ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 30 มิถุนายน 2010.

  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอเวลารวบรวม-เรียบเรียงก่อนนะครับ
    เดี๋ยวจะมาตอบให้ครับ


    ................................
     
  2. (อโศก)

    (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445
    ผมว่าไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมดาของการแปลภาษาเป็นเรื่องของความเข้าใจมากกว่า เขาแปลดีนะ แต่ความเข้าใจศัพท์ทางเทคนิคนี่เขายั้งสับสนมึนๆๆอยู่ เท่าที่สังเกต คนจะแปลได้ถูกได้ผิดนี่มันขึ้นกับความเข้าใจ งานแปลนี่ยากมาก.................

    ถ้าเข้าใจก็จะรู้ว่านิพพานไม่ใช้ดินแดนในอีกมิติอะไรเทือกนี้ ก็จะไม่ใช้คำว่านิพพานมาตั้งแต่ต้นฉบับหรอกครับ(หมายถึงคุณฝรั่ง) เขาก็ควรจะใช้คำว่าพุทธเกษตร สุขาวดี พุทธภูมิเทือกนี้ ต้นฉบับเขาก็ยังเข้าใจผิดๆๆถูกๆๆกวนไปงั้นๆๆ ส่วนคนแปลถ้ามีความเข้าใจก็จะรู้ว่าเฮ้ยมันเพี้ยนมาตั้งแต่ต้นฉบับแล้วนิพพานไม่ใช่ดินแดนนี่หว่า ดินแดนอะไรพุทธศาสนามีพูดถึงด้วยคำอื่นและความหมายต่างกันด้วยซ้ำไป

    เข้าใจว่าตอนแปลคนแปลก็อาจจะเข้าใจผิดว่านิพพานกับสุขาวดีมันอันเดียวกันเลยแปลไปอย่างงั้น
    สองไม่แน่ใจ ว่านิพพานคือดินแดนไหมเลยหันมาใช้สุขาวดีแปลแล้ววงเล็บไว้ว่าต้นฉบับเขาใช้นิรวาณ เพราะเท่าที่คนแปลจับใจความก็พบว่านิรวาณในกระทู้ต่างมิติคือ ดินแดนทิพย์อะไรสักอย่าง



    ที่นี้สสารคือพลังงาน มันเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ครับ แต่ไม่ใช่พลังงานทุกชนิด สามารถอธิบายได้ด้วยลักษณะของคลื่น คลื่นกับพลังงานนี่คืออันเดียวกันอยู่แล้ว อย่างคลื่นน้ำ ก็คือพลังงานที่เกิดจากการสั่นของโมเลกุลน้ำใช่ไหมครับ จะบอกโมเลกุลน้ำได้พลังงานแล้วสั่นก็ได้ ไม่ต่างกัน

    ทีนี้ความคิดนี้มันแปลกตรงที่ ตัวอนุภาคนี่มันเป็นคลื่นได้ด้วย(เขาเรียกว่าคลื่นของความน่าจะเป็น คลื่นน้ำ คลื่นเสียงไม่แปลกใช่ไหม แต่คลื่นความน่าจะเป็นนี่มันอะไรหว่า นี่แหละควอนตัมมันถึงแปลก) คือโมเลกุลน้ำนี่มันมองในมุมของอนุภาคก็ได้ ในมุมคลื่นก็ได้ ดังนั้นอนุภาคทุกชนิดก็เลยสามารถอธิบายได้ด้วยสมการเชิงคลื่นก็ได้ หรือ ที่เรียกสมการชโรดิงเจอร์ครับ

    คือใช้สมการแบบเดียวกับที่เราเคยใช้อธิบายการเคลื่อนที่ของคลื่นน้ำ เสียงเทือกนี้ มาอธิบายอนุภาคได้ด้วยว่าเคลื่อนที่แบบไหน ได้ผลไม่แตกต่างจากการมองว่าอนุภาคเป็นอนุภาคและใช้สมการแบบมุมมองอนุภาคบรรยาย
    .....

    เวลาเห็นข้อความต่างมิติอ้างผิดอ้างถูกทีไรแล้วปวดใจ.........................ทุกที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2014
  3. LadyOfLight

    LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +2,472
    ถ้าอ่านข้อความของ Matthew Wards อย่างค่อนข้างละเอียดไม่ใช่เพียงข้อความเดียวหรือสองสามข้อความ
    ก็จะทราบว่า เค้าใช้ คำว่า Nibbana แทนความเป็นนิพพาน
     
  4. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842
    ปู้โธ่เอ้ย วันก่อนเพิ่งชมว่าพอจะมีสมองอยู่บ้าง ทำไมไม่เข้าใจกันน๊า เรื่องง่ายๆ
    เค้าใช้เทคนิค คุยคนละเรื่องเดียวกัน กับ จับแพะมาชนแกะ และอื่นๆ อีกมากมาย
    ลูกค้าประจำ เค้าเข้าใจกันทั้งนั้นแหละคู้ณ ไม่รู้โง่จริงหรือแกล้งโง่กันเนี่ย เฮ้อ..ปวดตับ

    ขอแนะนำเทคนิคพื้นบ้าน(ไหน) ให้ซักอันละกัน อย่าชมว่าเสือกเลยนะ
    รับได้แค่ไหน ก็เอาแค่นั้นล่ะวะ จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็อ่านๆ มันเข้าไป
    สะสมไว้เรื่อยๆ เดี๋ยววันนึงมันก็เก็ทเองละ หรือถ้าไม่เก็ทก็โกไปเลย อย่ามาอ่าน 555


    กระต่ายป่า ข้างวัด / ค้างคาวแห่งแสง

    .
     
  5. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,080
    ค่าพลัง:
    +10,246
    เหตุที่ผมติดตามอ่าน "ข้อความจากต่างมิติ" ก็เพราะมีการอธิบาย โลก และ ชีวิต
    ในแง่มุมที่แปลก แตกต่างจากที่เคยเรียนมาก่อนนี่แหละครับ

    ผมเห็นว่า ความรู้ไม่ใช่ความจริง แต่เป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อช่วยให้รู้ความจริงครับ

    ดังนั้นความจริงอันหนึ่ง ก็จะมีความรู้ในเรื่องนั้น แตกต่างกันหลายแบบครับ
    เช่น การเรียนรู้ ก็มีทฤษฎีการเรียนรู้อยู่หลายทฤษฎี ซึ่งทุกทฤษฎี ก็มีผลการวิจัย
    สนับสนุน จนปฏิเสธว่าไม่ถูกไม่ได้ แต่จะว่าถูกทั้งหมดก็ไม่ได้ เนื่องจากคำอธิบาย
    ของแต่ละทฤษฎีขัดแย้งกันอยู่ครับ

    ซตพ.
     
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    คนที่คิดว่าตัวเอง "รู้จัก" และ "เข้าใจ" คำว่า "นิพพาน" ดีแล้ว
    ลองคิดดูใหม่นะครับ..เพราะว่าขนาดพระผู้ใหญ่ในศาสนาพุทธ
    ก็ยังแยกออกเป็นสองฝักสองฝ่าย และก็ยังถกเถียงกันไม่จบอยู่เลย
    ว่านิพพานเป็นอย่างไรกันแน่..555

    แล้วจะนับประสาอะไรกับคนที่ แม้แต่ "นั่งสมาธิ" ก็ยังไม่เคยนั่งเลย
    หรือถ้าเคย ก็ฝึกมาแค่กิ๊กๆก๊อกๆ แล้วจะมาเข้าใจภาคปฏิบัติของธรรมะได้อย่างไร

    นิพพานหนะ มันไม่ได้เข้าถึงโดยการอ่านและการตีความเอาตามคำศัพท์ที่บัญญัติไว้หรอกนะครับ
    อย่าไปยึดติดกับคำศัพท์บัญญัติกันนักเลย เพราะว่าปัญหาด้านภาษาหนะ
    มันก็มีอยู่เป็นของธรรมดา ในทุกยุกต์ทุกสมัย และในทุกเรื่องนั่นแหละ

    แล้วนานๆไป ท่านก็อาจจะนึก "สงสัย" อยู่ในใจเหมือนกับผมก็ได้
    ว่า เอ..หรือว่าที่เราเคยเข้าใจมา หรือที่เคยถูกบอก ถูกสอนมา
    มันจะไม่ใช่หว่า หรือมันอาจจะมีอะไรที่มากกว่า จะเอามาแปลความหมายแบบตรงไปตรงมาได้หว่า??
    อะไรแบบนั้น..

    สรุปว่า เมื่อยังไม่รู้จริง ก็แค่เปิดใจรับฟังไว้ก่อน แต่อย่าเพิ่งด่วนฟันธง
    ในสิ่งที่ตัวเองก็ยังไม่รู้จักดีพอนักเลย เพราะว่าความจริงคือ เมื่อเรายังไม่บรรลุอะไรเลย
    สิ่งที่เรายังไปไม่ถึงนั้น มันอาจจะเป็นอะไรที่เหนือกว่า และ ซับซ้อนกว่าที่เราเคยคิดเอาไว้ก็ได้

    และผมก็ยังยืนยันอยู่นะครับว่า คำว่านิพพานตามศัพท์บัญญัติของพุทธหนะ
    ผมก็รู้จัก และก็อ่านเข้าใจ ตามตัวอักษรที่เขาพรรณาให้อ่านเหมือนกัน
    ซึ่งก็เหมือนกับทุกๆคนนั่นแหละ แต่ตอนนี้ ตามความเข้าใจของผม
    ผมว่ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากกว่าการคิดแบบเส้นตรงของมนุษย์ซะแล้ว

    และผมก็มีเหตุผลของผมเอง ในการเลือกใช้ "ศัพท์" ในการแปลทุกๆคำนั่นแหละครับ
    เพียงแต่มันอาจจะพูดไม่ได้ และ อาจจะไม่ตรงกับความคิด และ ความเข้าใจของท่านเท่านั้นเอง
    ...................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2014
  7. (อโศก)

    (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445
    เป็นไงไป นี่แหละน้าสังคมสติปัญญา มันคงจะมีขึ้นมาได้ในประเทศไทย กลัวกันนักไอ้การเอาความจริงมาพูดเนี่ย
    เรื่องนิพพานนี่ต้องเข้าใจนะครับว่าเป็นเรื่องที่วิสัยปุถุชนจะเข้าใจได้ เพราะไม่ใช่เรื่องเหนือวิสัยซึ่งมีสี่เรื่องนะครับ นิพพานนี่ไม่จัดว่าเป็นหนึ่งในนั้น
    ดังนั้นมันเข้าใจได้ ถ้าสนใจส่วนจะปฏิบัติถึงไม่ถึงมันอีกเรื่องหนึ่ง

    ตามปกติเขามีแต่เข้าใจก่อนแล้วทำตามความเข้าใจนั้น ไม่มีหรอกครับไม่รู้อะไรและคลำมั่วไปเรื่อยชาติหน้าจะประสบความสำเร็จไหม....และมันไม่ต้องรอจนเป็นพระอริยะจึงเข้าใจเป็นพระพุทธเจ้าจึงเข้าใจด้วยยังไม่รู้อะไรก็เข้าได้ มันเป็นแบบนี้ แต่มันอาจจะไม่ซึ้งเหมือนได้ดื่มผลของมัน

    ไอ้พวกหน้าแหกแล้วอ้างปฏิบัติอ้างอะไรมันน่าหัวเราะ....คือกูไม่รู้ไม่เข้าใจแทนที่จะไปศึกษาให้รู้ให้เข้าใจ เสือกบอกไร้สาระ ขนาดเข้าใจยังไม่ถูกเลยแล้วที่ปฏิบัติปฏิบัติอะไรว่ะ

    แค่ทฤษฏีมันทำให้เข้าถึงไม่ได้เออผมไม่เถียง แต่แค่ปฏิบัติมันก็ทำให้เข้าถึงไม่ได้เหมือนกัน ยังไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด ถามหน่อยมันปฏิบัติถูกได้ไง มันทำถูกได้มันต้องเข้าใจถูก มันต้องมีสัมมาทิฏฐิก่อน สัมมาทิฏฐิเป็นองค์แรกของมักแปดนะครับพระพุทธเจ้าไม่ได้เอามาเรียงไว้ตัวแรกแบบมั่วๆๆนะครับ ปฏิบัติกับปริยัติมันต้องไปด้วยกันควบคู่ไปแล้วได้ปฏิเวธ ไอ้ประเภทปฏิบัติไปทาง ปริยัติไปทาง มันก็เหมือนคนทำอาหารที่ตัวเองไม่เคยกิน แล้วนั้นกัดคู่มือ กับพวกทิ้งคู่มือลงมือทำส่งเดช ชาติหน้ามันคงจะได้หรอกอาหารจานนั้น

    วิชาเลขเขาก็ต้องเข้าใจสูตร นิยาม ทฤษฏีก่อน จึงจะแก้ปัญหาได้ใครเก่งก็แสดงว่าซ้อมบ่อย การปฏิบัติธรรมก็เช่นกันเขาก็เข้าใจหลักก่อนทั้งนั้นและโยงมาหาการทำให้เป็นจริงในชีวิตแล้วได้ผลตามนั้น

    ยิ่งเรื่องนิพพานนี่มันเคลีย์แล้วนะครับ ถ้ารู้จักเปิดตำราอ่านสักบ้าง ก็จะพบว่าท่านพูดไว้เคลีย์แล้วว่ามันเป็นยังไง ยังไงไม่ใช่ยังไงเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะเป็นเรื่องหัวใจเรื่องหลักใจความสำคัญจะไม่เคลีย์มันไม่ได้ เดี๋ยวคนปฏิบัติมันเข้าใจผิดไปไกล ความหวังดีของคนโบราณ...ท่านคงเสียใจตายมารู้พฤติกรรมของคนยุคนี้

    ส่วนพระผู้ใหญ่ในศาสนาพุทธ จะเถียงกันยังไงไม่สนใจเพราะพระพุทธเจ้าตรัสให้ธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนเราไม่ใช่พระผู้ใหญ่ พระผู้ใหญ่แล้วไงฉลาดกว่าเราหรือครับ ถามหน่อยอาจจะโง่กว่าเราก็ได้ คุณธรรมอาจจะด้อยกว่าเราก็ได้ แค่โกนหัวอายุมากบวชนานจีวรเก่ากินข้าวมื้อเดียวไม่ได้หมายความว่าคนๆๆนั้นจะดีกว่าเราหรอก ทำไมต้องเชื่อ พระไตรปิฏกมีท่านแสดงชัดเจนไม่ขัดแย้งกันเสียด้วยซ้ำ เพราะถ้าขัดท่านก็ชำระกันจนมันได้ข้อสรุปมติที่แท้จริงแล้ว....รู้จักอ่านหนังสือมันไม่ทำให้โง่ขึ้นหรอก มีแต่จะฉลาดขึ้นมันโง่เพราะไม่อ่านหรืออ่านไม่แตกและทำตัวเป็นผู้รู้

    นี่แหละคนไทย ............ไอ้ความจริงนี่เกลียดนักกลัวนักกลัวจะโง่หรือครับ ยิ่งกลัวมันยิ่งโง่ ไม่รู้ก็ว่าไม่รู้เข้าใจผิดก็ว่าเข้าใจผิดเดี๋ยวผมจะไปศึกษามาใหม่ให้รู้ให้เข้าใจ
    ไอ้หลักการใช้ชีวิตง่ายๆๆแค่นี้ รู้กันทุกคนแต่ไม่รู้จักเอามาใช้

    คงจะเจริญล่ะบ้านเมืองนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2014
  8. (อโศก)

    (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445

    โอ๊ยเฮียจะเอาอะไรกับผม ผมคิดอะไรอยู่คนอย่างเฮียจะเข้าใจหรือ....ก็เหมือนที่ผมไม่เข้าใจเฮียนั้นแหละเฮียพูดภาษาคนกับเขาที่ไหนล่ะ..................
    ไอ้จับแพะชนควายชนหมาอะไรนั้นผมรู้แล้ว ว่ามันเป็นทำนองนี้ แต่ที่ผมทำนะมีจุดมุ่งหมายนะ...เพื่อกระตุ้นให้หันหาข้อมูลอะไรที่แน่นอนศึกษาแบบจริงจังเอาให้รู้จริง ว่าที่ทักนะจริงอย่างมันทักหรือเปล่า

    ไม่ใช่ปัญญาอ่อนแบบเกลียดกระทู้นี้ไม่ชอบข้อความต่างมิติ หรืออะไรปัญญาอ่อนแบบนั้นหรอก....ผมไม่อ่านเสียด้วยซ้ำหลี่ตาดูนิดๆๆยังเห็นที่ผิดเต็มไปหมดถ้าจ้องจับผิดมันคงได้ทุกบรรทัดแล้วมั้ง

    เรื่องง่ายๆๆแค่นี้ ไม่เข้าใจกันหรือไงว่ะ บางอย่างมันไม่ใช่จะให้บอกใช่ได้ไง บางอย่างมันเพี้ยนเสพไปเป็นมลพิษกับสติปัญญามันก็ต้องท้วง แทนที่จะรู้จักไปดูสิว่าที่เขาทักเขาพูดนะจริงไหม


    มีแต่แถไปแถมา ไม่พอใจ อะไรบ้าบอ กลัวหน้าจะแหกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้รู้พหูสูตร ว่างั้น......... ชาติหน้ามันคงจะฉลาดหรอกไอ้วิธีคิดแบบนี้........จะเลื่อนลำดับทางจิตใจบ้างล่ะ มันคงจะเลื่อนล่ะพฤติกรรมแบบนี้.....บากว่าหาความจริงหาสัจจะ พอเจอสัจจะเจออะไรก็รับไม่ได้ ซะงั้น


    อายุอานามแต่ละคนก็ใช่ย่อยๆๆแล้วผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็เยอะ จริงเท็จไม่รู้จักแยกเยอะ อย่างน้อยก็หัดตรวจสอบ ไม่ละอายแก่ใจในความเลอะเลือนของตัวเองหรือครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2014
  9. อจิตตะ

    อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +1,840
    [​IMG]


    THE HILARION’S WEEKLY MESSAGE 2014

    February 16-23, 2014
    วันที่โพสท์ _Tue ,18/2/2014

    ผู้แปล: อจิตตะ

    พลังงานจากดวงจันทร์ซึ่งได้ส่งมาพร้อมกับความชัดเจน
    ของการเพิ่มขีดความสามารถใน ”การมอบความรัก “
    และ”การอยู่ร่วมกับความรัก”ที่น่าพิศวงในทุกแง่มุมนั้น…
    จงจำไว้ว่าคุณเป็นผู้ที่มีความสามารถในการเป็น”ผู้รับ“
    และเป็น”ผู้ให้”ที่สามารถส่งต่อพลังแห่งแสงที่ส่องลงมายังโลกนี้…
    ซึ่งถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางความท้าทาย
    แต่คุณก็สามารถปรับตัวให้เข้ากันได้กับสถานการณ์นั้น ๆ ได้
    โดยการใช้พลังงาน และความสั่นสะเทือนของ “ความรัก”
    เพื่อให้การดำรงชีวิต ได้เต็มไปด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังที่สุด...
    ซึ่งในแต่ละครั้งที่คุณได้ทำเช่นนี้
    จะเป็นการทำให้หลากหลายเส้นทางของลำแสงที่ปรากฏอยู่บนโลกนี้
    มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
    และ“ความเอื้ออาทร” ที่ได้รับไม่ว่าในกรณีใดๆซึ่งจะพบได้เสมอ
    จากผลตอบแทนที่เท่าเทียมกันในกุศลผลบุญ
    ซึ่งมันเป็นการง่ายต่อการสังเกตุและพิสูจน์ทราบ
    สำหรับผู้ที่กำลังปรับสู่คลื่นความถี่ที่สูงขึ้นไป
    ของความเป็นไปที่สืบเนื่องจากกฏตายตัวของ “ความรัก”

    กระบวนการในการปรับแต่งบทบาทภายในของตัวเองจะกลับกลายเป็นเรื่องง่ายดาย
    เพราะแต่ละคนต่างก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง
    ที่จะไปสู่ที่ที่ต้องการและสู่เส้นทางของการปรับเปลี่ยนในการแสดงออก
    ทั้งยังรับรู้ได้ถึงรูปแบบที่ต้องการเปลี่ยนแปลง
    ตามความต้องการในปัจจุบันขณะ
    เพื่อให้เกิดการผสมผสานอย่างเต็มที่ในทุกแง่มุมที่สูงขึ้น
    และสอดคล้องกับจุดประสงค์ของพวกเขา
    เพื่อการก้าวสู่เส้นทางข้างหน้าที่เปิดรออยู่เพื่อให้เห็นความชัดเจน
    ของการเปิดเผยครั้งยิ่งใหญ่ใน”จุดบอด”ของพวกเขา

    และนี่คือความช่วยเหลือของกระบวนการกำจัดสิ่งต่างๆ
    ที่คอยขัดขวางความก้าวหน้าของความเป็นพระเจ้าในร่างมนุษย์
    ที่ยังคงต้องเดินอยู่บนโลกใบนี้...
    ซึ่งทุกๆวิธีการทั้งหมดล้วนเป็นการหลอมรวมเรื่องราวต่าง ๆ
    ตั้งแต่ต้นจนจบของชีวิต“ผู้นั้น”(one’s)
    และเป็นการตระเตรียมจิตสำนึก
    ให้พร้อมที่จะสัมผัสกับแสงแห่งความจริง…
    ให้ระลึกได้กับสิ่งที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง
    ที่จะมาพร้อมกับ”สติ”เพื่อจัดการปรับเปลี่ยนในส่วนที่จำเป็น...

    สำหรับผู้คนที่มีความรับผิดชอบ
    ต่อความเป็นอยู่ของตนเองในขณะที่อาศัยอยู่บนโลกนี้
    การดำรงชีวิตก็กลับกลายเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งขึ้น
    ก็ด้วยการตระหนักรู้ที่จะใช้พลังงานธรรมชาติ
    เข้ามาปรับเปลี่ยนสิ่งที่ใช้การไม่ได้แล้วของพวกเขา...
    ผู้คนจะรู้จักตัวเองและยินดีกับความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเองยิ่งขึ้น
    รู้สิ่งที่ชอบและไม่ชอบของตนเอง
    มากยิ่งกว่าสิ่งที่ผู้คนในสังคมได้ปลูกฝังไว้ภายในของพวกเขา
    และนั่น...ก็ได้ทำให้พวกเขาสามารถเคลื่อนตัวไปได้อย่างอิสระ
    และก้าวสู่ความเป็นผู้ครอบครองจิตวิญญาณอย่างแท้จริง...

    พวกเขาจะให้ความเคารพต่อความจริง
    และใช้ชีวิตไปตามคติธรรมของตัวเอง
    ทั้งมีความตั้งใจที่จะแสดงออกถึงคุณลักษณะที่สูงกว่า
    ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาตลอดมา
    และจะไม่ถูกดันให้กลับลงไปอีก
    ต่อ”ความกลัว” ในคนบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับพวกเขา...

    ชีวิตของพวกเขาจะเริ่มสะดวกสบายยิ่งขึ้น...
    กับความสุขเล็ก ๆ รวมทั้งการให้อภัยทาน
    อีกทั้ง”ความเข้าใจ”ที่แจ่มชัดซึ่งได้เกิดขึ้นภายใน
    ด้วยความกลมกลืนกับความถี่ที่เพิ่มมากขึ้นนั้นด้วย...

    เป็นความจริงที่ “ผู้นั้น” (one’s)จะเปิดทางเข้าออกให้กว้างยิ่งขึ้น
    กับประตูที่อาจซุกซ่อนอยู่ภายในนานมากแล้วก็เป็นได้
    เพราะแต่ละคนต่างก็ล้วนมีกล่องมหาสมบัติที่ตั้งอยู่ภายในของพวกเขา
    เพื่อรอการค้นพบในช่วงเวลานี้และนำมันเข้าสู่ “สติ สัมปชัญญะ “
    ซึ่งพร้อมที่จะยอมรับเพื่อการแผ่ขยายสู่โลกต่อไป...
    ซึ่งนั่นทำให้ในแต่ละวันต้องพบกับประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น
    ที่ได้ซุกซ่อนอยู่ภายใน ที่จะทำให้”ผู้นั้น”
    ต้องเผยความเป็นเลิศของตนออกมาภายนอกอย่างชัดเจน
    และเต็มไปด้วยความสง่างาม...

    ในขณะที่แต่ละคนได้ให้ความเคารพในความเป็นเอกลักษณ์ที่ตนเองเป็นอยู่
    พวกเขาจะกลายเป็นผู้ที่มีอิสระในการแสดงออกของเอกลักษณ์นั้นๆ
    ในการสื่อสารต่อผู้อื่น
    ซึ่งในทางกลับกัน...นั่นย่อมมีผลต่อการปลดปล่อยคนรอบข้างของพวกเขาด้วย...
    ด้วยการสังเกตคนรอบข้างพวกเขา
    และจงปล่อยให้พวกเขาได้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการจะเป็น...
    ให้พวกเขาได้เริ่มต้นจัดการกับทางเลือกและการเปลี่ยนแปลง
    ตามกำลังความสามารถของพวกเขาเองที่จะทำให้เป็นจริงได้...

    ในขณะที่ผู้คนมี”ความรัก”ในตนเองเพิ่มมากยิ่งขึ้น
    ทั้งยังมีชีวิตประจำวันที่เพรียบพร้อมไปด้วย"สติ สัมปชัญญะ"
    ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างแท้จริง

    เพราะนั่นคือ”สภาวะของความเป็นหนึ่งเดียวในระดับสูงสุด”
    ความสุขกายสบายใจและความเมตตาอาทร
    ก็จะไหลผ่านสู่ทุกพื้นที่ของการดำรงชีวิตของพวกเขา
    ชีวิตจะกลับกลายเป็นมีความสุขมากยิ่งขึ้นในทุกๆด้าน
    กับความงดงามที่แต่ละชีวิตจะเดินไปสู่โอกาสอันล้ำเลิศของตัวเองได้...
    บาดแผลในอดีตจะได้รับการเยียวยา
    และภายในของแต่ละคนก็จะกลับคืนสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันกับโลก
    ซึ่งยังคงมีอิสระเสรีที่จะเคลื่อนย้ายสู่ความเป็นหนึ่งเดียวของพวกเขาเองด้วยเช่นกัน...


    เมื่อใดที่หมู่มวลมนุษย์ได้แสดงออกถึง”ความรัก”
    ด้วยการกระทำจนเป็นปกติวิสัยแล้ว
    ความสำเร็จสูงสุดที่ไร้ขีดจำกัดนั้น
    ก็จะสามารถเข้าสู่ภายในโครงสร้างของสังคมได้ในที่สุด...


    Until next week…
    I AM Hilarion


    ©2014 Marlene Swetlishoff/Tsu-tana (Soo-tam-ah) Keeper of the Symphonies of Grace
    Permission is given to share this message as long as the message is posted in its entirety
    and nothing has been changed, or altered in any way and Scribe's credit, copyright and websites are included.
    WELCOME! - The Rainbow Scribe
    MOVING INTO LUMINOSITY
    Thank you for including the above website link when posting this message.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2014
  10. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,080
    ค่าพลัง:
    +10,246
    จากข้อความที่ว่า

    "และพวกเรายังมีการติดต่อสื่อสารกับผู้ที่อยู่ในแดนสุขาวดี (Nirvana)
    ซึ่งเป็นผู้ที่กำลังตรวจติดตามความเป็นไปของดาวเคราะห์โลกอยู่อีกด้วย,"

    ผมได้ค้นข้อมูลแล้ว พบว่า คำว่า "Nirvana" มีความหมายดังนี้

    Origins[edit]

    Nirvāṇa is a term used in Hinduism,[11][12] Jainism,[13] Buddhism,[12][14] and Sikhism.[15] It leads to moksha, liberation from samsara, or release from a state of suffering, after an often lengthy period of bhāvanā[note 5] or sādhanā.

    The idea of moksha is connected to the Vedic culture, which had notion of amrtam, "immortality",[19][20] and also a notion of a timeless, an "unborn", "the still point of the turning world of time".[19] It was also its timeless structure, the whole underlying "the spokes of the invariable but incessant wheel of time".[19][note 6] The hope for life after death started with notions of going to the worlds of the Fathers or Ancestors and/or the world of the Gods or Heaven.[19][note 7] The continuation of life after death came to be seen as dependent on sacrificial action, karma,[21] These ideas further developed into the notion of insight into the real nature of the timeless Brahman and the paramatman.[22] This basic scheme underlies Hinduism, Jainism and Buddhism, where "the ultimate aim is the timeless state of moksa, or, as the Buddhists first seem to have called it, nirvana."[23]

    Although the term occurs in the literatures of a number of ancient Indian traditions, the concept is most commonly associated with Buddhism.[web 1] It was later adopted in the Bhagavad Gita of the Mahabharata.[2]

    Nirvana - Wikipedia, the free encyclopedia
     
  11. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ท่านยังไม่เข้าใจว่า นิยาม หรือ ความหมาย
    ของสิ่งที่ต่างมิติพูดถึงนั้น มันไม่ได้มีความหมาย
    ตรงตามที่มนุษย์ให้ไว้เสมอไป

    อย่างที่ผมเพิ่งยกตัวอย่างไปในวันนี้ไงครับว่า
    คำบางคำ ถ้าเราแปลตาม dictionary แล้ว
    เราก็จะได้ความหมายเข้าป่าเข้าดงไปไกลลิบลับเลย

    ผมจะพูดยังไงดีน๊า..ก็..ประมาณว่า ความเชื่อเก่า หรือนิยามเก่า
    มันจะใช้ไม่ได้กับข้อความจากต่างมิติ อะไรประมาณนั้นหนะครับ

    .......................................

    ปล. ขอวกเข้ามาที่เรื่องที่ผมเกริ่นเอาไว้ว่า
    จนป่านนี้ คำว่า นิพพาน ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่เลย
    ในท่ามกลางพระผู้ใหญ่ที่เรายกย่องพวกท่านว่า
    "บรรลุ" แล้วทั้งหลาย ต่อนะครับ

    ถ้าใครเคยได้ศึกษามาดีพอแล้ว ก็สมควรที่จะรู้เรื่องข้อมูล
    ที่ผมกำลังจะยกขึ้นมาให้อ่านต่อไปแล้วนะครับ

    คือมันมีคำกล่าวของพระผู้ใหญ่มากมาย ที่มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
    ในแง่ของนิพพานเป็นดินแดน หรือไม่เป็นดินแดน

    ตามลิงค์นี้ไปเลยนะครับ ซึ่งผมเคยอ่านมาหลายปีแล้ว
    ซึ่งลิงค์นี้ดูเหมือนเขาเพิ่งเอามาโพสต์ใหม่ เมื่อปี 2013 นี่เอง
    แต่อันที่จริงแล้ว มันมีเนื้อหานี้มานานหลายปีแล้วหละครับ

    พระนิพพาน จากคำครูอาจารย์ - Pantip

    http://palungjit.org/threads/พระนิพพานจากคำครูอาจารย์.506076/

    พระนิพพาน จากคำครูอาจารย์ (สรุปย่อ) | สมเด็จองค์ปฐม พระพุทธมงคลรัศมี - MKRSM.COM

    จริงๆแล้วผมก็ไม่ต้องพูดอะไรมากด้วยซ้ำไป
    เพราะว่าพอท่านอ่านแล้ว ท่านก็จะรู้เองนั่นแหละว่า
    นี่ขนาดพระผู้ใหญ่ ที่เรายกย่องท่านว่าเป็นพระอริยะเจ้าแล้วนะ
    พวกท่านยังพูดไม่ตรงกันเลย เกี่ยวกับพระนิพพาน
    จะนับประสาอะไรกับพวกเรา หรือ เด็กอายุ 20 กว่าปีคนหนึ่ง
    ที่ยังไม่ได้ศึกษาเรื่องพวกนี้มาดีพอเลย
    หรือไม่เคยได้ศึกษามาเลยด้วยซ้ำไป
    จะมาอาจเอื้อมวิพากวิจารย์ในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย

    พระผู้ใหญ่เหล่านี้ ท่านปฏิบัติมาตั้งเท่าไหร่แล้ว
    ท่านรู้ท่านเห็นอะไรต่อมิอะไรมาตั้งเท่าไหร่แล้ว
    ความเข้าใจของท่าน และสิ่งที่ท่านได้ไปรู้ไปเห็นมา
    ยังแตกออกเป็นสองทางเลย

    แล้วพวกเราหละเป็นใคร ปฏิบัติมามากเท่าไหร่?
    หรือไม่เคยปฏิบัติอะไรมาเลยด้วยซ้ำไป
    จะมาบังอาจ สรุป และ ฟันธง ว่านิพพาน ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

    ผมขอถามหน่อยเถอะ ว่า..ระหว่างหลวงตามหาบัว กับ นายอโศกแห่งเวปพลังจิตนี้
    ใครมีความน่าเชื่อถือกว่ากัน แล้ว ใครที่มีคนเคารพบูชามากกว่ากัน??

    แล้วระหว่างท่านพุทธทาส กับ นายอโศก แห่งเวปพลังจิตนี้หละ
    ใครมีความน่าเชื่อถือกว่ากัน แล้ว ใครที่มีคนเคารพบูชามากกว่ากัน??

    แล้วหลวงตามหาบัว ให้นิยามของคำว่านิพพานว่าอย่างไร?
    แล้วนายอโศกแห่งเวปพลังจิต ฟันธงเอาไว้ว่าอย่างไร??
    ท่านพอจะเดาออกไหมครับว่า ท่านควรจะเลือกเชื่อใครมากกว่ากัน?

    แล้วในทางกลับกัน ท่านพุทธทาส ท่านให้ความเห็นเกี่ยวกับนิพพานว่าอย่างไร?
    แล้วมันเหมือน หรือ มันต่าง จากของหลวงตามหาบัวฯ?

    สรุปว่า..จนถึงวันนี้ข้อสรุปเรื่องนิพพานนี้ ยังไม่ถูกสรุปครับ
    เพราะว่า "พวกเรา" ในฐานะของลูกศิษย์ลูกหาของพวกท่านเหล่านั้น
    ก็ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครดี หรือ ฟันธงว่าอย่างไรดี
    เพราะว่าครูบาอาจารย์ท่านไหนๆ ก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราแล้วทั้งสิ้น
    ว่าพวกท่านเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ด้วยกันหมดทั้งสิ้น

    จะมีก็แต่เด็กอายุ 20 กว่าปีบางคนเท่านั้นแหละ
    ที่เป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยพวกเราฟันธงไปเรียบร้อยแล้ว
    แม้ว่าพวกเราหลายคนในนี้ จะศึกษา และ ปฏิบัติธรรมะ
    มาก่อนที่เขาจะเกิดซะด้วยซ้ำไป 555

    และเพราะฉะนั้น ชาวพุทธทั้งประเทศ ก็ไม่ต้องไปกราบใครที่ไหนอีกแล้ว
    เพราะว่าเราเจอคนที่เก่งที่สุดในประเทศแล้ว 555

    :cool::cool::cool::cool::cool:

    ....................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2014
  12. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,080
    ค่าพลัง:
    +10,246
    เขาแค่ยึดมั่นในสิ่งที่เรียนรู้มาจากสถาบันการศึกษา และตำรา เท่านั้นเองครับ
    ตอนที่ผมจนปริญญาตรีใหม่ๆ อายุ 20 กว่า ๆ ผมยังรู้น้อยกว่า และยึดมั่นถือมั่น
    มากกว่านี้เยอะครับ
    แต่ตอนนี้ ประสบการณ์ชีวิตอันเจ็บปวดจำนวนมาก สอนให้ผมรู้ว่า
    ยึดมั่นมาก ก็ทุกข์มากครับ
     
  13. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    เป็นความเห็นที่ผิดปกติ ขอบันทึกไว้

    ความเห็นที่ผิดปกติ และ อ่านแล้วรู้สึกไม่ดี

    ให้พิจารณา ดีๆ
     
  14. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เมื่อราวๆอายุ 20 กว่าปี โดยเฉพาะสมัยจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ
    ผมก็เป็นแบบเดียวกับที่ท่านว่ามานี้เป๊ะเลยครับ
    คือยึดมั่นถือมั่นมากกว่าตอนนี้เป็นสิบๆเท่า
    และก็ ถ้าลงได้ปักใจเชื่อในเรื่องอะไรแล้ว
    ก็จะเถียงหัวชนฝาไปเลยเหมือนกัน แม้ว่ามันจะจริงหรือไม่จริงก็ตาม
    เพราะว่าตอนนั้นหนะ ผมคิดอยู่แต่ว่าผมฉลาดกว่าคนอื่น
    คนอื่นโง่กว่าผม และเพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมคิดและเชื่อ
    จะต้องถูกต้องกว่าของคนอื่นเสมอ และผมก็เชื่อมั่นและมั่นใจแบบนั้นอยู่หลายปี

    แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว ถ้าผมรู้จักฉุกคิดสักนิดหนึ่งว่า
    ผมก็เรียนในระดับมหาวิทยาลัยมาเหมือนๆกับคนอื่นนั่นแหละ
    มิหนำซ้ำ คนอื่นๆอีกมากมาย ก็ยังเรียนสูงกว่าผม
    และมีประสบการณ์ชีวิตมากกว่าผมด้วยซ้ำไป
    แล้วถ้าผมคิดได้เช่นนี้ ผมก็อาจจะไม่ "โง่" อยู่นานถึงขนาดนั้นก็ได้

    แต่ก็เหมือนกับท่านอีกเช่นกัน ที่พอผมได้เจอกับประสบการณ์ที่เจ็บปวด
    ที่ทำให้ผมต้อง "ยอมจำนนด้วยหลักฐาน" ครั้งแล้วครั้งเล่าแล้ว
    ว่าสิ่งที่ผมเคยคิดว่ามัน "ใช่" แต่มันกลับไม่ใช่เลย มากครั้งเข้า
    ก็ทำให้ผมถึงกับ "หงายหลัง" "หน้าแตก" และอยากจะเอาหัวโขกเสาตาย
    หรือแทรกแผ่นดินหนีไปให้มันรู้แล้วรู้รอดไป นับครั้งไม่ถ้วน ซะด้วยซ้ำไป
    ในความโง่ของตัวผมเอง ในตอนนั้น

    คือ ตอนนั้นหนะ ผมโง่แล้วยังไม่รู้ว่าตัวเองโง่ด้วยนะ
    นั่นหละ อาการหนักที่สุด ของความโง่เลยหละ ขั้นโคม่าเลยก็ว่าได้
    และก็..แม้ว่าตัวเองจะไม่รู้อะไรเลย เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ
    แต่ผมก็ยังพยายามทำเป็นกร่างเหมือนรู้ด้วยนะ
    ทั้งๆแท้ที่จริงแล้ว ตนผมเองมีความรู้เท่าหางอึ่งเท่านั้นเอง

    แล้วพอเจอกับหลักฐานที่ทำให้ผมต้องยอมจำนนหลายครั้งเข้า
    และเจอกับ "ของจริง" หรือ "คนจริง" บ่อยๆครั้งเข้า
    ผมก็ถึงได้มีน้ำในกระโหลกให้ชะโงกดูเงาตัวเองบ้าง

    แล้วจากนั้น ผมก็ถึงได้ "เริ่ม" เปิดใจ ยอมรับเอาคำว่า
    "อาจจะ" เข้ามาในชีวิตบ้าง คือเปิดใจเอาไว้ก่อนว่า
    บางทีเรื่องนั้นๆ มัน "อาจจะ" ไม่เป็นอย่างที่เราเข้าใจก็ได้
    บางทีมัน "อาจจะ" เป็นอย่างอื่น อย่างที่เขาว่ามาก็ได้

    แล้วจากนั้น ชีวิตผม ก็เริ่มต้นเข้ามาอยู่บนเส้นทางแห่งการเรียนรู้ที่แท้จริง
    คือถ้าเรายอมเปิดใจให้กับคำว่า "อาจจะ" แล้ว
    ความรู้มันก็จะถูกเปิดทางให้ไหลเข้ามาเพิ่มเติมได้
    ส่วนจะจริงหรือไม่จริงนั้น เดี๋ยวเราค่อยพิจารณาดูมันใหม่อีกที
    หรือเดี๋ยวสักวันหนึ่งข้างหน้า เราก็จะค่อยๆรู้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเอง
    อะไรแบบนั้นหนะครับ

    เพราะว่าอันที่จริงแล้ว มันก็ไม่ได้แบกได้หามอะไรไม่ใช่หรือ
    กับอีแค่การยอม "รับฟัง" สิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเท่านั้นเอง
    อะไรแบบนั้นหนะครับ

    แต่ถ้าเราปิดประตูให้กับคำว่า "อาจจะ" ไปซะแล้ว
    ความรู้ใหม่ๆ ข้อมูลใหม่ๆ ก็หมดโอกาส
    ที่จะหลั่งไหลเข้ามาสู่สมองของเราเพิ่มเติม โดยสิ้นเชิง
    แล้วเราก็จะ "โง่" อยู่ต่อไป อย่างที่เคย "โง่" มาตลอด
    เพราะว่าเราเป็นคนประเภท "ชาล้นถ้วย" นั่นเอง

    ปล. ในช่วงชีวิตของผม ที่เริ่มรับเอาคำว่า "อาจจะ"
    เข้ามาใช้ในชีวิตนั้น ผมแทบจะไม่กล้าเถียงใครหัวชนฝาอีกเลย
    และผมก็ได้ตระหนัก และ ได้ซาบซึ้งด้วยตัวเองอย่างลืมไม่ลงเลยว่า

    "คนที่กำลังโง่อยู่นั้น จะไม่รู้ว่าความฉลาดเป็นอย่างไรเลย"

    เพราะว่า เขาหรือเรา กำลังโง่อยู่ ยังไงก็ไม่สามารถสัมผัสรู้ถึงความฉลาดได้อย่างเด็ดขาด
    แม้ว่าใครจะมาพูดว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็ยังจะคิดว่าเขาฉลาดอยู่ต่อไป
    แท้ที่จริงแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำไป ว่าความฉลาดหนะ เป็นอย่างไร

    เปรียบเสมือน "คนตาบอดมาแต่กำเนิด" ที่ไม่เคยรับรู้ภาพใดๆมาก่อนเลย
    เขาก็เลยคิดอยู่แต่ว่า โลกนี้ทั้งโลก มีแต่สิ่งที่เขาสามารถสัมผัสรู้ได้
    ด้วยประสาทสัมผัสที่เหลืออยู่ของเขาเองเพียงเท่านั้น
    ดังนั้น พอมีใครเขามาเล่าเรื่องอะไร ที่เขาไม่เคยรู้ และไม่เคยเห็นมาก่อนให้ฟัง
    เขาก็จะปฏิเสธเอาไว้ก่อน เป็นธรรมดา เพราะให้ตายยังไง เขาก็ไม่อาจเข้าใจได้อยู่ดี

    แล้วสัจธรรมอีกข้อหนึ่ง ที่ผมมีประสบการณ์ตรงด้วยตัวเองอีกเช่นกันก็คือ
    ในขณะที่ผมกำลังโง่หนักๆอยู่นั้น (หรือ "อาจจะ" รวมถึงในตอนนี้ด้วยก็ได้นะ
    ..ขอเปิดประตูแห่งความเป็นไปได้เอาไว้หน่อยเถอะนะครับ เพื่อการเรียนรู้ที่มากขึ้นไปอีก ฮิฮิ..)
    ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนใจ หรือ เปลี่ยนความคิดของผมได้เลย
    ต่อให้มีคนมานั่งบอกนั่งสอนอย่างเมตตามากซักแค่ไหนก็ตาม
    ผมก็จะไม่ฟัง ผมก็จะเถียงหัวชนฝา ผมก็จะเถียงไปข้างๆคูๆ อยู่ดี
    เพื่อที่จะ "เอาชนะ" เท่านั้นเอง

    ดังนั้น ผมจึงชอบพูดทีเล่นทีจริงอยู่เสมอว่า

    "ต่อให้ด่าจนตายคาปาก ลงตรงนี้และเดี๋ยวนี้เลย
    คนโง่ ที่กำลังถูกด่าว่าโง่อยู่นี้ ก็ไม่สามารถที่จะฉลาดขึ้นมาแบบปุบปับได้หรอก"

    ดังนั้น เลิกด่าเถอะ เลิกเถียงกับมันซะเถอะ
    เพราะว่ามันจะไม่ทำให้ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย

    แต่อยู่มาวันหนึ่ง สิ่งที่ช่วยผมได้ และก็ได้ช่วยมาแล้ว ก็คือ..ตัวผมเอง
    ในตอนที่เผชิญกับหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ด้วยตัวเอง
    ในตอนที่ "คิดได้" ด้วยตัวเอง แล้ว หลังจากนั้น ผมก็เริ่มเปลี่ยนไป
    และเวลาผมไปไหมมาไหนกับเพื่อนๆ ผมก็จะเหมือนกับคนคิดมาก
    เพราะว่าอยู่ดีๆผมก็จะทำปากจุ๊ๆแล้วส่ายหัวไปมา

    ผมจะเป็นแบบนี้ตลอด เป็นอยู่หลายปีเลยทีเดียว เพราะว่า "ความรู้สึกผิด"
    และความรู้สึก "สมเพช" ตัวเอง ในความโง่ของตัวเอง ที่ผ่านๆมา
    อย่างที่ได้พรรณาไปแล้วนั่นแหละครับ

    เพราะฉะนั้นแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมเคยบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
    ทำไมผมถึงไม่ชอบตอบคำถามให้ใคร ที่มาสไตน์นี้
    และทำไมผมถึงไม่ชอบต่อล้อต่อเถียงกับใครที่มาสไตน์นี้
    ก็เพราะว่าผมรู้ว่า ทำอย่างไร มันก็ไม่สำเร็จหรอก เพราะว่ายังไงเสีย
    คนเหล่านี้ ซึ่งก็เหมือนกับผมในสมัยนั้น ก็จะไม่มีวันรับฟังเหตุผลของผมแน่นอน

    และเพราะฉะนั้น ผมจึง "ช่างหัวมัน" และทำอย่างที่ผมกำลังทำอยู่นี่แหละครับ ต่อไป
    เพราะว่ากระทู้นี้ มันต้องอาศัย "พลังงานของผม" เท่านั้น
    มันถึงจะอยู่ได้ เพราะว่าผมมาที่นี่ เพื่อมาทำหน้าที่นี้
    ดังนั้น เรื่องราวของความวุ่นวายใดๆก็ตาม ที่เกิดขึ้นในที่นี้
    ผมจึงคือคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะต้องเป็นผู้จัดการกับมัน
    ดัวยวิธีของผมเอง ด้วยพลังงานของผมเอง และตามสไตน์ของผมเอง

    และผมก็ได้ทำเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว ครั้งแล้วครั้งเล่า ร่วม 5 ปีมาแล้ว
    ท่านมองเห็นความลงตัวไหม๊หละครับ ว่า..ถ้าท่านตัดความคิด
    แบบ "ตัดสินชี้ถูกผิด" ออกไปจากใจของท่านแล้ว
    ท่านก็จะมองเห็นความสมบูรณ์แบบ และ ความลงตัวของเรื่องราวทั้งหมดนี้
    เหมือนอย่างที่ผมกำลังมองเห็นมันอยู่นี้

    กระทู้นี้ มันเกิดจากผม ซึ่งเป็นคนที่เคยมีความยึดมั่นถือมั่นสูงมาก
    อาจจะเป็นอันดับต้นๆของโลกคนหนึ่งเลย ก็ว่าได้
    และดังนั้น ระดับภูมิจิตภูมิธรรมของผม จึงไม่ต่างอะไรกับของคนธรรมดาสามัญทั่วไปเลย
    และดังนั้น ผมจึงไม่ได้อยู่ในฐานะของครูบาอาจารย์ของใครเลย มาตั้งแต่ต้น
    และผมก็จึง ไม่ได้อยู่ในฐานะของ "ผู้รู้" ใดๆเลย มาตั้งแต่ต้นด้วยเช่นกัน

    แต่สิ่งที่ผมเป็นจริงๆก็คือ ตัวตนของผมเอง ในฐานะผู้แปลเรื่องที่ตัวเองชอบ
    แล้วเอามาแบ่งปันให้คนอื่นๆได้อ่านด้วย เท่านั้นเอง นั่นแหละตัวผมหละ
    และก็ อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
    ส่วนใหญ่แล้ว ข้อมูลที่ผมแปลมาให้ท่านอ่านด้วยนี้
    ผมก็ไม่เคยรู้มาก่อนเหมือนกัน และผมก็แทบจะรู้ไปพร้อมๆกับทุกๆท่าน
    ที่กำลังอ่านมันอยู่นี้ นั่นแหละ

    และเพราะฉะนั้นแล้ว ผมจึงกำลัง "เรียนรู้" ไปพร้อมกับทุกๆท่านอยู่
    และดังนั้น ท่านจึงไม่อาจที่จะคาดหวังได้ว่า
    ผมจะต้องเป็นคนที่ดีเลิศประเสริฐศรีไปมากกว่าท่านได้เลย
    เพราะว่าผมก็เหมือนกับทุกๆท่าน ที่รู้ไปพร้อมๆกัน ที่เรียนไปพร้อมๆกัน
    และฝึกฝนจิตใจ ขัดเกลา ชำระสะสาง ไปพร้อมๆกัน นั่นเอง

    และดังนั้น ความเป็นตัวตนของผม และสไตน์การพูด - การเขียนของผม
    มันจึงถูกต้อง เหมาะสม กับสถานการณ์นี้ กับกระทู้นี้ ดีแล้ว
    เพราะว่า ถ้าเป็นคนอื่น ที่มีระดับจิตสูงกว่าผม ก็อาจจะมีปัญหา
    ด้านการอยู่ในฐานะครูบาอาจารย์ก็ได้ และ เพราะฉะนั้นแล้ว
    เรื่องใดๆก็ตาม ข้อมูลใดๆก็ตาม ที่อาจจะทำให้ "เสียชื่อเสียง"
    ในฐานะของครูบาอาจารย์ เขาหรือเธอคนนั้น ก็อาจจะไม่กล้าที่จะ
    "แปล" และ "โพสต์" ออกไป อย่างที่ผมกำลังทำอยู่ในตอนนี้ก็ได้

    แต่ถ้าเป็นคนที่ "อ่อนแอกว่าผม" และ/หรือ มีอีโก้น้อยกว่าผม
    พอโดนใครเขามาด่าในกระทู้นิดๆหน่อยๆ ก็อาจจะเผ่นแน๊บไปนานแล้วก็ได้
    เพราะว่าทุกๆท่านก็รู้อยู่แล้ว ว่าเนื้อหาของกระทู้นี้มันเป็นอย่างไร
    ดังนั้น มันจึงเป็นความสอดคล้องลงตัวดีแล้ว สำหรับกระทู้นี้กับผม

    และเพราะฉะนั้น ท่านใดก็ตามที่กำลัง เอาตัวเองเป็นมาตรฐาน
    ของวิธีการคิด หรือ วิธีการปฏิบัติ เกี่ยวกับเรื่องความเมตตากรุณาต่อผู้อื่นอยู่หละก็
    ก็ลองทบทวนดูใหม่นะครับ เพราะว่ามัน "อาจจะ" ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิดไว้ก็ได้

    ปล.2 เมื่อคืนนี้ ผมฝันว่าพวกเราหลายคน กำลัง "ออกนอก" สถานที่กันอยู่
    ไปพักแรมที่ไหนซักแห่งหนึ่ง แต่ก็กำลังจะกลับแล้วหละ ในคืนวันรุ่งขึ้น
    แต่ในความรู้สึกของผมนั้น พวกเรายังมี "ขนม" แอบซุกซ่อนอยู่ในที่พักของพวกเรา อยู่มากมาย
    ซึ่งถ้าพวกเราไม่เอาพวกมันออกมา เตรียมพร้อมไว้ เพื่อให้ "เด็กๆ" กิน
    น้ำก็จะท่วมมัน จนเปียก และ กินไม่ได้ ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ ฮิฮิ..

    ดังนั้น วันนี้ และ โพสต์นี้ของผม ก็เลยยาวเป็นพิเศษ
    เพราะว่าผมมี "ขนม" ที่เตรียมเอาไว้ เพื่อ "แจกเด็กๆ" เยอะหนะครับ

    .................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2014
  15. atitarn2009

    atitarn2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +262
    อยากเล่าให้ฟังค่ะ (ไม่ตัดสินอะไร)

    ส่วนตัวข้าพเจ้า เดิมสนใจคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว ตั้งแต่เด็กๆ ประมาณ ป.1-ป.2
    จำขึ้นใจ อริยสัจ4 คือหัวใจของพระพุทธศาสนา กับอีก1คำสอนที่จำขึ้นใจ"ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ตั้งแต่บัดนั้นจนอายุได้ประมาณ25ปี เลข11:11 ก็เข้ามาในชีวิติ(อันนี้ตอนแรกไม่ได้หาข้อมูลเพิ่มเติมอะไรปล่อยไป+สงสัย)อายุ 26 ปี ก็มีอยู่แค่นั้นแหละค่ะ จนวันหนึ่งรู้สึกว่าอยากหาอะไรมีสาระแบบที่เป็นของแท้พาตายได้(หมายถึงนอกเหนือจากของนอกกายที่ตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ซักอย่างแต่คนรอบข้างหรือแม้กระทั่งตัวเองก็ยังให้ความสำคัญจนลืมนึกถึงความตายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและกับทุกคน)
    จึงเริ่มตั้งใจหาว่าพระพุทธเจ้ามีอะไรน่าศรัทธา(เป็นธรรมดาคนส่วนมากจะเริ่มศรัทธาก็ด้วยปาฏิหาริย์) มองหาไปไม่นานก็เจอ ปาฏิหาริย์ที่ยังไม่เคยมีใครทำได้ คือคำพูดของพระองค์ ตั้งแต่ตรัสรู้ถึงวันปรินิพพานท่านไม่เคยพูดผิดมีสติทุกครั้งที่พูดและคำพูดทุกคำสอดคล้องกันไม่มีการขัดกันเองเลยในคำพูดของตน ( มีมั้ย! ใครที่ทำได้อย่างท่าน=จุดเริ่มต้นของศรัทธาที่มั่นคง) หลังจากนั้นก็เริ่มปฏิบัติ(ตอนนั้นในขั้นปฏบัติ ยังไม่จริงจังเท่าที่ควรอ่านกับฟังซะมากกว่า) ก็ทำมาเรื่อยๆ รู้ตัวว่าจิตตัวเองไม่ได้พัฒนาขึ้นมาเลย แต่เน้นศึกษาพุทธวจน(คือคำสอนที่ออกจากปากพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ฟังคำสาวก)
    หลังจากนั้นมีความคิดอยากหาความหมายของ11:11ไม่นาน ก็มาเจอกระทู้นี้ อ่านไปอ่านมา ข้อความที่อ่านช่วงนั้นทำให้เกิดความคิดขึ้นมาว่า ต่างมิติอยากให้มนุษย์ช่วยบางอย่าง แล้วอย่างเราจะมีส่วนช่วยอะไรโลกได้ คงต้องปฏิบัติให้เห็นผลจริงซะทีมัวแต่อ่านๆฟังๆอยู่งี้มันจะไปได้อะไรจริง ส่วนเรื่องปฏิบัติขอไม่เล่าค่ะ(แต่ใช้แนวทางของพระพุทธเจ้าตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลงค่ะ) จากนั้นก็ปฏิบัติมาตลอด และ พร้อมๆกับอ่านข้อความต่างมิติคู่กันไปในชีวิตประจำวันค่ะ นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ไม่คิดตัดสินอะไรจากภายนอกเพราะทุกอย่างให้ผลได้ทั้งดีและไม่มี เพราะส่วนตัวคิดว่าขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยส่วนบุคคลค่ะ มีคำหนึ่งที่ใช้เตือนตัวเองบ่อยๆเวลาหลงไปวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น ว่า"อย่ามัวแต่คิดตัดสินสิ่งภายนอก มองย้อนกลับมาข้างในตัวเองเถอะ"

    ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ใฝ่ดีทุกคนนะคะ(kiss)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 กุมภาพันธ์ 2014
  16. (อโศก)

    (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445
    อันนี้เรียกว่าบิดเบือนไปไกล เขาถกเถียงกันเพราะคนที่อ้างว่าเป็นพุทธมันจับสาระไม่ถูกไม่รู้ว่าอะไรคือสาระของศาสนาของตัว

    หลวงตาแมว หลวงปู่หมี หลวงตาเสือ อะไรก็เถอะท่านจะว่ายังไงก็เป็นทัศนะของท่านท่านฉลาดกว่าเราหรือครับ อีกอย่างไอ้ที่นาย ก นาย ข นาย ค เขามายกย่องว่าท่านนั้นบรรลุแล้ว มันหมายความว่าท่านนั้นบรรลุจริงตามที่เขาหรือคนส่วนใหญ่ยกย่องเปล่า

    ในสมัยพุทธกาล ท่านมีครูทั้งหกที่ต่างก็มีสาวกจำนวนมากยกย่องว่าเป็นอรหันต์ต่างก็สอนไปทาง ขัดแย้งกัน ถามหน่อยว่า ครูทั้งหกเป็นอรหันต์จริงหรือเปล่า

    ทำไมไม่ยกคำพระพุทธเจ้าขึ้นมาล่ะ ท่านก็พูดชัดเจนเรียกหลักมหาปเทสสี่(ไม่รู้ผมเรียกถูกเปล่า)...พระวินัยปิฎก
    สาระก็ใช้ตัดสินข้อธรรมนี่แหละว่าไหนจริงไหนเท็จ
    ท่านบอกให้ดูที่ พระไตรปิฏกเป็นหลัก คือให้อ้่างพระไตรปิฏกเป็นหลัก
    น้ำหนักรองมาคืออรรถกถา
    รองมาคือฏีกาอนุฎีกา
    ส่วนความเห็นของบุคคลอย่างนายอโศก ท่านพุทธทาส หลวงตาบัว นายชยุต ท่านให้น้ำหนักเท่ากัน คือมีค่าเท่ากัน นี่พระพุทธเจ้าบอกเอง ก็หมายความว่าอะไรที่ไม่พ้องกับพระไตรปิฏกให้ตั้งข้อสังเกตว่ามันไม่ใช่........


    เกณฑ์วินิจฉัยคำสอนความเชื่อและการปฏิบัติ เป็น ๔ ขั้นคือ(ที.อ. ๒/๑๗๒)
    ๑. สุตตะ ได้แก่ พระไตรปิฏก
    ๒. สุตตานุโลม ได้แก่ มหาปเทส (ยอมรับอรรถกถาด้วย)
    ๓. อาจาริยวาท ได้แก่ อรรถกถา (พ่วงฎีกา อนุฎีกาด้วย)
    ๔. อัตตโนมติ ได้แก่ มติของบุคคลที่นอกจากสามข้อต้น เช่น
    นายอโศก ท่านพุทธทาส หลวงตาบัว นายชยุต


    และผมก็พูดตามพระไตรปิฏกเพียงแต่ไม่ยกข้อความมาว่ามันไม่ใช่ดินแดนโลกธาตุ โอ๊ยผมไม่ตั้งทฤษฏีเองหรอ อย่างพระพุทธดำรัสที่ปรากฏในขุททกนิกาย อุทาน พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ หน้า ๒๐๖ ว่า


    “ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้น(คือนิพพานนั้น) ไม่ใช่ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ, ไม่ใช่วิญญานัญจายตนะ, ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ, เนวสัญญานาสัญญายตนะ, ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกอื่น, ไม่ใช่ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ไม่ใช่การมา การไป ไม่ใช่การดำรงอยู่, การจุติ และอุบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งมิได้, ไม่เป็นไป ไม่มีอารมณ์ แต่อายตนะนั้นมีอยู่ นั่นแหละเป็นที่สุดแห่งทุกข์”


    ก็ชัดเจนว่า ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกอื่น เทือกนี้ให้จิตวิญญาณไปอยู่



    จะบอกหลวงตา แมว หมา กาไก่ กับนายอโศกใครน่าเชื่อถือกว่า ก็ตอบว่าท่านน่าเชื่อถือกว่าผมในสายตาคนส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านจะถูก ผมจะผิด และไม่ได้หมายความว่าจะแลดและรู้มากกว่าผม ถ้ายึดตามหลักมหาปเทส 4 ก็มีน้ำหนักเท่ากัน


    อย่างในสูตรเว่ยหลาง

    เว่ยหลางไม่รู้หนังสือ พุทธศาสนาไม่เคยปฏิบัติ ได้ยินวัชรสูตรมานิดเดียว เป็นแค่เด็กรับใช้ยังไม่ได้บวช ก็มีปัญญามากกว่าชินเชาที่ปฏิบัติธรรมมานับสิบปีเป็นหัวหน้าพระ เป็นเจ้าแห่งปริยัติ เป็นคนที่ชาวบ้านยอมรับว่าใกล้การตรัสรู้ที่สุด คนก็ว่าท่านมันหนังสือไม่รู้ พึ่งเข้าสำนักไม่นาน ไม่เคยปฏิบัติเป็นชิ้นเป็นอันท่านจะมาแต่งกลอนอธิบายธรรมขั้นสูงสุดของสำนัก แข่งกับเขาคือชินเชาได้ไง เว่ยหลางตอบว่าท่านอย่าดูถูกคนพึ่งหัดเรียน ประสบการณ์น้อย จะเป็นบาปหนัก เพราะคนแบบนี้หลายครั้งก็มีปัญญาสูงกว่า ความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่า คนประเภทที่เรียนปฏิบัติมามากได้เหมือนกัน ถ้าท่านแสวงหาธรรมไม่พึ่งดูถูกคนพึ่งเริ่มใหม่


    ความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาส่วนใหญ่ผมก็ได้มาจากการอ่านหนังสือท่านพุทธทาสเป็นสำคัญ+หนังสืออ.สุชีพที่ย่อพระไตรปิฏกมา เพราะมีปัญญาแค่นี้ไม่สามารถค้นคว้าได้เอาเพราะไม่รู้บาลี

    ส่วนที่จะแถ ว่าข้อความต่างมิติใช้ศัพท์ของตัวเอง ความหมายไม่เหมือนชาวบ้านแล้วจะต่างอะไรกับคนไทยอ่านภาษาอังกฤษสำเนียงพี่ไทย ฝรั่งออกอย่าง พี่ไทยออกอย่าง พอฝรั่งทักว่ายู ออกผิดมาโกรธฝรั่งบอกอั๊วจะออกแบบนี้ทำไม เอ็งต้องมาออกเสียงแบบอั๊วใช้ความหมายตามอั๊วไม่ใช่ที่คนบ้านเอ็งยอมรับ อั๊วเข้าใจของอั๊ว ลื้อต้องมาทำความเข้าใจเอง เขามีแต่ปรับความหมายให้ตรงกับที่สากลเขาใช้ ถ้าคุณจะใช้แบบเข้าใจของคุณเองคุณก็ควรจะบอกว่าอั๊วใช้ความหมายนี้เป็นเชิงอรรถไปด้วย ไม่ใช่ใช้มั่วๆๆสร้างความฟั่นเฟือนสับสน ให้คนอื่นวิปลาสเล่น

    ส่วนเด็กอายุ 20 กว่าปีคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ศึกษาเรื่องพวกนี้มาดีพอเลย หรือไม่เคยได้ศึกษามาเลยด้วยซ้ำไป อันนี้ก็ไม่จริง เพราะผมอ่านมาหมดแล้วและผมก็จะตรวจสอบจากแหล่งทีทน่าเชื่อถือต้นตออย่างพระไตรปิฏกนี่ก็ไม่ใช่ติดคัมภีร์อะไรหรอกแต่มันน่าเชื่อถือสุด ถึงแยกออกว่าอันไหนไร้สาระ ส่วนยังไม่หมดทุกข์ก็ยอมรับ ยังไปได้ไม่ไกลก็ยอมรับ มันผิดตรงไหน ผมก็พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว มันก็ได้แค่นี้

    ที่ว่า ชาวพุทธทั้งประเทศ ก็ไม่ต้องไปกราบใครที่ไหนอีกแล้ว
    เพราะว่าเราเจอคนที่เก่งที่สุดในประเทศแล้ว 555 ผมอาจจะไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดในประเทศแต่ผมฉลาดกว่าคุณหลายคนในนี้แน่นอน อย่างน้อยก็ในเรื่องนี้ เพราะถ้าผมไม่รู้ผมก็จะพยายามรู้ ผมไม่หน้าด้านพูดว่ารู้ในสิ่งที่ไม่รู้ ถ้าผมไม่รู้ผมก็จะยอมรับตรงๆๆว่าไม่รู้ ไม่รู้ผมก็จะถามก็จะหาคำตอบ มีคนทักผมก็จะตรวจสอบว่าจริงอย่างเขาว่าไหม ดังนั้นผมถึงฉลาดกว่าพวกไม่รู้แสร้งทำเป็นรู้ พวกมากลากไป ลงเหวลงนรกอย่างไรไม่สนใจ ไม่แยกแยะถูกผิดดีชั่ว พอมีคนทักแทนที่จะตรวจสอบให้รู้กับพาล...............เกิดอีกร้อยชาติก็คงจะฉลาดล่ะแบบนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2014
  17. atitarn2009

    atitarn2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +262
    ลองเข้าไปดูนะคะ เผื่อยังไม่เคย อาจจะเจออะไรดีๆเพิ่มจากที่มีอยู่แล้ว สำหรับตัวเอง ^__^ แต่ถ้าเคยดูอยู่แล้วก็ อนุโมทนา สาธุ ค่ะ
    พุทธวจน : วัดนาป่าพง

    (ชื่อสถานที่ & ตัวบุคคล ไม่สำคัญเท่า คำสอนที่เราจะมีโอกาส ได้สดับรับรู้) ท่านรู้^ ^
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 กุมภาพันธ์ 2014
  18. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ไม่รู้นะ ผมเห็นเขาบันทึกเอาไว้ว่า พระไตรปิฎกเิริ่มถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร
    เมื่อนตอนทำสังคายนาครั้งที่ 5 แสดงว่าก่อนหน้านั้นหนะ ท่องจำกันต่อๆ หรือเปล่านะ

    แล้วไอ้การท่องจำกันต่อๆมาหลายชั่วคนนี่..ข้อมูลดั้งเดิมมัน มีโอกาสที่จะ "เพี้ยน" ไปได้ไหมน๊า..

    แล้วก็..เหตุอันใดหนอ ท่านพุทธทาส ถึงบอกว่า สาระสำคัญของมันมีอยู่แค่ 30% เท่านั้นเอง
    ที่เหลือคือส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ..อิอิ..ถ้าเคยอ่านงานเขียนของท่านพุทธทาสมาจริงหละก็
    ก็น่าจะเคยเจอถ้อยคำเหล่านี้บ้างนะ แล้วการ "ยึด" พระไตรปิฎกเป็นหลักหนะ..
    มันอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้นะ เพราะว่ามันอาจจะไม่มีอะไรที่ยึดได้ทั้ง 100% เลย ก็เป็นได้

    แล้วเคยอ่านพระสูตรของเว่ยหลางมาจริงหรือ? หรือว่าแค่โม้ไป เพื่อให้ดูเหมือน "รู้มาก" เท่านั้นเอง

    ว่าแต่ว่า เว่ยหลางเขียนไว้ว่ายังไงบ้างนะ? ไหนลองเล่าให้ฟังบ้างซิ

    ...........................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2014
  19. (อโศก)

    (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445
    นั้นซะงั้น.............พอเจอสิ่งที่ขัดกับพระไตรปิฏกก็อ้างว่าพระไตรปิฎกเิริ่มถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร
    เมื่อตอนทำสังคายนาครั้งที่ 5 แสดงว่าก่อนหน้านั้นหนะ ท่องจำกันต่อๆ หรือเปล่านะ ก็ใช่ครับผมหก็เรียนมาแบบนี้


    ซึ่งมันก็จริงมันก็อะไรมันก็ย่อมมีที่ผิดบ้างคาดเคลื่อนบ้างเป็นธรรมดาแต่ประเด็นอยู่ที่ความพ้องกันของสูตรของพระวินัยของพระอภิธรรม หลักใหญ่ใจความมันก็พ้องกันอยู่แล้วอย่างอนัตตา อนิจจัง ปฏิจจสมุปบาท เทือกนี้
    มันพ้องกันจนสรุปเป็นหลักได้ว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร


    ซึ่งเรื่องนิพพานนี้ก็ไม่เคยมีสูตรไหน คัมภีร์อะไรในชุดพระไตรปิฏกว่าเป็นดินแดน มีแต่ว่าไม่ใช่ทั้งนั้น ถ้ามีที่ว่าใช่เอามาสิครับของสักสูตร ถ้าทำนองอุปมาว่าคล้ายดินแดนก็ว่าไป นั้นเขาเรียกอุปมาเหมือนขาวเหมือนกระดาษ ถามหน่อยเขาขาวแบบสีกระดาษจริงปะเขาเรียกว่าคำเปรียบเปรย


    ทีนี้ท่านพุทธทาสพูดเพราะมีจุดมุ่งหมายให้อย่ายึดถืออะไรทั้งนั้นอย่างคำสอนท่าน พระไตรปิฏก ให้ตรวจสอบก่อนอย่าเชื่ออะไรง่ายๆๆ มันก็คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไม่ใช่หรือ ตรงกับความตั้งใจผมเลยนะ ที่แย้งๆๆพระคุณท่านทั้งหลายนี่คืออย่าสักแต่แปลศรัทธางมงายบ้าบอหัดตรวจสอบบ้างนะไอ้ต่างมิติบ้าบอนี่ว่าตรงไหนจริงเท็จเป็นไปได้ไหม สอดคล้องกับข้อเท็จจริงเพียงใด

    ถามจริงถ้าบอกว่าพระไตรปิกฏมีคำสอนปลอมอยู่มากเข้ามาถามหน่อยใคร ผู้รู้ใดกล้าบอกว่าสูตรไหนตอนไหนไม่ใช่ที่พระพุทธเจ้าสอน

    ถามหน่อยท่านพุทธทาสเป็นเจ้าแห่งพระไตรปิฏกใช่ไหม ก็ถ้าท่านถือว่ามันไม่น่าเชื่อถือท่านจะศึกษาทำไมท่านอ่านจบไปกี่ร้อยครั้งครับ ถ้าไม่น่าเชื่อถือท่านจะแปลมาเป็นชุดๆๆ ที่สุขภาพใจพิมพ์ขาย ชุดจากพระโอษฐ์ทำไม พูดกันตรงไปตรงมาท่านทิ้งคำชั้นหลังทั้งหมดอย่างอรรถกถา แล้วเน้นพระไตรปิฏกอันเดียวด้วยซ้ำ เพราะอะไรเพราะเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่หรือ มากกว่าอรรถกถา ฏีกา คำพระอ.แมว หมี กา ไก่


    ส่วนเว่ยหลางสอนอะไรไม่อาจตอบได้ ภาษิตเซนท่านว่าผู้รู้ไม่พูดผู้พูดไม่รู้ คนเข้าใจเซนท่านเข้าใจแบบเงียบกริบไม่ใช่หรือ เหมือนภิกษุเว่ยหมิงนักสะกดรอยท่านว่า พ่อน้องชายบัดนี้เราเข้าใจแล้ว บวชมาก็นานไม่เข้าใจเลย ตอนนี้เรารู้แล้วเหมือนคนที่กินน้ำแล้วรู้รสของน้ำ บัดนี้ท่านเป็นคณุของฉันแล้ว มันพูดได้หมดสิ้นตรงจุดซะที่ไหนครับถามหน่อย ..แล้วมันแปลกตรงไหนที่ผมจะอ่านครับเล่มนี้เขาเล่มแค่ร้อยเดียว ผมมีปัญญาซื้ออ่านครับไม่ใช่เล่มล่ะหลายร้อยสักหน่อย มันแปลกตรงไหนในเน็ตก็มีให้อ่านฟรี แต่อ่านแล้วจับใจความได้ไหมอีกเรื่อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2014
  20. (อโศก)

    (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445
    มีแค่บางเล่มนะ เล่มปฐมธรรม กับเล่มภพภูมิ ผมรู้เพราะพระอ.ท่านไปออกรายการคุณต๋อยแล้วท่านพูดถึงอยู่เล่มภพภูมินะ ท่านก็แปลดีแต่เว็ปผมไม่รู้เลยว่ามี ขอบคุณครับ ส่วนเล่มอื่นผมไม่รู้ว่ามีเยอะขนาดนี้แบบนี้ก็ดีนะผมว่าอ่านง่ายเป็นหมวดๆๆดี ให้ไปค้นกันเองจากตัวพระไตรปิฏกจริงเยอะมาก คงตายพอดีจะค้นมาจับเป็นชุดแบบนี้ ให้ผมอ่านคงหลับก่อนพระไตรปิฏกบ้านผมมีครบชุดอยู่(ปลวกกินด้วยเก่ามาก...)ของตาของผม แต่ผมเปิดผ่านๆๆมากกว่า ยิ่งพระอภิธรรมนี่อ่านไม่รู้เรื่องเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...