึก ปิติ สุข อุเบกขา เอกัคคตา เป็นปรมัตถธรรม ที่อาศัยระลึก
    [ ตรงนี้ อย่าไปเอาเรื่อง การทำฌาณ มาคร่อม การปฏิบัติ จะ งง งวย ไม่เลิก
    จะไป ฉวยจิตมาเป็นตน ไม่เลิก ]

    เพื่อสำรอก อาสวะปราณีตเหล่านี้ออก โดยไม่ต้อง ทำฮา อะไรอีก
    [ สำนวนธรรม ก็ ธรรมปราณีตยังภาวนาเพื่อสำรอกออก หากทำได้
    อย่างนี้ อุกศลจิตก็ไม่ต้องกล่าวถึง ....ถ้า ลงมือปฏิบัติ จะทราบ
    หาก ยังมัวแต่วาดภาพนักปฏิบัติไม่เลิก ก็จะเที่ยว อิอิ ก๊าบๆ แงว ]

    ระลึกอยู่แบบนั้น จนตัวแทบลอย จิตเบา กายเบา

    เบามาก หากเป็นกายสักขี เดี๋ยวมันจะ แยกไป เอาจิตไปใส่กาย เอากาย
    ไปใส่จิต ตามแต่ บารมี วาสนา จะมี แต่ ยังไงเสียก็เรียก จิตมันแฉลบ
    ออกไปทาง พฤติจิตหวือหวา กากเดน แห่งจิตที่เคยสะสมมา [ ถ้าหนัก
    ไปทางใช้ความคิด ความคิดจะเป็นสิ่งลวงที่ยกเป็นปรมัตถ อาศัยระลึก
    ก็จะเป็น การภาวนาอีกแบบหนึ่ง เกินกว่านั้น จะเป็นพวกเอา ความว่าง
    หลากชนิดมาวิจัยด้วยตัวจิตเอง ไม่ใช่ ด้วยคนขี้โม้ หน้าไหน ]

    สำรอกไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้อง นั่งจุมปุ๊ก

    หายใจหนึ่งหน หากไม่มีการระลึก จะรู้เลยว่า ประมาทไปแสนโกฏขณะจิต โหลยโถ้ย !!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2014
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ถ้ากล่าว แบบนี้แล้ว ยังปรารภ แบบ คิดโน้นคิดนี่ วาดภาพการปฏิบัติให้
    สวยตะพึดตะพือ ไม่เลิก

    ก็ไม่ไหวและ ตามสบาย
     
  9. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    ตอนรู้เห็นอย่างนี้จิตมีอาการอย่างไรครับ
     
  10. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385

    ถ้าจะบรรลุธรรม ก็จะรู้แจ้งสิ่งเดียวกันหมดนี่แหละครับ
    ที่ว่ารู้แจ้งสิ่งเดียวกัน ไม่ได้หมายความว่าต้องคิดให้เหมือนพระพุทธองค์ แต่
    เป็นการเจริญมรรคแปดจน เห็นสิ่งเดียวกับที่พระพุทธองค์ ตรัสรู้ ไม่มีเรื่องอื่น
    ต่อให้ใครก็ตามกล่าวเรื่อง สวรรค์ เทวดา ลึกล้ำพิศดาร
    แต่ถ้าไม่เข้าไปเห็น "ไตรลักษณ์" "อริยสัจ"อันนี้ยังห่างไกลอยู่


    ทีนี้แค่กำหนดรู้อย่างที่คุณ จิตยิ้ม บอกมันไม่พอ จากเจริญมรรคองค์เดียว
    ต้องทำให้ครบ มันจะล้างสัญชาติญาณเดิม ล้างอนุสัย
    มรรคมีองค์8 นี่ใครก็ได้เลว ชั่วแค่ไหน ให้จิตมันติดลบแค่ไหน
    ถ้าเค้าพยายามปฏิบัติมรรคแปด ก็นิพพานได้
    ฉะนั้นมรรคแปด พระพุทธองค์ใช้ลื้อสัตว์ ขนสัตว์เลย


    "สัมมาทิฐิ คือ ความรู้ในอริยสัจ" อันนี้ถ้ายังไม่ละสักกายทิฐิ ยังไม่รู้อริยสัจ ไม่รู้ทุกข์
    พระพุทธเองค์ให้เข้าหาผู้ถึงอริยสัจ มันจะได้ไม่หลงทาง เพราะผู้ถึงอริยสัจ จะขนาบให้เราอยู่ในทาง
    แต่ไม่ใช่การอ่านคำสอนของครูบาอาจารย์ ต้องอยู่ใกล้ครู เพราะถ้าเราอาศัยอ่านอย่างเดียว
    มันจะอ่านเฉพาะที่เราสนใจ และมันจะหาแต่สิ่งที่เข้ากับทิฐิตนเท่านั้น
    ปฏิบัติอย่างนี้ก็ไปได้แต่ อาศัยลองผิดลองถูกเอา ถ้าสักวันมันเจอทางที่ถูกก็ดีไป แต่ถ้าทั้งชีวิตไม่เจอเลย
    อันนี้ตายฟรีไปอีกชาตินึง
    อาศัยผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิ ขนาบเราไปก่อน ตอนนี้เหมือนตาบอดคลำช้าง
    แต่เมื่อไหร่รู้ทุกข์ รู้อริยสัจขึ้นมา ความเห็นเราจะถูกตรง เมื่อถูกตรงก็นำทางตัวเองไปได้


    "สัมมาสังกัปปะ" พาตัวออกจากกาม ที่มันเกิดจากการเข้าไปเสพทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    เมื่อไหร่อยากจะดูหนังดูละคร ฟังเพลง แล้วเห็นว่า เป็นแค่การปรุงแต่งที่เกิดจากการกระทบของผัสสะ
    จนเกิดความคิดอยากจะละ มาอยู่กับความสงบที่ไม่มีตัณหา ไม่บีบคั้นในจิต ตรงนี้เป็นปัญญาในมรรค
    สัมมาสังกัปปะ อีกอย่าง คือ ไม่มุ่งร้าย ไม่เบียดเบียน
    เมื่อเราไม่มุ่งร้าย เบียดเบียนผู้อื่น กายใจเราก็ไม่เดือดร้อน เผาลน เกื้อกูลให้จิตตั้งมั่นง่าย


    "สัมมาวาจา" "สัมมากัมมันตะ" ตรงนี้ดูแล กายกับวาจาไม่ให้สร้างความเดือดร้อน
    เมื่อกายวาจา สำรวมระวัง กรรมใหม่ก็ไม่สร้าง วิบากในทางต่ำก็ลดลงจน ไม่เกิดวิบากที่ต้องไปรับต้องไป
    2ข้อนี้เป็นข้อของศีล คือก่อนที่เราจะทำผิดศีลได้ จิตต้องบีบคั้นเต็มที่ จึงเกิดเป็นการกระทำได้
    แต่ถ้าไปดูมรรคในข้อ สัมมาสังกัปปะ ที่เราต้องทิ้ง ความคิดในทางพยาบาทอยู่แล้ว เมื่อพยายามละอยู่ในจิต
    ไม่มีทางออกมาเป็นการกระทำ มรรคแต่ละองค์เอื้อกันหมด


    "สัมมาอาชีวะ" เราไม่เลื้ยงชีวิตด้วยอาชีพที่เบียดเบียน ยกตัวอย่างอย่างนี้
    เราใช้ชีวิตในการทำงานซะส่วนมาก ถ้าเราขายเหล้า จิตเรามันคอยจดจ่ออยู่ว่า
    วันนี้อยากจะขายได้เยอะๆ เมื่อขายได้เยอะ จิตมันไปเบียดเบียนอยากให้คนอื่นเมา
    พอเมา เค้าก็มาซื้อเราเยอะ เราขายได้เยอะ เรากำไรเยอะ
    จิตจดจ่ออยู่ในทางเบียดเบียนทั้งวัน ทั้งคืน ละอกุศลในจิตได้ยาก


    "สัมมาวายามะ" เพียรละความคิดที่ไม่ดี และไม่พยายามให้ความคิดไม่ดีเกิดขึ้น
    และให้จิตกาะกับอุเบกขาไว้ก่อน ในที่นี้ละความคิดไม่ดี และให้จิตไปเกาะกุศลไว้
    ลมหายใจ หรือ กาย คือ กุศล จิตเกาะอุเบกขา
    ข้อนี้สำคัญ มันจะค่อยๆล้างอนุสัยออกจากจิต เมื่อพยายามละอกุศลอยู่
    ก็เกื้อกูลในมรรคข้ออื่นๆไปด้วย
    ชีวิตประจำวัน ต้องพยายามความคิดอกุศล จนความคิดในทางอกุศลเกิดน้อยลง
    แต่เมื่อจิตเกิดความพอใจ อะไร เกิดความคิด ตริ ตรึก ขึ้นมา ก็ต้องเพียรละออกเช่นกัน
    ตามข้อ สัมมาสังกัปปะ


    "สัมมาสติ" ข้อนี้รู้จักกันดีในสติปัฏฐานสี่ ให้จิตเข้าไปรู้เห็นในฐานต่างๆ
    กายบ้าง เวทนาบ้าง จิตบ้าง ธรรมบ้าง
    ตรงนี้ถูกเจริญมาเรื่อยๆแล้วตั้งแต่ "เพียรละความคิดอกุศล"
    เมื่อมีความระลึกได้ว่า ตอนนี้จิตเกิดโทสะขึ้น
    ขณะระลึกได้แว่บแรกนั้นคือ สติ
    เมื่อมีสติ จะเกิดความรู้ตัว
    ความรูู้ตัวที่ต่อเนื่องจะเกิดความตั้งมั่นของจิต ความตั้งมั่นของจิตนี้คือ


    "สัมมาสมาธิ" คือนี้คือหัวใจสำคัญเลย
    ความที่เจริญสติ จนมีสัมปัญชัญญะต่อเนื่องจนจิตตั้งมั่น
    เมื่อจิตตั้งมั่นจะเห็น ธรรมชาติทั้งหลายตามความเป็นจริง
    เห็นแจ้งอย่างเดียวกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าเห็น
    ถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างจากความหมายในความเป็นตัวเป็นตน
    จิตที่ตั้งมั่นก็เหมือนน้ำที่ตกตะกอน ก็จะเห็น กุ้ง หอย ปูปลา ในน้ำได้
    จิตที่ตั้งมั่นเห็นสัจธรรม ตามความเป็นจริง
    ว่าขันธ์5 ที่เราเจริญมรรคแปดไปจนเห็นว่ามัน เป็นแค่สิ่งหนึ่งมีปัจจัยให้เกิด ก็เกิด
    หมดปัจจัยก็ดับ ไม่มีเราตรงไหน จนมันสะเทือนเลื่อนลั่น "ข้อนี้เข้าไปตัดสังโยชน์ข้อ สักกายะทิฐิ"
    ที่เคยมั่นหมายว่ามีตัวเรา เป็นตัวตน มันหายไปจากการเห็นครั้งนี้
    มรรคแปดทางที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ ช่วยบล็อคเราอยู่ในทางทั้งหมด
    ตั้งแต่กาย วาจา จนไปถึงระดับจิต ถอนอนุสัย
    มรรคมีองค์ 8 กระทำได้ทุกคน
    มันอยู่ที่ว่า ใครจะเอาไปปฏิบัติหรือไม่ ให้ความสำคัญหรือไม่ แค่ไหน
    มรรคแปดปฏิบัติไปจนสุดทาง
    เมื่อละสักกายะทิฐิได้ คราวนี้จะเห็นทุกข์ที่ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ
    ถ้าพระโสดาบัน จะเห็นทุกข์ ในสรรพสิ่งว่าเป็นของไม่เที่ยง ว่างจากความหมายในความเป็นตัวตน
    เป็นผู้เห็นทุกข์ในอริยสัจแบบหยาบ
    จนปฏิบัติมรรคแปดต่อไปจะเริ่ม เห็นความทุกข์ที่เกิดตัณหา
    และจะเห็นทุกข์ในขั้นอุปาทาน ข้อนี้โสดาบันรู้แล้ว แต่จิตยังละไม่ได้
    แต่เมื่อใดยิ่งปฏิบัติมรรคแปด จนเข้าไปเห็นทุกข์
    จนจิตอยากจะพ้นไป
    ถ้าความรู้สึกถึงทุกข์ในอุปาทานมันสะเทือนเลื่อนลั่นจนถึงที่สุด
    จนจิตบอกคืน สละคืน หมดตัณหา
    เมื่อนั้นก็ถึงที่สุดทุกข์ หมดเชื้อพาไปเกิด จนคืนสู่ธรรมชาติเดิม ที่ไม่มีตัณหา
    พ้นไปจากวัฏสงสาร ที่เต็มไปด้วยทุกข์ และสุขแบบฉาบฉวย


    ฉะนั้นต้องเจริญมรรคมีองค์8 มรรคองค์เดียวไม่มีทาง
    จะถึงมรรคผลได้ครับ
     
  11. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    ที่คุณจิตยิ้ม อยากมีอภิญญา เพราะยังไม่เห็นทุกข์ในอริยสัจมากพอครับ
    ถ้าเห็นจนมันสะเทือน จิตฟันธงจริงๆว่า ทุกสรรพสิ่ง มีสภาพทุกข์ ทนสภาพเดิมไม่ได้ คงอยู่แบบเดิมไม่ได้
    อย่างนี้อภิญญาก็ไม่อยากเอา เป็นของไม่คงที่ เกิดขึ้นแล้วก็หายไป
    ชาตินี้มีอภิญญา ตายไปก็หมด ชาติหน้าเกิดมาก็ทำใหม่ วนเวียนอย่างนี้

    สิ่งเดียวที่จะให้คนที่ปฏิบัติไปถึงนิพพานได้จริง
    มีแค่การตั้งปลายทางไว้เพียงอย่างเดียว คือ อยากพ้นไปจากทุกข์ อยากพ้นไปจากการเวียนว่ายไม่จบสิ้นนี้
    ตั้งปลายทางไว้จะสร้างบารมี
    ตั้งปลายทางไว้จะได้บรรลุธรรม
    ตั้งปลายทางไว้ เพื่อ ความดี ความสุข ความสงบ
    อย่างนี้สุ่มเสี่ยงกับการเพิ่มความเป็นตัวตนระหว่างปฏิบัติมาก

    ถ้าตั้งปลายทาง คือการพ้นไปจากทุกข์ ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งถอน ยิ่งละ ยิ่งคลายออก
    ลาดลุ่มไปทางเดียวกับนิพพาน คือ การถอนตัณหา สละออก
    ไม่เพิ่มไม่เสริมกำลัง ไปก่อความเป็นตัวตน ให้ยิ่งถอนตัณหา ออกยากยิ่งไปอีก
    แต่ทางที่ลาดลุ่มไปนิพพานนี้มันไม่วิจิตรพิศดาร ไม่ตื่นตา ตื่นใจ สวนทางกับกิเลสมนุษย์ ที่จะเพิ่ม
    ไปตามสัญชาติญาณ อยากมี อยากเป็น

    วันนี้ถ้าบอกนิพพาน คือ การหมดความอยาก หมดตัณหา หมดการปรุงแต่ง
    จะมีซักกี่คนที่อยากนิพพานอีก

    เชื่อไหมครับถ้าผมมีอิทธิฤิทธิ์ ให้คนหมดตัณหา ให้คนหมดความปรุงแต่งได้ ซึ่งเป็นสภาวะของนิพพาน
    ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ไม่เอาแน่
     
  12. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603
    .

    สภาวะบางอย่างที่บอกกล่าวกันได้ ผมก็ปรารถนาให้ผู้รู้ช่วยชี้แจงแถลงไขบ้างเปรียบเทียบบ้างยกตัวอย่างบ้าง พูดคุยบ้าง

    ซึ่งจริงๆแล้วสภาวะจากที่ปฏิบัติผ่านมาอย่างถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ มันก็ลงรอยกันได้กับการสนทนากันหรือจิตถึงจิตหรือจากพระธรรมในพระไตรปิฏกก็ตาม

    ถ้าเราจะกล่าวประโยชน์ในทางเกื้อกูลกันบ้าง เราก็อย่าเพิ่งไปตัดบทเลยว่า "ของอย่างนี้มันปัตจัตตังนะ ไม่ทำเองไม่รู้หรอก" นั้นก็ถูก

    แต่ผู้ไม่รู้ทางผู้ยังใหม่ยังไม่เห็นทางเป็นสัมมาทิฏฐิเสียก่อน ปฏิบัติไปก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไรเริ่มอย่างไร สัมมาทิฏฐิก็ยังไม่ถูกต้อง มันก็จะเนิ่นช้าเสียเวลาเปล่า
    ติดอยู่ในวังวนสังสารวัฏไม่สิ้นสุด เพราะไม่บอกไม่สอนไม่ชี้แนะ แต่ผลักใสไปให้ ปัจจัตตัง รับผิดชอบเสียฝ่ายเดียว

    โดยส่วนตัวผมติดตามท่านนิวรณ์มานานและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ท่านลงมาแสดงความเห็นด้วยครับ
    ท่านตรงไปตรงมา ไม่เยิ่นเย้อ ไม่อ้อมค้อม ไม่ปกปิด มีเหตุมีผล รู้กาล รู้สถาน รู้ประโยชน์ ทุกคนต่างมีสไตล์

    ทำให้นึกถึงว่า ความคิดความเห็นท่านคล้ายๆครูบาอาจารย์สายปฏิบัติบางท่าน

    แต่สำหรับน้องๆผู้มาใหม่ก็ขอให้เพียงสะกิดเบาๆนะครับ เดี๋ยวน้องๆเค้าจะเสียกำลังใจ

    ด้วยความเคารพและขอขอบพระคุณในทุกทัศนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2014
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +3,204
     
  14. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385

    "แต่ผู้ไม่รู้ทางผู้ยังใหม่ยังไม่เห็นทางเป็นสัมมาทิฏฐิเสียก่อน ปฏิบัติไปก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไรเริ่มอย่างไร สัมมาทิฏฐิก็ยังไม่ถูกต้อง มันก็จะเนิ่นช้าเสียเวลาเปล่า
    ติดอยู่ในวังวนสังสารวัฏไม่สิ้นสุด เพราะไม่บอกไม่สอนไม่ชี้แนะ แต่ผลักใสไปให้ ปัจจัตตัง รับผิดชอบเสียฝ่ายเดียว"



    ตรงนี้เห็นด้วยกับครับ นี่เป็นปัญหาของผู้ปฏิบัติใหม่
    ยังไม่รู้ว่าที่ทำๆกันอยู่เดินจงกลม นั่งสมาธิ นั้นทำไปเพื่ออะไร
    ยังไม่เห็นทางที่จะเดินไป
    แน่นอนว่าผู้ใหม่อาจจะยังไม่มีปัญญาในทางธรรม แต่
    ก็ยังสามารถยังใคร่ครวญด้วยเหตุ ด้วยผล เลยว่า "ทางนี้เป็นไปได้หรือไม่"
    เมื่อพอได้เห็น "เค้าลาง"
    ก็จะเกิดการปฏิบัติชอบ
    แล้ววันนึง เมื่อปฏิบัติตามทางที่ตนใคร่ครวญ ด้วยเหตุ ด้วยผล ว่าใช่ นี้
    ก็จะรู้เห็นอริยสัจได้ โดยการที่หันเข็มทิศที่ถูกต้อง

    แต่ถ้าไม่เกิดการปรับสัมมาทิฐิกันเสียก่อน
    ไม่รู้ว่าปฏิบัติอย่างนี้ไปเพื่ออะไร นั่งสมาธิไปทำไม
    สักแต่ทำตามๆกัน
    ก็จะกลายเป็นต้องนั่งสมาธิให้ได้นานๆ ให้สงบๆ หรือให้เสพสุขในสมาธิ
    เพราะการไม่หยิบเข็มทิศขึ้นมาดูก่อน เจอคนชี้ไปอย่างไรก็เดินไปอย่างนั้น
    โดยไม่รู้เลยว่าทางที่จะเดินไปนั้นถูกต้องหรือไม่

    ปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ล้วนเป็นเรื่องของเหตุ ของผล ทั้งสิ้น
    ไม่ได้นอกเหนือจากความเป็นเหตุผลเลย ไม่ใช่พิศดารเหนือโลก เหนือจักวาล อภินิหารแต่อย่างใด

    ผู้ปฏิบัติ แม้จะเพิ่งเริ่มปฏิบัติ ก็สามารถ ใช้ความคิดใคร่ครวญถึงความเป็นเหตุเป็นผลนี้ได้
    ใช้ปัญญาจากการใคร่ครวญก่อน เมื่อเห็นว่า "น่าจะเป็นไปได้"
    จึงปฏิบัติตาม เอากายใจ นี้ไปทดลอง พิสูจน์ดูว่า
    สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น "จริงหรือไม่"
     
  15. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
     
  16. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +3,204
    คือเป็นอย่างนี้คะ

    ขณะที่จิตดิ่งลงไปนั้น เข้าไปรู้สิ่งนี้ ความรู้สึกจิตยอมรับโดยดุษดี
    ไม่มีข้อแม้อะไรทั้งสิ้น แต่ขณะที่กำลังรู้อยู่ ณ.ขณะนั้น
    เหมือนมีดวงจิตอีกดวง รู้สึกมีความเสียใจ อาลัยอาวรณ์ดึงรั้งเอาไว้
    ไม่ให้เข้าไปอยู่ตรงนี้ ในความรู้สึกของจิต ณ ขณะนั้น รู้สึกว่าเรากำลังทิ้งเขาไป
    จึงรีบถอนจิตออกมาคะ

    แต่ผลพวงต่อจากนั้น ความสงบเย็น หมดความดิ้นรน หมดความเร่าร้อนไปนาน
    เลยคะ แล้วค่อยคืนกลับสภาพเดิมทีละน้อย เพราะอยู่กับโลกอย่างเต็มที่ และ
    ยังไม่ได้ปฏิบัติอะไรมากนัก

    แต่สิ่งที่ได้ติดอยู่ในจิต คือ รู้ความเป็นอนัตตา เข้าใจและรู้ได้ด้วยใจ

    เวอร์ไปไหมคะ ถ้าจะบอกว่าเป็นธรรมอันเดียว กับที่หลวงตาบัว และ
    หลวงปู่ขาว อนาลโยได้ แต่ ต่างกันตรงที่ข้าพเจ้า ยังมิได้บรรลุธรรม

    ขอความเห็นด้วยคะ ถ้าไม่ใช่ สิ่งนี้ คือ อะไร

    และ ถ้าใช่ รู้สิ่งนี้ไว้ก็คงไม่เป็นไรนะ
     
  17. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385

    ขอบคุณที่ตอบครับ ที่ผมถามถึงสภาวะนี้เพราะมันใกล้เคียงกับสภาวะ...........มาก
    ขอถามขยายอีกนิดนึงเพื่อความชัวครับ

    ลองนึกย้อนไปอีกครั้งนะครับผมเชื่อว่าต้องจำได้ถ้าเป็นสภาวะ............

    - ก่อนหน้าสภาวะนี้จิตเกิดปิติ สลับไปมาหรือไม่ครับ
    - ขณะที่จิตดิ่งลงไปนั้น ที่ว่าจิตดิ่ง จิตมั่นคงไหมครับ คือเห็นสภาวะภายในชัดหรือไม่
    - ที่ว่ามีความรู้สึกเสียใจ รู้สึกเสียใจต่ออะไรครับ


    ถ้าเป็นสภาวะบรรลุธรรม สิ่งที่เห็นกับอาการของจิตเป็นแบบเดียวกัน ต่างกันแค่อาการมากน้อยแค่ไหน

    ส่วนเดี๋ยวเรื่องผลพวงคุยกันต่อครับ เพราะถ้าใช่ความเข้าใจในอนัตตาธรรมจะเข้าใจได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 พฤศจิกายน 2014
  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +3,204
     
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +3,204


    เดี๋ยวทำงานบ้านก่อนนะคะ เดี๋ยวเข้ามาตอบคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2014
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +3,204

    -ก่อนหน้าสภาวะนี้จิตเกิดปิติสลับไปสลับมาหรือไม่?

    ไม่คะ แค่รู้เฉย และวางทุกสิ่งไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น

    คือ ระลึกความทุกข์ ความเจ็บปวดที๋ทรมาน อย่างแสนสาหัสในชีวิต
    ที่พบแต่ความผิดหวังและพลัดพราก นั่งสมาธิกำหนดระลึกรู้อยู่ แล้วก็หยุด
    อยู่อย่างนั้น วางทุกอย่างแม้แต่เอง นิ่งไม่มีอารมณ์ ไม่มีความคิด
    สักครู่ชั่วขณะ รู้สึกว่าจิตดิ่งลง เหมือนเราทิ้งของหนักลงไปข้าง ลงแบบ
    แนวตั้ง ผ่านคลื่นพลังงาน ที่มีกระแสสั่นสะเทือนลงไปคะ

    - ขณะที่จิตลงไปนั้น ที่ว่าจิตดิ่ง จิตมั่นคงไหมครับ?

    หนักแน่นและมั่นคงมาก รู้เห็นสภาวะภายในตัวเอง อย่างชัดเจน
    สว่าง กว้างขวาง ไร้ขอบเขต

    - ที่ว่ามีความรู้สึกเสียใจ รู้สึกเสียใจต่ออะไรครับ?

    รู้สึกว่า ดวงจิตดวงนั้นกำลังเสียใจว่า ถ้าเราไม่ออกจากตรงนี้

    ต่อไปเราคงจะไม่มีโอกาสช่วยเขาอีกแล้ว เนื่องจากติดอฐิษฐาน.......pig_cryy


    ขอฟ้าดินจงเป็นพยาน สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดนี้เป็นความจริงทุกประการ
    มิได้หวังสิ่งใดเลยคะ เพือแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และมีประโยชน์
    ในอนาคตเท่านั้นเอง:d(deejai)
     

แชร์หน้านี้

Loading...