เรื่องเล่า ตื่นนอน ตอนสายๆ

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย suwi, 30 มิถุนายน 2010.

  1. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ไม่เชิงว่าคุยกับต้นไม้ค่ะ เพียงแต่สามารถถามสรรพคุณทางยาได้ค่ะ แต่มักทำต่อหน้าคุณหมอสุวินะคะ เพราะว่าถ้าเราทำเองคนเดียว จะเข้าข้างตัวเองค่ะ (เพราะเรายังอ่อนด้อยประสบการณ์นั่นเอง*)



    ตัวยาเขาจะบอกออกมาเองค่ะว่า ช่วยไร ๆ ได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้ว การรักษาโรคนั้น ต้องใช้ตัวยาหลายๆ ตัวรวมกัน เราเรียกว่าการ "ปรุงยา" นั่นเอง

    อันนี้หลายๆ คน คงเคยได้ยินคำว่า "ปรุงยา" กันมาพอคุ้นหู ถ้านึกไม่ออก ให้นึกถึงบางบท ของ วรรณกรรมเด็กเรื่อง แฮรี่พอตเตอร์ ก็จะเข้าใจ นะคะ

    และถ้าอยากรู้ว่า หลังจากเสร็จการปรุงยาแล้ว หน้าตาของยาจะเป็น เยี่ยงใด ใครเป็นคนไข้ของ คุณหมอสุวิ ก็ขอให้หยิบยาของท่านขึ้นมาดูค่ะ หน้าตาของมันจะเป็นเยี่ยงนี้เอง


    (* พวกเราแม้แต่ผูัมีพลัง มักเป็นเยี่ยงนี้ค่ะ เราจะไม่ได้ พาว(power) ว่า เรานี่มันเหนือ แต่เราจะระวังในการใช้พลังตรวจสอบสิ่งต่างๆ ว่าสิ่งที่เราสัมผัส มันใช่หรือไม่ใช่ จริงหรือปลอม เพราะแม้แต่เราเอง ก็ยังสามารถถูกหลอกได้จากสิ่งที่เรากำลังตรวจสอบ หรือแม้แต่มารในใจเราเอง

    นอกจากนี้ บางสิ่งบางอย่างในโลก ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอันตราย ผู้ที่ไม่มีพลัง จะจับต้องไม่มีผล แต่ถ้าผู้มีพลัง หากสัมผัส จะมึนงง ถูกดูดพลัง คัน ฯลฯ แล้วแต่ของที่ผู้ปลุกเสกใส่ลงไปไว้ในสิ่งนั้น ทั้งนี้เป็นเพราะความ "ไว" ของผู้มีพลังจิตนั้นเอง ดังนั้นพวกเราจึงต้องป้องกันตัวเองด้วย และการตรวจสอบสิ่งนั้นๆ จากคนในกลุ่ม หลายๆ ความเห็น จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากกว่าคนปกติค่ะ*)



    การคุยกับสิ่งมีชีวิต ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การคุยกับต้นไม้นะคะ กับสัตว์ต่างๆ ไส้เดือน กิ้งกือ ทาก ฯลฯ ก็คุยหมดค่ะ ของดิฉันจะออกมาในลักษณะของการเอาจิตเข้าไปดูจิตของพวกเขามากกว่า ว่าพวกเขานึกคิดไรกัน ถ้าเราทำอย่างนี้ๆ กับเขา ณ ขณะนั้นหนะค่ะ


    ปล. ดิฉันเป็นคนมือร้อน(ใจร้อน) ปลูกอะไรมันไม่ค่อยงามหรอกค่ะ อิอิ (มีด้านดีก็มีด้านแย่เหมือนกัน เป็นธรรมดาโลกนะคะ)


    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2014
  2. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ขอบคุณมากครับ ได้ความรู้ใหม่ๆอีกแล้ว แล้วที่เคยดูจิตพวกสัตว์นี่ส่วนใหญ่เขาคุยเรื่องอะไรกันบ้างครับ แถวบ้านผมนกกางเขนตัวผู้ชอบออกมาเจื้อยแจ้วตอนเช้าๆ ยังกะประกาศข่าวหรือร้องเพลงอะไรแบบนี้บ่อยๆ เสียดายฟังไม่รู้เรื่อง ^^"
     
  3. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ตอบคำถามคุณ ariesนะคะ


    การช่วยชีวิตของผู้อื่น โดยเฉพาะของสัตว์นี่ บางทีก็ทำให้ดิฉันเป็นทุกข์นะคะ

    เมื่อช่วงก่อน ฝนตก มีน้ำขังค่ะ วันนั้นเห็นกิ้งกือข้ามถนน ดิฉันได้เขี่ยกิ่งกือที่กำลังเลื้อยขึ้นเฉียงไปบนพื้นถนน และรถคันหนึ่งกำลังขับตรงมา ดิฉันเสียวมาก แต่เหมือนคนขับจะสังเกตว่าคงมีอะไรบางอย่างบนขอบถนนนั้น จากสายตาของดิฉัน เขาจึงขับขยับห่างจากขอบถนนนั้น

    และไม่รอช้า ดิฉันหันไปหาอะไรบางอย่างที่จะพอสามารถเขียให้มันออกไปจากการเลื้อยขึ้นไปบนพื้นถนนได้

    ตัวของมันลอยระลิ่ว กระเด็นไปตกลงยังคูที่เขาขุดเล็กๆ ไว้ เป็นทางที่ขอบถนน เพื่อไว้สำหรับไล่น้ำฝนให้ไหลตกลงไปยังท่อ (รูท่อยังอยู่อีกไกลนะคะ) แต่ว่ารางน้ำนั้นก็มีน้ำแฉบางส่วนค้างอยู่ มันจึงเปียกล่ะ


    คำถามคือ มันจะโกรธดิฉันไหม ที่ทำให้มันตกใจและเปียกน้ำ?

    มันอาจกำลังคิดว่า ฉันกำลัง สุขสำราญกับการหาแหล่งทำกินใหม่ ที่รอมันอยู่ข้างหน้า

    ดังนั้นการที่ดิฉันทำอย่างนั้น มันอาจเคือง ด้วยเพราะเราหยิบยื่นในสิ่งที่มันอาจไม่ต้องการให้มัน โดยไม่ได้ถามความเห็นของมันก่อน ว่ามันต้องการหรือไม่ ก็เป็นได้นะคะ



    พอมันลอยมาตกคูน้ำ มันเปียกน้ำแฉหนะคะ มันอาจโมโหก็ได้ เพราะมันคงตกใจ และไม่ได้กินอาหารในดินแดนที่มันอยากจะไป


    ถ้าเป็นตัวเราเอง อยู่ดีๆ ถูกจับเหวี่ยงตกคูน้ำเย็น เราจะรู้สึกยังไงหนะคะ

    คงโกรธมากล่ะ เพราะไม่ทันตั้งตัว และคงตกใจ และโกระแน่ๆ หนะค่ะ คิดงี้ก็เลยรู้สึกเสียใจ


    ดิฉันเลยบอกผ่าน อาจารย์ทางจิต ของดิฉัน ผ่านจิตไปยังถึงท่านว่า หากเขาโกรธเราก็ต้องขออภัย และอย่าได้มีกรรมเบียดเบียนต่อกันเลย


    ดิฉันเขียนเล่าเรื่องนี้ให้คุณหมอสุวิฟังนะคะ และได้รับคำตอบกลับมา (เอามาเล่าให้ฟังเป็นวิทยาทาละกันนะคะ คุณหมอ)

    ตอบ
    ผู้ที่มีพรหมวิหารสี่ แต่อุเบกขายังไม่สมบูรณ์ จะมีจิตใจเป็นเช่นหนูทั้งสิ้น จะมีความคิดเห็นแทนผู้อื่นเสมอ

    ยึ่งเริ่มพูดคุยกับสัตว์ต่างได้นี่ จะเห็นใจเขาสุดๆ

    เขายากลำบากกว่าเราแยะ แถมยังคิดไม่เป็นซะอีก

    บอกเขาสอนเขา เขาก็ไม่เชื่อไม่ฟังเราซะอีก

    เฮ้อ....

    สิ่งที่เราจะต้องทำมีเพียง ศึกษาให้รู้ให้เห็นในธรรมชาติของเขา แล้ววางเสีย สิ่งใดเกื้อกูลเขาได้ ก็ทำ


    ดังที่หนูได้ทำกับกิ้งกือแล้ว แต่หนูยังไม่วางอุเบกขาที่สมบูรณ์

    จบจ้า


    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2014
  4. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ยกมาขยายความค่ะ....

    จากข้อความข้างต้นที่เล่าเอาไว้ว่า


    พวกเราแม้แต่ผูัมีพลังจิต มากบ้างน้อยบ้าง(ในแต่ละวันจะไม่เท่ากันนะคะ จะขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิในแต่ละช่วงของเวลานั้นๆ ด้วย) เราจะไม่ได้ พาว(power) ว่า เรานี่มันเหนือ แต่เราจะระวังในการใช้พลังตรวจสอบสิ่งต่างๆ ว่าสิ่งที่เราสัมผัส มันใช่หรือไม่ใช่ จริงหรือปลอม เพราะแม้แต่เราเอง ก็ยังสามารถถูกหลอกได้จากสิ่งที่เรากำลังตรวจสอบ หรือแม้แต่มารในใจเราเอง

    นอกจากนี้ บางสิ่งบางอย่างในโลก ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอันตราย ผู้ที่ไม่มีพลัง จะจับต้องไม่มีผล แต่ถ้าผู้มีพลัง หากสัมผัส จะมึนงง ถูกดูดพลัง คัน ฯลฯ แล้วแต่ของที่ผู้ปลุกเสกใส่ลงไปไว้ในสิ่งนั้น ทั้งนี้เป็นเพราะความ "ไว" ของผู้มีพลังจิตนั้นเอง ดังนั้นพวกเราจึงต้องป้องกันตัวเองด้วย และการตรวจสอบสิ่งนั้นๆ จากคนในกลุ่ม หลายๆ ความเห็น จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากกว่าคนปกติค่ะ



    จากตรงนี้ข้อเสริมเล่านิทานต่อไปว่า....


    จากการที่พวกเรามักให้คนในกลุ่มหลายๆ คนช่วยลงความเห็น แสดงความคิดเห็นนี้ แทบจะเรียกว่าเป็นเรื่องปกติเลย มันก็คือหลักการที่เรียกว่า Recheck (รีเช็ค) หรือ double check (ดับเบิ้ลเช็ค) น้่นเอง


    ว่าแต่มันมีประโยชน์อะไรอย่างงั้นรึ?


    การรีเช็ค หรือดับเบิ้ลเช็ค ไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยของพวกเราเป็นผู้ริเริ่ม แต่มีมานานที่ดิฉันจำได้ ก็ตั้งแต่สมัยอาจารย์สามตา ยังอยู่กับพวกเรา (หากใครเคยทันอาจารย์สามตา หรือเคยพบท่าน ก็คงทราบดีนะคะ) เวลาที่เราไปเยี่ยมท่านที่บู๊ท ท่านไม่ปล่อยให้เรานั่งนิ่งเฉยๆ ไหนๆ มาเยี่ยมท่าน มารวมหัวกันแล้ว ท่านอาจกลัวว่าเราจะเบื่อ จะเซ็งมั้ง ที่มีคนที่ต้องการปรึกษามาหาท่าน ทำให้ท่านไม่มีเวลาจะคุยกับเรา


    อย่ากระนั้นเลย เวลามีนที่ต้องการปรึกษามาหาท่าน หากเป็นเรื่องพระเครื่อง สิ่งของต่างๆ พลังจากสิ่งของ ท่านก็มักเรียกให้พวกเรา เข้าไปสัมผัส ตรวจสอบกันดู จนเกิดเป็นการช่วยกันรีเช็ค ดับเบิ้ลเช็ค นั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้อาจเกิดมาแล้วก่อนหน้าท่านอาจารย์สามตา หรืออาจเกิดโดยท่าน อันนี้ดิฉันก็ไม่อาจทราบได้ แต่ถือว่าเป็นสิ่งที่เราทำๆ กันมา ก็แล้วกันนะคะ


    อย่างที่กล่าวข้างต้นโน้น ว่า มันมีประโยชน์ในหลายๆ ประการ เช่น...

    * ช่วยให้เราระะวังในการใช้พลังตรวจสอบสิ่งต่างๆ ว่าสิ่งที่เราสัมผัส มันใช่หรือไม่ใช่ จริงหรือปลอม เพราะแม้แต่เราเอง ก็ยังสามารถถูกหลอกได้จากสิ่งที่เรากำลังตรวจสอบ หรือแม้แต่มารในใจของเรา

    * บางสิ่งบางอย่างในโลก ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอันตราย ผู้ที่ไม่มีพลังจิต จะจับต้องของหลายสิ่งไม่มีผลในทันที(แต่จะค่อยๆ มีผลอย่างช้าๆ) แต่ถ้าผู้มีพลังจิตสัมผัส หากสัมผัสของที่มีการใส่พลังเอาไว้ บางทีมาดีก็ดีไป แต่ถ้าไม่ อาจจะมีอาการมึนงง ถูกดูดพลัง คัน ฯลฯ แล้วแต่ของที่ผู้ปลุกเสกใส่ลงไปไว้ในสิ่งนั้น การช่วยกันเช้ค จึงเป็นการช่วยกันระวังไปในตัวด้วย และจดจำเป็นประสบการณ์ของแต่ละคนไป


    * สำหรับหมอ ความเป็นหมอ การรักษาคนไข้ การรีเช็ค/ดับเบิ้ลเช็ค เป็นสิ่งจำเป็นมาก (หากใครเป็นคนไข้ของคุณหมอสุวิ แล้วบังเอิญช่วงก่อนโน้น นานแล้ว ได้มีโอกาสไปบ้านคลินิคของท่านในวันที่มีการร่วมกลุ่มกันของพวกเราจะทราบดี) หากมีการรวมตัวกัน และเป็นช่วงจังหวะที่มียาใหม่เข้ามา พวกเราจะผลัดกันดูพลังยา(สรรพคุณยา หรือก็คือสรรพคุณของต้นไม้ รากไม้ใบหญ้า) แล้วแต่ นานา เหตุเพราะหากไม่ทำเช่นนี้ ยาที่คิดว่าดี จากการตัดสินใจของคนๆ เดียว อาจไม่ได้ผลใช้ได้จริงกับคนไข้ที่ต่างก็มีธาตุต่างๆ ในตัวของคนไข้แตกต่างกันออกไป ยาทุกตัวที่ผ่านการตรวจสรรพคุณยาซ้ำ จากหลายๆ ความเห็น จะต้องสามารถรักษาอาการของคนไข้แทบทุกธาตุได้ ไม่มากก็น้อย และที่สำคัญคือทำให้อาการดีขึ้น


    ยังมีอีกนานับประการของคุณประโยชน์ในการรีเช็ค/ดับเบิ้ลเช็ค เช่น...

    * การเห็นเหตุการณ์ในอดีตของคนไข้ เหตุเพราะจะได้รู้ว่า เหตุใดในปัจจุบันถึงได้ป่วยมีอาการเช่นนี้ หสกพวกเราอยู่กันหลายคน หมอก็จะเรียกให้เราช่วยกันดู

    ยกตัวอย่าง อาการของผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้าเธอเหมือนเป็นผื่นแดงทั้งหน้า ถ้าใครเห็น อาจจะบอกเธอว่า ไปหาหมอผิวหนังซิ รวมถึงดิฉันด้วยที่กะว่าจะแนะนำสิ่งดีๆ ให้เธอเอาไปรักษา

    แต่พอเธออนุญาตให้ดิฉันมองเธอ ผ่านทางจิต ได้ ก็จะเห็นว่า ผื่นแดงคล้ายสิวเห่อไปทั้งใบหน้านี้ เป็นผลกรรมจากการกระทำในอดีตที่เธอทำมา พอดิฉันเล่าให้เธอฟังในสิ่งที่เห็น เธอก็พยักหน้า(เหมือนรู้อยู่ก่อนแล้วและยอมรับได้อย่างปลงๆ และเป็นสุขขึ้น)

    เช่นนี้ การรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียว แม้หมอจะเก่งแค่ไหน ก็คงไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากไม่อื่นๆ ร่วมกับการรักษาด้วย เป็นต้น


    การยกตัวอย่างผู้ที่ป่วยหนึ่งกรณีแล้วนี้ จริงๆ มีทั้งกรณีหญิง และกรณีชายที่เคยเห็นนะคะ เด๊่ยวเอาเก็บไว้เล่าใน ..นิทานจากกะทิ...ก็แล้วกันค่ะ


    สรุป สาระสำคัญก็คือ นี่เป็นเหตุของกลุ่มผู้มีพลัง ที่จะไม่โชว์พาวโดดๆ หากใครจะโชว์พาวโดดๆ เช่นนั้น ที่เห็นกันอยู่ในสังคมก็มีอยู่ และก็เป็นสิทธิ์ของเขานะคะ เพียงแต่จะมีอีกกลุ่มหนึ่งอยู่อีกเช่นกัน เช่น พวกเรานี้ จะไม่ค่อยทำกันโต้งๆ โด่งๆ ค่ะ



    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2014
  5. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,424
    ค่าพลัง:
    +13,166
    ดี ครับ ให้ คุณอธิษฐาน มาเล่า เรื่อง สนุกๆ อีก มุมมอง หนึ่ง ให้ ฟัง กันบ้าง

    ...........................55
     
  6. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    นั่นเป็น ยุทธวิธี ที่อาจารย์สามตา สอนพวกเราทางอ้อม

    แม้ปัจจุบัน หมอสุวิ ก็ยังใช้วิธีการเหล่านี้ สอน และให้ความรู้แก่พวก อยากรู้อยากเห็น
    โดยให้เข้าไปสัมผัสเอง และเล่าถึงสิ่งที่รู้เห็นกัน ในรายละเอียด
    และหมอ สุวิ ก็เป็นผู้สรุปให้
     
  7. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ขออนุญาตเอาเรื่องของคุณๆ (รวมถึงพี่ดาว) มาเล่านะคะ

    (ขออนุญาตพี่ดาวย้อนหลังค่ะ เป็นเกียรติแด่น้องสักหน่อยนะคะ)
     
  8. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,424
    ค่าพลัง:
    +13,166
    เล่า ไป เถิด ..... มีคน รอฟัง กันอยู่ ไม่น้อย.......55

    ขอเสริม นิดหนึ่ง เรื่องที่ อธิษฐาน เล่า ไว้แล้ว ...
    ตรงที่ ว่า

    คนธรรมดา สัมผัส อะไร ไม่รู้เรื่อง จับอะไร ก็ เฉยๆ แต่คนที่มีพลัง เค้าสัมผัสได้ อาจรู้สึก มึน งง เสียว ซ่า คัน ฯ ล ฯ เป็นตัน

    ตรงนี้ ขอขยายความ หน่อย

    คนที่ฝึกพลัง แท้ที่จริง แล้ว เค้า ก็ เป็น คน ธรรมดา เหมือนคนธรรมดา ทั่วไป แหละ
    เพียง แต่ เค้า ได้ ฝึกฝน ความสามารถ ทางจิต , เดินลมปราณ , จนเคลื่อนพลัง ภายในร่างกายได้ ( มาก น้อย ก็ ตาม )
    แล้ว ทำให้ มีความสามารถ เพิ่มขึ้น เช่น ตา หู จมูก ประสาทสัมผัส ว่องไวขึ้น เท่านั้น

    พอพวกมีพลัง มาจับ สัมผัส สิ่งของ แล้ว รู้ว่า ของนั้น มี พลังแบบไหน
    แล้วจึงมา วิเคราะห์ ว่า ดี ไม่ ดี อย่างไร

    ตรง วิเคราะห์ นี่ ก็ สำคัญ นะ สัมผัสพลัง ได้ แล้ว วิเคราะห์ ถูก หรือ ผิด ไปคนละทางเลย นะ

    พวกฝึกพลัง นี่ ก็ มีกรรม ไป อย่าง

    บางคนฝึกไป จน สัมผัสว่องไว แม้น อะไร นิดหนึ่ง ก็ จับความรู้สึกได้ Sensitive มากๆ

    พวกนี้ เผลอตัวไป หน่อย เดี๋ยวก็ โดน ..... นิดก็ โอย หน่อย ก็ โอย เป็นนั่นเป็นนี่ บ่อยๆ

    พวกนี้ ก็ อยู่ในพวกเราเอง นี่แหละ ที่ เป็น นั่น เป็นนี่ ทั้งๆ ที่ มันแค่ นิดเดียว ความรู้สึกว่องไว จน สร้างอุปทาน บอกตัวเอง ให้ ระวัง มาก เกินไป จน คิดว่าตนเอง ป่วย เป็นนั่น เป็นนี่ ได้

    ในส่วนนี้ เป็น กัน มาก ..................... ควรระวัง


    กับ อีกเรื่อง ในการ ตรวจ หรือจับ พลัง
    การ ตรวจพลัง ว่า มี ไม่มี อย่างไร แล้ว......... เรา ต้อง นำผลมา วิเคราะห์ ว่า มันเป็นอย่างไร ใช้ทำอะไร ได้ , ได้แค่ ไหน , ผลดี ผลเสีย ฯ

    ตรง ที่ วิเคราะห์ นี่ แหละ วิเคราะห์ ถูก หรือผิด
    ได้คำตอบ แล้ว อย่า เพิ่ง ด่วน สรุป เอามา ทดลอง ผล ทางวิทยาศาสตร์ เสียก่อน ได้ไหม

    หากได้ผล จริง ดังที่ คาดหมาย แล้ว จึง ค่อย นำออกเผยแพร่

    ก็ น่าจะ ปลอดภัย ที่สุด ... นะครับ
     
  9. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168

    ตรงที่พี่ดาวสรุปนี้แหละค่ะ ท่านผู้อ่าน ถึงพวกเราจำต้องมีการรีเช็ค/ดับเบิ้ลเช็คกันเสมอ ขอบคุณผู้เริ่มต้นนำวิธีนี้มาใช้ คืออาจารย์สามตา หรือครูบาอาจารย์ท่านๆ ทั้งหลาย ที่สอนด้วยวิธีนี้ สืบๆ กันมาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2014
  10. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    เกริ่น...


    นิทานพลังอธิษฐานของกะทิ มีจุดประสงค์ประเด็นหลักเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ว่า การสัมผัสพลังจิต /มีพลังจิต ไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวคุณ (เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ อย่างที่พี่ดาวได้อธิบายเพิ่มเติมเอาไว้เรื่องการเดินพลังภายใน) หรืออธิบายให้เห็นว่า ที่คุณคิดว่า คุณไม่มีวันที่จะสามารถทำได้นนั้น ไม่ใช่เลย มันเป็นสิ่งใกล้ตัวมาก ใครๆ ก็สามารถทำได้ หากรู้วิธีปฏิบัติ และ"จุดไฟติด" ด้วยการหาวิธีที่ถูกจริตตนเอง (อย่างที่ดิฉันได้เล่านิทานไว้ในตัวอย่างของนิทานตอนที่หนึ่ง)






    ในนิทานตอนที่สองต่อไปนี้ จะชี้ให้เห็นถึงวิธี/หนทาง การเข้าถึง แต่ว่า..แม้ความตั้งใจดังกล่าวข้างต้นจะวางไว้เช่นนั้น ว่า การเข้าถึงเป็นของธรรดาที่ใครๆ ก็ทำได้ แต่การเขียนอธิบายให้อ่านแล้วผู้อ่านทุกท่านเข้าถึงว่า เรื่องการปฏิบัตินี้ไม่ยากเลย ก็ดูเหมือนจะอธิบายได้ตีบตันจนเริ่มจะปวดหมองซะเอง (หายไปหลายวันก็ด้วยเพราะเหตุนี้ค่ะ นั่งเขียนแล้วลบๆ)


    ทั้งนี้เพราะการก้าวข้ามผ่านระหว่างการมองเห็นสามมิติ ไปเป็นอย่างอื่น เปรียบไปมันก็เหมือนกับการก้าวข้ามจากคนปรกติไปเป็นคนบ้า


    การเขียนนิทานถึงบทที่สองตรงจุดนี้ ทำให้ดิฉันเอาไปเปรยให้คุณหมอสุวิฟัง ท่านก็ให้กำลังใจกลับมาว่า...มีที่ก้าวข้ามจากคนบ้า กลับมาเป็นคนดีก็มีนะ (หุหุข้าเจ้าขอหัวเราะ ท่านให้กำลังใจข้าเจ้าได้ดีซะจริงๆ (หัวเราะไม่ออก))


    เข้านิทานกันเลยดีกว่าค่ะ...



    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2014
  11. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    พลังอธิษฐานของกะทิ ตอนที่สอง

    ตอนรูปแบบของสมาธิไม่มีคำว่าตายตัวหรอกนะกะทิ





    ครั้งหนึ่ง กะทิได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดใกล้บ้าน พระมหาท่านหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำการปฏิบัติธรรม ท่านให้พวกเรานั่งสมาธิ สลับกับการเดินจงกรม ฯลฯ ร่วมกับการถามตอบธรรมะ

    ท่านคงรู้สึกแปลกกับคำตอบของกะทิที่ไม่ค่อยจะเหมือนชาวบ้าน หลังจากกะทิไปวัดและได้เจอท่านหลายครั้ง จนมีเวลาสนทนากัน ท่านก็ได้ทราบว่ากะทิปฏิบัติสมาธิโดยมีครูทางจิตส่วนตน ของตนเอง ที่นอกเหนือจากพระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนา (ไม่ใช่ศาสนาใดศาสนาหนึ่งเลยที่สังคมโลกรู้จัก)


    (ขอเกริ่นก่อนว่า พ่อแม่ของกะทิเป็นคริสตเตียนทั้งคู่ กะทิเคยถูกแม่ถวายให้เป็นลูกพระคริสตเจ้าเรียบร้อยทุกประการ แต่ตัวเองกลับแสวงหาทางเลือกอื่น เพราะมีความสงสัยในเร่องของความเชื่อในพระคริสต์อยู่ตลอดเวลา จนได้มาพบครูทางจิต ซึ่งสถานที่อบรมจริยธรรมของคณุทางจิตมีน้อยมาก กะทิไม่สะดวกเดินทางไปปฏิบัติ จึงได้หาศาสนาอื่นที่ใกล้เคียงมากที่สุด นั้นก็คือพุทธศาสนา มาเป็นที่พึ่งแห่งตน (จริงๆ ก็คล้ายๆ หลายศาสนานะคะ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับพระเจ้าแบบคริสต์ หรือการอยู่กับพระเจ้าบ่อยๆ แบบมุสสลิม ที่อยู่กับพระเจ้าหลายครั้งในแต่ละวัน) เพราะแท้จริงแล้ว ทุกศาสนามีที่มาจากจุดของจักรวารเดียว -> น่าจะกล่าวคล้ายๆ อย่างนี้ได้



    แต่ที่มากกว่านั้นคือ แต่เดิมปฐมเกิดของกะทินั้น หากได้ย้อนระลึกถึงอดีตชาติของกะทิเอง จะพบว่ามีท่านครูทางจิตมาก่อนอยู่แล้ว ที่เป็นผู้ให้ทั้งความอบอุ่น ความรัก ให้อาหาร และพลังงาน จึงเรียกได้ว่า ครูท่านเหมือนได้เรียกกลับมายัง ณ จุดเดิมของปฐมแห่งรากเง้าของตัวกะทิเองหนะค่ะะ อธิบายมาเพื่อให้เห็นความเกี่ยวข้องของกะทิ กับพุทธศาสนา และครูทางจิต ที่แยกออกจากกัน แต่มีวิถีทางเดียวกัน เนื่องจากกะทิได้มองหาการปฏิบัติธรรมที่ใกล้เคียงมากที่สุดมายึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่ให้เตลิด




    ขอย้อนกลับเข้าเรื่องนะคะ...

    กะทิได้เล่าเรื่องจากการมองเห็นในมิติอื่น ให้พระท่านฟัง ซึ่งพระท่านเองก็กำลังสนใจอยากเขียนเรื่องเล่านั้นพอดี จึงมีโอกาสสนทนากันมากขึ้น


    สุดท้ายมีอยู่ครั้งหนึ่งท่านก็ได้เชิญกะทิมาเป็นวิทยากรพิเศษให้กับเด็กๆ ชั้นประถม ชั้นมัธยม และชั้นมหาวิทยาลัย (แบ่งเป็นครั้งละกลุ่มอายุ ตามแต่กาล เวลา ช่วง ต่างกันไป)


    สิ่งที่กะทิเป็นวิทยากร ไม่ได้เล่าบอกชี้แจ้งในเรื่องเหนือธรรมชาติ เหาะเหิน เดินอากาศ แต่อย่างใด เพราะกะทิมองแล้วว่า คงไม่เหมาะ มีแต่จะทำให้เด็กๆ ฟุ้ง จึงมุ่งเน้นเรื่องของการพัฒนาสมาธิ เพราะสิ่งนี้ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด (แต่ไม่เน้นว่า ในแต่ละครั้งต้องนั่งสมาธินานๆ เป็นวันๆ นะคะ อันนี้ขอให้ติดตามอ่านนิทานกันต่อไป คุณอาจจะถึงบางอ้อค่ะ)


    [​IMG]


    ในครั้งที่ได้เป็นวิทยากรสอนเด็กชั้นประถมตอนปลายถึงมัธยมต้น กะทิได้ถามถึงวิธีการนั่งสมาธิของน้องๆ ว่า แต่ละคนมีคำภวนาระหว่างการนั่งสมาธิ เพื่อไม่ให้จิตลอยไปฟุ้งซ่านเรื่องอื่น หรือง่วงหงาวหาวนอน ด้วยการกำหนดบริกรรมจิตไปที่คำว่าอะไรกันบ้าง? ผู้อ่านท่านไหนใช้วิธีกำหนดคำภวนาอะไร ก็ขอให้ยกมือตามน้องๆ ไปด้วยนะคะ



    คำภวนาในระหว่างการนั่งสมาธิมีอยู่ด้วยกันหลายคำ หลายสำนักมาก อาทิ ...

    คำว่า ยุบหนอ...พองหนอ ใครนั่งสมาธิแล้วใช้คำภวนานี้บ้าง ยกมือขึ้น?

    เข้า-พุทธ..โธ-ออก ใครนั่งสมาธิแล้วใช้คำภวนานี้บ้าง ยกมือขึ้น?

    คำว่า สัมมา...อะระหัง ใครนั่งสมาธิแล้วใช้คำภวนานี้บ้าง ยกมือขึ้น?

    ฯลฯ

    กะทิถามน้องๆ ต่อไปว่า ...

    มีใครคิดว่าการภวนาคำว่า ยุบหนอ...พองหนอ เป็นคำที่ถูกต้องที่สุดแล้วบ้าง ยกมือขึ้น?

    มีใครคิดว่าการภวนาคำว่า เข้า-พุทธ..โธ-ออก เป็นคำที่ถูกต้องที่สุดแล้วบ้าง ยกมือขึ้น?

    มีใครคิดว่าการภวนาคำว่า สัมมา...อะระหัง เป็นคำที่ถูกต้องที่สุดแล้วบ้าง ยกมือขึ้น?



    จะเห็นได้ว่าคำภวนาในการปฏิบัติสมาธิมีหลายคำมาก แต่คำไหนจะถูกต้องที่สุดคะ? (มีใคร เคยสงสัย แบบที่ กะทิ ถามน้องๆ อย่างนี้บ้างไหมคะ?)


    คำตอบคือทุกคำภวนาล้วนแต่ถูกต้องค่ะ เพราะสิ่งนี้เป็นแค่ "อุบาย" ในการฝึกกำหนดจิตไม่ให้หลุดจากสมาธิ ไปสู่ความคิดฟุ้งซ่านทั้งมวล รวมถึงการง่วงหงาวหาวนอน และ ZzzzZzzzzZ


    มีคำกล่าวคุ้นหูอยู่ประโยคหนึ่งว่า มนุษย์เรามีความหลากหลายทั้งทางด้านความคิด ทัศนคติ ฯลฯ ที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม การเติบโต การเลี้ยงดู เปรียบไป มนุษย์ก็เหมือนนิ้วทั้งห้า (ห้าจำพวก) แต่ละนิ้วมีหน้าที่ทำงานไม่เหมือนกัน แตกต่างกันไปตามประโยชน์การใช้สอย แม้แต่นิ้วก้อยก็ยังมีคุณประโยชน์ (เช่น ไว้คืนดีกัน ไว้แคะหู แค่ขี้มูก หิ้วของก็เคย(ไม่ว่าจะช่วยกันหิ้วของทั้งห้านิ้ว หรือนิ้วเล็กๆ นิ้วเดียวก็สนุกดี))


    ดังนั้นกลอุบายคำภวนา ก็มีไว้ให้เหมาะกับคนแต่ละแบบ ตามทัศนคติ ความเชื่อ การเติบโต สิ่งแวดล้อมในการเลี้ยงดู ฯลฯ เกิดเป็นจริตที่ต่างกันไป


    การภวนาคำใดก็แล้วแต่ จึงไม่ได้มีสิ่งใดผิดหรือถูก เป็นแต่เพียงทางออกของโรงหนัง ที่มีให้เลือกเดินออกไปได้หลายช่องทางเท่านั้น สุดท้ายก็ไปบรรจบในสถานที่เดียวกัน นั้นคือหน้าโรงหนังนั่นเอง



    นี่คือชื่อเรื่องของนิทานตอนที่สองคือ "รูปแบบของสมาธิไม่มีคำว่าตายตัว"

    แต่ที่มันมากกว่าวิธีที่กล่าวมา คือ กะทิไม่ได้ฝึกสมาธิจากวิธีดังกล่าวข้างต้นเพียงอย่างเดียวโดดๆ เพราะสมาธิที่กล่าวมาทั้งหมด ล้วนเป็นสมาธินั่งหลับตา


    ในโลกนี้ยังมีสมาธิอย่างอื่นในทางกลับกันอีกด้วย นั่นก็คือสมาธินั่งลืมตานั่นเอง

    ผู้อ่าน ฟังดูแรกๆ อาจรู้สึกว่าแปลก แหวกแนวมาก และมันแหวกแนวเกินกว่าพระพุทธศาสนารึเปล่า ถ้าคิดอย่างนั้นมันก็มีทั้งผิดและถูกค่ะ




    /ยังมีต่อ


    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2014
  12. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    หากผู้อ่านได้ย้อนกลับไปอ่านนิทานตอนที่หนึ่ง จะพบว่า แทบทุกคนที่กะทิยกตัวอย่าง อยู่ในนิทาน ล้วน "จุด" ไฟติด จากการนั่งดูควันบุหรี่บ้าง จากการแยกความสงบนิ่งกับความเร็ว(ในการขับรถแข่ง)บ้าง ฯลฯ สมาธิเกิดระหว่างที่พวกเขาปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน หรือก็คือ คนเราสามารถทำสมาธิด้วยวิธีการลืมตาสมาธิได้ และสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาตลอดทั้งวัน โดยไม่ต้องคอยมาแก้ตัวว่า "ฉันไม่มีเวลา"



    และสมาธิลืมตา ก็มีอยู่จริง ในการปฏิบัติสมาธิในทางพระพุทธศาสนา โดยที่ชาวพุทธ มักเรียกสิ่งนี้ว่า การเพ่งกสิณ แต่การเพ่งกสิณนั่นมั่นต้องนั่งเป็นที่เป็นทาง และใช้เวลาระยะหนึ่งในการปฏิบัติ อาจกินเวลามากกว่า 15 นาทีถึงหลายๆ ชั่วโมง แล้วแต่ผู้ฝึก



    แต่สำหรับกะทิแล้ว ในช่วงที่ฝึกสมาธิดังกล่าวอย่างเข้มข้น เพราะเพื่อนๆ ในแก๊งค์ ต่างทำหน้าที่เตือนกันและกันให้อยู่กับสมาธิในสิ่งที่เราระลึกนึกถึงร่วมกันแทบจะตลอดเวลา แต่ไม่ได้ต่อเนื่องเวลากัน หรือก็คือ คิดนึกได้เป็นช่วงๆ เวลา แต่ไม่ได้ต่อเนื่องยาวนานจนร่างกายอ่อนล้าเป็นชั่วโมงๆ อย่างการทำสมาธิทั่วไป และพวกเราสามารถทำสมาธิแบบนี้ ได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในความเงียบ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่ส่วนบุคคล อันสงบ สบาย ฯลฯ แต่อย่างใด


    หรือก็คือ ไม่ว่าขณะนั้นกะทิจะอ่านหนังสือ กะทิจะคุยเล่น กะทิจะกำลังเดิน กำลังนั่งรถไปเรียน ไปทำงาน กำลังดูทีวี ก็สามารถกำหนดแยกจิตให้ไปจดจ่อยังจุดหมายสูงสุดที่เพื่อนๆ ของกะทิต่างก็รู้ร่วมกันได้(หรือก็คือครูสูงสุดของพวกเรา) เพียงแค่คิดถึงท่านให้บ่อยๆ ในแต่ละวันที่เราใช้ชีวิตประจำวันอยู่


    ไม่น่าเชื่อว่า การฝึกที่เพื่อนๆ ของกะทิต่างช่วยเตือนกันและกัน (พวกเราค่อนข้างเข้มข้นกับสิ่งนี้มาก จนทำให้ติดเป็นนิสัยในช่วงนั้น แม้แต่วันหยุดนขัตฤกษ์ กะทิกลับมาอยู่บ้าน(ช่วงนั้นสมัยเรียนจะอยู่หอพัก) ก็สามารถควบคุมตัวเองให้อยู่กับสมาธิแบบนี้ได้ โดยไม่ต้องมีเพื่อนๆ คอยช่วยสะกิตเตือนเลย


    เมื่อวันเวลาผ่านไปแค่ประมาณปีกว่าๆ ไม่ถึงสองปี กะทิก็ได้พบกับสิ่งที่ไม่คิดว่าโลกนี้มันจะมีอยู่จริง นั่นคือสิ่งที่พระมหาท่าน(ผู้ที่ดิฉันเขียนเอ่ยถึงไว้ในบรรทัดแรกของนิทานตอนที่สองนี้) ต้องการทราบถึงประสบการณ์นี้เพื่อนำไปเขียนนั่นเอง



    แต่กะทิในวัยเยาว์เวลานั้น คิดว่าตัวเองเป็นบ้าค่ะ ทุกครั้งที่เธอหลับตาลงหลังจากจ้องมองใครเป็นพิเศษ (เหมือนเราจ้องมองคนที่เราพูดด้วยแบบนั้นหนะค่ะ แล้วหลับตา พักสายตา /กระพริบตา) ก็จะเห็นแสงรอบกายของคนๆ นั้นที่อยู่ตรงหน้าเรา


    ดังนั้นเพื่อให้เธอไม่เป็นบ้า เธอพยายามจะลืมมันด้วยการไม่ทำแบบนี้ (ไม่จ้องมองใครเป็นพิเศษหากว่าหลับตา กระพริบตา) สุดท้ายเธอก็สามารถลืมมัน (ลบมันทิ้งไป) จากเธอได้ ในที่สุด เพราะความไม่รู้ของเธอว่ามันมีประโยชน์ยังไง 555555



    จุดนี้หากได้ย้อนไปในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงผ่านเข้าถึงจุดนี้ แต่มิได้ทรงตื่นเต้นไปกับสิ่งที่ได้มา เพราะพระองค์ยังไม่ได้สิ่งที่ทรงปรารถนา นั่นคือการตรัสรู้หนทางสู่พระนิพาน(ไม่เกิด/แก่/เจ็บ/ตาย อีกต่อไป)



    ระหว่างทางที่ทรงตั้งปณิธานนั่งสมาธิใต้ต้นโพธิ์ พระองค์ทรงสมาธิได้วิชาอะไรมาบ้างก่อนจะตรัสรู้ แต่พระองค์มิได้ยินดี หากไม่ได้พบทางที่พระองค์ทรงประสงค์ สิ่งที่พระองค์ทรงพบ/มี ระหว่างหาหนทางสู่พระนิพาน ได้แก่ลำดับดังนี้


    ญาณ 3 หรือก็คือวิชชา 3 ได้แก่
    * บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกถึงขันธ์ที่เกิดในอดีตได้ คือ การระลึกชาติของตนได้
    * จุตูปปาตญาณ ความรู้ในจุติและอุบัติของสัตว์โลกได้ เรียกว่า ทิพพจักขุญาณ หรือ ทิพยจักษุญาณ บ้าง
    * อาสวักขยญาณ ความรู้ในการกำจัดอาสวะให้สิ้นไป


    ญาณ 3 ในส่วนอดีต-อนาคต-ปัจจุบัน ได้แก่
    * อตีตังสญาณ หมายถึง ญาณหยั่งรู้ในส่วนอดีต
    * อนาคตังสญาณ หมายถึง ญาณหยั่งรู้ในส่วนอนาคต
    * ปัจจุปปันญาณ หมายถึง ญาณหยั่งรู้ในส่วนปัจจุบัน

    ญาณ 3 ในการหยั่งรู้อริยสัจ
    * สัจจญาณ หมายถึง ญาณในการหยั่งรู้อริยสัจแต่ละอย่าง
    * กิจจญาณ หมายถึง ญาณในการหยั่งรู้กิจในอริยสัจ
    * กตญาณ หมายถึง ญาณในการหยั่งรู้กิจอันได้ทำแล้วในอริยสัจ

    ญาณ 16 และ วิปัสสนาญาณ 9

    ญาณ 16 ไม่ปรากฏในพระไตรปิฎกภาษาบาลีโดยตรงทั้งหมด แต่วิปัสสนาจารย์สายพม่าได้เรียบเรียงจากญาณที่ระบุในปฏิสัมภิทามรรคและคัมภีร์วิสุทธิมรรค รวมกัน 16 ขั้น เรียกว่า ญาณ 16 (โสฬสญาณ) เป็นญาณที่เกิดแก่ผู้บำเพ็ญวิปัสสนา โดยลำดับตั้งแต่ต้น จนถึงจุดหมายคือมรรคผลนิพพานค่ะ


    ที่กะทิเขียนอธิบายมา เพื่อจะบอกผู้อ่านว่า การมีพลังจิต ผู้ที่ได้มี บางคนหากยังไม่ได้ ก็เห็นเป็นเรืองที่อยากมี ผู้ที่มีอยู่แล้วก็ยังตื่นเต้นอยากมีเพิ่มเติม แต่ใช้ว่ามีแล้วจะไม่เสื่อม หรือมีแล้วจะดีเด่ เพราะจริงๆ แล้วพวกเรายังไม่ก้าวไปถึงไหนเลย


    ดูตัวอย่างจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าตามหาที่แท้จริงสิคะ แม้แต่ผู้มีพลังจิตแล้ว จุดประสงค์แท้จริงอาจยังไม่กระดิกถึงไหนเลย เหมือนอย่างกะทิเป็นต้นค่ะ เธอยังซุกซนเป็นธรรมชาติของเธอ อิอิ



    ดังนั้นพลังจิตทางฤทธิ์มีหรือไม่มี ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นที่จะใช้หรือไม่ใช้ในการเข้าถึงพระนิพานนะคะ


    กะทิขออ ยกตัวอย่างนิทานเรื่อง ยักษ์ตีศีรษะพระสารีบุตรเถระมาเล่าให้ฟังอีกสักหน่อยค่ะ (เล่านิทานหลายเรื่องจังอะ กระทู้จะยาวเกินไปไหมเนี่ย?)


    พระโมคคัลลานะ ท่านเป็นสาวกที่เก่งทางฤทธิ์ ส่วนพระสารีบุตร ท่านเป็นสาวกที่ทรงเด่นด้านการเข้าถึงสมาธิได้ลึกนะคะ ไม่ได้เก่งทางฤทธิ์เช่นพระโมคคัลาที่เหาะเหินเดินอากาศได้หนะค่ะ เนื้อความมีอยู่ว่า...


    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะอยู่ที่กโปตกันทราวิหาร


    ในคืนเดือนเพ็ญ ท่านพระสารีบุตรปลงผมใหม่ๆ นั่งสมาธิอยู่กลางแจ้ง ฯ


    ขณะนั้นมียักษ์ ๒ ตนเป็นสหายกัน เดินทางจากทิศเหนือ ไปทางทิศใต้เพื่อทำกิจบางอย่าง ได้เห็นท่านพระสารีบุตรซึ่งศรีษะโล้น นั่งสมาธิอยู่กลางแจ้ง

    ยักษ์ตนหนึ่งได้กล่าวกับยักษ์ผู้เป็นสหายว่า "สหายเอ๋ย เราอยากจะตีศีรษะของสมณะนี้"


    เมื่อยักษ์นั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ยักษ์ผู้เป็นสหายได้กล่าวว่า "อย่าเลยสหาย ท่านอย่าทำร้ายสมณะเลย สมณะนั้นมีคุณยิ่ง มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก"

    ......


    ลำดับนั้น ยักษ์นั้นไม่เชื่อยักษ์ผู้เป็นสหาย ได้ตีศีรษะท่านพระสารีบุตรเถระ เป็นการตีที่รุนแรงมาก การตีเช่นนั้น สามารถทำให้ช้างสูง ๗ - ๘ ศอก จมดินได้ หรือสามารถทำลายยอดภูเขามหึมาให้ทลายลงได้


    และทันใดนั้นเองยักษ์นั้นได้ร้องว่า "โอย ร้อนเหลือเกิน" แล้วได้ตกลงไปสู่มหานรก ณ ที่นั้นเอง ฯ


    ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้เห็นยักษ์นั้นตีศีรษะท่านพระสารีบุตร ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์ จึงเข้าไปหาท่านพระสารีบุตร แล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า "ท่านสารีบุตร ท่านยังสบายดีหรือ ยังพอเป็นอยู่ได้หรือ ไม่มีทุกข์อะไรหรือ"



    ท่านพระสารีบุตรตอบว่า "ท่านโมคคัลลานะ ผมสบายดี พอเป็นอยู่ได้ เพียงแต่เจ็บที่ศีรษะนิดหน่อย"



    ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวว่า "น่าอัศจรรย์จริงไม่เคยปรากฏ ท่านพระสารีบุตร ท่านมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากจริง ยักษ์ตนหนึ่งได้ตีศีรษะท่านในที่นี้ เป็นการตีอย่างรุนแรง การตีเช่นนี้สามารถทำให้ช้างสูง ๗-๘ ศอกจมดินได้ หรือสามารถทำลายยอดภูเขามหึมาให้ทลายลงได้ แต่กระนั้น ท่านก็ยังกล่าวอย่างนี้ว่า

    " ท่านโมคคัลลานะ ผมสบายดี พอเป็นอยู่ได้ เพียงแต่เจ็บที่ศีรษะนิดหน่อย"



    ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า " น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ ท่านโมคคัลลานะ ท่านมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากจริง เห็นแม้กระทั่งยักษ์ ส่วนผมขณะนี้ แม้แต่ปีศาจสักตนก็ยังไม่เห็น"


    (ก็อย่างที่กะทิอธิบายไว้ตอนต้นอะนะคะ ว่าพระสารีบุตรทรงเด่นด้านการทำสมาธิได้ลึก ไม่ได้เด่นทางฤทธิ์ที่มีตาทิพย์ เหาะเหินเดินอากาศได้เช่นพระโมคัลลานะ หนะค่ะ แต่ก็มีตำแหน่งถึงพระสาวกเบื้องซ้าย-ขวา ของพระพุทธเจ้า)


    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสดับเสียงสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ของพระอัครสาวกทั้ง ๒ รูปนั้นด้วยพระโสตทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์


    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า...


    จิตของใครตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ดุจภูเขา...ไม่กำหนัดในอารมณ์อันชวนให้กำหนัด
    ไม่ขัดเคืองในอารมณ์อันชวนให้ขัดเคือง...ผู้ใด อบรมจิตได้อย่างนี้ ทุกข์จะมาถึงผู้นั้นแต่ที่ไหน ฯ


    อ่านจบนิทานตอนที่สองแล้ว ไม่รู้ยังจะมีคนอยากอ่านนิทานพลังอธิษฐานของกะทิ ตอนที่สาม เหลืออยู่อีกกี่คนหว่า



    ไม่ทราบว่ายังมีใครอยากอ่านนิทานตอนต่อไปกันอยู่ไหมคะ ขอเสียงหน่อยคะ จะได้ช่วยส่งกำลังใจบอกไปยังกะทิให้เขียน นิทานตอนที่สามชื่อตอน กะทินั่งสมาธิแล้วนอนไม่หลับไม่รู้ทำไง มาแปะไว้ ไวไว อะนะคะ ^ ^




    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2014
  13. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    แวะมายกมือว่ารออ่านนิทานคุณกะทิอยู่นะครับ
     
  14. chaivat chinkidjakar

    chaivat chinkidjakar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    1,601
    ค่าพลัง:
    +21,774
    น้องกะทิ มาปูเสื่อรออยู่จ้า
     
  15. marumari

    marumari Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2013
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +44
    ลงชื่อ ปูเสื่อ...กินขนมรอด้วยคนค่ะ
     
  16. Kaewsaii

    Kaewsaii สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +5
    รออ่านอยู่ค๊าบบบ:cool:
     
  17. พ่อณภัทร

    พ่อณภัทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    7,877
    ค่าพลัง:
    +3,633
    รออ่านอีกหนึ่งเสียงครับ :cool:
     
  18. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ก่อนจะเข้านิทานตอนที่สาม ดิฉันขอเข้าอธิบายเรื่องกสิณก่อนละกันนะคะ ดังที่ได้ยกตัวอย่างในนิทานตอนที่หนึ่ง ถึงบุคคลตามตัวอย่างแล้ว ว่าแต่ละคนได้เข้าถึงสมาธิโดยผ่านเหตุการณ์ที่มิได้เกิดจากการทำสมาธิหลับตา แต่เกิดจากการสังเกตและสงสัย และระลึกจดจำได้ในสิ่งที่ตนเห็น จนสามารถใช้สิ่งนี้เป็นพลัง และ "จุดไฟติด" กลายเป็นพลังจิตเฉพาะตนที่สามารถใช้ดูสรรพสิ่งและรักษาโรคของผู้คนจากการคุยกับสรรพสิ่งรอบตัวได้



    ดังนั้นเรามาว่ากันด้วยเรื่องกสิณกันสักหน่อย แต่ขอออกตัวกันก่อนว่า สิ่งที่กะทิได้ใช้ในการฝึก กะทิไม่ได้ถือว่าเป็นการ เพ่งกสิณ เพราะว่ามันมีรายละเอียดของการฝึก และสิ่งที่กะทิเพ่งมอง มีรายละเอียดมากกว่าการเป็นวัตถุแบบที่การฝึกกสิณใช้กันค่ะ เราเรียกท่านว่าพ่อของเรา และที่มากไปกว่านั้นอีก ซึ่งกะทิได้กล่าวไว้ในนิทานตอนที่สองแล้วว่า เท่าที่กะทิได้สมาธิจิตเข้าไปดู จะพบว่าท่านอยู่กับกะทิมาตั้งแต่ปฐมเริ่มต้นของกะทิมาอยู่ก่อนแล้ว



    เรามาเข้าเรื่องกสิณกันนะคะ



    ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า ดิฉันเขียนเรื่องกสิณนี้ ไม่ได้ต้องการให้ผู้อ่านงมงาย หลง หรือฟุ้ง เพียงแต่ต้องการให้เป็นทางเลือกในการฝึกสมาธิอีกทางหนึ่ง ที่จะสามารถใช้ในชีวิตประจำวันของท่านได้ตลอดเวลา ทั้งนี้การเลือกฝึกหรือไม่เลือกฝึกอย่างไร ก็แล้วแต่ จริต ที่ถูกกันหรือไม่ถูกกันของตัวท่านเองกับสิ่งนั้นๆ (หากถูกจริตกัน ก็เท่ากับ "จุดไฟติด" ได้ในสักวันหนึ่งนั่นเอง)

    /ยังมีต่อ




    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2014
  19. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    กสิณคืออะไรกันหนอ? ดิฉันขอลอกแปะมาจากวีกิพิเดียนะคะ แล้วขอเพิ่มคำอธิบายในวงเล็บ และใส่ " " ไว้ในจุดทีเห็นว่าสำคัญค่ะ



    กสิณ คือวิธีการปฏิบัติสมาธิแบบหนึ่งในพระพุทธศาสนา มีความหมายว่า เพ่งอารมณ์ เป็นสภาพหยาบ สำหรับให้ผู้ฝึกจับให้ติดตาติดใจ ให้จิตใจจับอยู่ในกสิณใดกสิณหนึ่งใน 10 อย่าง ให้มีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว จิตจะได้อยู่นิ่งไม่ฟุ้งซ่าน มีสภาวะให้จิตจับง่ายมีการทรงฌานถึงฌาน 4 ได้ทั้งหมด กสิณทั้ง 10 เป็นพื้นฐานของอภิญญาสมาบัติ


    การเพ่งกสิณนับว่าเป็นอุบายกรรมฐานกองต้นๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ ว่าด้วยการปฏิบัติสมาธิภาวนาเพื่ออบรมจิต อันเป็นแนวทางแห่งการบรรลุสำเร็จมรรคผลนิพพาน หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ออกไปได้ ซึ่งอุบายกรรมฐานมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสี่สิบกอง (แต่ทว่า).... ภายใต้กรรมฐานทั้งสี่สิบกองนั้น จะประกอบไปด้วยกรรมฐานที่เกี่ยวเนื่องกับการเพ่งกสิณอยู่ถึงสิบกองด้วยกัน



    การเพ่งกสิณ คือ อาการที่เราเพ่ง "อารมณ์" ไม่ได้หมายถึงเพ่งมอง หรือจ้องมอง ไปยังวัตถุหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาทิเช่น พระพุทธรูป เทียน สีต่างๆ หรือแม้กระทั่งอากาศ ฯลฯ (แต่คือการเรียนรู้) -> .... รับรู้/บันทึก สภาพหรือคุณสมบัติเฉพาะ ของวัตถุ (ธาตุต่างๆ ของวัตถุ) หรือสิ่งๆ นั้นไว้เช่น เนื้อ สี สภาพผิว ความหนาแน่น ความเย็นในจิต จนกระทั่งเมื่อหลับตาลงจะปรากฏภาพนิมิต (นิมิตกสิณ) ของวัตถุหรือสิ่งๆ นั้นขึ้นมาให้เห็นในจิต หรือแม้กระทั่งยามลืมตาก็ยังสามารถมองเห็นภาพนิมิตกสิณดังกล่าวเป็น "ภาพติดตา"



    การเพ่งกสิณจัดเป็นอุบายวิธีในการทำสมาธิที่มีดีอยู่ในตัว กล่าวคือ การเพ่งกสิณเป็นเสมือนทางลัดที่จิตใช้ในการเข้าสู่สมาธิได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายกว่าการเลือกใช้อุบายอื่น ทั้งนี้เนื่องจากแนวทางนี้ จิตจะยึดเอาภาพนิมิตกสิณที่เกิดขึ้นมาเป็นเครื่องรู้ของจิต แทนอารมณ์ต่างๆ (ความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นในแต่ละวันของเรา จากการใช้ชีวิตประจำวัน ที่เกิดอารมณ์ต่างๆ เช่น ความเครียด ความโกรธ การพูดจาไร้สาระ ฯลฯ เป็นต้น) ที่ผ่านเข้ามาในจิต และเมื่อภาพนิมิตกสิณเริ่มรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิต (หลังจากภาพติดตาแล้ว) จิตก็จะรับเอาภาพนิมิตกสิณนั้นมา (รวม) เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิต




    จากนั้นภาพนิมิตกสิณดังกล่าวจะค่อยๆ พัฒนาไปเองตามความละเอียดของจิต(ของแต่ละคน) ซึ่งจะส่งผลให้เกิดมีความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับภาพนิมิตกสิณ(ที่เราจำได้ตลอดเวลา)นั้น เริ่มตั้งแต่ความคมชัดในการมองเห็นภาพนิมิตกสิณที่ปรากฏขึ้นภายในจิต และสามารถมองเห็นภาพนิมิตกสิณนั้นได้อย่างชัดเจน ราวกับมองเห็นด้วยตาจริงๆ (เพราะจากนี้ ภาพที่เราเห็นจะไม่ใช่การมองด้วยตาธรรมดาทั้งสองข้างค่ะ แต่เป็นการมองผ่านจิตที่เราจำภาพนั้นได้) ไปจนกระทั่งการที่จิตสามารถบังคับภาพนิมิตกสิณนั้นให้เลื่อนเข้า-เลื่อนออก หรือหมุนไปทางซ้าย-ทางขวา หรือยืด-หดภาพนิมิตกสิณดังกล่าวได้ อันเป็นพลังจิตที่เกิดขึ้นจากการเพ่งนิมิตกสิณ**



    (**ตรงจุดนี้ขอเพิ่มข้อความหน่อยค่ะว่า การทำสมาธิหลับตาด้วยคำภวนา หากทำสมาธิได้ลึก และทรงอารมณ์อยู่ ในบางครั้งบางโอกาส เราก็จะเห็นภาพประหลาดๆ เกิดขึ้นกับเราได้เหมือนกัน อย่างที่คนทั่วไปเรียกว่า การเกิดปิติบ้าง เกิดนิมิตรบ้าง เช่นยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับกะทินะคะ เช่น เห็นตัวเองอยู่ในลูกแก้ว สามารถขยายลูกแล้วให้ใหญ่เล็กได้ตามแต่ใจ (ตัวเองก็จะใหญ่เล็กตามลูกแก้วไปด้วยเป็นต้น) เห็นอื่นๆ อีกหลายประการเป็นต้น แต่ขณะนั้นเรามีสติอยู่นะคะว่า เราไม่ได้กำลังฟุ้ง(ไม่ได้กำลังคิดโน่นคิดนี่คิดนั่นแล้วอยู่ จิตไม่ได้นิ่งอยู่ แล้วเอามาฟุ้งซ่านเอาเองหนะค่ะ เป็นต้น))




    ยังมีต่อ/




    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2014
  20. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    แต่ในที่สุดแล้วภาพนิมิตกสิณทั้งหลายก็จะมาถึงจุดแห่งความเป็นอนัตตา (อย่างที่อธิบายไว้ในนิทานตอนที่สองแล้วว่า ประตูโรงหนังมีหลายประตู แล้วแต่เราจะเลือกฝึกภวนา หรือเลือกปฏิบัติแบบไหนก็ได้ เพราะสุดท้ายมันก็จะต้องเดินออกมารวมกันอยู่ที่จุดหมายเดียวกัน นั่นก็คือหน้าโรงหนังนั่นเอง) ....



    ความเป็นอนัตตา อันได้แก่ ความว่างและแสงสว่าง กล่าวคือ ภาพนิมิตทั้งหลายจะหมดไปจากจิต แม้กระทั่งอาการและสัญญาในดวงจิตก็จะจางหายไปด้วย โดยจิตจึงเข้าสู่กระบวนการของสมาธิในขั้นฌาน(แทน) ...ต่อไปตามลำดับ




    กสิณนั้นแบ่งเป็น 10 กอง ตามแต่จริตของผู้ต้องการจะฝึก นั่นหมายถึง เราไม่จำเป็นต้องฝึกทุกกองค่ะ เดิมกะทิเคยเข้าใจผิด จากการอ่านหนังสือ ว่าเราจำต้องฝึกทุกกอง แต่ความจริงแล้ว การฝึกตามจริต จะได้กล่อมเกลาจิตของเราได้ดีกว่า แม้ในหนังสืออาจมีการระบุว่า หากคนใดฝึกกสิณแบบใด จะมีอานุภาพ(ได้ฤทธิ์ต่างกัน) แต่ว่า อย่างที่บอกนะคะ ผลสุดท้ายมันก็ต้องไปรวมกันอยู่ที่หน้าโรงหนังค่ะ



    กสิณทั้ง 10 อย่าง แบ่งออกเป็น 2 พวก


    * พวกที่หนึ่ง คือ กสิณกลาง มี 6 อย่าง เหมาะกับคนทุกอารมณ์ ทุกอุปนิสัยของคน

    ** ปฐวีกสิณ (ธาตุดิน หมายถึงของของแข็งทั้งมวล ไม่ใช่เฉพาะแต่ดินเท่านั้น) จิตเพ่งดิน โดยกำหนดว่าสิ่งนี้เป็นดิน

    ** เตโชกสิณ (ธาตุไฟ ธาตุร้อน) จิตเพ่งไฟ คือการเพ่งเปลวไฟ

    ** วาโยกสิณ (ธาตุลม) จิตเพ่งอยู่กับลม นึกถึงภาพลม โดยกำหนดว่าสิ่งนี้เป็นลม

    ** อากาสกสิณ (ช่องว่าง) จิตเพ่งอยู่กับอากาศ นึกถึงอากาศ คือการเพ่งช่องว่าง โดยกำหนดว่าสิ่งนี้เป็นช่องว่าง

    ** อาโลกสิณ (กสิณแสงสว่าง) จิตเพ่งอยู่กับแสงสว่าง นึกถึงแสงสว่าง วิธีเจริญอาโลกกสิณให้ผู้ปฏิบัติยึดโดยทำความรู้สึกถึงความสว่าง

    ** อาโปกสิณ (ธาตุน้ำ/ของเหลว) จิตนึกถึงน้ำเพ่งน้ำไว้ คือการเพ่งน้ำ โดยกำหนดว่าสิ่งนี้เป็นน้ำ



    images?q=tbn:ANd9GcQoiST5hh5DOrHapRT9_udTrjPEjq8Gioz-SKecPp3K-XCFN7pQ2w.jpg



    การปฏิบัติ : ให้ผู้สนใจ เลือกภาวนา(เฉพาะ) กสิณใดกสิณหนึ่งให้ได้ถึงฌาน 4 หรือฌาน 5 (แล้วการคิดว่าจะทำ)กสิณอื่นๆ (ต่อไป..ในกองอื่นๆ ที่เหลือ)ก็ทำได้ง่ายทั้งหมด (พูดง่ายๆ ก็คือ เลือกทำกองใดกองหนึ่งให้คล่องก่อน แต่อย่างที่ทุกท่านได้อ่านในนิทานตอนที่สองแล้วนะคะ กว่าคุณเธอกะทิจะคล่องกองแรกก็กินเวลาเป็นปีๆ ค่ะ)




    * พวกที่สองคือกสิณเฉพาะอุปนิสัยหรือเฉพาะจริต สำหรับคนโกรธง่าย คือพวกโทสจริต มี(ให้เลือกฝึก) 4 อย่าง

    ** โลหิตกสิณ เพ่งกสิณ หรือนิมิตสีแดงจะเป็นดอกไม้แดง เลือดแดง หรือผ้าสีแดงก็ได้ทั้งนั้นจิตนึกภาพสีแดง

    ** นีลกสิณ ตาดูสีเขียวใบไม้ หญ้า หรืออะไรก็ได้ที่เป็นสีเขียว แล้วหลับตาจิตนึกถึงภาพสีเขียว

    ** ปีตกสิณ จิตเพ่งของอะไรก็ได้ที่เป็นสีเหลือง

    ** โอทาตกสิณ ตาเพ่งสีขาวอะไรก็ได้แล้วแต่สะดวก แล้วหลับตานึกถึงภาพสีขาว



    ส่วนคำภวนากำกับในการเพ่งกสิณนั้น หลายคนอาจเคยอ่านเจอว่า การเพ่งกสิณแต่ละอย่าง จะมีคำภวนากำกับด้วยนั้น ขอบอกเลยว่าสิ่งนี้มีควาจำเป็นอยู่บ้างในช่วงที่เราอยู่ในความเงียบสงบกับตัวเอง (ซึ่งกะทิก็มีคำภวนากำกับการเพ่งมองอยู่เฉพาะนะคะ) แต่อย่างที่ดิฉันกล่าวไปแล้วว่า เราจะทำมันในทุกเวลาของช่วงชีวิตประจำวัน ไม่ว่าเราจะทำงานอยู่ ขับรถอยู่ ฟังหัวหน้าประชุมอยู่ หรือแม้แต่ดูมีวีอยู่ ฟังเพลงอยู่ แปรงฟันอยู่ หรือแม้แต่นอนหลับอยู่ เราก็สามารถแยกจิตเราไปจับอยุ่ที่กสิณที่เราฝึกนั้นได้พร้อมๆ กันกับสิ่งที่เรากำลังปฎิบัติชีวิตประจำวัน หรือก็คือ เรากำลังแยกจิตของเรา สั่งให้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดพร้อมๆ กันสองสิ่ง ซึ่งแรกๆ ที่ฝึกนั้นเป็นเรื่องยากพอสมควร



    กะทิต้องแบ่งสมองออกเป็นสอง คือ ในช่วงที่ฝึกนั้น เป็นช่วงสมัยเรียนหนังสือ กะทิเธอต้องอ่านหนังสือวิชาต่างๆ ไปด้วย และเห็นครูสูงสุดของเธอไปด้วยตลอดเวลา หรือเป็นช่วงๆ ที่เธอจะนึกถึงท่านได้ แต่สุดท้ายแล้ว การฝึกเช่นนี้บ่อยๆ (จนมีความชำนาญ) ทั้งสองสิ่งจะค่อยๆ สามารถโฟกัสได้ และสุดท้ายทั้งสองสิ่งจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันในทุกๆ กิจวัตรประจำวัน โดยอัตโนมัติ และไม่ทำให้รู้สึกลำบากเลย สิ่งนี้ยังมีผลต่อการเรียน สมาธิที่ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นอย่างนั้นไปซะอีกได้ไงไม่รู้ นอกจากนี้ยังมีผลต่อสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย เพราะช่วงนั้นกะทิเธอมีรอบเดือนไม่ปกติค่ะ หลังจากเธอได้ฝึกแบบนี้แล้ว ปรากฏว่ารอบเดือนเธอกลับมาปกติได้ด้วย(ตามกำลังฝึกที่ต่อเนื่องของเธอ(บางทีก็ไม่ได้ต่อเนื่องตลอดเวลา เพราะความซนของเธอนะคะ อิอิ))



    ดังนั้นคำภวนาในการเพ่งกสิณ ที่เผื่อว่าใครไปอ่านเจอในหนังสือ สำหรับกะทินี้ กะทิจะบอกว่าไม่ได้ใช้ภวนาตลอดค่ะ จะใช้เฉพาะช่วงที่เราอยู่ในความสงบ ไม่ได้ประชุมอยู่ ไม่ได้อยู่ในระหว่างทบทวนบทเรียน หรือฟังครูสอน แต่ขณะนั้นเรากำลังอยู่กับสิ่งนั้นควบคู่ไปด้วย อย่างนี้ เราจะไม่ภวนาใดๆ เพียงแต่จิตยังเห็นสิ่งนั้นอยู่ตลอดเวลานะคะ




    ดิฉันต้องกล่าวเรื่องนี้ไว้ ก่อนที่จะเข้าสู่ นิทานพลังอธิษฐานของกะทิตอนสามนะคะ เพื่อปูทางไว้ ให้ผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจนิทานของกะทิในบทที่สามที่จะออนแอร์จากนี้ไปได้ง่ายขึ้นค่ะ ส่วนวัตถุประสงค์อื่น ที่ผู้อ่านอาจจะเลือกฝึกสมาธิเพิ่มขึ้นจากวิธีที่ตนใช้อยู่เดิมหรือไม่ อันนี้ก็แล้วแต่ท่านนะคะ แต่ขอบอกก่อนเลยว่า มันจะต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด แทบจะ 24 ชั่วโมงในตอนแรกๆ ที่ท่านฝึกนะคะ ถึงจะได้ผลค่ะ ^ ^



    เตรียมเข้าสู่นิทานตอนที่สาม...





    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...