พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การพิสูจน์ ต้องพิสูจน์ตามหลักกาลามสูตรครับ
    เดี๋ยวจะไม่รู้ว่า "นรก" มีจริงหรือเปล่า เพราะว่าไม่มีใครเคยมาบอกว่า "นรก" เป็นอย่างไร แต่เมื่อรู้แล้ว ก็ไม่สามารถจะมาบอกใครได้เช่นกัน

    กาลามสูตร
    ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมครู
    <O:p</O:p

    1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา <O:p</O:p
    2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆกันมา<O:p</O:p
    3. อย่าปลงใจเชื่อ ค้วยการเล่าลือ <O:p</O:p
    4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์<O:p</O:p
    5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก <O:p</O:p
    6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน<O:p</O:p
    7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล <O:p</O:p
    8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฏีที่พินิจไว้แล้ว<O:p</O:p
    9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ <O:p</O:p10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ท่านน้องนู่....(หนู่)

    ค้านยังไงก็จะเอามันเข้าไปให้ได้ ว่างั้นเหอะ...อิอิ อะไรจะพยายามกันขนาดนั้น

     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตอนนี้ผมไม่ต้องไปท้าสาบานแล้วครับ เพียงแต่ลงเรื่องที่ขัดแย้งในความคิดของผู้ที่เห็นเป็นอย่างอื่น แค่นี้เขาก็ไปนรกเองแล้ว

    ไม่ต้องไปรู้จัก จักไม่ต้องไปเยี่ยมในนรก

    .
     
  4. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ในความคิดเห็นของผม ไม่ค่อยอยากยุ่งเรื่องนี้ครับ
    เขาถามไปเรื่อยๆ หาข้อพิสูจน์ไปเรื่อยๆ ผลของมันคืออะไร
    แต่ผมรู้สึกว่า มันหนักๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    เราทำได้ เขาทำไม่ได้ เขาก็สรุปแล้ว ประเด็นหนึ่ง
    แต่เขานั้นมิได้พิจารณาว่า ที่เราทำได้ ที่เขาทำไม่ได้
    มีตัวแปรอะไรบ้าง ที่ต่างออกไป นั่นก็มาพูดถึงเรื่องนั้นๆ

    แต่ประเด็นหลักที่ควรพิจารณา คือ ใจกับการปฏิบัติ
    เรียกว่า พัฒนาพระภายใน ที่ผลจากนั้นจะติดตัวไปต่างหาก
    และผมรู้สึกว่า มันเบา และกว้างไกล ไม่ยึดอะไรมาก

    สาธุครับ[​IMG][​IMG][​IMG]
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    เล่น"รุก"เขาจนไม่มีทางถอยแล้ว หลังชนฝาแล้ว ต้อง"จำยอมสาบาน" แบบนี้ ไม่ได้ทุนคืน แถมเสียดอก(โหด)ให้อีกต่างหาก เงินต้นก็ไม่มีทางได้ชดใช้คืน การค้านี้ คิดยังไง กลับไปกลับมา ก็ไม่น่า"เสี่ยง"ไปลงทุนอย่างยิ่ง เรียกว่า ไม่เพียงทุนหาย แต่ยังขาดทุนยับเยิน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    คนโง่ แล้วรู้จักมีความขยันหมั่นเพียรพยายามค้นคว้าและศึกษา สามารถที่จะฉลาดขึ้นได้
    แต่ถ้าโง่แล้ว คิดว่าสิ่งที่ตนเองรู้นั้นถูกต้อง ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าความรู้ที่ตนเองมีนั้นถูกต้องหรือเปล่า ก็ยังโง่ต่อไปแถมพาตัวเองปรามาสสิ่งที่ตนเองไม่รู้ ดังนั้นจึงส่งตนเองไป"นรก"เอง

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระมหาโมคคัลลานะ

    http://th.wikipedia.org/wiki/พระมหาโมคคัลลานะ
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    พระมหาโมคคัลลานเถระ เป็นพระภิกษุอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า เป็นพระอสีติมหาสาวกผู้เป็นเอตทัคคะในด้านผู้มีฤทธิ์
    <TABLE class=toc id=toc summary=เนื้อหา><TBODY><TR><TD>เนื้อหา

    [ซ่อน]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><SCRIPT type=text/javascript>//<![CDATA[ if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดง"; var tocHideText = "ซ่อน"; showTocToggle(); } //]]></SCRIPT>

    [แก้] ชาติกำเนิด

    พระมหาโมคคัลลานะ เป็นบุตรพราหมณ์นายบ้านในหมู่บ้านโกลิตคาม ได้ชื่อว่า
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [แก้] เรื่องที่พระเถระไปเยี่ยมชมโลกสวรรค์ชั้นต่าง ๆ

    นั้นมีเรื่องกล่าวไว้ในคัมภีร์ธรรมบทหมวดปิยวรรคและโกธวรรคว่าวันหนึ่ง พระเถระได้ขึ้นไปยังดาวดึงส์โลกสวรรค์ ด้วยอริยฤทธิ์ ได้เห็นปราสาทหลังหนึ่ง มีแสงแวววาวด้วยแก้วนานาประการ มีขนาดใหญ่ทั้งกว้าง ทั้งสูง มีนางเทพธิดาอยู่ในปราสาทนั้นจนเนืองแน่น พระเถระจึงถามว่า “แม่เทพธิดา วิมานนี้เป็นของใคร (เกิดขึ้นเพื่อใคร) ?" “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ วิมานนี้เกิดขึ้นเพื่อนันทิยะ ผู้สร้างศาล 4 มุข 4 ห้อง ถวายพระบรมศาสดา พวกดิฉันมาเกิดในที่นี้ก็ด้วยหวังว่าจะได้เป็นบาทจาริกาของนันทิยะนั้น แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่พบนันทิยะ เพราะท่านยังไม่ละอัตภาพจากโลกมนุษย์เลยขอพระคุณเจ้าได้โปรดนำข่าวสารไปบอกแก่นันทิยะให้ละอัตภาพมนุษย์อันเปรียบประดุจถาดดิน มาถือเอาอัตภาพอันเป็นทิพย์ ซึ่งเปรียบประดุจถาดทองคำล้ำค่าในโลกสวรรค์นี้ด้วยเถิด เจ้าค่ะ” อันที่จริง วิมานนั้นได้เกิดขึ้นบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พร้อมกับขณะที่นันทิยมาณพ ได้สร้างศาลาจัตุรมุขมี 4 ห้อง ถวายแด่พระบรมพระศาสดาแล้ว หลั่งน้ำทักษิโณทก ตกลงบนฝ่าพระหัตถ์ของพระบรมศาสดา
    พระเถระได้จาริกท่องเที่ยวไปยังสวรรค์ชั้นอื่น ๆ ได้พบเห็นวิมานทองของเหล่าเทพบุตรเทพธิดาทั้งหลายแล้ว ได้ไต่ถามเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้นว่า ทำบุญอะไร ทานด้วยสิ่งใด จึงได้เสวยผลบุญ ได้รับทิพยสมบัติวิมานแล้ว วิมานทองอันงดงามยิ่งนัก เช่นนี้ เทพบุตรและเทพธิดาเหล่านั้น ต่างก็รู้สึกละอายที่จะบอกแก่พระเถระเพราะบุญทานที่พวกตนกระทำนั้นมีประมาณเพียงเล็กน้อย คือ
    1. บางองค์บอกว่า เพียงรักษาคำสัตย์ จึงได้สมบัติคือวิมานนี้
    2. บางองค์บอกว่า เพียงห้ามความโกรธ จึงได้วิมานนี้
    3. บางองค์บอกว่า เพียงถวายอ้อยลำเดียว จึงได้วิมานนี้
    4. บางองค์บอกว่า เพียงถวายมะพลับ, ลิ้นจี่ ฯลฯ ผลเดียว จึงได้วิมานนี้
    พระเถระจาริกไปยังสวรรค์ชั้นต่าง ๆ พอสมควรแก่อัธยาศัยแล้วก็กลับมาสู่มนุษย์โลก นำข่าวสารที่ได้พบเห็นมาแจ้งแก่หมู่ชนทั้งหลาย ซึ่งต่างก็พากันศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทำบุญสร้างกุศล เพื่อหวังผลอันเป็นสุขสมบัติในปรโลก

    [แก้] พระเถระทรมานพญานาค

    สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตของนักบวชนอกพระพุทธศาสนานามว่า “อัคคิทัต” จึงรับสั่งให้พระมหาโมคคัลลานเถระไปอบรมสั่งสอนให้ลดทิฏฐิมานะ ละการถือลัทธินั้นเสียพระเถระรับพระพุทธบัญชาแล้วไปยังสำนักของอัคคิทัต นั้น กล่าวขอที่พักอาศัยสักราตรีหนึ่ง แต่อัคคิทัต ปฏิเสธว่าไม่มีสถานที่ให้พัก พระเถระจึงกล่าวต่อไปว่า “อัคคิทัต ถ้าอย่างนั้น เราขอพักที่กองทรายนั่นก็แล้วกัน”ก็ที่กองทรายนั้นมีพญานาคตัวใหญ่มีพิษร้ายแรงอาศัยอยู่ อัคคิทัต เกรงว่าพระเถระจะได้รับอันตรายจึงไม่อนุญาต แต่เมื่อพระเถระรบเร้าหนักขึ้นจนต้องยอมอนุญาต พระเถระจึงเดินไปที่กองทรายนั้น
    พญานาคเห็นพระเถระเดินมารู้ว่าไม่ใช่พวกของตนจึงพ่นควันพิษเข้าใส่พระเถระ ฝ่ายพระเถระก็เข้าเตโชกสิณบังหวนควันไฟให้กลับไปทำอันตรายแก่พญานาค ทั้งพระเถระและพญานาคต่างก็พ่นควันพ่นไฟเข้าใส่กันจนเกิดแสงรุ่งโรจน์โชตนาการ พิษควันไฟไม่สามารถทำอันตรายพระเถระได้เลย แต่ทำอันตรายแก่พญานาคฝ่ายเดียวอัคคิทัต กับบริวารมองดูแล้วคิดตรงกันว่า “พระเถระคงจะมอดไหม้ในกองเพลิงเสียแล้ว” พร้อมทั้งคิดว่า “สาสมแล้ว เพราะเราห้ามแล้วก็ไม่ยอมเชื่อฟัง” รุ่งเช้า อัคคิทัตกับบริวารเดินมาดู ปรากฏว่าพระเถระนั่งอยู่บนกองทราย โดยมีพญานาค ขดรอบกองทรายแล้วแผ่พังพานอยู่เหนือศีรษะ พระเถระจึงพากันคิดว่า “น่าอัศจรรย์ สมณะนี้มีอานุภาพยิ่งนัก”
    ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จมาถึง พระมหาโมคคัลลานเถระ จึงลงจากกองทรายแล้ว เข้าไปกราบบังคมทูลอาราธนาให้เสด็จปะทับนั่งบนกองทรายแล้วกล่าวกับอัคคิทัตว่า “พระพุทธ องค์ เป็นศาสดาของข้าพเจ้า ๆ เป็นสาวกของพระพุทธองค์”ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้อัคคิทัตพร้อมทั้งบริวารเลิกละการเคารพบูชาภูเขา ป่า ต้นไม้ และจอมปลวก เป็นต้น ที่พวกตนพากันเคารพบูชาว่าเป็นที่พึ่งอันเกษมสูงสุด ให้หันมาระลึกถึงพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อันเป็นสิ่งประเสริฐสุดนำไปสู่การพ้นทุกข์ทั้งปวงเมื่อจบพระธรรมเทศนา อัคคิทัต และบริวารได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วยกันทั้งหมดแล้วกราบทูบขอบรรพชาในพระพุทธศาสนา พระบรมศาสดาได้ประทานให้ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทาเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ของพระมหาโมคคัลลานเถระนั้นมีมาก แต่นำมากล่าวไว้ในที่นี้พอเป็นตัวอย่างเพียงเท่านี้

    [แก้] พระเถระมีอัธยาศัยใจกว้าง

    พระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมและความสามารถในอิทธิปาฏิหาริย์เหนือกว่าพระพุทธสาวกรูปอื่น ๆ แต่ท่านก็เป็นผู้มีอัธยาศัย ใจกว้างไม่กีดกัน ไม่เบียดบังความดีความสามารถของคนอื่น ไม่ฉวยโอกาสชิงความดี ความชอบจากผู้อื่น ดังจะเห็นได้จากเรื่องต่อไปนี้
    สมัยหนึ่ง เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ อยากจะเห็นพรอรหันต์ที่แท้จริงเพราะในเมือง ราชคฤห์นั้นมีเจ้าลัทธิหลายสำนัก ซึ่งต่างก็โอ้อวดว่าตนเป็นพระอรหันต์ ทั้ง ๆ ที่การปฏิบัติและหลักคำสอนก็แตกต่างกันเป็นอย่างมาก และหาแก่นสารมิได้ จึงให้บริวารกลึงไม้จันทน์แดง ทำเป็นบาตรแล้วผูกติดปลายไม้ไผ่ต่อกัน หลาย ๆ ลำตั้งไว้แล้วประกาศว่า “ใครเป็นพระอรหันต์ ก็จงเหาะมาเอาบาตรใบนี้ไป” เจ้าลัทธิทั้งหลายปรารถนาจะได้บาตร แต่ไม่สามารถเหาะมาเอาไปได้ จึงมาเกลี้ยกล่อมเศรษฐีให้ยกบาตรให้ตน โดยไม่ต้องเหาะขึ้นไป แต่เศรษฐีก็ยงคงยืนยันว่าต้องเหาะขึ้นไปเอาเอง เท่านั้นจึงจะได้
    ขณะนั้น พระมหาโมคคัลลานเถระ กับพระปิณโฑลภารทวาชะเถระ กำลังยืนห่มจีวรอยู่บนก้อนหินใหญ่ เพื่อเข้าไปบิณฑบาตในเมือง ได้ยินพวกชาวบ้านพูดกันว่า “ในโลกนี้ คงจะไม่มีพระอรหันต์ เพราะวันนี้เป็นวันที่ 7 แล้วท่านเศรษฐีประกาศให้พระอรหันต์เหาะมาเอาบาตร แม้แต่ครูทั้ง 6 ที่โอ้อวดนักหนาว่าเป็นพระอรหันต์ ก็ยังไม่สามารถเหะขึ้นไปเอาบาตรได้เลย เราเพิ่งรู้วันนี้เองว่าพระอรหันต์ไม่มีในโลก”
    พระเถระทั้งสอง ต้องการประกาศให้ประชาชนทั้งหลายรู้ว่าในพระพุทธศาสนามีพระอรหันต์อยู่จริง ดังนั้น พระมหาโมคคัลลานเถระ แม้จะมีฤทธิ์มีอานุภาพมากกว่า มีอายุพรรษามากกว่า แต่อาศัยความที่ท่านเป็นผู้มีใจกว้างมีความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น ต้องการให้คุณของพระเถระรปอื่นปรากฏบ้าง จึงบอกให้ พระปิณโฑลภารทวาชเถระ เหาะขึ้นไปเอาบาตรนั้นลงมา จนเศรษฐีและชาวเมืองพากันแตกตื่นมาดูกันอย่างโกลาหล
    เมื่อครั้งพระบรมศาสดา ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้วเสด็จขึ้นไปจำพรรษา ณ ดาวดึงส์เทวโลก มหาชนที่ประชุมกันอยู่ที่นั่นไม่ทราบว่าพระพุทธองค์หายไปไหน จึงพากันเข้าไปถามพระมหาโมคคัลลานเถระ แม้พระเถระจะทราบเป็นอย่างดี แต่ท่านก็ไม่ตอบโดยตรง กลับบอกให้ไปถามพระอนุรุทธะเถระ ทั้งนี้ ก็เพื่อยกย่องคุณความรู้ความสามารถของพระพุทธสาวกรูปอื่น ๆ ให้ปรากฏบ้างนั่นเอง

    ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B0".
    หมวดหมู่: พระอสีติสาวก
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บั้นปลายชีวิต

    [แก้] พระมหาโมคคัลลานเถระถูกโจรทุบ

    วันเวลาผ่านไปตามลำดับ เข้าสู่ปัจฉิมโพธิกาล ขณะที่ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระพักอยู่ที่กาฬศิลา ในมคธชนบทนั้นพวกเดียรถีย์ ทั้งหลาย มีความโกรธแค้นพระมหาโมคคัลลานเถระ เป็นอย่างมาก เพราะความที่ท่านมีฤทธานุภาพมาก สามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ ไปเยี่ยมชมสวรรค์และนรกได้ แล้วนำข่าวสารมาบอกแก่ญาติมิตรของผู้ไปเกิดในสวรรค์และนรกให้ได้ทราบประชาชนทั้งหลายจึงพา กันเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาทำให้พวกเดียรถีย์ ต้องเสื่อมคลายความเคารพนับถือจากประชาชน ลาภสักการะก็เสื่อมลง ความเป็นอยู่ก็ลำบากฝืดเคือง จึงปรึกษากันแล้วมีความเห็นอันเดียวกันว่า “ต้องกำจัดพระมหาโมคคัลลานะ เพื่อตัดปัญหา” ตกลงกันแล้ว ก็เรี่ยไรเงินทุนจากบรรดาศิษย์ และอุปัฏฐากของตนเมื่อได้เงินมาพอแก่ความต้องการแล้ว ได้ติดต่อจ้างโจรให้ฆ่าพระเถระ
    พวกโจรใจบาป ได้รับเงินสินบนแล้วพากันไปล้อมจับพระเถระถึงที่พัก แต่พระเถระรู้ตัวและหลบหนีไปได้ถึง 2 ครั้งในครั้งที่ 3 พระเถระได้พิจารณาเห็นกรรมเก่า ที่ตนเคยทำไว้ในอดีตชาติติดตามมา และเห็นว่ากรรมเก่านั้นทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงยอมให้พวกโจรจับอย่างง่ายดาย และถูกพวกโจรทุบตีจนกระดูกแตกแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี พวกโจรแน่ใจว่าท่านตายแล้ว จึงนำร่างของท่านไปทิ้งใน ป่าแห่งหนึ่ง แล้วพากันหลบหนีไป

    [แก้] บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานเถระ

    ในอดีตชาติ พระมหาโมคคัลลานเถระ เกิดเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ ต่อมาเมื่อเจริญเติบโตขึ้นพ่อแม่ทั้งสองประสบเคราะห์กรรมตาบอดด้วยกันทั้งสองคนเป็นภาระที่ลูกชายคนเดียวต้องปรนนิบัติเลี้ยงดู การงานทุกอย่างทั้งนอกบ้านในบ้านลูกชายจัดการเป็นที่เรียบร้อย พ่อแม่ทั้งสองมิต้องกังวลต่อมา พ่อแม่เห็นลูกชายอยู่ในวัยที่สมควรจะมีครอบครัวได้แล้ว จึงจัดการสู่ขอหญิงสาวที่มีชาติตระกูลใกล้เคียงกัน ให้มาแต่งงานเป็นคู่ของลูกชายทั้ง ๆ ที่ลูกชายมิได้เต็มใจ เพราะตนเองผู้เดียวก็สามารถปฏิบัติเลี้ยงดูบิดามารดาได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อบิดามารดาเป็นภาระจัดการให้แล้วก็ไม่ขัดความประสงค์ของท่าน
    เมื่อแต่งงานแล้วชีวิตครอบครัวที่มีลูกสะใภ้พ่อผัวแม่ผัวอยู่ร่วมกันมาในระยะแรก ๆ ก็ราบรื่นสงบสุขเป็นอย่างดีเมื่อกาลเวลาผ่านนาน ๆ ไป ลูกสะใภ้ก็เริ่มรังเกียจพ่อผัวแม่ผัวที่ตาบอดด้วยกันทั้งสอง คน จึงหาวิธีกำจัดท่านทั้งสองด้วยการยุแหย่สามีให้เกลียดชังพ่อแม่ คือ เมื่อสามีออกทำงานนอกบ้านก็แกล้งทำบ้านเรือนให้สกปรกรกรุงรัง เมื่อสามีกลับมาก็ฟ้องว่าพ่อแม่ทั้งสองเป็นผู้กระทำ ตนเองไม่สามารถที่จะทนเห็นทนอยู่ผู้เฒ่าตาบอดทั้งสองคนนี้ได้อีกต่อไปแล้ว
    ระยะแรก ๆ สามีก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนักได้แต่รับฟังแล้วก็นิ่งเฉยแต่เมื่อภรรยาพูดบ่อย ๆ และเห็นบ้านเรือนสกปรกมากยิ่งขึ้นจึงเชื่อคำของภรรยา และได้ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับคนแก่ตาบอดทั้งสองคนนี้ดี “เอาท่านใส่เกวียนไปฆ่าทิ้งในป่า” ภรรยาเสนอความคิดเห็นสามีแม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะตนเป็นคนรักและกตัญญูต่อพ่อแม่มาตลอดแต่เมื่อภรรยารบเร้าไม่รู้จบสิ้น จึงใจอ่อนยอมทำตามที่ภรรยาแนะนำ รุ่งเช้า ได้จัดหาอาหารเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นอย่างดีแล้วกล่าวว่า“ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ ญาติที่หมู่บ้านโน้นต้องการให้คุณพ่อคุณแม่ไปเยี่ยมพวกเราไปกันในวันนี้เถิด” ลูกชายให้พ่อแม่นั่งบนเกวียนแล้วออกเดินทาง พอมาถึงกลางป่าส่งเชือกบังคับโคให้พ่อถือไว้แล้วพูดหลอกว่า “คุณพ่อจับปลายเชือกนี้ไว้ โคจะลากเกวียนไปตามทางนี้ ทราบว่าในป่านี้มีพวกโจรซุ่ม อยู่ ลูกจะลงเดินตรวจดูโดยรอบ”
    เมื่อลงเดินได้สักครู่หนึ่ง ก็เปลี่ยนเสียงร้องตะโกนประหนึ่งว่าเสียงโจรดักซุ่มอยู่ แล้วเข้ามาทุบตีทำร้ายบิดามารดา ฝ่ายบิดามารดาเชื่อว่าเป็นโจรจริง ๆ แม้จะถูกทุบตีอยู่ก็ยังร้องบอกให้ลูกรีบหนีไป พ่อ แม่แก่แล้วไม่ต้องเป็นห่วง ลูกจงรักษาชีวิตไว้เถิดลูกชายพอได้ยินเสียงมารดาบิดาร้องบอกให้รีบหนีไปไม่ต้องเป็นห่วงพ่อแม่ ก็กลับคิดได้ว่า “ตนทำกรรมหนัก พ่อแม่แม้จะถูกเราทุบตีอยู่นี้ ก็ยังร้องคร่ำครวญด้วยความรักและห่วงใยให้เรารีบหนีไปโดยมิได้คำนึงถึงชีวิตของตนเอง”ดังนี้แล้วจึงเข้ามาบีบนวดให้แล้วบอกกับพ่อแม่ว่า“บัดนี้พวกโจรหนีไปหมดแล้ว” จากนั้นก็นำท่านกลับมาปรนนิบัติดูแลที่บ้านเป็นอย่างดี
    ลูกชาย เมื่อตายแล้วต้องชดใช้กรรมในนรกเป็นเวลานาน เมื่อพ้นจากนรกแล้วมาเกิดใหม่ ต้องถูกทุบตีจนแหลกละเอียดอีกหลายร้อยชาติ ในชาติสุดท้ายนี้แม้จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีฤทธิ์ สามารถจะดำดินล่องหนหายตัวได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็ไม่สามารถจะหนีผลกรรมได้ ท่านจึงยอมให้พวกโจรจับทุบจนร่างแหลกเหลวดังกล่าวมานั่นเอง

    [แก้] กราบทูลลานิพพาน

    พระมหาโมคคัลลานเถระ คิดว่า “เราควรไปกราบทูลลาพระผู้มีพระภาค ก่อนจึง ปรินิพพาน” ดังนี้แล้วก็เรียบเรียงสรีรกายประสานกระดูกด้วยกำลังฌานฤทธิ์ เหาะมาเฝ้าพระบรมศาสดา ถวายบังคมแล้วกราบทูลลาปรินิพพาน พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “โมคคัลลานะ เธอจะปรินิพพาน ที่ไหน เมื่อไร ?” “ข้าพระองค์ จะนิพพานที่กาฬศิลาในวันนี้ พระเจ้าข้า” “โมคคัลลานะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงแสดงธรรมแก่ตถาคตก่อน ด้วยว่าการได้เห็นพระเถระเช่นเธอนี้ จะไม่มีอีกแล้ว”
    พระเถระได้รับพระพุทธบัญชาเช่นนั้นจึงทำปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปบนอากาศแสดงพระธรรมเทศนาแล้วลงมาถวายอภิวาทกราบทูลลาไปยังกาฬศิลา และปรินิพพาน ณ ที่นั้น ตรงกับวันแรม 15 ค่ำ เดือน 12 หลังจากพระสารีบุตรนิพพานได้ 15 วัน
    พระผู้มีพระภาค เสด็จไปพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ทรงเป็นองค์ประธานจุดเพลิงฌาปนกิจศพให้ท่าน ขณะนั้น ฝนดอกไม้ทิพย์ตกลงมาโดยรอบบริเวณ มหาชนพากันประชุมทำ สักการะอัฐิธาตุตลอด 7 วัน พระพุทธองค์โปรดให้สร้างเจดีย์บรรจุอัฐิไว้ ณ ที่ใกล้ซุ้มประตูแห่งพระเชตะวันมหาวิหารนั้น

    [แก้] อ้างอิง

    1. ชีวประวัติพุทธสาวก ประวัติพระอัจฉริยะมหาเถระเมื่อครั้งพุทธกาล เล่ม 1 จำเนียร ทรงฤกษ์ , 2542 , พิมพ์โดยสำนักปฏิบัติธรรมสวนแก้ว (สาขาวัดปากน้ำ), สำนักพิมพ์ธรรมสภา
    2. เว็บไซต์ 84000
    3. เว็บไชต ธรรมะ เกตเวย์
    <!-- Pre-expand include size: 3559 bytesPost-expand include size: 3557 bytesTemplate argument size: 0 bytesMaximum: 2048000 bytes--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:59638-0!1!0!!th!2 and timestamp 20071128044719 -->ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B0".
    หมวดหมู่: พระอสีติสาวก
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/showthread.php?t=5595
    ตอบคำถามเรื่อง**กรรมที่ทำบนอินเตอร์เน็ต**โดย พี่ดังตฤณ

    <TABLE class=tborder id=post54049 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">23-02-2005, 10:57 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>ศดานัน<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_54049", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: 16-09-2007 12:56 PM
    วันที่สมัคร: Sep 2004
    ข้อความ: 1,208 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 1 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 846 ครั้ง ใน 250 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 245 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_54049 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->ตอบคำถามเรื่อง**กรรมที่ทำบนอินเตอร์เน็ต**โดย พี่ดังตฤณ
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ถาม – การเขียนข้อความหรือนำเสนอเนื้อหาอะไรผ่านอินเตอร์เน็ตโดยใช้นามแฝง ถือเป็นกรรมหรือไม่? เพราะไม่มีใครรู้จักชื่อเรา ไม่มีใครเห็นหน้าเรา ไม่มีใครได้ยินเสียงเรา เหมือนเราไม่มีตัวตน

    ผมเห็นว่าคำถามนี้จะนำไปสู่ความเข้าใจเรื่องกรรมได้ลึกซึ้งขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่ยังนึกว่าการก่อกรรมเป็นเรื่องที่ต้องโชว์ตัว โชว์เสียง หรืออย่างน้อยก็ต้องมีชื่อแซ่ของเจ้าตัวปรากฏเป็นที่รับรู้เสียก่อน ความเข้าใจดังกล่าวนั้นคลาดเคลื่อนนะครับ กรรมนั้นคือเจตนา ต่อให้คุณนอนคิดร้ายอยู่บนยอดเขา ไม่มีใครเห็น คุณก็ทราบชัดอยู่แก่ใจ และสามารถสำเหนียกรู้สึกได้ว่าใจคุณดำมืดเพราะโดนเมฆหมอกอกุศลทาบทับแล้ว

    สำหรับกรรมที่ทำอยู่ในใจจริงๆ มีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจคุณเองคนเดียวนั้น เรียกว่า ‘มโนกรรม’ สำหรับมโนกรรมนั้นจะสำเร็จสมบูรณ์เต็มขั้นในทันทีที่ตั้งใจคิดและมีความยินดีกับความคิดนั้น หากจะพูดว่ามโนกรรมคือกรรมที่ก่อแล้วยังไม่ทันส่งผลกระทบดีร้ายกับผู้อื่นก็คงได้ ตัวอย่างเช่นคุณคิดจะด่าเขา แต่ระงับใจไม่ด่า อย่างนั้นก็เป็นเพียงมโนกรรมอันเป็นอกุศล มีผลให้จิตคุณทุกข์ร้อนอยู่คนเดียว ยังไม่เป็นวจีกรรม ยังไม่มีเสียงกระทบหูใครให้ใจเป็นทุกข์ขึ้นมา

    แต่หากคลื่นความคิดแรงจนทะลักรั้วกั้น หลุดจากสมองไปกระทบผู้อื่น ไม่ว่าจะทางภาษาพูดหรือภาษาเขียน ทำให้เขาเกิดความเข้าใจว่าคุณคิดอย่างไร ตรงนั้นจัดว่าเป็นวจีกรรมได้หมด พูดง่ายๆว่า ‘ภาษา’ นั่นเองคือเครื่องมือก่อวจีกรรมของมนุษย์

    ฉะนั้นคุณจะแอบเขียนอะไรทางอินเตอร์เน็ตโดยใช้นามแฝงเฉพาะกิจ ไม่มีใครอื่นรู้เห็น ไม่มีใครรู้จักเลย แม้เพียงครั้งเดียวก็นับว่าสร้างวจีกรรมไปแล้วหนึ่งครั้ง และกรรมก็จะติดตามคุณเป็นเงาตามตัว ไม่ผิดต่างไปจากกรรมอื่นๆที่กระทำโดยเปิดเผยหน้าตาตัวตน เจตนาเกิดขึ้นที่จิตของคุณ กรรมก็เกิดที่จิตของคุณเช่นกัน เพราะกรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าบุคคลคิดแล้วจึงก่อกรรมทางกาย วาจา ใจ

    อินเตอร์เน็ตเปิดโอกาสให้เราเห็นอะไรหลากหลายจริงๆ แม้แต่การทำงานของกรรม อย่างเช่นที่ผมรู้จักหลายๆคน เห็นกรรมทางวาจาของเขาในเบื้องต้น แล้วได้เห็นพัฒนาการหรือความเสื่อมทรามทางจิตใจในเวลาต่อมา เป็นไปตามวิธีคิดเขียนให้ดีให้ร้ายแก่ผู้อื่น

    ผู้ก่อความวุ่นวาย นานไปย่อมมีจิตใจที่วุ่นวาย ปั่นป่วนเหมือนพายุ และแสดงแนวโน้มที่จะฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปในเรื่องเหลวไหล พูดจาจับต้นชนปลายไม่ติดมากขึ้นเรื่อยๆ

    ผู้ก่อกระแสความเยือกเย็น นานไปย่อมมีจิตใจเยือกเย็น สงบราบคาบผาสุก และแสดงแนวโน้มที่จะแน่วนิ่งหนักแน่นในเรื่องเป็นเหตุเป็นผล พูดจามีต้นมีปลายมากขึ้นเรื่อยๆ

    บอกได้เลยครับว่าวจีกรรมที่เกิดขึ้นในโลกอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะให้ผลเร็วและแรงเสียยิ่งกว่าวจีกรรมที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริงเสียอีก ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร? เพราะบนอินเตอร์เน็ตอาจมีผู้รับคำพูดของคุณจำนวนมาก ขอให้ลองนึกดู หากคุณพูดเบาๆว่า ‘ไอ้โง่’ ก็อาจมีคุณคนเดียวในโลกที่ได้ยินเสียงอกุศลของตัวเอง แต่ถ้าคุณพิมพ์คำว่า ‘ไอ้โง่’ ลงในกระทู้ของเว็บบอร์ดที่มีผู้เข้าเยี่ยมชมคับคั่ง คุณไม่มีทางปรับให้ดังหรือเบาได้ตามใจชอบได้เลย คุณทำอกุศลกรรมกับคนแบบไม่เลือกหน้าเข้าแล้ว คำด่านั้นอาจทำให้คนนับพันนับหมื่นเกิดความแสลงใจ ความแสลงใจของคนนับไม่ถ้วนนั่นแหละ จะย้อนกลับมาก่อเหตุให้คุณแสลงใจยิ่งกว่าพวกเขาได้

    ผมเห็นแล้วนึกเสียดายครับ หลายคนยังเป็นเด็ก และมีความสนุกที่จะขีดเขียนข้อความฝากไว้ในอินเตอร์เน็ตด้วยความคึกคะนอง บางทีไม่รู้ตัวเลยว่าเอาอนาคตมาทิ้งเสียด้วยการสนทนาแบบไร้หน้าไร้เสียงนี่เอง

    โอกาสก่อกรรมในยุคไอทีของพวกเรานี้ มีได้เป็นร้อยเป็นพันเท่ามากกว่ายุคอื่นครับ กระดิกนิ้วง่ายๆไม่กี่ที ผลอาจใหญ่หลวงยิ่งกว่าพยายามพูดในห้องประชุมใหญ่หลายๆอาทิตย์เสียอีก หากจิตตั้งไว้ดีแล้วก็สบายตัวไป แต่หากจิตยังตั้งไว้ในมุมมืด อย่างนั้นก็คงน่าเป็นห่วงหน่อยล่ะ
    <!-- / message --><!-- sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    อย่าคิดว่าผมพูดเล่นนะครับ กับพระ กับเจ้า กับพระพิมพ์ "ความลับ"บางอย่างที่เก็บงำไว้ต้องมาเผยเอาช่วงนี้ เนื้อหาที่พูดคุยกันนี้เป็นความจริงทุกอย่าง เครื่องถ้วยเบญจรงค์ที่บรรจุพระเครื่องทั้งหลายของวังหน้า จะทนความร้อน และกาลเวลาได้อย่างไรโดยสภาพแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ผมเคยตอบไปนานแล้วว่า เครื่องถ้วยเบญจรงค์ ถูกสร้างขึ้นด้วยเตาเผาที่มีความร้อนมากกว่า ๑,๐๐๐ องศาเซลเซียส ความร้อนบนเพดานโบสถ์ ความร้อนในกรุ มีความร้อนไม่ถึงขนาดนั้น....การปกป้องพระเครื่องด้วยวิธีนี้ จึงทนต่อสภาพอากาศร้อน เย็นเป็นที่สุด...ภูมิปัญญาของวังหน้า ไม่ธรรมดานะท่าน... พระเครื่องสกุลวังหน้าเป็นของวัด และวัง ชาวบ้านทั่วไป ใครจะคาดคิดถึง คำว่า"พิธี" กับ"พระราชพิธี" ก็แตกต่างกันลิบลับ กู่ไม่กลับแล้ว คิดหรือว่าปัจจุบันมี"พระสมเด็จเหนือหัว" พระเครื่องที่ออกแบบเป็นสีประจำวัน แล้วสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ติดต่อการค้ากับจีน เครื่องถ้วยเบญจรงค์ ภูมิความรู้เรื่องนักษัตรของจีน เรื่องสี จะไม่มีในสมัยนั้น ลองไปที่กรมศิลปากรยืมหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า "เครื่องถ้วยเบญจรงค์"มาดูจะทราบพอสังเขป งานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมา ลดราคาจากราคา ๒,๕๐๐ บาท ลงมาเหลือ ๑,๐๐๐ บาท มีหนังสือเล่มนี้ ถึงจะต่อภาพ"พระเครื่องปัญจสิริ"อยู่ ไม่งั้น มันก็จะค้านอยู่นั่น พระเครื่องที่เป็นสีประจำวันไม่ได้เพิ่งออกมาให้ได้ชมกันวันนี้เมื่อไหร่ มีมาตั้งแต่สมัยพ.ศ. ๒๔๐๐ แล้ว พระเครื่องปัญจสิริจึงอยู่เหนือภูมิปัญญาชาวบ้านที่ใครๆจะเคยได้ยินในสมัยนั้น ได้เห็น ได้สัมผัส ของปลอมก็มี แยกให้ออกละกัน ว่าองค์ไหน แท้ หรือ เทียม แล้วแต่วาสนา...
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  12. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113

    สาธุ ครับพี่เพชร
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/showthread.php?t=102264

    <TABLE class=tborder id=post836974 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"> เมื่อวานนี้, 07:08 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #7 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>ringside<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_836974", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 07:26 PM
    วันที่สมัคร: Feb 2007
    ข้อความ: 32 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 0 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 43 ครั้ง ใน 15 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_836974 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->ยกที่ 3........พระสมเด็จวัดระฆังบรรจุกรุวัดพระแก้ว
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->อ้างอิง ความเห็น คุณมันตรัย
    แย้งมาก็ดีครับ ไม่ว่ากันครับ

    พระเครื่องของวัดพระแก้ววังหลวง ถูกนำออกมาจากวัด
    ตอนปี 2525 บวกลบ 1ปี จำนวนเท่าไหร่ ประมาณมิได้
    เมื่อนำออกมาแล้ว คงมิได้ออกวางตลาดทันที ยังผิดกฎหมายอยู่ครับ

    ผมสะสมครั้งแรกเมื่อประมาณปี 2535 ทั้งวังหลวงวังหน้า ในรูปแบบของการเช่าตามวัดและตามบ้านเท่านั้น ยังไม่มีในท้องตลาด หลายปีต่อมาจึงมีวางตามแผงริมทาง แต่ร้านพระเครื่องที่เป็นห้องแถวก็มีวางครัีบ แต่ผมมิได้สะสมเนื่องจากตั้งราคาไว้แพง พระเนื้อผงเบญจรงค์ ผิวเปลือย อย่างต่ำองค์ละ 1,500 บาท
    ต่อมาก็ทะยอยออกมาอีก 2543-2544 เป็นชุดหุ้มมุกและชุดประดับทอง เพชรพลอย
    และปี 2550 ครับ พระชุดวัดระฆัง ออกมาตาม จตุคามรามเทพ
    มีเฉพาะร้านนะครับ ร้านนี้สงสัยปลอมเก่ง

    ตอนปี 2540 นั้น มิทราบตรียัมปวายอายุเท่าไหร่แล้ว
    (ตรียัมปวาย เขียนคู่มือพระเครื่องตอนนั้นพระกรุวัดพระแก้วยังอยู่ในกรุ) คงไม่มีโอกาสมาสนใจพระเครื่องที่วางอยู่ริมทางเท้าเป็นแน่ ก็เล่นเขียนตำราเอง ย่อมต้องอยู่เหนือเซียนพระ มองอะไรก็ย่อมต้องมองสูงเป็นธรรมดา

    ขนาดคุณมองจากภาพในเน็ต คุณสามารถ ตีเก๊ คุณเก่งมากครับ
    แต่............
    คุณเคยหยิบขึ้นมาส่องหรือไม่? ถ้าไม่เคย อย่าฟันธง
    เคยซื้อมาชำแหละหรือไม่? ถ้าไม่เคย อย่าฟันธง
    ความเห็นว่าของเก๊ เป็นความเห็นของคุณหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ ขอให้เป็นตัวของตัวเอง เล่นหาสะสมใช้สมองของตัวเองนะครับ

    ผมมีหน้าที่เก็บ ผมก็เก็บ ไปไว้ในที่สมควร ยังไงก็ดีกว่าอยู่ริมทางเท้า

    ที่ผมโพส มา 3 กระทู้ แค่ต้องการเผยแพร่ข้อมูลที่มีอยู่ เท่าที่สามารถจะเปิดเผยต่อสาธารณะได้ เนื่องจากบอร์ดนี้มีผู้สนใจพระในกรุวัดพระแก้ว วังหลวงและวังหน้า
    มิได้มีเจตนามาขายของ ขอยืนยันครับ
    เพราะฉะนั้นผมจึงมิใช่คู่แข่งของใคร

    ตำราของ ตรียัมปวาย น่าจะเป็นเล่มเดียว ที่ผม"ไม่อ่าน" นะครับ
    ส่วนหนังสือคู่มือเกี่ยวกับพระสมเด็จ แต่งโดยผู้อื่น ผมมีหลายเล่ม
    คงพอจะประเทืองปัญญาผมได้บ้าง
    ยังไงก็อย่าไล่ผมไป "กินหญ้า" นะครับ


    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- edit note --><HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1>แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ringside : เมื่อวานนี้ เมื่อ 07:24 PM.
    <!-- / edit note --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอเพิ่มเติมสักเล็กน้อยพอ

    พระกรุวัดพระแก้ว แตกกรุออกมาครั้งแรก ปี พ.ศ.2514 ออกมาสารพัดรูปแบบ (ออกมาอย่างไร ผมบอกไม่ได้) จนถึงปี พ.ศ.2525 ณ ปัจจุบัน ปีพ.ศ.2550 เวลาผ่านไป 25 ปี

    ส่วนตรียัมปวาย เขียนเรื่องพระสมเด็จ เขียนเรื่องการลบผง ผมเล่าเรื่องการลบผงอย่างเดียวก็พอ(จะเล่าเพียงเล็กๆน้อยๆ) ผู้ที่ลบผงไม่เป็น จะรู้ได้อย่างไรว่า ต้องลบอย่างไร ผงที่ลบมีกี่ประเภท ถ้าเขียนได้แสดงว่า
    1.นั่งเทียน ใช้วิธีการนึกเอาเอง
    2.ลอกตำราอื่นๆมา (โดยไม่รู้ว่าตำราที่ลอกมานั้น ถูกต้องหรือไม่ หรือมีความน่าเชื่อถือหรือไม่)
    3.ทั้งนั่งเทียน และลอกตำรา

    อย่างนี้ถูกหรือไม่

    ผมเล่าให้ฟังเท่านี้ครับ
    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มีพระสมเด็จบางรุ่น ที่เซียนเมิน แต่ดีกว่าพระสมเด็จของวัดระฆัง,วัดบางขุนพรหม ,วัดไชโย(ไม่มีพระสมเด็จวัดเกษไชโยนะครับ อย่าไปโง่บัด..ตาม.....) อย่างมาก เนื่องจาก องค์ผู้อธิษฐานจิต ,การสร้างพระพิมพ์ ,การอธิษฐานจิตพระพิมพ์ ฯลฯ

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ส่วนวิธีที่ทำให้บรรเทาลง ผมได้ลงไว้ในกระทู้นี้แล้ว ลองหาอ่านกันดูครับ

    .
     
  17. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขนาด"กำปั่น"นี้ไม่ใช่ของวังหน้า ยัง Download กันมากถึง ๕๑ ครั้ง ก็แปลกดี...

    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=alt2>[​IMG] กำปั่น2.jpg
    2.2 KB, ดาวน์โหลด 51 ครั้ง


    </TD><TD class=alt1>ชื่อกระทู้: พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
    ส่งข้อความ: &laquo;ไม่มีข้อมูล&raquo;



    </TD><TD class=alt2>เมื่อวานนี้ 05:12 PM


    </TD><TD class=alt1 style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px" align=middle><INPUT type=checkbox value=yes name=deletebox[244536]></TD></TR><TR><TD class=alt2>[​IMG] กำปั้น1.jpg
    2.2 KB, ดาวน์โหลด 51 ครั้ง


    </TD><TD class=alt1>ชื่อกระทู้: พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
    ส่งข้อความ: &laquo;ไม่มีข้อมูล&raquo;



    </TD><TD class=alt2>เมื่อวานนี้ 05:12 PM


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    จะได้รู้กันซะทีว่า ที่พระพิมพ์ดูเหมือนจัดสร้างใหม่นั้น เนื่องมาจากสาเหตุอะไร ทั้งถ้วย โถ ไหเบญจรงค์ ทั้งกำปั่น ความจริงไม่ได้อยากบอกให้ทราบกันเลย แต่ทนการปรามาสพระวังหน้าไม่ไหวจริงๆ ...
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผู้ที่ดาวโหลดไป คงเข้าใจว่าเป็นกำปั่นมั้งครับ
    สงสัยไปตามหากำปั่นกันแล้วครับคุณเพชร


    .<!-- / message --><!-- sig -->
     
  19. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    หึหึ ลงอะไรไปก็ไปตามหาอย่างนั้น ถ้ายังงั้น สงสัยต้องตามหา"ของ"กันอีกหลายอย่าง ยังมีอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่ยังไม่ได้เวลาเปิดเผยออกไป..
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    อย่าคิดว่าผมพูดเล่นนะครับ กับพระ กับเจ้า กับพระพิมพ์ "ความลับ"บางอย่างที่เก็บงำไว้ต้องมาเผยเอาช่วงนี้ เนื้อหาที่พูดคุยกันนี้เป็นความจริงทุกอย่าง เครื่องถ้วยเบญจรงค์ที่บรรจุพระเครื่องทั้งหลายของวังหน้า จะทนความร้อน และกาลเวลาได้อย่างไรโดยสภาพแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ผมเคยตอบไปนานแล้วว่า เครื่องถ้วยเบญจรงค์ ถูกสร้างขึ้นด้วยเตาเผาที่มีความร้อนมากกว่า ๑,๐๐๐ องศาเซลเซียส ความร้อนบนเพดานโบสถ์ ความร้อนในกรุ มีความร้อนไม่ถึงขนาดนั้น....การปกป้องพระเครื่องด้วยวิธีนี้ จึงทนต่อสภาพอากาศร้อน เย็นเป็นที่สุด...ภูมิปัญญาของวังหน้า ไม่ธรรมดานะท่าน... พระเครื่องสกุลวังหน้าเป็นของวัด และวัง ชาวบ้านทั่วไป ใครจะคาดคิดถึง คำว่า"พิธี" กับ"พระราชพิธี" ก็แตกต่างกันลิบลับ กู่ไม่กลับแล้ว คิดหรือว่าปัจจุบันมี"พระสมเด็จเหนือหัว" พระเครื่องที่ออกแบบเป็นสีประจำวัน แล้วสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ติดต่อการค้ากับจีน เครื่องถ้วยเบญจรงค์ ภูมิความรู้เรื่องนักษัตรของจีน เรื่องสี จะไม่มีในสมัยนั้น ลองไปที่กรมศิลปากรยืมหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า "เครื่องถ้วยเบญจรงค์"มาดูจะทราบพอสังเขป งานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมา ลดราคาจากราคา ๒,๕๐๐ บาท ลงมาเหลือ ๑,๐๐๐ บาท มีหนังสือเล่มนี้ ถึงจะต่อภาพ"พระเครื่องปัญจสิริ"อยู่ ไม่งั้น มันก็จะค้านอยู่นั่น พระเครื่องที่เป็นสีประจำวันไม่ได้เพิ่งออกมาให้ได้ชมกันวันนี้เมื่อไหร่ มีมาตั้งแต่สมัยพ.ศ. ๒๔๐๐ แล้ว พระเครื่องปัญจสิริจึงอยู่เหนือภูมิปัญญาชาวบ้านที่ใครๆจะเคยได้ยินในสมัยนั้น ได้เห็น ได้สัมผัส ของปลอมก็มี แยกให้ออกละกัน ว่าองค์ไหน แท้ หรือ เทียม แล้วแต่วาสนา...
    <!-- / message --><!-- sig -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    แล้วบางเรื่องราว ไม่ได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ก็เนื่องจากว่า ภูมิปัญญาคนโบราณนั้น ทันสมัยและคิดทันคนยุคนี้ ไม่มีลายแทงไว้

    รู้สึกว่าจะเล่ามากเกินไปแล้วสำหรับตัวผม

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...