คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ประสบการณ์พระพุทโธน้อยและของอธิษฐาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย st-antique, 27 เมษายน 2012.

  1. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,851
    ค่าพลัง:
    +84,191
    กราบคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ที่เคารพยิ่ง
    สวัสดีครับลูกหลานและศานุศิษย์คุณแม่ฯทุกท่าน


    วันนี้ "วันเสาร์"


    ลูกหลานและศานุศิษย์ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ทุกท่าน


    เตรียม "ตั้งน้ำอธิษฐาน" และ "ของอธิษฐานเป็นยา"


    เรียบร้อยกันหรือยังครับ
     
  2. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,851
    ค่าพลัง:
    +84,191
    ประสบการณ์ได้รับเมตตาจากคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

    เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน


    เรื่องราวนี้เกิดขึ้นสดๆร้อนๆเมื่อคืนนี้เองครับ ผมมีปัญหาเกี่ยวกับหลังมาหลายปี สาเหตุเพราะตอนที่เป็นพนักงานขายต้องขับรถไปเยี่ยมลูกค้าตามที่ต่างๆมากมายไม่ได้หยุด และการขับรถการนั่งอาจจะผิดลักษณะที่ควรจะเป็นจึงส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรังมานานและกลายเป็นเหมือนโรคประจำตัวภายนอกโดยไม่คาดคิด แต่ไม่ได้เป็นตลอดเวลาครับจะเป็นๆหายๆ บางครั้งปวดมากรู้สึกตึงที่หลังมากๆก็ไปให้หมอนวดแผนโบราณนวดคลายให้ก็หายไปนานเลยทีเดียวแต่ห้ามเผลอนั่งผิดท่าหรือไปยกของหนักอีกไม่อย่างนั้นอาการปวดหลังดังกล่าวก็จะกลับมาอีก เมื่อประมาณ 3-4 วันก่อนหน้านี้อาการปวดหลังกลับมากำเริบอีก ผมก็พยายามอดทนมาเรื่อยแต่เมื่อคืนอาการหนักมากจนรู้สึกว่าจะนอนไม่หลับคิดในใจไว้ว่าพรุ่งนี้เช้าตื่นมาจะไปหาหมอนวดให้นวดคลายเส้นที่ตึงและปวดอยู่ให้ได้ แต่อาการที่เจ็บมากจนจะนอนไม่หลับเลยทำให้คิดว่าต้องขอให้คุณแม่ฯเมตตาอนุเคราะห์ก่อนแล้วไม่อย่างนั้นไม่ได้นอนอย่างแน่นอน พอนึกได้อย่างนั้นก็ตั้งจิตให้เป็นสมาธิน้อมระลึกถึงคุณแม่ฯแล้วบอกในใจกับคุณแม่ฯว่า "คุณแม่ฯเจ้าขา วันนี้ลูกมีเรื่องขอความเมตตาจากคุณแม่ฯ ลูกมีอาการปวดหลังอย่างมาก ทรมาณเหลือเกิน ขอความเมตตาจากคุณแม่ฯอนุเคราะห์รักษาอาการปวดหลังดังกล่าวให้หายไปด้วยบารมีคุณแม่ฯด้วยเทอญ" เมื่ออธิษฐานเสร็จก็นอนดูทีวีไปอีกสักระยะก่อนนอนลองสังเกตอาการปวดหลังเบาลงอย่างเห็นได้ชัดเจนจนสามารถนอนได้ตามปรกติ และเช้านี้เมื่อตื่นขึ้นมาอาการปวดหลังนั้นก็หายไปหมดเหลืออาการตึงๆเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมครั้งนี้ผมมั่นใจเต็มร้อยครับว่าเกิดจากความเมตตาของคุณแม่ฯที่มีต่อผมผ่านการอธิษฐานขออย่างแน่นอนครับ จึงได้นำมาเล่าสู่กันฟังให้ทุกท่านได้รับรู้ถึงความเมตตาที่คุณแม่ฯมีให้ลูกหลานท่านเสมอ หากเราคิดถึงท่านด้วยใจ ด้วยศรัทธา ท่านจะอยู่กับเราและไม่ทิ้งเราเช่นกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2014
  3. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,851
    ค่าพลัง:
    +84,191

    สวัสดีครับน้อง kengeg ^^



    สวัสดีครับน้องไชยยันต์ ^^
     
  4. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,851
    ค่าพลัง:
    +84,191
    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/wvSX3ueXSHRYQGil" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/086/nN3TIt.jpg" /></a>


    พ.ศ. ๒๔๙๖

    ในวันที่ ๘ มกราคม ๒๔๙๖ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้ถ่ายภาพซึ่งต่อมาเชื่อกันว่าเป็นภาพที่คุณแม่ได้อธิษฐานให้ไว้สำหรับลูกๆ และศิษย์ได้นำไปบูชาแล้วจะเหมือนท่านคอยดูแลบ้านให้ นั่นคือรูปที่เรียกกันว่า "รูปคุณแม่นั่งเฝ้าบ้าน" นับเป็นรูปอธิษฐานรูปแรกที่คุณแม่บุญเรือนได้ทำไว้เพื่อลูกหลานโดยทั่วไป ไม่รวมรูปอธิษฐานที่คุณแม่ได้เจาะจงทำให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะ

    ซึ่งรูปอธิษฐานที่คุณแม่บุญเรือนได้ทำเป็นการทั่วไปนี้ ได้มีอีก ๒ รูปที่ท่านได้ทำขึ้นไว้ในระยะต่อมา คือ "รูปอธิษฐาน" ที่คุุณแม่ฯ ท่านได้ทำการอธิษฐานไว้ ณ วัดท่าผา จ.ราชบุรี เมื่อวันมาฆบูชา (๒๕ ก.พ.) ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ แลtยังมีรูปอีก ๑ แบบที่คุณแม่ฯ ท่านได้สั่งให้ลูกศิษย์ท่านจัดทำมาและคุณแม่ฯ ท่านได้ทำการอธิษฐานให้ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ เพื่อให้ลูกศิษย์นำไป "บูชาเพื่อความก้าวหน้าของการงานและชีวิต" นั่นคือ "ทางขาวก้าวหน้า"
     
  5. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,851
    ค่าพลัง:
    +84,191
    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xtcmHb1TE27eCtKD" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/31a/8GQmHV.jpg" /></a>​


    ก้อนกรวดศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองทหารไทยในสงครามเกาหลี

    ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๙๕ (สัณนิษฐานตามเหตุการณ์) มีเรื่องเล่าว่า เมื่อครั้งสงครามเกาหลี ศิษย์ที่เป็นทหารคนหนึ่งมาลาท่านไปรบ ท่านอธิษฐานก้อนกรวดให้สามก้อนและบรรจุถุงอธิษฐานให้ไปพร้อมสั่งว่าให้เก็บถุงติดตัวไว้เสมอจะป้องกันอันตรายได้ ให้นำก้อนกรวดไปขว้างในที่ตามจุดหมายสามแห่ง

    ทหารผู้นั้นเมื่อออกรบได้ขว้างกรวดก้อนแรกไปในสนามรบ ไม่นานก็มีข้อตกลงหยุดยิง

    ต่อมาขว้างก้อนที่สองไปบนภูเขา หลังจากนั้นก็มีการสงบศึก

    ขว้างก้อนที่สามในลำธาร ต่อมาผู้นำของข้าศึกถึงแก่ความตาย

    เมื่อหยุดยิงได้ ก็ไปเก็บลวดหนามและเครื่องกีดขวางในสนามรบ ทหารไทยเข้าไปปลอดภัย เพราะเขาเก็บถุงของคุณแม่ไว้กับตัว ทหารชาติอื่นเข้าไปถูกระเบิดตายเป็นจำนวนมาก ตอนกลับเครื่องบินอื่นถูกอุปัทวเหตุ แต่ลำที่ทหารผู้นี้เหน็บถุงไปกลับมาอย่างปลอดภัย ทำให้เห็นถึงอิทธิฤทธิ์ของกรวดและถุงอธิษฐานอย่างน่าอัศจรรย์
     
  6. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,851
    ค่าพลัง:
    +84,191
    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xxLDRJAaIN6dagkH" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/f80/iZbNdL.jpg" /></a>

    หล่อพระประธาน "พระพุทโธภาสชินราชจอมมุนี"

    ในปีพ.ศ. ๒๔๙๕ นี้ โบสถ์วัดสารนารถธรรมารามที่ได้หยุดสร้างไปเนื่องจากเหตุสงครามและอุปสรรคอื่นๆ ก็ได้ทำการก่อสร้างต่อในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ โดยได้ก่อเพดานและก่อผนังจนแล้วเสร็จ และทำการยกเครื่องบนหลังคากระเบื้องเคลือบดินเผา เมือ พระมหารัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ เห็นว่าอุโบสถมีผนังและหลังคาแล้ว จึงดำริที่จะหล่อพระประธานและพระอัครสาวก เพื่อประดิษฐาน ณ พระอุโบสถนั้น โดยทำพิธีหล่อที่วัดสัมพันธวงศ์ พระนคร

    พระประธานที่หล่อนี้ ชื่อว่า “พระพุทโธภาสชินราชจอมมุนี” เป็นพระประธานประจำพระอุโบสถ วัดสารนารถธรรมาราม เป็นพระพุทธรูปขนาดกลาง หน้าตักประมาณ ๓ ศอกคืบ ประดับด้วยซุ้มเรือนแก้ว จำลองแบบมาจากพระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก และมีอัครสาวกประกอบซ้าย-ขวา เช่นเดียวกับพระพุทธชินราช

    ในพิธีหล่อพระพุทโธภาสชินราชจอมมุนีนี้ ปรากฏว่าหล่อไม่ติดถึง ๒ ครั้ง ๒ หน คงหล่อได้แต่พระอัครสาวกทั้ง ๒ องค์ในการหล่อครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๔๙๕ เมื่อคุณแม่คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เห็นว่าการหล่อพระประธานมีปัญหาถึง ๒ ครั้ง ๒ ครา ก็ได้ปวารณาตัวในการดำเนินการในเรื่องหล่อสร้างพระประธานองค์นี้ต่อไป โดยมีบรรดาศิษยานุศิษย์ของคุณแม่บุญเรือน ร่วมมือด้วยอย่างแข็งขัน ได้มีการประกอบพิธีเททองหล่อใหม่เป็นครั้งที่ ๓

    ในการหล่อ ๒ ครั้งแรก ที่ไม่สำเร็จ ท่านพระมหารัชชมังคลาจารย์ คิดว่าอาจจะเนื่องมาจากขนาดขององค์พระ และปางยังไม่เหมาะ แบบองค์พระที่หล่อคราวนี้ จึงได้เปลี่ยนจากปางมารวิชัยเป็นปางสมาธิ พร้อมขยายให้โตขึ้นกว่าเก่า หน้าพระเพลากว้าง ๑๗๔ เซนติเมตร จากเดิม ๑๖๔ เซนติเมตร เพื่อให้เท่ากับพระทศพลญาณ หล่อองค์พระกับฐานบัวติดกัน ณ วัดสัมพันธวงศ์ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ คราวนี้เนื้อทองแล่นตลอดองค์เป็นอันดี ไม่มีอุปสรรคใด ๆ และได้ขัดแต่งจนสำเร็จเรียบร้อยบริบูรณ์ ถวายพระเนตรเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๖ มีการบำเพ็ญกุศลถวายพร้อมด้วยมีมหรสพสมโภช ๕ วัน ๕ คืน แล้วรอไว้จนเมื่อ อุโบสถวัดสารนารถที่สร้างค้างอยู่ จะหล่อพื้นหล่อทำชุกชีสร้างพระแท่นพุทธอาสน์แล้ว ก็จะดำเนินการสมโภชแห่พระพุทโธจอมมุนีนี้ ไปประดิษฐานเป็นประธานที่พระอุโบสถวัดสารนารถนั้นฯ

    ในชั้นแรกได้กำหนดที่จะหล่อองค์พระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก ซึ่งเป็นพระประจำวันเสาร์ ด้วยเป็นวันเกิดของท่านเจ้าคุณรัชชมังคลาจารย์ แต่มีญาติโยมผู้หนึ่ง ได้แนะนำว่าพระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปที่สวยงามที่สุดในโลก จึงสมควรเปลี่ยนจากพระพุทธรูปปางนาคปรก เป็นพระพุทธชินราชจำลองแทน พร้อมกับถวายเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท เป็นค่าสร้างเรือนแก้วจำลองจากพระพุทธชินราช พร้อมอัครสาวกประจำซ้ายขวาด้วย แต่องค์พระพุทธชินราชที่วัดสารนาถนี้ เป็นปางนั่งสมาธิ (พระพุทธชินราชองค์ที่พิษณุโลกเป็นปางมารวิชัย) ค่าสร้างเดิม ทั้งค่าปั้นหุ่น ค่าหล่อและขัดแต่ง คุณแม่บุญเรือน กับคณะศิษย์ ซึ่งมีพลโทยุทธ สมบูรณ์ เจ้ากรมการรักษาดินแดนขณะนั้นเป็นหัวหน้า ออกให้รวม ๖๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าสร้างเรือนแก้วจำลองจากพระพุทธชินราช พร้อมอัครสาวกซ้ายขวานั้น โยมผู้หนึ่งได้ถวายตามที่ได้ปวารณาไว้

    ที่งานหล่อพระประธานที่วัดสัมพันธวงศ์นี้เอง ที่คุณแม่บุญเรือนได้แสดงการใช้พลังจิตในการห้ามฝนมิให้สาดเข้ามาเปียกผู้ร่วมงานคนหนึ่ง ตามคำบอกเล่าของผู้ร่วมงานคนนั้นคือ นางธำรุโกศา (แปลก ปานคำ) ผู้ไปช่วยจับสายสิญจน์ หล่อพระพุทธรูปพระพุทโธภาสชินราชจอมมุนี ที่วัดสัมพันธวงศ์ มีดังนี้

    “พอถูกใช้ให้จับสายสิญจน์ ดิฉันใช้ไม้ก้านร่มพันม้วนเป็นแกนสายสิญจน์เลย คุณนายบุญเรือนพูดว่า ทีนี้โปร่งละ พอจับสายสิญจน์สักประเดี๋ยวก็มีฝนตกลงมามาก พายุซัดฝนสาดมาเปียกดิฉัน คุณนายบุญเรือนออกมาเห็นเข้า ก็บอกดิฉันให้กระเถิบหนีฝนเข้ามาข้างใน แต่ดิฉันไม่ยอมลุกหนีฝน คุณนายบุญเรือนจึงพูดว่า ‘ฝนอย่ามาเปียกแม่แปลกชี ! เขาจะจับสายสิญจน์ ไป ! ไป ! ไป !’ พอว่าเท่านั้นลมพัดฝนไปทางอื่นไม่สาดดิฉัน และฝนก็เลยหายไป

    ข้อความการบอกกล่าวของนางธำรุโกศา ได้พิมพ์ไว้ในประวัติพระพุทโธภาสชินราชจอมมุนี ซึ่งเมื่อสร้างสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดสารนารถธรรมาราม จังหวัดระยอง

    เรื่องการหล่อ พระประธานวัดสารนารถธรรมาราม จังหวัดระยองนี้ คุณแม่บุญเรือนก็ได้บันทึกไว้ด้วย ดังนี้



    "การหล่อพระประธานที่จะนำไปวัดสารนารถธรรมารามนั้น ท่านอาจารย์ของดิฉัน คือท่านเจ้าคุณพระรัชชมงคลมุนี เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ได้สร้างโบสถ์ไว้ที่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง แต่โบสถ์ยังไม่เสร็จเรียบร้อย ท่านมีเจตนาว่า จะสร้างพระประธานก่อน บรรดาสานุศิษย์และประชาชนพุทธบริษัททั้งหลาย ได้มีฉันทะร่วมกับพระเดชพระคุณท่าน เพราะฉะนั้น จึงได้พร้อมใจกันสละเครื่องทองเหลืองทองแดง นำมารวมกันที่วัดสัมพันธวงศ์ แต่ดิฉันเห็นว่าควรจะหล่อในเดือน ๔ ได้พูดกับพระเดชพระคุณท่านแล้ว ดิฉันก็ได้ลาไปเชียงใหม่ กลับมาจากเชียงใหม่ ได้ทราบว่า ท่านจะหล่อเดือน ๓ พ.ศ. ๒๔๙๔ ดิฉันก็ได้ไปถามท่านว่า ทำไมพระเดชพระคุณเลื่อนมาหล่อเดือน ๓ ท่านบอกว่า ความเห็นส่วนรวมเป็นใหญ่ เพราะเป็นพระของประชาชนส่วนรวม จึงต้องหล่อเดือน ๓ ดิฉันก็ไม่ว่าอะไร มาหล่อพระเดือน ๓ พระก็ไม่สำเร็จเป็นรูปได้ สันนิษฐานกันว่า เพราะเผาหุ่นพระไม่สุกดี ดิฉันเห็นว่าเดือน ๓ กับเดือน ๔ พ.ศ. ๒๔๙๕ ที่กะไว้บางทีจะทัน ก็ได้ชวนคุณไสว ศรีงาม ไปที่วัดสัมพันธวงศ์ เพื่อขออนุญาตจัดการหล่อถวาย จะได้ให้พุทธบริษัท ๔ เจริญตามความเห็นของดิฉัน เพราะเป็นเดือน ๔ ตามที่กะไว้ พระเดชพระคุณท่านก็ไม่อนุญาตให้ เพราะเกรงใจช่างเก่า ที่เขายังจำนงจะทำ ดิฉันก็เห็นว่าสุดวิสัยที่จะฝืนได้

    ต่อมาในเดือน ๔ (พ.ศ. ๒๔๙๔ ประมาณเดือนมีนาคม ) ดิฉันอยู่ที่บ้านสามัคคีวิสุทธิ มีคุณนายถนอม เอื้อวิทยา ได้ทำเทียนวันเกิดของคุณกมล เอื้อวิทยา มาจุดบูชาพระ ดิฉันจึงถือโอกาสให้คุณนายถนอมและพี่คุณนายถนอม และคุณแกมแก้ว ให้ตรวจต้นมะม่วงที่ปลูกไว้ ๑ ปี กับ ๑ เดือนว่าจะออกช่อได้ไหม คุณทั้ง ๓ ก็ดู คุณแกมแก้วยืนยันว่า เห็นจะออกไม่ได้เพราะต้นยังเล็กมาก

    ในค่ำวันนั้นดิฉันก็ถือโอกาสตั้งสัจจะอธิษฐานว่า โดยความมั่นในศรัทธาของข้าพเจ้ามิได้ท้อถอย จะช่วยพระเดชพระคุณท่านหล่อพระประธานให้สำเร็จให้ได้ และตามที่เขาว่ากันว่า ศาสนากำลังจะคอดเป็นประดุจคอสากนั้น ถ้าศาสนาจะเสื่อมลงไปอย่างเขาว่า ก็ขอมะม่วงต้นนี้อย่าได้ออกช่อเลย ถ้าข้าพเจ้าจะช่วยในด้านศาสนาได้บ้าง และพระประธานที่พระเดชพระคุณหล่อนี้จะศักดิ์สิทธิ์ ก็ขอให้มะม่วงซึ่งปลูกด้วยเม็ดเพียง ๑๓ เดือนให้ออกช่อ และให้บานในคืนวันพุธนั้น สำหรับกิ่งหนึ่งเป็นการช่วยชาติให้เจริญ อีกกิ่งหนึ่งสำหรับทางศาสนา ถ้าจะเจริญได้ทั้งทางโลกและทางธรรม ก็ขอให้ออกช่อทั้ง ๒ กิ่ง เขตอธิษฐานหมดเพียง ๕ ทุ่มของวันพฤหัสบดีเท่านั้น จะได้เป็นพยานแห่งความจริง เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ประจักษ์ว่า ศาสนากำลังจะเจริญอยู่ได้

    พอรุ่งเช้า ดิฉันออกไปดูที่ต้นมะม่วงนั้น ทางด้านโลกกิ่งเดียวที่แยกออกมาจากทางกิ่งของศาสนา ได้ออกช่อมาอย่างงดงามตรงยอดๆ เดียวถึง ๙ ช่อ บาน ๕ ช่อ ที่ยังไม่บาน ๔ ช่อสลับกัน ช่อยาวประมาณ ๒ นิ้วฟุตเศษ มีกลิ่นหอมคล้ายดอกพิกุล ส่วนอีก ๓ ช่อนั้นออกตามกิ่งเรียงกันเป็นแถว ทางด้านศาสนาดังที่อธิษฐานไว้ ดิฉันก็ได้เรียนให้ท่านเจ้าคุณท่านทราบไว้เหมือนกัน และใครๆ ก็ได้มาดู

    ต่อมาถึงวันอาทิตย์ขึ้น ๑๑ ค่ำเดือน ๔ (๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๔) ดิฉันก็ได้นำเครื่องบวชเด็กเป็นเณร ไปให้ท่านพระครูนิเทศธรรมจักรบวชเณร เพราะดิฉันได้อธิษฐานไว้ว่า จะช่วยหล่อพระประธานในเดือน ๔ นั้น ไม่ได้หล่อ เพราะมาหล่อเสียในเดือน ๓ ดิฉันจึงบวชเณรแทนการหล่อพระ เพราะเวลาพระท่านให้ศีลเณรนั้น ท่านต้องให้ว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ฯลฯ ดิฉันถือเอาว่า รูปพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกิดขึ้นแล้วพร้อมทั้งเณรด้วย.....

    ......ต่อมาช่างคนก่อนกลับใจไม่ทำ พระเดชพระคุณท่านก็ได้จัดการให้หาช่างมาหล่อพระประธานอีก สร้างให้โตขึ้นอีก หน้าพระเพลากว้างกว่าเก่า ๘ เซ็นต์ เป็น ๑๖๔ เซ็นต์ และสร้างพระอัคคสาวกอีกสององค์ สูงองค์ละ ๑๘๐ เซ็นต์ ดิฉันก็ได้ไปช่วย แต่แล้วช่างได้เทพระไม่สมบูรณ์อีก คราวนี้สันนิษฐานกันว่า เพราะช่างที่มาทำงานน้อยเพียง ๑๖ คน ทำงานไม่ทันกาล เป็นอันว่าทั้ง ๒ คราว ไม่ได้พระประธาน แต่โดยธรรมบันดาลให้ดิฉันพูดถึงเรื่อง ดิฉันขอหล่อพระถวาย เมื่อครั้งที่ ๒ แล้วอีก พระเดชพระคุณท่านก็เฉยๆ ไม่ว่ากะไร เพราะจะต้องพูดกับช่างที่หล่อนั้นฟังดู ต่อมาท่านได้พูดจาปรับปรุงความเข้าใจกับช่างดีแล้ว จึงมาที่บ้านสามัคคีวิสุทธิ เมื่อได้พูดจากันแล้ว จึงขออนุญาตให้หล่อตามความประสงค์ของดิฉัน ดิฉันก็ถือโอกาสขอพร ๗ ข้อ และขอให้คุณยุทธ จัดการเขียนถวายดังนี้ คือ

    ข้อ ๑ พระเดชพระคุณนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ทำพิธี ๘๓ รูป (นิมนต์แล้วไม่ถวายปัจจัย)

    ข้อ ๒ พระที่ชยันโตเวลาเททอง ๓๐ รูป (นิมนต์แล้วไม่ถวายปัจจัย)

    ข้อ ๓ สายสิญจน์จะวงรอบสูง ทางสายสิญจน์มาลงที่พระสวดต่อไป ที่สุดของสายสิญจน์ ให้พระเดชพระคุณถือสำหรับเททอง

    ข้อ ๔ ส่วนทองสำหรับจะหล่อพระพุทธรูป เป็นหน้าที่ของพระเดชพระคุณหาให้ครบ

    ข้อ ๕ ไม่ให้พระเดชพระคุณลงมือทำพระเอง เพียงแต่ว่าติได้ ว่าที่ใดไม่เหมือนแบบให้ทำให้เหมือนแบบ

    ข้อ ๖ ไม่มีการตั้งเทียน(เก็บเงิน) ในวัด สำหรับวันหล่อพระ

    ข้อ ๗ ไม่มีมหรสพใดๆ

    ท่านรับว่า อนุญาตให้ได้ แต่ท่านกำหนดไว้ว่า จะหล่อให้ใหญ่กว่าคราวที่ ๒ อีก คือหน้าพระเพลากว้างขึ้นอีก ๑๐ เซ็นต์ เป็น ๑๗๔ เซ็นต์ ด้วยมุ่งหมายให้ได้กำลังเทวดา ๑๐๘ พุทธคุณ ๕๖ และทศพลญาณอีก ๑๐ จึงเป็น ๑๗๔ เซ็นต์ หล่อทั้งองค์และบัวประทับเสร็จ (ไม่ให้หล่อเป็นท่อนมาต่อกัน) เป็นอันว่าตกลงกัน ดิฉันก็กะว่า พระประธานองค์นี้ ดิฉันจะให้ค่าหล่อและขัด ๖ หมื่นบาทถึงจะหล่อเสร็จ เป็นอันว่าตกลงหล่อพระองค์นี้ ดิฉันก็เลยส่งคุณเอี่ยมไปตามช่างมาพบดิฉัน แต่เป็นช่างคนเดียวกับที่หล่อพระครั้งที่ ๒

    การหล่อครั้งที่ ๓ ก็ที่วัดสัมพันธวงค์ เมื่อ วันศุกร์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๙ ตรงกับวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๙๕ เวลา ๗.๔๕- ๗.๕๐ เป็นต้นไปราว ๑๕ นาทีเสร็จ คราวนี้สำเร็จเรียบร้อยดี คนงานทำการหล่อ ๖๐ คนมากกว่าคราวที่ ๒ ราว ๔ เท่า

    บุญเรือน โตงบุญเติม​
     
  7. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,851
    ค่าพลัง:
    +84,191
    รักษาโรคให้นายจำรัส สุขประเสริฐและภรรยา แห่งจังหวัดอุดรธานี

    ภรรยาของนายจำรัส สุขประเสริฐป่วย มีอาการจุกแน่นที่หน้าอก ที่คอหอยรับประทานอาหารเข้าไปก็อึดอัด จุกแน่น ได้ให้หมอไทย หมอจีน หมอญวน หมอญี่ปุ่น หมอฝรั่ง รักษามาไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี สิ้นเงินไปหลายหมื่นบาทก็ไม่หาย ได้ให้นายแพทย์เอ๊กซเรย์ ๒ ครั้ง ก็ไม่พบว่าเป็นโรคอะไร คนป่วยกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ทนทุกขเวทนามาก

    ครั้นต่อมาได้ทราบว่า คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เคยรักษาคนอื่นหาย นายจำรัสผู้สามี จึงสั่งให้นายจำเริญ สุขประเสริฐ บุตรชาย ซึ่งขณะนั้นเรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพ ฯ ให้ไปหาคุณแม่บุญเรือน ขอให้ช่วยรักษามารดาของตน คุณแม่บุญเรือนได้อธิษฐานปูน กับส่งใบอธิษฐานน้ำไปให้ที่จังหวัดอุดรธานี

    นายจำรัสได้อธิษฐานน้ำ ให้ภรรยารับประทานเป็นประจำกับทาปูนที่หน้าอก และที่ท้องทุกๆ คืน อาการป่วยก็ดีขึ้น จนหายเป็นปกติแข็งแรงดี

    ตัวนายจำรัสเอง เป็นโรคความดันโลหิตสูง แพทย์ได้ใช้เครื่องวัดความดันโลหิตบอกว่า มีความดันสูงถึง ๑๘๕ ปวดมึนศีรษะ ความคิดเสื่อม ท้องผูก เป็นมา ๗-๘ ปีแล้ว รักษาสิ้นเงินมาก อาการมีทรงกับทรุด

    นายจำรัสจึงมาหาคุณแม่บุญเรือน ที่กรุงเทพ ฯ ท่านสั่งให้ทาปูนที่ต้นคอ หลัง หน้าอก ท้อง ก่อนเข้านอนทุกคืน กับให้รับประทานไพลกับเกลือ ตำคั้นรับประทานทุกคืน กับให้ตั้งน้ำอธิษฐานรับประทานเป็นประจำทุกวัน

    เขาได้ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านจนหายเป็นปกติ ไม่มีอาการปวดมึนศีรษะ ท้องก็ไม่ผูก
     
  8. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,851
    ค่าพลัง:
    +84,191

    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xHbQvO5m3WcYya07" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/fcd/NzZarA.jpg" /></a>

    ไปโปรดชาวบ้าน จ.อุดรธานี จ.นครพนม และ จ.สกลนคร


    เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๖ เวลา ๗.๑๕ น. คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เดินทางโดยขบวนรถไฟด่วน ถึงจังหวัดอุดรธานี โดยจะไปพักที่บ้าน นายจำรัส สุขประเสริฐ

    ก่อนหน้ารถไฟด่วนจะเข้าเทียบชานสถานี ประมาณ ๒๐ นาที ได้มีหมอกลงที่สถานีรถไฟ และบริเวณตัวเมืองอุดรธานีหนามืดไปหมด ขนาดอยู่ห่างกันประมาณ ๑๐ วา ยังแลไม่เห็นกันเลย รถยนต์วิ่งตามถนนต้องเปิดไฟ มิฉะนั้นจะชนกัน หมอกหนามืดเช่นนี้ ไม่เคยมีมาก่อนเลย พอรถไฟถึงสถานีประมาณ ๑๐ นาที หมอกก็ค่อยๆ จากหายไป ชาวอุดรธานีต่างพิศวงงงงวยโจษจันกันไปต่างๆ นานา

    เมื่อคุณแม่บุญเรือนลงรถไฟแล้ว มีผู้คนไปรับเป็นจำนวนมาก

    วันเดียวกันนี้ เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. เศษ หลวงวิฑิตกลชัยและคุณนาย นางสุดใจ สุขประเสริฐ ได้ไปจังหวัดหนองคาย เพื่อนำ “ศิลากรวดอธิษฐาน” ของคุณแม่บุญเรือนไปทิ้งลงลำแม่น้ำโขง แล้วเดินทางกลับจังหวัดอุดรธานี ในวันเดียวกัน เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. เศษ

    ค่ำของวันนี้ ได้มีผู้มาหาคุณแม่บุญเรือน ที่บ้าน นายจำรัส สุขประเสริฐ เป็นจำนวนมาก
     
  9. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,851
    ค่าพลัง:
    +84,191
    รักษาด้วยวาจาสิทธิ์

    นายครรชิต สกลคลัง พนักงานธนาคารกสิกรไทย ได้มาหาและบอกกับคุณแม่บุญเรือนว่า ตัวเขาป่วยเป็นโรคปวดท้องมาเป็นเวลานานเวลานี้ก็ยังปวดอยู่ ได้รักษาตัวหมดเงินมากมายแล้ว ขอให้คุณแม่บุญเรือนรักษาให้

    คุณแม่บุญเรือนได้ฟังแล้ว จึงได้สั่งในขณะนั้นว่า “อย่าปวด ให้หายปวดเดี๋ยวนี้!”

    แล้วคุณแม่บุญเรือนก็ถามนายครรชิตว่า “หายปวดหรือยัง?”

    นายครรชิตตอบว่า “หายปวดแล้ว”

    คุณแม่บุญเรือนจึงสั่งว่า “คืนวันนี้อย่าปวด” (เพราะนายครรชิต บอกว่า กลางคืนปวดแทบไม่ได้นอนทุกคืน)

    ครั้นเช้าวันรุ่งขึ้น นายครรชิตมาบอกคุณแม่บุญเรือนว่า เมื่อคืนนี้ไม่ปวดเลยนอนได้สบายตลอดคืน

    ในระหว่างที่ คุณแม่บุญเรือนพักอยู่ที่จังหวัดอุดรธานีนี้ ตอนเช้าคุณแม่บุญเรือนได้ไปอธิษฐานจิตให้พลังจิตให้แก่ประชาชนที่วัดโพธิสมภรณ์ทุกวัน มีประชาชนนำน้ำ ปูน ไพล พริกไทย สาคู มาให้คุณแม่บุญเรือนอธิษฐานจิตอย่างคับคั่งทุกวัน

    มีคนหลังโกงคนหนึ่ง เวลาเดินต้องใช้ไม้เท้าค้ำ ได้มาหาคุณแม่บุญเรือนขอให้รักษา คุณแม่บุญเรือนได้ออกคำสั่งต่อหน้าประชาชนเป็นจำนวนมากว่า “ให้ทิ้งไม้เท้า!”

    ชายหลังโกงคนนั้น ก็ขว้างไม้เท้าทิ้ง

    คุณแม่บุญเรือน จึงสั่งต่อไปให้ยืนตรงๆ ชายหลังโกงคนนั้นก็ค่อยๆ ยืดตัวแล้วยืนตัวตรงได้

    คุณแม่บุญเรือนสั่งให้ออกเดิน ชายคนนั้นก็เดินตัวตรงได้

    คุณแม่บุญเรือนจึงสั่งให้วิ่ง ชายคนนั้นก็วิ่งได้ เลยหายเป็นปกติเดินกลับบ้านได้เช่นคนดีๆ นับเป็นเรื่องอัศจรรย์

    มีหญิงจีนคนหนึ่ง เป็นภรรยาจีนร้านขายทองอยู่ในตลาดจังหวัดอุดร ได้มาหาคุณแม่บุญเรือน บอกว่า เป็นโรคปวดศีรษะมาหลายปีแล้ว ตอนบ่ายๆ ปวดมากทุกวัน

    คุณแม่บุญเรือนจึงถามว่า “เวลานี้ปวดไหม?” จีนคนนั้นบอกว่าปวดมาก

    คุณแม่บุญเรือนจึงชี้มือสั่งว่า “ให้หยุดปวดเดี๋ยวนี้!” แล้วบอกว่า ให้ตั้งใจนึกให้หายปวด

    หญิงจีนบอกในขณะนั้นว่า หายปวดแล้ว

    คุณแม่บุญเรือนจึงสั่งว่า “ต่อไปก็ไม่ให้ปวด”

    หญิงจีนคนนั้นก็หายปวดหัวเป็นคนดีกลับบ้าน
     
  10. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,851
    ค่าพลัง:
    +84,191
    วันนี้นำมาฝากกันพอหอมปากหอมคอครับ เพื่อให้ลูกหลาน ศานุศิษย์ ตลอดจนผู้ที่เคารพศรัทธาคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้อ่านศึกษาประวัติตามจริงที่ถูกบันทึกไว้โดยลูกศิษย์คุณแม่ฯในหนังสือคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อนุสรณ์เพื่อร่วมกันเผยแพร่ประวัติและเกียรติคุณของคุณแม่ฯ ทดแทนคุณท่านที่เมตตาลูกหลานเสมอมา เมื่ออ่านแล้วคิดว่าหลายท่านจะรู้จักคุณแม่ฯในหลากหลายมุมมากขึ้น ทั้งความเก่งกล้าสามารถ ความเมตตาที่มีต่อลูกหลานและผู้ตกทุกข์ไม่เคยขาดเลยจริงๆ เป็นแม่ฯผู้ให้แก่ลูกๆจริงๆถึงทุกวันนี้ครับ
     
  11. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,851
    ค่าพลัง:
    +84,191
    วันนี้ต้องขอตัวพักผ่อนก่อนนะครับ ท่านใดมีเรื่องราวประสบการณ์เกี่ยวกับการบูชาคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ไม่ว่าจะเป็นรูปอธิษฐาน พระพุทโธน้อย หรือของอธิษฐานใดใดก็ตามนำมาลงบอกเล่าให้ลูกหลานท่านอื่นๆได้อ่านกันเพื่อเป็นวิทยาทานและร่วมกันเผยแพร่เกียรติคุณของคุณแม่ฯให้ขจรขจายยิ่งขึ้นไป ค่ำคืนนี้ขอบารมีพระธรรมของพระพุทธเจ้า พุทธคุณพระพุทโธน้อย และบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม คุ้มครองรักษาทุกท่านให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง ให้เป็นผู้มั่งมีด้วยโภคทรัพย์เงินทองไม่ได้ขาด คิดหวังสิ่งใดให้สมปรารถนาทุกประการ ให้มีความสุขชื่นบานตลอดไปนับตั้งแต่บัดนี้เทอญ


    sleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rb


    sleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rbsleeping_rb​
     
  12. ลูกน้ำเค็ม

    ลูกน้ำเค็ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,022
    ค่าพลัง:
    +14,548
    กราบคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ครับ

    สวัสดีครับคุณเชษฐ์ และ สวัสดีลูกหลานคุณแม่ทุก ๆ ท่านด้วยครับ

    สุขสันต์วันหยุดสุดสัปดาห์ทุก ๆ ท่านนะครับ บารมีคุณแม่ปกป้องคุ้มครอง อำนวยอวยพรครับ
     
  13. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,851
    ค่าพลัง:
    +84,191
    กราบคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ที่เคารพยิ่ง
    สวัสดีครับลูกหลานและศานุศิษย์คุณแม่ฯทุกท่าน​

    วันนี้วันหยุดพักผ่อนขอให้ทุกท่านได้พักผ่อนอย่างมีความสุขและพักผ่อนได้อย่างเต็มที่เพื่อเตรียมรับการทำงานในวันพรุ่งนี้นะครับ ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม คุ้มครองรักษาทุกท่านให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ทำการงานใด้ให้ราบรื่นสำเร็จเสร็จสิ้นด้วยดี ค้าขายให้ได้กำไรมากๆเพื่อจะได้มีเงินทองไว้ดำเนินชีวิตไม่ติดขัดและอย่าลืมทำบุญกันด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2014
  14. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,851
    ค่าพลัง:
    +84,191
    อธิษฐาน "พระพุทโธน้อย"


    [​IMG]


    ในปี ๒๔๙๔ นี้เป็นปีที่คุณแม่บุญเรือนได้ร่วมสร้างและทำพิธีอธิษฐาน "พระพุทโธน้อย" ซึ่งเป็นพระเครื่องขนาดเล็กที่โด่งดังที่สุดของคุณแม่บุญเรือน ที่ได้อธิษฐานจิตให้ไว้แก่วัดอาวุธวิกสิตาราม ตำบลบางพลัดนอก ธนบุรี เมื่อ ๑๑-๑๒-๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๔ รวมจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ องค์ และส่วนหนึ่ง จำนวน ๒,๐๐๐ องค์ ท่านได้ถวายพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดสัมพันธวงศ์ เพื่อแจกผู้มาช่วยสร้าง "พระพุทโธภาสชินราชจอมมุนี" พระประธานวัดสารนารถธรรมาราม อำเภอแกลง จังหวัดระยอง

    พระสิทธิสารโสภณ (สงวน โฆสโก) เจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตารามในขณะนั้น ซึ่งเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันกับคุณแม่บุญเรือน ได้จัดสร้างพระพุทโธน้อย เพื่อแจกจ่ายแก่คณะผ้าป่าสามัคคี ปี ๒๔๙๔ แม่ชีบุญเรือนได้อนุโมทนาและอธิษฐานให้ พร้อมทั้งขอให้สร้างเผื่อให้ด้วยจำนวนหนึ่ง เพื่อที่จะถวายพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งเป็นองค์อาจารย์อีกด้วย

    รายละเอียดของเรื่องดังกล่าวข้างต้น ท่านพระสิทธิสารโสภณ ได้บันทึกไว้และได้พิมพ์แจกในงานทอดกฐิน วัดอาวุธวิกสิตาราม ธนบุรี เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๔ ซึ่งบันทึกนี้ นอกจากจะแสดงความเป็นมาของการสร้าง "พระพุทโธน้อย" แล้วยังมีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ในเรื่องพลังจิตของท่านอีกด้วย ข้อความในบันทึกดังกล่าวนี้มีดังนี้

    "สำหรับข้าพเจ้า ถึงแม้จะคุ้นเคย นับถืออุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม ตั้งแต่อยู่วัดสัมพันธวงศ์มาก็จริง แต่ก็ไม่ถึงกับเลื่อมใสในเรื่องอิทธิฤทธิ์นัก เพราะยังไม่เคยทำปาฏิหาริย์อะไรให้เห็น เช่น(ที่)คนอื่นเขาเห็นบ้าง

    ครั้นหากถูกกรรมลิขิตบันดาลให้ต้องถูกย้ายไปอยู่วัดอาวุธวิกสิตาราม ในปีที่ ๗ ของการย้ายไป (พ.ศ. ๒๔๘๙) มีเรื่องที่น่าวิตกส่วนตัวอยู่มาก สมุฏฐานเกิดจากเปิดเรื่องจัดหาที่ดินให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ ให้ไวยาวัจกรทำสัญญาซื้อขายให้กับวัด มีกำหนด ๑ ปี ต้องเป็นหนี้เขา ๓๓,๐๐๐ บาท ไม่มีทุนสักเก๊เดียว

    เจ้าตัววิตกมันกินใจเสียแทบกร่อน ทำให้ฉันกินไม่ได้ นอนไม่หลับ กลัวไปเสียจิปาถะ จะไม่มีทุนส่งให้เขาบ้าง จะหมดอายุสัญญาบ้าง ไหนจะเสียชื่อเสียงบ้าง ถึงกับล้มป่วยลงด้วยความหนักใจ ข่าวเจ็บป่วยนี้จะมีใครก็ไม่ทราบ ส่งข่าวไปถึงอุบาสิกาบุญเรือน

    บังเอิญในวันหนึ่ง ไปพบกันที่วัดสัมพันธวงศ์ จึงทักข้าพเจ้าว่า "อะไร๊ ถามหาอยู่ได้ ทราบว่าไม่สบาย นิมนต์ไปที่บ้านหน่อย จะอธิษฐานให้หายโรค จะได้มีชีวิตช่วยทำกิจพระศาสนาต่อไป"

    วันนั้นตอนบ่าย ได้ไปที่บ้าน แล้วให้ข้าพเจ้าลงชื่อไว้ในสมุดรวมชื่อ อธิษฐานน้ำกับปูน อธิษฐานถวายสำหรับทาและดื่มประจำวัน ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำ นับว่าได้ผลดี อาการไอและเจ็บอกเบาบางลง

    ส่วนทุนที่เป็นหนี้ เจ้าของที่ดินจำนวนสามหมื่นสามพันบาท ได้ชำระเสร็จสิ้นภายใน ๖๗ วัน โรคก็ได้หาย ใช้หนี้หมด รอดตายไปที นี่เป็นขั้นแรก ที่ชวนให้เกิดความเลื่อมใสในเรื่องอธิษฐาน

    ต่อมาข้าพเจ้าเป็นไข้ ไม่ใช่ไข้หนัก และก็ไม่หาย มีอาการคลุมเครือ พอหมดกำลังของยาก็เป็นไข้อีก อุบาสิกาไปเยี่ยมที่วัด เมื่อเสร็จจากอธิษฐานน้ำแล้วนั่งเพ่งอยู่พักใหญ่ ครั้นเสร็จแล้วจึงถาม

    "วันนี้ทำไมจึงนาน"

    ตอบว่า "ฉันดูท่านด้วย"

    "ดูอะไร" ข้าพเจ้าถาม

    ได้รับคำตอบว่า "ดูไข้ของท่าน"

    ถาม "จะเป็นไข้อะไร" คงได้ความว่า เป็นไข้ด้วยความบังเอิญ เพราะไปถูกปลายไม้เท้าผี

    "ผีอะไร?"

    ตอบ "ผีตนนี้เป็นคนแก่ผมหงอก หลังโกง สวมกางเกงขาว ขาสั้น ถือไม้เท้า ท่านไปถูกปลายไม้เท้าผีคนนี้จึงเป็นไข้"

    ข้าพเจ้านึกยิ้มอยู่ในใจ พูดอย่างนี้ใครๆ ก็พูดได้ เพราะเป็นกิริยาของคนแก่

    อุบาสิกาบุญเรือนฯ เล่าต่อไปว่า "ผีคนนี้ตายไปแล้วยังไม่ได้เกิด เดินวนเวียนอยู่ในวัดอาวุธนี้ ชื่อ "ชุ่ม"

    เรื่องนี้เป็นเรื่องตรงกับความจริงทุกอย่าง เพราะนายชุ่ม โกมารพิมพ์ เคยเป็นอุบาสกถือศีลฟังธรมอยู่ในวัดนี้ และได้ไปมาสนทนากับพระเณรในวัดอยู่เสมอ ได้สิ้นชีวิตลงในระยะไม่ช้านี้เอง ทั้งนายชุ่มฯ กับอุบาสีกาบุญเรือนฯ ไม่รู้จักมักคุ้นกันเลย

    ต่อจากนั้นอุบาสิกาบุญเรือน ได้ให้แนวทางว่า ควรใส่บาตรแล้วตรวจน้ำให้นายชุ่มเสีย ไข้ก็จะหาย

    เวลาเย็น คุณนายถนอม สามเสน เสร็จจากการฟังธรรมที่ศาลาการเปรียญขึ้นมาเยี่ยม จึงเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง

    รุ่งขึ้นเวลาเช้า คุณนายถนอม จัดหาอาหารมาให้ใส่บาตร ตรวจน้ำให้นายชุ่ม ไข้ก็หายไปจริงๆ

    ในเวลาต่อมา (วันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๔) ได้พาคนไข้ไปรักษาโรคที่บ้านอุบาสิกาบุญเรือนฯ (อุบาสิกาบุญเรือน) ได้เล่าถึงความนึกคิดของประชาชนบ้าง ในหนังสือเก่าๆ บ้าง เกี่ยวด้วยเรื่องพระพุทธศาสนาว่า เมื่อถึง ๒,๕๐๐ กึ่งพุทธศาสนาล่วงแล้วไป ศาสนธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจะเจริญเต็มที่ เพราะอดีตล่วงไปแล้ว เคยทรุดโทรมมา ๑ ครั้ง ที่เปรียบด้วย เหมือนสากตำข้าวคอดกลาง

    แต่เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ (อุบาสิกาบุญเรือน) จึงทำการอธิษฐานกับวัตถุไม่มีวิญญาณ ขอให้ปรากฏความจริง คือ อธิษฐานกับต้นมะม่วงที่ปลูกด้วยเม็ด มีอายุเพียง ๑๓ เดือน อยู่ที่รั้วหน้าบ้าน ถ้าพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองต่อไปแล้วไซร้ ขอให้มะม่วงออกช่อ หากจะถึงความเสื่อมโทรม อย่าให้มะม่วงออกช่อ

    ธรรมก็บันดาลบังเอิญให้ช่อมะม่วงออกมา(ในเวลา)ไม่ใช่ฤดูกาล (ประมาณข้างขึ้นเดือน ๔) ช่อมะม่วงที่ออกมานั้น มีผู้รู้ผู้เห็นหลายคน (คุณนายถนอม เอื้อวิทยา พี่คุณนายถนอม และคุณแกมแก้ว จันทมาศ) กิ่งหนึ่งออกมา ๙ ช่อ อีกกิ่งหนึ่ง ๓ ช่อ ยาวประมาณ ๒ นิ้วเศษ เวลาประมาณ ๕ ทุ่ม หมดเขตอธิษฐาน ช่อก็หดหายเข้าไปในต้น

    เมื่อเล่าเรื่องช่อมะม่วงจบแล้ว ข้าพเจ้าเห็นดอกไม้ในพานและแจกันที่โต๊ะบูชาพระอย่างมากมาย ครั้นจะขอดอกไม้โดยตรงก็ขัดกับพระวินัย เพราะผู้นี้มิใช่ญาติและปวารณาเอาไว้ เลยนึกไปถึงเรื่องพระรัฐบาลเป็นบุตรเศรษฐี ท่านเป็นพระบวชใหม่ ไปบิณฑบาตตามสมณวัตร เห็นนางปุณณทาสี ซึ่งเป็นคนใช้ในบ้านของท่านเอง ได้เดินผ่านหน้าท่าน จะนำขนมบูดไปเททิ้ง

    ท่านกล่าวว่า "ขนมบูดนี้มีอันจะเททิ้งเป็นธรรมดาแล้ว จงใส่ลงในบาตรของอาตมาเถิด"

    ส่วนเรื่องของดอกไม้เล่า จะพูดอย่างไร จึงพูดเป็นเชิงปรารภขึ้นว่า ดอกไม้มากๆ อย่างนี้ บูชาพระแล้วจะเอาไปทำอะไร?

    อุบาสิกาตอบว่า "เททิ้ง"

    "ถ้าเททิ้ง ขอให้อาตมาได้ไหม?"

    "จะเอาไปทำอะไร?"

    ตอบ "บดทำเป็นผงสร้างพระ เนื่องด้วย ออกพรรษาปีนี้ (พ.ศ. ๒๔๙๔) คุณนายทองศุข เยาวนัช กับคุณนายบุญเรือน ศิวดิษฐ์ เป็นหัวหน้า จะถวายผ้ากฐินสามัคคี เพื่อรวบรวมทุนสร้างเตาเผาศพ เข้าใจว่าจะมีคนมามาก ทางวัดจะสร้างพระเล็กๆ สำหรับแจกเป็นของขวัญกับผู้ไปร่วมกุศล"

    เมื่อทราบความประสงค์ ก็พลอยอนุโมทนา และรับจะอธิษฐานดอกไม้ให้ ๙ เสาร์ พร้อมด้วยน้ำอธิษฐาน สำหรับพิมพ์พระอีกด้วย และกล่าว่าถ้าจะสร้าง ควรทำไว้มากๆ และต้องให้ดิฉันหนึ่งหมื่น จะอธิษฐานพระองค์เล็กๆ ให้เฉพาะวัดอาวุธฯ และจะทำหนเดียวเท่านั้น พูดคล้ายกับพูดเล่น

    ข้าพเจ้าถือโอกาสพูดขึ้นว่า "ต้นมะม่วงเล็กนิดเดียว ปลูกเพียง ๑๓ เดือน ยังอธิษฐานให้ออกช่อได้ อธิษฐานพระทำไมจะไม่ศักดิ์สิทธิ์เล่า ต้องศักดิ์สิทธิ์ซิ"

    เมื่ออุบาสิกาบุญเรือนฯ รับว่าจะอธิษฐานให้แล้ว ต่อมาจึงกำหนดวันเริ่มสร้างให้ ซึ่งตรงกับวันจันทร์ ตรี วันจันทร์ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๕ ตรงกับวันที่ ๙ เมษายน ๒๔๙๔ เวลา ๘.๓๕ น. เป็นฤกษ์งาม จึงเริ่มทำพิธีพิมพ์พระในพระอุโบสถ พระสงฆ์สวดชัยมงคล ทำการพิมพ์อยู่เป็นเวลา ๑๕๒ วัน กำหนดว่าจะอธิษฐานวันออกพรรษาในปีนั้น แต่ท่านผู้อธิษฐานให้ธรรมบันดาลกำหนดเวลาให้เอง โดยอธิษฐานว่า ถ้าช่อมะม่วงออกมาอีก จะอธิษฐานในเดือน ๑๐ ถ้าไม่มีช่อออก จะอธิษฐานในวันออกพรรษา

    แต่ธรรมบันดาลให้ช่อมะม่วงปรากฏออกมาอีก ส่วนช่อที่บ้านมีกลิ่นหอมชื่นใจ หลายคนต่างพากันรับรองว่า ไม่ใช่กลิ่นมะม่วงธรรมดา พากันแปลกใจ ไม่รู้ว่าหอมเหมือนกลิ่นดอกไม้อะไร จึงเก็บช่อมะม่วงเหล่านั้นมาผสมลงในเกสรที่สร้างพระคราวนี้ด้วย

    ได้กำหนดเริ่มทำพิธีอธิษฐานในวันขึ้น ๑๑, ๑๒, ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ตรงกับวันที่ ๑๑, ๑๒, ๑๓ กันยายน ๒๔๙๔ เปิดโอกาสให้สานุศิษย์และประชาชนบำเพ็ญกุศลร่วมกัน

    วันที่ ๑๑ พระสงฆ์ ๑๕ รูป เจริญพระพุทธมนต์ ถวายภัตตาหารเพล

    วันที่ ๑๒ คล้ายวันแรก แต่มีแปลกจากวันก่อนบางประการ สำหรับวันนี้ ห้ามผู้หญิงเข้าในเขตชายคาบ้านเป็นอันขาด ให้มีแต่ชายล้วน แม้ผู้อธิษฐานเอง ก็ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องตั้งแต่อรุณขึ้น จนถึงพระอาทิตย์ตก ถึงตอนค่ำ อุบาสิกาบุญเรือนจึงได้มาอธิษฐานให้ในคืนวันนั้น

    วันที่ ๑๓ คณะอุบาสิกา (คนนุ่งขาว) สวดถวายพรพระ แล้วมีการเลี้ยงอาหารเพล เป็นอันเสร็จพิธี

    ในงานนี้ มีผู้ไปช่วยบำเพ็ญกุศลอย่างล้นหลาม ถ้าจะเทียบกับเรื่องของคนมากในวันต้น จงดูในวันตรุษจีนที่คนจีนเขาไปไหว้เจ้า จะไม่ผิดแผกอะไรกันนัก อาหารการบริโภคที่ถวายพระ หยิบถ้วยละหนึ่งคำก็แทบอิ่ม

    พระชุดนี้สำเร็จได้ด้วยอธิษฐานให้พระธรรมบันดาลขึ้นเอง (ไม่ใช่เสก) ผสมด้วยวัตถุต่างๆ มี ว่าน เกสรดอกไม้ อธิษฐาน ๙ เสาร์ ผงพระเก่าๆ และผงพระธรรมใบลานสุมไฟ ถวายพระนามว่า "พระพุทโธ" มีอักษรขอมปรากฏอยู่ด้านหลัง สร้างขึ้นเป็นจำนวนประมาณหนึ่งแสนองค์

    ขณะที่กำลังสร้างพระ ข้าพเจ้าไปที่บ้านอุบาสิกาบุญเรือนฯ อุบาสิกาบุญเรือนฯ จึง(บอกว่า)ให้ชื่อพระว่า "พระพุทโธ"

    ข้าพเจ้าจึงว่า เออ? ทำไมจึงมาคิดตรงกัน ซึ่งต่างก็ไม่ได้นัดหมายหรือปรารภกันไว้ก่อนเลย ไฉนจึงมาให้ชื่อตรงกันกับที่ข้าพเจ้าทำไว้ก่อน เป็นเรื่องที่น่าแปลกอยู่เหมือนกัน

    เมื่อเสร็จจากการอธิษฐานแล้ว จึงได้มอบพระให้หนึ่งหมื่นองค์ตามที่รับสัญญากันไว้ เพื่อถวายและแจกจ่ายไปในที่หลายแห่งคือ

    ๑. ถวายท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ วัดสัมพันธวงศ์ ครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระรัชชมงคลมุนี ๒,๐๐๐ องค์,

    ๒. มอบให้ตำรวจ ๑,๐๐๐ องค์,

    ๓. มอบให้ทหาร ๑,๐๐๐ องค์,

    ๔. ส่งไปภาคอีสานและลำปาง ๒,๐๐๐ องค์,

    ๕. ส่งไปเชียงใหม่ ๒,๐๐๐ องค์,

    ๖. สำหรับแจกผู้มาช่วยในพิธีอธิษฐาน ๒,๐๐๐ องค์

    ส่วนเหลือนอกจากนี้ถวายไว้กับวัดอาวุธฯ ทั้งหมด

    พระพุทโธศักดิ์สิทธิ์อย่างไร

    ข้าพเจ้าเป็นผู้ปรารถนาในองค์พระให้ทรงประสิทธิภาพ ที่มุ่งให้เกิดผลดลบันดาลแก่ผู้มีติดตัวไว้สักการบูชา ทางแคล้วคลาด เมตตามหานิยม เจริญโภคสมบัติ กำจัดโรคร้าย (ยกเว้นโรคกรรมโรคเวร)

    ผู้อธิษฐานพระชุดนี้ มีฤทธิ์ทางใจเพียงใดนั้น ย่อมปรากฏแก่ผู้รู้เห็นนับด้วยจำนวนไม่น้อย ถ้าประสงค์จะรู้ความจริง จงดูบันทึกรับรองของท่านทั้งหลาย ใน หนังสือพระพุทโธองค์ใหญ่ จะทราบได้โดยตลอด

    สำหรับพระพุทโธองค์เล็ก ผู้ที่ได้รับแจกไปแล้ว ได้รับผลอันเป็นที่พึงพอใจต่างๆ กัน และใครอยู่ที่ไหนไม่สามารถจะบันทึกให้ครบถ้วนได้ เพราะมีจำนวนหลายหมื่นคนด้วยกัน ทั้งมีหน้ากระดาษจำกัด ข้อสำคัญ ความศักดิ์สิทธิ์ย่อมปรากฏกับผู้เลื่อมใสศรัทธาจริงๆ

    บางคนเห็นเขาได้พระพุทโธไว้ ท่านก็อยากได้กับเขาบ้าง แล้วไม่นำติดตัวไป ไม่หมั่นอธิษฐานให้เป็นอนุสติประจำใจแล้วไซร้ จะโทษพระพุทโธไม่ได้ เพราะใจของท่านมีศรัทธาเลื่อนลอย ผลอันจะพึงได้ก็เลื่อนลอยเช่นกัน

    โดยเฉพาะคำว่า "พุทโธ" เป็นของมีคุณเกินค่าอยู่แล้ว ถ้ามีพุทโธเกิดขึ้นกับใจแล้ว จะให้ผลดียิ่งขึ้นถึงขนาดไหน ย่อมปรากฏด้วยตนเอง

    อนึ่งในการสร้างพระพุทโธองค์เล็กครั้งนี้ อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติมรับอุปการะกิจกรรมจนเสร็จงาน

    นายชอบ ศรีดี รับภาระหล่อพิมพ์รูปพระทั้งหมด (ปัจจุบันอุปสมบทแล้ว)

    ภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา ช่วยกันพิมพ์

    บริษัทเอื้อวิทยา บริจาคปูนซีเมนต์ขาว ๕ ถุง หินละเอียด ๓ ถุง

    คุณนายบ๊วย ศิวพฤกษ์ รับพิมพ์ประวัติพระพุทโธองค์ใหญ่ ที่วัดสัมพันธวงศ์ จึงได้ขอประวัติหลวงพ่อพระพุทโธองค์เล็ก ไปรวบรวมพิมพ์ไว้ด้วย

    ขออัญเชิญอำนาจความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทโธ ที่อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม อธิษฐานให้พระธรรมบันดาลขึ้น ณ ครั้งนี้ จงประสิทธิ์ประสาทให้บรรลุผลของบุคคลที่ปรารถนาในทางที่ชอบจงทุกประการเทอญ

    โฆสโกภิกขุ

    วัดอาวุธวิกสิตาราม ธนบุรี

    ๑๔ ธันวาคม ๒๔๙๕​


    ในเรื่องการอธิษฐานจิต พระพุทโธน้อยของคุณแม่บุญเรือนนั้น ในเรื่องนี้คุณแม่บุญเรือนก็ได้บันทึกไว้เอง ในบันทึกเรื่อง "เรื่องพระประธาน วัดสารนาถธรรมาราม" ไว้ดังต่อไปนี้

    "ต่อมาในเดือน ๔ (๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๔ ) ดิฉันอยู่ที่บ้านสามัคคีวิสุทธิ มีคุณนายถนอม เอื้อวิทยา ได้ทำเทียนวันเกิดของคุณกมล เอื้อวิทยา (บุตรชายคนโตของนางถนอม) มาจุดบูชาพระ ดิฉันจึงถือโอกาสให้คุณนายถนอมและพี่คุณนายถนอม (นางต่วน เศรษฐบุตร) และคุณแกมแก้ว จันทมาศ (ภรรยาหลวงสุภีร์อุทกการ (สุภีร์ จันทมาศ) ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยคนแรก และเป็นพี่สาวนายไสว ศรีงาม หรือ หลวงตาไสว สิวญาโณ แห่งวัดสวนโมกขพลาราม ศิษย์ของคุณแม่อีกท่านหนึ่ง) ให้ตรวจต้นมะม่วงที่ปลูกไว้ ๑ ปี กับ ๑ เดือนว่าจะออกช่อได้ไหม คุณทั้ง ๓ ก็ดู คุณแกมแก้วยืนยันว่า เห็นจะออกไม่ได้เพราะต้นยังเล็กมาก

    ในค่ำวันนั้นดิฉันก็ถือโอกาสตั้งสัจจะอธิษฐานว่า โดยความมั่นในศรัทธาของข้าพเจ้ามิได้ท้อถอย จะช่วยพระเดชพระคุณท่านหล่อพระประธานให้สำเร็จให้ได้ และตามที่เขาว่ากันว่า ศาสนากำลังจะคอดเป็นประดุจคอสากนั้น ถ้าศาสนาจะเสื่อมลงไปอย่างเขาว่า ก็ขอมะม่วงต้นนี้อย่าได้ออกช่อเลย ถ้าข้าพเจ้าจะช่วยในด้านศาสนาได้บ้าง และพระประธานที่พระเดชพระคุณหล่อนี้จะศักดิ์สิทธิ์ ก็ขอให้มะม่วงซึ่งปลูกด้วยเม็ดเพียง ๑๓ เดือนให้ออกช่อ และให้บานในคืนวันพุธนั้น สำหรับกิ่งหนึ่งเป็นการช่วยชาติให้เจริญ อีกกิ่งหนึ่งสำหรับทางศาสนา ถ้าจะเจริญได้ทั้งทางโลกและทางธรรม ก็ขอให้ออกช่อทั้ง ๒ กิ่ง เขตอธิษฐานหมดเพียง ๕ ทุ่มของวันพฤหัสบดีเท่านั้น จะได้เป็นพยานแห่งความจริง เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ประจักษ์ว่า ศาสนากำลังจะเจริญอยู่ได้

    พอรุ่งเช้า ดิฉันออกไปดูที่ต้นมะม่วงนั้น ทางด้านโลกกิ่งเดียวที่แยกออกมาจากทางกิ่งของศาสนา ได้ออกช่อมาอย่างงดงามตรงยอดๆ เดียวถึง ๙ ช่อ บาน ๕ ช่อ ที่ยังไม่บาน ๔ ช่อสลับกัน ช่อยาวประมาณ ๒ นิ้วฟุตเศษ มีกลิ่นหอมคล้ายดอกพิกุล ส่วนอีก ๓ ช่อนั้นออกตามกิ่งเรียงกันเป็นแถว ทางด้านศาสนาดังที่อธิษฐานไว้ ดิฉันก็ได้เรียนให้ท่านเจ้าคุณท่านทราบไว้เหมือนกัน และใครๆ ก็ได้มาดู

    ต่อมาถึงวันอาทิตย์ขึ้น ๑๑ ค่ำเดือน ๔ (๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๔) ดิฉันก็ได้นำเครื่องบวชเด็กเป็นเณร ไปให้ท่านพระครูนิเทศธรรมจักรบวชเณร เพราะดิฉันได้อธิษฐานไว้ว่า จะช่วยหล่อพระประธานในเดือน ๔ นั้น ไม่ได้หล่อ เพราะมาหล่อเสียในเดือน ๓ ดิฉันจึงบวชเณรแทนการหล่อพระ เพราะเวลาพระท่านให้ศีลเณรนั้น ท่านต้องให้ว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ฯลฯ ดิฉันถือเอาว่า รูปพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกิดขึ้นแล้วพร้อมทั้งเณรด้วย

    รุ่งขึ้นวัน ๑๒ ค่ำ เดือน ๔ ตรงกับวันจันทร์ (๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๔) ดิฉันได้ไปแผ่กุศลให้คุณนายน้อม มากีดาราล ที่ซอย ๑๑ ซึ่งเขาให้ไตรมาบวชเณร บังเอิญดอกประดู่ที่บ้านเขาบานเต็มต้น เขาได้ให้คนใช้เก็บให้ดิฉันมาหอบใหญ่ ดิฉันก็นำมาถวายพระ จัดใส่แจกันไว้ที่โต๊ะบูชาเต็มทุกแจกัน

    ในวันนั้นบังเอิญท่านพระครูธรรมธร เจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม ได้มาที่บ้านดิฉัน โดยการนำคนไข้มาเพื่อให้รักษา ท่านได้พูดขึ้นว่า อาตมาเห็นดอกไม้บนที่บูชามาก ดิฉันเรียนกับท่านว่า วันนี้วันดี ดิฉันได้อธิษฐานดอกประดู่นี้ไว้ว่า ให้เป็นประโยชน์ในการที่ใครได้มาไหว้พระ และได้พบเห็นจะได้มีความสุขความเจริญ ท่านพระครูพูดขึ้นว่า ดอกไม้นี้จะนำไปไหนเล่า ดิฉันก็ตอบว่า “ก็เททิ้ง” ท่านบอกว่า ถ้าอาตมาจะขอได้ไหม ดิฉันก็ตอบว่า ท่านจะขอไปทำอะไร ท่านเลยเล่าว่า คุณนายบุญเรือนเขาจะมาทอดกฐินสามัคคี ที่วัดอาวุธฯ อาตมาจะเอาไปทำพระเพื่อแจกในวันกฐินนั้น แล้วท่านกล่าวขึ้นว่า อาตมาทำแล้วจะนำมาให้อธิษฐานจะได้ไหม ดิฉันก็สัพยอกกันท่านว่า ดิฉันจะอธิษฐานครั้งเดียวไม่อธิษฐานให้ใครนอกจากวัดอาวุธฯ เท่านั้น (คืออธิษฐานพระ)

    ท่านเลยพูดขึ้นว่า แต่มะม่วงนิดเดียวเท่านี้ยังอธิษฐานให้ออกช่อได้ แล้วทำไมอธิษฐานพระจะไม่ศักดิ์สิทธิ์หรือ ต้องศักดิ์สิทธิ์ซี เลยกลายเป็นเรื่องจริงขึ้น ดิฉันได้พูดไปแล้วก็เลยต้องรับอธิษฐานให้ท่าน แต่ดิฉันบอกว่า แล้วแต่ท่านจะปรารถนาเอาเอง และต้องนิมนต์พระมาสวดช่วยดิฉัน ๒ เวลา คือพระมหานิกาย ๑ เวลา แล้ววันรุ่งขึ้นนิมนต์พระธรรมยุตต์มาสวดอีก ๑ เวลา ถวายอาหารเพลทั้ง ๒ วัน แต่ส่วนวันที่พระธรรมยุตต์มานั้น ดิฉันห้ามไม่ให้พวกผู้หญิงมาบนบ้านสามัคคีวิสุทธิ ที่อนุญาตให้แต่ผู้ชายเท่านั้น ตลอดกระทั้งดิฉันเองซึ่งเป็นผู้หญิง ก็ไปอาศัยรับแขกที่บ้านนายพัธนี พรพิบูลย์ ซึ่งมีบริเวณติดกัน เมื่อเลี้ยงอาหารและพวกอุบาสกไปหมดแล้ว ดิฉันจึงได้เข้ามาในบ้านสามัคคีฯ แต่ผู้เดียว เพื่ออธิษฐานพระพุทโธองค์เล็กในค่ำวันนั้น ๖ ชั่วโมง ดิฉันได้นั่งปลงสังขารรวมทั้งสวดมนต์และถวายพรพระด้วย ก็เป็นอันว่าตลอดคืน ดิฉันไม่ได้นอน รุ่งขึ้นก็มีการฉลองเลี้ยงพระแม่ชี ๑๓ คน และเลี้ยงพวกผู้หญิงหลายสิบคน เป็นอันเสร็จพิธีเรื่องพุทโธองค์เล็ก"


    “พระพุทโธน้อย” นี้ปรากฏว่าได้กลายเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ในระยะต่อมาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งด้านเมตตามหานิยม ป้องกันภัย แคล้วคลาด เจริญโภคสมบัติ กำจัดโรคร้าย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2014
  15. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,851
    ค่าพลัง:
    +84,191
    เข้านิโรธครั้งแรก


    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xHg00wIUlm9UOYPM" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/gf7/97rkHX.jpg" /></a>​


    ในวันที่ ๒๐ กันยายน ปีนี้ ที่บ้านสามัคคีวิสุทธิ ถนนวิสุทธิกษัตริย์ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้เข้านิโรธ อธิษฐานให้มะม่วงออกช่อออกลูกได้ภายในคืนเดียว โดยกิ่งหนึ่งของต้นมะม่วงบุญเรือนอธิษฐานออกช่อเป็นรูปปิ่นปักผม

    การเข้านิโรธครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในจำนวนทั้งสิ้น ๔ ครั้งที่ท่านได้เข้านิโรธสมาบัติ โดยท่านได้กระทำ ณ สถานที่ดังต่อไปนี้

    ๑. บ้านสามัคคีวิสุทธิ ที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ พ.ศ. ๒๔๙๖

    ๒. พระพุทธบาท สระบุรี ต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๘

    ๓. บ้านนาซา ระยอง พ.ศ. ๒๔๙๘

    ๔. พระแท่นดงรัง กาญจนบุรี พ.ศ. ๒๔๙๙

    ผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติได้ ต้องเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ดังจะกล่าวต่อไป นี้ คือ

    ๑. ต้องเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์

    ๒. ต้องได้ฌานสมาบัติทั้ง ๘ กล่าวคือ ต้องได้รูปฌาน และ อรูปฌานด้วย ทุกฌาน

    ๓. ต้องมีวสี ชำนาญคล่องแคล่วในสัมปทา คือ ถึงพร้อมสี่ประการ ได้แก่

    ก. มีสมถพละ และวิปัสสนาพละ คือ มีสมาธิ และปัญญาเป็นกำลัง ชำนาญ

    ข. ชำนาญในการระงับกายสังขาร ชำนาญใน การระงับ วจีสังขาร ชำนาญในการ ระงับจิตตสังขาร

    ค. ชำนาญใน โสฬสญาณ (คือ ญาณทั้ง ๑๖)

    ง. ชำนาญใน ฌานสมาบัติ ๘ มาก่อน

    ดังนี้จะเห็นได้ว่า การเข้านิโรธสมาบัติ จำเป็นต้องใช้กำลังทั้ง ๒ ประการ คือ กำลังสมถภาวนา ต้องถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน และกำลังวิปัสสนาก็ต้องถึง ตติยมัคคเป็นอย่างต่ำ กล่าวคือ ต้องใช้ทั้งกำลังสมาธิ และกำลังปัญญาควบคู่กันด้วย

    ๔. ต้องเป็นบุคคลในภูมิที่มีขันธ์ ๕ (คือ ปัญจโวการภูมิ) เพราะในอรูปภูมิ เข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ ด้วยเหตุว่าไม่มีรูปฌาน พระอนาคามี หรือ พระอรหันต์ ที่ได้สมาบัติทั้ง ๘ อันเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ดังกล่าวแล้ว
     
  16. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,851
    ค่าพลัง:
    +84,191
    เข้านิโรธครั้งที่ 2
    พ.ศ. ๒๔๙๘ เข้านิโรธประจุธรรมลงถุงเขียวเหนี่ยวทรัพย์



    [​IMG]


    ในช่วงต้นปี ๒๔๙๘ นี้ คุณแม่บุญเรือนได้ไปที่ พระพุทธบาท วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร จ.สระบุรี ได้ไปกราบนมัสการและเข้านิโรธสมาบัติอธิษฐานสิ่งมงคลสักการะที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุดอย่างหนึ่งของท่าน อันได้แก่ "ถุงเขียวเหนี่ยวทรัพย์" อันยิ่งยงด้วยลาภสักการะอย่างยวดยิ่ง และได้มีการแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่ศรัทธาและเลื่อมใสในตัวคุณแม่บุญเรือนเป็นครั้งแรก และการเข้านิโรธสมาบัติของคุณแม่ฯ ในครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๒ ของการเข้านิโรธสมาบัติรวมทั้งสิ้น ๔ ครั้งในชีวิตของท่าน โดยครั้งที่ ๑ ได้กระทำ ณ บ้านสามัคคีวิสุทธิ ที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ ใน พ.ศ. ๒๔๙๖

    ในการอธิษฐานถุงเขียวเหนี่ยวทรัพย์ที่วัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรีนี้ ศิษย์คนหนึ่งของท่านคนหนึ่งคือ คุณสุจริต ถาวรสุข ซึ่งเป็นผู้เรียบเรียงประวัติของคุณแม่บุญเรือน พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ณ วัดธาตุทอง ด้วย ซึ่งขณะนั้นท่านรับราชการเป็นผู้พิพากษาอยู่ที่จังหวัดสระบุรีก็ได้เข้าร่วมพิธีและยังได้รับแจกถุงขาวจากคุณแม่อีกด้วย
     
  17. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,851
    ค่าพลัง:
    +84,191
    เข้านิโรธสมาบัติครั้งที่ 3
    คุ้มครองถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่บ้านนาซา จ.ระยอง



    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/jRgD" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/20d/pOQJn.jpg" /></a>


    ราวเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมได้ปรารภกับศิษยานุศิษย์ของท่านว่า

    "มีใครเป็นห่วงพระเจ้าแผ่นดินองค์น้อย (ในหลวง) บ้าง..??"

    เมื่อทุกคนกล่าวรับว่าเป็นห่วงเนื่องจากมีข่าวที่น่าเป็นกังวลมาให้ได้ยินอยู่

    คุณแม่บุญเรือนก็ว่าต่อไปอีกหน่อยว่า

    "ถ้าเป็นห่วง ก็ขอให้แม่อธิษฐานช่วยพระองค์ท่านซิ"

    (ตามอริยประเพณี พระอริยะจะทำการสิ่งใดโดยปราศจากเหตุ หรือไม่มีผู้อาราธนามิได้)

    เมื่อศิษย์ทุกคนกล่าวคำขอให้คุณแม่ใช้อิทธิฤทธิ์ช่วยในหลวง ให้ทรงพระเจริญและแคล้วคลาดจากสรรพภยันตรายทั้งปวงแล้ว

    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมจึงได้กำหนดที่จะไปเข้า "นิโรธสมาบัติ" คุ้มครองถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่บ้านนาซา (เป็นเคล็ดให้เรื่องร้าย "สร่างซา"ลงไป) ของนางสาววาย วิทยานุกรณ์ (น้องสาวพระมหารัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ในขณะนั้น) (เป็นเคล็ดให้เรื่องราวที่ไม่ดีมีอันต้อง "วาย" หายสูญไป) ที่ปากน้ำประแสร์ จ.ระยองเป็นเวลาถึง ๑ ปีเต็ม

    การเข้านิโรธสมาบัติของคุณแม่ฯ ในครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๓ ของการเข้านิโรธสมาบัติรวมทั้งสิ้น ๔ ครั้งในชีวิตของท่านโดยช่วงนั้นคุณแม่บุญเรือนได้สั่งห้ามมิให้ศิษย์คนใดเข้ามารบกวนท่านในช่วงเวลานั้นเป็นอันเด็ดขาด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2014
  18. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,851
    ค่าพลัง:
    +84,191
    การไปเข้านิโรธสมาบัติครั้งสุดท้าย(ครั้งที่ 4)ของคุณแม่ฯ
    เข้านิโรธสมาบัติที่เชิงเขาถวายพระเพลิง


    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/xHgdEHYPd3QIXXjs" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/4be/BIgA8X.jpg" /></a>




    เมื่อคุณแม่บุญเรือนกับคณะได้เดินทางไปถึงพระแท่นดงรัง แม้จะเป็นเวลาค่อนข้างดึกอยู่ก็ตาม แต่ก็ยังมีผู้คนพลุกพล่านมากพอดู ด้วยกำลังอยู่ในช่วงเทศกาลนมัสการพระแท่นดงรังอยู่พอดี มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง มีทั้งที่มาจากตัวเมืองกาญจนบุรีเองหรือจังหวัดอื่นๆ ทั้งใกล้และไกล ซึ่งประเพณีนี้ ได้มีติดต่อสืบเนื่องกันมานานเป็นร้อยๆ ปีแล้ว....
    พอไปถึงวัดพระแท่นดงรัง คุณแม่บุญเรือนก็นำคณะศิษยานุศิษย์เข้าไปภายในวิหารพระแท่น ซึ่งมีหินแท่งทึบหน้าลาด รูปพรรณสัณฐานคล้ายกับแท่นหรือที่นอน ที่บรรดาชาวบ้านชาวเมืองต่างเชื่อว่า นี้แลคือสถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพานขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งนับเป็นศูนย์กลางหรือหัวใจหลักของปูชนียสถานแห่งนี้และภายในพระวิหารนี้เอง ยังมี "รอยพระพุทธบาทไม้แกะ" สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ซึ่งปูลาดและห่อหุ้มขอบข้างด้วย "ชินตะกั่วโบราณ" อายุนับได้กว่า ๑๕๐-๒๐๐ ปีประดิษฐานอยู่เคียงข้างกับ "พระแท่น" ด้วย อันเป็นที่มาแห่ง "ชินตะกั่วเก่า" ที่ทางวัดได้นำมาจัดสร้าง "พระนางพญา เนื้อชินตะกั่วโบราณ" นั่นเอง เมื่อเข้าไปนั่งเป็นที่เรียบร้อยกันเป็นอย่างดีแล้ว คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมก็จุดธูปเทียนถวายเป็นพุทธบูชา แล้วท่านก็นำไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ค่ำอีกครั้ง หลังจากที่ได้สวดกันมาแล้วบนรถระหว่างเดินทางมาอีกจบหนึ่ง
    "อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา..ฯลฯ..."
    กระแสเสียงของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมอันกังวานชัดเจน ก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งวิหารพระแท่นดงรัง ขานรับด้วยสรรพสำเนียงสวดของเหล่าสานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนอีกจำนวนไม่น้อย ที่มานมัสการพระแท่นดงรังและถือโอกาสมาร่วมทำวัตรค่ำกับคณะ "สามัคคีวิสุทธิ" ด้วยในคืนค่ำดึกสงัดของวันเพ็ญมาฆมาส กล่าวกันว่า เสียงที่เจริญพระพุทธมนต์ในคราวนั้น ดูจะดังหนักแน่นและกึกก้องกังวานเป็นพิเศษ ยิ่งกว่าวันเวลาในครั้งไหนๆ ที่ผ่านมาแล้วทั้งสิ้น การทำวัตรสวดมนต์ในวิหารพระแท่นดงรังในยามนั้น เล่ากันว่า ออกจะมีรสชาติสนุกสนานเบิกบานในธรรมเป็นพิเศษ ไม่มีการสวดมนต์ครั้งใดจะเสมอเหมือนเลยทีเดียวและเมื่อเสร็จจากการทำวัตรสวดมนต์ ณ วิหารพระแท่นดงรังในคืนนั้นแล้ว คุณแม่บุญเรือนก็นำคณะศิษย์ตรงไปยังเขาถวายพระเพลิง ซึ่งอยู่ห่างจากวิหารพระแท่นดงรังไปทางทิศตะวันตกไม่ไกลนัก มีบุคคลภายนอกติดตามไปด้วยเป็นจำนวนมากพอดู


    "เขาถวายพระเพลิง" นี้ เป็นจุดที่สำคัญยิ่งอีกแห่งหนึ่งของวัดพระแท่นดงรัง มีลักษณะเป็นเนินเขาย่อมๆ สูงประมาณ ๕๕ เมตร บนยอดเนินนี้มีมณฑปทรง ๑๒ เหลี่ยม ภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง กล่าวกันว่า มณฑปนี้ สร้างครอบเชิงตะกอนที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระคราวเสด็จดับขันธปรินิพพานและ ณ เชิงเขาถวายพระเพลิงนี่เอง คุณแม่บุญเรือนได้กระทำพิธี "เข้านิโรธสมาบัติ" อยู่เป็นเวลา ๑๕ นาที อันเป็นการเข้า "นิโรธสมาบัติแบบพิเศษ" ที่ไม่ซ้ำแบบหรือเหมือนกับท่านผู้ใดทั้งสิ้น (ที่ปกติจะเข้ากัน ๗ วัน) เชื่อกันว่า การเข้านิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือนนี้ เป็นปฏิปทาหรือแนวทางในการช่วยเหลือศิษยานุศิษย์ของท่าน โดยเมื่อคุณแม่บุญเรือนคิดจะ "อนุเคราะห์" ช่วยเหลือเขาเหล่านั้นเป็นพิเศษเมื่อใด ในโอกาสที่ได้ไปประกอบพิธีกรรมทางสถานที่สำคัญต่างๆ คุณแม่บุญเรือนก็จะมีการเข้านิโรธสมาบัติ ณ ที่นั้นตามสมควร ซึ่งตามที่มีการเล่าขานมา การเข้านิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือน จะมีทั้งหมดเพียง "๔" ครั้งเท่านั้น โดยมีการเข้านิโรธฯ ที่วัดพระแท่นดงรังเมื่อคืนวันเพ็ญ เดือน ๔ ปีพ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นครั้งสุดท้ายที่สุดดังกล่าว แม้คุณแม่บุญเรือน จะไปเข้านิโรธสมาบัติที่เชิงเขาถวายพระเพลิง ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากวิหารพระแท่นดงรังหลายสิบเมตรอยู่ แต่เพราะเหตุที่ "อำนาจจิต" ย่อมไม่อาจมีสิ่งใดกีดกั้น สมดังที่หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีเคยกล่าวเอาไว้ว่า "แม้ภูเขาหนานับเป็นแสนโยชน์ ( ๑,๖๐๐,๐๐๐ กิโลเมตร) ก็กั้นพลังจิตไว้ไม่ได้" ประกอบกับที่วัดพระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรี แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่คุณแม่บุญเรือนได้เลือกที่จะเข้า "นิโรธสมาบัติ" เพื่อช่วยเหลือลูกๆ หลานๆ ของท่านให้สำเร็จประโยชน์เป็นครั้งสุดท้ายด้วยตัวของท่านเอง



    อานุภาพของพลังแห่งนิโรธสมาบัติ


    พลังงานแห่งจิตพระอริยเจ้าของคุณแม่บุญเรือน ขณะทรงอยู่ใน "สัญญาเวทยิทนิโรธ" หรือ "นิโรธสมาบัติ" ที่ทรงพลานุภาพอย่างมหาศาล ไม่มีสิ่งใดจะปิดกั้นต้านทาน จึงแผ่ซ่านครอบคลุมทุกสรรพสิ่งในเขตวัดพระแท่นดงรังไว้ทั้งสิ้น
    เรื่องนี้ แม้หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง พระอริยเจ้าชั้นสูงที่เคยเข้านิโรธสมาบัติมาหลายครั้งก็กล่าวรับรองว่า “พลังแห่งนิโรธสมาบัติ” นั้น จะครอบคลุมไปทั้งภูเขาท่านเลยทีเดียว ทุกคนทุกสรรพสิ่ง ก็ย่อมพลอยได้รับอานิสงส์ของพลังแห่ง "นิโรธสมาบัติ" ของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมในค่ำคืนวันนั้นไปทั้งสิ้นอย่างไม่มีใดต้องสงสัย ดังที่ได้ปรากฏเหตุแห่ง "ปาฏิหาริย์" ยืนยันการดังกล่าวกับตัวของ "ศิษย์" ของคุณแม่บุญเรือนท่านหนึ่ง ซึ่งแม้จะนั่งอยู่ห่างๆ แต่เมื่อโดนอัดด้วยกระแสพลังนิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือนเข้าอย่างจัง ทำให้ "ศิษย์" คนนั้น ถึงกับได้ "ตาทิพย์" มองเห็นสิ่งอันพ้นวิสัยมนุษย์สามัญจะพึงเห็นได้ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ในวันที่คุณแม่บุญเรือนเข้านิโรธสมาบัติครั้งสุดท้าย ที่วัดพระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรีนั้นเอง ก็ได้ปรากฏเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดกับบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะ "สามัคคีวิสุทธิ" ที่ติดตามคุณแม่บุญเรือนไปยังวัดพระแท่น ดงรังในคราวเดียวกันนั้นนั่นเอง ซึ่งมีชื่อว่า "นายผัน" ชาวตำบลย่านยาว อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี (ถึงแก่กรรมไปหลายปีแล้ว) นายผันผู้นี้ มีอาชีพเป็นแพทย์ประจำตำบล ผู้คนจึงนิยมเรียกกันจนติดปากว่า "หมอผัน"
    "หมอผัน" หรือนายผันได้เล่าให้บรรดาพรรคพวกเพื่อนฝูงที่เดินทางไปด้วยกันฟังว่า ขณะที่คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมกำลังเข้านิโรธสมาบัติอยู่นั่นเอง ตัวเขาก็ได้นั่งสมาธิในจุดที่ไม่ห่างไกลไปพร้อมกันด้วยฉับพลันนั้นเอง โดยไม่คาดฝันมาก่อน ก็ได้ มีลำแสงชนิดหนึ่ง พุ่งออกมาจากร่างของคุณแม่บุญเรือนตรงมายังตัวของหมอผันที่กำลังนั่งสมาธิ อยู่นั้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงปานสายฟ้าฟาด!
    และ พอลำแสงแห่งนิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือนมากระทบตัวกับหมอผันเพียงเท่านั้น ก็เกิดแสงสว่างโชติช่วงชัชวาลในตัวของเขาในบัดดลนั้นเอง!
    และในทันใด หมอผันก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆที่เร้นลับ นอกเหนือสายตาปกติของมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปจะเห็นได้ "หมอผัน" จึงกลายเป็นคนได้ "ตาทิพย์" ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ด้วยอำนาจ "นิโรธสมาบัติ" ของคุณแม่บุญเรือนในบัดเดี๋ยวนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2014
  19. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,851
    ค่าพลัง:
    +84,191
    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/x5fArDY59Z7hvLUq" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/f2b/lTmIHv.JPG" /></a> ​

    ศิลาน้ำ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นของแทนตัวท่านเมื่อวายชนม์ไปแล้ว เมื่อใช้ศิลาน้ำใส่ในน้ำ น้ำนั้นก็จะเป็นน้ำอธิษฐานดื่มกินรักษาโรคได้ และป้องกันภัยอันตรายทั้งปวงได้ด้วย หากนำไปใส่ปูน ปูนนั้นก็เป็นปูนอธิษฐาน รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ดี

    ศิลาน้ำที่ท่านแจกจ่ายไปแล้วนั้น ต้องนำไปแช่น้ำไว้เสมอ ห้ามนำไปแกะ ขูด ถู หรือเจียรนัย หากนำไปทำหัวแหวนก็ใช้ป้องกันภัยได้อย่างล้ำเลิศ


    ข้อความส่วนหนึ่งที่บันทึกอยู่ในหนังสือคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อนุสรณ์
     
  20. nott17

    nott17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,432
    ค่าพลัง:
    +20,663
    กราบคุณแม่บุญเรือนด้วยความเคารพครับ
    สวัสดีพี่เชษฐ์ พี่น้องทุกท่านครับ
    ขอให้มีความสุขกับวันหยุดพักผ่อนนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...