สภาวะการรู้เห็นการเกิด-ดับของ "จิตหรือสรรพสิ่ง" โดยแจ่มแจ้งเป็นอย่างไร?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย AVATAAR, 1 พฤศจิกายน 2014.

  1. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603
    .


    สภาวะการรู้เห็นการเกิด-ดับของ "จิตหรือสรรพสิ่ง" โดยแจ่มแจ้งเป็นอย่างไร?

    และเราจะได้ประโยชน์อันใดบ้าง จากการรู้โดยแจ่มแจ้งนี้?


    ขอเชิญผู้รู้และสหธรรมมิกทุกท่านช่วยกันชี้แนะเกื้อกูลด้วยครับ


    .
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    สภาวะการรู้เห็นการเกิด-ดับของ "จิตหรือสรรพสิ่ง" โดยแจ่มแจ้งเป็นอย่างไร?

    +++ "สภาวะรู้" เห็น การเกิด-ดับของ "จิต" โดยแจ่มแจ้ง นั้น "เป็นตามประโยคนี้" นี่แหละ

    +++ จิตอื่นหมื่นแสน ไม่เท่าไร "จิตตน" หรือ "อัตตาจิต" หรือ "ตัวกู" นี่แหละ ที่ "ถูกรู้ ถูกเห็น" โดย "สภาวะรู้" ได้

    +++ สภาวะของ "จิต" นั้น "พูดกันในทุกกระทู้อยู่แล้ว" ดังนั้น "หา shopping" กันได้ตาม "กระทู้สะดวกดู" ก็แล้วกัน

    +++ ส่วน "สภาวะรู้" นั้น ให้ลองใช้ "วิธีง่าย ๆ" ตรงนี้ดู

    +++ 1. หลับตา 2. ทำให้ตัวเอง "ไม่รู้" ด้วยวิธีการสารพัด
    +++ 3. มันก็ "ยังรู้" อยู่ดีนั่นเอง ในทุก "อาการที่พยายาม" รวมทั้ง "อาการไม่รู้" ก็ถูกเหมารวมอยู่ในนั้น

    +++ เมื่อรู้แล้วก็ "ทำสภาวะรู้ให้แจ้ง" ว่า สภาวะนี้ "ทำให้เจ็บ ทำให้ตาย ทำให้ทุกข์" ได้หรือไม่

    +++ รวมทั้ง "สภาวะนี้ เกิดมา นานเท่าไรแล้ว" "สภาวะนี้ แก่ ได้หรือไม่" "สภาวะนี้ เจ็บ ได้หรือไม่" และท้ายสุด "สภาวะนี้ ตาย ได้หรือไม่"

    +++ และคำว่า "ตนที่แท้" นั้นหมายถึง "สภาวะรู้" สภาวะนี้ ใช่หรือไม่ และท้ายสุด

    +++ สภาวะนี้ ตรงกับสภาวะที่ เจ้าคุณนรฯ ธมฺมวิตกฺโก ได้เคยกล่าวไว้ว่า "ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้นั้นไม่จริง" ใช่หรือไม่

    +++ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ "ไม่ใช่ ถาม-ตอบ" แต่เป็น "ทำ (ปฏิบัติ) - ตอบ (ตามอาการ)"

    +++ "ทำ" (สันทิฐิโก) เมื่อไร ก็ได้ "คำตอบ" (ปัจจัตตัง) เมื่อนั้น

    และเราจะได้ประโยชน์อันใดบ้าง จากการรู้โดยแจ่มแจ้งนี้?

    +++ ลอง "ทำ" ดูนะครับ แต่ถ้ากลายเป็น "ลองคิดดู" เมื่อไร ก็คงต้อง "วาง" ไว้แค่นั้นก่อน นะครับ
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ปฏิบัติให้เป็น พระอริยเจ้า โสดาบัน ขึ้นไปครับ จขกท ^^
     
  4. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    คำถามแบบนี้เปรียบดั่ง ผู้ที่เคยได้ลองลิ้มชิมรสอันเผ็ดร้อนของพริกแล้วย่อมจะรู้ว่าพริกนั้น
    มันมีรสเผ็ดร้อนเป็นยังไง โดยเพราะเขาได้กินพริกนั้นและได้ถูกรสความเผ็ดร้อนของพริก
    นั้นกระทบลิ้นของเขาจนรับรู้รสอันเผ็ดร้อนของพริกนั้นด้วยตนเองแล้วฉันใด

    ถ้าหากผู้ใดที่ยังไม่เคยได้ลองกินพริกเลย เพียงแต่เคยได้ยินชื่อของรสอันเผ็ดร้อนของพริก
    นั้นผ่านหูมาแล้วเท่านั้น ถึงแม้ว่าผู้ที่ยังไม่เคยกินพริกเลย จะพยาถามผู้ที่เคยกินพริกแล้วว่า
    รสเผ็ดนั้น มันเผ็ดอย่างไร เผ็ดแบบไหน ผู้ที่เคยกินพริกมาแล้วก็จะบอกได้แต่เพียงว่า
    พริกมันก็มีรสเผ็ดอย่างพริกนั่นแหละ มันไม่เป็นเผ็ดเหมือนอย่างอื่นอีกแล้ว

    ทีนี้ไอ้คนที่มันไม่เคยกินพริกมาก่อนเลย ก็ได้แต่มานึกด้นเดาเอาเองว่ารสเผ็ดของพริกนั้น
    มันน่าจะคล้ายกับรสเปรี้ยวของมะนาวหรือเปล่านะ หรือจะคล้ายกับรสเค็มของเกลือหรือ
    เปล่านะ หรือจะคล้ายรสหวานของน้ำตาลหรือเปล่านะ หรือคล้ายกับรสขมของบอระเพ็ด
    หรือเปล่านะ หรือจะคล้ายกับรสจืดสนิทของน้ำหรือเปล่านะ สุดท้ายแล้วคนที่ยังไม่เคยได้
    กินพริกจริงๆ ก็จะได้แต่ความสงสัยกลับไปและก็จะไม่มีทางได้รู้จักความหมายที่แท้จริงของ
    รสเผ็ด ของพริกว่าจริงแล้วมันเป็นรสยังไง และมิหนำซ้ำยังอาจจะเทียบเคียงรสเผ็ดของ
    พริกจากความรู้เดิมของตนที่เคยได้ลิ้มลองแต่เพียง รสจืด เปรี้ยว เค็ม หวาน ขม มาแล้วนั้น
    ว่ามันน่าจะเหมือนกับรสเผ็ดนะ แล้วสุดท้ายมันถูกต้องตามความเป็นจริงหรือเปล่าล่ะ เพราะ
    รสเผ็ด ยังไงแล้วมันก็คือ รสเผ็ดอยู่ดี มันเปลี่ยนไปเป็นรสอื่นมันก็เป็นไปไม่ได้

    นอกจากว่าเขาคนนั้นจะได้กินพริกเข้าไปแล้วเท่านั้น ถึึงจะได้พบกับรสเผ็ดจริงๆของพริกนั้น
    ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยได้ถามใครมาก่อนเลย แต่เขาก็ย่อมจะรู้รสที่แท้จริงของพริกว่ามันเผ็ด
    อย่างไรด้วยตัวของเขาเองฉันใดก็ฉันนั้น

    ผู้ที่ถึงแล้วย่อมรู้เอง ผู้ที่ยังไม่ถึงต่อให้อยากรู้แทบตายเท่าไรมันก็ไม่รู้ ถึงจะรู้จากปากของ
    ผู้ที่ถึงแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่รู้นั้นก็ไม่ใช่ความจริงไม่ใช่สมบัติของผู้ที่ยังไม่รู้นั้น เพราะเขายัง
    เป็นผู้ที่ไม่ถึงนั่นเอง
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ข้อ 1-3 นี้ อย่างเร็วก็ตก ยกละ 1-2 นาที อย่างช้า ก็ไม่ควรเกิน 10 นาที อย่าให้นานกว่านั้น แล้วให้ "พักยกสัก 3-5 นาที"

    +++ สำหรับผู้ที่ "สำเหนียก สภาวะรู้ ได้" ก็ขอให้ ทำให้แจ้งว่า สภาวะนี้ "ใช่ อสังคตธรรม" หรือไม่

    สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ

    +++ สันทิฏฐิโก ผู้ที่ "ลงมือทำ" เท่านั้น "จึงรู้"
    +++ อกาลิโก และ "ทำเมื่อไร ก็ รู้เมื่อนั้น"
    +++ เอหิปัสสิโก เชิญชวน "ให้ลองทำ"
    +++ โอปนยิโก ให้ "ทำด้วยตนเอง"
    +++ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ก็จะรู้ได้ "ด้วยการกระทำ" ของตนเอง

    +++ หากผู้ใด "ทำ" ถึง 10 ยกแล้ว ยังไม่สามารถ สำเหนียก "สภาวะรู้" ได้ ก็ "อย่าฝืน" ให้ถือว่า "ไม่ถูกจริต" และ "ให้วาง" วิธีนี้ทิ้งไป

    +++ ให้ถือว่าเป็นเพียงแค่ "วิธีชิมพริก" อย่างที่คุณ นิพพานสุข กล่าวไว้ก็แล้วกัน นะครับ
     
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    สภาวะรู้ ไม่ใช่ตนที่แท้จริง
    "สิ่งนั้น"เหนือกว่าสภาวะรู้ (พ้นรู้)
    "ของจริงนิ่งเป็นไบ้" คือ สิ่งนั้น
    "ของพูดได้นั้นไม่จริง" คือ อนัตตาธรรม ปรมัตถ์สัจจะ ที่ยังมีสภาวะเข้าไปรู้อยู่
    ว่าอนัตาธรรม นั้นมีอยู่จริง


    ************************************
    "สิ่งนั้น"

    โอ้สิ่งนี้ช่างประเสริฐจริงหนอ
    ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือแตกแยก
    นอกเหนือจากกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ
    ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยกาละเวลา
    ไม่มีใครหรือธรรมชาติอันใด
    ที่จะเข้าไปเกี่ยวหรือยึดถือ
    ช่างไม่รู้จะสรรหาสิ่งใดเข้าไปเปรียบเทียบ
    ทั้งไม่สามารถบรรยายเป็นภาษาพูดได้
    ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
    แม้กาละเวลาจะหมุนเวียนเปลี่ยนไป
    ตราบนาน เท่านาน แสนนาน
    ทว่าสิ่งนี้ก็หาได้แปรเปลี่ยนตามไม่
    ไม่มีใครที่จะอาจเอื้อมเข้าไปแตะต้องได้แม้แต่น้อย
    ถึงขุนเขาจะละลาย แม่น้ำจะเหือดแห้งไป
    แต่สิ่งนี้ก็ยังคงดำรงสภาพของมันอยู่
    คงฟ้า คงดิน คงจักรวาล
    ไม่มีใครจะเรียกหรือตั้งชื่อมันได้
    ไม่มีคนที่จะเข้าไปรู้เห็นมัน
    ไม่อาจยึดถือว่าเป็นของคนนั้นคนนี้
    โอ้ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้
    แม้กฏเกณฑ์ธรรมชาติจะไหลเรื่อยไป
    ทุกขณะของกงล้อแห่งกาละ
    เกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย
    อยู่แล้ว ๆ เลา ๆ
    แต่สิ่งนี้ก็ยังควสภาพเดิมของมัน
    ช่างไม่รู้ร้อน รู้หนาว รู้เปลี่ยนแปลงจริง
    ฉันไม่รู้จะเรียกสิ่งนั้นว่าอย่างไร
    เพราะมันมิได้อยู่ภายใต้กฏแห่งธรรมชาติและสมมุติบัญัติ
    หรือว่ากฏเกณฑ์ขอบข่ายของอะไรทั้งสิ้นในอนันตจักรวาลนี้

    รัตน์ รัตนญาโน
    1 กันยายน 2515

    *********************

    เพื่อพิจารณาค่ะ
     
  7. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ในบางครั้ง เราอาจจะมองกันว่าเรื่องบางอย่างเราสมควรพูดไหม
    หากพูดไปใครเขาจะเชื่อ เพราะแม้นไม่ได้ประสบด้วยตนเอง
    ในเมื่อบางสิ่งที่ได้รับรู้ ก็เกิดจากสิ่งไม่ได้ตั้งใจ เหมือนมีใครจัดสรร
    ธรรมชาติคงอาจจัดสรรให้ รู้ รู้แล้วเพื่ออะไรคะ ใครบอกได้ช่วยตอบที(deejai)(smile)
     
  8. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    ถ้าใครยังไม่มีความเห็นที่ถูกต้อง ก็รับรู้ไม่ได้หรอกครับ ว่าคนไหนกล่าวถูกต้อง
    แล้วคุณจิตยิ้ม รับรู้อะไรมาครับ เล่าให้ฟังได้ไหมครับ
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ถ้าการ " รู้ " ใดๆ ยังมี รส ติดแม้นจะบางเฉียบ เหมือนว่า มีใคร จัดสรร

    เราจะเรียก "จิต" ที่แล่นไป " รู้ " นั้นว่า " ยังหวงศาสดาอื่น "

    แม้นว่า ศาสดานั้น หรือ ผู้จัดสรรนั้น เราจะ วาดภาพ หรือ เห็นภาพ ว่า
    ไม่ใช่ใครอื่น กระนั้น ก็ยังเรียกว่า "หวงศาสดาอื่น" อยู่ดี

    การ " รู้ " ทีเหมือนมีการจัดสรร ก็เหมือนวลีธรรมว่า " ธรรมอันเคยได้
    ยินได้ฟังจากกาลอื่นๆ " ธรรมนั้น ย่อม สกปรก ลามก แน่นอน 1000%

    หาก การรู้นั้น ไม่มีรสว่า ได้ยินมาจากผู้ใด ไม่ได้ยินมาจากกาลอื่นๆ ไม่ว่า
    จะอดีต หรือ อนาคต ... การรู้นั้น จะเรียกว่า " ปัจจัตตัง " ธรรมดาๆ

    ทีนี้ หากสามารถ ตามเห็นความเกิด ดับ ของ รู้ที่ เป็น ปัจจัตตัง นั้นได้อีก
    เราจะเรียกว่า การอาศัยระลึกเพื่อเจริญสติ เท่านั้น

    หาก สติ ที่ไประลึก การรู้ที่ดับลงไปนั้น และเห็น สติ ดับด้วย ก็จะเรียกว่ มีสัมปชัญญะ

    รวมทั้งหมด แม้นการรู้ จะถูกต้อง ระลึกถูกต้อง ก็เป็นเพียงการ อาศัยระลึก
    เพื่อเจริญสติ ไม่ใช่เพื่อเอา เพื่อเป็น เพื่อชื่อว่า ใครรู้ รู้จากใคร

    หากมันเคลื่อนนิดเดียว ความเลื่อมใส หรือ โยนิโสมนสิการ ไม่มี ทันที

    การรู้นั้น จะมี อาการ สกปรก ลามกทะลึ่ง ตึงตัง เด้งดึ๋งๆ เจือปน
     
  10. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    มันมาจากการเห็นใน ขันธ์5 เป็นของเกิด-ดับ เปลี่ยนแปลง
    เห็นในขันธ์ เป็นของเกิด-ดับเสร็จ จิตเกิดญาณเห็นออกไปทุกสรรพสิ่งเองว่ามี สภาพเดียวกันกับขันธ์ 5
    คือ ไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์ ทนสภาพเดิมไม่ได้
    จิตฟันธงเลยว่า "มันไม่ใช่ตัวตน"
    พอเห็นแจ้งอย่างนี้ สักกายะทิฐิ ก็ถูกละ และความสงสัย ก็ถูกละ ประมาณนี้ครับ
     
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    สภาวะการรู้เห็นการเกิด-ดับของ จิต หรือสรรพสิ่ง โดยแจ่มแจ้งเป็นอย่างไร?



    สั้นๆ จิต ดับ แล้วเกิดได้อย่างไร ?

    ทำไมขัดกันเอง ?
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ว่ากันที่ " ประโยชน์ในการกล่าว "

    ประโยชน์ในการกล่าวนั้น ต้องพิจารณาลงไปแค่ กล่าวออกไป
    แล้ว ทำให้เขาเกิด ความร่าเริง อาจหาญ ในการประกอบ หรือไม่

    ถ้า สิ่งใดเรากล่าวไปแล้ว เขาจะเกิดความร่าเริง อาจหาญ และสมาทาน
    ไปประกอบ

    ด้วย หลักแห่งการประกอบ หรือ หลักของความเพียร ตรงนี้คือ หลักเกณฑ์ ของธรรม

    จะเพียรผิด เพียรถูก หาก คนเรา ไม่ขี้เกียจ มีการประกอบ มีการพิสูจน์

    มันจะ พอมั่นใจได้ว่า คนๆนั้น จะ พิสูจน์สิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง ไม่ได้ใช้ อาการเชื่อ
    สัตว์หน้าไหน ทั้งนั้น

    แต่ถ้า มันมีแนวโน้มแค่ ทำตามๆกันไป เหมือน ควายที่ถูกเขาสนตพาย
    เหมือน ลาที่รอการก๊อปปี้ลีลาปฏิบัติเพื่ออวดอ้าง อันนั้น เราก็เว้นเสีย
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456

    เอาง่ายๆ

    สัตว์หมนุษ์ คนอื่นเนี่ยะ เขาพูดว่า จิตเกิด ดับ เกิด ดับ เกิด ดับ

    ถ้า สัตว์มนุษย์ชั้นดี จะกล่าวมากกว่านั้น เพิ่มเติมด้วยว่า
    หนึ่ง ขณะของลมหายใจเข้า ออก จิตเกิดดับ แสนโกฏขณะ หรือ รอบ

    แต่ มนุษย์ชั้นเลิศ เน้นการ ถกเถียง ฟังไม่ได้ ศัพท์ เน้นการ กัดกัน
    จะฟังแล้ว เอาความ จุดจู๋ มาปะ หน้าตาตน แล้วพูด หรือ สำคัญ
    หรือ บิดเบือว่า " จิต เกิด แล้ว ก็ ดับ จบ อึ้งกิ่มกี่ "

    พอ ไม่ฟังธรรมให้ดีๆ เน้นแต่เรื่อง หมากัดกัน ไปบิดเบือนสิ่งที่
    เขาพูด ก็ไป นั่งหัวเราะ กับ สังขารของตนเอง ที่มันหลอกตัวเอง
    เอาจังหนับ แทนที่ จะ สดับธรรมให้ครบ กลับไปเชื่อ ขันธ์5 ของ
    ตนให้มันปู้ยี้ปูยำ แล้ว ทะลึ่งไปด่าคนอื่น ว่า จิตมันดับ แล้วมันเกิด
    ได้อย่างไร

    คนอื่นเนี่ยะ ไม่มีใครเขาโง่ จิตเกิด ดับ ก็เพราะ มันมี เชื้อ นี่เขา
    ก็ทราบกันทั้งนั้น

    หาก จิตมันสิ้นเชื้อ สิ้นกิเลส สิ้นตัณหา จิตบ้านใคร จะเกิด อีกไม่ทราบ !!!



    นี่พอ ฟังไม่ได้ศัพท์อีก เน้น หมากัดกันอีก พอได้ยินคำว่า "จิตไม่เกิด"
    ก็โดนสังขารแหกตาเอาอีกรอบ จะเกิด คำถามว่า จิตไม่เกิด แล้ว
    กระดุกกระดิก ได้อย่างไร พูดได้อย่างไร ....

    นะ

    ดับอะไร สิ้นอะไร ฟังแล้วแทงไม่ตลอด จับ แต่คำศัพท์ มันก็ เล่น หมากัด
    กันได้จนตายไปอีกชาติหนึ่ง นั่นแหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2014
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    :cool:

    จิตมันสิ้นเชื้อ สิ้นกิเลส สิ้นตัณหา

    เชื้อดับ สิ้น..ดับ ไม่ใช่จิตดับ หรือเข้าใจว่าจิตดับ ?

    ลองโพสต์ใหม่ดูคับ ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2014
  15. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385

    "สั้นๆ จิต ดับ แล้วเกิดได้อย่างไร ?"
    ผมว่าไม่ต้องไปรู้หรอกครับว่า จิตมันเกิดได้อย่างไร แต่เห็นลักษณะของมันให้ได้ก็พอ
    ว่ามัน เกิด-ดับ ไม่เที่ยง จะปฏิบัติอย่างไร ก็มารวมเห็นตรงนี้ ก็ถูกทางครับ
     
  16. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    พระพุทธองค์ตรัสไว้

    "เป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด
    เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน"
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ไปหาอ่านเอาใน พระไตรปิฏก นะ

    เป็นเรื่อง พระอะไร จำไม่ได้ แต่ เรื่องแบบนี้ มีใน พระไตรปิฏก

    คือ มีพระท่านหนึ่งประกาศแบบนี้แหละ ว่า สิ้นเชื้อ สิ้นกิเลส สิ้นตัณหา
    แล้ว สิ่งที่ดับไป ก็คือ สิ่งเหล่านั้น

    ดังนั้น จิต หรือ วิญญาณ ไม่ดับ

    พระพุทธองค์ ก็เรียกมาถามว่า โมฆะบุรุษ เธอกล่าว เช่นนั้นจริงหรือ

    พระท่านนั้นก็มั่นใจ ว่า ตนสิ้นกิเลส สิ้นตัณหา แน่แท้ หรือ ถ้าไม่แน่
    แท้ แต่ด้วย ตรรกศาตร์ สิ้นตัณหา ก็คือ สิ้นตัณหา เหมือนกับการ
    กล่าวว่า นิพพาน ก็คือ นิพพาน

    พระพุทธองค์เลยถามปิดท้ายว่า

    คนที่สิ้นตัณหา พึงจะเกิดการ เคลื่อนจิตไป ไคว่คว้า สิ่งใด อีกหรือ !?

    พระท่านนั้น ก็ อึ้งกิมกี่ แล้ว ถ้าจำไม่ผิด ก็ ลาสิกขาไป ตายเปล่า !!
    เพราะ " ปรามาสธรรม "

    ลาสิกขาออกไป ทั้งๆที่ มั่นใจว่า ตนสิ้นกิเลส แน่นอน

    [ บาลี รู้สึกจะเรียกว่า สัตว์สัญญาเสีย ไม่ได้แปลว่า บ้า คนบ้า ศรีธัญญานะ
    แต่หมายถึง ไม่สามารถ กำหนดรู้ ธรรมที่ถูกต้องได้อีก ]
     
  18. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    :cool:
     
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    หนึ่ง รู้ว่า สิ่งที่กำลังค้นหา อยู่ในกายใจ ของเรานี้
    รู้แล้วปฏิเสธไม่ได้ เพราะมันเป็นความจริง ของสัจจะที่มีอยู่ในตัวเรา
    ความเป็นอนัตตา ของสรรพสิ่ง รู้ได้จากกายใจ ของเรานี้

    หาความจริงในสิ่งที่พบประสบกับตนเอง แล้วตั้งสติ กำหนดสมาธิ
    ทวนกระแสอารมณ์ (วางทุกสิ่งแม้แต่ตัวเอง) ไม่มีความอยากอะไรทั้งนั้น
    จิตนิ่งดิ่งลง สิ่งที่ได้รับรู้ความจริงนี้ปฏิเสธไมได้เลย ยอมรับโดยดุษดี
    ว่าทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ทีเราได้ประสบพบเจอในชีวิตนี้
    ไม่มีอะไรสักอย่างที่เป็นของตัวเอง ไร้แก่นสาร เปรียบดั่งสูญญากาศ

    ธรรมชาติให้รับรู้สิ่งนี้เพียง 1 ครั้ง และได้ยอมรับความจริงโดยปฏิเสธไม่ได้
    แล้วเวลาผ่านไป ก็ได้กลับเข้ามาสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
    (ซึ่งเวลา ณ ขณะนั้น เรายังไม่ได้ฝึกสติเรียนรู้กายใจ สติไม่ได้อยู่กับตัวเอง)

    เรารับรู้สิ่งนี้เพื่ออะไรกันนะ มีนัยยะว่าอะไร

    แล้วบุคคลาธิษฐาน ในวันตรัสรู้ ลอยถาดแม่น้าเนรัญชรา ถาดลอยทวน
    กระแสน้ำ แล้วตกลงไปใต้ภิภพบาดาล

    โดยแม่น้ำเนรัญชรา หมายถึง กระแสของอารมณ์ ทวนกระแสของความคิด
    ถาดจมลงไปใต้ลึกสุดของแม่น้ำ ให้หมายถึง ฐานที่อยู่ลึกสุดของกายใจ
    (หลวงพ่อเทียน ได้พูดไว้)

    วันนั้น วันที่ตรัสรู้น่าจะมีความหมายอะไรสักอย่าง หรือใช้ได้กับพระพุทธองค์
    องค์เดียวเท่านั้น หรือถ้าใครจะตรัสรู้ ต้องรู้สิ่งนี้ด้วย

    ธรรมชาติจัดสรรให้เรารู้เพื่ออะไร;20
    ;41 ธรรมชาติ ที่จัดสรรให้ได้รับรู้ค่ะ (smile)
     
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ถามทุกท่านนะคะ มีความคิดเห็นอย่างไร กับสิ่งที่ดิฉันได้เจอคะ สิ่งนี้คืออะไร
    มีประโยชน์ต่อการปฏิบัติไหมค่ะ ใครเจอสิ่งนี้บ้างแล้วคะ

    เดี๋ยวแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่ออีกคะ จะได้รู้และเข้าใจตัวเองเสียที
    อาจจะมีประโยชน์ในอนาคต ก็อาจจะเป็นไปได้นะ ประสบการณ์ทางธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...