พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    จะไปเอาหลักฐานที่ไหนหว่า คุณน้องหนุ่ม(แฝดคนละฝากับคุณน้องนู๋)...

    ไม่ทราบว่าจะไปเพิ่มกิเลสคนทำไมกัน?

    พูดถึง"ไห" พ่อ..ก็ไปตามหาไหกัน...
    พูดถึง"กำปั่น" พ่อ..ก็ไปตามหากำปั่นกัน...
    พูดถึง"พระบรมรูปฯ" พ่อ..อาจจะไปตามหาในช่วงสุดสัปดาห์นี้กัน...

    สังเกตกันบ้างเปล่าว่า ของที่ตามหากันนั้น ยิ่งยาวๆกันไปทุกที จาก ๑ คำเป็น ๒ คำ และ ๓ คำ ...
     
  2. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    55555
    ผมว่าปีหน้าจะมีสิ่งที่ตามหาใหม่คำยาวกว่าครับต้องคำนี้
    ตามหา..........
    "คุณsithiphong และคุณเพชร" ครับแน่ๆ
    nongnooo...
     
  3. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ได้ก๊ากกแน่ครับ ตลกมากคุณน้องนู๋ จิตเดิมแท้ของผมอยู่"วังหลวง" แต่รักศิลปะวังหน้า รักและศรัทธาหลวงปู่ฯทุกๆองค์(รวมไปถึงหลวงปู่แจ้งฌาน และหลวงปู่ท่านเจ้าฯด้วย) มักจะแวะเวียนไปหาสู่กับ"วังหน้า"เสมอๆ
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    http://palungjit.org/showthrea...698#post875698

    <TABLE class=tborder id=post875698 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 08:15 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#77 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>sithiphong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_875698", true); </SCRIPT>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 08:16 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 17,862 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 22,595 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 101,572 ครั้ง ใน 13,912 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 11973 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_875698 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ผมเองมีพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ทรงผนวช(พระบูชา) ซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2416 กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ พระองค์ท่านมีพระบัณฑูรให้จัดสร้างขึ้นที่วังหน้า เพื่อเป็นที่ระลึกในวาระที่รัชกาลที่ 5 พระองค์ท่านทรงผนวช

    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่บ่งบอกได้ว่า ถ้าไม่มีวาสนาบารมี แม้แต่รูปก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็น

    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    แล้วพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ทรงผนวช ต้องมีหลักฐานด้วยหรือเปล่า
    ปุปุปุ เอ้ย หุหุหุ

    .
    <!-- / message --><!-- sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    จะไปเอาหลักฐานที่ไหนหว่า คุณน้องหนุ่ม(แฝดคนละฝากับคุณน้องนู๋)...

    ไม่ทราบว่าจะไปเพิ่มกิเลสคนทำไมกัน?
    พูดถึง"ไห" พ่อ..ก็ไปตามหาไหกัน...
    พูดถึง"กำปั่น" พ่อ..ก็ไปตามหากำปั่นกัน...
    พูดถึง"พระบรมรูปฯ" พ่อ..อาจจะไปตามหาในช่วงสุดสัปดาห์นี้กัน...

    สังเกตกันบ้างเปล่าว่า ของที่ตามหากันนั้น ยิ่งยาวๆกันไปทุกที จาก ๑ คำเป็น ๒ คำ และ ๓ คำ ...
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    55555
    ผมว่าปีหน้าจะมีสิ่งที่ตามหาใหม่คำยาวกว่าครับต้องคำนี้
    ตามหา..........
    "คุณsithiphong และคุณเพชร" ครับแน่ๆ
    nongnooo...
    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ผมว่าน๊ะ ผมคงต้องตามหาเหมือนกัน แต่คงเป็นกระทู้ใหม่

    "ตามหามันตรัยและคณะ เนื่องจากพระวังหน้า"

    ตัองให้ลงไปนรกขุมที่ลึกที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ จะให้มันปรามาสที่ละเรื่อง จะได้ต่างกรรม ต่างวาะ

    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เตือนภัยโทรจันแฝงในข้อความโฆษณาของกูเกิล
    http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9500000151207
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>20 ธันวาคม 2550 18:19 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=110 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=110>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> บิตดีเฟนเดอร์ (BitDefender) บริษัทแอนตี้ไวรัสสัญชาติโรมาเนียประกาศเตือนภัยนักท่องเน็ตทั่วโลก ระบุว่าลิงก์โฆษณาหลายจุดบนกูเกิลนั้นถูกโจมตีโดยฝีมือซอฟต์แวร์โทรจัน ผลที่เกิดขึ้นคือข้อความโฆษณาและลิงก์จะถูกเปลี่ยนแปลงโดยอัตโนมัติ ทำให้สามารถล่อลวงผู้ใช้ให้หลงเชื่อเข้าสู่เว็บไซต์แฝงไวรัสได้อย่างง่ายดาย โดยล่าสุดกูเกิลรายงานว่าได้แก้ปัญหาและควบคุมสถานการณ์เรียบร้อยแล้ว

    บิตดีเฟนเดอร์ระบุว่า ทันทีที่นักท่องเน็ตคลิกลิงก์โฆษณาบนเว็บไซต์กูเกิล โทรจันที่แฝงอยู่ในลิงก์จะส่งคิวรี่หรือคำขอใช้งานไปยังเซิร์ฟเวอร์ลับแทนการส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของกูเกิลเช่นปกติ (redirect) โฆษณาที่ปรากฏจึงเป็นโฆษณาของบริษัทอื่นซึ่งไม่ใช่บริษัทที่จ่ายเงินลงโฆษณากับบริการแอดเซนส์ (AdSense) ของกูเกิล

    จุดนี้กูเกิลออกมายอมรับว่า ได้มีการบอกเลิกสัญญากับบริษัทที่แสดงลิงก์โฆษณาไปยังเว็บไซต์แฝงไวรัสหรือซอฟต์แวร์ประสงค์ร้ายอื่นๆแล้ว รวมถึงเว็บไซต์ที่แสดงโฆษณาผลิตภัณฑ์ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับระบบซอฟต์แวร์ของกูเกิล

    "เราดำเนินการป้องกันและลบรายการเว็บไซต์ซึ่งเป็นต้นเหตุส่งซอฟต์แวร์ประสงค์ร้าย (มัลแวร์) มาโจมตีระบบโฆษณาและระบบแสดงผลเสิร์ชของกูเกิลแล้ว โดยดำเนินการทั้งในรูปแบบตรวจสอบทีละขั้นตอน (manual) และแบบอัตโนมัติ (automate) เพื่อตรวจจับและรักษาความเรียบร้อยของระบบซอฟต์แวร์"

    โทรจันหรือม้าโทรจันคือเชื่อเรียกโปรแกรมซึ่งมีความสามารถในการแฝงตัวเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยไม่มีสิ่งใดตรวจจับได้ การโจมตีระบบจับคู่โฆษณาตามคำสืบค้นนามแอดเซนส์ของโทรจันที่เกิดขึ้นทำให้บิตดีเฟนเดอร์ตั้งข้อสังเกตว่า สถานการณ์ดังกล่าวคือสถานการณ์อันตรายที่ทำความเสียหายทั้งกับผู้ใช้และกลุ่มเว็บมาสเตอร์

    "ผู้ใช้ได้รับผลกระทบแน่เพราะลิงก์ลวงที่ปรากฏมีความเป็นไปได้สูงว่าจะแฝงไวรัสไว้ ขณะที่เว็บมาสเตอร์จะได้รับผลกระทบเพราะโทรจันจะทำให้ผู้ใช้งานเว็บไม่สนใจชมโฆษณาภายในเว็บอีก แน่นอนว่าจะทำให้รายรับของเว็บหายไป" ตัวแทนของบิตดีเฟนเดอร์อธิบาย

    บิตดีเฟนเดอร์ตั้งชื่อโทรจันนี้ว่า Trojan.Qhost.WU จำแนกระดับการแพร่กระจายอยู่ที่ระดับต่ำ และมีความร้ายแรงระดับกลาง

    Company Related Links :
    Bitdefender
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>วิกฤตซับไพรม์ US ลุกลามทำภาวะสินเชื่อโลกตึงตัว
    http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9500000150749
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการรายวัน</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>20 ธันวาคม 2550 08:48 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ปรากฏการณ์ฟองสบู่สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทลูกค้าด้อยคุณภาพ หรือ "ซับไพรม์" ในสหรัฐฯเริ่มแตกกันมาตั้งแต่กลางปี 2005 ทว่าต้องรอจนถึงปี 2007 นั่นแหละ ปัญหาจึงทวีความร้ายแรงถึงขั้นกลายเป็นวิกฤต สถาบันการเงินที่มุ่งเน้นปล่อยกู้สินเชื่อซับไพรม์จำนวนมากล้มละลายหรือประสบปัญหาหนัก

    จากนั้นความยุ่งยากก็ไปปะทุขึ้นในบรรดาแบงก์และสถาบันการเงินทั่วโลก ซึ่งพัวพันกับตราสารหนี้อันอิงอยู่กับหลักทรัพย์ค้ำประกันของสินเชื่อซับไพรม์ ข้อมูลความเสียหายที่ทยอยประกาศกันออกมาอย่างกระมิดกระเมี้ยนทว่าถะถั่งพรั่งพรูเหมือนไม่รู้จักจบจักสิ้น ทำให้สถาบันการเงินทั้งหลายเกิดความหวาดผวา หมดความไว้วางใจและไม่อยากปล่อยกู้ให้แก่กัน จนนำไปสู่ภาวะสินเชื่อตึงตัว วิกฤตซับไพรม์ซึ่งตอนต้นปีทำท่าจะสร้างความเสียหายเพียงวงจำกัด จึงกำลังบานปลายกลายเป็นวิกฤตสินเชื่อในตอนปลายปี และฤทธิ์เดชของมันอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯถึงขั้นจมลงสู่ภาวะถดถอยทีเดียว รวมทั้งดึงลากเอาเศรษฐกิจทั่วโลกดำดิ่งลงไปด้วย

    วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ปี 2007 เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องย้อนเวลากลับไปจนถึงปลายปี 2001 เมื่อความหวาดกลัวการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในทั่วโลกภายหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน ส่งผลกระทบกระเทือนหนักต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯซึ่งตอนนั้นอยู่ในอาการย่ำแย่อยู่แล้ว โดยเพิ่งเริ่มหลุดออกจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยอันบังเกิดขึ้นจากภาวะฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยีแตกในปลายทศวรรษ 1990

    เพื่อช่วยเศรษฐกิจฟันฝ่าให้พ้นความลำบากดังกล่าว ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ได้เริ่มทยอยตัดลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างมโหฬาร จนกระทั่งอัตราเฟดฟันด์เรตมาอยู่ที่ 1% ในปี 2003

    พร้อมๆ กับที่ดอกเบี้ยต่ำลงเรื่อยๆ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯก็เริ่มคึกคักขึ้นทุกทีทั้งในเรื่องจำนวนบ้านที่ขายได้ และราคาบ้านซึ่งสูงเอาๆ

    สหรัฐฯนั้นเป็นประเทศที่มีพัฒนาการในเรื่องการนำเอาหลักทรัพย์ค้ำประกันสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ มาออกเป็นตราสารหนี้ (ซีเคียวริไทเซชั่น) หรือหลักทรัพย์ที่หนุนหลังโดยสินทรัพย์ (เอบีเอส) เป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว

    ยิ่งเมื่อตลาดอสังหาริมทรัพย์บูมกันสนั่นเช่นนี้ พวกสถาบันการเงินก็ได้คิดสร้างหลักทรัพย์เอบีเอสรูปแบบใหม่ๆ ขึ้นมา มีการคิดค้นวิธีที่จะนำเอาสินเชื่อซึ่งปล่อยกู้แก่ลูกค้าประเภทซับไพรม์ เข้ามาผสมผเส ทว่ายังจะทำให้พวกบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (ซึ่งมักจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนในเรื่องนี้อยู่ด้วย) สามารถที่จะให้เรตติ้งระดับดีมากหรืออย่างน้อยก็อยู่ในระดับที่ถือว่าสามารถลงทุนได้ อย่างเช่นตราสารหนี้ collateralized debt obligations (CDOs)

    ผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ใหม่ๆ เหล่านี้ ทำให้แม้กระทั่งสถาบันการเงินที่มุ่งเน้นปล่อยกู้ประเภทซับไพรม์ ก็มีช่องทางที่จะขายต่อหนี้สินที่พวกตนให้ลูกค้าความเสี่ยงสูงกู้ยืม ดังนั้นจึงยิ่งเพิ่มแรงจูงใจที่จะหาลูกค้าในเชิงรุกกันมากขึ้น เกิดเป็นสภาพที่พวกสถาบันการเงินวอลล์สตรีทคอยรับซื้อหนี้สินซับไพรม์ นำเอามาจัดแพกเกจใหม่รวมไปกับเงินกู้ประเภทอื่นๆ ด้วยชั้นเชิงกลเม็ดที่จะทำให้ได้รับเรตติ้งดีๆ จากพวกบริษัทจัดอันดับ แล้วก็นำไปขายแก่นักลงทุน

    เมื่อเวลาผ่านไป สถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้ปล่อยกู้สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์มือต้น ชักย่อหย่อนแม้กระทั่งในการทำหน้าที่พื้นฐานในเรื่องการตรวจสอบฐานะของลูกค้าว่าจะผ่อนไหวหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็สามารถขายหนี้ต่อไปได้อยู่แล้ว ขณะเดียวกัน พวกเขาได้พัฒนากลเม็ดใหม่ๆ เพื่อชักจูงลูกค้ามาเซ็นสัญญาเงินกู้ อาทิ อัตราดอกเบี้ย teaser rate ที่เสนอดอกเบี้ยต่ำในระยะ 1-2 ปีแรก จากนั้นก็จะปรับให้สูงขึ้นซึ่งหลายกรณีจะสูงขึ้นเป็นเท่าตัวทีเดียว หรือเงินกู้แบบจ่ายดอกเบี้ยเท่านั้นในระยะปีแรกๆ ยิ่งตลาดคึกคักราคาบ้านขยับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว พวกเขายังแถมได้ลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่ง นั่นคือ พวกเจ้าของบ้านที่มารีไฟแนนซ์เพื่อให้ได้เงินกู้เพิ่มเติม

    ในส่วนของพวกสถาบันการเงินวอลล์สตรีทและนักลงทุนรายใหญ่อื่นๆ ราคาบ้านที่มีแต่สูงขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้พวกเขาไม่ค่อยกังวลใจกับการลงทุนซึ่งอิงกับสินเชื่อซับไพรม์ที่ถือว่ามีความเสี่ยงสูง เพราะหากมีการผิดนัดชำระหนี้ ก็สามารถยึดบ้านที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันมาขายชนิดได้ราคาอยู่ดี ขณะที่สภาพคล่องซึ่งมีอยู่สูงในตลาดเพราะดอกเบี้ยต่ำ ทำให้สถาบันเหล่านี้สามารถที่จะหากู้ยืมได้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนำมาสร้างผลิตภัณฑ์การลงทุนเพิ่มเติม และขายแก่นักลงทุนต่อไปอีก

    อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2004 เฟดได้เริ่มวงจรแห่งการขึ้นดอกเบี้ย เพื่อพยายามชะลอภาวะเงินเฟ้อ โดยจะเพิ่มดอกเบี้ยถึง 17 ครั้งติดต่อกัน จากระดับ 1% ก็กลายมาเป็น 5.25% ในตอนกลางปี 2006

    ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างแรง ตั้งแต่กลางปี 2005 ตลาดบ้านที่กำลังเฟื่องฟูในหลายๆ พื้นที่ของสหรัฐฯ เกิดอาการชะงักไปอย่างกะทันหัน ยิ่งมาถึงกลางปี 2006 อาการเสื่อมทรุดก็เริ่มปรากฏชัด ยอดขายบ้านตกลงไป ส่วนราคากลางของบ้านที่ขายได้ก็ไม่ขยับขึ้นและเริ่มไหลลง อัตราการก่อสร้างลดฮวบจนอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี และสินเชื่อลูกค้าซับไพรม์เริ่มมีการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นมาก

    เข้าสู่ปี 2007 ยอดขายบ้านยังคงตกต่อไปอีก ในเดือนมีนาคม สมาคมนายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ระบุว่า ยอดขายบ้านที่ไม่ใช่บ้านสร้างใหม่ ทรุดตัวหนักที่สุดในรอบ 18 ปี ขณะที่ดัชนีราคาบ้านเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์ ของไตรมาสแรก ชี้ว่าราคาบ้านตกลงมากันทั่วทั้งประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ทรุดตัวแรง ก็ส่งผลไปถึงภาคการเงินซึ่งพัวพันกับบ้านพักอาศัย โดยเฉพาะพวกสถาบันการเงินที่เน้นปล่อยกู้สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์แก่ลูกค้าซับไพรม์ เป็นพวกที่ได้รับผลกระทบกระเทือนเร็วและแรงกว่าเพื่อน จนถึงขั้นอยู่ในอาการพังพาบ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม สถาบันเหล่านี้ 20 กว่าแห่งประกาศขอล้มละลาย หรือเสนอขายกิจการ หรืออย่างน้อยก็ประกาศผลประกอบการขาดทุนหนัก แม้กระทั่ง นิว เซนจูรี ไฟแนนซ์ ผู้ปล่อยกู้ซับไพรม์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ยังต้องขอล้มละลายตอนต้นเดือนเมษายน ยูบีเอสที่เป็นแบงก์ยักษ์สัญชาติสวิส ปิดกิจการปล่อยกู้ซับไพรม์ในสหรัฐฯของตนที่ชื่อ ดิลลอน รีด แคปิตอล แมเนจเมนต์ ในต้นเดือนพฤษภาคม

    ขณะเดียวกัน พวกสถาบันการเงินที่ครอบครองตราสารหนี้ซึ่งอิงกับสินเชื่อซับไพรม์ทั้งหลาย ก็พลอยย่ำแย่ไปตามๆ กัน เพราะเมื่อผู้กู้ยืมสินเชื่ออสังริมทรัพย์พากันผิดนัดชำระหนี้ แม้ยึดหลักประกันมาได้ ทว่าราคาบ้านกลับอยู่ในช่วงทรุดต่ำตลอดเวลา ดังนั้นบรรดาสินทรัพย์ซึ่งอิงกับสินเชื่อประเภทนี้ก็ต้องเสื่อมค่าลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าในตอนที่คิดค้นออกแบบผลิตภัณฑ์เหล่านี้ จะพยายามวางกลเม็ดป้องกันเอาไว้อย่างไรก็ตามที

    เดือนมิถุนายน แบร์สเติร์นส์ วาณิชธนกิจยักษ์รายหนึ่งของวอลล์สตรีท เปิดเผยว่าต้องควักเงิน 3,200 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยไม่ให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์ 2 กองทุนซึ่งตนเองบริหารอยู่ และขาดทุนหนักจากการพัวพันกับตลาดซับไพรม์ ต้องถึงกับล้มละลายไป นับเป็นกรณีการเข้าอุ้มกิจการในเครือที่ใหญ่ที่สุดของแบงก์ในรอบเกือบ 10 ปี ทว่าอีกเดือนเศษต่อมา แบร์สเติร์นส์ก็ต้องยื่นขอล้มละลายเฮดจ์ฟันด์ทั้ง 2 กองทุนนี้อยู่ดี แถมยังระงับไม่ให้ลูกค้าถอนเงินคืนจากเฮดจ์ฟันด์กองทุนที่ 3 ของตน หลังจากมีการแห่ขอไถ่ถอนกันมากมาย

    กรณีของแบร์สเติร์นส์ นอกจากทำให้วาณิชธนกิจแห่งนี้ย่ำแย่ ต้องมีการปรับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ระดับท็อปจำนวนหนึ่ง และราคาหุ้นตกฮวบแล้ว ยังทำให้ดัชนีหุ้นวอลล์สตรีทเซซวด และตลาดสินเชื่อทั่วโลก ปรากฏภาวะตึงตัวรุนแรง เพราะบรรดาแบงก์และสถาบันการเงินชักไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ไม่ทราบชัดเจนว่าใครบ้างที่จะต้องเสียหายจากซับไพรม์กันอีกและเป็นจำนวนเท่าใด จึงไม่ค่อยยอมปล่อยกู้ให้แก่กัน

    ตลาดเงิน หรือตลาดสินเชื่อระยะสั้น ซึ่งพวกเพลเยอร์คือแบงก์และสถาบันการเงินต่างๆ ถึงขั้นชะงักงัน ในวันที่ 9 สิงหาคม หลังจาก บีเอ็นพี ปาริบาส์ แบงก์ยักษ์ฝรั่งเศสระงับการซื้อหรือไถ่ถอนกองทุน 3 กองทุนของตนที่มีมูลค่ารวม 2,000 ล้านยูโร เพราะปัญหาซึ่งอิงกับสินเชื่อซับไพรม์ของสหรัฐฯ บีเอ็มพีบอกว่าตนไม่สามารถตีมูลค่าสินทรัพย์ในกองทุนเหล่านี้ เพราะตลาดได้เหือดหายไปในทางเป็นจริง

    ในสภาพเช่นนี้ ธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) ได้เร่งอัดฉีดสภาพคล่อง 95,000 ล้านยูโรเข้าไปในระบบธนาคารของยูโรโซน เพื่อผ่อนคลายภาวะสินเชื่อตึงตัว จากนั้นเฟดและธนาคารกลางของญี่ปุ่นก็ทำอย่างเดียวกัน

    หลังจากนี้ ธนาคารกลางยักษ์ใหญ่ของอเมริกาเหนือและยุโรป ยังมีการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบกันอีกหลายรอบ โดยเฉพาะตอนใกล้สิ้นปี เฟด, อีซีบี, และธนาคารชาติของอังกฤษ,แคนาดา, สวิส ได้จับมือกันเปิดช่องทางใหม่ในการปล่อยเงินสดเข้าระบบธนาคาร ซึ่งกำหนดเงื่อนไขผ่อนปรนมากขึ้น เพื่อให้แก้ไขภาวะสินเชื่อตึงตัวได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้อีซีบีได้ดำเนินการในเรื่องนี้อย่างดุดันกว่าเพื่อน โดยในวันที่ 18 ธันวาคม ได้ปล่อยสภาพคล่องระยะสั้นออกไปไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์

    ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางทั้งหลายก็ได้ทำการลดดอกเบี้ย หรืออย่างน้อยก็ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไปก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เฟดนั้นได้ลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องกัน 3 ครั้ง รวมเท่ากับ 1% ทำให้เฟดฟันด์เรตลงมาอยู่ที่ 4.25% ในตอนสิ้นปี

    ทว่ามาตรการเหล่านี้อย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงการบรรเทาปัญหา เพราะการที่ภาวะตึงตัวในตลาดจะสามารถคลี่คลายไปได้อย่างแท้จริงนั้น บรรดาแบงก์และสถาบันการเงินเองจะต้องกลับมีความมั่นใจในกันและกัน และกล้าปล่อยกู้ให้แก่กันอีกครั้งหนึ่ง

    แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้ว ยังคงมีข่าวร้ายออกมาไม่เว้นแต่ละวัน ภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯอาการยังไม่ดีขึ้น ราคาบ้านยังคงตกต่อ มีลูกค้าซับไพรม์อีกเกือบ 2 ล้านรายที่อัตราดอกเบี้ยของพวกเขาจะต้องถูกปรับขึ้นลิ่วในรอบ 1 ปีข้างหน้า และมีหวังถูกยึดบ้านกันมากมาย เนื่องจากเรื่องนี้กระทบกระเทือนประชาชนจำนวนมาก รัฐบาลสหรัฐฯจึงพยายามเสนอมาตรการช่วยเหลือซึ่งเน้นที่การขอให้สถาบันการเงินยอมชะลอการปรับดอกเบี้ยออกไปก่อน

    ทางด้านภาคการเงิน แบงก์แห่งนั้นสถาบันการเงินแห่งนี้ออกมาแถลงข่าวไม่หยุดหย่อน ว่าประสบการขาดทุนหนักจากสินเชื่อซับไพรม์และวิกฤตสินเชื่อตึงตัว แม้กระทั่งแห่งที่แจ้งความเสียหายออกมาแล้ว อีกไม่กี่วันก็ยังปรากฏความเสียหายงอกเพิ่มก้อนมหึมาขึ้นมาอีก โดยที่ความเสียหายทั้งหมดในภาคการเงินจะเป็นเท่าใดกันแน่ ดูจะไม่มีใครประเมินได้อย่างชัดเจน อาทิ เบน เบอร์นันกี ประธานเฟดเคยพูดไว้ในเดือนกรกฎาคมว่า ความเสียหายจากวิกฤตซับไพรม์ในสหรัฐฯ คงจะถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ ทว่านักวิเคราะห์ของ โกลด์แมนแซคส์ วาณิชธนกิจวอลล์สตรีทชื่อดัง พูดในเดือนพฤศจิกายนว่า น่าจะไปถึง 400,000 ล้านดอลลาร์ทีเดียว นักวิเคราะห์บางเจ้าให้ตัวเลขกลมๆ ที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว

    นอกจากนั้น ความเสียหายจากซับไพรม์และวิกฤตสินเชื่อของภาคการเงิน ยังทำให้มีการปลดการปรับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่บริหารระดับท็อปของแบงก์และสถาบันการเงินกันมาก โดยรายที่เป็นข่าวใหญ่กว่าเพื่อน คือ การเปลี่ยนตัวซีอีโอของ ซิตีกรุ๊ป และ เมอร์ริลลินช์

    ความเสียหายที่ลุกลามบานปลายมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความเชื่อในตอนต้นปีที่ว่า พิษภัยของวิกฤตคราวนี้จะจำกัดอยู่เฉพาะในภาคการเงินของสหรัฐฯ ต้องหลีกทางให้กับความหวาดหวั่นที่ว่า มันจะแสดงฤทธิ์เดชทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯถึงขั้นชะลอตัวลงในปีหน้า สถาบันต่างๆ ไม่ว่าระดับระหว่างประเทศหรือในสหรัฐฯ ตลอดจนของภาคเอกชน ต่างปรับลดตัวเลขพยากรณ์อัตราเติบโตของเศรษฐกิจอเมริกันในปีหน้า

    ถึงแม้ความเห็นส่วนใหญ่ยังคงมองว่าเศรษฐกิจอเมริกาน่าจะมีการขยายตัวอยู่ แต่ก็มีเสียงแสดงความวิตกว่า หากความไว้เนื้อเชื่อใจในหมู่แบงก์และสถาบันการเงินยังไม่ฟื้นคืนมา เศรษฐกิจสหรัฐฯก็อาจย่ำแย่ถึงขึ้นเข้าสู่ภาวะถดถอยก็ได้***ผลกระทบต่อประเทศไทยสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยเองก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์ด้วยเช่นกัน โดยส่อเค้ามาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2007 ก่อนจะทวีความรุนแรงสุดๆ ในช่วงเดือนกรกฎาคม ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงจากระดับใกล้ 900 จุด ไหลรูดลงมาแตะที่ระดับ 750 จุด หรือเกือบ 150 จุด คิดเป็นสัดส่วนที่ลดลงเกือบ 17% ภายในระยะเพียง 1 เดือน

    โดยในช่วงดังกล่าวนักเศรษฐศาสตร์ และนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ออกมาประเมินผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวค่อนข้างมาก เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกและลุกลามถึงตลาดหุ้นไทยด้วย แม้ว่าจะเป็นเพียงตลาดหุ้นขนาดเล็กในภูมิภาคนี้ แต่ได้เกิดแรงกดดันจากการขายหน่วยลงทุนรวมถึงหุ้นที่ถือครองของกองทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นทั่วโลก เพื่อนำเงินกลับไปชดเชยผลขาดทุนจากการดำเนินงานของกองทุนที่มีการถือครองสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    นอกจากการไถ่ถอนหุ้นที่ลงทุนเพื่อนำกลับไปชดเชยผลขาดทุนแล้ว การขายหุ้นคืนเพื่อนำไปจ่ายคืนผู้ถือหุ้นลงทุนที่ต่างตื่นตระหนกจากเรื่องดังกล่าวจนทำให้กองทุนบางแห่งต้องประกาศปิดการไถ่ถอนหน่วยลงทุนชั่วคราวเนื่องจากต้องบริหารจัดการกับสินทรัพย์ที่ลงทุนให้เรียบร้อยก่อน

    "ผลจากทั้ง 2 เรื่องส่งผลโยงกลับเข้าสู่นักลงทุนในประเทศที่ไม่มั่นใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้นต่างผสมโรงเทขายหุ้นที่ถือครองออกมาอย่างหนัก โดยหุ้นในกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์เป็นหุ้น 2 กลุ่มที่มีการขายออกมาอย่างชัดเจนเนื่องจากเป็นหุ้นในกลุ่มที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) สูงพอที่นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุน" นายปริทรรศน์ เหลืองอุทัย กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอสซีบี ควอนท์ กล่าว

    นักวิเคราะห์หลักทรัพย์หลายรายมองว่า ปัญหาจากซับไพรม์แม้ว่าที่ผ่านนักลงทุนจะรับรู้ไปค่อนข้างเยอะแล้ว แต่สิ่งที่หลายฝ่ายยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน คือ ผลกระทบที่แท้จริงจากเรื่องดังกล่าวว่ามีมูลค่ามากน้อยเพียงใดซึ่งจะส่งผลทำให้สามารถประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯได้ชัดเจนมากขึ้น

    ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินในสหรัฐฯไปจนถึงช่วงงบการเงินงวดไตรมาส 2/2008 ว่าจะยังมีตัวเลขผลกระทบจากซับไพรม์มากขึ้นหรือลดลงอย่างไร แม้ว่าตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/2007 จะมีการประกาศความเสียหายจากซับไพรม์ จนทำให้สถาบันการเงินหลายแห่งต้องประสบภาวะขาดทุนอย่างหนัก จนบางแห่งต้องประกาศปิดกิจการ แต่เรื่องดังกล่าว ณ ปัจจุบันยังไม่ถือว่าจบอย่างแท้จริง

    ประมวลข่าว : พิษซับไพรม์สหรัฐ สะเทือนทั้งโลก!!

    http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9500000150749
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ร่วมบุญบูชาผ้ายันต์และวัตถุมงคลแห่งวัดป่าโนนจ่าหอมเพื่อสร้างโบสถ์

    http://palungjit.org/showthread.php?t=69601&page=33

    <TABLE class=tborder id=post876123 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">เมื่อวานนี้, 11:29 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#656 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>อนุชวน<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_876123", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 11:29 PM
    วันที่สมัคร: Jan 2006
    ข้อความ: 332 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 326 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 3,046 ครั้ง ใน 319 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 361 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_876123 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->เมื่อวันที่ 4 ธค. 50 ที่ผ่านมาทางวัดได้ทำการสมโภชน์พระพุทธเนรมิตหลังจากที่ทาสีองค์พระเสร็จเรียบร้อยเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแก่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งถือว่าปีแห่งมหากุศลของปวงชนชาวไทยทั้งปวง ซึ่งตอนนี้ทางวัดกำลังตกแต่งและทาสีองค์ที่สอง(พระพุทธเมตตา) และองค์ที่สามและที่สี่ก็จะเสร็จทั้งหมดราวต้นปี 51 ก็ชมภาพดั้งเดิมกับปัจจุบันดูนะครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    โมทนาสาธุครับ

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 01250002.JPG
      01250002.JPG
      ขนาดไฟล์:
      215.4 KB
      เปิดดู:
      37
    • DSCN1991.jpg
      DSCN1991.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      29
    • DSCN1992.jpg
      DSCN1992.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      26
    • P1070607.JPG
      P1070607.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.2 MB
      เปิดดู:
      31
    • P1070695.jpg
      P1070695.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      31
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/index.php

    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead colSpan=2>คน Online อยู่บนบอร์ดในขณะนี้: 1049 ( เป็นสมาชิก 162 คน และ บุคคลทั่วไป 887 คน) </TD></TR></TBODY><TBODY id=collapseobj_forumhome_activeusers><TR><TD class=alt2>[​IMG]</TD><TD class=alt1 width="100%">สถิติที่เคยมีคน online พร้อมกันมากที่สุด 2,803 คน, เมื่อ วันที่19-09-2007 เวลา 01:07 PM.
    sithiphong, ###อ่อน###, 1redstar, 8377, :::เพชร:::+, แรงศรัทธา, achira, เอกณัฐยศ, amaman, รัตนพร, ภาณุ ปัญจะโรทัย, apirakk, ภูมิพัฒน์รัตน, aw_vanichart, เล่าปัง, เกษม, เจ้าโก้, เจนัย, โชคลาภ, เด็กวัดป่า, เด็กอนุบาล, เทพ, bidder999, bnbk, boontrongjamsri, buana16, bunlert, วะชิคุง, chou, วิมุตติ, DAN, dharma, DITCE, dogsman, Dussanee_k, สร้างบารมี, สะแกกรัง, eddy1965, Enfa, สันโดษ, Falkman, first, googorn2, guawn+, HELL HAMMER, อัครพลปุลิน, อายุมั่น, อาหยั่น, อดุลย์ เมธีกุล, อธิมุตโต, jairlinethai, jasminine, Jdin_buddhism, jome2007, jooooy, juikee, Jyool, k.kwan, kantanop, khampee, kittitpx, Komodo, korakots14, ksuchet, kumpeang, kurochang, kwok+, lekgunner, loesh, LorDTeX, magic_storm, manoonc, Manupong, marine24, maysa79, mintra111, missfondee, Monaiz, monsodsai2, mukmik, namsompun, narongwate+, natthanon, Newone, ngern42, No money, no.9, noom_bua, nuttadet, Oldone, onlyli, paintkiller, pakhun, panandana, pany, pharma5, piaprakhueng, pran_88, pthongkul, pubman98, queenie, rinsss, ruxjung, sutatip_b, suthamma, tamsak, Taro_A, tarus77, tawatd+, thow, tomen, ton999, tossapornk, vichian, viravut, war511, wara43, [​IMG] WebSnow, white rose., wichitt+, xyz, yokusta, zz, ลัก...ยิ้ม, ไอย, ~:สิกขิม*เทวาลัย:~, กระพี้, ก้อง, กายแก้ว, ขันธ์, ครึ่งชีวิต, คำข้าว, คลิก, คุณ 4, จิตต์ปภัสสร, จิตตานุปัสสนา, จิตพอเพียง, จุรีรัตน์_22, ชีวิตติดธรรม, ดั่งจันทรา, ตั้งทองกูร, ทูต, ธรรมจริยา, ธรรมธร, นักพรต99, บ้านกล้วยไม้, บุษบากาญจ์, บุญยง โคกกระทา, บุตรแห่งสารี, ประเสริฐ, ปมณฑ์, ปีศาจร้าย, ปาฏิหาริย์, ผ่อนคลาย, พระสมรัก, พิชญ์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://palungjit.org/forumdisplay.php?f=15
    คน Online อยู่บนบอร์ดในขณะนี้
    117 (38 สมาชิก & 79 บุคคลทั่วไป)
    sithiphong, แรงศรัทธา, achira, เอกณัฐยศ, boontrongjamsri, DAN, สร้างบารมี, สะแกกรัง, guawn+, HELL HAMMER, อัครพลปุลิน, อายุมั่น, อาหยั่น, jairlinethai, juikee, khampee, korakots14, manoonc, missfondee, namsompun, narongwate+, noom_bua, piaprakhueng, rinsss, thow, tomen, ton999, vichian, wichitt+, yokusta, กระพี้, ก้อง, คำข้าว, จิตตานุปัสสนา, ดั่งจันทรา, ธรรมจริยา, บ้านกล้วยไม้

    ผมกำลังรออยู่
    แต่เดี๋ยวผมจะออกไปทำงานข้างนอก สงสัยว่าวันนี้คงวิ่งไปข้างนอกบ่อยแน่ๆเลย งานมากจริงๆ
    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/showthread.php?t=82509

    บัวสี่เหล่า

    <!-- currently active users --><TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, มันตรัย </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +1,316
    คำบูชาหลวงปู่เทพโลกอุดร

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ...ฯ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ...ฯ<o:p></o:p>
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ...ฯ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    1. โย อะริโย มะหาเถโร อะระหัง อะภิญญาธะโร<o:p></o:p>
    ปฏิสัมภิ ทัปปัตโต วะ เตวิชโช พุทธะสาวะโก<o:p></o:p>
    2. พะหู เมตตาทิวาสะโน มะหาเถรา นุสาสะโก<o:p></o:p>
    อะมะตัญเญวะ สุชีวะติ อะภินันที คุหาวะนัง<o:p></o:p>
    3. โส โลกุตตะโร นาโม อัมเหหิ อะภิปูชิโต<o:p></o:p>
    อิธะ ฐานูปะมาคัมมะ กุสะเล โน นิโยชะเย<o:p></o:p>
    4. ปุตตะเมวะ ปิยัง เทสิ มัคคะผะลัง วะ เทสสะติ<o:p></o:p>
    ปะระมะ สารีริกะธาตุ วะชิรัญจา ปิวานิตัง<o:p></o:p>
    5. โส โลเก จะ อุปปันโน เอเกเนวะ หิตังกะโร<o:p></o:p>
    อะยัง โน โข ปุญญะลาโภ อัปปะมัตโต ภะเวตัพโพ<o:p></o:p>
    6. สาธุกันตัง อะนุกะริสสามะ ยัง วะเรนะ สุภาสิตัง<o:p></o:p>
    โลกุตตะโร จะ มะหาเถโร เทวะตา นะระปูชิโต<o:p></o:p>
    7. โลกุตตะระคุณัง เอตัง อะหัง วันทามิ ตัง สะทา<o:p></o:p>
    มะหาเถรา นุภาเวนะ สุขัง โสตถี ภะวันตุ เม ฯ<o:p></o:p>
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]

    รูปคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตร)




    1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า
    2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า
    3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่อิเกสาโร)
    4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า (หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรือหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา ลพบุรี)
    5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า (หลวงปู่หน้าปาน หรือหลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด วัดโอภาสี กรุงเทพฯ)

    โดยปกติที่เห็นหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรกันทั่วๆไปนั้น จะเป็นรูปของหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)ครับ
    [​IMG]
    <O:pหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)</O:p
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีบูชาพระบรมครูพระเทพโลกอุดร<O:p</O:p

    จะเป็นภาพถ่ายหรือรูปหล่อของหลวงปู่ท่าน หรือพระพิมพ์ที่หลวงปู่ท่านได้อธิษฐานจิตไว้ย่อมใช้ได้ทั้งสิ้น หลวงปู่ท่านโปรดผู้ประพฤติอยู่ในศีลธรรม ชอบอาหารมังสะวิรัติ ชอบฟังคำสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ชอบบูชาด้วยดอกมะลิสด น้ำฝน 1 แก้ว เทียนหนักหนึ่งบาท 1 คู่ ธูปหอม 5 ดอก (คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้าหรือหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปานหรือหลวงพ่อโอภาสี วัดโอภาสี บางมด) ) การปฏิบัติธรรมสังวรณ์ในกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ประกอบด้วยศีล 5 เป็นอย่างน้อย ย่อมเป็นสิ่งพึงพอใจของหลวงปู่และทั้งยังให้ความสุชความเจริญทั้งคดีโลกและคดีธรรมแก่ผู้ปฏิบัติ

    สำหรับพิมพ์อรหันต์ พิมพ์ปิดตา และพิมพ์มหากัจจายนะซึ่งเป็นองค์เดียวกันแต่ปางต่างกันหากจะอาราธนาอย่างพิศดารก็ย่อมกระทำได้ กล่าวคือพิมพ์อรหันต์ใหญ่ พิมพ์อรหันต์กลางและพิมพ์อรหันต์น้อย อยู่ในหมวดพระมหากัจจายนะรูปงามซึ่งเป็นรูปเดิมก่อนการอธิษฐานวรกายให้ต่อท้ายด้วยคาถาดังนี้

    พิมพ์อรหันต์
    อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ รูปะวะระเชยยะสิทธิเม
    (เชยยะ อ่านว่า ไชยะ ; รูปะวะระ แปลว่า รูปงาม)
    *** โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ รูปะวะระเชยยะสิทธิเม ***

    สำหรับสำหรับพิมพ์พระปิดตาซึ่งเป็นปางอธิษฐานวรกายให้สวดพระคาถา โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา แล้วต่อท้ายด้วยพระคาถาต่อไปนี้
    พิมพ์พระภควัมปติ(ปิดตา)
    ควัมปติ จะ มหาเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม
    *** โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา ควัมปติ จะ มหาเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม ***

    สำหรับพิมพ์พุงพลุ้ยที่นิยมเรียกกันว่า พระสังกัจจายน์ คำนี้ไม่มีศัพท์นี้ในภาษาบาลี ที่ถูกต้องคือ พระมหากัจจายนะ เถระเจ้าอัน
    เป็นปางหลังจากที่นิมิตวรกายแล้ว ให้สวดพระคาถา โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา แล้วต่อท้ายด้วย พระคาถาต่อไปนี้
    อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม
    ***โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม ***
    จะเห็นว่าตัดเอาคำว่า รูปะวะระออกไปเพราะสิ้นความงดงามแล้ว

    พระพิมพ์ของคณะพระเทพโลกอุดรนั้นทุกรูปแบบทุกพิมพ์ทรงมีอานุภาพครอบจักรวาล อาราธนาทำน้ำมนต์ประสิทธิ์ยิ่งนัก โดยให้นำเอาพระแช่ในภาชนะที่บรรจุน้ำเรียบร้อยแล้ว บูชาด้วยดอกไม้ จุดธูปเทียน แล้วอธิษฐานตามความมุ่งหมาย เสร็จแล้วให้รีบนำพระขึ้นเช็ดน้ำด้วยสำลีหรือผ้าสะอาด ผึ่งลมให้แห้งก่อนนำไปบรรจุตลับ องค์พระจะไม่ละลายลบเลือนและไม่ควรแช่ในน้ำนานเกินควร จงทะนุถนอมให้จงดี เพราะหาไม่ได้อีกแล้ว

    สำหรับท่านที่มีพระอันเป็นทิพยสมบัติอันทรงคุณค่า โดยได้รับสืบทอดมาจากบรรพชนหรือได้รับจากทางใดทางหนึ่งก็ตาม เสมือนมีแก้วสารพัดนึกอยู่กับตัว ไม่จำเป็นต้องขวนขวายในอิทธิวัตถุอื่นอีก<O:p</O:p

    วิธีบูชาพระบรมครูพระเทพโลกอุดร

    คำบูชาบรมครูพระโลกอุดร
    นะโมตัสสะภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ฯลฯ ( 3 จบ )<O:p</O:p
    โย อะริโย มะหาเถโร อะระหัง อะภิญญาธะโร ปฎิสัมภิทัปปัตโต เตวิชโช พุทธะสาวะโก พะหู เมตตาทิวาสะโน มะหาเถรา นุสาสะโก โส โลกุตตะโร นาโม อัมเหหิ อะภิปูชิโต อิฐะ ฐานูปะมาคัมมะ กุสะเล โน นิโยชะเย ปุตตะเมวะ ปิยัง เทสิ มัคคะผะลัง วะ เทสสะติ ปะระมะสาริกะธาตุ วะชิรัญจา ปิวานิตัง โส โลเก จะ อุปปันโน เอเกเนวะ หิตังกะโร อะยัง โน โข ปุญญะลาโภ อัปปะมัตโต ภะเวตัพโพ สาธุกันตัง อะนุกะริสสามะ ยัง เวเรนะ สุภาสิตัง โลกุตตะโร จะ มหาเถโร เทวะตา นะระปูชิโต โลกุตตะระคุณัง เอตัง อะหัง วันทามิ ตัง สะทา มะหาเถรา นุภาเวนะ สุขัง โสตถี ภะวันตุ เม

    บทสวด แบบย่อหรืออาราธนาพระพิมพ์ (ได้ทุกทรงพิมพ์)<O:p</O:p
    โลกุตตะโร ปัญจะ มะหาเถโร อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
    หรือภาวนา ๓ จบ , ๗ จบ , ๙ จบ (เช้า-เย็น ตื่นนอนและก่อนนอน)<O:p</O:p
    โลกุตตะโร ปัญจะ มะหาเถโร อะหัง วันทามิ ตัง สะทา เมตตาลาโภ นะโสมิยะ อะหะพุทโธ

    หมายเหตุ : บทความที่นำมาเสนอนี้ได้รับการอนุญาตในการคัดลอกและเรียบเรียงเพื่อเผยแพรเป็นวิทยาทานจากท่าน อาจารย์ ประถม อาจสาครเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับเป็นพระคุณและความกรุณาอย่างยิ่ง<O:p</O:p

    ผมขอเสริมนะครับ ท่านสามารถอาราธนาเป็นภาษาไทย ได้นะครับ ถ้ายังจำบทสวดของท่านไม่ได้ครับ

    ท่านที่ห้อยพระหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ที่ท่านเมตตาเสกให้นั้น หากมีความจำเป็นที่ต้องไปในสถานที่อโคจรทั้งหลาย ผมมีบทสวดที่ใช้ในการนี้มาฝากทุกท่านครับ

    ก่อนที่จะเข้าไปในสถานที่อโคจรให้สวด อิติภะคะโว
    กลับออกมาจากสถานที่อโคจรให้สวด โสภะคะวา

    หรือก่อนที่จะเข้าไปในสถานที่อโคจรให้สวด อะระหัง
    กลับออกมาจากสถานที่อโคจรให้สวด หังระอะ

    สำหรับท่านที่ได้บูชาพระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร อธิษฐานจิตไว้ให้นั้น ผมขอเรียนชี้แจงให้ทราบกันนะครับว่า การวางพระพิมพ์หรือวัตถุมงคลต่างๆ ต้องวางไว้ในที่เหมาะสม ควรใช้พวงมาลัยไว้พระพิมพ์ (เป็นการไหว้หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร และเทวดาผู้ที่รักษาพระพิมพ์) พวงมาลัยที่ใช้ไหว้นั้น ต้องเป็นพวงมาลัยที่มีดอกรัก ,ดอกมะลิ ,ดอกกุหลาบ หรืออย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แต่ห้ามใช้พวงมาลัยที่เป็นดอกดาวเรืองโดยเด็ดขาด ส่วนการวางพวงมาลัย ควรหาพานมาเพื่อใช้ในการวางพวงมาลัยครับ<O:p</O:p
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ธปท.ส่งสัญญาณคง ดบ. หวั่นเงินเฟ้อพุ่ง กระทบต้นทุน-ราคาสินค้า</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>21 ธันวาคม 2550 16:11 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ธาริษา วัฒนเกส</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ผู้ว่าฯ ธปท. ส่งสัญญาณ ไม่ปรับลดดอกเบี้ย หวั่นภาวะเงินเฟ้อพุ่ง กระทบต้นทุนผู้ประกอบการ ราคาสินค้า และเป้าหมายการเติบโต ศก.ปีหน้า หลังเม็ดเงินหมุมเวียนในระบบไตรมาส 4 เพิ่มขึ้นสูง ทั้งจากการอัดฉีดงบประมาณ เงินเดือนข้าราชการ และการจับจ่ายอุปโภค-บริโภคในช่วงเทศกาล

    วันนี้(21 ธ.ค.) นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศ โดยระบุว่า ธปท.ได้ประเมินสถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจแล้ว พบว่า ยังมีความเสี่ยงเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ ดังนั้น ธปท.จึงประเมินว่าในช่วงนี้ คงไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก เพราะเกรงจะส่งผลกระทบการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีหน้า

    นายธาริษา กล่าวว่า ปัจจัยผลกระทบอัตราเงินเฟ้อ ธปท.มีการดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะไตรมาส 4 ซึ่งคาดว่ามีปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบสูง หากคุมเงินเฟ้อไม่อยู่ อาจจะทำให้สินค้ามีราคาแพง โดยเฉพาะในปีหน้า ต้องวางแผนเรื่องเสถียรภาพในตลาดการเงิน เพื่อให้อยู่ในกรอบที่วางไว้ เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ คำนวณต้นทุนของธุรกิจในอนาคตได้ว่า สินค้าของตนเองจะมีต้นทุนแพงขึ้นระดับใด จากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น

    สำหรับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่ต้องติดตาม ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐ และประเทศคู่ค้าในภูมิภาค ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องติดตามประเมินว่า จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของไทยมากน้อยเพียงใด
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ดอนเมืองโทลล์เวย์ ดีเดย์ขึ้นค่าผ่านทาง 55 บ. พรุ่งนี้ หวังโกยเงินช่วงเลือกตั้งฯ-ปีใหม่</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>21 ธันวาคม 2550 12:28 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ดอนเมืองโทลล์เวย์ ดีเดย์ปรับขึ้นค่าผ่านทาง 00.01 น. พรุ่งนี้ รถยนต์ 4 ล้อ เรียกเก็บ 55 บาท เพิ่มขึ้น 12 บาท ส่วนรถยนต์มากกว่า 4 ล้อ เรียกเก็บ 63 บาท เพิ่มขึ้น 32 บาท คาดจะมีปชช.แห่ใช้บริการเพียบ เพราะเป็นช่วงเดินทางไปเลือกตั้งฯ 23 ธ.ค.

    วันนี้(21 ธ.ค.) มีรายงานข่าวว่า บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด(มหาชน) หรือ ดอนเมืองโทลล์เวย์ เตรียมเริ่มปรับขึ้นอัตราค่าผ่านทางใหม่ มีผลตั้งแต่เวลา 00.01 น. วันพรุ่งนี้ โดยรถยนต์ 4 ล้อ ปรับขึ้นเป็น 55 บาท เพิ่ม 12 บาท จากค่าบริการเดิม เมื่อ 9 ปีที่แล้ว สำหรับรถมากกว่า 4 ล้อ จะปรับขึ้นเป็น 95 บาท ปรับเพิ่ม 32 บาท จากค่าบริการเดิม 63 บาท เมื่อ 9 ปีที่แล้ว

    ก่อนหน้านี้ บริษัทฯ เริ่มเก็บค่าบริการช่วงระหว่างดินแดง - อนุสรณ์สถานสำหรับรถ 4 ล้อ ในอัตรา 43 บาท และรถยนต์มากกว่า 4 ล้อ อัตรา 63 บาท ตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค. 2541 และได้ลดค่าผ่านทางเหลือ 20 บาท เป็นเวลา 1 ปี 4 เดือน และเหลือ 30 บาท เป็นเวลา 1 ปี 8 เดือนสำหรับรถยนต์ 4 ล้อ

    ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ก็ได้เปิดบริการจุดตรวจเช็กสภาพรถยนต์เบื้องต้นก่อนออกเดินทาง เช่น ตรวจเช็กน้ำกลั่น น้ำมันเครื่อง ตรวจสภาพลมยาง พร้อมทั้งมีบริการน้ำดื่ม ผ้าเย็น คู่มือขับขี่ปลอดภัย ชุดกิฟท์เซต และบริการสุขา ณ ด่านดินแดงนอก (ขาออก) ในวันที่ 27 - 31 ธ.ค. 2550 เวลา 09.00 - 17.00 น. เพื่อรองรับการเลือกตั้ง และเทศกาลปีใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทางหลัก เข้ามาใช้บริการทางด่วนเป็นจำนวนมาก เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรติดขัด

    นายสมบัติ พานิชชีวะ กรรมการผู้อำนวยการ ทางยกระดับดอนเมือง อธิบายเหตุผลในการปรับขึ้นราคา โดยระบุว่า เป็นไปตามข้อตกลงที่บริษัททำไว้กับ กรมทางหลวง โดยเดิมทีนั้นบริษัทก็ได้จัดเก็บค่าผ่านทาง ตามที่ประกาศปรับเพิ่มอยู่แล้ว ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2547 แต่ในภายหลัง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในขณะนั้น ได้มีนโยบายให้บริษัทปรับลดค่าผ่านทางเหลือ 20 บาทตลอดสาย และปรับเป็น 30 บาทตลอดสายเมื่อช่วงเดือน เมษายน 2549 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทจะใช้อัตราใหม่นี้เป็นระยะเวลา 3 ปี ถึงวันที่ 22 ธ.ค. 2553 หลังจากนั้นจึงจะมีการปรับค่าผ่านทางใหม่อีกครั้ง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/showthread.php?p=865679#post865679

    <TABLE class=tborder id=post813141 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">14-11-2007, 10:09 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>rinnn<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_813141", true); </SCRIPT>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 02:15 PM
    วันที่สมัคร: Nov 2005
    ข้อความ: 8,095 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 4,463 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 21,878 ครั้ง ใน 5,156 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 3007 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_813141 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->ที่มาของคำว่า " สาธุ "
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ารที่ชาวพุทธฟังธรรมจากพระภิกษุ แล้วกล่าวสาธุการเมื่อพระเทศน์จบ หรือการถวายทาน หรือเมื่อพระให้ศีล ญาติโยมสาธุชนจะใช้คำว่า "สาธุ" นั้นมีประวัติความเป็นมาดังมีเรื่องย่อว่า

    มีชายคนหนึ่ง อยู่ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ได้ฟังพระแสดงธรรมเทศนาแล้วเห็นโทษในการครองเรือนมีความปรารถนาจะขอบวชเพื่อแสวงหาความสงบในสมณธรรม จึงลาจากภรรยาไปบวช ได้ตั้งใจพากเพียรในสมณธรรมตามที่ปรารถนาไว้ตลอดมา
    ต่อมาพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงพบหญิงผู้เป็นภรรยาของชายคนนั้น และเมื่อทรงได้ทราบเหตุความเป็นมาทั้งหมดจึงเกิดสมเพชในนางผู้เป็นภรรยา รับสั่งให้นำหญิงนั้นมาเลี้ยงไว้ในพระราชวัง ตั้งเป็นท้าวนางกำนัล
    อยู่มาวันหนึ่ง ราชบุรุษนำดอกนิลุบลบัวเขียวมาถวายพระเจ้าปเสนทิโกศลกำมือหนึ่ง พระองค์จึงประทานแก่ท้าวนางคนละดอก ฝ่ายสตรีที่เป็นภรรยาของชายที่ไปบวชนั้น เมื่อไปรับพระราชทานก็ยิ้มแสดงความยินดีดุจนางอื่น ๆ แต่พอดมกล่นนิลุบลแล้ว นางกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จึงร้องไห้ พระเจ้าปเสนทิโกศลสงสัยพระทัย จึงตรัสถามว่า เหตุใดนางจึงยิ้มแล้วร้องไห้ นางจึงกราบทูลว่า ที่นางยิ้มเพราะดีใจที่ทรงพระกรุณาประทานดอกบัวให้ แต่พอดมดอกบัวแล้วหอมเหมือนกลิ่นปากสามีที่ไปบวช นางคิดถึงความหลังจึงร้องไห้
    พระเจ้าปเสนทิโกศลต้องการพิสูจน์วาจาของนาง จึงโปรดให้ประดับวังด้วยของหอมทั้งปวงเว้นแต่บัวนิลุบล แล้วอาราธนาสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า และเหล่าภิกษุสงฆ์ให้มาฉันภัตตาหารในพระราชฐาน แล้วมีพระราชดำรัสถามหญิงนั้นว่า พระมหาเถระองค์ไหนที่นางอ้างว่าเป็นสามี หญิงนั้นก็ชี้ไปที่พระมหาเถระ เมื่อเสร็จภัตตกิจแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลอารธนาให้พระพุทธเจ้า และภิกษุองค์อื่น ๆ กลับวัดไปก่อน เว้นพระมหาเถระขอให้อยู่เพื่อกล่าวอนุโมทนา เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จกลับไปแล้ว พระมหาเถระจึงกล่าวอนุโมทนาด้วยน้ำเสียงอันไพเราะและมีกลิ่นหอมฟุ้งออกจากปากพระเถระรูปนั้นอย่างน่าอัศจรรย์ กลบเสียซึ่งกลิ่นดอกไม้ของหอมทั้งปวง กลิ่นปากของพระมหาเถระหอมฟุ้งไปทั่วพระราชวัง ดังกลิ่นการบูรและพิมเสนผสมกฤษณา หอมยิ่งกว่าดอกบัวนิลุบล ปรากฏการณ์นี้ปรากฏแก่ชนทั้งหลายในพระราชวัง ส่วนองค์มหากษัตริย์เมื่อเห็นจริงดังหญิงนั้นกราบทูล ก็ทรงโสมนัสน้อมนมัสการ ฝ่ายพระมหาเถระเสร็จสิ้นการอนุโมทนาแล้ว ก็กลับไปสู่วิหาร
    ครั้นพอรุ่งเช้าพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงเสด็จไปสู่พระวิหาร ถวายนมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลถามว่า "เหตุใดปากของพระมหาเถระจึงหอมนักหนาท่านได้สร้างกุศลใดมา"
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบว่า "เพราะบุพพชาติปางก่อน ภิกษุรูปนี้ได้ฟังพระสัทธรรมไพเราะจับใจ เต็มตื้นด้วยปีติยินดี จึงออกวาจาว่า "สาธุ" เท่านั้น อานิสงส์แห่งการฟังพระสัทธรรมให้ผลจึงได้มีกลิ่นปากหอมดังนี้"
    ปัจจุบันนี้ทั้งผู้ฟังธรรม และผู้รับศีลออกจะละเลยคำว่า "สาธุ" ต่างพากันนั่งเฉย ๆ ทั่วไป หน้าที่ผู้เป็นชาวพุทธ และครูบาอาจารย์จะได้แนะนำความเป็นมาเรื่อง "สาธุ" ไปเล่าสู่ลูกศิษย์และบุตรหลานของตนเพื่อนำวัฒนธรรมอังดีงามดั้งเดิมของเรากลับคืนมา
    คำว่า "สาธุ" ในภาษาไทยก็แปลว่า ดีแล้ว เห็นชอบแล้ว เท่ากับเป็นการทำบุญข้อหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ มีอยู่ข้อหนึ่งในจำนวน ๑๐ ข้อคือ ปัตตานุโมทนามัย แปลว่าบุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ ดังนี้
    วันหนึ่ง ๆ ได้คิดดี ได้พูดดี ได้ทำดี "สาธุ" ให้ตัวเองและให้คนอื่นได้สาธุในการคิด การพูด การกระทำ ของเราเท่ากับได้ทำชีวิตนี้ให้มีกำไรมหาศาล จะได้ชื่อว่า ได้อยู่ในโลกใบนี้มีแต่ความหอม

    -------------------------------------------------------
    มีปรากฏประวัติใน โสตัพพมาลินีปกรณ์ จาหนังสือ "ฝากไว้ในแผ่นดิน" อาจารย์สมทรง ปุญญฤทธิ์

    <!-- / message --><!-- sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ★★★★★
    •••••
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/pra-thep-visut-kawee/pra-thep-visut-kawee-02.htm

    บุญกิริยาวัตถุ ๑๐

    พระเทพวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ)
    [​IMG]

    โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 010076 - โดยคุณ : mayrin [ 9 ต.ค. 2546 ]
    เนื้อความ :


    บุญกิริยาวัตถุ ๑๐

    ในการศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรมในพระพุทธศาสนานั้น ผู้ศึกษาจำเป็นต้องศึกษาให้เข้าใจในเรื่องการทำบุญประเภทต่าง ๆ ว่า มีอะไรบ้าง และการทำบุญประเภทนั้น ๆ ทำอย่างไรจึงจะถูกต้องและได้ผลมาก เพราะการทำบุญเป็นกรรมดีหรือกุศลกรรม ที่ทุกคนควรบำเพ็ญ
    ฉะนั้น ในตอนนี้ จะพูดถึง บุญกิริยาวัตถุ คือ หลักแห่งการบำเพ็ญบุญ ในพระพุทธศาสนา เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจกฎแห่งกรรมชัดเจนยิ่งขึ้น


    ลักษณะของบุญ

    บุญ คือ อะไร? บุญคือสภาพที่ทำจิตใจให้สะอาดให้ผ่องใส ฉะนั้น ลักษณะของบุญในความหมายแรกนี้ จึงหมายถึงสภาพของจิตหรือคุณภาพของจิตที่ผ่องใส
    อีกอย่างหนึ่ง บุญ หมายถึง ความสุข ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย คำว่า บุญนี้ เป็นชื่อของความสุข" ฉะนั้น ลักษณะของบุญในความหมายที่สองนี้ จึงหมายถึงความสุขความเจริญ
    อีกอย่างหนึ่ง บุญ หมายถึง การทำความดี ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "พึงสั่งสมบุญ ทั้งหลาย อันจะนำความสุขมาให้"

    ฉะนั้น ลักษณะของบุญในความหมายที่ ๓ นี้ หมายถึงการทำดี เช่น การให้ทาน การรักษาศีล เป็นต้น
    ดังนั้น บุญจึงมีลักษณะ ๓ ประการ คือ

    ๑. เมื่อว่าถึงเหตุของบุญ บุญ ได้แก่ การทำความดี
    ๒. เมื่อว่าถึงผลของบุญ บุญ ได้แก่ ความสุขความเจริญ
    ๓. เมื่อว่าถึงสภาพของจิต บุญ ได้แก่ จิตใจที่ผ่องใสสะอาด

    แม้ลักษณะของบาปก็มีนัยตรงกันข้ามกับลักษณะของบุญ การเข้าใจเรื่องบุญจะต้องเข้าใจลักษณะของบุญทั้ง ๓ ประการนี้ ถ้าเข้าใจเพียงลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ชื่อว่ายังเข้าใจบุญไม่ตลอด เช่น บางคนเข้าใจบุญเพียงแต่เหตุของบุญ เช่นว่า คนนี้ทำบุญด้วยการให้ทาน ส่วนคนโน้นทำบุญด้วยการรักษาศีล เป็นต้น นี้เข้าใจเพียงแต่เหตุของบุญเท่านั้น

    บางคนเข้าใจบุญเพียงแต่ผลของบุญ เช่นว่า "คนนั้นมีความสุข เพราะเขามีบุญ" นี้เข้าใจเพียงผลของบุญเท่านั้น
    บางคนเข้าใจบุญเพียงแต่สภาพของจิตที่ผ่องใส เช่นว่า "คนนั้นจิตใจของเขาสะอาด มีเมตตากรุณา เพราะเขาเป็นคนใจบุญ" นี้เข้าใจเพียงสภาพจิตที่สะอาดผ่องใสเท่านั้น
    เพราะฉะนั้น การทำความเข้าใจเรื่องบุญในพระพุทธศาสนา เราจะต้องเข้าใจถึงลักษณะของบุญทั้ง ๓ ประการดังกล่าวแล้ว จึงจะชื่อว่าเข้าใจบุญได้ทั้งหมดและถูกต้อง


    บุญกิริยาวัตถุ

    บุญกิริยาวัตถุ แปลว่า หลักแห่งการบำเพ็ญบุญ หรือ ที่ตั้งแห่งการทำบุญ
    บุญกิริยาวัตถุ โดยย่อมี ๓ อย่าง คือ
    ๑. ทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน
    ๒. สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล
    ๓. ภาวนามัย บุญเกิดจากการเจริญภาวนา
    หมายความว่า วิธีหรือหลักแห่งการทำบุญในพระพุทธศาสนา เมื่อพูดโดยย่อแล้วก็มีเพียง ๓ อย่าง คือ ทาน ศีล และภาวนา

    แต่ถ้าขยายความให้กว้างออกไป บุญกิริยาวัตถุมี ๑๐ ประการ คือ
    ๑. ทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน
    ๒. สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล
    ๓. ภาวนามัย บุญเกิดจากการเจริญภาวนา
    ๔. อปจายนมัย บุญเกิดจากการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
    ๕. เวยยาวัจจมัย บุญเกิดจากการขวนขวายในกิจที่ชอบ
    ๖. ปัติทานมัย บุญเกิดจากการให้ส่วนบุญ
    ๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญเกิดจากการอนุโมทนาส่วนบุญ
    ๘. ธัมมัสสวนมัย บุญเกิดจากการฟังธรรม
    ๙. ธัมมเทสนามัย บุญเกิดจากการแสดงธรรม
    ๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความเห็นให้ตรง

    การทำบุญในพระพุทธศาสนา มี ๑๐ อย่างนี้เท่านั้น ไม่ได้มากไปกว่านี้ ถ้านอกไปจากนี้ก็ไม่ใช่บุญในพระพุทธศาสนา
    บุญกิริยาวัตถุ ๓ ปรากฏในพระไตรปิฎก แต่บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ปรากฏในคัมภีร์รุ่นหลัง ๆ คือ อรรถกถาทีฆนิกาย และอภิธัมมัตถสังคหะ การที่ท่านขยายบุญกิริยาวัตถุออกเป็น ๑๐ ก็เพื่อให้เข้าใจหลักการทำบุญในพระพุทธศาสนาชัดเจนยิ่งขึ้น
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/pra-thep-visut-kawee/pra-thep-visut-kawee-02.htm

    บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ย่อลงในบุญกิริยาวัตถุ ๓ ดังนี้
    บุญกิริยาวัตถุข้อ ๔ และข้อ ๕ คือ อปจายนมัย และเวยยาวัจจมัย จัดเข้าใน ศีล เพราะเข้าในลักษณะของความเรียบร้อย
    บุญกิริยาวัตถุข้อ ๖ และข้อ ๗ คือ ปัตติทานมัย และปัตตานุโมทนามัย จัดเข้าใน ทาน เพราะเข้าลักษณะการให้
    บุญกิริยาวัตถุข้อที่ ๘ และข้อ ๙ คือ ธัมมัสสวนมัย และธัมมเทสนามัย จัดเข้าใน ภาวนา เพราะเข้าในลักษณะของการอบรมจิต
    ส่วนทิฏฐุชุกัมม์ จัดเป็นภาวนา เพราะเป็นลักษณะของปัญญา เป็นสัมมาทิฐิ อันตรงกันข้ามกับมิจฉาทิฏฐิ แต่บางอาจารย์จัดให้ทิฏฐุชุกัมม์เป็นได้ทั้งทาน ศีล และภาวนา เพราะการที่คนจะให้ทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนาได้ก็ต่อเมื่อความเห็นชอบตรง มิฉะนั้นแล้วเขาจะไม่ทำบุญไม่ว่าอย่างไหน
    คำว่า "มัย" ที่ต่อท้ายบุญกิริยาวัตถุทุกข้อนั้น มาจากคำบาลีว่า "มะยะ" แปลว่า "สำเร็จหรือเกิด" เช่น ทานมัย บุญสำเร็จจากการให้ทาน หรือบุญเกิดจากการให้ทาน

    ขยายความบุญกิริยาวัตถุ ๑๐
    ในการทำบุญตามหลักพระพุทธศาสนานั้น บางคนก็ทำถูก เพราะเข้าใจในการทำบุญและทำด้วยความมั่นใจเพราะเห็นว่าเป็นบุญ เป็นกุศล เป็นความดี หรือเป็นกรรมดี จึงทำ แม้จะสิ้นเปลือง เหน็ดเหนื่อยลำบาก และใช้เวลานานเพียงไร ก็ยินดีทำ เพราะเห็นชัดว่าการทำบุญนี้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นเป็นอันมาก
    แต่บางคนไม่เข้าใจเรื่องบุญ หรือหลักการทำบุญ หรือเข้าใจเพียงบางส่วน เพราะไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจ เมื่อผู้อื่นบอกให้ทราบหรือบอกให้ทำอย่างใดก็ทำอย่างนั้น หรือเห็นเขาทำก็ทำบ้าง แต่ไม่เข้าใจในเรื่องของบุญ หรือเข้าใจเพียงบางส่วน อาจจะผิดหรือถูกก็ไม่รู้แน่
    บางคนก็ทำด้วยความงมงายและถูกหลอกลวง เพราะไม่รู้หลักการทำบุญที่ถูกต้อง พุทธศาสนิกชน ส่วนใหญ่จะเข้าใจเรื่องการให้ทานมากกว่าการทำบุญอย่างอื่น แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยที่ถูกหลอกลวง หรือให้ทานอย่างผิดหลักและได้ผลน้อย

    ฉะนั้น จึงควรศึกษาให้เข้าใจถูกต้อง ในเรื่องการทำบุญในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะหลักการทำบุญ ๑๐ อย่าง ที่เรียกว่าบุญกิริยาวัตถุ เพราะถ้าเข้าใจหลักการทำบุญ ๑๐ อย่างนี้แล้วก็จะได้ทำบุญหรือสร้างความดีอย่างถูกต้อง ไม่งมงาย และได้ผลมาก ไม่เสียทีที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์นับถือพระพุทธศาสนา


    ๑. ทานมัย บุญที่เกิดจากการให้ทาน

    การให้ทาน คือ การให้เป็นวัตถุสิ่งของของตนแก่ผู้อื่น เป็นบุญชนิดหนึ่ง เรียกว่า บุญ เกิดจากการให้
    จุดมุ่งหมายของการให้ทานของคนเรามีหลายอย่าง เช่น
    ๑. ให้เพื่อบูชาคุณ เช่นให้แก่พระสงฆ์ พ่อแม่ หรือครูอาจารย์ ผู้มีคุณแก่คนและสังคมโดยส่วนรวม
    ๒. ให้เพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น มอบเงินทองหรือสิ่งของให้แก่พระศาสนา หรือเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์แก่ประเทศชาติ
    ๓. ให้เพื่ออนุเคราะห์ เช่น ให้ญาติพี่น้อง ลูกหลาน ผู้น้อย เพื่อช่วยเหลือ หรือให้ด้วยความรักความเอ็นดู
    ๔. ให้เพื่อสงเคราะห์ เช่น ให้แก่คนตกทุกข์ได้ยาก คนประสบภัยพิบัติ หรือแก่ สัตว์ดิรัจฉาน เป็นต้น
    ๕. ให้เพื่อชำระกิเลส เพื่อสร้างความดี เช่น ให้ทานเพื่อสำเร็จมรรคผล หรือ การบำเพ็ญทานบารมีของพระพุทธเจ้าเพื่อสำเร็จพระโพธิญาณ
    แต่การให้ดังต่อไปนี้ ไม่จัดเป็นทาน คือ ให้ยาพิษ ให้น้ำเมา ให้ของเสพติดให้โทษ ให้สินบน ให้ค่าจ้าง ให้อาวุธเพื่อฆ่าตนเองหรือฆ่าผู้อื่น เพราะไม่ใช่ให้ด้วยกุศลจิต
    การให้ทานทุกชนิด ย่อมมีผลทั้งสิ้น แม้แต่บุคคลเทน้ำลงในหลุมหรือบ่อเล็ก ๆ ด้วยหวังว่าจะให้สัตว์เล็ก ๆ ได้อาศัยน้ำนั้นเป็นอยู่ พระพุทธองค์ยังตรัสว่า เป็นบุญ ไม่จำเป็นต้องพูด ถึงทานที่ให้แก่มนุษย์ แต่ทานที่จะให้ผลมากได้นั้น ก็ต้องเป็นทานที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
    ๑. ของที่ให้ทานนั้น เป็นของที่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ไม่ใช่ของโกง หรือลักจากผู้อื่นมา
    ๒. ของที่ให้นั้น เป็นของดี ของบริสุทธิ์ หรือของมีค่ามาก
    ๓. ปฏิคาหกผู้รับทาน เป็นผู้มีคุณธรรมสูง หรือกิเลสเบาบาง ปฏิบัติเพื่อทำลายกิเลส หรือปราศจากกิเลส
    ๔. ให้แก่สงฆ์ คือ เป็นสังฆทาน
    ๕. ทายกผู้ให้มีใจเลื่อมใส ในกาลทั้ง ๓ คือ
    ๑. ปุพพเจตนา ก่อนแต่ให้มีใจยินดี
    ๒. มุญจนเจตนา กำลังให้มีใจเลื่อมใส
    ๓. อปรเจตนา ให้เสร็จแล้วมีใจเบิกบาน
    ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
    ปุพฺเพว ทานา สุมโน ททํ จิตฺตํ ปสาทเย
    ทตฺวา อตฺตมโน โหติ เอสา ยญฺญสฺส สมฺปทา.
    ทายกผู้ให้ทานนั้น ก่อนให้ก็มีใจยินดี กำลังให้ก็ทำ
    ใจให้เลื่อมใส ให้เสร็จแล้วก็มีใจเบิกบาน ข้อนี้ คือ
    ความสมบูรณ์ของยัญ (ทาน).
    ทาน กับ จาคะ
    การให้ทานในพระพุทธศาสนา บางครั้งเรียกว่า การบริจาค แต่บางทีก็พูดรวมกันว่า บริจาคทาน
    แท้ที่จริง ทาน ก็คือการบริจาคหรือจาคะนั้นเอง เป็นเพียงแต่ว่า ถ้าพูดแยกกัน ทานก็มีความหมายอย่างหนึ่ง จาคะก็มีความหมายอย่างหนึ่ง คือ
    ทาน หมายถึง การให้ โดยหวังผลตอบแทน เช่น หวังให้ร่ำรวย หวังให้รูปสวย หรือหวังให้เกิดในสวรรค์ เป็นต้น
    ส่วน จาคะ หรือการบริจาค หมายถึง การสละ คือสละกิเลส สละความตระหนี่ถี่เหนี่ยวของตน สละความเห็นแก่ตัว สละความสุขส่วนตัว เพื่อส่วนรวม เช่น พระพุทธเจ้าทรงบริจาคทาน เพื่อมุ่งสำเร็จพระโพธิญาณ เพื่อตรัสรู้ มุ่งรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์
    แต่ถ้าพูดถึงทานอย่างเดียว ไม่พูดถึงการบริจาค จาคะ หรือการบริจาคก็รวมลงในทานอย่างเดียว คือ ทาน หมายถึงการบริจาคด้วย แต่ถ้าพูดแยกกัน อย่างในทศพิธราชธรรม พูดถึงเรื่องทานด้วย พูดถึงการบริจาคด้วย ทานก็มีความหมายอย่างหนึ่ง บริจาคก็มีความหมายอย่างหนึ่ง ดังกล่าวข้างต้น
    ผลของทานมีมาก ให้มนุษย์สมบัติก็ได้ ให้สวรรค์สมบัติก็ได้ ให้นิพพานสมบัติก็ได้ แต่โดยเฉพาะทำให้เป็นคนไม่ยากจน มีทรัพย์สมบัติ ทำให้มีบริวารมาก และเป็นที่รักของคนทั้งหลาย


    ๒. สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล

    ศีล หมายถึง การรักษากายและวาจาให้เรียบร้อย ศีล แปลได้ ๓ อย่าง คือ
    ๑. ศีล แปลว่า "ปกติ" คือ ทำกาย และวาจาให้เป็นปกติให้เรียบร้อย ไม่ทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใด
    ๒. ศีล แปลว่า "เย็น" คือ ทำให้คนเยือกเย็น ทำให้เย็นกาย เย็นใจ ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะขาดศีล
    ๓. ศีล แปลว่า "เกษม" คือ ปลอดภัย ทำให้เบากายเบาใจ
    ศีลมีหลายประเภท คือ
    ๑. ศีล ๕ หรือ ศีลกรรมบถ สำหรับคนทั่วไป
    ๒. ศีล ๘ หรือ ศีลอุโบสถ สำหรับอุบาสกอุบาสิกา
    ๓. ศีล ๑๐ สำหรับสามเณร
    ๔. ศีล ๒๒๗ หรือ ปาริสุทธิศีล ๔ สำหรับพระภิกษุ
    การรักษาศีลต้องมีเจตนาจึงจะเป็นศีลได้ ถ้าไม่มีเจตนาจะงดเว้นหรือจะรักษาศีลแล้ว แม้ผู้นั้นไม่ทำความชั่ว เช่น ไม่ฆ่าสัตว์หรือไม่ลักทรัพย์ เป็นต้น ก็ไม่มีศีล เหมือนเด็กที่นอนแบเบาะ แม้ไม่ทำชั่วก็ไม่ก็ไม่มีศีล เพราะไม่มีเจตนาจะงดเว้น หรือเหมือนอย่างวัวควาย แม้มันไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ก็ไม่มีศีล เพราะไม่มีเจตนาจะงดเว้น
    การที่จะมีศีลได้ก็ต้องมีวิรัติ คือมีเจตนาที่จะงดเว้นจากโทษนั้น ๆ
    วิรัติ ๓
    วิรัติ แปลว่า การงดเว้น มี ๓ อย่าง คือ
    ๑. สมาทานวิรัติ งดเว้นด้วยการสมาทาน เป็นวิรัติของปุถุชนทั่วไป เช่น สมทานศีล ๕ สมาทานศีล ๘ เป็นต้น
    ๒. สัมปัตตวิรัติ งดเว้นด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจำเพาะหน้า เป็นวิรัติของผู้ที่ไม่ตั้งใจจะรักษาศีลมาก่อน คือ คนบางคนไม่ตั้งใจว่าจะรักษาศีล แต่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นจำเพาะหน้าอันอาจจะให้ล่วงศีลได้ แต่ไม่ยอมล่วงศีล เกิดงดเว้นขึ้นมาในขณะนั้น
    เช่น มีโอกาสจะฆ่าสัตว์ หรือฆ่าคนได้ แต่ไม่ฆ่า หรือมีโอกาสจะลักของของคนอื่นได้แต่ไม่ลัก หรือมีโอกาสจะประพฤติผิดในกามได้ แต่ไม่ยอมประพฤติผิดในกาม โดยมาคำนึงว่า การกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะไม่ควรแก่ฐานะ และสกุลของตนอย่างตนเอง จึงงดเว้นเสียในขณะนั้น การงดเว้นอย่างนี้ ท่านเรียกว่า สัมปัตตวิรัติ
    ๓. สมุจเฉทวิรัติ งดเว้นได้เด็ดขาด เป็นวิรัติของพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป คือ พระอริยบุคคลทุกจำพวกมีศีล ๕ บริบูรณ์ที่สุด ท่านงดเว้นจากเวร ๕ ได้เด็ดขาด โดยไม่ต้องสมาทาน หรือคอยพะวงรักษา เพราะท่านเห็นโทษของการประพฤติล่วงศีลอย่างแท้จริง
    แม้ใครจะมาบังคับให้ท่านประพฤติล่วงศีล ๕ ท่านยอมตายเสียดีกว่าที่จะประพฤติล่วง การละความชั่วในขั้นนี้ของท่านจึงเป็นสมุจเฉทปหาน คือ ละได้เด็ดขาด หรือเป็นสมุจเฉทวิรัติ คืองดเว้นได้เด็ดขาด
    อานิสงส์ของศีล
    ศีลมีอานิสงส์เป็นอันมาก เช่น ทำให้เป็นที่รักเป็นที่เคารพของคนทั้งหลาย อยู่ในสังคมอย่างสงบสุข ไม่ก่อเวรก่อภัยต่อผู้ใด ทำให้เป็นคนสง่างาม มีผิวพรรณผ่องใส แต่กล่าวโดยสรุปอานิสงส์ของศีล มี ๓ อย่าง ดังคำพระบาลีบอกอานิสงส์ของศีลว่า
    ๑. สีเลน สุคฺตึ ยนฺติ บุคคลจะไปสู่สุคติได้ก็เพราะศีล
    ๒. สีเลน โภคสมฺปทา บุคคลจะได้โภคทรัพย์สมบัติได้ก็เพราะศีล
    ๓. สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ บุคคลจะดับทุกข์ความเดือดร้อนจนเข้าถึงพระนิพพานได้ก็เพราะศีล
    เพราะฉะนั้น ทุกคนควรรักษาศีลให้บริสุทธิ์ไว้เถิด ก็จะรับอานิสงส์ดังกล่าวแล้วในที่สุดได้


    ๓. ภาวนามัย บุญเกิดจากการเจริญภาวนา

    ภาวนา เป็นหลักธรรมชั้นสูงในพระพุทธศาสนา หมายถึง การอบรมจิต หรือ การพัฒนาจิต คือ ทำจิตให้มีค่าสูง ได้แก่ ทำจิตให้สะอาด สงบ สว่าง
    ภาวนา มี ๒ อย่าง คือ
    ๑. สมถภาวนา การทำใจให้สงบ เป็นหลักธรรมขั้นสมาธิ
    ๒. วิปัสสนาภาวนา การทำใจให้รู้แจ้งเห็นจริงจนตัดกิเลสได้หมด เป็นหลักธรรมขั้นปัญญา
    ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา ถ้าไม่ได้เจริญหรือบำเพ็ญภาวนาจนจิตของตนเกิดความสงบ เยือกเย็น เห็นคุณค่าของพระศาสนาในด้านนี้แล้ว ชื่อว่ายังไม่รู้จักพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เพราะธรรมขั้นทานและศีลนั้นแม้ในศาสนาอื่นก็มี ถึงจะไม่เหมือนกันก็ตาม
    ในสมัยพุทธกาล เรียกการฝึกจิตว่า ภาวนา หรือ จิตตภาวนา แต่ในสมัยต่อมา ศัพท์ทางพระพุทธศาสนาเปลี่ยนไป พุทธศาสนิกชน จึงเรียกการฝึกจิตว่า "กรรมฐาน" แทนที่จะเรียกว่า "ภาวนา" คำว่า "กรรมฐาน" ไม่ปรากฏในพระไตรปิฎก แต่ปรากฎในคัมภีร์อรรถกถา หรือ คัมภีร์รุ่นหลัง
    คำว่า "กรรมฐาน" จึงมักคุ้นหูกว่าคำว่า "ภาวนา" แต่ในปัจจุบันคำว่า "ภาวนา" เริ่มนำมาใช้กันมากขึ้น เช่นมีการชักชวนให้มีการเจริญภาวนาพุทโธ กันในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทยองค์ปัจจุบัน เป็นต้น
    กรรมฐาน แปลว่า "ที่ตั้งแห่งการงาน" คือ จิตต้องมีงานทำจึงมีคุณค่าสูงขึ้นได้ และงานนั้นจะต้องมีฐานที่ตั้ง จึงเรียกงานฝึกจิตว่า "กรรมฐาน" คือ งานประเสริฐของจิต กรรมฐานก็คือภาวนานั่นเอง และมี ๒ อย่างเช่นกัน คือ
    ๑. สมถกรรมฐาน กรรมฐานขั้นทำใจให้สงบ
    ๒. วิปัสสนากรรมฐาน กรรมฐานขั้นทำใจให้รู้แจ้งเห็นจริง
    การเจริญภาวนาหรือการทำกรรมฐานนี้ได้บุญกุศลมากกว่าการให้ทาน และการรักษาศีล คือ ทาน มีผลน้อยกว่าศีล ศีลมีผลน้อยกว่าสมาธิ สมาธิมีผลน้อยกว่าปัญญา ปัญญามีผลมากที่สุด เพราะสามารถนำไปสู่การตัดกิเลสได้ เข้าสู่พระนิพพาน เข้าถึงความสิ้นทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง


    ๔. อปจายนมัย บุญเกิดจากการอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่

    การอ่อนน้อมถ่อมตน จัดเป็นบุญประการหนึ่ง เพราะจิตไม่แข็งกระด้าง แต่การอ่อนน้อมนั้นต้องอ่อนน้อมต่อบุคคลที่ควรอ่อนน้อม ถ้าไปอ่อนน้อมหรือบูชาคนที่ไม่ควรบูชา ก็จะเกิดโทษแทนที่จะเกิดคุณ
    คนที่ควรอ่อนน้อม ท่านเรียกว่า วุฑฒบุคคล ซึ่งมีอยู่ ๓ ประเภท คือ
    ๑. วัยวุฑฒะ คือ คนที่แก่กว่าเรา อายุมากกว่าเรา เช่น พี่ ป้า น้า อา ผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า
    ๒. ชาติวุฑฒะ คือ คนที่มีชาติกำเนิดสูงกว่าเรา คือ พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระราชโอรส พระราชธิดา แม้จะมีอายุน้อยกว่าเรา แต่ชาติตระกูลสูงก็ควรแสดงความเคารพ เพราะเป็นไปเพื่อความเจริญ
    ๓. คุณวุฑฒะ คือ คนที่มีคุณธรรมสูงกว่า เช่น พระภิกษุสามเณร แม้จะมีอายุน้อยกว่า เราก็ควรนอบน้อมถ่อมตนต่อท่าน เพราะท่านมีคุณธรรม คือ ศีลสูงกว่าเรา หรือคนที่มีบุญคุณต่อเรา เช่น พ่อ แม่ หรือ ครูอาจารย์ เพราะท่านมีคุณต่อเรา หรือต่อสังคม
    การแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนต่ออวุฑฒบุคคล ๓ ประเภทดังกล่าวมาแล้ว ด้วยการกราบไหว้ ลุกรับ หรือพูดจาแสดงสัมมาคารวะ หรือให้เกียรติต่อท่านเป็นต้น จัดเป็นการทำบุญประการหนึ่งในพระพุทธศาสนา ย่อมได้รับความสุขความเจริญในชีวิตได้ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
    อภิวาทนสีลิสฺส นิจํ วุฑฺฒาปจายิโน จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ ฯ
    พร ๔ ประการ คือ อายุยืน ๑ ผิวพรรณผ่องใส ๑
    การมีความสุขกายสุขใจ ๑ การมีกำลังกายกำลังใจ ๑
    ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีการกราบไหว้เป็นปกติ
    ประพฤตินอบน้อมต่อวุฑฒบุคคล (ผู้ใหญ่) อยู่เป็นนิตย์ฯ


    ๕. เวยยาวัจจมัย บุญเกิดจากการขวนขวายในกิจที่ชอบ

    การช่วยขวนขวายในกิจที่ชอบ คือ การช่วยในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นต่อส่วนรวมจัดเป็นบุญประการหนึ่ง เช่น ช่วยเขาสร้างสะพาน สร้างถนน ขุดคลอง ขุดสระ ขุดบ่อน้ำ สร้างศาลา สร้างวัด สร้างโรงพยาบาลปลูกต้นไม้ ทำถนนหนทางให้สะอาด ช่วยกวาดวัด ด้วยกำลัง กาย หรือช่วยงานบวชนาค งานกฐิน หรือช่วยงานทำบุญเลี้ยงพระ ช่วยนิมนต์พระ หรือช่วยขับรถรับส่งพระ หรือคนที่มาช่วยในงานเป็นต้น ทั้งหมดนี้จัดเป็นบุญทั้งสิ้น
    แม้การช่วยเหลือคนเจ็บป่วย คนตกน้ำ คนถูกรถชน หรือคนประสบอุบัติเหตุต่าง ๆ ก็เป็นบุญ แม้แต่ช่วยนำคนแก่ข้ามถนนให้ปลอดภัย และชี้ทางให้แก่คนหลงทางก็จัดเป็นเวยยาวัจจมัย อันจัดเป็นบุญทั้งสิ้น
    ผลของบุญข้อนี้มีมาก เช่น ไปที่ใดก็จะได้รับความสะดวกได้รับความช่วยเหลือ ไม่ขัดข้องเดือดร้อน ตายแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ มฆมาณพพร้อมด้วยเพื่อน ๓๓ คน ที่สร้างถนน และสร้างศาลา เพื่อสาธารณประโยชน์แก่คนทั้งหลายแล้วไปเกิดในสรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งกล่าวไว้ในอรรถกถาธรรมบท เป็นตัวอย่างของบุญข้อนี้


    ๖. ปัตติทานมัย บุญเกิดจากการให้ส่วนบุญ

    พุทธศาสนิกชน เมื่อทำบุญอันใดแล้วก็มักจะอุทิศส่วนบุญนั้นแก่ท่านผู้มีพระคุณ หรือแก่คนอื่น สัตว์อื่นเป็นอันมาก เพราะทำให้ได้รับผลบุญเพิ่มขึ้น เป็นการแสดงออกถึงการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ขี้เหนียว มีใจกว้างหวังประโยชน์สุขต่อคนอื่นสัตว์อื่น
    เมื่อตนได้รับบุญแล้วก็หวังจะให้คนอื่นสัตว์อื่นได้รับบุญนั้นด้วย เหมือนคนมีความรู้แล้วก็ถ่ายทอดให้แก่คนอื่น ด้วยหวังให้เขาได้มีความรู้ความสามารถด้วย
    บางคนทำบุญ เช่น ให้ทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนาแล้วก็ไม่ยอมอุทิศบุญที่ได้รับนั้นให้แก่ผู้ใดก็ได้บุญแต่ผู้เดียว และได้บุญเฉพาะในเรื่องของทาน ศีล หรือ ภาวนาที่ตนได้ทำเท่านั้น แต่ไม่ได้บุญข้อปัตติทานมัย แต่ถ้าหากว่าผู้นั้นอุทิศส่วนกุศลนั้นแก่ผู้อื่นด้วย เขาก็จะได้บุญเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง คือ ปัตติทานมัย บุญเกิดจากการให้ส่วนบุญ
    การให้ส่วนบุญนั้น สามารถให้ได้ทั้งแก่คนเป็นและคนที่ตายไปแล้ว บางคนเข้าใจผิดว่าการให้ส่วนบุญหรืออุทิศส่วนกุศลให้ได้เฉพาะคนตายเท่านั้น ข้อนี้เข้าใจผิด แท้ที่จริง การให้ส่วนบุญนี้สามารถให้ได้ทั้งแก่คนที่ยังมีชีวิตและแก่ท่านที่ล่วงลับไปแล้ว
    การให้ส่วนบุญแก่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ จะให้ต่อหน้าก็ได้ ให้ลับหลังก็ได้การให้ต่อหน้า เช่น เราทำบุญมาสักอย่างหนึ่ง จะเกิดจากทานก็ตามจากศีลก็ตาม หรือจากภาวนาก็ตาม เมื่อเราพบพ่อแม่หรือญาติมิตร ก็บอกว่า "วันนี้กระผม(หรือดิฉัน) ได้บวชลูกหรือบวชหลานมา ขอให้คุณพ่อ... จงได้ได้รับส่วนกุศลนั้นด้วย ขอให้อนุโมทนาในส่วนกุศลครั้งนี้ด้วย" ผู้รับจะ
    อนุโมทนาหรือไม่ก็ตาม แต่ผู้ให้ย่อมได้รับส่วนบุญแล้ว ถ้าเขาอนุโมทนา เขาก็ได้รับบุญข้อปัตตานุโมทนามัย
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/pra-thep-visut-kawee/pra-thep-visut-kawee-02.htm

    การให้ลับหลัง เข่น ในปัจจุบัน ชาวไทยจำนวนมากรวมทั้งพระสงฆ์ เมื่อถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ก็มักจะบำเพ็ญบุญกุศลโดยเสด็จพระราชกุศล มีการให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา แล้วถวายพระราชกุศลแก่พระองค์ท่าน อย่างนี้ก็เรียกว่า ปัตติทานมัยเช่นกัน
    การให้ส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เขาจะตายไปแล้วนานเท่าไรก็ได้ จะอุทิศเป็นภาษาไทยก็ได้ เป็นภาษาบาลี หรือภาษาอื่นใดก็ได้ มีน้ำกรวดก็ได้ ไม่มีน้ำกรวดก็ได้ มีกระดูกและชื่อของผู้นั้นก็ได้ ไม่มีก็ได้ ย่อมสำเร็จทั้งสิ้น
    อย่างในกรณีเปรตผู้เป็นพระญาติของพระเจ้าพิมพิสาร พระองค์ก็ทรงจำชื่อพระญาติเหล่านั้นไม่ได้แม้แต่คนเดียว พระองค์อ้างในคำอุทิศว่า เป็นญาติเท่านั้นก็ถึงได้ เพราะเปรตผู้เป็นญาติเหล่านั้นกำลังรอรับส่วนบุญอยู่แล้ว ดังคำบาลีที่พระองค์อุทิศส่วนกุศลแก่พระญาติของพระองค์หลังจากที่พระองค์ทรงบริจาคทานแด่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขว่า
    "อิทํ เม ญาตีนํ โหตุ ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า สุขิตา โหนตุ ญาตโย ขอญาติทั้งหลายจงถึงความสุข"
    เพียงเท่านี้ก็สำเร็จ โดยพระองค์ไม่ได้บ่งชื่อญาติเหล่านั้นเลยแม้แต่พระองค์เดียว และในการกรวดน้ำครั้งนั้นไม่ต้องใช้น้ำเลย
    การอุทิศส่วนบุญโดยมีน้ำกรวดเพิ่งนำมาใช้ในยุคหลังนี้เอง คือหลังจากครั้งพุทธกาล แต่จะเกิดขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่เท่าไร ยังหาหลักฐานไม่พบกล่าวกันว่า พุทธศาสนิกชน ในประเทศอินเดียเห็นพราหมณ์ลงไปในแม่น้ำคงคา เอามือวักน้ำแล้วหยอดลงไปในแม่น้ำตามเดิม พร้อมกับกล่าวอุทิศว่า "ขอให้น้ำนี้จงถึงแก่พ่อแม่ของข้าพเจ้า"
    พุทธศาสนิกชนเห็นพวกพราหมณ์กรวดน้ำเช่นนี้ จึงเห็นว่าเข้าทีดี จึงได้นำน้ำมาประกอบในการอุทิศส่วนกุศล เรียกกันในปัจจุบันว่า "การกรวดน้ำ" พระสงฆ์เห็นว่าไม่ผิดหลักพุทธศาสนาอันใด จึงอนุโลมให้ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน
    แท้ที่จริง การอุทิศส่วนกุศลที่เรียกว่าปัตติทานมัยนั้น เดิมทีไม่ต้องใช้น้ำเลย ฉะนั้น การอุทิศส่วนกุศล จะมีน้ำด้วยก็ได้ ไม่มีก็ได้ ย่อมสำเร็จทั้งสิ้น
    แต่การอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ไปเกิดเป็นเปรตนั้น บุญนั้นจะต้องเกิดจากทานเท่านั้น และเปรตที่จะได้รับส่วนบุญนี้ก็เฉพาะ ปรทัตตูปชีวิเปรต คือ เปรตที่อาศัยทานที่คนอื่นให้ ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์อย่างนี้
    การที่พวกเปรตจะได้รับส่วนบุญนั้น ต้องประกอบด้วยปัจจัย ๓ ประการ คือ
    ๑. การอุทิศของผู้ให้
    ๒. การอนุโมทนาของเปรต
    ๓. ปฏิคาหก (ผู้รับทาน) เป็นผู้ทรงศีล
    ต้องพร้อมทั้ง ๓ ประการนี้ จึงจะสำเร็จผล ถ้าขาดแม้ข้อเดียว เช่น ปฏิคาหกไม่มีศีล บุญก็ไม่ถึง อันปฏิคาหกผู้รับทานนั้นไม่จำเป็นต้องได้ภิกษุสามเณรผู้ทรงศีลเท่านั้นเสมอไป ในคัมภีร์ท่านกล่าวไว้ว่า แม้อุบาสกผู้ทรงศีลก็สามารถทำให้ทานสำเร็จแก่พวกเปรตได้เช่นกัน ดังมีตัวอย่างปรากฏอยู่ในเรื่องนางเวมาณิกาเปรต ในอรรถกถาเปตวัตถุ


    ๘. ธัมมัสสวนมัย บุญเกิดจากการฟังธรรม

    การฟังธรรมจัดเป็นบุญประการหนึ่ง เพราะทำให้เข้าใจหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ เพราะผู้ที่เป็นสาวกนั้นจำเป็นจะต้องฟังธรรม (สาวก แปลว่า ผู้ฟัง) มิฉะนั้นแล้วก็ไม่มีทางเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าและบรรลุมรรคผลได้ เพราะไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้เองได้
    ในสมัยพุทธกาล การเข้าใจพระพุทธศาสนาและการบรรลุมรรคผลส่วนใหญ่แล้ว เนื่องมากจากการฟังธรรมทั้งสิ้น เพราะไม่มีสื่อการฟังอย่างอื่นหนังสือก็มีใช้กันน้อยมาก
    แต่ตามความเป็นจริงแล้ว การได้ความรู้จากผู้อื่นมาก็จัดเข้าในการฟังทั้งสิ้นคือ การอ่านหนังสือ การฟังเทป การดูทางโทรทัศน์ ถ้าเกี่ยวกับเรื่องธรรมะแล้วก็เกิดบุญทั้งสิ้น และบุญประเภทนี้รวมเรียกว่า ธัมมัสสวนมัย บุญเกิดจากการฟังธรรม
    ในปัจจุบันหนังสือทางพระพุทธศาสนาประเภทต่าง ๆ มีมากขึ้น จึงทำให้เกิดความสะดวกในการทำบุญประเภทนี้ คือ บุญเกิดจากการฟังธรรม และบางคนก็ได้รับบุญนี้ทุกวัน เพราะชอบอ่านหนังสือธรรมะหรือชอบฟังรายการธรรมะ หรือรายการสวดมนต์ทางวิทยุ หรือจากเทปธรรมะ
    การฟังธรรม ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจ ได้แต่ความเสื่อมใสอย่างเดียว เช่น ผู้ที่ไม่รู้ภาษาบาลี ฟังเสียงสวดมนต์หรือฟังพระสวดอภิธรรมในงานศพ ไม่รู้ไม่เข้าใจ ได้แต่ความเลื่อมใสอย่างเดียว อย่างนี้ท่านกล่าวว่าได้แต่บุญไม่ได้กุศล เพราะกุศล แปลว่า "ความฉลาด"
    ฉะนั้น บางคนฟังธรรมได้แต่บุญอย่างเดียวไม่ได้กุศล แต่บางคนได้ทั้งบุญ ได้ทั้งกุศล แต่โดยทั่วไปแล้ว การฟังธรรมได้ทั้งบุญทั้งกุศล จึงมักพูดรวมกันว่า "ได้บุญ" คือ บุญอันเกิดจากการฟังธรรม
    การฟังธรรม ถ้าให้ได้ประโยชน์มาก ผู้ฟังจะต้องตั้งใจฟังจริง ๆ มุ่งฟังเอาเนื้อหาสาระ เพื่อนำไปปฏิบัติและสั่งสอนผู้อื่น จึงจะเกิดปัญญาความรู้ความเข้าใจได้มาก ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
    สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ. ผู้ตั้งใจฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา
    ฉะนั้น การฟังธรรมจะมีอานิสงส์มากก็ต่อเมื่อผู้ฟังตั้งใจฟัง
    อานิสงส์ของการฟังธรรม
    การฟังธรรมมีประโยชน์มาก เพราะพุทธศาสนาได้ดำรงมาได้จนถึงปัจจุบันก็เนื่องจากการฟังธรรม พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า การฟังธรรมมีประโยชน์หรืออานิสงส์ ๕ อย่าง คือ
    ๑. ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
    ๒. สิ่งใดที่เคยฟังแล้ว ถ้ายังไม่เข้าใจชัดย่อมเข้าใจชัด
    ๓. บรรเทาความสงสัยเสียได้
    ๔. ทำความเห็นให้ถูกต้องได้
    ๕. จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส


    ๙. ธัมมเทสนามัย บุญเกิดจากการแสดงธรรม

    การแสดงธรรมเป็นบุญประการหนึ่ง และทำให้พระศาสนาดำรงมั่นมาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะมีการแนะนำสั่งสอนสืบต่อกันมา แม้เราทุกคนที่เข้าใจพระพุทธศาสนาอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะได้อาศัยครูบาอาจารย์ หรือ พ่อแม่แนะนำสั่งสอน หรือ อ่านหนังสือธรรมที่ท่านผู้รู้ธรรมได้แต่งหรือเขียน หรือรวบรวมไว้
    การแสดงธรรมนี้ จัดเป็นทานอย่างหนึ่ง เรียกว่า "ธรรมทาน" เป็นทานที่มีผลมากกว่าทานทั้งปวง ดังพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ การให้พระธรรมชนะการให้ทั้งปวง
    ทั้งนี้ก็เพราะว่า คนจะให้ทานก็ดี จะรักษาศีลก็ดี จะเจริญภาวนาก็ดี ก็ต้องอาศัยได้ฟังธรรมมาก่อน เขาจึงได้ทำบุญประเภทอื่น ๆ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมมาก่อนแล้ว คนจะไม่ทำบุญอันใด แม้ใครจะทำบุญบ้างตามอัธยาศัยของตน แต่บุญนั้นก็มีผลน้อย เพราะทำไม่ถูกวิธี เพราะขาดผู้แนะนำสั่งสอน
    การแสดงธรรมที่จัดว่าเป็นบุญนั้น ไม่ได้มีเพียงพระภิกษุสามเณรเท่านั้นที่แสดงได้ ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ย่อมแสดงได้ หรือทำบุญข้อนี้ได้ทั้งสิ้น
    การแสดงธรรมนั้น ไม่จำเป็นต้องแสดงบนธรรมาสน์เสมอไป ที่ใดก็แสดงหรือแนะนำสั่งสอนได้ เช่น ในบ้าน ในป่า ตามถนนหนทาง ในรถ ในเรือ แม้ในเครื่องบิน ทางสถานีวิทยุกระจายเสียง หรือทางสถานีโทรทัศน์ และการสอนในชั้นเรียน เป็นต้น
    บุญอันเกิดจากการแสดงธรรมนั้น ไม่ใช่การพูดอย่างเดียว แม้การเขียนหนังสือธรรมะ การพิมพ์หนังสือธรรมะ หรือการให้ทุนในการพิมพ์หนังสือธรรมะออกเผยแพร่ก็จัดเข้าในบุญข้อนี้ทั้งสิ้น
    แม้การบริจาคทุนทรัพย์ในการพิมพ์หนังสือธรรมะ หรือซื้อหนังสือธรรมะ หรือพระไตรปิฎกถวายพระ ถวายไว้ประจำวัด หรือแจกคนทั่วไป ก็จัดเป็นธรรมทาน คือ บุญอันเกิดจากการให้ธรรมะเป็นทานได้เช่นกัน
    แม้การแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ลูกหลาน หรือญาติมิตร ให้เข้าถึงธรรม ให้ประพฤติธรรม ให้รู้จักบาป บุญ คุณ โทษ ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ก็จัดเป็นบุญในข้อแสดงธรรม การที่พ่อแม่แนะนำสั่งสอนลูกให้ประพฤติดี หรือพี่แนะนำน้องให้ละชั่วประพฤติดี ก็จัดเป็นบุญข้อนี้ทั้งสิ้น

    หลักการแสดงธรรม
    การแสดงธรรมจะมีประโยชน์มากก็ต่อเมื่อผู้สอนผู้แสดงมีจิตเมตตาหวังให้ประโยชน์ต่อผู้ฟังจริง ๆ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า นักเทศน์ หรือ ผู้แสดงธรรม จะต้องมีคุณสมบัติ ๕ ประการคือ
    ๑. แสดงธรรมโดยลำดับ ไม่ตัดลัดให้ขาดความ
    ๒. อ้างเหตุผลแนะนำให้ผู้ฟังเข้าใจ
    ๓. ตั้งจิตเมตตาปรารถนาให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง
    ๔. ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภ
    ๕. ไม่แสดงธรรมกระทบตนและผู้อื่น คือ ไม่ยกตนเสียดสีผู้อื่น
    หากผู้สอนธรรม แสดงธรรมหรือเขียนหนังสือธรรมะ ท่านใดมีคุณสมบัติ หรือใช้หลักการแสดงธรรม ๕ ประการนี้แล้ว ผลแห่งการแสดงธรรมและบุญอันเกิดจากการแสดงธรรมจะมีมาก


    ๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความเห็นให้ตรง

    การทำความเห็นให้ตรง คือ มีสัมมาทิฏฐิ-เห็นชอบนั่นเอง คือเห็นตรงตามทำนองคลองธรรม จัดเป็นบุญอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา
    ส่วนการเห็นผิด จากทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว บาปบุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี ตายแล้วสูญ เป็นต้น เป็นมิจฉาทิฐิ เป็นอกุศลกรรมบถ จัดเป็นบาป แม้ไม่ได้ทำชั่วด้วยกาย หรือวาจา แต่ถ้ามีความคิดเห็นเช่นนี้ก็จัดเป็นบาป และบาปมากถึงขั้นห้ามสวรรค์ห้ามนิพพานทีเดียว เพราะจิตตั้งไว้ผิดหลงทางเสียแล้ว จึงไม่ยอมทำความดี มีแต่จะทำความชั่วถ่ายเดียว
    ส่วนการทำความเห็นให้ตรง เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น แม้ผู้นั้นยังไม่ทำดีด้วยกาย หรือว่าไม่ทำดีด้วยกาย หรือวาจา เป็นเพียงแต่เห็นถูก เห็นตรงเท่านั้น ก็จัดเป็นบุญ และเป็นบุญที่ครบคลุมบุญอื่นทั้งหมด เพราะเมื่อคนเราเห็นถูกเห็นตรงเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว ก็ย่อมทำบุญประเภทอื่น ๆ ด้วยความสนิทใจและตั้งใจทำ

    สัมมาทิฏฐิ ๑๐
    ทิฏฐุกัมม์ การทำความเห็นให้ตรง ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ หมายถึง สัมมาทิฏฐิ ๑๐ คือ มีความเห็นตรง เห็นถูกต้องตามความเป็นจริงใน ๑๐ เรื่อง โดยเห็นว่า
    ๑. การให้ทานมีผล
    ๒. การบูชามีผล
    ๓. การต้อนรับแขกด้วยของต้อนรับมีผล
    ๔. ผลของกรรมดีกรรมชั่วมี
    ๕. โลกนี้มี (คือสัตว์จากโลกอื่นมาเกิดในโลกนี้มี)
    ๖. โลกอื่นมี (คือสัตว์จากโลกนี้ไปเกิดในโลกอื่นมี)
    ๗. มารดามีคุณ
    ๘. บิดามีคุณ
    ๙. สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะ (เช่น เทวดาและเปรต) มี
    ๑๐. สมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติชอบ ทราบชัดถึงโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาได้เอง และสามารถให้ผู้อื่นรู้ได้ด้วย มี (คือ พระอรหันต์มี)
    ผู้ใดมีความเห็นชอบ เห็นตรง ทั้ง ๑๐ อย่างนี้ ชื่อว่าทำความเห็นให้ตรง เป็นทิฏฐุชุกัมม์ เป็นสัมมาทิฐิ ถ้าเห็นตรงกันข้ามก็เป็นมิจฉาทิฐิ
    จิตที่ตั้งไว้ถูกทางนั้น ย่อมนำความสุขความเจริญมาให้แก่เจ้าของได้มาก ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในคัมภีร์ธรรมบทว่า
    น ตํ มาตา ปิตา กยิรา อญฺญเฌ วาปิจ ญาตกา สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ เสยฺยโส นํ ตโต กเร.
    จิตที่ตั้งไว้ชอบ (เป็นสัมมาทิฐิ) ย่อมทำบุคคลนั้นให้ประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งที่พ่อแม่หรือญาติพี่น้องอื่นทำให้เสียอีก.
    การทำบุญในพระพุทธศาสนามีเพียง ๑๐ ประการดังกล่าวมา ไม่ได้นอกเหนือไปกว่านี้เลย ใครจะเลือกทำอย่างไหนก็สามารถทำได้ตามกำลังและความสมารถของตน แม้คนไม่มีเงินทองเลย เป็นคนยากจนก็สามารถทำบุญได้ และสามารถทำได้มากด้วย ถ้าหากผู้นั้นประสงค์จะบำเพ็ญบุญจริง ๆ เพราะบุญไม่ใช่เพียงให้ทานอย่างเดียว ยังมีอีกถึง ๙ อย่างที่ไม่ต้องใช้เงินทอง และมีอยู่หลายอย่างที่มีผลมากกว่าทาน
    บุญทุกประเภทเป็นตัวนำสุขมาให้ ทั้งโจรจะลักไปก็ไม่ได้ ทั้งสามารถนำติดตัวไปได้ด้วย แม้เมื่อตายไปแล้ว ไม่เหมือนทรัพย์สมบัติ เมื่อตายแล้วก็ทิ้งไว้หมดสิ้นแม้แต่รูปร่างกาย ดังคำกลอนที่ว่า
    "มีเจ้ามามีอะไรมากับเจ้า เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน
    เมื่อเจ้าไปเจ้าจะเอาอะไรไป เจ้าก็ไปมือเปล่าเหมือนเจ้ามา"
    เพราะฉะนั้น จึงขอให้ทุกคนสั่งสมแต่ความดี คือ บุญ เพราะการสั่งสมบุญนำความสุขมาให้ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
    "ปุญฺญานิ กยิราถ สุขาวหานิ.
    บุคคลพึงทำบุญทั้งหลายไว้เถิด ซึ่งจะนำสุขมาให้"
    ----------------------------
    คัดลอกจาก:กฎแห่งกรรม
    พระเทพวิสุทธิกวี
    จากคุณ : mayrin [ 9 ต.ค. 2546 ]
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=4142&PHPSESSID=9f4ab31ded8e745aeb551ca1af78dff2

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffe082>ถามเรื่อง : บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ กับ ไตรสิกขา</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR><TR><TD>โดย : ajarnkruo</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle></TD></TR><TR><TD vAlign=top>หลักธรรมบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ และไตรสิกขา มีความข้องเกี่ยวกันประการใดหรือไม่
    เพราะบุญกิริยาวัตถุก็มี สีลมัย และ ภาวนามัย
    ส่วนไตรสิกขา ก็มี อธิศีลสิกขา และ อธิปัญญาสิกขา
    ขอช่วยให้ความกระจ่างด้วยครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD align=left bgColor=#fff9e6 height=22>ความคิดเห็นที่ 1 โดย : ม.ศ.พ. </TD><TD align=right bgColor=#fff9e6 height=22><INPUT class=nostyle type=checkbox align=absMiddle value=1 name=c_sel[1]>[​IMG] </TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR><TD colSpan=2><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=4 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle></TD></TR><TR><TD vAlign=top>
    บุญญกิริยาวัตถุ หมายถึง ที่ตั้งของบุญ ๑๐ ประการ ซึ่งครอบคุมกุศลธรรมทุก​


    ประเภท รวมกุศลที่เป็นไปในวัฏฏะและวิวัฏฏะ รวมกุศลภายนอกศาสนา และ​


    กุศลที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ส่วนไตรสิกขา คือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา​


    เป็นกุศลที่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เป็นกุศลที่นำออกจากวัฏฏะโดย​


    ส่วนเดียว แต่ก็รวมอยู่ในบุญญกิริยาวัตถุ ๑๐ โดยย่อ คือ ทาน ศีล ภาวนา ​






    อิติวุตตกะ ติกนิบาต วรรคที่ ๒​


    ๑. ปุญญกิริยาวัตถุสูตร ว่าด้วยเรื่องทำบุญ ๓ ประการ


    [๒๓๘] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระ​


    สูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า​


    ได้สดับมาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการนี้ ๓ ประการ​


    เป็นไฉน ? คือ ทานมัยบุญกิริยาวัตถุ ๑ ภาวนามัยบุญกิริยาวัตถุ ๑ ดูก่อน​


    ภิกษุทั้งหลาย บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการนี้แล.​


    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระ​


    ผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า​


    กุลบุตรผู้ใคร่ประโยชน์ พึงศึกษา​


    บุญนั่นแล อันให้ผลเลิศต่อไป ซึ่งมีสุข​


    เป็นกำไร คือ พึงเจริญทาน ๑ ความ​


    ประพฤติเสมอ ๑ เมตตาจิต ๑ บัณฑิต​


    ครั้นเจริญธรรม ๓ ประการอันเป็นเหตุให้​


    เกิดความสุขเหล่านี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลก ​


    อันไม่มีความเบียดเบียน.​


    เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพ-​


    เจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.​


    จบปุญญกิริยาวัตถุสูตรที่ ๑​


    อรรถกถาปุญญกิริยาวัตถุสูตร


    พึงทราบวินิจฉัยใน ปุญญกิริยาวัตถุสูตรที่ ๑ แห่ง วรรคที่ ๒​


    ดังต่อไปนี้ :-​


    บทว่า ปุญฺญกิริยาวตฺถูนิ ความว่า กุศลทั้งหลายที่ให้เกิดผลในภพ​


    ที่ควรบูชา หรือชำระสันดานของตน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าบุญ บุญเหล่านั้น ​


    ด้วย ชื่อว่า เป็นกิริยา เพราะต้องทำด้วยเหตุด้วยปัจจัยทั้งหลายด้วย เพราะ​


    ฉะนั้น จึงชื่อว่า บุญกิริยา. และบุญกิริยานั่นเอง ชื่อว่าบุญกิริยาวัตถุ​


    เพราะความเป็นที่ตั้งแห่งอานิสงส์นั้น ๆ.​


    บทว่า ทานมยํ ได้แก่เจตนาเป็นเครื่องบริจาคไทยธรรมของตนแก่​


    ผู้อื่น ด้วยสามารถแห่งการอนุเคราะห์ หรือด้วยสามารถแห่งการบูชาของผู้ที่ ​


    ตัดราก คือ ภพยังไม่ขาด. ชื่อว่าทาน เพราะเป็นเหตุให้เขาให้. ทานนั่นเอง​


    ชื่อว่า ทานมัย. ​


    เจตนาที่เป็นไปแล้ว โดยนัยที่กล่าวแล้วในกาลทั้ง ๓ คือ ใน​


    กาลอันเป็นส่วนเบื้องต้น ตั้งแต่การให้ปัจจัย ๔ เหล่านั้นเกิดขึ้น ๑ ในเวลา​


    บริจาค ๑ ในการโสมนัสจิตระลึกถึงในภายหลัง (จากที่ให้แล้ว ) ๑ ของผู้ให้​


    สิ่งนั้นๆ ในบรรดาปัจจัย ๔ มีจีวรเป็นต้น หรือในบรรดาทานวัตถุ ๑๐ อย่าง​


    มีข้าวเป็นต้น หรือบรรดาอารมณ์ ๖ มีรูปเป็นต้น ชื่อว่าบุญกิริยาวัตถุ ที่​

    สำเร็จด้วยการให้ทาน. ฯลฯ​

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD align=left bgColor=#eeeeee height=22>ความคิดเห็นที่ 2 โดย : wannee.s </TD><TD align=right bgColor=#eeeeee height=22><INPUT class=nostyle type=checkbox align=absMiddle value=2 name=c_sel[2]>[​IMG] </TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR><TD colSpan=2><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=4 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle></TD></TR><TR><TD vAlign=top>บุญกิริยาวัตถุ 10 หมายถึงที่ตั้งแห่งการเจริญกุศลหรือที่ตั้งแห่งการทำความดี
    การอุทิศส่วนกุศล การอนุโมทนา การให้วัตถุสิ่งของ (จัดเป็นทาน)
    การช่วยเหลือ การอ่อนน้อม การมีตนเสมอ (จัดเป็นศีล)
    การฟังธรรม การแสดงธรรม ความเห็นถูก (จัดเป็นภาวนา)

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD align=left bgColor=#eeeeee height=22>ความคิดเห็นที่ 4 โดย : แล้วเจอกัน </TD><TD align=right bgColor=#eeeeee height=22><INPUT class=nostyle type=checkbox align=absMiddle value=4 name=c_sel[4]>[​IMG] </TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR><TD colSpan=2><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=4 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle></TD></TR><TR><TD vAlign=top>
    ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย


    ศีล ในบุญกิริยาวัตถุ เป็นทั้งศีลธรรมดา และเป็นทั้งอธิศีล ศีลธรรมดากับอธิศีลต่าง​


    กันอย่างไรศีล 5 ศีล 10 ที่ไม่ได้มีความเข้าใจพระธรรม รักษากันตามประเพณี ไม่​


    เข้าใจหนทางดับกิเลส หรือ ศีล 5 เมื่อสมัยที่พระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ เป็นแค่ศีล เท่า​


    นั้น ไม่ใช่อธิศีล เพราะ อธิศีลต้องเป็นไปเพื่อดับกิเลส เป็นเบื้องต้น เพื่อไปสู่พระ​


    นิพพาน ส่วนบุคคลที่รักษาสีล 5 ศีล 8 หรือ ศีล 10 ด้วยเข้าใจหนทางการดับกิเลส​


    เช่น การเจริญสติปัฏฐานถูกต้อง และเป็นไปเพื่อนิพพาน ดับกิเลส ชื่อว่าอธิศีลสิกขา​


    (อธิแปลว่ายิ่ง) แต่คนที่รักษาศีล 5 หรือ 8 หรือ 10 แต่ประพฤติปฏิบัติผิด(ข้อปฏิบัติ​


    ผิด) ไม่เป็นอธิศีลสิกขาครับ เพราะไม่ทำให้ดับกิเลสได้ เพราะไม่เข้าใจหนทาง​


    ส่วน ปัญญาก็เช่นกัน มีทั้งที่เป็น ปัญญาธรรมดาและเป็นอธิปัญญา สำคัญที่เข้าใจหน​


    ทาง(สติปัฏฐาน) และเป็นไปเพื่อสิ้นกิเลส ไม่ใช่ รักษาศีล ฟังธรรมเพื่อเกิดในภพดีดี​


    หรือมีรูปสวย นี่ไม่ใช่อธิศีลและอธิปัญญาสิกขา เพราะไม่เป็นไปเพื่อดับกิเลสครับ​


    แต่กุศลที่เป็นศีลหรือ ปัญญาทั้งหมด ไม่ว่าจะเข้าใจไม่เข้าใจหนทาง ก็จัดอยู่ในบุญ​


    กิริยาวัตถุ 10 ครับ ลองอ่านพระไตรปิฎกที่จะยกมานะ จะเข้าใจเรื่อง ศีล อธิศีล จิต​


    อธิจิต ปัญญา อธิปัญญา ว่าเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรครับ ลองอ่านดูนะ​


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD align=left bgColor=#eeeeee height=22>ความคิดเห็นที่ 5 โดย : แล้วเจอกัน </TD><TD align=right bgColor=#eeeeee height=22><INPUT class=nostyle type=checkbox align=absMiddle value=5 name=c_sel[5]>[​IMG] </TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR><TD colSpan=2><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=4 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle></TD></TR><TR><TD vAlign=top>
    ข้อความบางตอนจาก อรรถกถามานกามสูตร

    เมื่อศีลมี ก็ชื่อว่ามีอธิศีล เมื่อจิตมีก็ชื่อว่ามีอธิจิต เมื่อปัญญามีก็ชื่อว่า ​


    มีอธิปัญญา เพราะฉะนั้น ศีล ๕ ก็ดี ศีล ๑๐ ก็ดี จึงชื่อว่าศีล ในที่นี้. ​

    ปาฏิโมกขสังวร พึงทราบว่าชื่อว่า อธิศีล. สมาบัติ ๘ ชื่อว่า จิต. ฌานอันเป็น​

    บาทแห่งวิปัสสนา ชื่อว่า อธิจิต. กัมมสัสกตญาณ ชื่อว่า ปัญญา. วิปัสสนา​

    ชื่อว่า อธิปัญญา.​

    จริงอยู่ ศีลที่เป็นไปในกาลที่พระพุทธเจ้ายังไม่เกิด ฉะนั้น ศีล ๕​

    ศีล ๑๐ ชื่อว่า ศีลเท่านั้น. ปาฎิโมกขสังวรศีลย่อมเป็นไปในกาลที่พุทธเจ้า​

    ทรงอุบัติขึ้น ฉะนั้น จึงชื่อว่า อธิศีล. แม้ในจิตและปัญญา ก็นัยนี้เหมือนกัน. ​

    อีกอย่างหนึ่ง แม้ศีล ๕ ศีล ๑๐ อันผู้ปรารถนาพระนิพพาน สมาทาน​

    แล้วก็ชื่อว่า อธิศีลเหมือนกัน. แม้สมาบัติ ๘ ที่เข้าถึงแล้ว ก็ชื่อว่า อธิจิต​

    เหมือนกัน.​

    หรือว่า โลกียศีลทั้งหมด ชื่อว่า ศีล เหมือนกัน โลกุตรศีล​

    ชื่อว่า อธิศีล. แม้ในจิตและปัญญา ก็นัยนี้เหมือนกัน. ท่านประมวลสิกขา​

    ๓ มากล่าวศาสนธรรมทั้งสิ้นไว้ ด้วยพระคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้แล. ​

    ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD align=left bgColor=#eeeeee height=22>ความคิดเห็นที่ 6 โดย : ไตรสรณคมน์ </TD><TD align=right bgColor=#eeeeee height=22><INPUT class=nostyle type=checkbox align=absMiddle value=6 name=c_sel[6]>[​IMG] </TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR><TD colSpan=2><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=4 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle></TD></TR><TR><TD vAlign=top>ไตรสิกขา ก็คือ อริมรรคมีองค์ ๘ ดังนี้คือ...
    [​IMG] สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สงเคราะห์เข้าในหมวด ศีลขันธ์
    [​IMG] สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สงเคราะห์เข้าในหมวด สมาธิขันธ์
    [​IMG] สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สงเคราะห์เข้าในหมวด ปัญญาขันธ์
    ขณะที่สติปัฏฐานเกิด ( ประกอบด้วยมรรคมีองค์ ๖ ) ขณะนั้นเป็นทั้ง อธิศีล อธิจิต และ
    อธิปัญญา เพราะปราศจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...