พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    [​IMG]
    [​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="80%" border=0><TBODY><TR><TD width=200>
    ชื่อพระที่ต้องการส่งเข้าประมูล :
    </TD><TD> *** เบี้ยแก้ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว *** </TD></TR><TR><TD>
    ราคาเปิดประมูล :
    </TD><TD> 10000 บาท</TD></TR><TR><TD>
    ราคาสูงสุด ขณะนี้:
    </TD><TD> 99999 บาท</TD></TR><TR><TD>
    ราคาที่ต้องเพิ่มขึ้น ขั้นต่ำ :
    </TD><TD> 1000 บาท</TD></TR><TR><TD>
    คำอธิบายเพิ่มเติม :
    </TD><TD> *** เบี้ยแก้ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว *** ตัวจริง เสียงจริงครับ...เบี้ยหลวงปู่บุญลูกนี้ขนาดเล็กจับขอบทองแบบสามห่วงแขวนกับสร้อยได้สบายเลยครับ เบี้ยแก้เป็นเครื่องรางชนิดหนึ่ง ซึ่งมีอุปเท่ห์การใช้มากมายหลายอย่าง ทั้งกันและแก้สิ่งชั่วร้ายเสนียด จัญไร คุณไสย ยาเบื่อ ยาเมา กันกระทำย่ำยี ตามประวัติว่ากันว่าการทำเบี้ยแก้ของหลวงปู่บุญ นั้นผู้ที่ต้องการเบี้ยแก้จะต้องไปจัดหา หอยเบี้ยที่มีฟัน 32 ซี่ (เสมือนหนึ่งมีอาการครบ 32) 1 ตัว ปรอทน้ำหนัก 1 บาท ชันนะโรงใต้ดินกลางแจ้ง 1 ก้อนและแผ่นตะกั่ว 1 แผ่นบางรายมีผ้าแดงติดไปด้วย เอาของทั้งหมดใส่ถาดพร้อมดอกไม้ธูปเทียนไปถวายท่าน หลังจากนั้นท่านจะทำการเสกเรียกปรอทเข้าไปในเบี้ย อุดด้วยชันนะโรงที่ปากหอยหลังจากนั้นหุ้มด้วยตะกั่วลงจารอักขระและปลุกเสกอีกครั้งส่วนบางรายที่มีผ้าแดงติดไปท่าจะลงอักขระด้วยดินสอบนผ้าแดงให้ด้วย ส่วนจะถักเชือกหุ้มหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้าของเบี้ย ส่วนเบี้ยที่ถักเสร็จแล้วบางรายไปย้อมยางมะพลับหรือทาด้วยน้ำรักเพื่อให้เชือกที่ถักมีความคงทน</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.watnairong.net/index.php?option=com_content&task=view&id=12&Itemid=27

    [​IMG] [​IMG]


    <TABLE width=450 align=center border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>ประวัติหลวงปูรอด
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>


    </TD><TD>เป็นชาวบางพรม ต่อมาได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดนายโรง จนกระทั้งได้รับแต่งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดนายโรง รูปที่ ๒ และเป็นพระอุปัชฌาย์ได้ทำการอุปสมบทกุลบุตรในย่านคลองบางกอกน้อย คลองชักพระ บางละมาด บางพรม ธนบุรี ตลอดจนบางกรวย บางใหญ่ บางคูเวียง นนทบุรี จนมีลูกศิษย์เป็นจำนวนมาก
    หลวงปู่รอดนอกจากจะเป็นพระเถระที่มีความรู้ความชำนาญด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานแล้ว ยังมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพิเศษในด้านพุทธาคมและเวทย์วิทยาคมอีกด้วยโดยเฉพาะ เรื่อง เบี้ยแก้ และลูกอมชานหมาก

    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    วัตถุมงคลของหลวงปู่รอด เบี้ยแก้ เป็นหอยชนิดหนึ่งในตระกูล Cypraea วงศ์ Cypraeidea จะมีลักษณะหลังนูนท้องแบน เปลือกแข็ง ผิวเป็นมัน ช่องปากยาวแคบเป็นลำราง ไปจนสุดปลายทั้งสองข้างริมปากทั้งสองด้านเป็นหยัก ๆ คล้ายฟัน ไม่มีแผ่นปิด คนทั่วไปจะเรียกว่า หอยเบี้ย ในสมัยโบราณเคยใช้หอยชนิดนี้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อขาย แทนเงิน และเบี้ยชนิดนี้มีชื่อเรียกหลายอย่างเช่น เบี้ยจั่น เบี้ยแก้ว เบี้ยนาง อัตราการแลกเปลี่ยนจะอยู่ที่ ๑๐๐ เบี้ย เท่ากับ ๑ อัฐ หรือสตางค์ครึ่ง
    ครั้นนำมาประกอบพิธีปลุกเสกด้วยพุทธาคมและเวทย์วิทยาคมตามกรรมวิธีหลวงปูแล้ว เรียกว่า เบี้ยแก้ เชื่อกันว่า เป็นวัตถุมงคลที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ช่วยให้ผู้ถือครองตั้งอยู่ในความดี และสามารถป้องกันหรือแก้ไขอันตรายต่าง ๆ จากคุณไสย และภูตผีปีศาจได้เป็นอย่างดี ตามความเชื่อของคนในสมัยนั้น
    ส่วนประกอบและมวลสารของเบี้ยแก้
    เบี้ยแก้ของหลวงปู่จะประกอบด้วยวัตถุ ๔ อย่าง คือ
    ๑. หอยเบี้ย
    ๒. ปรอท
    ๓. ชันโรงใต้ดิน
    ๔. แผ่นตะกั่วนม
    หลวงปู่จะนำวัตถุทั้ง ๔ อย่างมาส่วนประกอบและมวลสาร หลังประกอบพิธีปลุกเสกด้วยพุทธาคมและเวทย์วิทยาคมตามกรรมวิธีของท่าน เมื่อผ่านพิธีปลุกเสกแล้ว หลวงปู่จะมอบให้ลูกศิษย์ไว้ติดตัวเพื่อป้องกันและแก้ไขอันตรายต่าง ๆ ปัจจุบันเบี้ยแก้ของหลวงปู่รอด เป็นวัตถุมงคลที่มีค่าสูง และหาได้ยากมาก
    ลักษณะพิเศษเบี้ยแก้หลวงปู่รอด
    เบี้ยแก้ของหลวงปู่ จะมีลักษณะพิเศษที่พอสังเกตได้ดังนี้
    ๑ ตัวเบี้ย หรือคนทั่วไปเรียกว่า เบี้ยพลู มีขนาดไม่ใหญ่เกินไปนัก จะมีขนาดความยาวประมาณ ๓.๔ -๓.๕ ซ.ม. และกว้าง ๒.๔-๒.๕ ซ.ม.
    ๒. ลักษณะภายใน หากจับเขย่าดู จะมีเสียงดังเบา ๆ ซึ่งเป็นเสียงปรอทที่บรรจุไว้ภายใน
    ๓. บริเวณใต้ท้องเบี้ยแก้ จะมีชันโรงใต้ดินปิดอยู่ ตั้งปากเบี้ยจนถึงท้องเบี้ย และชันจะเกาะติดแน่นอยู่กับท้องเบี้ย
    ๔. เบี้ยแก้ทุกตัว จะหุ้มด้วยแผ่นตะกั่วนมอย่างดีและประณีตบรรจงและเปิดส่วนที่นูนของเบี้ยไว้
    ๕. แผ่นตะกั่วที่หุ้มเบี้ยแก้ จะมีการลงอักขระกำกับไว้ โดยการใช้เหล็กจาร หากดูผิวเผินอาจจะมองไม่เห็นชัด และตัวอักษรที่จารจะมีรอยเส้นเรียบ
    ๖. เบี้ยแก้ทุกเบี้ยจะถักด้ายหุ้มไว้ ในการถักด้ายจะมี ๒ แบบ คือ ถักหุ้มปิดหลังเบี้ย และถักหุ้มเปิดหลังเบี้ย แล้วทาด้วยยางมะพลับ หรือยางหมากปิดทับไว้อีกชั้นหนึ่ง
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • s018.jpg
      s018.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.2 KB
      เปิดดู:
      581
    • s020.jpg
      s020.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.2 KB
      เปิดดู:
      600
    • s016.jpg
      s016.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.1 KB
      เปิดดู:
      586
    • biakare2.jpg
      biakare2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.6 KB
      เปิดดู:
      479
    • biakare3.jpg
      biakare3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28.2 KB
      เปิดดู:
      477
    • biakare4.jpg
      biakare4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.8 KB
      เปิดดู:
      466
    • biakare5.jpg
      biakare5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.3 KB
      เปิดดู:
      470
    • biakare6.jpg
      biakare6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.6 KB
      เปิดดู:
      453
    • biakare7.jpg
      biakare7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.8 KB
      เปิดดู:
      450
    • biakare8.jpg
      biakare8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.8 KB
      เปิดดู:
      471
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.kumpunpra.com/gpkj3.2.htm

    จึงเป็นที่หวงแหนของลูกศิษย์ลูกหายิ่งนัก เพราะสร้างขึ้นมาทีละตัวนำเบี้ยมาบรรจุปรอทอุดด้วยชันโรงบรรจุตะกรุดแล้วตีแผ่นตะกั่วหุ้มถักด้วยเชือกหรือด้ายหุ้มตัวเบี้ยเสร็จแล้วนำมาลงรักปิดทอง

    อำนาจความศักดิ์สิทธิ์ของเบี้ยแก้นั้นเป็นเครื่องรางของขลังที่ใช้ได้ดีในทุกด้าน
    ไม่ว่าจะอยู่ยงคงกระพันเมตตามหานิยมโชคลาภ แต่หากพูดถึงพุทธคุณที่โดดเด่นของเบี้ยแก้คือป้องกันการกระทำคุณไสย์ได้ทุกชนิดรวมทั้งเสน่ห์และวิญญาณร้าย ประเภทภูติผีปีศาจ
    จะเห็นได้ว่าความศักดิ์สิทธิ์ของเบี้ยแก้นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายประการ คนโบราณเวลาเดินทางไปไหนมาไหนมักจะมีเบี้ยแก้พกติดตัวไว้เสมอ โดยการแขวนร้อยเข้ากับเชือกคาดเอวเหมือนตะกรุด

    ตำนานการสร้างเบี้ยแก้การสร้างเบี้ยแก้จะเริมมีการสร้างตั้งแต่ครั้งใดนั้น ไม่มีใครสามารถคาดเดาเพราะไม่สามารถสืบหาหลักฐานที่แน่ชัดมาสนับสนุน เท่าที่สามารถสืบเสาะได้ในปัจจุบันก็ได้จากพระคณาจารย์ต่างๆที่ได้มีการสร้างเบี้ยแก้ขึ้นจนปรากฏกิตติคุณชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันทั่วไปเช่นหลวงปู่รอดวัดนายโรง,หลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้ว,หลวงพ่อพักวัดโบสถ์,หลวงพ่อนุ่มวัดนางใน,หลวงปู่คำวัดโพิ์ปล้ำเป็นต้น ซึ่งแต่ละท่านต่างก็มีที่มาที่ไปของวิชาการทำเบี้ยแก้แตกต่างกันไป ตามที่ได้รับถ่ายทอดมาและร่ำเรียนมา

    แต่อย่างไรก็ตามเคยมีท่านผู้รู้บางท่านเคยตั้งข้อสังเกตหรือสันนิษฐานไว้น่าสนใจ ว่าตำราการสร้างเบี้ยแก้นี้นั้นคงเป็นหนึ่งในหลายๆสรรพวิชาของสำนักวัดประดู่ในทรงธรรม อันเป็นสำนักพุทธาคมที่มีชื่อเสียงมาแต่ครั้งยุคกรุงศรีอยุธยา ต่อมาตำราการสร้งเบี้ยแก้คงมี

    การสืบทอดแพร่หลายขยายไปยังสำนักต่างๆและได้รับการถ่ายทอดมาถึงยุคปัจจุบันของสายสมเด็จพระวันรัตวัดป่าแก้วที่บางอย่างนำมาเก็บรักษาไว้ที่วัดประดู่ในทรงธรรมและบางอย่างตกทอดมาอยู่กรุงเทพฯ เช่น ตำราการสร้างพระกริ่ง เป็นต้น

    การสร้างเบี้ยแก้ของวัดกลางบางแก้ว เบี้ยแก้ของสำนักวัดกลางบางแก้วเป็นเครื่องรางของขลังที่สร้างชื่อเสียงให้กับสำนักนี้ควบคู่กันมากับยาวาสนาหรือยาจินดามณี มีการสร้างติดต่อกันมายาวนาน นับตั้งแต่สมัยหลวงปู่บุญ เป็นต้นมา (บางกระแสกล่าวว่าพระปลัดทองผู้เป็นอาจารย์ของท่าน ก็มีการสร้างเบี้ยแก้เช่นกัน)และได้มีการสืบทอดวิชานี้มาจนถึงปัจจุบัน หลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ หลวงปู่แขกท่านเป็นพระผู้เฒ่าที่ประวัติความเป็นมาไม่อาจสืบเสาะได้ชัดเจน ทราบเพียงว่าช่วงระยะหนึ่ง ท่านได้มาพำนักจำพรรษาที่วัดบางบำหรุ และช่วงนั้นหลวงปู่รอดวัดนายโรงปรมาจารย์ผู้เข้มขลังในการสร้างเบี้ยแก้อีกองค์หนึ่ง
    ได้จำพรรษาอยู่วัดบางบำหรุเช่นกันจึงได้ศึกษาวิชาการทำเบี้ยแก้จากหลวงปู่แขก
    เพราะตามประวัติแล้วหลวงปู่รอดได้บวช ณ วัดนี้ก่อนย้ายไปอยู่วัดนายโรง
    ซึ่งสายสัมพันธ์ของการศึกษาในสายนี้ของหลวงปู่บุญ ท่านได้มีโอกาสเรียน
    จากหลวงปู่แขกเมื่อใดยากที่จะประมาณการได้ส่วนกับหลวงปู่รอด วัดนายโรงนั้นน่าจะเป็นการเรียนรู้ศึกษาเพิ่มเติมต่อจากหลวงปู่แขก ให้มีความชำนาญมากยิ่งขึ้นโดยหลวงปู่รอดเป็นศิษย์ผู้พี่เพราะท่านมีอายุมากกว่าหลวงปู่บุญหลายปีและสามารถเรียกได้ว่าศิษย์ร่วมสำนัก

    นอกจากพระคณาจารย์สององค์ดังกล่าว แล้วท่านยังได้ศึกษาเพิ่มเติมจากฆราวาสท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นชาวมอญที่มาจอดเรืออยู่บริเวณหน้าวัด และสุดท้ายคือจากตำหรับตำราต่างๆที่ท่านได้มาจากวัดประดูฯเป็นต้น

    องค์ประกอบในการสร้างเบี้ยแก้วัดกลางบางแก้วองค์ประกอบหรือวัสดุอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในการสร้างเบี้ยแก้ที่สำคัญมี 4 ชนิดคือ

    1.เบี้ยจั่นเป็นหอยทะเลชนิดหนึ่งประเภทหอยเบี้ยด้านหลังจะมีสีน้ำตาลแก่ลายสีน้ำตาลแก่ลายสีน้ำตาลอ่อนเป็นจุดๆด้านท้องปากหอยมีลักษณะคล้ายฟันเป็นซี่ๆ ตามแนวยาวการเลือกเบี้ยจั่นที่จะนำมาทำเป็นเบี้ยแก้นั้นต้องเลือกเบี้ยที่มีซี่ฟันครบ 32 ซี่และมีขนาดไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป พอเหมาะในการที่จะบรรจุปรอทได้น้ำหนักที่ 1 บาท

    2.ปรอทเป็นโลหะเหลวชนิดหนึ่งมีสีขาวบริสุทธ ิ์กรรมวิธีการดักปรอทของคนโบราณ นิยมใช้ไข่เน่าเอาเข็มเจาะเป็นรูเล็กๆ แล้วนำไปวางไว้ตามบ่อน้ำครำทิ้งไว้ประมาณ 2 วัน แล้วจึงนำไข่ขึ้นมาจะมีปรอทเข้าไปอยู่ในไข่เน่าแต่ปัจจุบันมักนิยมไปซื้อปรอทจากร้านเคมีภัณฑ์มาทำ

    3.ชันโรงใต้ดินตัวชันโรงเป็นแมลงที่มีลักษณะคล้ายผึ้งแต่เล็กกว่าผึ้งมากชอบกินน้ำหวานจากเกสรดอกไม้มักจะอยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่มตามสถานที่ๆ มีความเงิยบสงบต่างๆ เช่นริมหน้าต่างโบสถ์วิหารศาลาโรงธรรมเป็นต้นเพราะไม่ชอบให้ใครไปรบกวนเมื่อถ่ายออกมาจะมีกลิ่นหอมและตัวชันโรงจะนำมาทำเป็นรังของมันเองมีลักษณะคล้ายๆกับครั่งโบราณจารย์ท่านนิยมใช้ชันโรงใต้ดินมาเป็นส่วนประกอบในการทำเบี้ยแก้

    4.แผ่นตะกั่ว,ผ้าแดงแผ่นตะกั่วใช้สำหรับตีหุ้มตัวเบี้ยที่ผ่านการบรรจะปรอทและปิดทับด้วยชันโรงเรียบร้อยแล้วอีกทั้งใช้สำหรับลงอักขระเลขยันต์ต่างๆ ส่วนผ้าแดงใช้สำหรับลงอักขระเลขยันต์อีกครั้ง ก่อนนำไปถักเชือกลงรักปิดทองในลำดับสุดท้าย

    กรรมวิธีการสร้าง
    เมื่อได้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ครบถ้วนสมบูรณ์แล้วคณาจารย์ผู้สร้างจะเอาปรอทเทลงไว้ในฝ่ามือแล้วจึงบริกรรมเวทย์มนต์จนจบแล้วจึงบริกรรมอีกบทหนึ่ง ขณะกรอกปรอทลงในตัวเบี้ยโดยให้ปรอทวิ่งลงตรงร่องระหว่างฝ่ามือ่ตรงรอยพับใต้นิ้วก้อยลงมาเล็กน้อย
    สำหรับหลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้วมีคำเล่าขานสืบต่อกันมานั้น กล่าวว่าท่านจะเสกปรอทจนวิ่งเข้าหาตัวเบี้ยได้เองขณะเอาปากหอยมาจ่อตรงร่องฝ่ามือเสมอกัน ปรอทจะวิ่งเข้าหาตัวเบี้ยได้เองขณะเอาปากหอยมาจ่อตรงร่องฝ่ามือเสมอกันปรอทจะวิ่งเข้าหาโดยที่ท่านไม่ได้ยกมือให้ขึ้นสูงแต่ประการใด
    เมื่อผ่านขั้นตอนการบรรจุปรอทเข้าตัวเบี้ยแล้ว จะใช้ชันโรงใต้ดินอุดปากเบี้ยไว้กันปรอทไหลกลับคืนออกมาต่อจากนั้นนำเบี้ยดังกล่าวไปตีหุ้มด้วยแผ่นตะกั่วให้เรียบร้อยสวยงามตามลักษณะของเบี้ยจั่นที่นำมาทำเป็นเบี้ยแก้แล้วจึงลงอักขระเลขยันต์โดยเบี้ยแก้สายวัดกลางบางแก้วนั้นใต้ท้องเบี้ยเป็น ยันต์พุทซ้อน หรือนะหน้าทอง อันได้แก่
    พระเจ้า 5 พระองค์คือ นะ โม พุทธา ยะ ด้านซ้ายมือลงด้วยตัว อัง แต่บางลูกอาจมียันต์กำเนิดเฑาะสมาธิหรือเพาะมหาอุดเป็นหลักใหญ่ บางลูกก็ลงอักขระด้วยยันต์เฑาะขัดสมาธิข้างซ้ายลงตัว มะข้างขวาลงตัว อะ ด้านบนลงตัว อุ หลังจากนั้นลงอักขระบนผ้าแดงห่อหุ้มอีกชั้นหนึ่ง ก่อนนำไปถักเชือกหุ้ม
    ทับหมดทั้งตัวอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นเอาไปลงรักปิดทับชั้นนอกอีกทีเพื่อเป็นการรักษาสภาพ

    โดยปกติเบี้ยแก้สำนักนี้จะมีการสอดห่วงทองแดงไว้บริเวณท้องเบี้ยเพื่อใช้สำหรับร้อยเชือกคาดเอว

    ขั้นตอนสุดท้ายคือการปลุกเสกเบี้ยแก้ ให้มีมหิทธานุภาพตามโบราณกาล การปลุกเสกเบี้ยแก้ของสำนักวัดกลางบางแก้วนั้น กล่าวไว้ว่าต้องปลุกเสกเบี้ยแก้ให้เคลื่อนไหวได้จริงเสียก่อนที่จะนำออกมาแจกจ่ายให้ศิษยานุศิษย์ทั้งหลายทั้งปวงต่อไปลักษณะการถักเชือกหุ้มตัวเบี้ยของสายวัดกลางบางแก้วนั้นปกติที่พบเห็นเป็นสากลนิยมจะเป็นการถักหุ้มตลอดทั้งตัวเป็นลายถักเรียบๆสม่ำเสมอกันตลอดตัววนจากหลังเบี้ยลงสู่ท้องเบี้ยซึ่งเป็นลายถักมาตรฐานของเบี้ยแก้สำนักนี้
     
  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ผมpost ไว้ที่หน้า 371 ความเห็นที่ 7408 เกือบ 4 เดือนมาแล้ว..

    http://palungjit.org/showthread.php?t=22445&page=371
     
  5. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เบี้ยแก้เหมือนกันครับ หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ที่ดังมากเรื่องหมากทุยของท่าน แต่เบี้ยแก้มีน้อยกว่ามากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2008
  6. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    สวมรอยครับ เอ๊ะ หรือผสมโรง (เบี้ยเหมืนกัน นะ)(smile)
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="800"><tbody><tr><td bgcolor="#eff3ef">
    เรื่องของหอยที่คนไม่ค่อยจะรู้จัก : หอยเบี้ย

    <!--//-- แสดงรายละเอียดกระทู้ --//-->
    วันนี้กระผมนายหอยเฒ่าก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับหอยๆ มาให้ท่านๆ ทั้งหลายได้สดับรับชมกันอีกสักเรื่องหนึ่ง วันนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหอยเบี้ยขอรับ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรขอเชิญท่านๆ ทั้งหลายร่วมสดับรับชมได้ในบัดเดี๋ยวนี้ขอรับ​
    <!-- แสดง ชื่อ - เวลา --> หอยทากชรา [​IMG] [ 26 ก.ค. 2550 08:13:16 ] <!-- แสดง ไอพี --> [ IP: 202.28.77.31 ] <!-- แสดงอีเมล์ -->
    <!-- แสดง ปุ่มแก้ไข/ลบ --> ​
    </td> <td background="../images/gray_right2.gif">
    </td> </tr> <tr> <td height="20" width="20">[​IMG]</td> <td background="../images/gray_buttom.gif" width="760">
    </td> <td height="20" width="20">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="800"> <tbody><tr> <td height="20" width="20">[​IMG]</td> <td background="../images/white_top.gif" width="760">
    </td> <td width="20">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td background="../images/white_left2.gif">
    </td> <td bgcolor="#ffffff"> <!---- Top and Left part of Frame ----->
    [​IMG]
    [​IMG] ความคิดเห็นที่: 1
    <!-- แสดงรายละเอียดกระทู้ -->
    เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายคงจะคุ้นหูกับคำพูดติดปากบางคำเช่น “เบี้ยน้อยหอยน้อย” หรือไม่ก็ “เบี้ยเลี้ยง” ซึ่ง คำเหล่านี้เชื่อว่าในปัจจุบันคงมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่ทราบว่ามีที่มาอย่างไร ถ้าคนแก่จะบอกว่ามีที่มาจากเรื่องหอยหอยอีกนี่จะเชื่อกันหรือไม่ขอรับ อย่างที่ทราบกันว่าหอยนั้นมีมากมายหลายชนิด เรียกได้ว่ามีจำนวนชนิดมากเป็นอันดับสองรองจากสัตว์พวกแมลงเลยเชียว ในจำนวนชนิดที่มากมายเหล่านี้ หอยทะเลในกลุ่ม “หอยเบี้ย” หรือที่คนโบราณเรียกว่า “เบี้ยจั่น” ได้ถูกนำมาใช้แทนเงินตราในอดีต ส่วนใหญ่เป็นเบี้ยที่มาจากหมู่เกาะมัลดีฟในมหาสมุทรอินเดียตอนใต้ จากการศึกษาทางด้านโบราณคดี มีรายงานว่า หอยเบี้ยได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องประดับ อันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถานะทางสังคม และใช้เป็นเงินตราในการแลกเปลี่ยนสินค้ามาตั้ง แต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์แล้ว และมีการใช้อย่างแพร่หลายในชุมชนโบราณบริเวณรอบทะเลสาบคาลิเบียน เยอรมัน ลิธัวเนีย ชายฝั่งทวีปอเมริกา อินโด-แปซิฟิก จนถึงแอฟริกา โดยหอยเบี้ยที่นิยมนำมาใช้เป็นเงินตรา คือหอยเบี้ยชนิด Cypraea moneta ซึ่ง ถ้าเราดูคำแสดงคุณลักษณะจำเพาะ (specific epithet) ของหอยเบี้ยชนิดนี้ก็จะไม่แปลกใจ เพราะคำว่า moneta เป็นคำภาษาลาติน แปลว่าเงินตรา (money) อยู่แล้ว แสดงให้เห็นว่าคนที่ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ให้กับหอยเบี้ยชนิดนี้ คงทราบว่าเป็นหอยที่ใช้แทนเงินตราในอดีตกระมัง แม้กระทั่งชื่อสามัญ (common name) ของหอยชนิดนี้ก็เรียก money cowrie และอีกชนิดหนึ่งที่มักพบว่าใช้แทนเงินตราร่วมกับ C. moneta เสมอ คือ C. annulus ซึ่ง คนไทยเรียกว่า เบี้ยวแก้ว ฝรั่เรียก gold-ring cowrie ขอรับ พูดถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ แล้วอดนึกถึงเรื่องการปั่นราคาเบี้ย ที่พอนึกดูแล้วก็ไม่ต่างกับการปั่นราคาหุ้นในสมัยนี้เลย เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีการนำเข้าเบี้ยมาเป็นหาบๆ ทำให้บรรดาเหล่าพ่อค้านายทุนทั้งหลายมีการกักตุนเบี้ยเพื่อปั่นราคา หรือในบางครั้งเบี้ยก็เกิดการขาดแคลน ดังเช่นในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ทำดินเผาตีตราขนาดต่างๆ ขึ้นใช้แทนเบี้ย เรียกว่า “ประดัน” เหตุเหล่านี้ทำให้ราคาเบี้ยมีการไกวตัวมาก จากเดิมที่มีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 800 ตัวต่อเฟื้อง ผันผวนไปได้ถึง 1600 ตัวต่อเฟื้อง ดูไปก็คล้ายกับการซื้อขายหุ้นสมัยนี้ยังไงก็ไม่รู้นะขอรับ จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้กำหนดพระราชอาญาเอาโทษกับผู้ที่ขายเบี้ยในราคาเกินกว่า 400 ต่อเฟื้องเชียวขอรับ​
    <!--//-- แสดง ชื่อ - เวลา --//-->
    หอยทากชรา [​IMG] [ 26 ก.ค. 2550 08:17:10 ] <!-- แสดง ไอพี --> [ IP: 202.28.77.31 ] <!-- แสดงอีเมล์ --> <!-- แสดง ปุ่มแก้ไข/ลบ -->

    </td> <td background="../images/white_right2.gif">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td height="20" width="20">[​IMG]</td> <td background="../images/white_buttom.gif" width="760">[​IMG]</td> <td width="20">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="800"> <tbody><tr> <td height="20" width="20">[​IMG]</td> <td background="../images/white_top.gif" width="760">
    </td> <td width="20">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td background="../images/white_left2.gif">
    </td> <td bgcolor="#ffffff"> <!---- Top and Left part of Frame ----->
    [​IMG]
    [​IMG] ความคิดเห็นที่: 2
    <!-- แสดงรายละเอียดกระทู้ -->
    และต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเช่นกัน ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ผลิตเหรียญดีบุกผสม เรียกว่า กะแปะจีน และโสฬสขึ้นใช้ เบี้ยจึงได้หายไปจากระบบการเงินของไทย
    เอาล่ะไหนๆ ก็พูดถึงหน่วยเงินตราโบราณ หลายท่านอาจจะสงสัยว่าในสมัยนั้นมีอัตราการแลกเปลี่ยนกันอย่างไร อืม.....จะว่ายังไงดีล่ะขอรับ มันอธิบายยากมากถึงมากปานกลาง เอาเป็นว่ากระผมขอยกตัวอย่างอัตราการแลกเปลี่ยนเงินในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาเล่าให้ฟังก็แล้วกัน เพราะกระผมเองก็มีข้อมูลอยู่เพียงแค่นี้แหละเหมือนกัน อัตราการแลกเปลี่ยนเงินในหน่วยต่างๆ มีดังนี้ขอรับ

    ๘๐๐ เบี้ย เป็น ๑ เฟื้อง
    ๕๐ เบี้ย เป็น ๑ โสฬส(สิบหก) ๑๖ โสฬส เป็น ๑ เฟื้อง
    ๒ โสฬส เป็น ๑ อัฐ(แปด) ๘ อัฐ เป็น ๑ เฟื้อง
    ๒ อัฐ เป็น ๑ เสี้ยวหรือไพ ๔ อัฐ เป็น ๑ เฟื้อง
    ๒ เสี้ยวหรือไพ เป็น ๑ ซีก ๒ เสี้ยวหรือไพ เป็น ๑ เฟื้อง
    ๒ ซีก เป็น เป็น ๑ เฟื้อง ๘ เฟื้อง เป็น ๑ บาท
    ๒ เฟื้อง เป็น เป็น ๑ สลึง ๔ สลึง เป็น ๑ บาท
    ๑ มายนหรือมะยง เป็น กึ่งบาท หรือ ๒ สลึง
    ๔ บาท เป็น ๑ ตำลึง
    ๒๐ ตำลึง เป็น ๑ ชั่ง
    ๘๐ ชั่ง เป็น ๑ หาบ
    (อัตรานี้อ้างอิงจาก : www.tv5.co.th/service/mod/heritage/nation/krasab/index1.htm)

    นอกจากเบี้ยจะถูกใช้แทนเงินตราแล้ว หอยเบี้ยยังถูกนำมาเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม และความเชื่อต่างๆ มากมายเช่นกัน ดังเช่นในเรื่องของประเพณีฝังศพของคนโบราณ พบหลักฐานว่ามีการนำเบี้ยใส่ในหลุมฝังศพด้วย เช่น ในหลุมฝังศพของมนุษย์ในลุ่มน้ำลพบุรี-ป่าสัก ในแหล่งโบราณคดีบ้านใหม่ชัยมงคล พบว่ามีการ นำเบี้ยที่ตัดหรือขัดฝนด้านโป่งออก แล้ววางไว้ด้านข้างศพ แต่พบเพียงชิ้นหรือสองชิ้นในลักษณะที่ไม่ได้เป็นการร้อยเป็นเครื่องประดับ ในขณะที่กลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียงที่บ้านนาดี พบว่ามีการร้อยหอยเบี้ยเป็นสร้อยคอ สันนิษฐานว่าน่าจะใช้เป็นเครื่องประดับมีค่า และเป็นของหายากจากแดนไกลก่อนที่จะใช้แลกเปลี่ยนสินค้า นอกจากนี้ในต่างประเทศได้มีรายงานว่า ในอารายธรรมโบราณ หอยเบี้ยถูกใช้เป็นของแสดงสถานะทางสังคม และมีบทบาทในทางความเชื่อด้วย เช่น พบหอยเบี้ยใส่ในกล่องสำริดหรือภาชนะสำริด บางแห่งมีมากกว่า 20,000 ตัวในหลุมฝังศพคนรวย ในเรื่องของ เซ่นสรวงบูชานั้นเล่า ก็มีปรากฏอยู่ในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง เช่น อิเหนา ขุนช้างขุนแผน หรือที่เก่าแก่ที่สุดเห็นจะเป็นโครงกระทู้ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่ว่า

    ทู บาจุดธูปเบี้ย บวงสรวง
    สุ รภีพิกุลพวง พู่ห้อย
    มุ หน่ายกระแจะจวง เจิมต่อ ศาสนา
    ดุ สิตเทพให้คล้อย เคลื่อนฟ้ามาสม​
    <!--//-- แสดง ชื่อ - เวลา --//-->
    หอยทากชรา [​IMG] [ 26 ก.ค. 2550 08:30:33 ] <!-- แสดง ไอพี --> [ IP: 202.28.77.31 ] <!-- แสดงอีเมล์ --> <!-- แสดง ปุ่มแก้ไข/ลบ -->

    </td> <td background="../images/white_right2.gif">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td height="20" width="20">[​IMG]</td> <td background="../images/white_buttom.gif" width="760">[​IMG]</td> <td width="20">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="800"> <tbody><tr> <td height="20" width="20">[​IMG]</td> <td background="../images/white_top.gif" width="760">
    </td> <td width="20">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td background="../images/white_left2.gif">
    </td> <td bgcolor="#ffffff"> <!---- Top and Left part of Frame ----->
    [​IMG]
    [​IMG] ความคิดเห็นที่: 3
    <!-- แสดงรายละเอียดกระทู้ -->
    ในเรื่องการบนบานศาลกล่าว ก็พบว่าหอยเบี้ยถูกนำเข้าเกี่ยวข้องกับการบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในหลายพื้นที่ เช่น การยกเบี้ยขึ้นอธิษฐานแล้ววางบนศาล การเอาเบี้ยเหน็บฝาเรือน เป็นต้น แม้ แต่ในตำราช้าง ก็ว่าเมื่อช้างไม่ลงน้ำ ให้เอาเบี้ยสามเบี้ย หมากสามคำ ข้าวสุกสามกระทงไปพลีต้นผักครอบ แล้วเอาผักมาเคี้ยว ทามือ และเอายีตาช้างเจ็ดที ช้างก็จะยอมลงเล่นน้ำ หรือ ความเชื่อที่ว่าการแขวนเบี้ยจั่นจะสามารถป้องกันการเจ็บไข้ได้ป่วย และฟันผุได้ บ้างก็ว่า เอาไปฝนละลายกับน้ำมะนาว ช่วยแก้โรคปัสสาวะไม่ออกได้ หรือการพก “เบี้ยแก้” อันเป็นเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าทำจากเบี้ยจั่นที่บรรจุปรอทแล้วเปิดทับด้วยชันโรงใต้ดิน อาจจะมีแผ่นทองแดงลงอักขระยันต์หรือไม่ก็ได้ เชื่อกันว่า ถ้าพกเบี้ยชนิดนี้ไว้กับตัวเวลาเดินทางรอนแรมในป่า จะช่วยป้องกันไข้ป่า รวมถึงป้องกัน และแก้ไขภยันอันตรายจากร้ายให้กลายเป็นดีได้ เรื่องเหล่านี้จริงเท็จอย่างไรคงต้องพิสูจน์กันเองแหละขอรับ เอาล่ะขอรับเรื่องของหอยเบี้ยกับคน กระผมคงขอเล่าเพียงแค่แล้วกัน จริงๆ แล้วมีอีกเยอะ แต่กลัวว่าท่านๆ ทั้งหลายจะเบื่อเสียก่อน ไว้ ถ้ามีโอกาสกระผมจะมาเล่าสู่กันฟังถึงเรื่องนี้ใหม่ขอรับ
    ขอปิดท้ายด้วยเบี้ยจั่นที่น่าจะ "แพงที่สุดในโลก" ในภาพที่นำมาให้ยลกันนั้น หมายเลข 1 เป็นเบี้ยจั่นธรรมดาขอรับ ราคาก็ไม่กี่สลึงเฟื้อง ส่วนหมายเลข 2 และ 3 นั้น ฝรั่งเขาเรียกว่า rostrate money cowrie คือส่วนหัวท้ายจะยกสูงขึ้น ในวงการนักสะสมเปลือกหอยนั้น เขาว่ากันว่า รูปทรงแบบนี้สวยที่สุด และหายากมาก ราคาจึ่งแพง ท่านๆ ลองเดาดูขอรับว่าราคาเท่าใด ลองคิดตัวเลขในใจไว้ก่อน แล้วค่อยดูเฉลยนะขอรับ


    </td></tr></tbody></table>จากเว็บ http://www.siamensis.org/board/8060.html
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipyo/m5/web/hungtoom/p23.php

    วาสนา – บารมี


    วาสนา ตามความหมายของพจนานุกรม ฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 กล่าว่า วาสนา หมายถึง บุญบารมี, กุศลที่ทำให้ได้รับ หรือลาภยศ ซึ่งสอดคล้องกับความหมายของ สมพร เจริญพงศ์ (2544 : 457) ได้ให้ความหมายไว้ว่า วาสนา หมายถึง คุณความดีที่สั่งสมมา, สิ่งที่ฝังอยู่ในใจ, ความรู้ความความประพฤติที่เกิดติดมาจากชาติก่อน บุญบาปที่อบรมมา จริยาที่ประพฤติจนเคยชิน กุศลให้ถึงซึ่งยศศักดิ์ อำนาจ และเธียรชัย เอี่ยมวรเมธ (2544 : 1058) ก็ให้ความหมายคล้ายกัน โดยจำแนกออกเป็นข้อ ๆ ดังนี้

    1. กุศลที่ทำให้ได้ลาภยศ : คนที่มีวาสนา
    2. ความรู้ที่ได้มาจากชาติปางก่อน
    3. ผลบุญหรือบาปที่อบรมมาก่อน
    4. กุศลอันที่ทำให้เกิดโชคลาภ : มีโชควาสนา/ไม่มีโชควาสนา

    จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า วาสนาก็คือ บุญกุศล ความรู้ที่สะสมไว้ทั้งในชาติปางก่อนและในปัจจุบัน ซึ่งจะตอบสนองต่อบุคคลที่ได้สะสมไว้มากน้อยตามแต่อัตภาพ วาสนาจึงมีลักษณะคล้ายกับผลของกรรม และบารมีที่สะสมไว้และจะตอบสนองในเวลาต่อมา

    บารมี คือคุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจะหมายอันสูงยิ่ง มี 10 ประการคือ

    1) ทานบารมี (บารมีจากการให้ทาน)
    2) ศีลบารมี (บารมีจากการประพฤติศีล)
    3) เนกขัมมบารมี (บารมีจากการออกบวช, การปลีกออกจากกาม)
    4) ปัญญาบารมี (บารมีจากการมีปัญญา)
    5) วิริยะบารมี (บารมีจากความเพียร)
    6) ขันติบารมี (บารมีจากความอดทน)
    7) สัจจบารมี (บารมีจากการมีสัจจะ)
    8) อธิษฐานบารมี (บารมีจากความตั้งใจมั่น)
    9) เมตตาบารมี (บารมีจากความเมตตา) และ
    10) อุเบกขาบารมี (บารมีจากความอุเบกขา)

    (พระธรรมปิฎก. 2543 : 136)

    พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญบารมีมาถึง 10 ชาติ จนพระชาติสุดท้ายคือ พระเวสสันดร ได้ทรงบำเพ็ญทานบารมี จึงได้บรรลุพระอรหันต์สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระชาติต่อมา
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียนทุกๆท่านที่ pm เข้ามาหาผม

    ผมขอเรียนว่า ผมคงให้สิ่งที่หลายๆท่านอยากจะได้นั้นคงไม่ได้ แต่ผมอยากให้ศึกษาหาความรู้ดูก่อนว่า พระวังหน้าเป็นอย่างไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีคุณและมีโทษอย่างไรก่อน และเข้ามาคุยกันในกระทู้นี้ก่อน ยกเว้นไว้แต่การที่นำพระพิมพ์มาให้ดู ผมไม่ดูให้ท่านใดนะครับ เพราะว่าผมเองก็ยังไม่เก่งครับ

    http://palungjit.org/showthread.php?p=874725#post874725

    <TABLE class=tborder id=post874691 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">20-12-2007, 10:54 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #12688 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>:::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_874691", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 02:17 PM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    อายุ: 42 ปี
    ข้อความ: 2,357 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 15,445 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 23,478 ครั้ง ใน 2,414 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2597 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_874691 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">การมาก่อนมาหลังไม่สำคัญ วิธีเริ่มนั้นก็ง่ายมากครับ สำคัญที่กายกับใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวหรือยัง และยังไม่ต้องบูชาอะไรไปก่อนทั้งนั้น เพียงเสียเวลาอ่านกระทู้นี้ตั้งแต่ต้นหน้าที่ ๑ จนถึงหน้าที่ ๖๓๔ เท่านั้นครับ ...


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=tborder id=post875387 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">20-12-2007, 04:41 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #12690 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>:::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_875387", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 02:17 PM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    อายุ: 42 ปี
    ข้อความ: 2,357 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 15,445 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 23,478 ครั้ง ใน 2,414 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2597 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_875387 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">มี ๓ เหตุผลด้วยกัน
    ๑. คุณหนุ่มปิดการมอบพระทั้งหมดช่วงปลายเดือนพ.ย.คือหลังจากงานกฐินสร้างพระธาตุเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งแล้ว การมอบเนื่องในงานบุญมีวาระ ไม่ได้มอบไปเรื่อยๆ เหมือนการขายพระ หรือให้เช่าพระทั่วไป

    ๒. หากไม่อ่านข้อมูลทั้งหมด จะเข้าใจความเป็นมาได้อย่างไร บางความเห็นอาจจะมีการพูดคุยเล่นกันบ้าง หากเห็นว่าไร้สาระ คุณเชนก็ข้ามไปได้ เลือกอ่านตามใจชอบ หากตั้งใจจริงๆ อ่าน ครึ่งเดือนก็หมดแล้ว เขา post กันมาเกือบ ๒ ปี คุณอ่านจบภายในครึ่งเดือนนี่ ถือว่ารวดเร็วมากแล้วนะครับ

    ๓. การนำเสนอเรื่องราวที่ไม่ได้เปิดเผยมานานร้อยกว่าปี บันทึกทางประวัติศาสตร์ก็ไม่มี หรือมีไม่มาก หรือไม่ชัดเจน แต่ใช่ว่าความจริงจะไม่มี การสืบสาวจากความคิดบุคคลต่างๆที่น่าเชื่อถือ จึงเป็นหนทางหนึ่งในการศึกษาพระกรุวังหน้า หรือวังหลวง การรีบร้อนดูที่พระพิมพ์ทันที เราจะรู้ได้อย่างไรว่า องค์ไหนแท้ หรือองค์ไหนเทียม ดังนั้นการอ่านเรื่องราวร่วม ๖๓๔ หน้านี้ จึงถือว่าไม่ได้มากมายอะไร อย่างน้อยความสงสัยในใจร่วม ๕๐% จะถูกขจัดออกไป อ่านไปลองใช้หลักเหตุผล วิเคราะห์ไปด้วยว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ อย่าเชื่อ ๑๐๐ % แต่ก็อย่าเพิ่งค้านตั้งแต่เริ่มต้น ถือใจเป็นกลางๆก่อน แล้วจะพบความลับที่ซ่อนไว้ร่วมๆ ๑๕๐ ปี ....


    <!-- / message --><!-- sig -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/showthread.php?t=22445&page=415

    <TABLE class=tborder id=post676610 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"> 28-08-2007, 07:55 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #8290 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>:::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_676610", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 02:27 PM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    อายุ: 42 ปี
    ข้อความ: 2,357 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 15,445 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 23,478 ครั้ง ใน 2,414 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2597 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_676610 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    มีหลายๆท่าน นำพระพิมพ์มาให้ผมดูให้นั้น ผมต้องขอโทษทุกๆท่านด้วยนะครับ ผมไม่สามารถที่จะดูพระพิมพ์ทางจอคอมพิวเตอร์ได้ และอีกประการ ผมดูได้แต่เพียงเนื้อหาทรงพิมพ์ แต่ไม่สามารถตรวจสอบพลังอิทธิคุณองค์ผู้อธิษฐานจิตได้ ซึ่งเนื้อหาทรงพิมพ์ในตอนนี้ ปลอมได้เนียนจริงๆ

    และผมคงป้องกันตนเองไว้ เนื่องจากว่า อาจจะมีบางท่านเห็นว่า ผมดูว่าพระตนเองแท้ แต่พระคนอื่นปลอม ผมจะไม่ตอบคำถามที่ทุกๆท่านสอบถามเรื่องพระพิมพ์เข้ามาในทุกๆกรณี ผมต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้ด้วย

    ผมเองศึกษามามากพอสมควร โดนมาก็เยอะ และโดนคนอื่นมาด่าก็มาก ดังนั้น ผมจะไม่ตอบ ไม่เตือนอีก ผมขอความกรุณาด้วยนะครับ อย่าถามผมเรื่องพระพิมพ์อีกเลย ส่วนจะให้ไปศึกษาที่ไหนนั้น เมื่อมีวาสนาบารมี ก็จะได้พบ ได้เจอ ได้รู้จัก ว่าพระแท้นั้นเป็นอย่างไรเอง

    ขอบพระคุณอีกครั้ง

    โมทนาสาธุครับ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พี่ๆน้องๆเพื่อนๆ ที่นำพระมาให้คุณหนุ่ม เช็คว่าเป็นยังไง แท้ ไม่แท้ แล้วใครเสก เป็นคำถามที่ยอดฮิตมากครับ ขอตอบแทนคุณหนุ่มใน ๒ ด้านของความเห็นคือ แท้ และไม่แท้ดีกว่านะครับ

    หากคุณหนุ่มตอบว่า"แท้" หลายๆท่านก็สรรหามาจากตลาดพระ(เป็นตลาดจริงๆ เพราะเอาพระเครื่องมาวางขาย) หรือนำมรดกที่ได้รับมา แต่ไม่ทราบที่มาขององค์พระนั้น ย่อมอยากรู้เป็นธรรมดา จึงนำมาถามไม่เว้นแต่ละวัน คุณก็ถามคำถามลักษณะนี้แหละ คนอื่นอีกกี่ท่านก็จะถามในลักษณะเดียวกันนี้เช่นกัน คุณหนุ่มก็คงไม่เป็นอันทำอะไร เขาตอบอะไรซ้ำซาก เขาก็คงไม่ชอบ เช่นเดียวกับคุณ

    หากคุณหนุ่มตอบว่า"ไม่แท้" คือ"เก๊" นั่นแหละ คุณก็จะเสียกำลังใจ อาจจะมีต่อท้ายว่า แน่ละสิ พระเอ็งแท้คนเดียว ของคนอื่นปลอมไปหมด เหอะๆ ไปดีกว่า...

    แล้วคุณก็ไปจริงๆ และไม่ชอบหน้าคุณหนุ่มไปเลย แถมพาลจะเหมาเอาว่าไม่ชอบไอ่พวกกระทู้พระวังหน้าไปเลย (ขอโทษเสียงใน Film)

    คำถามพวกนี้ ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับคุณหนุ่มเลยไม่ว่าพระที่คุณนำมาให้ดูนั้น จะแท้ หรือ จะไม่แท้ก็ตาม มีแต่เสมอตัว กับ เสียเปรียบ แล้วคุณเข้าใจหรือยังว่า ทำไมคุณหนุ่ม ถึงไม่อยากตอบ และต่อความยาวสาวความยืด

    ผมคิดว่าแนวทางที่ดีที่สุดคือ ผู้ที่เข้ามาใหม่ หมายถึง เพิ่งจะทราบว หรือมีความสนใจในพระวังหน้าจริงๆ คุณก็ควรจะมีความ"พยายาม"ในการเริ่มต้นอ่านกระทู้หน้าที่ ๑ มาเรื่อยๆ หากเห็นว่าอันไหนไร้สาระ (ความจริงก็ไม่ได้ไร้สาระ ควรมองว่าคั่นด้วยเรื่องเฮฮามากกว่า ต้องเข้าใจว่ามันเป็น"ความเห็น" มันไม่ใช่"บทความ" บางความเห็นในกระทู้เป็นการนำบทความมาลง บางความเห็นเป็นความเห็นจริงๆ เรื่องราวของพระวังหน้า หรือวังหลวงล้วนมันผ่านเวลา ประสบการณ์ และถือเป็นประวัติศาสตร์มามากกว่า ๑๕๐ ปี แต่คุณเพียง"ยอม"อ่านซัก ๓ เดือน เท่ากับว่าคุณได้ย่นระยะเวลามามากแล้ว พยายามศึกษา และยอมรับบางส่วนไว้ก่อน มันทุ่นแรงคุณเรียนไปทั้งชีวิตแน่นอน คุณจะได้ไม่สงสัยอีก ว่ารู้คือรู้ ไม่รู้คือไม่รู้ ไม่มีมั่ว อย่าเป็นเช่น"ไม่รู้"ว่า"ไม่รู้"อีกเลย) และอันไหนที่พูดซ้ำซาก เช่นการไหว้ ๕ ครั้ง ฯลฯ(ที่พูดซ้ำไม่ใช่ว่าอยากทำ แต่เพราะมันสำคัญ คุณหนุ่มอาจจะเหมือนคุณครูสมัยโบราณ พูดจาไม่ได้ไพเราะเสนาะหูมาก ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ ดังนั้น style เขาเมื่อเห็นความสำคัญ ก็จะพูดย้ำๆๆๆ คุณอาจเบื่อ แต่คุณก็ข้ามไปก็ได้ อย่าไปมองมัน แต่คุณเลือกจะมอง แล้วชอบตำหนิคนนั้นคนนี้) ผมมั่นใจว่าจำนวนหน้าทั้งหมด ๔๑๕ หน้านี้ หากคุณ"ยอม"อ่านจริงๆ เพียง ๒๕% คือ ๑๐๐ หน้า คุณก็รู้เองได้แล้ว มาพูดคุยกันในลักษณะของคำถามที่น่าตอบ คุณน่าจะรู้นะว่าคุณควรถามอะไร ไอซ์สไตร์ ไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง แต่เป็นคนทีตั้งคำถามเก่ง ท่านแนะว่า กระบวนการตั้งคำถามจะนำมาซึ่งคำตอบที่ดี มีสาระ และคุณจะได้ประโยชน์สุดๆก็อยู่ที่ลักษณะคำถามของคุณเอง ผู้ตอบไม่ทราบว่าจะตอบอย่างไรให้ถูกใจคุณ หากคำถามนั้นคลุมเคลือ หรือเสี่ยงต่อการถูกว่ากล่าว

    สุดท้ายนี้ คณะเรายินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ มาพูดคุยกัน อย่าได้ถามคำถามแบบนั้นในครั้งแรกที่พบกัน อย่าเพิ่งให้ความสงสัยหลุดจากปากครั้งแรกที่ได้พบกัน คุณคิดว่าเขาจะไร้สาระขนาดมีเวลาว่างมานั่งพิมพ์เรื่องราวแบบนี้มานานถึง ๒ ปีกว่าเหรอ ลองคิดดูเอานะ..ขอให้อดทนอ่านดูเนื้อหาในกระทู้ไปซัก ๑๐๐ หน้าก่อน แล้วค่อยมาถามดีไม๊ครับ ผมเชื่อว่า คำถามของคุณ อาจเข้าใจได้เมื่อคุณอ่านไปไม่ถึง ๕๐ หน้านะ

    "เมื่อนั้นความรู้ที่คุณควรมีก็พอจะเข้ากระแสของโลกอุดรได้แล้ว"

    ผมไม่อยากใช้คำพูดคำนี้ แต่จำเป็นแล้วครับ<!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    วันนี้คุยเรื่องเบี้ยแก้กันทำไมเนี่ย งงๆ คุยจนได้รู้ราคาทั่วไปเลยนะจากนี่

    http://palungjit.org/showthread.php?t=107167
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pojjy&month=09-2005&date=07&group=2&gblog=6

    คาถาบูชาสมเด็จองค์ปฐม
    <!-- Main -->[SIZE=-1]คาถาแผ่เมตตาขอบารมีสมเด็จองค์ปฐม
    นะโม กาเยนะ วาจายะ เจตะสา วา วะชิรัง นามะ ปะฏิมัง อิทธิธรรมะปาฏิหาริยะกะรัง
    สมเด็จพ่อองค์ปฐมต้นพุทธะรูปัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา อะหัง วันทามิ สัพพะโส สะทา โสตถี ภะวันตุ เม
    ------------------------------------------------------
    สวดอย่างน้อย 9 จบ อย่างมากตลอดเวลา

    นะโมพระพุทธสิกขีพระพุทธเจ้า ขอได้โปรดดลบันตาลให้สรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก ได้หลุดพ้นจากภัยพิบัติวัฏฏสงสารโดยสิ้นเชิง
    ด้วยพระบารมีมิอาจประมาณ ลูกขอนอบน้อมนมัสการด้วยจิตใจ ขอให้ลูกมีจิตสะอาดสว่างใส หลุดพ้นไซร้สู่บ้านนิพพานเทอญ สัมปะจิตฉามิ


    คุณประโยชน์ของการอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาจิตให้สรรพสัตว์ทั้ง 3 โลกไปกับฉัพพรรณรังสี รัศมี 6 ประการ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์แรกเริ่มมีดังนี้

    1. โปรดช่วยสรรพสัตว์ได้ แดนเปรต อสุรกาย มนุษย์โลก สัตว์ทั้งที่มีชีวิตและเป็นภูมิผีวิญญาณเร่ร่อน แผ่ไปทั่วเทวโลก พรหมโลก ได้รับโมทนาบุญกับเรา การแผ่เมตตา แผ่ส่วนกุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก รวมถึงเจ้ากรรมนายเวร จงทำทุกวัน จงตัดเวรตัดกรรม ให้อโหสิกรรมต่อกัน ยกเป็นอภัยทาน ถวายพระพุทธเจ้า ถ้าเราโกรธตอบจะเพิ่มภพชาติให้เกิดมาใช้หนี้เวรกรรมกันอีก

    2. สวดด้วยจิตศรัทธาแท้ เทพ พรหมรักใคร่ สรรเสริญ เมตตาติดตามรักษาเราให้อยู่เย็นเป็นสุข

    3. สวดตลอดเวลา คิดปรารถนาสิ่งใดก็สมหวัง

    4. สวดตลอดเวลาจิตเป็นสมาธิ ภาวนาจิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตสะอาดปราศจากนิวรณ์

    5. จิตสะอาดสว่างไสว จิตหลุดพ้นจากการหลงยึดติดในขันธ์ 5 จิตเป็นจิตประภัสสร เป็น จิตพระอริยบุคคลได้ง่าย เพราะเป็นจิตที่มีเมตตา เคารพบูชา พระรัตนตรัยมองเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นจิตฉลาดไม่มีอวิชชา เป็นจิตที่มีพระนิพพานเป็นกรรมฐานได้ 8 กรรมฐาน คือ

    1) พุทธานุสสติกรรมฐาน
    2) ธรรมนุสสติกรรมฐาน
    3) สังฆานุสสติกรรมฐาน
    4) พรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
    5) อุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความดียิ่งของพระนิพพาน
    6. เป็นการอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ตัดเวรตัดกรรม ยกเป็นอภัยทาน ถวายพระพุทธเจ้า ถ้าเจ้าโกรธก็เป็นการเพิ่มภพเพิ่มชาติ
    7. การอุทิศแผ่กุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก จงทำทุก ๆ วันละอย่างน้อยสวด 9 จบ ช่วยทั้งคนทั้งผี ทั้งสัตว์โลก สัตว์นรก ช่วยเทพเทวดา มีโอกาสโมทนากับพวกเราด้วย
    [/SIZE]
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pojjy&month=07-2005&date=27&group=2&gblog=3

    คำถอนอธิษฐานที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ
    <!-- Main -->โดย พระชุมพล พลปญฺโญ . . . . . ๔ ต.ค. ๒๕๔๓

    อิมัง มิจฉา อะธิษฐานัง ปัจจุทธะรามิ

    ทุติยัมปิ อิมัง มิจฉา อะธิษฐานัง ปัจจุทธะรามิ

    ตะติยัมปิ อิมัง มิจฉา อะธิษฐานัง ปัจจุทธะรามิ

    ข้าพเจ้าขอถอนคำอธิษฐาน ถอนคำสาป ถอนคำแช่ง ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งขึ้น ถึงพร้อมแล้ว ด้วยกิเลส ด้วยตัณหา ด้วยอุปาทาน ด้วยราคะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ ด้วยมานะ ด้วยมิจฉาทิฏฐิ เป็นไปเพื่อความพยาบาทเบียดเบียน สร้างเวรสร้างกรรม ไม่ประกอบด้วยธรรม ไม่ประกอบด้วยวินัย ไม่ประกอบด้วยกุศล ไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ประกอบด้วยบารมี ที่ข้าพเจ้าได้อธิษฐานไว้ สาปไว้ แช่งไว้ ในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี ระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น

    ข้าพเจ้าขออ้างเอาพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระเพลิง แม่พระพาย และเทวดาทั้งหลายทั้งปวง มาเป็นพยาน ว่าข้าพเจ้าขอถอนคำอธิษฐานเหล่านั้น ถอนคำสาปเหล่านั้น ถอนคำแช่งเหล่านั้น ร้อยหน พันหน หมื่นหน แสนหน ล้านหน โกฏิหน ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้ด้วยเทอญ

    นะถอน โมถอน พุทถอน ธาถอน ยะถอน

    นะคลอน โมคลอน พุทคลอน ธาคลอน ยะคลอน

    ถอนด้วย นะ โม พุท ธา ยะ

    ข้าพเจ้าขอยกโทษ อโหสิกรรม และให้อภัย ในความบกพร่อง ผิดพลาด ของสรรพสัตว์ ทั้งหลายทั้งปวง ทุกชีวิต ทุกจิตวิญญาณ ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อเทอญ

    พระชุมพล พลปญฺโญ เขียนเมื่อ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๓

    คำอธิษฐานข้างบนนี้ ถ้าใครใช้อธิษฐานทุกวัน จะช่วยลดวิบากกรรมเวรกรรมทางใจลงได้อย่างมาก

    พระชุมพล พลปญฺโญ

    ๔ ตุลาคม ๒๕๔๓
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pojjy&month=07-2005&date=27&group=2&gblog=2

    คำแผ่บารมีกุศลมหาอธิษฐาน
    <!-- Main -->[SIZE=-1]โดย พระชุมพล พลปญฺโญ . . . . . ๑๖ ก.ค. ๒๕๔๔

    ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระสาวกทุกองค์ พระโพธิสัตว์ทุกองค์ พรหมทุกองค์ เทวดาทุกองค์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์และผู้มีพระคุณทุกท่าน จงมาสถิตอยู่เหนือเศียรเกล้าของข้าพเจ้า ขอให้คำอธิษฐานของข้าพเจ้าศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์จงทุกประการเทอญ

    บุญกุศลที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญมาในอดีตชาติก็ดี ในปัจจุบันชาติก็ดี และที่จะบำเพ็ญไปจนกว่าที่จะถึงซึ่งพระนิพพานก็ดี ที่จะให้ผลแก่ข้าพเจ้าเพียงใด ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนั้นให้แก่จิตวิญญาณทุกดวง ทั้งหมื่นโลกธาตุ แสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้อนุโมทนาในกุศลนั้น และจงพลันบังเกิดเป็นเครื่องสักการะบรรณาการอันเป็นทิพย์ ที่ท่านยินดีพอใจเป็นร้อยเท่าพันทวีที่ท่านต้องการ ขอให้ท่านจงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธรรมสาร สมบัติ พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล ด้วยลาภ ยศ สุข สรรเสริญ และอธิบดีอันเป็นทิพย์ยิ่งยิ่งขึ้นไป ท่านคิดปรารถนาสิ่งใด ขอจงได้สำเร็จสมความปรารถนาทุกสิ่งทุกประการตลอดเวลา ขอให้ท่านจงสถิตอยู่ในฐานะบิดา มารดา ช่วยบำรุงรักษาข้าพเจ้าซึ่งอยู่ในฐานะลูกสาว-ลูกชาย ให้ปราศจากภัยอันตรายจะมาแผ้วพาน ขอให้เจริญรุ่งเรืองในทุกสิ่งทุกประการ จนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในอนาคตกาลอันใกล้นี้ด้วยเทอญ

    อนึ่ง บุญใดที่ท่านทั้งหลายได้บำเพ็ญมาทุกภพทุกชาติ ข้าพเจ้าขออนุโมทนา ขอให้ข้าพเจ้าจงมีส่วนแห่งบุญนั้นจงทุกประการเทอญ

    สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินท่านทั้งหลายด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี ข้าพเจ้าขอกราบแทบเท้าขอขมา ขอท่านทั้งหลายจงโปรดเมตตายกโทษอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ

    สิ่งใดที่ท่านทั้งหลายได้เคยล่วงเกินข้าพเจ้ามาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี ข้าพเจ้าขอยกโทษอโหสิกรรมให้ทั้งหมดทั้งสิ้น

    ขอท่านทั้งหลายจงช่วยเสริมพลังบารมีแก่ข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าคิดจะประกอบกิจการอันใด ที่ไม่ผิดทำนองคลองธรรม ขอให้พลันสำเร็จเป็นอัศจรรย์เหนือมนุษย์ทั้งปวงด้วยเทอญ

    ขออัญเชิญพระศรีอาริย์ เจ้าแม่กวนอิม พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ พระอรหันต์จี้กง เซียนทั้งแปด พระอิศวรนารายณ์ พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาล ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระเพลิง แม่พระพาย พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เทวดาทั้งหลาย นายนิริยบาลทั้งหลาย ท่านผู้มีตาทิพย์ หูทิพย์ ใจทิพย์ทั้งหลาย ท่านผู้มีวิชชา อภิญญา ปฏิสัมภิทาทั้งหลาย จงมารับเอาส่วนกุศล และเป็นพยานในการสร้างกุศลและอุทิศส่วนกุศล พร้อมทั้งนำข่าวคำอธิษฐานของข้าพเจ้า ไปบอกกล่าวแก่สรรพสัตว์ให้รู้ทั่วหน้ากันทุกภูมิทุกชั้น และช่วยทำคำอธิษฐานนั้นให้เป็นจริงด้วยเทอญ

    คำแผ่บารมีกุศลมหาอธิษฐานนี้ ถ้าใครใช้อธิษฐานทุกวันจะช่วยเสริมบารมีให้สำเร็จผลดังใจปรารถนาทุกประการ

    ( ไม่สงวนลิขสิทธิ์ เอาไปพิมพ์เผยแพร่ได้ )
    [/SIZE]<!-- End main-->
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pojjy&month=07-2005&date=16&group=2&gblog=4

    การสวดขอขมา และอธิษฐานจิตเพื่อลดและปลดหนี้กรรมให้น้อยลง
    <!-- Main -->[SIZE=-1](นะโม 3 จบ)
    “ สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต”

    หากขัาพเจ้า จงใจหรือประมาทพลาดพลั้งล่วงเกิน บิดา-มารดา ครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้า ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมทั้งผู้มีพระคุณ และท่านเจ้ากรรมนายเวร จะด้วย กาย วาจา ใจก็ดี ขอได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย

    หากข้าพเจ้ามีเจ้าของในตัวติดตามมาขออนุญาตมีคู่ มีครอบครัวได้เหมือนคนปกติทั่วไป ขอถอนคำอธิษฐานคำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต ขอให้ต่างฝ่ายเป็นอิสระต่อกัน ข้าพเจ้าจะประพฤติตนในทางที่ถูกที่ชอบที่ควร ขอบุญบารมีในอดีตกาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จองส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัวตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้องจงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ สติปัญญา ธนสารสมบัติ อุปสรรคใดๆ โรคภัยใดๆ ขอให้มลายสิ้นไป ขอให้ข้าพเจ้ามีความสว่าง ทั้งทางโลกและทางธรรม ตั้งแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่พระนิพพานเทอญ

    หากมีผู้ใดเคยสร้างเวรสร้างกรรมกับข้าพเจ้า ไม่ว่าจะชาติภพใดก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีอโหสิกรรมให้ ขอถอนคำพยาบาท คำอาฆาต และคำสาบแช่งในทุกชาติ และทุกภพ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชนของเจ้ากรรมนายเวร ขอให้พ้นนรกภูมิ พบแสงสว่างทั้งทางโลก ทางธรรม..... เทอญ

    [/SIZE]
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    มาเล่าความในใจสักเรื่อง

    มีหลายๆท่าน pm เข้ามาหาผม อยากรู้จักผม หรืออยากรู้จักท่านอาจารย์ประถม หรือขอข้อมูลเรื่องของพระวังหน้าฯ ผมเองได้บอกหลายๆครั้งว่า ขอให้เข้ามาคุยกันก่อน หรือร่วมทำบุญกันก่อน เพราะว่าในอดีตเคยมีปัญหาเรื่องของคนหลายๆคนมาแล้ว ผมไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมอีก ผมและคณะต้องพิจารณากันให้มากขึ้น ซึ่งที่ผมบอกว่า ขอให้คุยกันบนบอร์ด(กระทู้พระวังหน้าฯ)ก่อน มีน้อยท่านมากๆที่จะเข้ามาพูดคุยกัน มีหลายๆท่านในคณะ กว่าผมจะขอเบอร์โทร.ก็ใช้ระยะเวลานานพอสมควร บางท่านก็ 7-8 เดือน บางท่านก็เป็นปีก็มี ขนาดใช้ระยะเวลาแล้ว ก็ยังคงเกิดปัญหาขึ้นมาอีกได้

    ผมเองไม่อยากดัง แค่นี้ก็เหนื่อยมากพอสมควรแล้ว คิดว่าเมื่อการสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งเสร็จสิ้น ผมหยุดในทุกๆเรื่อง ส่วนกระทู้นี้ผมคิดไว้นานแล้วว่า ถ้าไม่ปิดกระทู้นี้ก็จะลบกระทู้นี้ แต่น่าจะเป็นประเด็นหลังมากกว่า อีกประการผมเห็นหลายๆท่านที่ดัง ก็มักจะประสพกับปัญหาต่างๆมากมาย

    หากสิ่งที่ผมบอกไปนั้น ไปทำให้ท่านที่อ่านมีความขัดข้องหมองใจ หรือไม่พอใจ ผมขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  17. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137

    <TABLE cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=large>สาระน่ารู้เกี่ยวกับการจัดโต๊ะหมู่บูชา</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>ความเป็นมาการจัดโต๊ะหมู่บูชานี้ เป็นวัฒนธรรมประจำชาติไทยมาช้านาน แต่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า มีมาตั้งแต่สมัยใด สันนิษฐานว่าเดิมอาจจะวางสิ่งเคารพ วัตถุมงคลบนหิ้งหรือบนแท่นมาก่อน ส่วนการจัดวางบนโต๊ะน่าจะได้แบบอย่างมาจากการตั้งโต๊ะน้ำชาของชาวจีนที่มาค้าขายกับไทยในสมัยก่อน

    จากจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๑ ครั้งเมื่อมีงานฉลองวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามหรือวัดโพธิ์ ก็มีการเริ่มจัดโต๊ะบูชาเป็นครั้งแรก ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทางโปรดเกล้าฯ ให้มีการประกวดจัดโต๊ะหมู่บูชาแบบต่าง ๆ ในพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ถึง ๑๐๐ โต๊ะ และรูปแบบการจัดดังกล่าวได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ในสมัยรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีการส่งเสริมพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมเป็นอย่างยิ่ง มีการจัดโต๊ะหมู่บูชาขึ้นเป็นพิเศษในสถานที่ราชการ องค์การและสโมสรทั่วไป

    ขณะเดียวกัน พลเอกมังกร พรหมโยธี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสมัยนั้น ก็สนับสนุนนโยบายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยให้จัดโต๊ะหมู่บูชาในหน่วยงานและสถานศึกษาด้วย รวมทั้งเป็นผู้ริเริ่มให้มีการตั้งเสาประดับธงชาติและพระบรมฉายาลักษณ์เข้าไว้ในโต๊ะหมู่บูชาในพิธีการต่าง ๆ ที่ราชการจัดขึ้น

    เดิมทีมีการกราบบูชาพระรัตนตรัยอย่างเดียว พลเอกมังกร เห็นว่าเมื่อเคารพพระรัตนตรัย (ศาสนา) แล้ว ควรจะได้มีการเคารพธงชาติ (ชาติ) และพระมหากษัตริย์ด้วย เมื่อมีการกราบพระรัตนตรัยแล้ว ก็มีการคำนับธงชาติและพระบรมฉายาลักษณ์ด้วย

    ต่อมาได้มีการประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีให้ถือเอาวันพระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองวันชาติไทย การเคารพธงชาติและพระบรมฉายาลักษณ์ จึงเปลี่ยนเป็นการคำนับเพื่อแสดงความเคารพเพียงครั้งเดียว ไม่ต้องคำนับ ๒ ครั้งดังแต่ก่อน เพราะถือว่าพระมหากษัตริย์และชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

    ปัจจุบันในพิธีเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ในพระราชพิธี รัฐพิธี หรือราษฎร์พิธี ไม่ว่าจะเป็นงานมงคลหรืองานอวมงคลก็นิยมตั้งโต๊ะหมู่บูชาทั้งสิ้น จุดประสงค์ก็เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปพร้อมเครื่องบูชาซึ่งสันนิษฐานว่า คงจะถือเป็นคตินิยมของชาวพุทธตั้งแต่สมัยพุทธกาลว่า เมื่อพุทธศาสนิกชนต้องการบำเพ็ญกุศลใด ๆ นิยมนิมนต์พระสงฆ์ ซึ่งมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุขมาในงานนั้น ๆ ด้วยเพื่อให้พระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ พร้อมบริบูรณ์ คตินิยมนี้จึงถือต่อเนื่องสืบมา

    ดังนั้น ศาสนาพิธีทางพระพุทธศาสนาจึงนิยมอัญเชิญพระพุทธรูปเป็นนิมิตแทนองค์พระพุทธเจ้ามาประดิษฐานไว้ในพิธีด้วย

    การจัดโต๊ะหมู่บูชามีหลายโอกาส อาทิ การจัดโต๊ะหมู่บูชาประจำหน้าพระประธาน การจัดในพิธีสงฆ์ การจัดในการประชุม อบรม สัมมนา เป็นต้น โดยทั่วไปนิยมตั้งโต๊ะหมู่บูชาใน ๒ กรณี คือ
    ๑. ในพิธีทางพุทธศาสนา เช่น การทำบุญ ฟังเทศน์ ฯลฯ
    ๒. ในพิธีถวายพระพรหรือตั้งรับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

    การจัดโต๊ะหมู่บูชาโดยเฉพาะเครื่องบูชาบนโต๊ะ อันได้แก่ พานพุ่ม แจกันดอกไม้ กระถางธูป เชิงเทียนถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ ผู้จัดควรทำด้วยความประณีตบรรจง เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเคารพต่อพระรัตนตรัยและยังเป็นการแสดงออกถึงศิลปะในการจัดอีกด้วย


    การจุดธูป ๓ ดอก เป็นการบูชาพระคุณของพระพุทธเจ้า ๓ ประการคือ
    ๑. บูชาพระปัญญาคุณ
    ๒. บูชาพระวิสุทธิคุณ
    ๓. บูชาพระมหากรุณาธิคุณ

    การจุดเทียน ๒ เล่ม เป็นการบูชาพระธรรมและพระวินัย เล่มขวาของพระพุทธรูปหรือด้านซ้ายของผู้จุดเป็นเทียนพระธรรม เล่มซ้ายของพระพุทธรูปหรือด้านขวาของผู้จุดเป็นเทียนพระวินัย


    หลักเกณฑ์และวิธีการจัดโต๊ะหมู่บูชามีหลายแบบ ที่สำคัญคือ การตั้งเครื่องบูชาทุกชนิด จะต้องไม่สูงกว่าพระพุทธรูปที่ประดิษฐานบนโต๊ะหมู่บูชาที่อยู่สูงสุด ส่วนปริมาณเครื่องบูชาอาจแตกต่างกันตามประเภทของโต๊ะหมู่ซึ่งมีหลายแบบ เช่น โต๊ะหมู่ ๔, หมู่ ๕, หมู่ ๗, หมู่ ๙ และหมู่ ๑๕ เป็นต้น แต่ละแบบก็จะมีการจัดและความหมายแฝงอยู่ ซึ่งจะขอยกเป็นตัวอย่างการจัดโต๊ะหมู่บูชาที่เป็นที่นิยมจัดกันทั่วไป ดังนี้

    โต๊ะหมู่ ๕ ประกอบด้วย กระถางธูป ๑ กระถาง, เชิงเทียน ๓ หรือ ๔ คู่, พานดอกไม้ ๕, แจกัน ๒ คู่ ซึ่งแต่ละอย่างมีความหมายดังนี้
    กระถางธูป 1 กระถาง หมายถึง เอกกัคคตา คือ จิตเป็นหนึ่งเดียว หรือบริสุทธ์ หรืออุเบกขา
    แจกันดอกไม้ ๔ ชุด หมายถึง อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
    พานดอกไม้ ๕ พาน หมายถึง ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    เชิงเทียน ๖ อัน (๓ คู่) หมายถึง อายตนภายนอก ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
    เชิงเทียน ๘ อัน (๔ คู่) หมายถึง อริยมรรค มีองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายะ สัมมาสติ
    และสัมมาสมาธิ

    โต๊ะหมู่ ๗ ประกอบด้วย กระถางธูป ๑ กระถาง, เชิงเทียน ๔ หรือ ๕ คู่, พานดอกไม้ ๕, แจกัน ๒ คู่, เชิงเทียน ๑๐ อัน (๕ คู่) หมายถึง ทศบารมี ๑๐ คือ
    ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา และอุเบกขา

    โต๊ะหมู่ ๙ จะประกอบด้วยกระถางธูป ๑ กระถาง, เชิงเทียน ๖ หรือ ๔ คู่, พานดอกไม้ ๗ พาน, แจกัน ๓ คู่
    พานดอกไม้ ๗ พาน หมายถึง โพธิ์ฌงค์ ๗ คือ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปิติ ปัสสสัทธิ สมาธิ และอุเบกขา
    เชิงเทียน ๑๒ อัน หมายถึง อาตยภายในและภายนอก คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์

    อนึ่ง ในพิธีส่วนตัว เช่น ทำบุญอัฐิ ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ หรือทำบุญใด ๆ เฉพาะตน และมีพื้นที่ในการจัดจำกัดหรือหาโต๊ะหมู่ตามกำหนดไม่ได้หรือมีทุนทรัพย์จำกัด อาจดัดแปลงเครื่องบูชาและรูปแบบการจัดก็ได้ โดยยึดหลักว่า
    ๑. พระพุทธรูปต้องอยู่สูงกว่าเครื่องบูชาทุกชนิด
    ๒. เครื่องบูชาอย่างน้อยที่สุดต้องมีแจกันดอกไม้ ๑ คู่ เชิงเทียน ๑ คู่ และกระถางธูป ๑ กระถาง ส่วนพานดอกไม้จะมีหรือไม่ก็ได้

    โดยปกติ การตั้งโต๊ะหมู่บูชาที่มีเฉพาะพระพุทธรูป (ไม่มีธงชาติหรือพระบรมฉายาลักษณ์) จะมี ๓ ลักษณะ คือ
    ๑. งานพิธีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ เป็นประธานหรือโปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนพระองค์มางาน เช่น พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ฯลฯ
    ๒. งานศาสนพิธีวันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา ฯลฯ
    ๓. งานพิธีที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นสิริมงคล เช่น พิธีวางศิลาฤกษ์ เปิดอาคาร งานขึ้นบ้านใหม่ ฯลฯ

    ส่วนการตั้งโต๊ะหมู่บูชาในบางพิธีของทางราชการ เช่น การอบรม ประชุม สัมมนา ฯลฯ นิยมตั้งธงชาติและพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร่วมกับโต๊ะหมู่บูชาเพื่อให้ครบทั้ง ๓ สถาบัน คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยมีหลักคือ โต๊ะหมู่บูชาอยู่ตรงกลาง ธงชาติอยู่ด้านขวาของโต๊ะหมู่ พระบรมฉายาลักษณ์หรือพระบรมสาทิสลักษณ์ไว้ทางซ้ายของโต๊ะหมู่

    สำหรับ การตั้งโต๊ะหมู่ถวายพระพรหรือรับเสด็จ มีหลักว่าไม่ต้องประดิษฐานพระพุทธรูป แต่ประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ไว้ที่โต๊ะหมู่ตัวสูงสุดแทน โดยมีเครื่องสักการะคือ แจกัน พุ่มดอกไม้ ธูปเทียนแพ (ธูปต้องอยู่ข้างบนเทียน) และกรวยดอกไม้มีฝากรวยครอบวางบนธูปเทียนแพ

    ธูปเทียนแพจะอยู่โต๊ะหมู่ตัวต่ำสุด ปริมาณเครื่องสักการะจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสวยงามและชนิดของโต๊ะหมู่ และการจัดโต๊ะหมู่แบบนี้ไม่ต้องมีเสาธงชาติ และส่วนมากไม่นิยมใช้เชิงเทียนและกระถางธูป หากมีก็ไม่มีการจุดทั้งธูปและเทียน ตั้งเป็นเครื่องประดับโต๊ะหมู่เท่านั้น การปฏิบัติเพื่อถวายสักการะให้ถวายคำนับและเปิดกรวยทีครอบออก จากนั้นถวายคำนับอีกครั้ง

    อนึ่ง งานที่ไม่ต้องตั้งโต๊ะหมู่บูชา ได้แก่ งานประชุมนานาชาติและไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และงานประชุมคณะกรรมการหรืออนุกรรมการต่าง ๆ ตามปกติ


    เรื่อง-ภาพ: ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ

    (จากหนังสือพิมพ์คม-ชัด-ลึก ฉบับวันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2546)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    วันหยุด ๔ วันนี้ เลือกเอาเวลา ๑ วันมาจัดหิ้งพระใหม่ นำ"โต๊ะหมู่ ๙" มาจัดใหม่ แต่"ไม่เป็น"ไปตามหลักเกณฑ์ข้างบนนี้

    โต๊ะตัวที่ ๑ (ซ้าย/บน) สมเด็จองค์ปฐมเนื้อเรซิ่นบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๙ นิ้ว-พระวิสุทธิเทพ-พระศรีอารยเมตไตรย-พระบูชารัตนโกสินทร์ทรงเครื่อง

    โต๊ะตัวที่ ๒ (กลาง/บน) สมเด็จองค์ปฐม ๙ นิ้ว(นำไปปิดทองเพชรทั้งองค์ทั้งองค์ด้านหน้า และด้านหลัง)

    โต๊ะตัวที่ ๓ (ขวา/บน) สมเด็จพระสมณโคดมแก้วใส ๙ นิ้ว พร้อมฉัตรแก้วคู่ ๙ ชั้น(สั่งทำพิเศษถวาย)

    โต๊ะตัวที่ ๔ (ซ้าย/กลาง) พระปัจเจกพุทธเจ้า-พระบรมธาตุพระปัจเจกพุทธเจ้าจากเขาสามร้อยยอด

    โต๊ะตัวที่ ๕ (กลาง/กลาง) พระบรมสารีริกธาตุ-พระบรมธาตุ-พระธาตุอรหันต์สาวก

    โต๊ะตัวที่ ๖ (ขวา/กลาง) พระบรมพระพุทธวงศ์ จากวัดโขงขาว-ภาพพระพุทธสมณโคดม เพ่งกระแสจิตโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว) อุปเสนโน-หลวงพ่อโสธร-พระแก้วมรกต-พระบรมธาตุพระปัจเจกพุทธเจ้า-น้ำมนต์จากพิธีต่างของวัดท่าซุง-พระบูชาทรงเครื่อง พระประธานวัดหน้าพระเมรุ ปี ๒๕๐๐ ปลุกเสกโดยหลวงปู่ดู่ วัดสะแก-พระรอดบรรจุเส้นเกศา พระธาตุข้าวบิณฑ์ จีวร ของหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน

    โต๊ะตัวที่ ๗ (ซ้าย/ล่าง) พระอานนท์ พระพุทธอนุชา และพระพุทธอุปัฏฐาก และพระธาตุพระอานนท์ได้รับจากคุณ marcbangkok-พระสีวลี จากวัดโขงขาว จากวัดถ้ำอภัยดำรงค์ธรรมสร้างโดยพระอาจารย์วัน อุตตโม จ.สกลนคร จากวัดถ้ำรัตนคีรี และพระธาตุสีวลี พระสีวลีต้น หลวงพ่อแขนลาย จากวัดศาลาปูน

    โต๊ะตัวที่ ๘ (กลาง/ล่าง) หลวงปู่ทวดดินกากยายักษ์-หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่สร้างโดยหลวงปู่ดู่ วัดสะแก-บาตรน้ำมนต์จารึกพระคาถาชินบัญชรรอบบาตร ฝาบาตรจารึกพระคาถาพาหุง ๘ บท-บังเทียน และพระบูชาหลวงปู่สมเด็จโต พรหมรังสี จากกรุวังหน้า

    โต๊ะตัวที่ ๙ (ขวา/ล่าง) พระบูชาหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร-พระบูชาหลวงปู่สมเด็จโตพิมพ์ฐานโสฬสสรตะ-พระพิมพ์ท้าวเวสสุวัณ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010467.jpg
      P1010467.jpg
      ขนาดไฟล์:
      468.8 KB
      เปิดดู:
      79
    • P1010470.jpg
      P1010470.jpg
      ขนาดไฟล์:
      408.1 KB
      เปิดดู:
      59
    • P1010468.jpg
      P1010468.jpg
      ขนาดไฟล์:
      482.1 KB
      เปิดดู:
      61
    • P1010471.jpg
      P1010471.jpg
      ขนาดไฟล์:
      339.3 KB
      เปิดดู:
      60
    • P1010472.jpg
      P1010472.jpg
      ขนาดไฟล์:
      427.1 KB
      เปิดดู:
      60
    • P1010473.jpg
      P1010473.jpg
      ขนาดไฟล์:
      569.5 KB
      เปิดดู:
      63
    • P1010474.jpg
      P1010474.jpg
      ขนาดไฟล์:
      512 KB
      เปิดดู:
      59
    • P1010475.jpg
      P1010475.jpg
      ขนาดไฟล์:
      495.3 KB
      เปิดดู:
      60
    • P1010476.jpg
      P1010476.jpg
      ขนาดไฟล์:
      456.7 KB
      เปิดดู:
      63
    • P1010477.jpg
      P1010477.jpg
      ขนาดไฟล์:
      416.6 KB
      เปิดดู:
      62
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โอ้โห งานนี้เปิดให้ชมถึงบ้านแล้วครับ
    โพสนี้ต้อง (*) (*) (*) (*) (*)

    โมทนาสาธุครับคุณเพชร
    (good)
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://th.wikipedia.org/wiki/ภาพ:Chaipattana.gif

    [​IMG]

    สัญญาอนุญาต
    <TABLE class=boilerplate id=pd style="BORDER-RIGHT: #8888aa 2px solid; PADDING-RIGHT: 5px; BORDER-TOP: #8888aa 2px solid; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 5px; BORDER-LEFT: #8888aa 2px solid; WIDTH: 80%; PADDING-TOP: 5px; BORDER-BOTTOM: #8888aa 2px solid; POSITION: relative; BACKGROUND-COLOR: #ffffdd" align=center><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]

    [​IMG]
    </TD><TD>นี่คือภาพ ธง หรือ ตราสัญลักษณ์ ของหน่วยงาน ที่มีลิขสิทธิ์
    การนำเสนอภาพธง หรือ ตราสัญลักษณ์ใด ๆ ในบทความของวิกิพีเดีย อาจถือได้ว่าเป็นการใช้งานโดยชอบธรรม (fair use) ตามบทบัญญัติของกฎหมายลิขสิทธิ์สหรัฐอเมริกา การใช้ภาพธง หรือ ตราสัญลักษณ์นี้มิได้หมายความว่าได้รับการรับรองโดยองค์กรของวิกิพีเดียหรือมูลนิธิวิกิมีเดีย ดู วิกิพีเดีย:เครื่องหมายและสัญลักษณ์ และ วิกิพีเดีย:ลิขสิทธิ์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ประวัติไฟล์

    กดเลือก วัน/เวลา เพื่อดูไฟล์ที่แสดงในวันนั้น
    <TABLE class=filehistory><TBODY><TR><TD></TD><TH>วันที่/เวลา</TH><TH>ผู้ใช้</TH><TH>ขนาด</TH><TH class=mw-imagepage-filesize>ขนาดไฟล์</TH><TH>ความเห็น</TH></TR><TR><TD>(ปัจจุบัน)</TD><TD>09:57, 2 เมษายน 2550</TD><TD>Pi@k (พูดคุย | หน้าที่เขียน)</TD><TD>100x148</TD><TD class=mw-imagepage-filesize>10 กิโลไบต์</TD><TD>ตราสัญลักษณ์ มูลนิธิชัยพัฒนา จาก [http://www.chaipat.or.th/chaipat/noframe/thai/symbols.html]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://th.wikipedia.org/wiki/มูลนิธิชัยพัฒนา

    มูลนิธิชัยพัฒนา
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    [​IMG]
    มูลนิธิชัยพัฒนา (The Chaipattana Foundation) เป็นมูลนิธิซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำริให้จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และโครงการพัฒนาอื่นๆเพื่อช่วยเหลือประชาชนในด้านเศรษฐกิจ และสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถพึ่งพาตนเองได้
    การดำเนินงานของมูลนิธิชัยพัฒนา จะเน้นกิจกรรมเพื่อการพัฒนาที่ไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการของรัฐที่มีอยู่แล้ว แต่จะพยายามสนับสนุน ส่งเสริม และ ประสานงานให้โครงการต่างๆ เกิดความสมบูรณ์และสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยเฉพาะในกรณีที่โครงการของรัฐถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขของระเบียบต่างๆ ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ทันที เช่นในกรณีที่อาจต้องจัดซื้อที่ดินจากราษฎรบางส่วน แต่รัฐมีปัญหางบประมาณ หรือถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขของระเบียบต่างๆ มูลนิธิชัยพัฒนาจะช่วยเหลือตามความเหมาะสม เพื่อให้โครงการนั้นดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนเริ่มแรกในการจัดตั้งมูลนิธิชัยพัฒนา และผู้มีจิตศรัทธาได้ทูลเกล้าฯ ถวายสมทบ
    มูลนิธิชัยพัฒนาก่อตั้งเมื่อ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๓๑ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่๑๐๕ ตอนที่ ๑๐๙ วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำรงตำแหน่งนายกมูลนิธิ ด้วยพระองค์เอง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงดำรงตำแหน่งองค์ประธานบริหารมูลนิธิ โดยมี ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เป็นเลขาธิการมูลนิธิ

    [แก้] อ้างอิง
    <!-- Pre-expand include size: 0/2048000 bytesPost-expand include size: 0/2048000 bytesTemplate argument size: 0/2048000 bytes#ifexist count: 0/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:33241-0!1!0!!th!2 and timestamp 20080102024724 -->ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2".
    หมวดหมู่: โครงการตามแนวพระราชดำริ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Chaipattana.gif
      Chaipattana.gif
      ขนาดไฟล์:
      9.6 KB
      เปิดดู:
      1,204
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.chaipat.or.th/chaipat/index.php?option=com_content&task=view&id=13&Itemid=64

    <TABLE style="WIDTH: 100%" cellSpacing=1 cellPadding=1 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​



    <TABLE style="WIDTH: 100%" cellSpacing=1 cellPadding=1 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชดำริให้จัดตั้ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • conch.gif
      conch.gif
      ขนาดไฟล์:
      6.4 KB
      เปิดดู:
      1,026
    • flag.gif
      flag.gif
      ขนาดไฟล์:
      9 KB
      เปิดดู:
      416
    • lotus.gif
      lotus.gif
      ขนาดไฟล์:
      8.3 KB
      เปิดดู:
      369
    • sword.gif
      sword.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.6 KB
      เปิดดู:
      1,004

แชร์หน้านี้

Loading...