กายใจ ใกล้ๆตัวกู

ขอบคุณมากคะท่านพี่นิวรณ์ ที่กรุณาวิจารณ์ อิอิอิ

 

ก็ตามแต่คุณ jittinon จะเห็นสมควร จัดเข้าไปในเรื่องอะไร ตามดุลยพินิจของคุณ jittinon แล้วกันค่ะ

...................

การเห็นนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วงูแลบลิ้น เหมือนสายฟ้าแลบ แต่รู้เห็นได้ดังที่เล่าไป(เล่าไม่ค่อยละเอียดนัก)

...................

กำเริบหวนกลับ ในความหมายของมายไม่ได้หมายถึง จิตกลับไปรู้สึกเหมือนเดิมค่ะ
(แต่เป็นดังสมมุติด้านล่างค่ะ)
เพราะสิ่งต่างๆมันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน
สิ่งที่เราตั้งปณิธานไว้มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปก็ได้ ถ้าเราประมาท

สมมุตินำมาให้คิดเล่นๆ
ผู้หญิงคนที่ 1 เป็นปุถุชนธรรมดา
ผู้หญิงคนที่ 2 เป็นโสดาบัน
ผู้หญิงคนที่ 3 เป็นพระอรหันต์

ผู้หญิงทั้ง 3 คนนี้ครองเพศฆราวาส มีความรู้ไม่มาก ทำงานหาเงินไม่มีวันหยุด ส่งให้คนที่ต้องรับผิดชอบ คือ
1. มีพ่อแม่อายุ 80-90 ทำงานไม่ได้แล้ว มีโรคประจำตัว เจ็บป่วยบ่อยต้องไปพบแพทย์
2. มีพี่สาวอายุ 60 กว่า ความรู้ ป.4 ดูแลพ่อแม่ และรับจ้างทั่วไปถ้ามีใครมาจ้าง มีรายได้แค่ค่ากับข้าวไปวันๆ

วันหนึ่งผู้หญิง 3 คนนั้นได้รับอุบัติเหตุ ทำให้ไม่สามารถทำงานหาเงินได้เลย แถมยังต้องรักษาตัวเองด้วย
ความจำเสื่อม ร่างกายไม่เหมือนเดิม แต่ยังช่วยเหลือตัวเองได้บ้างไม่มากนัก ทำงานบ้านได้บ้าง
ในเวลานั้นแฟนที่เคยคบเป็นเพื่อนกันมานาน ขอแต่งงานด้วย ขอเข้ามาช่วยเหลือดูแลครอบครัว
และพ่อแม่ของฝ่ายหญิงทั้ง3 ก็ห่วงลูกมาก บอกให้ลูกแต่งงานจะได้มีคนดูแล พ่อแม่ก็จะได้หมดห่วง นอนตายตาหลับ

คำถาม
1. ผู้หญิงคนที่ 1 จะตอบตกลงแต่งงานมั้ย
2. ผู้หญิงคนที่ 2,3 ที่เคยตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่มีครอบครัว จะตอบตกลงแต่งงานมั้ย (ไม่เกี่ยวกับการวางจิตในภายใน)

 

ค่ะ ไว้มีโอกาสมีจังหวะ คงมากกว่าสามประโยค อิอิอิ

เจริญธรรมยิ่งๆขึ้นไปเช่นกันค่ะ

 

กั๊กๆ

ผู้หญิงคนที่ 1 จะแต่ง หรือ ไม่แต่งก็ได้ ไม่มีอะไรแน่นอน แต่ ถ้าผู้หญิงคนนั้น
มีความ กตัญญูรู้คุณ มาตั้งแต่ต้น ย่อมไม่ปฏิเสธ การทำให้พ่อแม่ สบายใจ
[ การทำให้ พ่อแม่ สบายใจ มีหลายวิธี ในการตอบ ]

ผู้หญิงคนที่ 2 จะแต่ง หรือ ไม่แต่งก็ได้ ไม่มีอะไรแน่นอน แต่ ถ้าผู้หญิงคนนั้น
มีความ กตัญญูรู้คุณ มาตั้งแต่ต้น ย่อมไม่ปฏิเสธ การทำให้พ่อแม่ " สบายใจ "
[ การทำให้ พ่อแม่ สบายใจ มีหลายวิธี ในการตอบ ]

ผู้หญิงคนที่ 3 จะแต่ง หรือ ไม่แต่งก็ได้ ไม่มีอะไรแน่นอน แต่ ถ้าผู้หญิงคนนั้น
มีความ กตัญญูรู้คุณ มาตั้งแต่ต้น พ่อแม่ ย่อมประจักษ์ชัดเจน คุณธรรมบางประการ
พ่อแม่อาจจะปรารภเหตุของความสบายใจ แต่ ลูกที่เป็น อรหันต์ย่อม
ไม่โง่ในการตอบ [ การทำให้ พ่อแม่ สบายใจ มีหลายวิธี ในการตอบ ]

การไม่แต่งงาน : จึงไม่ใช่เรื่อง คุณธรรม ฮา เฮ้ววว เอา เฮ้วว เฮ้วว อะไร

ตัวอย่าง :

กรณี พระมหากัสสปะ ที่ถูกพ่อแม่ จับแต่งงาน ทั้ง บ่าว สาว ก็ไม่ได้อยากแต่งงาน
แต่ก็ต้อง ยอมแต่ง โดยมีการทำข้อตกลงกันไว้ว่าจะ ไม่ จิ จ๊ะ ก็ครองเรือนกันได้ พ่อแม่
สบายใจ ตายไปก็ไม่ห่วงลูก ทิ้งสมบัติให้หมด ...สุดท้าย ทั้ง บ่าว สาว ก็ทิ้งสมบัติ
ออก ธุดงค์ไปด้วยกัน จนกระทั่งไปเจอพระพุทธองค์ ได้ฟังธรรม ก็สำร็จธรรมกันไป

หรือ

กรณี เด็กสาว 7 ขวบเป็น โสดาบันแล้ว แต่ ไปเดินเล่นในป่าละเมาะ ไป พบ นาย
พรานรูปงามเข้า โอยยยยย...... แอบเดินตาม หนุ่มเจ้าไปในป่า ด้วยความหลงไหล
ห้ามใจไม่ได้ กลับบ่านไม่ได้ ก็เลยอยู่กันกับ นายพรานนั้น จนมี ลูกเต้า แล้ว โสดาบัน
นั้นยัง เหลาลูกธนุ จิ้มน้ำยาอาบยาพิษ เพื่อให้ สามี เอาไปยิงสัตว์อีก ....แต่ เรื่องนี้
สุดท้าย สามี และ บุตร ก็ได้เหตุ หรือ วาสนาได้พบพระพุทธองค์ ลำพังในป่า ได้
ฟังธรรมก็บรรลุธรรมกันไป

ก็จะเห็นว่า การแต่งงาน ก็นำ สุขอย่างยิ่งมาให้ สามี และ บุตร ได้

คนที่ไม่รู้เรื่องอะไร หวง ความเป็น โสดาบัน อุปโลคขึ้นมา มันก็ นั่งกอดเข่าเจ่าจุก ตระหนี่ธรรม ฝุ้งธรรม ไปเรื่อยเปื่อย

 

คุณพี่นิวรณ์คงเข้าใจว่า มายพยากรณ์ยกตัวเองเป็นบุคคลในคำถามข้อ 2 ไปแล้วสิ อ๊าก อิอิอิ ผิดแล้วหละค่ะ
กลับไปอ่านใหม่นะคะ อ่านให้ดีดีนะคะ

แล้วกรุณาอย่าเอาข้อมูลที่เคยโพสไว้ในโพสแรกๆ ที่ว่ามายเลือกไม่มีครอบครัวมาเป็นข้อมูลในการพิจารณานะคะ

เพราะมันเป็นคนละส่วนกัน มันเป็นคนละเวลากัน
และหลังจากนั้นมายก็ไม่ได้กล่าวถึง ไม่ได้บอกว่าแต่งงานหรือไม่
เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไปจึงละไว้แค่นั้นนะคะ

..........

ส่วนที่อันหลังก็เป็นเรื่องเฉพาะของอันหลังนะคะ โปรดกลับไปอ่านใหม่นะคะ

มายตอบคำถามให้ก็ได้ ค่ะ
จากคำถาม
1. ผู้หญิงคนที่ 1 จะตอบตกลงแต่งงานมั้ย
2. ผู้หญิงคนที่ 2,3 ที่เคยตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่มีครอบครัว จะตอบตกลงแต่งงานมั้ย (ไม่เกี่ยวกับการวางจิตในภายใน)

ตอบว่า
ถ้าบุคคลในข้อ 2 ไม่ตอบตกลงแต่งงาน บุคคลในข้อ 2 คนนี้แย่มาก แย่กว่าปุถุชนธรรมดา

เอาแค่นี้แหละนะคะ มีภาระที่ต้องทำ

 

ตรงวงเล็บนี่น่าสนใจครับ
คุณมายลองเล่าตรงนี้ให้ฟังบ้างสิครับ

ในส่วนคำถามผมตอบได้ว่า ไม่ทราบครับ คงต้องรอผู้หญิงนั้นๆกระทำครับ

 

ให้คุณ jittinon ลองหาคำตอบเองแล้วกันนะคะ อิอิอิ

 

คุณมายลองดูสิ ว่ามันเห็นทุกข์ไหม แล้วมาหาคำตอบกันครับ

 

พอตรองเข้ามาในความคิด ซ้ำๆ ก็จะเห็นว่าสติเป็นที่ตั้งเสมอนำให้เห็นอาการต่างๆปรากฏขึ้นมา แม้ตัวสติเองยังคงแสดงอาการปรากฏด้วย

 

ทีนี้มาดูกันตรงความรู้ สัมมาสติอยู่เป็นลำดับ 7 ก่อนสัมมาสมาธิ
แล้วทำไม สติจึงตั้งขึ้นก่อนเสมอในความเห็นนี้

 

โพชฌง 7
ธรรมอันเป็นเครื่องนำออก

ก็จะเห็นว่า สติก็มาก่อนเพื่อน

ถ้าไม่รู้จักสติสัมโพชฌงแล้ว ตัวอื่นในโพชฌง ก็จะไม่มีทางรู้จัก

ยิ่งหากอ่านเอาแต่ภาษาบาลีที่แปลมาเป็นไทย แต่ขาดการปฏิบัติ

จะยิ่งเดินหลงไปใหญ่

 

ภัทเทกรัตตคาถา
หันทะ มะยัง ภัทเทกรัตตะคาถาโย ภะณามะ เส

อะตีตัง นานวาคะเมยยะ นัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง,
บุคคลไม่ควรตามคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้วด้วยอาลัย และไม่พึงพะวงถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง,
ยะทะตีตัมปะหีนันตัง อัปปัตตัญจะ อะนาคะตัง,
สิ่งเป็นอดีตก็ละไปแล้ว สิ่งเป็นอนาคตก็ยังไม่มา,
ปัจจุปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ
อะสังหิรัง อะสังกุปปัง ตัง วิทธา มะนุพรูหะเย,
ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆ อย่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่อนแง่น คลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้,
อัชเชวะ กิจจะมาตัปปัง โก ชัญญา มะระณัง สุเว,
ความเพียรเป็นกิจที่ต้องทำวันนี้ ใครจะรู้ความตาย แม้พรุ่งนี้,
นะ หิโน สังคะรันเตนะ มะหาเสเนนะ มัจจุนา,
เพราะการผลัดเพี้ยนต่อมัจจุราช ซึ่งมีเสนามาก ย่อมไม่มีสำหรับเรา,
เอวัง วิหาริมาตาปิง อะโหรัตตะมะตันทิตัง
ตัง เว ภัทเทกะรัตโตติ สันโต อาจิกขะเต มุนิ,
มุนีผู้สงบ ย่อมกล่าวเรียก ผู้มีความเพียรอยู่เช่นนั้น ไม่เกียจคร้าน
ทั้งกลางวันกลางคืนว่า “ผู้เป็นอยู่แม้เพียงราตรีเดียว” ก็น่าชม

.................................................................
อ่านวันละนิด ซึมวันละหน่อย ทำตามทีละน้อย บ่อยๆก็เต็ม

 

จินตนาการล่ำเลิศจริงๆ อย่าไปคิดให้เสียเวลาเปล่าเลย เพราะมันไม่มีอะไรเป็นอย่างที่คิดหรอก

 

อย่าไปยึดลำดับตามอักษร ใครจะไปรู้ละก่อนหน้านั้นอาจจะ สัมมา...อะไรก็ได้ขึ้นก่อน แล้วต่อมาก็มีการ.... มันไม่ได้อาศัยอะไรเป็นลำดับๆ ไปตามอักษร มันอาศัยความรู้ที่เกิดขึ้นโดยปัญญา ว่าจะทำอะไร ที่ไหนเมื่อไหร่ แล้วแบบไหน

 

การแยกรูปนาม คือ การแยกจิตออกจากขันธ์๕ ขันธ์๕จะดับสนิทในสภาวะนั้นค่ะ
เมื่อสภาวะนั้นเกิดขึ้น ขันธ์๕จะดับสนิทพร้อมหยั่งลงภวังค์ แล้วขึ้นสู่ปัจจเวกขณวิถี

ขันธ์๕เข้านิพพานไม่ได้

ด้วยความปรารถนาดีค่ะ
เห็นพี่ฉลาดมากแต่จะมาพลาดจุดนี้ก็น่าเสียดายมากค่ะ

(ปล.ที่มายตอบนี้ไม่ใช่ว่ามายพยากรณ์ตนเองว่าเป็นอะไรนะคะ
ไม่มีใครเป็นอะไร มีแต่สภาวะเท่านั้น)

 

ฮั่นแน่ ร่อนไปทั่วเหมือนกันนะนี่ ....

 

นึกไม่ออก แยกรูปนาม อืมๆ ใช้เวลานิดนึง
จะว่าไป ขันธ์ 5 มันก็ยังอยู่ ส่วนที่ไปรู้ก็ยังอยู่ มันก็ยังครบนี่นา
ส่วนจะไปเห็นว่ามันดับสนิทพร้อมหยั่งลงภวังค์ อันนี้ไม่รู้
ไม่เคยผ่านทางนี้

จะว่าไปมันก็แค่ไปเห็นส่วนของรูปและนามที่ปรากฏ เป็นกองๆ
เห็นการทำงานขณะนั้นๆ ยังระลึกได้ รู้ได้ ก็เห็นมันอยู่

ตรงมันนี่ล่ะที่ต้องว่ากันต่อ

 

มั่ว ดำน้ำไปได้เรื่อยๆ อิอิอิ คนอะไรก็ไม่รู้

 

มันไม่สามารถรู้ได้ด้วยการใช้ความนึกคิดหรือพูดคุยว่าอย่างไรนะสิคะ

ทำเหตุปัจจัยเพื่อให้เข้าถึงสิ่งนั้นจะมีประโยชน์มากกว่าค่ะ

สร้างเหตุเพื่อให้เกิดผลของพรหมจรรย์ที่แยบคายกันดีกว่านะคะ

 

ขออนุญาตก๊อปปี้มานะคะ เพราะที่ั่เว็บนั้นมายเพียงแค่เข้าไปอ่านเท่านั้น
และก็ไม่แน่ใจว่าพี่นิวรณ์แกล้งไม่รู้เพื่อทดสอบอะไร หรือว่าไม่รู้จริงๆ
ซึ่งมันเป็นจุดเดียวกันกับกระทู้นี้ที่วิจารณ์มายไว้ คือเรื่องเกี่ยวกับการแยกรูปนาม ซึ่งต้องเกี่ยวโยงไปถึงภวังค์ด้วย

หากท่านพี่นิวรณ์ทราบอยู่แล้ว มายขออภัยไว้ ณ ที่นี้นะคะ

ที่ว่าแยกรูปนาม ขันธ์๕ดับสนิทพร้อมหยั่งลงภวังค์ เป็นการหยั่งลงภวังค์ด้วยมหาสติ เป็นสติที่เต็บรอบบริสุทธิ์บริบูรณ์

ไม่ใช่สติจากขันธ์๕ที่ยังต้องอาศัยการกำหนดรู้ ไม่ใช่การตกภวังค์

...................

ความรู้เกี่ยวกับ ภวังค์

จิ ต อ ยู่ ใ น ภ วั ง ค์
พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
จิตอยู่ในภวังค์ : หลวงพ่อพุธ ฐานีโย
....................

สัมมาทิฏฐิ ๑๙ ความรู้จักนามรูป
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ภวังค์จิต องค์ของภพ
สัมมาทิฏฐิ ๑๙ ความรู้จักนามรูป (สมเด็จพระญาณสังวร) - สมเด็จพระญาณสังวรฯ - สัจจธรรมแห่งชีวิ�

...................

สัมมาทิฏฐิ ๓๕ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ภวังคจิต
สัมมาทิฏฐิ ๓๕ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป (สมเด็จพระญาณสังวร) - สมเด็จพระญาณสังวรฯ - สัจ�

..................

สัมมาทิฏฐิ ๓๗ อายตนะเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ภวังค์จิต วิถีจิต
สัมมาทิฏฐิ ๓๗ อายตนะเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ (สมเด็จพระญาณสังวร) - สมเด็จพระญาณสังวรฯ - สัจจ�

..................

บทนั่งสมาธิภาวนา
หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม
วิธีกำหนดรู้จิตตกลงสู่ภวังค์เอง
https://sites.google.com/site/smartdhamma/smathi_bhavana_samathi_lp_singha