พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ )

    http://72.14.235.104/search?q=cache:...h&ct=clnk&cd=7


    [​IMG]

    สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์ นามเดิม เจริญ สุขบท เกิดในรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2415 ที่จังหวัดชลบุรี เป็นบุตรนาย ทองสุก และนางย่าง

    เมื่ออายุ 8 ปี ได้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณชลโธปมคุณมุณี (พุฒ ปุณณกเร) ปฐมวัยอาวาสวัดเขาบางทราย

    เมื่ออายุ 12 ปีได้บรรพชาที่วัดเขาบางทราย และเข้าศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดราชบพิธอุปสมบทเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2435 ที่วัดเขาบางทราย จังหวัดชลบุรี พ.ศ.2439 ได้ศึกษาพระวินัยปิฎกในสำนัก สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่วัดเทพศิรินทราวาส

    "ตาบุญ (พระยาธรรมปรีชา) ผู้เป็นอาจารย์สอนบาลีของ
    เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มอบช้างเผือกส่งเข้ามาให้ "
    สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยา วชิรญาณวโรรส ออกพระโอษฐ์รับสั่งเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร) สอบไล่ภาษาบาลี ในมหามงกุฎราชวิทยาลัยได้ที่ 1ทุกชั้นเป็นลำดับมา

    พ.ศ.2441 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระราชาคณะที่พระอัมราภิลักขิต เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลปราจีนบุรี ต่อมาได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสได้เลื่อนสมณศักดิ์เรื่อยมา

    พ.ศ.2471 โปรดให้สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

    พ.ศ.2476กรรมการเถรสมาคมมีมติให้ท่าน เป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระสังฆราชเจ้าซึ่งสิ้นพระชนม์ ประมวลเกียรติคุณพิเศษสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร)เป็นพระเถระบริหารงานพระศาสนาถึง 5 แผ่นดิน คือแต่รัชกาลที่ 5-9 เป็นพระราชาคณะแต่อายุ 28 ปี เป็นสมเด็จพระราชาคณะแต่อายุ 57 ปี นับเป็นพระเถระที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พรรษาน้อยกว่า พระเถระหลายรูปเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส แต่อายุ 28 ปี ถึง 80 ปีรวม 53 ปี นับว่ายาวนานที่สุดไม่มีใครเทียบได้
    เมื่อสอบนักธรรม หรือบาลีจะสอบได้ที่ 1 ทุกชั้นทุกประโยคเป็นรูปเดียวในสังฆมณฑล ดำรงตำแหน่งแม่กองธรรมสนามหลวง แม่กองบาลีสนามหลวง องค์เดียวกัน
    ในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2494เวลา 10.30 น. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเระ)มรณภาพด้วยโรคเนื้องอกที่ตับรวมอายุได้ 80 ปี พรรษาที่ 59

    ความคิดเห็นส่วนตัวผม
    ท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ท่านบอกกับผู้ที่ไปกราบท่านว่า ขอให้ทุกๆวันได้ไหว้ 5 ครั้ง จะได้เป็นศิริมงคลกับตนเอง จะเหมือนกับชื่อของท่าน (เจริญ) ครับ ท่านเจ้าคุณนรเอง ก็มีความเคารพในท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ)มาก โดยท่านเจ้าคุณนรเอง เวลาเดินผ่านกุฎิของท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ)ทุกครั้ง ท่านเจ้าคุณนร ก็จะก้มลงกราบที่กุฎิอยู่ทุกครั้งครับ
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันที่ 14 สิงหาคม 2550
    ขอเพิ่มเติมเรื่องราว ไหว้ 5 ครั้ง
    http://www.saktalingchan.com/index.p...icle&Id=262016

    [​IMG]


    เจ้าพระคุณสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถร<O:p</O:p

    วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร<O:p</O:p



    <O:p</O:p
    1. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงนี้ เมื่อพระคุณท่านมีอายุเพียง 27 ปี มีพรรษา 7 ยั่งยืนตลอดมาเป็นเวลาช้านานถึง 53 ปีฯ<O:p</O:p
    2. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ นั้นมีอายุเพียง 56 ปี เท่านั้น ฯ<O:p</O:p
    3. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งธรรมเนียมการเทศนาธรรมในวันอาทิตย์ขึ้นเป็นแห่งแรก เริ่มเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2471 ติดต่อกันมาถึงปัจจุบันนี้ นับเป็นเวลา 45 ปี ล่วงแล้ว ฯ<O:p</O:p
    4. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ แลบัญชาการคณะสงฆ์โดยตรงสืบต่อมาเป็นเวลา 5 ปี ( ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 ถึง พ.ศ. 2481 ) ฯ<O:p</O:p
    5. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้ถวายพระธรรมเทศนามงคลวิเสสกถาติดต่อกันถึง 4 รัชกาล คือตั้งแต่รัชกาลที่ 6-7-8-9 เป็นเวลาถึง 25 ปี ฯ<O:p</O:p
    6. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มีสัทธิวิหาริก-อันเตวาสิก มากที่สุดถึง 6,666 องค์ ฯ<O:p</O:p
    7. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นต้นกำเนิดตำราไหว้ 5 ครั้งให้ศิษยานุศิษย์ปฏิบัติตาม หากผู้ใดไหว้ครบ 1 ปี เป็นกำหนด ผู้นั้นจักได้รับรูปที่ระลึกจากองค์ท่านด้านหน้าเป็นรูปองค์ท่าน ด้านหลังเป็นรูปยันต์ภควัม จากกรึกนามองค์ท่านเป็นอักษรย่อ โดยลำดับแห่งราชทินนามนั้น ๆ กระทั่งครั้งสุดท้ายได้จารึก 3 อักษรว่า พ.ฆ.อ. ซึ่งย่อจากราชทินนามว่า พุทธโฆษาจารย์ สมเด็จพระราชาคณะ ฯ<O:p</O:p
    8. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่มีอายุยืนยาวที่สุด คือ ท่านเจ้าคุณพระโศภณศีลคุณ ( หลวงปู่หลุย พาหิยเถร ) ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 23 ปัจจุบันอายุ 92 ปี พรรษา 67 ( เกิด 9 สิงหาคม 2426 ) ยังเดินลงโบสถ์ลงสวดมนต์ทำวัตรได้เป็นประจำทุก ๆ วัน เป็นพระเถราจารย์องค์สำคัญ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือยิ่งของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ<O:p</O:p
    9. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่ประพฤติปฏิบัติยอดเยี่ยม และเป็นพระเถระองค์สำคัญที่มีเกียรติคุณโด่งดังในปัจจุบัน คือ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ ธมมฺวิตกฺโก ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 1740 ฯ





    ไหว้ 5 ครั้ง<O:p</O:p

    ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์<O:p</O:p
    วัดเทพศิรินทราวาส<O:p</O:p



    <O:p</O:p
    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาใด ตามแต่เหมาะ ต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวกัน ถ้ามีดอกไม้ ธูปเทียน ก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประนมมือว่า นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสฺมพุทฺธสฺส ฯ 3 หน แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ อิติปิ โส ภควา อรห<SUP>°</SUP> สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสาน<SUP>° </SUP>พุทฺโธ ภควาติ ฯ หยุดระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตาม ของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ สฺวากฺขาโต ภควตา ธฺมโม สนฺทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺ จตฺต<SUP>°</SUP> เวทิตพฺโพ วิญฺญหีติ ฯ หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ ครั้งที่ 3ว่าสังฆคุณ คือ สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ ยทิทฺ จฺตตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐ ปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสฺงโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนฺยโย ทกฺขิเณยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรฺ ปุญฺญกฺเขตตฺ โลกสฺสาติ ฯ หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ นั่งพับเพียบประนมมือ ตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ พุทฺธ<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ธมฺม<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ สงฺฆ<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ฯ ทุติยมฺปิ พุทฺธ<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ทุติยมฺปิ ธมฺม<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ทุติยมฺปิ สงฺฆ<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ฯ ตติยมฺปิ พุทฺธ<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ตติยมฺปิ ธมฺม<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ตติยมฺปิ สงฺฆ<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ฯ ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผู้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์ และครูบาอาจารย์เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ <O:p</O:p
    ต่อนี้ไปไม่ต้องประนมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่องและร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพราก จากของรัก ของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้นพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณ มีบิดามารดาเป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือ พระมหากษัตริย์ ทั้งเทพดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ<O:p</O:p
    การไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้หนี้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยอมือไม่ขึ้นก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้ เป็นเครื่องหยุดตนให้เป็นคนดีไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดีไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอจนตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่งๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มชั้นของตน ฯ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ

    ปัจฉิมโอวาท
    ของ
    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรมหาเถระ
    วัดเทพศิรินทราวาส

    ไม่ตายควาวนี้ ก็ตายคราวหน้า อย่างเศร้าโศก เสียทีที่ศึกษาปฏิบัติมา ร้องให้เศร้าโศก ก็ร้องไห้เสร้าโศกสังขารที่
    เกิดแก่เจ็บตายนั้นเอง ที่ไม่ร้องไห้เศร้าโศกนั้นมิใช่จะเป็นคนใจไม้ใส้ระกำอะไร

    ธรรมของพระก็คือ
    สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
    สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
    ย่นลงก็ สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา แล้วปรินิพพาน
    ไม่ต้องเกิดมาแก่ มาเจ็บ มาตายอีก

    (มีบัญชาให้บันทึกไว้เมื่อเช้าวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๙๔)
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีการไหว้ ๕ ครั้ง ( มนต์พิธี )<O:p</O:p

    คนเราทุกคน ในวันหนึ่งๆ จะต้องไหว้ให้ได้ ๕ ครั้ง เป็นอย่างน้อยคือ ในเวลาค่ำใกล้จะนอน ตั้งใจระลึกถึงพระรัตนตรัยอันเป็นสรณะอันสูงสุดและท่านผู้มีพระคุณแก่ตน คือ มารดาบิดา และครูอาจารย์ โดยประนมมือ<O:p</O:p
    ๑. นมัสการพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า<O:p</O:p
    อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ กราบลงหนหนึ่ง<O:p</O:p
    ๒. ไหว้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่า<O:p</O:p
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ กราบลงหนหนึ่ง<O:p</O:p
    ๓. ไหว้พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ว่า<O:p</O:p
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ กราบลงหนหนึ่ง<O:p</O:p
    ๔. ไหว้คุณมารดาบิดา ว่า<O:p</O:p
    มัยหัง มาตาปิตูนังวะปาเท วันทามิ สาทะรัง กราบลงหนหนึ่ง<O:p</O:p
    ๕. ไหว้ครูอาจารย์ ว่า<O:p</O:p
    ปัญญาวุฑฒิกะเร เต เต ทินโน วาเท นะมามิหัง กราบลงหนหนึ่ง<O:p</O:p
    ต่อจากนั้น พึงตั้งใจแผ่เมตตาจิตไปในเพื่อนมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ว่า ขอท่านทั้งหลายอย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยด้วยกันหมดทั้งสิ้น เทอญ.
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    พระผงพระพุทธชินราช
    พระเครื่ององค์นี้เรียกว่า "พระผงพระพุทธชินราช รุ่น ร.๕ ครองราชย์ ๑๐๐ ปี วัดเบญจมบพิตร พ.ศ. ๒๕๑๑"เป็นพระเก่าที่มีอายุเกือบจะ ๔๐ ปีแล้ว ที่วัดเบญจมบพิตรเป็นผู้จัดสร้างเพื่อระลึกถึงปีที่รัชกาลที่ ๕ ทรงขึ้นครองราชย์ในปีพ.ศ. ๒๔๑๑ และเมื่อเวียนมาครบรอบในปี ๒๕๑๑ ถือว่าครบรอบ ๑๐๐ ปี จึงได้จัดสร้างขึ้น พระเครื่ององค์นี้ได้รับการแผ่อธิษฐานจิตโดยพระอริยสงฆ์ ๙ องค์มานั่งปรกในมหาพิธี ๓ วัน ๓ คืน พระอริยสงฆ์ทั้ง ๙ องค์นั้นคือ

    ๑. หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพมหานคร
    ๒. หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม นครปฐม
    ๓. หลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ ปทุมธานี
    ๔. หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขัน นครศรีธรรมราช
    ๕. หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม นครปฐม
    ๖. หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี สมุทรสงคราม
    ๗. หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี
    ๘. หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี
    ๙. ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต(ธมมวิตกโกภิกขุ) วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร

    คงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในมหาพิธีอันเนื่องในมหามงคลวโรกาสที่ทรงครองราชย์ครบ ๑๐๐ ปี ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยทั่วทั้งแผ่นดินดังนี้ บรรดาหลวงปู่ หลวงพ่อทั้งหลายจะเมตตาแผ่พลังอธิษฐานฤทธิ์ให้อย่างเต็มเหนี่ยว ด้วยความเต็มอกเต็มใจที่สุดถึงเพียงไหน

    และเช่นเดียวกัน สำหรับกรณีของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตนั้น แม้ท่านจะ"ถือสัจจะ" ในอันที่จะไม่ออกจากเขตวัดเทพศิรินทราวาสเป็นอันขาดก็ตาม แต่ก็หาได้เป็นปัญหาแต่อย่างใดไม่????

    เพราะในหลายๆงานที่ได้กราบอาราธนาท่านไปในงานพุทธาภิเษก ท่านจะใช้วิธี"เดินญาณ" คือ"การส่งกระแสจิต" ไปร่วมพิธีพุทธาภิเษกให้แทนนั่นเอง

    ซึ่งในการนี้หลวงปู่ครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน ได้เคยให้คำรับรองไว้ด้วยองค์เองว่า
    "(สำหรับพระที่บรรลุญาณขั้นสูง) เอาเสกต่อหน้า หรือเดินญาณไปเสก มีค่าเท่ากัน !!!!"

    ที่ปรากฏหลักฐานที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต"เดินญาณ"ไปพุทธาภิเษกให้ ก็มีเช่นเหรียญ ร.๖ กรมรักษาดินแดน ,พระกริ่งใหญ่ วัดอรุณราชวราราม ,พระชุดวัดสรรเพชญ์ นครปฐม

    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานนี้ เป็นงานของวัดเบญจมบพิตร ซึ่งเป็น"โรงเรียนเก่า" ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตเอง ที่ท่านเคยเป็น"ศิษย์เก่า" สมัยที่เรียนชั้นมัธยม แถมเป็นงานของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ พระราชบิดาของรัชกาลที่ ๖ ที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต เคารพสักการะเทิดทูนยิ่งกว่าชีวิตอีกต่างหาก มีหรือท่านธมมวิตกโกจะไม่ส่งกระแสจิต"ผ่านดาวเทียม"อธิษฐานฤทธิ์ให้อย่าง"เต็มๆ" และ"เนื้อๆ" อย่างไรได้???

    อาจารย์ผู้ทรงสมาธิจิตท่านหนึ่งได้ทดสอบทางวิทยาศาสตร์โดยไม่เห็นพระเครื่ององค์นี้ได้ผลออกมาอย่างน่าทึ่งอย่างยิ่งว่า

    "ภาพนิมิตที่สัมผัสได้ตอนแรก เห็นท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตปรากฎมาเลย " และ "พลังพระองค์นี้ มีกระแสจิตของเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต ซึ่งมีลักษณะ แรง เร็ว ฉับไว เฉียบขาด มีปาฏิหาริย์มากปรากฎอยู่อย่างแน่ชัด แบบขัวร์ๆ พระชุดนี้ดีจริงๆ"

    ยังมีอะไรที่ต้องสงสัยกันอยู่อีกหรือไม่???

    ยิ่งไปกว่านั้น!! ผมยังได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกวันเสาร์ที่ ๗ เม.ย. ๒๕๕๐ ซึ่งเป็นวันเสาร์ ๕ อัญเชิญพระพุทธเจ้าพระนามกกุสันโธ หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้ง ๕ พระองค์ หลวงปู่โต พรหมรังสี รวม ๗ พระองค์

    พระเครื่องชุดนี้จึงเป็นคำตอบ.... สุดท้าย

    ลำพังพระเครื่องรุ่นนิยมของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตในปัจจุบันมีราคาค่อนข้างสูงมาก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010451.jpg
      P1010451.jpg
      ขนาดไฟล์:
      271.5 KB
      เปิดดู:
      50
    • P1010450.jpg
      P1010450.jpg
      ขนาดไฟล์:
      195.5 KB
      เปิดดู:
      38
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คุณเพชรครับ

    ยังมีหลวงปู่อีก 3 พระองค์ที่พระองค์ท่านเมตตามา แต่ไม่ได้อธิษฐานจิต ก็คือ หลวงปู่แจ้งฌาณ ,หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ และหลวงปู่ม่น วัดเนินตามากครับ

    ทำให้อยาก(ได้) แล้วก็จากไป(จริงหรือเปล่า)

    .
     
  6. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เป็นข้อมูลที่ต้องบันทึกไว้ครับ พยายามหาให้ได้มากที่สุดเพื่อฐานข้อมูลในอนาคตที่อาจมีเยาวชนผู้สนใจเข้ามาหาความรู้ ขณะนี้ไม่มีให้บูชาใดๆทั้งสิ้นแล้วครับ ถือว่าจบกิจการมอบหมดสิ้นแล้วครับ..
     
  7. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ผมมีข้อสงสัยนิดเดียวครับ มีคนฝากถาม...เบอร์ติดต่อคุณเพชรเบอร์อารายครับเขาจาติดต่อไปขอครับ(deejai)
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คุณnongnoooครับ ผมว่าคุณเพชรอาจจะให้ประมูลนำเงินไปเป็นการกุศลเพื่อขอเบอร์คุณเพชรครับ

    (good) (tm-love)
    .
     
  9. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    หมายถึงประมูลเบอร์ใช่ไหมครับ ....แล้วถ้าประมูลได้ปุ๊บเปลี่ยนเบอร์ปับล่ะครับ55555
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    คุณnongnoooครับ ผมว่าคุณเพชรอาจจะให้ประมูลนำเงินไปเป็นการกุศลเพื่อขอเบอร์คุณเพชรครับ

    (good) (tm-love)

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ่า อย่างนี้ต้องมีกติกากันครับ ว่าห้ามเปลี่ยนเบอร์โทร. ดีหรือเปล่าครับคุณเพชร คิคิคิ

    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประเทศไทย 2551 ดวงชะตา มหาโหด

    http://hilight.kapook.com/view/18939



    ดูดวง ดวง ดวงปี 2551 ดวงประเทศไทย ปี 2551 ดวงชะตา มหาโหด ก็แหมเกริ่นกันมาตั้งแต่ปลายปี 2550 ว่าปี 2551 เริ่มต้นนักษัตรใหม่อย่าง ปีหนู เป็นปีมหาโหดสำหรับประเทศไทย เราจึงหยิบเอาการ ดูดวง ดวง ดวงปี 2551 มาฝากกันค่ะ ถ้างั้นไป ดูดวง ดวง ดวงปี 2551 กันดีกว่าค่ะ




    [​IMG]



    เกริ่นกันมาตั้งแต่ค่อนท้ายปลายปี 2550 ว่าปี 2551 เริ่มต้นนักษัตรใหม่อย่าง "ปีหนู" เป็นปีมหาโหดสำหรับประเทศไทย

    เริ่มด้วยการทำนาย "ดวงเมือง" ของโหราจารย์ชื่อดังหลายๆ คน ที่เป็นไปในทำนองเดียวกันว่า "เมืองไทยปีหนู ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ล้มละลายหมด"

    ดวงเมือง คือกำหนดฤกษ์สร้างบ้านแปลงเมือง ตั้งแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสร้างบ้านแปลงเมืองให้ประชาชนอยู่อาศัย ประชาชนของพระองค์ท่านเป็นดาวที่มีตำแหน่ง "มหาอุจจ์" พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ แต่เห็นได้จากเวลาที่จะต้องเสียบ้านเสียเมือง คนไทยจะสามัคคีกลมเกลียวกันเป็นที่สุด

    "หมอทรัพย์ สวนพลู" หมอดูมือหนึ่ง บอกไว้ว่า ดวงเมืองของคนไทยเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่นั้นไม่ทราบ แต่ว่ากันว่าดวงเมืองของไทยมี "อาทิตย์"เป็นมหาอุจจ์ อาทิตย์นั้นเป็นดาวประจำราศีสิงห์ เป็นภพปุตตะหรือลูกของเมืองบางกอก

    แต่ ดวงกรุงเทพฯ นี้ มี "ศุกร์" ซึ่งเป็นดาวประจำราศีตุล ภพที่ 7 หมายถึงผู้ปกครอง หรือศัตรูที่เปิดเผยตัว คงทราบแล้วว่าใครมาเป็นเจ้าเข้าครองเมืองไทย มักพบกับพินาศอย่างน่าพิศวง ไม่ต้องมองย้อนไกลนัก เอาเมื่อ ร.ศ. 112 (พ.ศ.2436) ฝรั่งเศสส่งกองเรือรบอันทรงอานุภาพอย่างยิ่งบุกเข้าไทย ตีฝ่าจากปากน้ำเข้ามากรุงเทพฯ ไทยได้ต่อสู้อย่างสมเกียรติทุกประการ

    ต่อมาอีกราวๆ 20 ปี ฝรั่งเศสก็ถูกเยอรมันบุก และเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2484 กองเรือรบของฝรั่งเศสในอินโดจีนได้เข้าโจมตีเรือรบหลวงสงขลากับเรือหลวงชลบุรี โดยเรือของเราไม่ได้ติดไฟเครื่องจักรไอน้ำ จนจมหมดทั้ง 2 ลำ และได้ต่อสู้กับเรือรบหลวงธนบุรี จนเกิดไฟไหม้ใหญ่ต้องเปิดลิ้นจม ไม่ได้ถูกยิงจม

    ต่อมาเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2485 กองทัพเรือฝรั่งเศสก็ประสบชะตากรรมที่ตูลองอย่างน่าเศร้าใจ ส่วนญี่ปุ่นก็ได้รับผลกรรมที่ยิ่งว่าใครๆ

    ผู้ที่จะมาปกครองประเทศไทยและคนไทย โดยทางการเมือง คือดาวศุกร์ ซึ่งเป็นกาลกิณี และอยู่ในภพวินาศ ย่อมมีลักษณะเหมือนอ้อยท่อนที่ผ่านเครื่องหีบอ้อย คือเมื่อออกมาจากเครื่องหีบแล้วแทบดูไม่รู้ว่าเป็นอ้อยหรืออะไร เพราะเหลือแต่ชาน

    "เชื่อว่าใครทำกับเมืองไทยอย่างไร พระสยามเทวาธิราชคงทรงกระทำกับเขาอย่างเดียวกัน"

    ภัยของเมืองไทยมาจากทะเล ต้นเดือนมีนาคม 2551 ดาวมฤตยูย้ายเข้าราศีมีน "เป็นวินาศลัคนา"

    ดวงเมือง นักการเมือง และการเมืองที่ไม่สุจริตจะจบสิ้น คนดีเข้ามาทำงานฝ่ายราชการบริหาร การโกหกพกลมหน้าไหว้หลังหลอก ทำงานการเมืองหน่อยเดียวรวยเป็นร้อยๆ ล้าน จะหมดไปจากเมืองไทย ส่วนในด้านต่างประเทศนั้น ญี่ปุ่นจะมีบทบาทแบบรุกเงียบ หลายชาติจะทิ้งอาหารของตนเองหันไปกินปลาดิบกันอย่างหน้าชื่นตาบาน...เป็นคำทำนายของโหราวัยเก๋า



    [​IMG]



    ขณะที่โหราหน้าอ่อนอย่าง "โสรัจจะ นวลอยู่" สร้างความฮือฮาทำนายล่วงหน้าว่า ปี 2551 จะเกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์แบบคาดไม่ถึงในเมืองไทย คือมี "หิมะตก" ทางภาคเหนือและอีสาน!!

    อีกทั้งยังบอกว่า ปี 2551 เป็นปีที่ดาวเสาร์และราหูในทางโหราศาสตร์ไม่สัมพันธ์กับดวงของโลกและดวงของเมืองไทย น่าเป็นห่วงยิ่งนัก เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย ทั้งก่อนหน้านี้เป็นหมื่นเป็นแสนปีก็ไม่เคย

    ดาวเสาร์และราหูจะทำให้ เกิดวิกฤตเรื่องน้ำ ทั้งขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรงในจีน ทวีปใหญ่ๆ เช่น ยุโรปและสหรัฐ บางส่วน และอีกวิกฤต คือเกิดอุทกภัย เนื่องจากภาวะโลกร้อนทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเรื่อยๆ จนท่วมมิดเกาะ ทำลายบ้านเรือนชายฝั่งจำนวนมาก แนวปะการังสวยงามในท้องทะเลทั่วโลกบางแห่งอาจสูญพันธุ์

    สำหรับประเทศไทยปีชวดนี้ จะเป็นปีแห่งความอาเพศ วัฒนธรรมประเพณี ความเป็นอยู่แบบไทยๆ จะเปลี่ยนแปลงไป ในปลายปี 2551 จะเกิดแผ่นดินไหวใต้ทะเลครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ครั้งนี้เกิดที่ประเทศไทย ทำให้เกิดรอยเลื่อนใต้ทะเลทางแถบทะเลอันดามัน เป็นทางยาวมากทำให้เกิดคลื่นยักษ์เข้าถล่มตามชายฝั่งทะเล และมีดินแดนบางส่วนถูกกระหน่ำและจมลงสู่ทะเล สูญเสียชีวิตผู้คนจำนวนมาก

    แต่มหันตภัยครั้งนี้ทำให้เกิดก๊าซชนิดหนึ่ง เป็นชนิดใหม่ พ่นขึ้นมาจากใจกลางโลกที่ร้อนระอุมาก รวมกันอยู่เหนือรอยแตกแยกของพื้นทะเลที่เกิดแผ่นดินไหว ผสมผสานกับสารเคมีบางชนิดกลายเป็นก้อนเหมือนภูเขาหินก้อนใหญ่ เป็นก้อนใหญ่มากที่สุดที่พบได้ในโลก ก๊าซชนิดนี้ในอนาคตสามารถใช้แทนพลังงานน้ำมัน มีประสิทธิภาพดีกว่าน้ำมันหลายร้อยเท่า ทำให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทยในอนาคตอย่างมหาศาล

    ส่วนตำราทางฮินดู ทายว่า ปี 2551 ประเทศไทยยังประสบปัญหาภัยแล้ง ขาดแคลนน้ำอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อนในรอบหลายร้อยปี ทำให้ทางตะวันออกของประเทศ มีสภาพแห้งแล้ง ผู้คนและสัตว์เลี้ยงขาดน้ำ จนบางจังหวัด บางอำเภอ บางหมู่บ้าน กลายเป็นทะเลทราย จนต้องอพยพผู้คน

    ภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นไม่หยุดยั้ง จะมีการสูญเสียแผ่นดินทางภาคใต้แถบฝั่งอันดามัน ตั้งแต่ระนองลงมา อาจจมลงสู่ใต้ทะเลอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ผู้คนจะล้มตายและสูญหายจำนวนมาก เกาะภูเก็ต กระบี่ พังงา ราวกลางปี 2551 จะถูกคลื่นสึนามิเหมือนกำแพงยักษ์ถล่มหนักกว่าครั้งแรก ทุกสิ่งถูกกวาดลงทะเลจนหมดสิ้น

    ชาวโลกและประเทศไทยยังเดือดร้อน เรื่องน้ำมันแพง เศรษฐกิจจะตกต่ำสุดในประวัติศาสตร์ เป็นปีแห่งความล้มละลายทางเศรษฐกิจ ไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้ ประชาชนอดอยาก ธุรกิจสับสน คนว่างงานเพิ่มขึ้นหลายแสนคน ธนาคารเล็กใหญ่ล้มละลายปิดตัวเองลง ตลาดหุ้นกระทบกระเทือนอย่างหนักต้องปิดตัวเองอย่างถาวร และมีคนฆ่าตัวตายจำนวนมาก

    "ถือเป็นปีแห่งเศรษฐกิจเลือด"

    นอกจากอาจารย์ทางโหราศาสตร์ขึ้นชื่อ จะเรียงหน้าออกมาทำนายสถานการณ์ปีหนู เพื่อเตือนสติให้คนไทยตั้งรับได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำกับเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึง

    อีกหนึ่งปรมาจารย์ด้านฮวงจุ้ย "วรธนัท อัศวกุลโกวิท" ที่ปรึกษาและให้คำแนะนำเรื่องฮวงจุ้ยแก่บุคคลสำคัญๆ ทั้งระดับผู้บริหารประเทศ นักการเมือง และเจ้าสัวนักธุรกิจทั้งหลาย

    จับปากกาจารจดตัวเลข แล้วบอกถึงสถานการณ์บ้านเมืองปี 2551 ว่าปีหน้าดาวหมายเลข 1 ตามวิชาฮวงจุ้ย จะเข้ามาที่ตำแหน่งกลาง ดาวดวงนี้พอเข้ามาแล้วดาวอื่นๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงไป เกิดการสลับตำแหน่งของดวงดาวอีก 8 ดวง

    "เมื่อดาวประจำกับดาวจรมา อยู่รวมกัน ก็จะส่งอิทธิพลต่อชีวิตผู้คน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น ปีหน้า 2551 ในทางฮวงจุ้ยถือเอาวันที่ 4 กุมภาพันธ์ เป็นการเริ่มต้นของทุกปี-ปี 2550 ดาวประจำพื้นที่กับดาวจร เป็นดาวหมายเลข 9 และ 6 แต่ในปีหน้าจะเป็นดาวหมายเลข 9 กับ 5 ดาวเลข 9 เป็นธาตุไฟ ดาวเลข 5 เป็นธาตุดิน ดังนั้น เมื่อ 9 กับ 5 มาอยู่ด้วยกัน หมายความว่าจะทำให้แรงขึ้น ความเลวร้ายจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า ตามตำราฮวงจุ้ยหมายความว่าทางภาคใต้จะมีปัญหารุนแรง.."

    "..และดู จากทิศของดวงดาวแล้ว ทิศใต้ตกที่ ความรัก หมายถึงคนที่เป็นแม่ แสดงว่าปีหน้าผู้หญิงสูงอายุจะได้รับผลกระทบรุนแรง หรือคนที่เป็นแม่ คนสูงอายุในบ้าน หรือหัวหน้าที่เป็นผู้หญิงจะได้รับสิ่งที่เลวร้ายในชีวิต เช่น อุบัติเหตุ เจ็บป่วย ส่วนจะแรงมากแรงน้อยต้องดูที่คนอีก แต่ภาพรวมคือคนที่เป็นแม่.."

    นอกเหนือคนเป็นแม่ที่จะได้รับผลจาก อิทธิพลของดาวดังกล่าวแล้ว อาจารย์วรธนัทยังพูดถึง ลูกหลาน บริวาร ลูกน้องก็ยังเป็นตัวก่อให้เกิดความขัดแย้ง ทำให้นายเดือดร้อน

    "คนที่เป็นผู้นำปีหน้าจะประสบปัญหาป่วย หรือหมดความสามารถในการบริหาร เพราะอาจจะมีปัญหาเรื่องความรักในครอบครัว มาเป็นตัวทำให้เกิดปัญหา"

    "นอกจากนี้ เลข 5 ยังหมายถึงอุบัติเหตุ เจ็บป่วย จี้ปล้น สงคราม อุบัติเหตุแบบตายทันที รถชนตาย เครื่องบินตก ดังนั้น ทิศใต้ปีหน้านี่เสียหายมาก เป็นตำแหน่งที่ต้องนิ่ง ห้ามมีกิจกรรมทั้งสิ้น ตำแหน่งใต้เรียกว่าตำแหน่งชื่อเสียง เงินทอง เครดิต ก็แปลว่าปีหน้า เงินทอง ชื่อเสียง เครดิต จะเสียหายอย่างรุนแรงด้วย"

    "..มาดูที่ ตำแหน่งทางทิศเหนือ ดาวหมายเลข 1 กับ 6 ตำแหน่งนี้พอจะใช้ได้ ทิศเหนือหมายถึง ธุรกิจ การงานประจำ ในตำราฮวงจุ้ย เลข 6 เป็นโลหะ เลข 1 เป็นน้ำ ในทางจีนเขาจะถือว่าโลหะให้กำเนิดน้ำเสมอ ดังนั้น ปี 2551 ส่วนนี้เป็นตำแหน่งที่เทพเจ้ามาประทับอยู่ เทพเจ้านี้เป็นเทพเจ้าปีหนู (คนเกิดปีหนู) แล้วในทุกปีตำแหน่งเขาจะประจันกันอย่างนี้ คือ หนู กับ ม้า ประจันหมายถึง ชง เจ็บป่วย หรือ ตาย ก็แล้วแต่ "...ฉะนั้นปีหน้า คนปีหนู กับ ปีม้า จะไม่ดี"

    แล้วไม่เพียงแค่คนเกิดปี หนู กับ ม้า เท่านั้น เพราะม้าจะมีสหายอีก คือคนปี ไก่ แพะ กระต่าย วัว คนเกิดปีเหล่านี้จะเสียหายหมด

    "คน 6 ปีนี้เสียหายหมด สมมติว่าคนเกิดใน 6 ปีนี้ไปอยู่ในฐานะแม่ ก็โดน หรือเป็นนาย ก็โดน เป็นลูกน้องก็โดน ฉะนั้นปีหน้าจะเดือดร้อนมาก แล้วมิหนำซ้ำยังไปอยู่ในตำแหน่ง 5 ผีถือว่ารุนแรงมาก อีกตำแหน่งที่มองไม่เห็นนอกจากห้าผี คือ ตำแหน่ง 3 เพชฌฆาต หมายถึงความตาย 3 ประการที่จะเกิดขึ้นได้.."

    สำหรับตำแหน่งทางฮวงจุ้ย "5 ผี" เป็นชื่อดาวที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ล่มจม ล้มละลาย ส่วน "3 เพชฌฆาต" เป็นความตาย เจ็บป่วยตาย ก็ได้ ยิงกันตายก็ได้ ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว 3 ตัวนี้จะไม่อยู่ด้วยกัน

    โดยสรุปตามหลักวิชาฮวงจุ้ยของปรมาจารย์วรธนัทแล้ว ปีหน้า 2551 จะเป็นปีมหาโหด อุบัติเหตุมีทุกทาง การเงินเลวสุดสุด ไม่มีอะไรดี

    ดูแล้วออกจะหดหู่ แต่เมื่อมีปัญหาก็ต้องมีทางแก้ อาจารย์วรธนัทจึงแนะนำการผ่อนหนักให้เป็นเบา ว่าให้ไปไหว้พระบรมสารีริกธาตุ และสวดมนต์ไหว้พระ

    "ที่จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ตามตำราฮวงจุ้ย คือให้พกผี่เซี้ยะทองคำ"

    ส่วนคำถามที่ว่า แล้วถึงปีไหนที่ชะตาเมืองไทยจะดีขึ้น

    ปรมาจารย์ ฮวงจุ้ยบอกว่า อีกยาว...ปี 2551 ไม่ดีทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม พอปี 2552 ก็ยังหนักเหมือนเดิม..จะหนีวิกฤตพ้นก็ปี 2554 พอดีครับ

    ทั้งนี้ ทั้งนั้น คำเตือนจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน อาจารย์แจงว่า มันเป็นเรื่องธรรมชาติของโลก เป็นเรื่องของชะตากรรมแต่ละคน

    "..ที่หนีไม่พ้นหลักคำสอนแห่งพระพุทธองค์ที่ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"


    ข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
    <CENTER> </CENTER>
     
  12. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ท่านพี่ทั้งสอง ทั้งสาม และหลายๆ ท่าน
    กลายเป็นบุคคลต้องห้าม ไปแล้วมั้งครับ







    ห้ามใจไม่ไหว หัวใจไม่อยากรับฟัง
    มีแต่ข้อมูลให้อยากๆ ทั้งน้าน อยากได้ ...


    แล้วก็
    ให้อยากแล้วจากไป


    ตอนนี้ ผมไม่อยากแล้วนะครับ
    ตามวาระ (เดี๋ยวโดนย้อนศรท่านพี่ ฯ)
    ไม่อยาก ไม่จากไป

    555 ทำบุญ
    สาธุครับ
     
  13. kittipongc

    kittipongc เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +3,648
    ครับ เห็นด้วยครับ(ทั้งๆที่ใจก็อยากได้เหมือนกัน อิอิ) แต่ของบางอย่าง ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่ถึงวาระ หรือ บารมีไม่พอก็ต้องทำใจครับ และร่วมอนุโมทนากับคนที่ได้ไป คิดอย่างนี้ สุขใจกว่านะ
     
  14. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ่ะผมไม่ใช่บุคคลต้องห้ามนะครับ(แค่2ท่านพี่คนดังครับ)....ผมก็แหย่ให้สนุกเท่านั้นเองครับ ได้คุยกับท่านปา-ทานเหมือนกันครับ ว่าชีวิตของเราได้ครอบครองพระพิมพ์หรือสิ่งใดแค่ชั่วคราวเท่านั้นครับอย่าไปยึดติดสิ่งใด เราจากไปพระพิมพ์ก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ใดครับก็คงมีผู้เหมาะสมดูแล แทน ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวได้เป็นเทวดาเฝ้าพระพิมพ์นะครับ(*)
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เยี่ยมมากครับ

    (good)
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    6 เคล็ด เร่ง "เมทาโบลิซึม"
    วันที่ 03 มกราคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3963 (3163

    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02spo02030151&day=2008-01-03&sectionid=0219


    คอลัมน์ วาไรตี้เฮลท์


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ผอมกลายเป็นนิยามของสรีระที่คุณ ผู้หญิงทุกวัยมุ่งมาดปรารถนา แต่เจ้ากรรมสาวเจ้าหลายคนเพียรหาหลากหลายวิธีทั้งยอมอดอาหาร โหมออกกำลังกาย เข้าคอร์สกำจัดไขมันแล้วก็ตาม ไขมันตัวดีก็ยังตามเกาะอย่างไม่เลิกรา

    กินก็ไม่ได้กิน เหนื่อยก็เหนื่อย แถมยังเสียตังค์อีกต่างหาก สรีระบางเฉียบเพรียวงามก็ไม่มาหาซะที จนกลายเป็นความเครียดให้สาวๆ ทั้งหลาย ว่าทำมั้ย...ทำไมไม่ลดซะที

    สำหรับเรื่องนี้กุญแจสำคัญนั้นอยู่ที่ "เมทาโบลิซึม"

    "เมทาโบลิซึม" หรือกระบวนการในร่างกายที่จะเผาผลาญอาหารแต่ละแคลอรีที่เรากินเข้าไปให้กลายเป็นพลังงานให้กับร่างกาย ปัญหาก็คือ กระบวนการนี้จะอ่อนล้า อ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ เมื่ออายุมากขึ้น ผลก็คืออาหารและไขมันที่เคยถูกเผาเป็นพลังงานก็จะกลับมาพอกพูนตามเนื้อตัว รอบเอว รอบขา รอบสะโพกแทน

    ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกลไกและกายวิภาคของการเคลื่อนไหว (kinesiology) ของสถาบันค้นคว้าและวิจัยอินเวซิส ประเทศออสเตรเลีย เจ้าของลิขสิทธิ์โปรแกรมลดน้ำหนักกระชับสัดส่วนของ Double Impact Call Center ได้ค้นพบวิธีการที่จะทำให้ผู้หญิงเราผอมได้โดยไม่ต้องหักโหมหรืออดอาหารด้วยวิธีการที่ตีให้ตรงจุดสำคัญ

    เมื่อมีปัญหากับที่ "เมทาโบลิซึม" ก็ต้อง จัดการกับ "เมทาโบลิซึม" ด้วยการเพิ่มอัตราการทำงานของเมทาโบลิซึมขึ้น หากสามารถเพิ่มได้ น้ำหนักก็จะลดหายไปได้เร็วขึ้น

    และนี่คือ 6 กลเม็ดเคล็ดลับที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ในการเร่งสปีดให้กับ "เมทาโบลิซึม" สำหรับคนทำอย่างไรก็ไม่ผอม

    1.รับประทานอาหารเช้า จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้เป็น 2 เท่า

    2.รับประทานอาหารเป็นมื้อเล็กๆ วันละ 3-4 มื้อ แทนการรับประทานมื้อใหญ่เพียง 1-2 มื้อ เป็นการป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจนมีผลต่ออัตราการเผาผลาญ

    3.นอนหลับพักผ่อนให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญที่บริเวณกล้ามเนื้อเรียบได้ดีที่สุด โดยเฉพาะชั่วโมงหลังๆ ที่เราหลับสนิท

    4.ดื่มน้ำเย็นตามกฎ 1-2-3-3-1 คือ เช้า 1 แก้ว ก่อนเที่ยง 2 แก้ว เที่ยง 3 แก้ว บ่าย 3 แก้ว ก่อนนอน 1 แก้ว หรืออย่างต่ำวันละ 6-8 แก้ว น้ำเย็นจะมีส่วนช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานได้ดีกว่าน้ำอุ่น

    5.รับประทานอาหารที่เผ็ดร้อนจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้ แถมยังช่วยลดความอยากอาหารลงได้อีกด้วย

    6.ดื่มชาเขียวจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญที่จะผ่านกระบวนการที่เรียกว่า thermogenesis ช่วยลดการสะสมของไขมันและช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

    นี่เป็น 6 เคล็ดลับลดหุ่นอย่างง่ายๆ ที่ไม่เหนื่อยไม่เครียด ไม่เปลืองสตางค์ แถมหุ่นอาจจะสวยผอมเพรียวเหมือน พิม-ซอนย่า คูลลิ่ง หรือศรีริต้า เจนเซ่น ขึ้นมาบ้างก็เป็นได้ ใครจะรู้ !!
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วัฒนธรรมอาหารปลอดภัย ...ความจำเป็นหรือเพียงแค่เกาะกระแส ?
    วันที่ 03 มกราคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3963 (3163)
    คอลัมน์ มาตรฐานสร้างโอกาส

    โดย พิทักษ์ สุภนันทการ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินเตอร์เทค เทสติ้ง เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย)จำกัด
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02biz03030151&day=2008-01-03&sectionid=0214

    มาตรฐานสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงมีความสัมพันธ์กัน โดยมีสุขภาพเป็นศูนย์กลาง ไม่น่าจะมีปัญหาใดที่สำคัญไปกว่าปัญหาด้านสุขภาพอีกแล้ว แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็มักไม่ค่อยเอาใจใส่ดูแลสุขภาพเท่าที่ควรจะเป็น

    ประเด็นอาหารปลอดภัยถือว่าเป็นปัญหาที่สำคัญ มีผลกระทบต่อสุขภาพเช่นเดียวกับอุบัติเหตุ ท่านคงยังไม่ลืมภาพการรณรงค์เกี่ยวกับอาหารปลอดภัยตามนโยบาย "ครัวไทยสู่ครัวโลก หรือ Kitchen of the World" โดยหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในช่วงรัฐบาลก่อนๆ นับว่าได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง ทำให้ผู้คนรับรู้เรื่องของอาหารปลอดภัยในเชิงนามธรรมและสร้างความตระหนัก เกี่ยวกับอาหารการกินในเชิงหลักการได้ดี

    คำว่าระบบอาหารปลอดภัยนั้นเป็นกิจกรรมที่ต้องประดิดประดอย ประณีตและบรรจงที่จะต้องเอาใจใส่ในรายละเอียดของแต่ละขั้นตอน โครงการอาหารปลอดภัยควรมีการผลักดันและทำอย่างต่อเนื่องจนเป็นงานประจำ ไม่ว่านโยบายรัฐบาล (ที่กำลังจะตั้ง) จะกำหนดเป็นวาระของชาติหรือไม่ก็ตาม เราต้องกินอาหารทุกวันและเราก็ต้องการสุขภาพดีทุกๆ วัน ถ้าใครคิดว่าสุขภาพดีไม่สำคัญ ให้ลองประสบอุบัติเหตุใหญ่ๆ สักหนึ่งครั้งซิครับ...ทดลองดูในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้เลยก็ได้ ไม่ต้องแรงมากก็ได้เอาเท่าที่ยังสามารถถามทุกข์สุขกันรู้เรื่อง...

    อยากจะพูดถึงประเด็นอาหารปลอดภัยในช่วงนี้เพราะว่าเรากำลังอยู่ในช่วงฉลองเทศกาลปีใหม่ที่มีวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวัน ผู้คนออกเดินทางไปต่างจังหวัดพร้อมๆ กันในเวลาเดียวกัน ต้องแย่งกันกิน แย่งกันใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เรามักได้รับการบริการ ที่แย่ๆ ก็ในช่วงนี้แหละครับ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องดื่มจะมีผู้แย่งกันใช้บริการจำนวนมาก ท่านจะสังเกตว่าร้านอาหารที่อร่อยๆ มักจะสกปรก ความรีบเร่งมีโอกาสเกิดความผิดพลาดสูงที่จะทำให้อาหารไม่ปลอดภัยต่อการบริโภค

    เทศกาลหยุดยาวจึงมักคู่กันกับเทศกาลอาหารไม่ปลอดภัย เท่าที่สังเกตดูเรายังไม่เห็นมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้ออกมารณรงค์ประชาสัมพันธ์เน้นย้ำกับประชาชนเลย สิ่งที่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณสุขหรือสุขของสาธารณะจึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน โดยรัฐจะต้องดูแลกวดขันและประชาสัมพันธ์ให้เข้าใจกันอย่างทั่วถึง ทั้งผู้ประกอบการเองและผู้บริโภคก็ต้องเอาใจใส่และพิถีพิถันกันเป็นพิเศษ เนื่องจากความผิดพลาดต่างๆ ที่จะทำให้อาหารไม่ปลอดภัยมักเกิดขึ้นบ่อยๆ เช่น สุขอนามัยส่วนบุคคลไม่ดี การปนเปื้อนของเชื้อโรค การควบคุมอุณหภูมิตู้เย็นจัดเก็บอาหาร น้ำดื่มและน้ำใช้ไม่สะอาด โดยเฉพาะห้องน้ำและห้องส้วมจะสกปรกมากเป็นพิเศษก็ในช่วงนี้แหละครับ...

    ไม่มีวิธีการแก้ปัญหาความไม่ปลอดภัยของอาหารแบบเบ็ดเสร็จและหายขาด มีแต่จะลดความเสี่ยงและโอกาสของปัญหาเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วมที่เหมาะสมตามบทบาทหน้าที่ของตัวเอง จะหวังว่ากลไกการบังคับของรัฐอย่างเดียวคงไม่ได้ จะหวังว่าผู้ประกอบการจะเป็นผู้ดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจังก็คงไม่ใช่เช่นกัน

    ในฐานะผู้บริโภคคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการดูแลตัวเอง ความสำเร็จของระบบความปลอดภัยของอาหารน่าจะเริ่มจากการให้ความรู้ที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้บริโภคร่วมมือกันปฏิเสธไม่บริโภคและไม่ใช้บริการร้านอาหารที่ไม่สะอาด (social sanction) เราต้องทำเรื่องนี้ให้เป็นวัฒนธรรมของสังคมตั้งแต่ระดับหน่วยเล็ก ระดับครอบครัว เพื่อให้พ่อแม่สามารถสอนลูกๆได้ การสอนในโรงเรียน (เช่น วิชาสุขศึกษา) มักไม่ได้ผลเนื่องจากมีรูปแบบที่ยังไม่น่าสนใจ การสร้างวัฒนธรรมใหม่ทางสังคมเกี่ยวกับอาหารปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่ต้องเริ่มผลักดันและส่งเสริมอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการสร้างวัฒนธรรมและวินัยที่ดีอื่นๆ โดยเฉพาะวินัยจราจรและการใช้รถใช้ถนน...

    นอกจากต้องเลือกกินอาหารที่สะอาดและปลอดภัยแล้วก็ต้องกลับถึงบ้านปลอดภัยด้วย จะได้ฉลองปีใหม่ได้เรื่อยๆ อย่าลืมนะครับไม่ว่าคนเราจะมีชีวิตการงานที่ดีหรือมีความใฝ่ฝันที่สวยหรูเพียงใดก็ตาม หากสุขภาพไม่ดีก็คงจะต้องยกเลิกสิ่งที่วาดฝันและโครงการที่คิดไว้ทั้งหมด แล้วต้องมาคิดกันใหม่ว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไรต่อไป...
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เกร็ดความรู้ เรื่องพิธี 'พระศพ'
    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=15572&catid=42

    น.ส.พ. มติชนรายวัน รายงาน ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับพิธีพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ไว้อย่างละเอียดลออ ดังนี้


    1.สางพระเกศาขึ้น-ลง 1 ครั้ง แล้วหักพระสางทิ้ง

    การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สางพระเกศาพระศพขึ้น 1 ครั้ง ลง 1 ครั้ง แล้วหักพระสางวางไว้ในพาน แสดงถึงว่าเป็นการสาง (หวี) พระเกศาครั้งสุดท้าย สางพอเป็นสัญลักษณ์พอเป็นพิธี เพื่อแสดงว่าไม่ต้องการความสวยงามใดๆ อีกแล้ว เป็นเครื่องหมายว่าหมดประโยชน์ ไม่มีความจำเป็นต้องแต่งกายใดๆ อีกแล้ว และเมื่อหักสางทิ้งไปแล้ว ก็จะเอาไปไว้ที่ไหนก็ได้ ซึ่งเหมือนกับประเพณีของประชาชนด้วย ที่แสดงว่าจะไม่ได้ใช้สางนั้นอีกต่อไปแล้วจึงต้องหักทิ้งไป
    2.เศวตฉัตรประกอบพิธีพระศพ
    เศวตฉัตรประกอบพิธีพระศพนั้นจะแตกต่างกันไป ตามพระอิสริยยศที่แตกต่างกัน
    ฉัตร 9 ชั้น : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ฉัตร 7 ชั้น : สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระบรมราชกุมารี
    ฉัตร 5 ชั้น : สมเด็จเจ้าฟ้า ในส่วนพิธีพระศพของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ นั้นจะเรียกว่า "เบญจปฎลเศวตฉัตร" หมายถึงฉัตรขาวที่มีเพดาน 5 ชั้น
    ขั้นตอนเมื่อเชิญพระศพมายังพระบรมมหาราชวังแล้ว จะเชิญพระศพไปประดิษฐานที่พระที่นั่งพิมานรัตยา ซึ่งอยู่ด้านหลังทางทิศใต้ของพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ซึ่งพระที่นั่งองค์นี้จะเป็นวิมานที่บรรทมของพระมหากษัตริย์ และสมเด็จพระอัครมเหสี และเจ้านายฝ่ายในชั้นสูง แต่ในระยะหลังจะใช้เป็นที่ประดิษฐานพระศพ ในการสรงน้ำพระศพ เมื่อสรงน้ำพระศพที่พระที่นั่งพิมานรัตยาแล้วจึงจะอัญเชิญพระศพไปประดิษฐานที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท การประดิษฐานพระศพตามราชประเพณีอยู่ทางมุขด้านตะวันตก พระโกศสำหรับสมเด็จเจ้าฟ้าจะใช้พระโกศทองใหญ่ และใช้เครื่องสูงทองแผ่ลวด มุขด้านใต้จะเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร (พระประจำวันเกิด) ซึ่งพระพุทธประจำพระชนมวารของสมเด็จพระพี่นางเธอฯ คือ พระพุทธรูปปางถวายเนตร ซึ่งเป็นปางประจำวันเกิดวันอาทิตย์ งานหลังจากนี้ต่อไปจนถึง 100 วัน จะเป็นการพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม พระพิธีธรรมจะเป็นงานที่ใช้เฉพาะงานหลวง จะสวดทั้งวันทั้งคืน มีการย่ำยามทุก 3 ชั่วโมง มีปี่ กลอง ประโคม ด้วยทำนองที่เศร้าสร้อย
    3.ประโคมย่ำยามทุก 3 ชั่วโมง
    การสวดพระพิธีธรรมพระอภิธรรม จะมีการประโคมย่ำยามทุก 3 ชั่วโมง มีปี่ กลอง ประโคม ด้วยทำนองที่เศร้าสร้อย ตั้งแต่ 06.00 น. 09.00 น. 12.00 น. ไปจนถึง 24.00 น. เพื่อบอกเวลาว่าครบ 3 ชั่วโมง ก็จะประโคมขึ้นหนึ่งครั้ง ส่วนการสวดพระอภิธรรมจะสวดทั้งวันทั้งคืน แต่จะมีเวลาพักเว้นระยะเป็นช่วงๆ อาจจะหยุดพักสัก 10-15 นาที ซึ่งจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของเจ้านายชั้นสูงขึ้นไป โดยหลักคิดก็จะไม่แตกต่างกับการจัดงานศพของประชาชนทั่วไปตามหลักพระพุทธศาสนา แต่อาจจะเพิ่มรายละเอียด ปริมาณและคุณภาพเข้ามา ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเจ้าภาพที่จะจัดงานนอกจากนี้จะมีการบำเพ็ญพระราชกุศลเมื่อครบ 7 วัน 50 วัน และ 100 วัน พิธีกรรมก็จะเหมือนกัน นั่นคือ มีการสวดมนต์ แสดงพระธรรมเทศนา 1 กัณฑ์ ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ สดับปกรณ์ (บังสุกุล)
    4.สมเด็จพระพี่นางเธอฯ อยู่ในลำดับพระอิสริยยศชั้น 'เจ้าฟ้า'
    ภาษาที่ใช้เรียกในการประกอบพิธีพระบรมศพ พระศพ จะแตกต่างกันตามพระอิสริยยศ โดยสมเด็จเจ้าฟ้า จะเรียกว่า พระศพ ส่วนพระยศที่สูงกว่า ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระบรมราชกุมารี จะเรียกว่า
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=14b></TD><TD>[​IMG] พลิกปูม-โบราณราชประเพณีพระราชทานเพลิงศพเจ้าฟ้ามหิดลอุดลเดชฯ-พระบรมราชชนก
    <!-- จำนวนคนอ่าน 245 คน |-->วันที่ 03 มกราคม 2551 - เวลา 21:16:28 น.
    http://www.matichon.co.th/news_title.php?id=1093


    </TD></TR><TR><TD bgColor=#29406d colSpan=3>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=6></TD><TD><!-- Start Program -->
    หมายเหตุ'มติชนออนไลน์'-ตลอดกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อพระราชวงศ์สิ้นพระชนม์ จะทรงประกอบพระราชพิธิพระราชทานเพลิงศพตามโบราณราชประเพณี ณ ท้องสนามหลวง เรียกกันว่า 'การพระเมรุท้องสนามหลวง'
    เพื่อให้ผู้อ่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโบราณราชประเพณีดังกล่าว ในพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จึงขอนำพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพจอมพลเรือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เมื่อครั้งทรงเป็นเจ้าฟ้ามหิดลอุดลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร เมื่อเดือนมีนาคม 2472(ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 46 หน้า 4,608 วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2472) มาถ่ายทอด ณ ที่นี่
    -------------------------------------------
    การพระเมรุท้องสนามหลวง
    พระราชทานเพลิงพระศพ
    สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอุดลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร
    ด้วยมีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ ว่า ถึงเวลาอันสมควรที่จะพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานตกแต่งพระเมรุที่ท้องสนามหลวงโดยสมควรแก่พระเกียรติยศอันสูงศักดิ์ พร้อมสรรพด้วยสร้างสำหรับพระสงฆ์สวดพระอภิธรรม กับพลับพลาพระที่นั่งทรงธรรมเป็นที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ศาลาลูกขุนและศาลานางใน โดยรอบพระเมรุมีราชวัติทึบปักฉัตรนากทองเงิน 5 ชั้น และที่พระเมรุปักฉัตรทองฉลุล่าย 7 ชั้นกับบังแทรกรอบพระเมรุมาศที่หน้าพระมรุด้านตะวันออก เปลื้องพระโกศทองใหญ่ เชิญพระลองชิ้นประดิษฐานเหนือพระจิตกาธานในพระเมรุประกอบพระโกศจันทน์ไว้
    โปรดเกล้าฯ ให้สังฆการีเชิญเสด็จพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า และนิมนต์พระสงฆ์ราชาคณะที่จักสวดศราทธพรตขึ้นยังอาสนบนพระที่นั่งทรงธรรม
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประเคนพัดสังเค็ตแด่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า แล้วประทับพระราชบัลลังก์ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้าถวายพระธรรมเทศนา พระสงฆ์ราชาคณะ 30 รูป มีสมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวรารามเป็นประธานสวดศราทธพรตจบแล้ว
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทอดผ้าไตร 31 ไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์แล้ว ทรงประเคนใบจตุปัจจัยไทยธรรมเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา สมเด็จพระสังฆราชเจ้าถวายอติเรก
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิรขึ้นสู่พระเมรุ ทหารเป่าแตรนอนเคารพพระศพจบแล้ว พระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอุดลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร
    ทหารกองต่างๆ ในกระบวนแห่พระศพกระทำวันทยาวุธ แตรวงบรรเลงเพลงมหาชัย เจ้าพนักงานประโคมสังข์แตรกลองชะนะธรรมเทศนาแล้ว ประทับพระราชบัลลังก์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม และโปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์ สุประภาต จุดเครื่องทองน้อย
    เมื่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์แสดงพระธรรมเทศนาจบแล้ว พระสงฆ์ 20 รูปมีพระธรรมปิฎกวัดพระเชตุพนเป็นประธานสวดศราทธพรต
    ครั้นสวดจบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ 21 รูปสดับปกรณ์แล้ว ทรงประเคนใบจตุปัจจัยไทยธรรมเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ถวายอติเรกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนบูชาธรรมที่พระแท่นสวดพระอภิธรรมแล้ว
    เวลา 18 นาฬิกาเสด็จพระราชดำเนิรกลับพระราชวังดุสิต เจ้าพนักงานกงเต๊กเชิญเครื่องสังเวยขึ้นตั้งบรรพชิตอนัมและจีนขึ้นสวดสังเวยแล้ว โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร ทรงทอดฟ้าไตรสลับแพร 35 ไตรบรรพชิตอนัมและจีนสดับปกรณ์เสร็จแล้ว กลับลงไปสวดกงเต๊กต่อไป
    วันที่ 16 มีนาคม เวลา 14 นาฬิกาเศษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระภูษาขาว เสด็จพระราชดำเนิรโดยรถยนตร์พระที่นั่งจากพระราชวังดุสิตยังท้องพระโรงวังสวนกุหลาบ ทรงทอดผ้าไตรพระสงฆ์ 20 รูป มีพระสังฆกิจคุณ เจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพเป็นประธานสดับปกรณ์ถวายอนุโมทนาและถวายอติเรกแล้ว เสด็จฯกลับพระราชวังดุสิต
    เจ้าพนักงานเปลื้องพระโกศทองใหญ่ออก ชาวพนักงานประโคมสังข์แตรกลองชะนะ ตำรวจหลวงเชิญพระลองทรงพระศพออกจากท้องพระโรงไปประดิษฐานบนรถพระวิมานแล้ว เชิญออกจากวังสวนกุหลาบไปยังหน้าวัดพระเชตุพน เชิญขึ้นประดิษฐานบนเกรินเวชยันตราชรถประกอบพระโกศทองใหญ่ประดับพุ่มยอดและเฟือง
    โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าพี่ยาเธอกรมขุนชัยนาทนเรนทร เสด็จไปทรงทอดผ้าขาว พระสงฆ์วัดพระเชตุพน 20 รูป มีพระวิเชียรธรรมคุณาธาร เป็นประธานสดับปกรณ์แล้ว เจ้าพนักงานเลื่อนเกรินขึ้นบันไดนาค เชิญพระโกศประดิษฐานในบุษบกเวชยันตราชรถ เดิรกระบวนแห่พระศพพร้อมด้วยกองราชอิสสริยยศ (ดั่งแจ้งอยู่ในหมายกำหนดการพระเมรุนั้นแล้ว) มีกองราชเสนาเป็นกองหน้า คือทหารม้า 2 กองร้อย ทหารปืนใหญ่ 2 กองร้อย ทหารมหาดเล็ก 1 กองพันกับแตรวงธงประจำกอง ทหารเรือ 1 กองพันพร้อมด้วยแตรวงธงประจำกองกับกองบังคับการผู้กำกับกระบวน
    สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ขึ้นราชรถเล็กอ่านพระอภิธรรมนำพระศพสู่พระเมรุท้องสนามหลวง โดยทางถนนสนามชัย ถนนราชดำเนิร และถนนพระจันทร์
    วันที่ 14 มีนาคม พุทธศักราช 2472 เวลา 16 นาฬิกาเศษได้พระฤกษ์ยกยอดพระเมรุ โหรบูชาฤกษ์มีศีร์ษะสุกร บายศรีตอง 3 ชั้นซ้ายขวาเหนือศาลเพียงตา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ เสด็จทรงชักรอกยกฉัตร 5 ชั้นขึ้นที่ยอดพระเมรุ เจ้าพนักงานลั่นฆ้องชัย ประโคมสังข์แตรเครื่องดุริยางค์
    วันที่ 15 มีนาคม เจ้าพนักงานเชิญพระลองพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าฯกรมหลวงสงขลานครินทร ขึ้นประดิษฐานบนพระแท่นแว่นฟ้าทอง ณ ท้องพระโรงวังสวนกุหลาบ ประกอบพระโกศทองใหญ่ ประดับพุ่มยอดและเฟื่อง ภายใต้เบ็ญจปฎลเศวตฉัตร แวดล้อมด้วยเครื่องราชอิสสริยยศ ชาวพนักงานประโคมสังข์แตรกลองชะนะ
    เวลา 17 นาฬิกา 15 นาฑี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องเต็มยศใหญ่ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ประดับเครื่องราชอิสสริยาภรณ์สายสะพายจุลจอมเกล้า เสด็จพระราชดำเนิรโดยรถยนตร์ พระที่นั่งจากพระราชวังดุสิตสู่วังสวนกุหลาบทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการและทรงประเคนพัดสังเค็ดแก่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์ ผู้จักถวายพระ
    เวลา 16 นาฬิกา 15 นาฑี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องเต็มยศทหารเรือ ทรงประดับเครื่องราชอิสสริยาภรณ์สายสะพายมหาจักรีบรมราชวงศ์ เสด็จพระราชดำเนิรพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี โดยรถม้าพระที่นั่งเทียมม้า 6 แต่พระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง มีนายทหารราชองครักษ์เชิญธงกระบี่ธุช ธงพระครุฑพาห์ขึ้นม้านำ ทหารม้าแห่นำตามเสด็จออกประตูวิเศษชัยศรีไปเทียบรถพระที่นั่งที่ถนนหน้าพระธาตุ เสด็จขึ้นประทับพลับพลาพระที่นั่งทรงธรรมณพระเมรุท้องสนามหลวง
    กระบวนแห่งพระศพกองราชเสนาเดิรถวายตัวผ่านหน้าพระที่นั่งตรงไปออกนอกราชวัติด้านใต้ เลี้ยวไปตั้งแถวที่สนามหญ้าหน้าพระเมรุด้านตะวันออก กองทหารปืนใหญ่ไปตั้งอยู่ที่ด้านเหนือพระเมรุกองราชอิสสริยยศหยุดเทียบเวชยันตราชรถที่ถนนพระจันทร์ตรงช่องราชวัติ เจ้าพนักงานเชิญพระโกศเลื่อนลงทางเกรินบันไดนาคประดิษฐานเหนือพระยานมาศสามลำคานเสร็จแล้ว
    สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ขึ้นเสลี่ยงกลีบบัวอ่านพระธรรมนำพระศพ แห่เวียนพระเมรุพร้อมด้วยกองราชอิสสริยยศพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทรงพระราชดำเนิรตามพระศพพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์เวียนพระเมรุโดยอุตตราวรรตครบ 3 รอบแล้ว
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นประทับพลับพลา เจ้าพนักงานเทียบพระยานทหารปืนใหญ่ 2 กองร้อยยิงปืนพร้อมกันเป็นกองร้อยๆ ละ 3 ครั้งสลับกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จกลับประทับพระที่นั่งทรงธรรม สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีเสด็จขึ้นพระราชทานเพลิง และพระบรมวงศ์นุวงศ์ทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในเสด็จขึ้นถวายพระเพลิงต่อไป
    เวลา 18 นาฬิกา 20 นาฑี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนิรกลับพระราชวังดุสิตโดยรถยนตร์พระที่นั่ง เมื่อพระบรมวงศานุวงศ์ถวายพระเพลิงแล้ว คณะทูตข้าทูลละอองธุลีพระบาทและพระสงฆ์ขึ้นถวายพระเพลิงต่อไป แล้วเจ้าพนักงานได้ปิดพระฉากรักษาพระเพลิงสุมพระอัฏฐิไว้คืนหนึ่ง
    ตั้งแต่ได้เชิญพระศพขึ้นประดิษฐานบนพระเมรุ พระพิธีธรรมได้เข้าประจำสร้างทั้งสี่ ผลัดเปลี่ยนกันสวดพระอภิธรรม และชาวพนักงานประโคมยามจนถึงเวลาเชิญพระอัฏฐิกลับ
    วันที่ 17 มีนาคม เวลาเช้า เจ้าพนักงานกรมวังเลี้ยงพระสงฆ์ที่สวดประจำสร้างทั้งสี่รวม 32 รูป เจ้าพนักงานภูษามาลาดับพระเพลิงประมวญพระอัฏฐิถวายคลุมไว้ ตั้งพระสุคนธ์ขันสรงและพระโกศทองลงยาสำหรับทรงพระอัฏฐิ
    เวลา 7 นาฬิกา 40 นาฑี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระภูษาขาว ประดับเครื่องราชอิสสริยาภรณ์สายสะพายมหาวชิรมงกุฎ เสด็จพระราชดำเนิรพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี โดยรถยนตร์พระที่นั่งจากพระราชวังดุสิตมายังพระที่นั่งทรงธรรม
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นพระเมรุเจ้าพนักงานภูษามาลาเปิดคลุม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสรงพระอัฏฐิสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทรด้วยพระสุคนธ์แล้ว เจ้าพนักงานแจงและแปรพระรูปถวายคลุมไว้
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงจากพระเมรุไปประทับพระที่นั่งทรงธรรม โปรดเกล้าฯ ให้ข้าทูลละอองธุลีพระบาทราชสกุลราชินีกุล (ดั่งรายนามที่แจ้งอยู่แล้วในหมายกำหนดการ) เดิรสามหาบ 3 สำรับเวียนพระเมรุโดยอุตตราวรรต 3 รอบแล้ว
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นพระเมรุ ทรงทอดไตรแพรสามหาบและโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ทรงทอดต่อไป
    พระสงฆ์สดับปกรณ์ไตรสามหาบ คือ (1) สมเด็จพระสังฆราชเจ้า (2) สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ (3) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (4) พระธรรมวโรดม (5) พระเทพมุนี (6) พระปัญญาพิสารเถร ได้ขึ้นไปสดับปกรณ์ตามลำดับแล้วกลับไป ณ อาสนสงฆ์ที่พระที่นั่งทรงธรรม
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรยเงินและทรงเก็บพระอัฏฐิสรงน้ำพระสุคนธ์ประมวญลงในพระโกศทองลงยาแล้ว เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญพระโกศขึ้นเหนือพานทองสองชั้น เชิญลงจากพระเมรุไปประดิษฐานในบุษบกบนพระแท่นแว่นฟ้าทอง ณ พระที่นั่งทรงธรรม และประมวญพระอังคารลงในพระอะอบประดิษฐานบนพานทองพักไว้ในพระเมรุ
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับพระที่นั่งทรงธรรมทรงประเคนภัตตาหารสามหาบ ครั้นพระสงฆ์กระทำภักตกฤตย์เสร็จถวายอนุโมทนา และสมเด็จพระสังฆราชเจ้าถวายอติเรกกลับแล้ว ทรงทอดผ้าไตรสังเค็ต 4 กับไตรเปล่า 46 ไตร พระสงฆ์ 50 รูป มีพระเทพมุนี เจ้าอาวาสวัดเบ็ญจมบพิตรเป็นประธานสดับปกรณ์แล้ว
    โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญพระโกศพระอัฏฐิจากบุษบกแว่นฟ้าทองไปประดิษฐานเหนือพระเสลี่ยงกง มีกระบวนพระราชอิสสริยยศ (ดั่งแจ้งอยู่ในหมายกำหนดการพระเมรุนั้นแล้ว) เชิญพระอัฏฐิจากหน้าพระที่นั่งทรงธรรม ออกทางช่องราชวัติพระเมรุด้านเหนือ ไปตามถนนพระจันทร์ ถนนราชดำเนิรและถนนสนามชัย เข้าประตูเทวาพิทักษ์เทียบพระเสลี่ยงกงที่เกยหน้าบันไดพระที่นั่งสุทไธศวรรย์ปราสาทเบื้องอุดรทิศ
    เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญพระโกศพระอัฏฐิขึ้นไปประดิษฐานพักไว้ในบุษบกแว่นฟ้าบนพระที่นั่งสุทไธศวรรย์ปราสาท ส่วนพระผะอบพระอังคารนั้นเจ้าพนักงานได้เชิญขึ้นพระเสลี่ยงพนักงาไปประดิษฐานพักไว้ในพระวิหารวัดราชบพิธ
    เมื่อกระบวนแห่พระอัฏฐิเดิรพ้นราชวัติพระเมรุไปแล้ว เวลา 9 นาฬิกา 15 นาฑี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชีนี เสด็จกลับพระราชวังดุสิต
    @งานพระอัฏฐิ
    วันที่ 25 มีนาคม เจ้าพนักเตรียมการในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ได้เชิญพระโกศพระบรมอัฏฐิพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระโกศพระบรมอัฏฐิสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ออกประดิษฐานบนพระราชบัลลังก์ภายใต้นพปฏิลมหาเศวตฉัตร และเชิญพระโกศพระอัฏฐิสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทรมาประดิษฐานนณเตียงลาหน้าพระราชบัลลังก์ ตั้งเครื่องราชอิสสริยูปโภค ต้นไม้ทองเงินเครื่องราชสักการกับพระแท่นทรงกราบ กับได้เชิญพระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวารอันคู่ด้วยพระบรมอัฏฐิ และพระพุทธปฏิมาของสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสงขลานครินทร มาประดิษฐานในพระที่นั่งบุษบกมาลา ทอดเครื่องนมัสการและพระแท่นทรงกราบไว้พร้อมสรรพ
    เวลา 17 นาฬิกา 35 นาฑี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องเต็มยศทหารเรือ ทรงประดับเครื่องราชอิสสริยาภรณ์สายสะพายมหาปรมาภรณ์ เสด็จพระราชดำเนิรโดยรถยนตร์พระที่นั่ง แต่พระราชวังดุสิตมายังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการถวายบังคมพระบรมอัฏฐิแล้ว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ พระสงฆ์ 20 รูปมีสมเด็จพระวันรัตเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์เทพวราราม เป็นประธานสวดพระพุทธมนตร์
    ครั้นจบแล้วพระพิมลธรรมเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุถวายพระธรรมเทศนาจบแล้ว ทรงทอดผ้าไตรสังเค็ต พระสงฆ์ 21 รูปสดับปกรณ์พระอัฏฐิสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสงขลานครินทร แล้วทรงประเคนใบจุตปัจจัยไทยธรรมเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ สมเด็จพระวันรัตถวายอติเรก
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ถวายพระพรลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทอดผ้าไตร 4 ไตรและผ้าขาว 26 พับ พระสงฆ์ 30 รูปสดับปกรณ์พระบรมอัฏฐิแล้วถวายอนุโมทนา พระราชาคณะถวายอติเรก ถวายพระพรลา เวลา 19 นาฬิกา 30 นาฑี เสด็จพระราชดำเนิรกลับพระราชวังดุสิต
    วันที่ 26 มีนาคม โปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ทรงประเคนภัตตาหารแก่พระสงฆ์ที่สวดพระพุทธมนตร์เมื่อวานนี้ ครั้นพระสงฆ์กระทำภักตกฤตย์เสร็จแล้ว เวลา 12 นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องเต็มยศทหารมหาดเล็ก ทรงประดับเครื่องราชอิสสริยาภรณ์สายสะพายจุลจอมเกล้า เสด็จพระราชดำเนิรโดยรถยนตร์พระที่นั่ง จากพระราชวังดุสิตมายังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการถวายบังคมพระบรมอัฏฐิ และทรงเครื่องนมัสการแล้ว ทรงประเคนใบจตุปัจจัยไทยธรรม พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา สมเด็จพระวันรัตถวายอติเรก สมเด็จพระพุฒาจารย์ถวายพระพรลา ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม พระเทพมุนีเจ้าอาวาสวัดเบ็ญจมบพิตร ถวายพระธรรมเทศนาจบแล้ว
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทอดผ้าไตรสังเค็ตสำหรับพระเทศน์กับผ้าไตรสำหรับพระรับสัพพี 4 ไตร พระสงฆ์ 5 รูปสดับปกรณ์แล้ว ทรงประเคนใบจตุปัจจัยไทยธรรมเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ พระเทพมุนีถวายอติเรกถวายพระพรลา โปรดเกล้าฯให้พระเยาวราชวงศ์ทอดผ้ารายร้อย พระสงฆ์ 100 รูป มีพระญาณสมโพธิวัดมหาธาตุเป็นประธานนำมาติกาสดับปกรณ์แล้ว เวลา 13 นาฬิกา 15 นาฑี เสด็จพระราชดำเนิรกลับพระราชวังดุสิต
    เจ้าพนักงานเชิญพระบรมอัฏฐิกลับไปประดิษฐานบนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และเชิญพระอัฏฐิสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าฯกรมหลวงสขลานครินทร ไปประดิษฐานที่พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสามาจุตฉาเจ้า ในพระบรมมหาราชวัง
    พระราชทานยศทหารเรือ
    -------------------------------------------------------
    คลิกชมวิดีโอ พระราชประวัติ พระเจ้าพี่นางเธอฯ
    คลิกชมวิดีโอ ภาพประทับใจ พระเจ้าพี่นางเธอฯ
    คลิกชม ประมวลพระฉายาลักษณ์ประกอบเพลง'แสงหนึ่ง'
    คลิกชม ประมวลพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ
    คลิกอ่าน พระอัจฉริยภาพด้านการประพันธ์ ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ย้อนอดีตเมื่อครั้ง 'สมเด็จย่า' เสด็จสวรรคต
    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=15521&catid=42

    'พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมสมเด็จพระบรมราชชนนีทุกวันประทับข้างพระแท่น ทรงกุมพระหัตถ์ รับสั่งเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงสนพระราชหฤทัยถวายเรื่อย ๆ'


    เมื่อครั้งสมเด็จย่าเสด็จสวรรคต
    สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงพระประชวรอีกครั้งเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 ทรงมี พระอาการทางพระหทัยกำเริบ และทรงเหนื่อยอ่อน คณะแพทย์ถวายการรักษาเบื้องต้นที่วังสระปทุม จนถึงคืนวันที่ 2 มิถุนายน จึงได้เชิญเสด็จพระราชดำเนินเข้าประทับรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลศิริราช ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพักรักษาพระองค์จากพระโรคพระหทัย ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
    ในเวลาต่อมาพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งเล่าเหตุการณ์ในเวลานั้นว่า
    หมอเขาบอกมาและโทร.มาบอกสมเด็จพระบรมราชชนนีพระอาการไม่ดีก็เลยไปเฝ้าฯ ไปเฝ้าแล้วเห็นว่าอาการดีขึ้นบ้าง ท่านลืมพระเนตรท่านเห็น เออ กลับบ้านไปซะทีมาอยู่นานแล้ว ก็กลับบ้านวันรุ่งขึ้น หมอบอกไม่ดีต้องเข้าโรงพยาบาล ก็ให้ท่านไปโรงพยาบาล แล้วไปเฝ้าที่โรงพยาบาลเกือบทุกวัน พระอาการไม่ค่อยดีนัก
    ภายหลังจากที่เสด็จเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน คณะแพทย์พบว่าเกิดการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต จึงได้ถวายพระโอสถปฏิชีวนะเพิ่ม ต่อมา มีพระอาการแทรกซ้อน มีการอักเสบที่พระอันตะพระอันตคุณ (ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก) และที่พระปับผาสะ (ปอด) ข้างขวา คณะแพทย์ได้พยายามถวายการรักษาสุดความสามารถ พระอาการทั่วไปดีขึ้นบ้าง
    ระหว่างนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมสมเด็จพระบรมราชชนนีทุกวันประทับข้างพระแท่น ทรงกุมพระหัตถ์ รับสั่งเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงสนพระราชหฤทัยถวายเรื่อย ๆ เวลานั้นคณะแพทย์ถวายยานอนหลับที่ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายทำให้เหมือนบรรทมหลับ แต่ก็ยังรู้พระองค์บ้างสังเกตได้จากการเต้นของพระหทัย
    ส่วนสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ประทับอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดเพื่อทรงช่วยดูแลสมเด็จพระบรมราชชนนี ท่านผู้หญิงทัศนาวลัยก็มาเฝ้าฯ สมเด็จยายด้วยทุกวัน ช่วยพยาบาลอย่างคล่องแคล่ว จนคณะแพทย์พยาบาลรู้สึกเหมือนกับว่าท่านผู้หญิงเป็นหนึ่งในคณะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...