ข้อเขียนที่เก็บไว้ส่วนตัว แต่อยากให้อ่านกัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย tidti2005, 25 สิงหาคม 2011.

  1. udorn

    udorn สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +19
    ูถูกใจ ก้อข้อความสุดท้ายนี่แหล่ะครับ...กด Like ให้ครับ
     
  2. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    เอ้อ.....กว่าจะหาเวปเจอ
     
  3. klaichid

    klaichid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +807
    ขออนุญาต เรียนถามค่ะ

    พวกที่เป็นตระกลูหงษ์ จะจัดอยู่ในสวรรค์ชั้นไหนค่ะ
     
  4. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631

    กว่าจะหาเวปเจอก็เสิร์ทหาหลายกระบวนท่าเหมือนกัน เพราะช่วงที่หยุดไปพอดีกระแสเรื่องพระเรื่องเจ้ามาแรงแซงโค้ง เลยหยุดดูท่าทีก่อน กะว่าเมื่อเรื่องอย่าว่า ค่อยๆซาไปก็จะเข้ามาโพสต่อน่ะครับ

    ส่วนที่ถามมาก็จะขออ้างอิงจากประสพการณ์จากความฝันของเก่าเมื่อครั้งกระโน้นมาตอบครับ อยู่ที่หน้า2ของโพสครับ ก็จะเป็นการเชื่อมต่อจากของเก่านะครับ มีดังนี้....

    เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือ งูขนาดใหญ่ ใหญ่ขนาดภูเขาลูกย่อมๆ ลำตัวขดขนดเป็นวงกลมสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าขนาดต้องแหงนคอมอง ตามลำตัวมีเกล็ดสีปีกแมลงทับ(เขียวเข้ม)วางซ้อนกันเป็นชั้นๆเป็นเงาวาวสะท้อนเข้าตา ส่วนหัวมีหงอนลักษณะคล้ายหงอนไก่ทอดยาวลงมาถึงส่วนคอ ปลายยอดสุดของหงอนพับตกลงมา หงอนมีสีแดงเข้มดวงตาของงูยักษ์ที่ทอดมองมายังผู้เขียน เปล่งประกายเหมือนมีพลังอำนาจและดุดันและพร้อมที่จะทำร้าย หากว่าก้าวล่วงเข้าไปประชิดมากกว่านี้ พร้อมแผ่แม่เบี้ยขนาดใหญ่กว้างขนาดสนามฟุตบอล2-3สนามรวมกัน มีเขี้ยวโผล่ออกจากปลายปากทั้ง2ข้างยาวแหลมโง้ง ใหญ่ขนาดงาช้างตัวใหญ่ๆ สีขาวเป็นมันวาว ชูแม่เบี้ยนิ่งมองดูผู้เขียนที่จะก้าวเท้าเข้าไปใกล้

    “เดินเลี้ยวไปทางซ้ายนะ อย่าเดินตรงไป เดี๋ยวท่านนาคราชจะโกรธเอา ที่ไปบุกรุกสถานที่”

    เสียงเดิมที่นุ่มคุ้นหูบอกต่อ พลันผู้เขียนก็เดินเลี้ยวซ้ายไปตามเสียงที่บอก เดินไปเรื่อยๆสักครู่ เหมือนกับไปโผล่ที่ปากปลายอุโมงค์ อุโมงค์หนึ่ง จะเดินต่อก็คงไม่ได้เพราะเหมือนทางมันสิ้นสุดแค่ตรงนั้น เพราะเมื่อชะเง้อมองลงไป

    ด้านล่างเหมือนเป็นเหวลึกกว้างสุดสายตา มีลมจากด้านล่างพัดขึ้นมาปะทะจนรู้สึกหนาว บริเวณรอบๆเห็นแต่ปุยเมฆ-หมอกปกคลุมจางๆทั่วทั้งหมด เมื่อเพ่งมองลงไป ด้านล่างเหมือนเป็นแอ่งกะทะขนาดใหญ่ มีต้นไม้เขียวคลึ้มขึ้นเต็มไปหมด บางส่วนใบเป็นสีเหลืองทอง บางส่วนเป็นสีแดงเข้ม บางส่วนเป็นสีชมพูจางๆสวยงามจนบอกไม่ถูก ตรงกลางแอ่งเหมือนมีหนองน้ำขนาดใหญ่ มีบัวสารพัดสีขึ้นอยู่กระจายอยู่ทั่วไปเป็นกลุ่มๆมากบ้างน้อยบ้าง บางกลุ่มดอกเป็นสีแดงสด -เหลืองทอง-ขาวนวล-ชมพูเข้ม/อ่อน ดอกค่อนข้างใหญ่กว่าปกติที่เคยเห็นมา2-3เท่าตัว


    ใบของบัวจากการคาดคะเนเมื่อมองลงมาจากที่สูง ไม่น่าจะต่ำกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ4-5เมตรต่อใบ น้ำในสระนั้นเขียวใสมรกตเมื่อสะท้อนกับแสง ไม่สามารถคำนวนความลึกได้ว่าลึกประมาณไหน รอบๆบริเวณสระนั้น มีสิ่งหนึ่ง บินว่อนอยู่ทั่วไป คล้ายผีเสื้อมองเห็นแต่ไกลๆ


    “นั่นคือสระอโนดาต บริเวณรอบๆนี้คือป่าหิมพานต์ สถานที่ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ใฝ่ฝันที่จะมาไง”

    เสียงนั้นอธิบายบอกกับผู้เขียนต่อ เหมือนจะอ่านใจผู้เขียนออกว่า ผู้เขียนจะถามว่าที่นี่คือที่ไหน และอยู่ตรงส่วนไหนของโลกเรา

    “บริเวณรอบๆหิมพานต์นี้ มีภูเขาปิดล้อมทั้ง5ชั้น ยากนักที่มนุษย์หรืออมนุษย์จะย่างกายเข้ามาได้ ยอดเขาแต่ละลูกจะโน้มเข้ามาบรรจบชนกันปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างทั้งแสงอาทิตย์และแสงจันทร์ไม่ให้ส่องลงมาตรงๆได้ มีทั้งหมด5ยอด

    คือยอดสุทัสสะนะ-ยอดจิตตะ-ยอดกาฬะ-คันธมาทธ์และยอดสูงสุดคือยอดเขาไกลาสที่อยู่ของพญาครุฑ สระที่เห็นเป็นเพียงสระหนึ่งยังมีอีก6สระ บริเวณรอบๆหิมพานต์นี้ สระอโนดาตนี้เป็นที่สรงสนานแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ รวมถึงผู้มีฤทธิ์ เช่น ฤษี วิทยาธร ยักษ์ นาค ปลายสายน้ำแห่งสระอโนดาตนี้ไหลลงสู่โลกมนุษย์5สายคือ แม่น้ำคงคา- แม่น้ำยมุนา-แม่น้ำอจิรวดี-แม่น้ำสรภู-แม่น้ำมหิ ผู้ที่มีตาทิพย์เท่านั้นที่จะมองเห็นต้นน้ำแห่งนี้”

    ผู้เขียนได้ฟังคำอธิบายแค่นี้ก็อึ้ง พูดไม่ออก ได้แต่ยืนมองไปรอบๆตามคำอธิบายนั้น เปรียบเสมือนมีสระน้ำ6สระอยู่ครงกลาง มีภูเขาล้อมรอบเป็นชั้นๆสลับกัน โดยที่ยอดของแต่ละลูกโน้มเข้ามาบรรจบกันตรงกลาง เว้นช่องด้านข้างให้น้ำไหลเข้าออกสลับกัน โดยที่ไม่ให้ไหลออกตรงๆ


    ผู้ที่จะผ่านเข้ามาถึงใจกลางได้จึงเป็นการยาก แม้จะมีปีกบินก็ตาม หากจะเข้ามาถึงได้ คงต้องบินลัดเลาะแทรกเข้ามาระหว่างภูเขาแต่ละลูกๆ ซึ่งก็ยากอยู่ดี เพราะเขาแต่ละลูกล้วนมีผู้รักษาดูแล คงไม่ให้ผ่านเข้ามาได้ง่ายๆหรอกกระมัง
    เหมือนกับจะอ่านใจผู้เขียนออกว่าคิดอะไร เสียงนั้นจึงอธิบายต่อไปว่า

    “จะว่าออก-เข้า ไม่ได้ทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา ก็มีกินรี-กินนร แอบลัดเลาะออกไปเที่ยวยังโลกมนุษย์ เพราะสถานที่นี้เป็นรอยเชื่อมต่อระหว่าง โลกทิพย์และโลกมนุษย์ จึงอาจมีลักลอบออกไปเที่ยวได้ แต่มาระยะหลังนี้ โลกมนุษย์ไม่ค่อยสะอาด จิตใจคนเปลี่ยนไป พวกนี้จึงไม่ออกไปอีก และหากฝืนออกไป อาจจะถูกนาคหรือครุฑจับกินได้ หากว่าพบเจอ”

    ผู้เขียนในขณะนั้นก็พยักหน้ารับรู้ และคล้อยตาม เพราะ นานมาแล้ว ที่ไม่เคยมีใครได้เคยเจอะเจอทั้งกินรีและกินนรในโลกมนุษย์อีกเลย คยได้ฟังมาจากคนรุ่นก่อนๆเท่านั้น ที่บอกว่าพรานบุญได้ใช้บ่วงบาศน์จับได้

    “ที่เห็นบินอยู่ด้านล่างคือเหล่ากินรีและกินนรทั้งหลาย รวมทั้งสัตว์หิมพานต์อื่นๆ เมื่อมีโอกาศต่อไป เราจะพาลงไปด้านล่างอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีเวลาไม่มากนัก”

    ไม่ว่าผู้เขียนจะคิดหรือนึกว่าจะถามสิ่งใด ยังไม่ทันจะถามหรือพูด เสียงนั้นก็จะชิงตอบมาก่อนทุกครั้ง เท่ากับว่าเสียงนั้น สามารถอ่านใจผู้เขียนได้ทุกอย่าง เพราะเพียงแค่นึกเท่านั้น ก็จะตอบมาทันที

    “ดูพอหรือยัง เรามีเวลาไม่มากนัก ยังต้องไปยังสถานที่อื่นต่ออีก”

    ผู้เขียนรู้สึกเสียดายเหมือนกัน เพราะเพลินกับการชมสถานที่ที่สวยงามแบบนี้ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ใจหนึ่งไม่อยากจากไป อยากยืนดูนานๆ แต่เสียงที่บอกนั้นเหมือนกับตัดบทว่าจะต้องไปแล้ว จึงจำต้องหันกลับ


    อันว่าในแดนหิมพานต์นั้น มีสัตว์ที่มีปีกบินได้อยู่หลายจำพวก หนึ่งในนั้นก็คือตระกูลหงษ์นั่นเองครับ

    หงส์ เป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ ตามตำนานในไตรภูมิพระร่วง บรรยายว่าถิ่นที่อาศัยอยู่ในถํ้าทองที่เขาจิตรกูฏ กลางป่าหิมพานต์ มีจำนวนถึงเก้าหมื่นตัว และมีพญาหงส์ทองเป็นหัวหน้า

    หงส์ ถือว่าเป็นสัตว์ปีกตระกูลสูง มีรูปร่างงดงาม ลีลาบินอ่อนช้อยเป็นสัตว์
    ที่มีเสียงร้องไพเราะมากอีกด้วย

    และเขาว่ากันว่าทางทิศใต้ของเขาไกรลาศ ณ ที่นั้นเป็นสระสวยงาม อันมีนามว่า มานะสะ หรือ มานัส กล่าวกันว่างามหนักหนา หงส์ตัวใดไปแล้วต้องไปอีก

    ก็อย่างว่า มันมีปีกเหมือนนก ถิ่นอาศัยอาจจะหลากหลาย แต่ก็ไม่เกินจากป่าหิมพานต์หรอกนะ

    เขาว่าหงส์ (Swan) ร้องครั้งเดียวเท่านั้นในชีวิต คือเมื่อจะตาย

    ภควัณตัง
     
  5. klaichid

    klaichid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +807
    ขอบพระคุณมากค่ะที่ได้ให้ความรู้ชัดขึ้น

    วันนี้เปิดอ่านตั้งแต่หน้าแรก ตาลายเหมือนกันนะค่ะ

    ขอให้คุณและครอบครัว เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นค่ะ. สาธุ
     
  6. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ด้วยความยินดีครับ มีสิ่งไหนที่ไม่ค่อยเข้าใจก็ถามมาได้นะครับ หากไม่เกินจากปัญญาที่มีอยู่น้อยนิด ก็จะพยายามตอบให้ครับ

    บางเรื่องหากว่าไม่ทราบคำที่จะตอบจริงๆ ก็จะเรียนถามอาจารย์อีกทีหนึ่ง เป็นเรื่องๆไปครับ คนเราย่อมมีทั้งรู้และไม่รู้ บางสิ่งคนอื่นรู้แต่เราไม่รู้มาก่อน ก็ใช่ว่าเราจะด้อยกว่าคนที่รู้มาก่อนเรา เมื่อได้คำตอบที่ดี ย่อมรับรู้เท่าๆกันครับ

    ขอโมทนาครับ

    ภควัณตัง
     
  7. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    เพิ่งได้อ่านกระุทู้ เขียนเรื่องได้น่าติดตามและสนุกค่ะ ยังอ่านไม่หมดกระทู้มาหลายหน้าแล้ว

    ข้าพเจ้าเป็นคนชอบดูดวงแบบพลังจิตสัมผัสกรรม
    แต่ไม่ได้ดูเพื่อจะเชื่อ เพราะอยากพิสูจน์ด้วย
    พบว่าในการถามเรื่องเดียวกัน หมอดู 10 คน ทายไป 10 อย่าง ทั้งที่ดูในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน
    ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นคะ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2013
  8. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    เชื่อว่าสุภาพสตรีมากกว่า90%ชอบดูหมอ หมอดู แม้บางครั้งจะทำนายผิดๆถูกๆ แต่ก็ชอบ กับคำว่าชอบนี่เอง จึงเป็นช่องทางทำมาหารับประทานของคนกลุ่มหนึ่ง บางคนทำเป็นกิจลักษณะ บางคนทำตามแรงศรัทธา ตามแรงโปรโมท

    การทำนายจึงมีทั้งผิดและถูกปนกันไป เชื่อเถอะว่า หากหมอดูพวกนั้นสามารถหยั่งรู้ชะตาชีวิตของใครต่อใครไปทั่ว ก็คงไม่ต้องมาเป็นหมอดูให้ใครหรอก ดูให้ตัวเองนี่แหละว่า จะทำอย่างไรให้ตัวเองรวยแบบสุดๆ วันนี้จะมีหุ้นตัวไหนขึ้นหรือลง หวยงวดหน้าจะออกอะไร ทุ่มเอาแบบสุดๆไปเลย รับรองว่าไม่เกิน2-3งวดก็รวยเละ ไม่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งดูให้ชาวบ้านหรอกครับ

    คนที่เขามีพลังจิตจริงๆ เขาไม่มานั่งดูให้ใครต่อใครหรอกครับ เอาเวลาไปทำสิ่งอื่นที่มีประโยชน์มากกว่านี้ไม่ดีกว่าหรือครับ สิ่งที่หลายๆคนอ้างว่ามีพลังจิตสามารถดูให้ใครต่อใครได้นั้น เชื่อได้ว่าคงจะมีน้อยมากครับ

    เมื่อไม่กี่วันมานี้มีนักพลังจิตคนหนึ่ง จะไปเปิดการแสดงโชว์ที่จันทบุรี แต่สงสัยลืมดูให้ตัวเอง ขายบัตรไม่ได้ตามเป้า ยกเลิกไม่แสดงซะงั้น เล่นเอาคนจะดูเสียความรู้สึกกันเป็นแถว แบบนี้เชื่อว่าจะยังมีพลังจิตอยู่หรือเปล่า

    แต่ความคิดคนเราก็ห้ามกันยากครับ เอาเป็นว่าดูหลายหมอ ก็ต้องหลายความคิดน่ะครับ ไม่ได้แปลก เหมือนกับตัวเราเอง ความคิดย่อมไม่เหมือนกับใครอีกหลายๆคนน่ะครับ ดูสนุกๆน่ะได้ แต่อย่าไปจริงจังมากนักครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่า ให้ใครก็ไม่ทราบมากำหนดชะตาชีวิตเรา ให้เราทำโน่นทำนี่

    หมอดูทั้งหลาย พอรับเงินก็ยิ้มสบาย แต่เรานี่สิ เก็บมาคิดเป็นเรื่องเป็นราว

    ภควัณตัง
     
  9. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    เตรียมตัวกันไปทำบุญเข้าพรรษากันบ้างหรือยังครับ เพื่อนๆสมาชิกเวป
    คิดถึงทุกๆท่านครับ

    ภควัณตัง
     
  10. lighter

    lighter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +100
    เตรียมแล้วครับ (ผมชอบทำสิ่งดีๆครับ เผื่อว่าจะได้เจอแต่คนดีๆอ่ะคับ:'()
     
  11. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    เตรียมตัวเหมือนกันค่ะ แต่มารเยอะ เลยอดไป..
     
  12. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ขอให้มีใจที่คิดจะทำ ก็เท่ากับมีกุศลแล้วครับ แนะเคล็ดลับให้ครับ มีวิธีการปฏิบัติง่ายๆสำหรับคนที่มีใจใฝ่ในบุญกุศลแต่ไม่ค่อยจะได้มีโอกาศไปวัดทำบุญซักเท่าไหร่ครับ
    หากว่าพบเจอผู้ที่กำลังปฏิบัติในการให้ทานหรือปฏิบัติในงานบุญต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น กำลังตักบาตร กำลังอุปสมบท(บวช)เป็นต้น ให้ยกมือไหว้

    ขออนุโมทนาด้วย
    บุญทานนั้นๆจะส่งถึงตัวเราด้วยเช่นกัน เป็นเรื่องแปลกจริงๆนะเออ ไม่เชื่อลองทำดู
    อันนี้เป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งสำหรับผู้ที่ติดขัดในเรื่องที่ไม่สามารถปฏิบัติได้เอง ทั้งๆที่มีจิตศรัทธา

    ภควัณตัง
     
  13. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    หยุดไปนานมาก(น่าจะเป็นปีหรือหลายปี) พยายามจะฟื้นข้อเขียนกลับครับ บางท่านเป็นสมาชิกใหม่ก็อาจจะยังไม่เคยอ่านก็เป็นได้ครับ ต้องขอขอบคุณท่านเจ้าของเวปที่ยังเก็บกระทู้เก่าของกระผมอยู่ครับ แม้จะห่างหายไปเป็นปีๆ ขอขอบคุณอีกครั้งครับผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 ธันวาคม 2016
  14. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ผีกองกอย/พญานาค
    ช่วงนี้ละครทีวีที่มาแรงแซงนำลิ่วกว่าใคร คงจะหนีไม่พ้นเรื่องนาคี ละครเรื่องนี้ผมเคยอ่านตั้งแต่เรียนมัธยม ช่วงนั้นกำลังเริ่มวันรุ่นแต่ผู้เขียนก็ไม่แน่ใจนะว่า หนังสือที่อ่านถูกพิมพ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะไม่ได้ซื้ออ่านเพราะไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะซื้อมาอ่านหรือมาเก็บ ช่วงนั้นหนังสือที่อ่านก็มีของตรี อภิรุมและของจินตวีร์ วิวัธน์ ของตรี อภิรุมที่เคยอ่านก็จะมีเรื่อง แก้วขนเหล็ก จอมเมฆินทร์ มิติที่สาม จินตวาณี ทายาทอสูรและอีก4-5เรื่อง


    ส่วนของจินตวีร์ วิวัฒน์ที่เคยอ่านก็มีเรื่อง สุสานภูเตศวร อมฤตาลัย สาปนรสิงห์ และอีก4-5เรื่องพอๆกัน ทั้ง2ท่านเขียนแนวลึกลับ ออกแนวน่ากลัว ไสยศาสตร์มนต์ดำอะไรพวกนี้ ซึ่งเป็นความชอบส่วนตัวของผู้เขียนด้วย เลยติดตามอ่าน(เช่าอ่าน)ไปเรื่อย จนเวลาไปร้านเช่าหนังสือ เจ้าของร้านจะจำได้และก็จะรีบบอกว่ามีหนังสือของนักเขียนท่านนี้ๆมาใหม่นะรีบเอาไปอ่านก่อนใคร

    สาเหตุที่ให้ผู้เขียนอ่านก่อนใครเพราะมีข้อแม้ว่า เมื่ออ่านจบต้องมาเล่าให้เจ้าของร้านฟังด้วยว่า เนื้อเรื่องเป็นอย่างไร สนุกหรือน่าสนใจหรือเปล่า เพื่อว่าเวลาคนอื่นมาเช่าจะได้เสนอให้เช่าต่อไง แต่ละเรื่องถ้าไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้หรือเป็นคนที่ชอบอ่านรับรองว่าเห็นหนังสือแล้วต้องตั้งสติให้ดี เพราะเล่มหนาปึ๊ก หันกลับไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องรักๆแน่นอน เพราะขนาดมันผิดกัน บางเรื่องยังกับอ่านนิยายสามก๊กก็ไม่ปาน เพราะทั้งหนา ทั้งยาว ทั้งใหญ่(หนังสือนะ)

    ทีนี้ก็ลองมาอ่านเรื่องของผู้เขียนบ้าง อาจจะไม่สนุกเท่าเพราะไม่ใช่นิยายแต่เข้าไปในเรื่องจริง ที่ผู้เขียนเคยประสพมาย้อนหลังไปประมาณปี 2530 ผู้เขียนมาโอกาสได้ไปถือศีล(บวชพราหมณ์) ณ.วัด(สำนักสงฆ์)แห่งหนึ่ง มีกำหนดประมาณ7วัน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตรอยต่อระหว่างระยองกับชลบุรี วัดแห่งนี้อยู่ค่อนข้างลึกและไกลจากถนนหลวงประมาณ20กว่ากิโลเมตร ตัววัดเป็นศาลาเก่าๆยกพื้นสูง มีกุฏิเพียงแค่3-4หลัง เพื่อให้พระจำพรรษาหรือพระธุดงค์ที่ผ่านมาได้แวะพัก เวลาจะออกไปบิณทบาตรต้องเดินออกจากวัดเข้าไปในหมู่บ้าน ซึ่งก็มีบ้านปลูกอาศัยอยู่ไม่มากนัก

    ระยะทางประมาณ4-5กิโล วัดแห่งนี้อยู่ติดกับภูเขา ส่วนด้านบนมีถ้ำเล็กถ้ำน้อย เข้าใจว่าเป็นเขาหินปูน ภายในถ้ำมีถ้ำใหญ่1ถ้ำ ไว้สำหรับพระท่านขึ้นไปสวดมนต์หรือนั่งสมาธิ มีแท่นหินเรียบกว้างประมาณ4-5เมตร มีพระพุทธรูปทองเหลืององค์ใหญ่ที่เข้าใจว่าชาวบ้านคงจะยกขึ้นมาจากด้านล่าง แต่ที่น่าแปลกคือ ยกขึ้นมาได้ยังไง เพราะทางเดินขึ้นค่อนข้างชัน และบางช่วงต้องไต่ก้อนหินขึ้นไป เป็นความศรัทธาที่น่ายกย่องสรรเสริญมาก ส่วนที่เหลือก็จะเป็นถ้ำเล็กถ้ำน้อย

    จากการที่ผู้เขียนได้มีโอกาศเข้าไปสำรวจคร่าวๆเป็นบางถ้ำ ทำให้เห็นว่าบางถ้ำก็สามารถเดินทะลุถึงกันได้ ความสวยงามนั้นก็มีเป็นบางถ้ำที่อาจจะเห็นก้อนหินส่องประกายเป็นเกล็ดระยับ เมื่อต้องแสงไฟจากตะเกียงหรือไฟฉาย

    แต่ก็มีบางถ้ำ(ผู้เขียนเรียกว่าโพรงถ้ำน่าจะเหมาะกว่า)มีระยะทางยาวลึกเข้าไปด้านในภูเขา บางช่วงแคบขนาดต้องคลานหรือมุด แต่ก็มีบางช่วงที่เข้าไปแล้วรู้สึกถึงความชื้นแฉะ ทั้งๆที่มองสำรวจรอบๆแล้ว ไม่น่าจะมีน้ำซึมลงมาจากด้านบนให้เห็น ผนังกว้างพอสมควรให้ยืนได้สบายๆ พื้นเป็นมันลื่น เหมือนกับถูกใช้งานหรือมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดผ่านบ่อยๆ เวลาเดินจึงต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะอาจลื่นล้มได้

    โพรงถ้ำส่วนที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในผู้เขียนไม่อาจเดินเข้าไปสุดได้ เพราะรู้สึกถึงความอึดอัด จากอากาศที่อาจจะเหลือน้อยลงเป็นลำดับ จำเป็นต้องหันหลังกลับจึงไม่อาจรู้ได้ว่า โพรงถ้ำที่ทอดตัวยาวลงไปนั้นไปสิ้นสุดที่ใด

    การได้มาพักถือศีลที่นี่ นับว่าเป็นที่สัปปายะพอสมควร เพราะเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง จากเหตุที่อยู่ไกลจากเมืองมาก และมีพระจำพรรษาอยู่เพียง3รูป และแต่ละรูปก็ล้วนเป็นพระนักปฏิบัติทั้งสิ้น เมื่อรวมตัวสวดมนต์ทำวัตรเช้าหรือเย็นเสร็จ ก็จะแยกย้ายขึ้นเขาเพื่อไปปฏิบัติธรรมตามถ้ำต่างๆ แทบจะหาตัวไม่เจอ จากการที่มีผู้เขียนและญาติ4-5คนไปปฏิบัติธรรม พระท่านจึงมีการสวดมนต์ทำวัตรเย็นและสอนการนั่งสมาธิในตอนค่ำเกิดขึ้น ซึ่งปกติแล้วพระท่านจะสวดมนต์และทำวัตรเช้าเท่านั้น แล้วก็แยกย้ายขึ้นเขา

    วันแรกผ่านพ้นไปด้วยดี โดยพระท่านลงมาร่วมสวดมนต์ทำวัตรเย็น สอนและฝึกการนั่งสมาธิ โดยสถานที่สอนเป็นโพรงถ้ำด้านล่าง ลักษณะคล้ายอุโมงค์ มีน้ำไหลผ่านตลอดแนว สร้างเป็นแผ่นกระดานยกสูงขึ้นเหนือน้ำสูงประมาณ2เมตร กว้างประมาณ4-5เมตร ยาวประมาณเกือบๆ10เมตร สามารถจุคนขึ้นไปนั่งได้หลายสิบคนมีน้ำไหลผ่านด้านล่างออกไปสู่ที่โล่งด้านหน้าวัดและไหลออกไปตามชายเขา บนพื้นสร้างเป็นแท่นเพื่อไว้วางพระพุทธรูปขนาดใหญ่ พื้นที่ทำขึ้นมาจึงรู้สึกถึงความแข็งแรงพอสมควร ไม่ต้องกลัวว่าจะหักหล่นลงไปด้านล่าง

    วันที่สองจากการไปปฏิบัติธรรมถือศีล ช่วงเช้าหลังจากปฏิบัติกิจทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระท่านก็แยกย้ายไปปฏิบัติธรรม ผู้เขียนจึงลองขึ้นไปสำรวจถ้ำแต่ละแห่งว่าเป็นอย่างไรบ้าง ตามที่เล่าให้ฟังตั้งแต่ต้น ใช้เวลาประมาณ4-5ชั่วโมง เพราะบางถ้ำไม่เชื่อมต่อกัน ต้องเดินย้อนออก(กลับ)มาด้านนอกแล้วเดินเลาะเลียบชายเขา เพื่อจะเข้าไปโพรงถ้ำใหม่


    ทางบางช่วงเป็นรอยแยกระหว่างเขา มีเพียงไม้กระดานวางพาดเป็นทางเดินไว้เพียง2-3แผ่น หากหล่นลงไปก็มีหวังคอหักตาย เพราะเป็นซอกเขาอยู่ด้านล่าง เสร็จสิ้นจากการสำรวจคร่าวๆก็กลับลงมาด้านล่าง

    เข้าสู่วันที่สามจากการไปปฏิบัติธรรมถือศีล เมื่อเสร็จภารกิจช่วงเช้าแล้ว ผู้เขียนจึงได้บอกกับผู้ที่ร่วมมาถือศีลด้วยว่า วันนี้ขอขึ้นไปนั่งสมาธิในถ้ำด้านบนเพียงลำพัง จะได้ไม่เกิดการเป็นห่วงหากว่าหายไปไหน เสร็จแล้วผู้เขียนก็เดินเลาะเลียบขึ้นด้านบน บางช่วงต้องปีนก้อนหินก้อนใหญ่ๆเพื่อเข้าสู่ปากถ้ำ โดยครั้งแรกตั้งใจจะเข้าไปนั่งฝึกสมาธิด้านในที่ค่อนข้างลึกหน่อย


    แต่ด้วยดูสภาพอากาศหายใจแล้วคงไม่ค่อยดีนัก เพราะบางช่วงจะมีกลิ่นคาวเหมือนกลิ่นคาวปลา ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ติดทะเล แต่ไม่ทราบว่ากลิ่นมันมีหรือเกิดขึ้นได้อย่างไร และบางช่วงมีความอับชื้นมากไปหน่อยทำให้หายใจไม่สะดวก และค่อนข้างมืดมาก มองรอบตัวแทบไม่เห็นอะไรหากไม่มีไฟฉายขึ้นไปด้วย จึงตัดสินใจเดินออกมาใกล้บริเวณปากถ้ำ เลือกเอาแผ่นหินที่ดูเรียบนั่งสบายหน่อยเพื่อนั่งสมาธิและฝึกเดินจงกลม จนประมาณบ่าย3โมง ก็กลับลงมาด้านล่าง ทุกอย่างปกติดี

    เข้าสู่วันที่สี่ ผู้เขียนปฏิบัติเหมือนเช่นเมื่อวาน คือเสร็จภารกิจแล้วก็เดินขึ้นสู่บนเขา ซึ่งอยู่ติดกัน มีเพียงสะพานปูนสั้นๆที่ถูกเทราดไว้ให้เดินได้สะดวกระหว่างพื้นราบกับภูเขา นอกนั้นต้องอาศัยปีนป่ายขึ้นไป ผู้เขียนรู้สึกทึ่งกับพระที่อยู่ที่นี่ ที่มีความอดทนมาก สามารถเดินขึ้นเดินลงเป็นประจำ ทั้งๆที่จากพื้นด้านล่างขึ้นสู่ถ้ำต่างๆมีความสูงพอสมควรและมีความชัน และบางช่วงต้องใช้การปีนขึ้นไป ผ่านก้อนหินขนาดต่างๆใหญ่บ้างเล็กบ้าง เพื่อจะผ่านขึ้นไปเข้าสู่ปากถ้ำ

    เมื่อผู้เขียนเดินขึ้นมาครั้งนี้(วันนี้) จึงไม่เลือกปฏิบัติที่เดิม เดินผ่านไปสู่ถ้ำอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่สูงขึ้นไปอีกพอประมาณ ผ่านแผ่นไม้ที่วางพาดระหว่างร่องเขา เดินลึกเข้าสู่ภายในถ้ำประมาณ10-20เมตรจากปากถ้ำ


    ตรงบริเวณที่ผู้เขียนเลือกครั้งนี้น่าจะเคยมีพระมาปฏิบัติ เพราะมีการทำแผ่นกระดาน4-5แผ่นยึดติดกับผนังถ้ำ สูงขึ้นจากพื้นประมาณ2-3เมตร โดยมีก้อนหินใหญ่สำหรับเหยียบปีนขึ้นไปนั่งด้านบน มีแสงจากด้านนอกถ้ำส่องเข้ามาจางๆ ผู้เขียนจึงปีนขึ้นไปนั่งเพื่อปฏิบัติสมาธิอย่างที่เคยทำ จัดการดับไฟฉายที่เอามาด้วย มีเพียงแสงเทียนที่ผู้เขียนจุดขึ้นเพื่อจุดธูปและอาราธนาศีล ขอปฏิบัติสมาธิภาวนา สวดพระคาถาอีก2-3จบ ก่อนเริ่มนั่งสมาธิเหมือนเช่นปกติ

    เข้าใจว่าผู้เขียนนั่งสมาธิไประยะเวลาประมาณหนึ่ง(ประมาณ2-3ชั่วโมง) ได้รับรู้ถึงมีลมพัดออกมาจากด้านในถ้ำ ทั้งๆที่ถ้ำนี้ผู้เขียนเคยเดินเข้าไปสำรวจแล้วเมื่อวันก่อนว่า อยู่ลึกมากกว่าทุกถ้ำที่สำรวจมา และไม่มีลมเข้าหรือออกทะลุแน่ๆ เพราะด้านในไม่มีช่องระบายลมหรือเจาะทะลุถึงกัน แล้วลมอะไรมันพุ่งออกมาได้ ผู้เขียนนึกแปลกใจแต่ก็เข้าสมาธิไปเรื่อยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    ลมที่พุ่งออกมานั่นเริ่มทวีความแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนต้นลมนั้นมาอยู่ใกล้ๆตัวผู้เขียนหรือห่างจากตัวไปไม่ไกลมาก คล้ายๆมีเครื่องพ่นลมมาพ่นอยู่ไม่ไกลมาก จนรู้สึกถึงต้องฝืนต้านแรงลมเอาไว้ไม่ให้เอนเอียงไปมา ใช้เวลาประมาณ10-20นาทีลมนั้นก็ค่อยๆผ่อนลงๆและกลับเป็นปกติในที่สุด ผู้เขียนจึงรู้สึกแปลกใจว่ามันคือลมอะไร แทนที่จะพัดผ่านเข้ามาจากปากทางเข้าถ้ำ แต่นี่พัดจากภายในถ้ำออกสู่ปากถ้ำ มันกลับกันโดยสิ้นเชิง
    ภควัณตัง
    ยังมีต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 ธันวาคม 2016
  15. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    สิ้นจากเสียงและแรงลมไปประมาณ4-5นาที ประสาทหูพลันได้ยินเสียงเหมือนมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ครูดไปกับก้อนหินบนพื้น ลักษณะเหมือนของแข็งที่หนา เพราะเสียงทึบๆไม่ก้อง ดังครืดคราด ครืดคราด เหมือนเอาท่อนไม้ใหญ่ๆแข็งๆลากถูลงไปบนก้อนหิน ทำให้เกิดมีเสียงก้อนกรวดเล็กๆที่อาจจะเป็นการแตกกระเทาะของก้อนหินแตกกระจายตามมาเป็นทาง เสียงนั้นลักษณะถอยห่างออกไป เข้าไปในโพรงหรือส่วนลึกของถ้ำเป็นระยะ แต่ก็ยังได้ยินเสียงอึกทึกก้องตามมาเป็นระยะจากภายในโพรง

    ช่วงเวลานั้น ผู้เขียนรับรู้ถึงความรู้สึกที่เย็นวาบไปถึงเส้นผมบนหัว ว่ามันคืออะไร แต่จิตใต้สำนึกในขณะนั้นพลันบอกว่า อย่าลืมตามองเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ห้ามลืมตามองเด็ดขาด พร้อมทั้งตั้งจิตอธิฐานว่า หากลูกถึงกาลอวสานเสียชีวิต จากสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม หรือมีอันเป็นไปในขณะนั่งสมาธิในขณะนี้ก็ตาม ชีวิตนี้ขอมอบแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสรณะเป็นที่พึ่งสูงสุด หาได้กลัวเกรงสิ่งใดไม่ แต่หากว่าไม่เคยก่อเวรซึ่งกันและกัน ขออย่าได้มีกรรมเวรต่อกันในชาตินี้เลย พร้อมทั้งอธิฐานท่องบทสวดแผ่เมตตา เข้าสมาธิจับลมหายใจต่อ ประหนึ่งว่าไม่รับรู้สิ่งรอบกายอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเกิดเสียงหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ปิดทวารการรับรู้ทั้งหมดทันที

    วันนั้นผู้เขียนใช้เวลานั่งสมาธิแทบจะทั้งวัน เพราะสถานที่บังคับ ไม่มีที่สำหรับลงมาเดินจงกลม หรือผ่อนคลายอิริยบท เพราะด้านล่างเป็นหินก้อนใหญ่ๆวางซ้อนกันไม่เป็นระเบียบนัก บางช่วงเป็นแง่หินชี้ขึ้นสู่ด้านบน อาจจะเกิดจากการกะเทาะของหิน จึงแตกแยกออก เวลาเดินจึงต้องเดินอย่างระมัดระวัง ซอกซอนไปตามซอกหินที่แตก จึงไม่สามารถเดินจงกลมได้ จนประมาณบ่าย3โมงจึงกลับลงสู่ด้านล่างที่เป็นศาลาและกุฏิอย่างปกติเหมือนเช่นวันก่อน

    เหตุการณ์ประหลาดในครั้งนี้ ผู้เขียนไม่ได้เล่าให้กลุ่มที่มาด้วยได้ฟัง มีคนถามว่าขึ้นไปนั่งด้านบนแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ผู้เขียนก็ตอบว่า ธรรมดาๆลมเย็นดีไม่ร้อน กลัวว่าเล่าไปแล้ว จะกลายเป็นเรื่องราวที่ต้องซักไซ้กันใหญ่โต เผลอๆวันต่อไปอาจจะไม่ได้ขึ้นไปนั่งอีก เพราะจะกลายเป็นห่วง กลัวว่าจะมีอันตรายต่างๆเกิดขึ้นได้
    ภควัณตัง
    ยังมีต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 ธันวาคม 2016
  16. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    เข้าสู่วันที่ห้า ที่ผู้เขียนได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรม ณ.สำนักสงฆ์แห่งนี้ วันนี้ก็เช่นเคยคือ หลังจากเสร็จภารกิจด้านล่างเรียบร้อยแล้ว ผู้เขียนก็บอกกล่าวแก่ผู้ที่ไปปฏิบัติธรรมคนอื่นที่ไปร่วมกันในครั้งนี้ว่า ขอขึ้นไปนั่งสมาธิด้านบนพียงลำพัง มีสมาชิกท่านอื่นๆตามขึ้นไปด้านบนด้วย แต่ขอแยกไปปฏิบัติธรรมยังโถงกลาง(ถ้ำใหญ่) ผู้เขียนจึงเดินแยกออกจากกลุ่ม ไปปฏิบัติธรรมต่างหาก

    ผู้เขียนค่อยๆเดินลัดเลาะไปตามซอกหินขึ้นด้านบนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ผ่านหน้าถ้ำที่เข้าไปนั่งสมาธิเมื่อวาน วันนี้ตั้งใจจะเปลี่ยนบรรยากาศไปสู่อีกถ้ำหนึ่งที่อยู่สูงถัดขึ้นไปประมาณ10-20เมตรจากโพรงถ้ำเมื่อวาน


    บรรยากาศของโพรงถ้ำใหม่ที่ผู้เขียนเลือกนี้ เป็นโพรงถ้ำที่ไม่กว้างมากเท่ากับของเมื่อวาน แต่ลักษณะพื้นถ้ำเป็นแบบแบนราบเป็นสี่เหลี่ยม ความสูงจากพื้นถึงเพดานถ้ำประมาณ2เมตรเศษๆ ผู้เขียนลองเดินลึกเข้าไปด้านในประมาณ5-10เมตรจากปากถ้ำ พบว่ามีแท่นหินหน้าเรียบขนาดคนนั่งพอดีตัวคน วางชิดติดผนังถ้ำ ความสูงจากพื้นพอดีก้าวขึ้นนั่ง จึงตั้งใจขอนั่งตรงจุดนี้ ส่วนพื้นด้านล่างมีทางเดินเลาะซอกหินแคบๆ ซึ่งไม่สามารถลงไปเดินจงกลมได้เช่นเคย เพราะต้องเดินเลาะซอกซอยไปตามร่องหินแคบๆ


    ผู้เขียนก้าวขึ้นไปนั่งด้านบน จุดธูปเทียนสักการะพร้อมทั้งกล่าวขอสมาทานอธิฐานจิตปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน เริ่มต้นกำหนดลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก จนเกิดสมาธิ

    ผู้เขียนจำไม่ได้ว่าระหว่างการนั่งสมาธิอยู่นั้นใช้เวลานานเท่าไหร่

    จากสัมผัสรับรู้ว่าเริ่มมีสิ่งหนึ่งผิดปกติจากอาการเคลื่อนไหวใกล้ๆตัวและมีเสียงคล้ายๆคนเดินอยู่บนพื้นไม่ห่างจากที่ผู้เขียนนั่งอยู่มากนัก จากห่างๆก็เริ่มเข้าใกล้มาเรื่อยๆและมีเสียงเดินย่ำหลายเสียง จมูกเริ่มได้กลิ่นสาบๆแห้งๆลอยเข้ามาปะทะจมูกเป็นระยะ ครั้งแรกผู้เขียนคิดว่าเสียงที่เดินมานั้นคงจะเป็นพวกที่มาปฏิบัติธรรมด้วยกัน เดินขึ้นมาดู หรือมาเที่ยวหา แต่เมื่อคิดไตร่ตรองดูแล้วว่าคงไม่ใช่ เพราะจากเสียงที่เดินย่ำกันมาบนพื้นถ้ำ เป็นเสียงที่เดินออกมาจากในถ้ำ ไม่ใช่เสียงที่มาจากปากทางเข้าด้านนอก

    จึงสรุปเอาเองว่าไม่น่าจะใช่พวกที่มาปฏิบัติธรรมด้วยกันแน่ๆ เพราะไม่คิดว่าถ้ำนี้จะทะลุไปสู่ถ้ำอื่นได้จากการคาดคเนความอับชื้นที่พุ่งจากด้านในออกมาสู่ด้านหน้าถ้ำ ทั้งหลายทั้งปวงจะใช่หรือไม่ใช่ ผู้เขียนสลัดความคิดให้ออกไป กลับเข้าสู่สภาวะกำหนดลมหายใจ นั่งหลับตานิ่งอยู่เช่นเดิม ในใจคิดแผ่บุญกุศลแผ่เมตตาให้ทุกสรรพสิ่งรอบตัว ทั้งเป็นตัวตนและไม่เป็นตัวตน หากไม่เคยมีเวรกรรมต่อกัน ขอให้อย่าได้มีอันตรายใดๆมากล้ำกลายให้เป็นกรรมเป็นเวรแก่กันและกัน ให้ผูกภพผูกชาติพยาบาทแก่กันและกันเลย

    เสียงเดินย่ำผ่านก้อนกรวดบนพื้นหลายเสียงนั้น มาหยุดอยู่ตรงหน้าที่ผู้เขียนนั่งสมาธิอยู่ สังเกตจากเสียงลมหายใจฟืดฟาดจากอาการเหนื่อยหรืออะไรก็แล้วแต่ ทุกสิ่งรอบตัวพลันค่อยๆเงียบลงๆ เสียงฝีเท้าที่ย่ำเดินก็พลันเงียบสงบทั้งหมด คงเหลือแต่กลิ่นหนึ่งที่เข้าจมูกผู้เขียนอย่างจังจนแทบจะสำลักออกมา กลิ่นนั้นผู้เขียนทั้งสาบสางเหมือนหมาเน่าเอามาชูไว้ตรงหน้า หรือเหมือนซากศพแห้งๆ


    กลิ่นนั้นยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อคล้ายๆมีลมหายใจมาหายใจรดบริเวณใบหน้า บริเวณลำคอ บริเวณหน้าอกไล่ไปจนถึงบริเวณขา และไม่ใช่มีลมหายใจเดียวแต่เหมือนกับมารุมดมตัวผู้เขียนกันหลายคนหรือหลายตัว ผู้เขียนในขณะนั้นก็เริ่มรู้สึกอึดอัดกับสิ่งรอบตัว แต่ก็พยายามฝืนใจ ปิดกั้นความรู้สึกนึกคิดฟุ้งซ่านหลับตานั่งสมาธิเฉยอยู่ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่รอบๆตัวมีสิ่งผิดปกติ
    ภควัณตัง
    ยังมีต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 ธันวาคม 2016
  17. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ฟู่...ฟู่...ฟู่ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผู้เขียนพ่นลมใส่หน้าแบบเต็มๆ เปรียบประดุจเอาของเน่าโยนใส่หน้าแบบเต็มหน้า เหม็นจนแทบอ้วกออกมา ผู้เขียนพยายามระงับความรู้สึกแบบเต็มกำลัง พยายามกลั้นลมหายใจ และพยายามไม่ลืมตามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทั้งๆที่เหม็นมาก เพราะไม่รู้ว่า สิ่งที่เผชิญอยู่ตรงหน้านั้นมันคืออะไร มันใช่คนหรือเปล่าหรือว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่

    ปรากฏการณ์ที่อยู่ตรงหน้าหยุดไปสักครู่ เหมือนรอจังหวะ หรือรอว่าตัวผู้เขียนเองที่เป็นผู้ถูกกระทำ จะมีปฏิกิริยาตอบโต้อะไรออกมาบ้าง เมื่อเห็นผู้เขียนยังคงนั่งนิ่งอยู่ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าจึงเริ่มมีมีปฏิกริยาต่อ เสียงเดินวนจากซ้ายไปขวา จากขวาไปซ้าย เหมือนพินิจพิจารณาดูว่าผู้เขียนจะตอบโต้อะไรออกมาบ้าง สิ่งนั้นเมื่อเห็นผู้เขียนไม่มีอาการตอบโต้ จึงเริ่มส่งเสียงแปลกๆออกมา

    ก๋อย...ก๋อย....ก๋อย...ก๋อย เสียงนั้นส่งเสียงตอบโต้กันถี่ยิบ น้ำเสียงแหลมเล็กรู้สึกแสบแก้วหู มีทั้งเสียงเล็กเสียงใหญ่ระงมกันไปหมด เสมือนกับส่งเสียงบอกกล่าวแก่กัน ทำนองว่าจะเอาไงกันดีกับมนุษย์ตนนี้ เสียงนั้นไม่สามารถแปลออกมาได้ เพราะว่าไม่ใช่ภาษาคนอย่างเราๆท่านๆ มีทั้งเสียงสูงและต่ำสลับกันไป เมื่อส่งเสียงตอบโต้กันไปมาสักครู่ เสียงนั้นก็พลันเงียบหายทั้งหมด เหมือนกับนัดกัน เมื่อเห็นผู้เขียนยังคงนั่งหลับตาเฉยนิ่งอยู่เหมือนรูปปั้น

    ปฏิกิริยาต่อมา คือการเข้ามาสะกิดเบาๆที่หัวเข่าของผู้เขียนที่เหมือนต้องการให้ผู้เขียนลืมตามอง หรือมีปฏิกิริยาตอบโต้ เมื่อโดนปฏิบัติสิ่งนี้เข้าไป ทำให้ผู้เขียนค่อยๆเผยอเปลือกตาขึ้นมองทีละนิด ค่อยๆ...ช้าๆ....จนเพ่งมองเต็ม2ตาในที่สุด

    สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผู้เขียนในขณะนี้มีลักษณะคล้ายครึ่งคนครึ่งลิง สูงจากพื้นไม่เกิน150เซนติเมตร ลักษณะใบหน้าเหี่ยวผอมลีบเล็ก ดวงตาโปนออกมาทั้ง2ข้าง ริมฝีปากใหญ่หนาแห้งกรัง ปากอ้าเผยอออกมาจนเห็นฟันซี่โตๆสีดำ มีน้ำลายน้ำมูกไหลออกมาเกรอะกรัง จมูกแบนราบเหมือนลิง ผมเป็นกระเซิงแผ่ออกด้านข้าง บางคนยาวจนถึงกลางหลังลักษณะเป็นผังผืดพันกันขยุกขยุย


    ใบหูลีบเล็กชี้ไปด้านหน้าด้านหลังได้ ผิวหนังเหี่ยวย่นทั้งตัวเหมือนคนอายุ80-90ปี ไม่ใส่รองเท้า เล็บเท้าเล็บมือยื่นออกมางองุ้ม ยืนตั้งท่าหลังงองุ้มหน้าแหงนตรง เสื้อผ้าที่ใส่บ้างไม่ใส่บ้างเป็นแผ่นๆคล้ายทำจากหนังสัตว์หรืออะไรซักอย่าง ดูแห้งเก่าขาด(ยุ่ย)ผุพังขาดเป็นวิ่นๆจากการคาดคะเนด้วยสายตา ทั้งหมดที่มายืนรุมตัวผู้เขียนมีไม่ต่ำกว่า20คน

    เมื่อผู้เขียนลืมตามองเต็ม2ตา สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าพลันกระโดดหลบถอยห่างออกไปทั้งหมด บางคนกระโดดถอยหลังสะดุดก้อนหินลงไปนอนล้มกลิ้งทับกันระเนระนาด ตัวที่อยู่ใกล้ผู้เขียนมากที่สุด ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่าต้องเป็นตัวหัวหน้าหรือจ่าฝูง ด้วยความตกใจเผลอร้องออกมาเสียงแหลมเล็กกระโดดถอยหลังออกมาจนเซไปชนกับผนังถ้ำ ทรุดกองอยู่ตรงนั้น ในขณะต่างคนต่างตกใจกลัวต่างส่งเสียง ก๋อย...ก๋อย...ก๋อย....แหลมเล็กแสบหูกันระงม เมื่อหายจากอาการตกใจ ทุกสรรพเสียงจึงเริ่มเงียบลงเข้าสู่ภาวะปกติ

    ผู้เขียนพึ่งจะสังเกตเห็นว่า ในจำนวนสิ่งหนึ่งไม่รู้ว่าคนหรือตัวอะไรที่อยู่ตรงหน้านั้น มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่รวมทั้งมีลูกอ่อนที่ยังอุ้มอยู่ ต่างทรุดตัวลงนั่งยองๆเพ่งมองมาที่ผู้เขียนเป็นจุดเดียว ตัวผู้เขียนในขณะนั้นรู้สึกตื่นเต้น แปลกประหลาดระคนสงสัยเป็นกำลัง ว่าสิ่งที่เห็นนี้เขาเรียกว่าอะไร จะบอกว่าเป็นคนอย่างเราๆท่านๆก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก จะบอกว่าเป็นลิง มันก็ไม่น่าจะใช่ แล้วมันคือตัวอะไรกันแน่ สายตาผู้เขียนจึงเพ่งมองอยู่แบบนั้น โดยไม่มีความเกรงกลัวต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นโขยง

    “ เรามาถือศีลบำเพ็ญธรรม น้อมรับคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน บำเพ็ญเพียรภาวนา ไม่ได้มีจิตคิดมุ่งร้ายต่อใครหรือลุกล้ำถิ่นที่อยู่ของใครไม่ต้องการทรัพย์หรือสมบัติของใคร เมื่อเสร็จภารกิจ ก็จะกลับลงไปสู่ด้านล่าง หากว่าชาติปัจจุบันและอดีตชาติเราไม่เคยมีเวรกรรมร่วมกัน ขออย่าได้มารบกวนการบำเพ็ญศีลภาวนาของเรา เพื่อจะได้ไม่เป็นการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่ก่อให้เกิดกรรมเวรต่อกันทั้งชาตินี้และภพภูมิหน้า ขอจงงดเว้นซึ่งการกระทำให้เกิดเวรต่อกันในขณะนี้เถิด”

    สิ้นเสียงที่ผู้เขียนกลั้นใจตัดสินใจพูดออกมาตรงหน้า โดยไม่แน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะฟังเข้าใจในสิ่งที่พูด ทำให้ทั้งหมดลุกขึ้นยืนตัวงองุ้ม บางคน(ตัว)ส่งเสียงครางแหบๆในลำคอเหมือนจะพยายามทำความเข้าใจในภาษาที่พูดออกไป บางตัวทำคอยึกยักๆซ้ายทีขวาที ทั้งหมดพากันค่อยๆก้าวเท้าถอยห่างออกไปพร้อมๆกัน ก่อนจะพากันหันหลังเดินกลับเข้าสู่ภายในถ้ำอย่างเงียบๆจนแทบไม่มีเสียง ต่างจากตอนมาครั้งแรก จนกระทั่งหายลับเข้าไปในโพรงถ้ำด้านในทั้งหมด


    ผู้เขียนพยายามตั้งใจฟังตาม ก็ไม่มีเสียงสิ่งหนึ่งสิ่งใดกลับออกมาอีกเลย จวบจนได้เวลาพอประมาณ ผู้เขียนจึงขอสมาทานออกจากกรรมฐาน กลับเดินลงสู่ด้านล่าง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    ภควัณตัง
    มีต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 ธันวาคม 2016
  18. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    เข้าสู่วันที่หกจากการที่ผู้เขียนได้ไปปฏิบัติธรรม ณ.สำนักสงฆ์แห่งนี้ วันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวัน หลังจากปฏิบัติภารกิจเสร็จเรียบร้อย ก็เตรียมตัวขึ้นไปปฏิบัติธรรมด้านบนเขาภายในถ้ำ ผู้เขียนเดินผ่านสะพานปูนเล็กๆที่เชื่อมต่อระหว่างเขากับพื้นล่างระยะทางยาวประมาณ10-20เมตร จากนั้นก็ต้องออกแรงเดินลัดเลาะขึ้นสู่ยอดเขา ไต่ก้อนหินปีนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

    วันนี้จุดประสงค์คือตั้งใจจะไปนั่งสมาธิยังโพรงถ้ำที่เคยไปนั่งในวันที่4 ที่มีแรงลมพัดออกจากภายในถ้ำ เพื่อต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่างว่า มันเกิดอะไรขึ้น ลมภายในไหลทะลุออกมาได้อย่างไร หรือมีเหตุจากอะไรถึงเกิดปรากฏการณ์แปลกสลับขั้วแบบนั้นได้ คือแทนที่ลมภายนอกถ้ำจะพัดเข้าสู่ภายใน แต่กลับมีลมภายในพัดออกนอกถ้ำ น่าจะเกิดจากอะไรซักอย่างที่ทำให้เกิดสภาวะเช่นนั้น

    หลังจากขึ้นไปนั่งประจำที่เรียบร้อยเหมือนเช่นวันก่อนแล้ว ผู้เขียนก็เริ่มจุดธูปจุดเทียนบูชาพระรัตนตรัย กล่าวสมาทานศีลขอปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน พร้อมทั้งกล่าวต่อว่า


    “ภายในสถานที่นี้ หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ต้องการสื่อสาร หรือต้องการให้ข้าพเจ้ารับรู้ หรือต้องการสอนสั่งสิ่งที่ถูกต้องหรือสิ่งที่ผิดแก่ตัวข้าพเจ้า ที่อาจจะยังมีความโง่เขลาเบาปัญญา ยังไม่รู้ถึงแก่นแท้แห่งพระรัตนตรัยแห่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เคยทรงชี้แนะนำ ขอโปรดปรากฏชี้แนะนำแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ ขออย่าได้มีภวอันตรายใดๆเกิดแก่ตัวข้าพเจ้าในขณะปฏิบัติสมาธิกรรมฐานในครั้งนี้ และขอน้อมรับและขอสมาลาโทษในสิ่งที่ตัวข้าพเจ้าเองได้กระทำในสิ่งต่างๆ ทั้งด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา อาจจะด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขออย่าได้ถือโทษโกรธพยาบาทกันเลย”

    เมื่ออธิฐานเสร็จสิ้น ผู้เขียนก็เริ่มปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน เริ่มต้นจับลมหายใจเข้าออก สลัดความคิดฟุ้งซ่านต่างๆนาๆออกไปทั้งหมด จิตจับและรับรู้แต่ลมหายใจเข้าออก เสมอกัน จากเร็วไปช้า...ช้าขึ้น.....ช้าขึ้น...จนจิตรวมเป็นหนึ่งเดียว จิตเข้าอยู่ในภวังค์

    ผู้เขียนไม่อาจรับรู้ได้ว่าระหว่างการนั่งสมาธิใช้เวลาไปประมาณเท่าใด จิตเริ่มจับการรับรู้อีกครั้งเมื่อเริ่มมีบางสิ่งผิดปกติบางอย่างเริ่มเกิดขึ้น นั่นคือกระแสลมจากด้านในโพรงถ้ำค่อยๆมีลมพัดออกมา สังเกตจากการที่มีเศษฝุ่นผงปนออกมาปะทะตัวผู้เขียนด้วย จากลมค่อยๆเริ่มทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นๆพร้อมๆกับที่มาของเสียงครืดคราด เหมือนมีท่อนไม้ใหญ่ๆซักท่อนที่ลากผ่านก้อนหิน

    จากค่อยๆดังอยู่ในโพรงถ้ำจนเพิ่มความดังขึ้นเรื่อยๆพร้อมๆกับแรงลมที่ยิ่งทวีพัดแรงออกมาเป็นระยะ เสียงนั้นยิ่งเคลื่อนที่ผ่านใกล้เข้ามายังปากถ้ำยิ่งมีความดังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะนั้นผู้เขียนเหมือนกับจะรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนของผนังถ้ำจากสิ่งที่ลากถูหรือคืบคลานมากับพื้นถ้ำ เสียงก้อนหินใหญ่น้อยถูกเสียดสีจนได้ยินเสียงกระเทาะแตกหักตามมาเป็นระยะใกล้เข้ามาๆ


    จนกระทั่งมาหยุดอยู่บริเวณปากถ้ำ ซึ่งผู้เขียนกะระยะว่าไม่น่าจะห่างจากตัวผู้เขียนเกิน10เมตร ความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นพลันหยุดอยู่กับที่ มีแต่กลิ่นฝุ่นที่เกิดจากแรงลมที่ยังคงอบอวน กลิ่นหนึ่งที่เข้าจมูกผู้เขียนอย่างจังคือกลิ่นคาวจัด เหมือนใครเอาเข่งปลามาวางไว้ตรงหน้าเป็นร้อยเป็นพันเข่ง แทบจะสำลักออกมา

    ผู้เขียนเลยตัดสินใจกลั้นลมหายใจเข้าออกอยู่เป็นระยะ พยายามให้ลมหายใจเข้าน้อยที่สุด ตัดประสาทการรับรู้รูป รส กลิ่น เสียง พยายามตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกแต่เพียงอย่างเดียว ทั้งๆที่ประสาทสัมผัสพยายามรับรู้ถึงสิ่งที่ปรากฏใกล้ๆจากอาการเย็นวาบไปถึงหัว พร้อมๆกับขนลุกเกรียวไปทั้งตัว พยายามดึงจิตที่พยายามโน้มน้าวให้คิดเตลิดเปิดเปิง ให้กลับมาเข้าที่ ไม่ให้ฟุ้งซ่านหรือเกิดจินตนาการ เสมอด้วยจิตปุถุชนที่รักตัวกลัวตาย

    ทุกอย่างนิ่งสนิทปราศจากอาการเคลื่อนไหวประมาณ4-5นาที สิ่งนั้นเหมือนลองเชิงหรือลองใจในสิ่งที่นั่งตัวแข็งทื่อเข้าสมาธิอยู่ตรงหน้า จนกระทั่ง


    “ลืมตาสิ”

    มีเสียงคล้ายกระซิบเบาๆบริเวณหูของผู้เขียน เมื่อยังเห็นผู้เขียนยังคงนั่งนิ่งเฉยอยู่จึงบอกอีก

    “ลืมตาสิ”

    ในขณะนั้นผู้เขียนหวนนึกในใจว่า ยังไงก็ไม่ขอลืมตา เพราะหากลืมตามองแล้ว เกิดพบเจอสิ่งที่ไม่น่าดูไม่น่าเห็น อาจจะตกใจช็อคตายเลยก็ได้ เพราะก่อนหน้านั้นได้รับรู้ถึงพลังจากการเคลื่อนที่ออกมาแล้ว ยังหวั่นๆอยู่ว่า คราวนี้คงจะไม่มีชีวิตรอดอย่างแน่นอน อาจจะเป็นตัวอะไรก็ได้ที่ขนาดลำตัวใหญ่โต สามารถกลืนกินตัวผู้เขียนได้อย่างสบายๆโดยไม่มีใครรับรู้

    “ลืมตามองเถอะ ข้าไม่ทำอันตรายเจ้าหรอก ข้ามาเพื่อบอกกล่าวเท่านั้น”


    เมื่อจบคำพูด ผู้เขียนจึงค่อยๆเปิดเปลือกตาค่อยๆหรี่ตามองก่อน เผื่อพบเห็นสิ่งที่ไม่ปรารถนาจะได้หลับตาทัน

    สิ่งที่ผู้เขียนเห็นนั้นเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ความสูงจากพื้นสูงขึ้นไปยังเพดานถ้ำไม่น้อยกว่า2เมตร20เซนต์ มีกล้ามขึ้นเป็นมัดแต่ก็ดูสมส่วน ผมหยักโศรกสีดำขลับ ม้วนเป็นวงอยู่ด้านบนเสียบด้วยปิ่นมีสายห้อยระย้าสวยงาม สรวมใส่เสื้อผ้าแบบพราหมณ์สีขาวแต่เนื้อผ้าเหมือนเป็นใยบางๆสวมทับซ้อนกัน ขอบชายผ้าเหมือนถูกขลิบด้วยสีเขียวอ่อนปนสีทอง จึงส่องแสงยิบยับเป็นประกาย

    ริมฝีปากบางรับรูปหน้าที่ค่อนข้างหล่อเข้ม สีผิวไม่ขาวมากออกไปทางปนเขียว ดวงตากลมโตแต่ใสมีประกายเหมือนนัยน์ตาเด็ก คิ้วเข้มรับกับมรกตรูปกลมรีสีเขียวเข้มเป็นประกายที่ถูกประดับฝังอยู่กลางหน้าผากบริเวณเหนือหัวคิ้วขึ้นไปเล็กน้อย มรกตนั้นเหมือนกับสามารถเปล่งแสงออกมาได้จากภายในตัวมันเอง หากเพ่งมองนานๆอาจเกิดอาการแสบตาจากแสงระยิบระยับที่เปล่งแสงออกมา บุรุษผู้นี้คือ......
    ภควัณตัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 ธันวาคม 2016
  19. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    “เจ้ามานั่งทำอะไรตรงนี้”

    เสียงนั้นหนักแน่นเหมือนมีความสงสัยแฝงอยู่ในตัว ดวงตานั้นเหมือนมีพลังอำนาจประหลาดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เพ่งมองตรงมาที่ผู้เขียนอย่างคาดคั้นหาคำตอบ จนผู้เขียนต้องหลบตา ไม่กล้าจ้องมองตรงๆนานๆ เพราะรู้สึกหนาวเยือกเข้าไปในหัวใจอย่างไรไม่รู้ เหมือนหัวใจจะหยุดเต้น

    “เจ้าไม่ต้องใช้ปากพูดก็ได้ เพียงแค่คิดข้าก็รับรู้แล้ว”

    บุรุษแปลกหน้าชิงพูดก่อนที่ผู้เขียนจะอ้าปากตอบว่าอย่างไร แต่แปลกตรงที่ผู้ที่พูดอยู่ตรงหน้า ไม่ได้เผยอปากพูดออกมาเหมือนปุถุชนทั่วไป ได้แต่ยิ้มที่มุมปาก แต่เสียงมาเข้าหูผู้เขียนได้อย่างไรไม่รู้ นี่กระมังที่เขาเรียกว่าพูดสื่อสารกันด้วยพลังจิต พลางนึกในใจว่า บุรุษผู้นี้ไม่ใช่ชาวบ้านหรือบุคคลธรรมดาอย่างแน่นอน

    ผู้เขียนจึงนึกตอบในใจว่า

    “ผมมาบวชพราหมณ์ที่วัดแห่งนี้ครับ มากัน5-6คน ผมเห็นว่าด้านบนเขานี้เงียบสงบร่มเย็นดี เลยขอแยกออกมาขึ้นมาฝึกปฏิบัติสมาธิกรรมฐานดู แล้วท่านเป็นใครครับ อยู่ที่นี่เหรอ แต่ผมไม่เคยเห็นท่านเลยนะ หรืออยู่แต่ในถ้ำนี้”

    ผู้เขียนนึกตอบออกไปพร้อมทั้งตั้งคำถามในสิ่งที่อยากรู้

    “เจ้ารู้ในจิตของเจ้าแล้วว่าข้าเป็นใคร จึงไม่ต้องมาถามและข้าก็ไม่อยากตอบว่าข้าเป็นใคร ทุกสถานที่ในลูกเขาแห่งนี้ข้าดูแลอยู่ อย่าพยายามเดินลึกรุกล้ำเข้าไปด้านในมากนัก เพราะเป็นสถานที่หวงห้ามและอาจเกิดอันตรายได้ ด้านในเป็นที่บำเพ็ญเพียรของข้า เจ้ายังไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปและไม่มีอะไรให้น่าดู แต่หากเจ้าขึ้นมาจิตคิดดี ปฏิบัติดีก็คงไม่มีอะไร แต่ขอให้ปฏิบัติตัวตามที่บอกไปแล้ว ข้ามาบอกเจ้าแค่นี้เท่านั้น”

    น้ำเสียงแข็งกร้าวในตอนแรกเริ่มอ่อนลง เมื่อรู้จุดประสงค์ในการขึ้นมาของตัวผู้เขียน และพยายามคิดตามว่าที่ผู้เขียนเคยเดินเข้าไปสำรวจลึกเข้าไปในครั้งก่อน บุรุษผู้นี้คงเห็นหรือรับรู้อย่างแน่นอนว่าตัวผู้เขียนเองเคยเดินลึกเข้าไปสำรวจด้านใน

    เมื่อกล่าวจบบุรุษนิรนามคนนั้นก็ก้าวเท้าหันหลังกลับโดยไม่กล่าวอะไรอีก เหมือนไม่อยากให้ผู้เขียนซักถามอะไรให้มากเรื่อง ก้าวเท้า เดินกลับเข้าไปด้านในโพรงถ้ำอย่างช้าๆแต่ดูน่าเกรงขาม

    ผู้เขียนนั่งมองตามบุรุษผู้นั้น การเดินกลับไม่เหมือนกับคนทั่วไปเดินคือ เดินเหมือนไม่ต้องระวังสะดุดอะไรเลย เหมือนกับเดินลอยๆไปทะลุผ่านก้อนหินที่มีอยู่ระเกะระกะจนหายเข้าไปในโพรงถ้ำลึกด้านใน

    ผู้เขียนมานั่งพิจารณาทบทวนในเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาเมื่อสักครู่ พยายามคิดทบทวนว่าชายผู้นี้คือใครกันแน่ คนป่า....ฤษี.....เจ้าที่เจ้าทาง.......เทวดา........และสุดท้ายมาลงที่...พญานาค เมื่อความคิดมาสดุดกับประโยคหลัง รู้สึกหนาววาบเข้าสู่หัวใจเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นพร้อมๆกับขนหัวลุกชันทั้งตัว ผู้เขียนรีบสละความคิดพร้อมๆกับกล่าวขอสมาทานออกจากกรรมฐาน สวดแผ่เมตตาให้ทุกสรรพสิ่งโดยเฉพาะสิ่งที่มาบอกกล่าวแก่ตัวผู้เขียนเมื่อสักครู่.......พญานาค

    หลังจากเสร็จแล้ว ผู้เขียนจึงลงเดินออกจากถ้ำแหงนหน้ามองดูตะวัน ลองคำนวนคร่าวๆว่าคงจะประมาณบ่าย2หรือบ่าย3 เดินลัดเลาะลงเขามา จะว่าบังเอิญก็ได้ระหว่างลงเขามาถึงสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างเขากับพื้นล่าง พบเจอกับท่านอาจารย์(เจ้าอาวาส)เดินลงเขามาพอดีเพียงแต่อยู่คนละซีกเขากับที่ผู้เขียนลงมา ผู้เขียนจึงรีบกล่าวนมัสการก่อนที่ท่านจะเดินเลยไป

    “นมัสการท่านอาจารย์ครับ(ผู้เขียนเรียกท่านเจ้าอาวาสว่าท่านอาจารย์)เขาลูกนี้มีพวกฤษี หรือคนที่มาปฏิบัติธรรมอาศัยอยู่ในถ้ำบ้างหรือเปล่าครับ”

    ท่านหยุดเดิน หันมามองหน้าผู้เขียนยิ้มๆแล้วกล่าวว่า

    “อืม......ผมมาอยู่ที่นี่ตั้งหลายปีก็ไม่เห็นมีนี่นะ ตามที่โยมบอก”

    ท่านอาจารย์กล่าวกับผู้เขียนอย่างคนสนิทเป็นกันเอง

    “แต่ผมเห็นเมื่อสักครู่ตอนที่ไปนั่งสมาธิตรงถ้ำโน้นนี่ครับ ว่ามีผู้ชายเดินออกมาจากถ้ำมาคุยด้วย บอกว่าอย่าเดินเข้าไปข้างในถ้ำนั้นลึกๆเพราะด้านในถ้ำนั้นเค้าหวงและเป็นที่บำเพ็ญเพียรเขาน่ะครับ”

    ผู้เขียนพูดพลางชี้มือไปที่ถ้ำที่ผู้เขียนพึ่งเดินลงมาเมื่อสักครู่นี้ ท่านอาจารย์มองหน้าผู้เขียนยิ้มๆแล้วกล่าวว่า

    “ไปเห็นอะไรมาล่ะโยม ไม่มีอะไรหรอกโยม ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่มีตัวตน อย่าไปหลงยึดมั่นถือมั่น ถือเขาถือเรา หากเราคิดดี ทำดี ปฏิบัติดีแล้ว เหมือนมีกำแพงคุ้มกันตัว ไม่มีสิ่งไหนมาทำอันตรายเราได้หรอกโยม ทุกสถานที่รอบๆตัวเราย่อมมีทั้งตัวตนและไม่มีตัวตน มีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งสิ่งน่าดูและไม่น่าดู ขอให้ปฏิบัติให้ถูกทางแค่นั้นพอ โยมอย่าไปยึดติด”

    ท่านอาจารย์พูดจบพลางพาผู้เขียนเดินลงสู่ศาลาด้านล่างทันที เหมือนเป็นการปิดการสนทนาอยากรู้อยากเห็นต่อของผู้เขียนไว้แค่นั้น

    ***ภควัณตัง***
    มีต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ธันวาคม 2016
  20. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ****ก่อนเข้าเรื่องต่อ มีสมาชิกท่านหนึ่งสอบถามมาว่า ยังมีพระธาตุแจกอยู่ไหม ก็แจกอยู่ครับ แต่แจกจ่ายไปตามวัดแทน เพราะคิวจองจากทางวัดยังไม่พอแจกเลยครับ มีวัดหลายวัดหลายจังหวัดก็สั่งจองไว้ คือต้องขอออกตัวก่อนว่า

    **** บางครั้งต้องรอและใช้ระยะเวลาครับ รอว่าท่านจะเสด็จมาเมื่อไหร่ และบางครั้งบางเดือนท่านก็มิได้เสด็จมาให้ และผมก็ไม่ทราบว่าท่านจะเสด็จมาเมื่อไหร่ ตอนไหน กี่วัน กี่ปี กี่เดือน

    ***จึงต้องกราบเรียนให้ทราบครับ จริงๆแล้วอยากแจกให้ไปบูชาทุกๆคน แต่ก็มีขีดจำกัดดังที่กล่าวไว้ในตอนต้นครับ ก็ขอต่อคิวให้แล้วกันนะครับ

    ภควัณตัง
     

แชร์หน้านี้

Loading...