จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. katoonuk

    katoonuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2013
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +135
    สวัสดีคะพี่ชาวจิตบุญทุกๆท่่าน และเพื่อนๆทุกท่านที่เข้ามาอ่านในกระทู้นี้ ต่อจากความเดิมที่แล้ว ความตั้งใจในการกลับบ้านในครั้งมีตูนมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ ที่จะไปถือศีล8(มากกว่า1000%มันเต็มอยู่ในหัวอก) และแล้วตูนก็แจ้งความประสงค์นี้ให้แม่ตูนทราบและท่านดีใจมากที่ตูนมีความตั้งใจแน่วแน่
    ในวันที่เดินทางไปถึงบ้านที่เมืองไทยนั้นตรงกับวันศุกร์ที่9เช้า ประมาณ8 โมงเช้า และตูนได้แจ้งความประสงค์ให้ทางบ้านทราบว่าจะไปวัดที่สระบุรีเลย เพราะตั้งใจว่าจะถือศีลในช่วงวันแม่พอดีแต่แล้ว แม่กับพี่ชายก็ห้ามไว้ว่า ไม่อยากให้ไปคนเดียวเพราะเป็นห่วงนะคะผู้หญิงคนเดียวไม่มีเพื่อนไป ซึ่งแม่และพี่ชายตั้งใจไว้ว่าจะให้ตูนไปบวชที่พี่ชายไปบวช และเพื่อนๆของพี่ชายจะไปเป็นเพื่อน แต่ต้องเป็นเสาร์ อาทิตย์หน้า เพราะเสาร์อาทิตย์นี้ทุกๆท่านติดธุระเนื่องจากตรงกับวันแม่นะคะ ตูนก็บอกพี่ชายกับแม่ว่าเห็นที่คงรอไม่ได้นะคะ เพราะเวลาตูนนั้นมีน้อยแล้วตูนตั้งใจไว้แล้วว่าจะอยู่ที่วัดให้ได้อย่างน้อย3วันขึ้นไป และตูนขอให้เป็นวันที่13สิงหาคม หลังจากวันแม่นะคะซึ่งทางเพื่อนๆพี่จะให้คำตอบตูน (ถ้าเป็นเมื่อก่อนตูนน้อย นั้นจะไม่ยอมใครๆๆจะต้องเอาให้ได้ดั่งใจ แล้วพาลโกรธแม่ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ตูนจะนิ่งเฉย และไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาให้แม่ต้องเป็นทุกข์กับตัวตูน คือเป็นห่วงและกังวลไปกับตูน) ซึ่งในช่วงที่รอคำตอบจากเพื่อนๆพี่นั้น ตูนน้อยก็ถือโอกาสพาแม่ไปไห้วพ่อฤาษีลิงดำ ที่วัดท่าซุง และถือโอกาสพาแม่ไปเยี่ยมคุณลุงที่จังหวัดนครสรรค์ ในวันที่เดินทางไปนั้นพี่ชายตูนติดธุระไม่สามารถขับรถให้ได้ ตูนน้อยนั้นต้องทำหน้าที่เป็นคนขับรถโดยปริยาย แต่ไม่เป็นไร กำลังใจตูนเต็ม1000% วันที่เดินทางฝนตกตั้งแต่ระยองไปจนถึงกรุงเทพ ซึ่งการขับรถนั้นลำบากมากๆและที่สำคัญรถนั้นตูนน้อยยังไม่ชินกับรถเท่าไหร พี่ๆชาวจิตบุญคะเชื่อไหมคะว่าในระหว่างที่ตูนขับรถนั้นปากตูนก็คุยไปกับแม่ตูนตลอด แต่จิตของตูนนั้นเห็นพ่อฤาษีนั้นนั่งยิ้มให้กับตูนตลอดเวลา พร้อมทั้งท่านพ่อก็นั่งอยู่ที่อกของตูนตลอด เหมือนประดุจว่าช่วยคุ้มครองตูนนะคะ ในระหว่างที่จิตทรงฌาณอยู่นั้น ตูนน้อยได้รู้ถึงจิตของตัวเองดีว่านะตอนนี้ตูนกำลังมีความสุขอย่างที่ไม่อาจจะอธิบายได้ เหมือนประดุจอยู่ในอีกโลกหนึ่งนะคะ ปิติมากๆที่ได้พบให้ท่านพ่อ แต่แล้วน้องสิตของตูนน้อยก็ได้เตือนน้องจิตนั้นให้หันกลับมาดูตัวเองก่อนนะ อย่าหลงไหลไปกับความสุขนั้นๆ รู้ก็รู้ได้อยู่ในจิตของเราว่าท่านพ่อนั้นรักลูกๆทุกๆคน แต่ปัจจุบันเจ้ากำลังขับรถอยู่นะ เท้าเจ้านั้นก็เยียบคันเร่งไป น้องจิตกับน้องสิตก็ช่วยๆ กันดูออกไปข้างหน้า และระวังภัยตลอดเวลาทุกๆ ลมเข้าออก และแล้วความคิดหนึ่งก็บังเกิดได้ว่า นี่หรือเปล่าหนอที่ท่านพี่ภูสอนเราอยู่เสมอและรวมถึงคุณครูเกษบอกเราเสมอว่า เห็นก็สักว่าเห็นรู้ก็สักว่ารู้แล้วค่อยๆว่าตัวเห็นตัวรู้นั้นซะ ตั้งแต่นั้นมาตูนก็ขับรถอย่างมีสติตลอดเวลา พร้อมจิตที่นิ่งอย่างมุ่งมั่นเพื่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
    ในทริปนี้ตูนและครอบครัวมีความสุขมากๆเลยคะได้มากราบท่านและได้ทำบุญไปพร้อมๆกับครอบครัว และที่สำคัญที่สุดได้ทำทานให้กับแม่ซึ่งท่านอยากพบพี่ชายมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาสมาเยี่ยมท่าน สุดท้ายนี้ตูนขอจบเรื่องเล่าเท่านี้ก่อนนะคะ ตอนหน้าตูนจะกับมาเล่าเรื่องที่ตูนไปถือศีลมาให้ฟังนะคะ ว่าสุดท้ายตูนได้ไปหรือเปล่า? และไปที่ไหน? กับใคร? ตามไปดูกันนะคะ
    ปล. ในหัวข้อข้างบนนี้ ถ้าตูนน้อยนั้นได้เดินมรรคผิดพลาดประการใด ตูนน้อยขอให้พี่ๆทุกท่านบอกได้นะคะ เพราะอย่างน้อยตูนน้อยจะได้ไปหลงไปนะคะ และขอขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านในกระทู้นะคะ ตูนน้อยพูดได้เลยว่าทุกๆวันนี้ชีวิตตูนนั้นเปลี่ยนไปมากๆๆๆๆๆๆเลยคะ
     
  2. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]

    ที่มา fb สาธุค่ะ
     
  3. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ไม่ว่าสัตว์หรือคนเกิดมาแล้วก็ต้องการอากาศหายใจ ถ้าไม่มีอากาศหายใจก็คือ"ตาย"นั้นเอง และก่อนตายทุกๆคนก็คือการหายใจ เฮือกสุดท้าย แล้วคําว่ากลับมาเป็นดังเดิมนั้นไม่มี ก็มีแต่ว่าจิตใครจะไปแบบไหนนั้นก็อยู่ที"กรรม"นําพา และการที่ทุกๆคนได้เกิดมาเป็นมนุษย์ คือ สัตว์อันประเสริฐนั้น เป็นของยากแท้ จึงต้องหันมา ทําความดีกันไว้ ก่อนตายนั้นเอง ถ้าทําความดีแล้วก็เหมือนเราออกจากที่อึดอัดไปสู่ที่ปลอดโปร่งโล่งใจนั้นเอง...เพราะการทําความดี สะสมบุญเปรียบเหมือนเราได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์นั้นเอง ยิ่งทําไปนานเท่าไหร่ก็เหมือนเราร่างกายได้รับแต่ความสุขความเจริญ เพราะไม่มีอากาศเสียนั้นเอง...ส่วนผู้ไม่ได้มาปฏิบัติก็เปรียบเหมือนเรายืนสูดดมเอาแต่ อากาศเสียมลภาวเสีย หรือสารพิษนั้นเอง นานๆเข้าร่างกายก็มีแต่จะอ่อนแอ่ และเป็นโรคร้ายที่ทําลายทั้งกายและใจของเราเป็นแน่นอน นั้นคือเปรียบอารมณ์ที่เป็นพิษ มีแต่จะก่อโทษให้เราๆท่านๆแน่นอน ผู้ฉลาดก็ต้องมาปฏิบัติธรรม หรือมายืนอยู่ในอากาศที่ดี ที่บริสุทธิ์นั้นเอง...สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2013
  4. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]

    ไม่มีอะไรให้ต้องเอา ไม่มีอะไรให้ต้องยึด สุดท้ายตัวเราเล่าก็เป็นดังเช่นกองขยะกองหนึ่ง ที่ไม่มีใครเขาต้องการ จะคงเหลือก็เพียงความปราถนาดีที่มีให้แก่กัน.

    ที่มา fb สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2013
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พี่ภูขอโมทนาบุญกับเธอด้วย ที่ได้จิตเดิมแท้กลับคืนมา สว่างไสวดีไหมเล่า เท่ไหมเล่า
    จิตเสมือนรถป้ายแดง ที่เอาแต่วิ่งลุยน้ำ ลุยโคลน ลุยแต่สิ่งสกปรก โสโครกหรือหมกหมมมานานแสนนาน อะไรประมาณ และก็ถึงเวลาที่จะขจัด ถูกชำระล้างเสียที

    พี่ภูอยากให้คนหันหน้ามาปฎิบัติธรรมกันเยอะๆ และก็ได้ผลกันเยอะๆ
    เดินมรรคย่อมได้ผล เสมือนเราปลูกผลไม้ ถ้าปลูกส้มย่อมได้ผลส้ม ฉันใดก็ฉันนั้น เป็นธรรมดา
    ใครอยากพ้นทุกข์ หรือหลุดพ้น ก็ต้องหมั่นบำเพ็ญตบะบารมีของตนเอง

    อยากประกาศให้คนอื่น ชาติอื่นรู้ว่า พระธรรมหรือคำสอนของพระองค์นั้น ไม่เคยล้าสมัย
    ยังคงใช้ได้ดีอยู่ทุกยุค ทุกสมัย ซึ่งต่างกับนวัตกรรม โลกวิทย์ ความเจริญหรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆก็ยังล้าสมัยอยู่ดี พวกเราก็อย่าไปตามให้มันมากนัก ถึงตามก็ตามไม่ทันอยู่ดี เสียเวลาเปล่า เพราะเราต้องดิ้นรนหาเงินมาตอบสนองกิเลสตัณหาของตน อย่าไปลำบากกับมันมากนักเลย ทุกวันนี้ ก็ลองดูสิว่า เวลาเป็นส่วนตัว มีกันบ้างไหม๊
    ก้มหน้าทำงานหาแต่เงินทองนอกกาย อริยทรัพย์ไม่รู้จะสร้างกัน หาแต่ทรัพย์ภายนอกกัน หารู้ไม่ว่า ที่หามาทั้งหมดชีวิตนั้น ไม่มีอะไรไปกับเราเลยหลังโลกแห่งความตาย ตายเมื่อไหร่ก้หยุดเมื่อนั้น จบกัน..
    ก้มหน้าทำงานเลี้ยงตนเอง เลี้ยงครอบครัวไม่เท่าไหร่ แต่ก้มหน้าเล่นคอม เล่นมือถือ วันๆนึงหมดเวลากับพวกนี้เท่าใด กี่ช.ม.เข้าไปแล้ว ทุกวันนี้ข้าพเจ้า ไม่อยากพกโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องประดับภายนอก เมื่อจิตคนเราไม่มีกิเลสหรือมีน้อย ใจก็หมดความอยากได้ อยากมี อยากเป็น มันก็จะหมดความลำบากและดิ้นรนไปโดยปริยาย หรือหมดความหมาย ดูๆไปก็ไม่ต่างกับคนขี้เกียจสักเท่าไหร่ คนอัจฉริยะก็ไม่ต่างกับคนบ้า พระอรหันต์ก็เช่นกัน ต่างกันตรงที่ภายในเท่านั้นคือจิต

    ว่าจะคอมเม้นต์น้องตูนซะหน่อย แต่ทำไม๊ มาพร่ำเรื่องอื่นได้

    ขอแก้คำผิดของน้องตูนเขาสักหน่อยว่า... น้องจิตกับน้องสิต...เป็นน้องจิตกับน้องสติ เผอิญสระอิคลอดก่อน ต.เต่า..ฮ่าๆๆ

    นักภาวนา ขาดคุณสมบัตินี้ไม่เลยก็คือ สติปัญญา (สติมาปัญญาเกิด)
    โดยเฉพาะ สติกับจิต อย่าได้ห่างกันเด็ดขาด ไม่เชื่อก็ลองดูนะ ลองทำสติห่างจิตกันดู
    ถ้าห่างเมื่อไหร่ กิเลสก็จะคาบจิตไปแด๊กกก เมื่อนั้น เพราะปลายทางนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ไง๊ พูดภาษาบ้านๆนี่แหล่ะ ฟังดูง่ายดี ไม่ต้องแปล จิตย่อมเข้าใจจิต ภาษาสมมุติใครจะพูดอย่างไรก้ได้ ตามใจ

    วันหน้าค่อยมาคอมเมนต์กันใหม่ เพราะวันนี้พูดมากไปนิด สำหรับข้าพเจ้า ด่าได้ ตำหนิได้ ชมได้ ตามสบายเลยครับ
    ขนาดอยู่เฉยๆ ยังมีคนพูดถึง ดีเหมือนกัน ที่ยังมีคนเขาคิดถึง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 กันยายน 2013
  6. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    การปฏิบัติไม่ว่ากรรมฐานกองใดทั้งหมด อุปสรรคทางจิตย่อมปรากฏมีขึ้นเสมอ
    และอุปสรรคใด ๆ เกิดจากอารมณ์ก็ดี หรือว่าเกิดจากทางกายก็ดี
    ถ้าเราไม่ยอมแพ้เสียอย่างเดียว เราก็ชนะ อุปสรรคต่าง ๆ
    มันจะมีขึ้นได้มันก็ต้องสลายตัวได้เหมือนกัน ต้องถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
    ทุกอย่างถ้าเราเอาจิตเข้าไปจับธรรมดาเสียอย่างเดียว
    จิตมันก็มีความสุข


    ธรรมโอวาทหลวงพ่อพระราชพรหมยาน


    Cr..FB Bhuddha Sattha
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุกับธรรมาทานนี้ด้วยครับ ดีมากเลย ธรรมะเขาดีจริงๆ คนให้ธรรมาทานก็ดี ผู้อ่านหรือผู้รับก็มีความสุขใจ
    คนให้ธรรมาทานก็ยิ่งสุขใจเป็นสองเด้ง รับกันไปทั่วหน้า โดนัท เอ๊ย โบนัส

    นักภาวนา ถ้าจิตขาดคำว่าเมตตา เท่ากับให้อภัย หรืออโหสิกรรมไม่ได้หรอก
    แต่ถ้าทำไม่ได้ เราก็จะรู้สึกว่า ไม่เจริญในธรรมเท่าที่ควร เพราะจิตติดขัดตรงนี้
    การปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นนั้น จิตต้องปล่อยวาง จิตไม่วางเราก็จะรู้สึกหนักหรือทุกข์ใจ
    เมื่อจิตวางเมื่อไหร่ เราก็จะรู้สึกว่า เบาโล่ง+สบาย เมื่อนั้น

    วกกลับมาพูดใหม่อีกครั้งนึงว่า..ถ้าให้อภัยไม่ได้ นั่นแสดงว่าจิตเราไม่มีพรหมวิหาร
    กล่าวโดยตรงก็คือ จิตไม่ทรงฌานหรือสมาธิ นั่นเอง ไม่มีอะไรมาก
     
  8. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ขอส่งเพลงนี้เป็นพลัง.... เพื่อให้รู้ว่าเราจะชนะตัวเองได้ไหม


    ขอมอบบทเพลงนี้...ให้ทุกท่านเพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติธรรม
    เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายสูงสุด หลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสาร นั่นคือ พระนิพพาน ...
    โมทนาสาธุ กับทุกท่านค่ะ

    <iframe src="https://www.facebook.com/video/embed?video_id=485641201512308" width="1280" height="720" frameborder="0"></iframe>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2013
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุ จิตผู้แรงดี ธรรมะมันผุดเยอะหรือไง ไม่ว่ากันดอก เพราะจิตของผู้ปฎิบัติมักจะพบเจอ หรือเห็น เป็นเรื่องธรรมดาของนักภาวนา
    จิตใสย่อมมองเห็นสิ่งต่างๆง่าย เสมือนลำธารน้ำใสก็ย่อมมองเห็นถึงก้นลำธาร เป็นธรรมดา
    แต่ใครรู้แล้วหรือว่าจะเก็บไว้กินแต่เพียงผู้เดียวก้ไม่ผิด แต่ถ้ามันแน่นอก เดี๋ยวจะตายก่อนก็ให้ระบายออกมา เพราะถ้าเลยเขตนี้ไปแล้ว เริ่มเงียบเป็นเป่าสากแร๊ะ คอยดู
    นานๆสักทีนึง เผื่อจะพูดออกมาได้ แต่ก็นะ จิตใครก็จิตมันต่างกันไป ไม่ค่อยจะเหมือนกันนักหรอก
    แต่ไม่เป็น นั่นมิใช่สาระ สารธรรมมันอยู่ที่จิตถึงธรรม สัมผัสพระรัตนตรัย หรือสัมผัสอารมณ์ของพระพุทธคุณกันได้ไหม

    การปฎิบัติเสมือนน้ำหลายสายที่ไหลมารวมกัน แล้วก็กลายเป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน แยกไม่ได้แล้ว เมื่อน้ำหลายสายไหลมารวมกัน
    ธรรมะก็เช่นเดียวกัน มุ่งเดินมรรค(ปฎิบัติ)ไป เวลาจิตมันถึงธรรมก็ตัวเดียวกันหมด เพราะคำว่าธรรมนั้นมีสิ่งเดียว มีอย่างเดียว ไม่มีสอง ไม่เป็นรองใคร
    เพราะมีอยู่แล้วธรรมชาติ ว่าแต่ว่า ใครจะพบเจอก่อนกันเท่านั้นเอง มาันะ มาปฎิบัติธรรม มาปฎิบัติตามพระพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้ากัน
    ท่านพากันออกจากทุกข์ พากันออกวัฎฎสงสารของตนเอง มิใช่ออกจากวัฎฎสงสารคนอื่น

    ธรรมะคือ ธรรมชาติ และธรรมชาติแห่งจิตนั้นก็คือ ธรรมะของตนเอง...สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 กันยายน 2013
  10. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ขอย้ำเตือนผู้เจริญกรรมฐานทั้งหลาย ผู้มีสมาธิเป็นเลิศโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพราะผู้เขียนก็เป็นแค่คนธรรมดา ปัญญาไม่เท่าหางอึ้ง ขอทุกท่าน ติได้ แนะนำได้ตลอดเวลาค่ะ การทำสมาธิของผู้ปฏิบัติที่ถูกต้องคือต้องไม่อยากรู้ ไม่อยากเห็น เพราะจะทำให้เสียเวลาการเดินมรรคและจะทำให้จิตสงบยาก เพราะติดตัวอยาก เราทำสมาธิเพื่อให้จิตเรานิ่งเพื่อมาทำลายล้างกิเลสของตนเอง โดยเฉพาะกิเลสระเอียดนี้ขอเรียกว่าตัวร้ายกาจมาก กว่าเราจะค้นพบมันได้มันหลอกหลอนเรามาซะงอมเลยหลายภพหลายชาติโดนหลอกมาตลอดเลยละคือตัวผู้รู้และผู้ถูกรู้นี่ไงเล่าเปรียบได้ว่าเราเป็นขอนไม้และกิเลสคือขวาน ถ้าเราไม่มีสติปัญญามากพอมันก็สับและทำลายเราอยู่ตลอดเวลาคือความรู้สึกนึกคิดที่เราเป็นอยู่สิ่งที่เราไปรับรูหรือไปเห็นมาเรีียกว่าตัวธรรมรมณ์หรือเรียกอีอย่างหนึ่งว่า สังขารขันธ์หรือ วิญญาณขันธ์นี่แหละตัวร้ายกาจม๊ากมากถามว่าเราหามันเจอได้อย่างไรละ ก็ด้วยการฝึกสติให้เป็นสติสัมปชัญญะ มีความเพียรปฏิบัติให้มาก นึกถึงพระคุณงามความดี พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์สาวก อยู่ตลอดเวลาแล้วเราจะรู้ว่าเรามีพลังแล้วกำลังใจมาช่วยในการปฏิบัติของเราจริงๆนะไม่ได้ให้เชื่อแต่ให้ท่านลองนำไปทำดูนะค่ะ พอเราฝึกสติให้เป็นสติสัมปชัญญะและสติกับจิตรวมเป็นหนึ่งเดียวกันเดี๋ยวจากมีปัญญาธรรมดาก็จะเปลี่ยนเป็นปัญญาญาณ ถึงเวลานี้แล้วตัวเราที่เป็นขอนไม้ให้ขวานหรือกิเลสมันสับอยู่ตลอดเวลาผู้ที่มีปัญญาญาณยั่งรู้แล้วก็จะเปลี่ยนเป็นขอนไม้ที่มีแก่นทันทีขวานที่ฟันลงมาก็จะบิ่น อะฮ่าคราวนี้เราก็นิ่งมองตัวรู้หรือตัวผู้รู้อยู่ด้วยใจเป็นกลางไม่มีความเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย นิ่งดูอยู่เฉยๆด้วยใจเป็นกลาง หมั่นเพียรฝึกสมาธิ ขอบอกว่าเมื่อสติกับจิตของเรารวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เราจะเข้าสมาธิตอนไหนก็ได้ทำได้ทุกอริยบถที่เราอยากให้เป็นยิ่งเราลืมตานี่แหละประหารกิเลสได้ดีมากเลย เดี๋ยวเราจะเห็นตัวผู้รู้และตัวรู้โผล่ขึ้นมาให้เราเห็นแล้วเราจะรู้การคุดคุ้ยความเลวของเราที่ี่กิเลสตัวละเอียดมันเกาะอยู่เนี่ยมีมากมายขนาดไหนมัะออกมาเป็นขบวนเลยละให้เราได้สับมันทิ้งด้วยมีดคือปัญญาที่เรารับไว้คมดีแล้วและพร้อมที่จะใช้งานได้ตลอดเวลา เพราะเมื่อก่อนมีดเรามันทื่อหรือจิตเราไม่มีปัญญาจึงรู้ไม่เท่าทันอารมณ์และความคิดและสิ่งที่เข้ามากระทบแต่ถ้าเมื่อไรที่เรามีปัญญาญาณเจอต่อมธรรมมะในจิตของตนเองแล้วนะเราก็จะรู้เท่าทันกิเลสเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่มีปัญญาหรือปัญญายังเกิดไม่มากจิตนึกคิดอะไรในสมาธิก็จะ เออ อ้อ อ้าว อันนี้ขอบอกว่ายังใช้ไม่ได้เพราะเรายังตามอยู่อย่างผู้หลง และงมงาย เปรียบได้เหมือนผู้เห็นนิมิตหรือผู้มี อภิญญา ขอให้ทุกท่านใช้ สติกรองนอก ปัญญากรองในอย่าให้จิตที่ปรุงแต่งกลับมาหลอกตัวเองนะจ้ะแต่ถ้าเราตามรู้ตามทันเราจะมีแค่คำว่า อะฮ่า มาอีกแล้วเหรอ กิเลสมันหยุดทันทีเลยเหมือนมันล่วงลงไปในพริบตาเดียว คือเหตุเกิด ผลก็ดับทันที ไม่ต้องไปตามหากันอีกแล้วคำตอบนะ แต่เราอย่าชล่าใจเด็จขาดอย่าเผลอเชียวเสร็จกิเลสเหมือนเดิมเพราะเรายังมีขันธ์5อยู่โปรดอย่าเผลอต้องฝึกสติๆๆๆๆๆๆๆอยู่ตลอดเวลา สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดก็เสร็จกิเลส ขอเปรียบเทียบให้ฟังว่าท่านลองนึกถึงน้ำบ่อทรายถ้าเรายิ่งขุดลึกเท่าไรเราย่อมได้น้ำใสสะอาดมาดื่มกิน ก็เหมือนการปฏิบัติธรรมเช่นกันถ้าเราหมั่นเพียรปฏิบัติให้มากแล้วเราย่อมเห็นผลการปฏิบัติของตนเพิ่มขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆพยายามอยู่กับกายใจตนเองให้มากๆเพ่งเข้าไปดูจิตของตนให้เห็นแก่นแท้จริงๆของจิตให้ได้แล้วเราจะรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างก็แค่เนี่ยจริงๆคือจิตยอมรับแล้วถึงกฏของธรรมดา กฏธรรมชาติ กฏของความเป็นจริง แล้วเราจะมีความเงียบสงบ ร่มเย็น อยู่ภายในจิตตนเอง และจะไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป ขออนุโมทนาสาธุกับผู้ที่ปฏิบัติปฏิบัติชอบขอให้มีธรรมมะบริสุทธิ์ผุดขึ้นมาสอนในจิตของทุกท่านเทอญ สาธุๆๆๆ
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุด้วยจ้า ขอบใจจ้าที่ออกมาให้ธรรมาทาน
    แหม๊ มาสะดุดตรงคำว่า อ่ะฮ่า นี่แหล่ะ รู้สึกว่ามันเท่จัง!
    แต่รู้สึกว่า การจราจรบ้านเธอจะติดขัดมากนะ เว้นวรรคบ้างนะจ๊ะๆ พิมพ์ตกหล่นเหมือนพี่ภูเลย อันนี้ไม่ต้องตามพี่ก็ได้นะ ฮ่าๆ

    ช่วยกันนำพาซึ่งการปฎิบัติธรรม ช่วยให้มีกำลังใจกันและกัน พากันออกจากทุกข์ พากันพัฒนาจิตหรือยกจิตใจให้สูงขึ้นยิ่งๆไป พากันสร้างสติปัญญา เพราะมีอยู่สิ่งเดียวเท่านั้นที่จะนำพาให้คนเราออกจากทุกข์ของตนเองได้ นอกนั้นไม่มี นอกจากการภาวนา แต่ต้องลงมือปฎิบัติเอง เห็นเอง รู้เอง และท้ายที่สุดก็ชอบเอง เพราะเดินมรรคหรือปฎิบัติแล้วย่อมได้ผลตามมานั่นเอง เสมือนพ่อค้าแม่ค้าขายของ ถ้าขายแล้วมีกำไรมาก เป็นกอบ เป็นกำ ก็อยากจะค้าขายต่อไป แต่ถ้าขายขาดทุน กำลังก็ตก อาจเลิกขายไปเลย อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา

    ขอให้ดูพระสงฆ์หรือสาวกของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ท่านมีกำลังใจสูง การเดินมรรคย่อมได้ผลดี เมื่อได้ผลก็ย่อมได้นิพพาน เป็นธรรมดา จริงไหม๊ แต่ถ้าเดินมรรคไม่เห็นผล นิพพานยิ่งไกลเข้าไปใหญ่ มันก็เป็นจริงตามที่คนส่วนใหญ่เขาพูดกัน เพราะยังไม่ได้ลงมือปฎิบัติเลย ศีลก็ไม่สนใจ อย่าเพิ่งไปพูดถึงเรื่องนิพพานกับคนที่กำลังใจไม่ถึงหรือยังไม่ลงมือปฎิบัติ แค่มรรคผลตนเองหาให้เจอกันก่อนเห่อ หรือหนีนรก หนีอบายภูมิกันให้ได้ก่อนเห่อ จริงไหม

    อันนี้พูดกันเฉยๆนะ มิได้ตำหนิผู้ที่ยังไม่ยอมลงมือปฎิบัติ หรือปฎิบัติแล้ว ผลยังไม่ค่อยดก เพราะรดน้ำอย่างเดียว ไม่คอยหมั่นพรวนดิน+ใส่ปุ๋ยเป็นประจำ ผลที่ได้ก็ครึ่งๆกลางๆน่ะจิ เสมือนผู้ปฎิบัติ ปฎิบัติลูกเดียวแต่ขาดความต่อเนื่อง อาการติดๆดับจึงบังเกิดขึ้น ผลก็คือเรารู้บ้างไม่รู้บ้าง ทำใจยอมได้บางไม่ได้บ้าง และก็อยู่อย่างนี้ แล้วมันไม่ให้เราเจริญในธรรมเท่าที่ควรได้อย่างไร ไม่สนใจสติกับจิตตน แล้วจะตามหาตัวปัญญาของตนได้ที่ไหน ไม่มีทาง หากยังทำกันเล่นๆ ทำไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ตายกันพอดี คนที่พูดแบบนั้นคือคนที่มีกำลังน้อยเกินไป คำพูดแบบนั้นเอาไว้ใช้กับลูกศิษย์ของตนเองก็แล้วกัน โดยเฉพาะผู้เป็นครูธรรมะยิ่งต้องมีกำลังใจมากกว่าศิษย์ มีสติปัญญาเข้มกว่าสิ แต่ถ้าไม่เข้ม เดี๋ยวก็ตกม้าตายกันพอดี เพราะสมัยนี้ลูกศิษย์เก่งๆทั้งนั้น ภูมิธรรม ภูมิปัญญาสูงๆทั้งนั้น นี่ยังไม่ได้นับรวมของเก่าของเขานะ แล้วครูจะมีปัญญาที่ไหนไปตอบธรรมะกับศิษย์

    ถ้าเราตายไปแล้วถ้ามีโอกาสกลับมาเกิดเป็นคนอีกชาติก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วจะทำยังไง ปล่อยมันไปตามยถากรรมตนเองใช่ไหม ก็ตามใจแล้ว จิตใครจิตมันดูแลกันแลเด้อ บุญใครบุญมันขยันสร้างกันเองเด้อ

    นรก สวรรค์ พรหม นิพพานนั้น ไม่มีผู้ใดทำแทนกันได้ มองแต่ละชื่อให้ดี ปักหมุดให้ดี แล้วทำให้ได้ไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง อย่าปักหมุดเฉย ต้องทำให้ได้ ไปให้ถึง โดยการลงมือทำให้จริงๆจังๆ แล้วก็จะได้ผลตามนั้น
     
  12. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    -นักปฏิบัติต้องมีการเสียสละในการที่จะบำเพ็ญเพียร...

    ...ที่เราจะได้มาซึ่งธรรมะ...

    ...มันจะเสียทรัพย์อย่างใดก็ยอม...ยอมแม้แต่ชีวิตเพื่อจะได้ธรรมะ...

    "ความเสียสละเป็นอุดมการณ์ของนักปฏิบัติ"

    ...ถ้าไม่มีความเสียสละแล้ว ก็ไม่มีหวังที่จะเข้าถึงธรรมะได้...

    ...แม้แต่พระพุทธองค์ยอมเสียสละ...

    ...จนเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก พระองค์ก็ยอมเสียสละ...

    -ฉนั้นความเสียสละ จึงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของนักปฏิบัติวิปัสสนา...ประการหนึ่ง

    ...ขอให้นักปฏิบัติทั้งหลายจงใส่ใจ และปฏิบัติต่อไป...

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง จ.เชียงใหม่...

    ...กราบนมัสการหลวงปู่ทอง และกราบน้อมรับพระธรรมคำสอนของหลวงปู่เจ้าค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2013
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "ความเป็นพระอรหันต์ต้องพากเพียรตลอดเวลา"

    พระอรหันต์ท่านบำเพ็ญเพียรเพื่อความเป็นอรหันต์นะ ท่านมีความเพียีแก่กล้า

    สามารถขนาดไหน ท่านจึงเอื้อมถึงภูมินั้นได้ ทั้งนี้ท่านเป็นนักรบจริงๆ เหนือคนธรรมดา

    อยู่มากนะ ต่างองค์ก็มีความเพียรสมเหตุสมผล ความเพียรมีมาก กิเลสก็ตายไปเรื่อยๆ

    ตามทางจงกรม...สถานที่นั่งนอนมีแต่ป่าช้าของกิเลส ที่ท่านฟาดฟันหั่นแหลกกันอยู่เป็น

    ลำดับไม่ลดละความเพียร...เพราะสติอันเป็นความพากเพียรนี้ทำงานอยู่ตลอดเวลา ยืนอยู่

    ท่านก็ทำ เดินอยู่ท่านก็ทำ นั่งอยู่ท่านก็ทำ เข้าไปเดินจงกรมท่านก็ฆ่ากิเลส นอนอยู่ท่านก็

    ฆ่ากิเลส...เว้นแต่เวลาหลับเท่านั้น แม้แต่เวลาขบฉันอยู่ ท่านก็ฆ่ากิเลสด้วยสติปัญญา

    ซึ่งทำงานอยู่ตลอดเวลา...ในอิริยาบถของนักรบเพื่อฆ่าแต่กิเลสอาสวะทั้งนั้น ไม่ได้นั่ง

    สั่งสมกิเลส แม้ขณะกำลังเดินจงกรมอยู่ ก็สั่งสมกิเลสเหมือนอย่างพวกเรา...

    ...เพราะความไม่มีสติมันผิดกันอย่างนี้...

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี.

    ...น้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะกราบ กราบ กราบ.........
     
  14. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ขอโทษๆๆๆนะที่ต้องอ่านทนหรือทนอ่าน ก็การพัฒนาทางโลก แห่งความไม่เที่ยงมันได้แค่เนี๊ยจริงๆ ต้องขอขอบคุณในคอมเม้นต์ของพี่ภูเป็นอย่างยิ่งจ้า ครั้งหน้าจะเว้นวรรคให้อ่านง่ายขึ้นนะจ๊ะ.......rat_wting
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พระผู้มีเมตตาท่วมท้นพระหฤทัย​


    O พระผู้มีเมตตาแผ่ไพศาลทั่วทุกสารทิศ

    อันความเมตตามีอยู่ในผุ้ใด หรือผู้ใดเป็นผู้มีเมตตา เมตตานั้นจะไม่มีขอบเขตเฉพาะในผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของตนเท่านั้น แม้ผู้อื่นเมตตาแท้จริงก็จะแผ่ไปครอบคลุมถึงได้ ดังที่น่าจะมีเมตตาที่แท้จริงเกิดขึ้นกับคนเป็นจำนวนมาก เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่จิตใจตนเอง

    O เมื่อเมตตาเกิดขึ้น กรุณาจะตามมาพร้อมกัน

    ใน กรณีที่ได้รู้ได้เห็นเรื่องราวของผู้ควรได้รับความเมตตากรุณาทั้งหลาย เช่นเรื่องของเด็กขาดอาหาร ที่มีร่างกายซูบผอมเห็นแต่กระดูก ความเมตตาที่มีอยู่แม้เพียงในบรรดาผู้เป็นที่รักที่ชอบพอ ก็ขยายออกไปได้ถึงเด็กผู้เคราะห์ร้ายน่าเมตตาเหล่านั้น นั่นเพราะเมตตามีอยู่จริงในจิตใจ อาจจะอย่างไม่กว้างขวางนัก

    ในระยะ เวลาหนึ่ง หรือจะอาจจะในเมื่อยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้ความเมตตาแผ่ออกไป เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นให้เมตตากระเทือน เมตตาก็จะแผ่ออกไปทันทีอย่างอัตโนมัติ มีผลให้กรุณาตามมาพร้อมกัน กรุณาว่าจะช่วยอย่างไรดีหนอ จะช่วยอย่างไรดี

    สำหรับ ผู้ไม่มีเมตตาอยู่ในจิตใจ ย่อมไม่หวั่นไหวแม้ได้รู้ได้เห็นเรื่องราวของผู้ควรได้รับความเมตตากรุณา แม้นักหนามากมายเพียงไร นี้ก็น่าจะนำมาส่องให้เห็นจิตใจคนได้ ว่ามีความเมตตาเพียงไรหรือไม่

    O พระเมตตาของพระพุทธองค์ ลึกซึ้งจริงพระหฤทัย

    เมตตาที่แท้จริงในใจนั้นสั่งสมให้มากขึ้นได้ แผ่ขยายให้กว้างใหญ่ได้ จนถึงไพศาลไปทั้งโลกได้

    พระ พุทธองค์ทรงเป็นพยานยืนยันความจริงนี้แล้ว ทรงอบรมพระเมตตามาหลายกัปปัลป์ จนได้ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า เป็นความจริงที่พึงยอมรับ คือ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ได้เป็นสมเด็จพระบรมศาสดา ตั้งพระพุทธศาสนาขึ้นได้ เพราะพระเมตตาพระกรุณาเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดจริงๆ

    พระเมตตา กรุณาของพระพุทธองค์ เป็นความรู้สึกลึกซึ้งจริงพระหฤทัย ไม่มีอะไรอื่นอาจลบล้างให้บางเบาได้ ความเหนื่อยยากลำบากตรากตรำพระวรกาย แม้มากมายหนักหนาก็ไม่ทำให้ทรงเปลี่ยนพระหฤทัยกลับคืนสู่ความพรั่งพร้อมที่ รออยู่

    ทรงมุ่งมั่นแสวงหาทางช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ โดยมิทรงพ่ายแพ้ให้แก่อำนาจเย้ายวนใดๆ ทั้งสิ้น พระมหากรุณาชนะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง

    O เหตุแห่งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

    พระ มหากรุณาของพระพุทธเจ้า เป็นเหตุแห่งความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่สุด เหนือความสำเร็จใดๆ ที่เคยมีมา ไม่ว่าความสำเร็จของใครทั้งนั้น กรุณาของผู้ใดก็ตามย่อมให้ความสำเร็จได้เช่นเดียวกัน ตามควรแก่ความกรุณานั้นๆ

    จึงพึงเห็นความสำคัญของความกรุณาให้ยิ่ง ปลูกฝังให้มั่นคงในจิตใจตน ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ว่าความเมตตากรุณามิได้ให้ประโยชน์แก่ผู้อื่นเท่านั้น แต่จะให้ประโยชน์แก่ตนด้วย และตนจะได้รับก่อนใครทั้งหมด

    พระมหากรุณา ของพระพุทธเจ้าไม่เคยขาดสาย ไม่เคยว่างเว้น พระมหากรุณานำให้เสด็จออกทรงพระผนวช และเมื่อทรงพระผนวชแล้ว ก็ทรงยอมทุกข์ยากบากบั่นจนถึงที่สุดทุกวิถีทาง ทรงทำทุกอย่างแม้แทบจะทรงรักษาพระชนม์ชีพไว้ไม่ได้ เพียงด้วยทรงหวังว่าแต่ละวิธีนั้น อาจจะเป็นทางนำไปสู่ความพ้นทุกข์ของสัตว์โลก

    พระมหากรุณาบัญชาพระหฤทัยอยู่ทุกเวลา ให้ทรงพากเพีนรทำทุกวิถีทาง ที่ทรงหวังว่าจะเป็นเหตุให้ทรงยังความไม่มีทุกข์ให้เกิดได้

    O พระผู้มีเมตตาท่วมท้นพระหฤทัย

    พระ มหากรุณาของพระพุทธเจ้า ปรากฏชัดเจนจนบังเกิดเป็นผลสำเร็จยิ่งใหญ่ เริ่มด้วยที่ทรงเห็น คือ ทรงเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ตามมาด้วยทรงคิดอันประกอบด้วยพระเมตตา คือ ทรงคิดถึงสัตว์โลกทั้งปวงที่มิได้ทอดพระเนตรเห็น

    แต่ด้วยพระเมตตาทรง คิดถึงได้ ทรงคิดถึงได้ดังทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ทรมานนั้นจริง ดังมาปรากฏเบื้องพระพักตร์เช่นเดียวกับคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ที่ได้ทอดพระเนตรนั้น ที่เกิดความคิดอันประกอบพร้อมด้วยพระเมตตา คือ พระมหากรุณาทรงปรารถนายิ่งนักที่จะช่วยเขาเหล่านั้น จะต้องทรงช่วยให้ได้ ทรงมุ่งมั่นเช่นนี้

    ผู้มีปัญญา มีจิตใจละเอียดอ่อน เมื่อมาระลึกถึงพระพุทธองค์ตามความเห็นจริง เห็นถนัดชัดเจนยิ่งพระหฤทัยอันเต็มเปี่ยมด้วยพระมหากรุณา ย่อมปิติตื้นตันและภาคภูมิใจเป็นล้นพ้นที่ได้มารู้จักพระองค์ แม้เพียงจากพระพุทธประวัติ แม้เพียงจากพระธรรมคำสอน

    แม้ไม่มีวาสนา ได้เห็นพระพักตร์ได้สดับพระสุรเสียง ทรงปลอบโยนอบรมให้ผู้มีชีวิตขื่นขมระทมทุกข์ได้ผ่อนคลาย ให้ได้เห็นแสงสว่างส่องทางระหว่างวนเวียนระหกระเหินอยู่ในสังสารวัฏ

    O ผู้ปรารถนามงคลแก่จิตใจ
    พึงระลึกถึงพระเมตตาของพระพุทธองค์


    การ ระลึกถึงพระพุทธองค์เช่นนี้ เป็นพุทธานุสติที่จักเป็นคุณสูงยิ่งแก่จิตใจ ความสุขพ้นคำพรรณนาใดจักเกิดมี จึงเป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกหรือผู่ปรารถนาความเป็นมงคลแก่จิตใจ พึงพยายามให้ได้เป็นสมบัติวิเศษแห่งตนทุกคน

    O พระเมตตาของพระพุทธองค์ สุดพรรณนาได้

    อัน ภาษาสำหรับทุกคนไม่เหมือนกัน อย่างหนึ่งอาจเป็นความประทับใจอย่างลึกซึ้งสำหรับคนหนึ่งหรือหมู่คณะหนึ่ง แต่ไม่เป็นสำหรับอีกคนหนึ่งหรืออีกหมู่คณะหนึ่ง ทั้งๆ ที่มุ่งในสิ่งเดียวกันและในความหมายเดียวกัน

    ดังนั้นเมื่อนึกถึงพระพุทธองค์จึงคงต้องมีการนึกที่ไม่เหมือนกัน ใช้การบรรยายความรู้สึกนึกคิดที่ไม่เหมือนกัน

    บางคนใช้ว่า...พระพุทธองค์สูงส่งนัก
    บางคนใช้ว่า...พระพุทธองค์น่ารัก
    บางคนใช้ว่า...พระพุทธองค์ดี ไม่มีใครเทียบได้
    บางคนใช้ว่า...รักพระพุทธองค์ที่สุด
    บางคนใช้ว่า...คิดถึงพระพุทธองค์ทุกลมหายใจเข้าออก
    บางคนใช้ว่า...พระพุทธองค์ทรงฉลาดที่สุดในโลก ฉลาดกว่ามนุษย์และฉลาดกว่าเทวดาด้วย
    บางคนใช้ว่า...จะหาใครรักเรารักโลกเท่าพระพุทธองค์ไม่มีแล้ว

    คำพรรณนาความรู้สึกของมนุษย์นั้นมีมากมาย มากกว่าที่นำมายกเป็นตัวอย่างหลายเท่านัก

    ฉะนั้น ไม่ควรคำนึงถึงคำที่ต่างคนต่างนำมาใช้ และโต้เถียงให้บาดหมางกัน เพียงให้เกิดความซาบซึ้งจับใจจริงเท่านั้นเป็นอันถูกต้อง เป็นอันยังประโยชน์ให้เกิดได้ ทั้งแก่ตนเอง และอาจจะแผ่ไกลไปถึงผู้ที่มีความเข้าใจในถ้อยคำที่นำมาใช้ตรงกัน พึงเห็นความสำคัญให้ถูกต้อง จึงจะไม่เป็นโทษ จึงจะสำเร็จประโยชน์ในการเทิดทูนพระพุทธศาสนา

    O พระเมตตากรุณาจักให้ผลจริง
    ตราบเท่าที่ยังไม่พากันละเลยทอดทิ้งคำสอน


    อัน การระลึกถึงพระมหากรุณาของพระพุทธองค์นั้น ไม่ว่าจะหยิบยกเรื่องใดขึ้นมาก็ตาม แม้ใช้ความประณีตละเอียดอ่อนแห่งจิตใจในการคิดนึก ย่อมได้ความรู้สึกจริงใจ ว่าทุกเรื่องแสดงแจ้งชัดถึงพระมหากรุณา การทรงสละพระสถานภาพที่สูงสุด ลงสู่ความเป็นผู้ขอที่ยากแค้นแสนเข็ญ

    นี้ก็เป็นพระมหากรุณาที่ยิ่ง คิดไปก็ยิ่งเป็นหนี้พระมหากรุณา ที่ยังพอจะหาความสุขกันได้บ้างในท่ามกลางความทุกข์ทั้งโลกนี้ ก็มิใช่เพราะอะไรอื่น เพราะพระมหากรุณาของพระพุทธองค์แท้ๆ ที่ทรงมุ่งให้เกิดประโยชน์ให้ความเกื้อกูล และให้ความสุขแก่โลก

    จึง ทรงมุ่งมั่นแสวงทางจนทรงพบและทรงแสดงไว้ ให้สัตว์โลกที่กรรมชั่วไม่หนักจนเกินไปพากันได้รับอยู่ ได้เป็นสุขแจ่มใสอยู่ พึงนึกไว้ให้เสมอในพระมหากรุณานี้ ที่เป็นจริง ให้ผลแล้วจริงและจะให้ผลจริงตลอดไป ตราบเท่าที่ยังไม่พากันละเลยทอดทิ้งคำสอนของพระพุทธองค์

    เมื่อพระ พุทธองค์เสด็จออกจากเวียงวังใหม่ๆ นั้น ยังทรงติดอยู่กับความพรั่งพร้อมงดงาม พระกระยาหารทีทรงขอได้ด้วยการออกรับบาตรนั้น มิได้เป็นอาหารที่ได้รับการตกแต่งมาอย่างประณีตในภาชนะงดงามเช่นที่ทรงเคยใน ปราสาทราชวัง แต่กลับเป็นอาหารที่ปนเปกันมาในภาชนะเดียว นึกภาพก็คงเข้าใจด้วยกันทุกคน ว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจเพียงไร สำหรับท่านผู้เคยอยู่ในเครื่องแวดล้อมสูงส่งที่สุดเช่นพระพุทธองค์

    O ทรงเสียสละตนเองเพียงชาวโลกทั้งมวล

    ใน พุทธประวัติกล่าวว่า เมื่อทอดพระเนตรเห็นลักษณะของอาหารที่ทรงเตรียมจะเสวย ประทับเปิดออกแล้ว ตั้งพระหฤทัยจะเสวยแล้ว แต่ก็เสวยไม่ได้ แม้จะให้ได้ความเข้าใจความรู้สึกของพระพุทธองค์ก็ให้ทดลองด้วยตนเองได้

    ไม่ ถึงกับต้องหาของจริงมาเตรียมรับประทานก็ได้ เพียงนึกภาพอะไรต่อมิอะไรที่ปนเปกันอยู่ในจานอาหาร พร้อมทั้งสี กลิ่น และรูปร่างของอาหารเหล่านั้นที่ทรงได้มาจากคนยากคนจนทั้งสิ้น ก็คงได้ความรู้สึกในอาหารนั้นเพียงพอจะทำให้เข้าถึงพระหฤทัยของพระพุทธองค์ น่าจะซาบซึ้งในพระมหากรุณาที่ทรงยอมเสียสละถึงเพียงนั้น เพื่อผู้ที่มิใช่พระญาติพระวงศ์ แต่เพื่อโลกเพื่อเราทั้งหลาย

    O ทรงมุ่งมั่นประทานความพ้นทุกข์แก่สัตว์โลก

    เมื่อ เสด็จอยู่ในเวียงวัง พระพุทธองค์ทรงพร้อมพรั่งด้วยความสุดวกสบาย ริ้นทั้งหลายมิได้ไต่ไรทั้งหลายมิได้ตอม ทรงอยู่ในความทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเพียงอยู่ในสวรรค์วิมาน แต่เมื่อทรงมุ่งมั่นจะประทานความพ้นทุกข์ให้แก่สัตว์โลกทั้งหลายก็ทรงย่อม ลำบากตรากตรำพระวรกายไม่ย่อท้อ เป็นไปเช่นที่เรียกว่า นอนกลางดินกินกลางทราย ที่นอนหมอนมุ้งมิได้มี

    ผู้รับทราบเรื่องนี้ เพียงผ่านๆ ไปย่อมไม่ได้รับความซาบซึ้ง ย่อมไม่เข้าถึงพระหฤทัยว่ายิ่งใหญ่นักหนา ควรแก่ความเทิดทูนบูชาเหนือผู้ใดอื่น ทรงเสียสละยิ่งใหญ่เพื่อให้เรามีความทุกข์น้อยลงได้ และไม่มีความทุกข์หลงเหลืออยู่อีกเลยก็ได้

    ทรงทำสำเร็จแล้ว มีผู้โดยเสด็จพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงแล้วเป็นจำนวนไม่น้อย ตั้งแต่ยังทรงดำรงพระชนมชีพอยู่ สืบมาจนทุกวันนี้ที่ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมยังมีอยู่ ได้เป็นผู้ไกลกิเลสน้อยบ้าง มากบ้าง จนถึงสิ้นเชิงบ้าง

    นึกถึงพระมหา กรุณาให้ลึกซึ้งเถิด อย่าปล่อยให้ผ่านไปอย่างหยาบๆ เลย จะน่าเสียดายความสูญเสียของตนเองนัก เพราะเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน

    O ความเสียสละอันทรงอานุภาพยิ่งใหญ่

    แม้ พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปเกือบสามพันปีแล้ว ความเสียสละอันสูงส่งของพระพุทธองค์ยังทรงอานุภาพยิ่งใหญ่ ผู้ไม่มืดบอดจนเกินไป ย่อมไม่ปฏิเสธคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าเป็นธรรมสำคัญยิ่งสำหรับทุกชีวิต รับสั่งอย่างไรอย่างนั้น

    มีความ สำคัญลุ่มลึกจริง เพียงแต่ว่าปัญญาของผู้ใดจะเจาะแทงเข้าไปลึกหรือตื้นเพียงใด เมื่อได้มาพบพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว จึงพึงตั้งใจอบรมปัญญาเพื่อให้สามารถเข้าใจได้ลึกซึ้ง จนถึงสามารถปฏิบัติได้ผลสูงขึ้นเป็นลำดับ ได้พ้นความทุกข์ที่มีเต็มไปทุกแห่งหนได้เป็นลำดับ จนถึงไม่ต้องพบทุกข์อีกเลย

    O ผู้ที่ช่วยตนเองได้นั้น ย่อมช่วยผู้อื่นไปพร้อมด้วย

    การพยายามช่วยตนเองให้พ้นทุกข์ ด้วยการปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน นับได้ว่าเป็นการกรุณาตนเอง และเป็นการกรุณาผู้อื่นอีกด้วย

    พระ พุทธองค์ทรงมีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลก จึงได้ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ผู้มีกรุณาต่อตนเอง ต้องพากเพีนรพยายามปฏิบัติตามที่ทรงสอนให้จริงจัง จึงจะประสบความสำเร็จ ช่วยตนเองให้พ้นทุกข์ได้

    ผู้ที่ช่วยตนเองให้พ้นทุกข์ได้นั้น ย่อมสามารถช่วยผู้อื่นไปพร้อมกันด้วย ให้ผู้อื่นได้พลอยมีส่วนแห่งความร่มเย็นเป็นสุขด้วย เพราะผู้ไม่มีทุกข์เพียงไร คือ ผู้ไกลจากกิเลสเพียงนั้น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ไกลจากใจเพียงนั้น

    อันผู้มีความโลภ ความโกรธ ความหลงบางเบา คือ ผู้ให้โทษผู้อื่นบางเบาด้วย นั่นก็คือ ไม่มีความร้อนของกิเลสแผดเผาจิตใจตนเองให้ร้อน ความร้อนนั้นเข้าใกล้ผู้ใด ย่อมทำให้ผู้นั้นร้อนแน่ ไม่ร้อนแต่เพียงตัวเองเท่านั้น

    O ผู้นำทางสัตว์โลกให้พ้นจากความร้อนของกิเลส

    พระ พุทธองค์ก่อนแต่จะทรงเป็นผู้ไกลความร้อนของกิเลสแล้วอย่างสิ้นเชิง ได้ทรงพยายามทุกวิถีทาง เพื่อนำพระองค์เองให้ไกลจากความร้อน เมื่อทรงบรรลุจุดมุ่งหมายอันสูงสุดแล้ว ด้วยพระมหากรุณาที่ตั้งไว้แต่ต้น

    จึง ทรงเริ่มแสดงทางที่ทรงพระดำเนินผ่านแล้วนั้น เพื่อให้สัตว์โลกทั้งหลายได้ดำเนินตาม ได้ไกลพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองของใจ เครื่องนำความทุกข์ความร้อนให้เกิดทุกเวลาไปไม่หยุดยั้ง

    ทางที่ทรง แสดงเพื่อความพ้นทุกข์ เป็นทางที่เดินยากนักสำหรับคนทั้งหลาย แม้พระพุทธองค์กว่าจะทรงค้นพบได้ก็ทรงลำบากนักหนา ทรงทราบอยู่ว่าจะต้องทรงลำบากเหนื่อยยากต่อไปอีกเป็นอันมาก หาจะทรงนำธรรมที่ทรงตรัสรู้ออกอบรมสั่งสอนอันพระองค์เองนั้นไม่ว่าจะทรงสอน หรือไม่สอน ก็พ้นแล้วแน่นอน จากความทุกข์ความร้อนของความต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปไม่จบสิ้น

    แต่ แม้จะทรงประจักษ์พระหฤทัยดีถึงความเหนื่อยยากยิ่งนักที่จะทรงแสดงสอน แต่พระมหากรุณาท่วมท้นก็ทำให้ทรงพร้อมที่จะทรงเหนื่อยยาก ผู้เป็นมารดาบิดา แม้ปรารถนาจะให้เข้าถึงพระหฤทัยเพียงสมควร ก็พึงนึกถึงความเหนื่อยยากทั้งกายใจของตนเอง ที่ต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนบุตรธิดาผู้เป็นที่รักดัง ชีวิต

    ความกรุณาของผู้เป็นมารดาบิดาต่อบุตรธิดานั้น คนทั้งหลายไม่เข้าใจชัดแจ้ง นอกจากจะพยายามเข้าใจให้เต็มที่ พระมหากรุณาของพระพุทธองค์ต่อสัตว์โลกทั้งปวงก็เช่นกัน ยากที่คนทั้งนั้นจะเข้าใจได้ เพราะมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่นัก ผู้มีปัญญาจึงรักที่จะใคร่ครวญมิได้ว่างเว้น จนเป็นที่ประจักษ์ซาบซึ้งถึงในพระมหากรุณา

    O พระเมตตา พระกรุณมิได้ว่างเว้น
    แม้วาระสุดท้ายแห่งพระชนมชีพของพระองค์


    พระ พุทธองค์ทรงยิ่งด้วยพระมหากรุณาจริง ตลอดพระชนมชีพ พระมหากรุณาปรากฏมิได้ว่างเว้น ที่เป็นพระมหากรุณาครั้งสุดท้ายก่อนแต่จะเสด็จดับขันธปรินิพพานนั้น ทรงแสดงต่อนายจุนทะผู้ถวายอาหารอันเป็นพิษ ซึ่งแน่นอนนายจุนทะหาได้รู้ไม่ แต่พระพุทธองค์ทรงทราบ

    เมื่อทรงรับประเคนและทรงตักสุกรมัททวะอาหาร จานนั้นแล้ว ทรงสั่งนายจุนทะมิได้ประเคนพระรูปอื่นต่อไป ให้นำไปฝังเสีย ทรงลงพระโลหิตเพราะเสวยอาหารนั้น และเสด็จดับขันธปรินิพพาน

    ขณะเสด็จ พุทธดำเนินต่อไปไม่ไหวแล้ว ทรงนึกถึงนายจุนทะว่าจะต้องเศร้าเสียใจยิ่งนัก เมื่อได้ทราบว่าพระพุทธองค์เสวยอาหารเป็นพิษของเขาก่อนนิพพาน ผู้คนทั้งหลายที่ทราบก็จะพากันกล่าวโทษนายจุนทะ

    พระมหากรุณาทำให้ไม่ ทรงนิ่งนอนพระหฤทัยได้ รับสั่งบอกพระอานนท์ให้ไปปลอบนายจุนทะไม่ให้เสียใจ โดยรับสั่งว่าผู้ถวายอาหารมื้อสุดท้าย ได้กุศลเสมอกับผู้ถวายอาหารมื้อก่อนที่จะทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ญาณ เรื่องนี้อย่าสักแต่เพียงว่ารับรู้แล้วปล่อยให้ผ่านหูผ่านใจเฉยๆ แต่ควรคิดให้เกิดคุณแก่จิตใจ

    O ผู้รำลึกถึงพระเมตตากรุณาของพระพุทธองค์
    ย่อมได้รับความรู้สึกอันเป็นคุณยิ่งนั้นด้วยตนเอง


    การ คิดถึงคุณงามความดีของใดก็ตาม เป็นคุณแก่จิตใจผู้คิดอยู่แล้ว แต่การคิดถึงพระมหากรุณาของพระพุทธเจ้า ยิ่งเป็นคุณแก่ผู้คิดอย่างประมาณมิได้ ผู้ซาบซึ้งอยู่ในพระมหากรุณาของพระพุทธเจ้า ย่อมได้รับความรู้สึกอันเป็นคุณยิ่งนั้นด้วยตนเอง

    ความดีนานาประการ จักเกิดแก่ตนได้ด้วยอานุภาพแห่งความซาบซึ้งในพระมหากรุณาคุณ ผู้ยังไม่ได้รับด้วยตนเอง ถึงพยายามเป็นผู้รับให้ได้ การจะทบทวนคิดให้ตระหนักชัดในพระมหากรุณาของพระพุทธองค์ มิใช่สิ่งสุดวิสัย และก็ไม่ยากนัก

    ไม่ถึงกับจนจะน่าท้อแท้ และแม้เริ่มใส่ใจให้จริงจังในเรื่องนี้ ก็จะได้รับความชื่นใจอบอุ่นใจเป็นลำดับ ที่เป็นผู้มีบุญได้มาพบพระพุทธศาสนา ได้มาพบพระพุทธเจ้า

    พระนิพนธ์ เรื่อง รสแห่งความเมตตา ชุ่มเย็นยิ่งนัก
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    " สิ่ ง ทั้ ง ป ว ง มี เ สื่ อ ม แ ล ะ สิ้ น ไ ป เ ป็ น ธ ร ร ม ด า
    เ ธ อ ทั้ ง ห ล า ย จ ง อ ยู่ ด้ ว ย ค ว า ม ไ ม่ ป ร ะ ม า ท เ ถิ ด "

    เป็นคำสอนสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เงื่อนไขการปรินิพพาน​

    ในสมัยที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่ปาวาลเจดีย์หลังจากทรงปลงพระชนมายุสังขารแล้วได้ตรัสเล่าเหตุการณ์ที่มารขอให้ทรงปรินิพพานแก่พระอานนท์ว่า "ดูกรอานนท์ สมัยหนึ่ง เราแรกตรัสรู้ พักอยู่ที่ต้นไม้อชปาลนิโครธแทบฝั่งแม่น้ำแนรัญชราในอุรุเวลาประเทศ ครั้งนั้น มารผู้มีบาปได้เข้าไปหาเราถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้วยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นมารผู้มีบาปยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค จงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเมื่อมารกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้ตอบว่า ดูกรมารผู้มีบาป ภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา / ภิกษุณีผู้เป็นสาวิกาของเรา / อุบาสกผู้เป็นสาวกของเรา / อุบาสิกาผู้เป็นสาวิกาของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับแนะนำ ไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่ง ตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ ข่มขี่ปรัปปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อย โดยสหธรรมไม่ได้เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ฯ

    ดูกรมารผู้มีบาป พรหมจรรย์ของเรานี้จักยังไม่สมบูรณ์ กว้างขวาง แพร่หลาย รู้กันโดยมาก เป็นปึกแผ่น จนกระทั่งเทวดา และมนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น" ฯ

    จากพระดำรัสดังกล่าว จึงพอสรุปได้ว่า พระองค์จะปรินิพพานก็ต่อเมื่อบริษัท ๔ มีคุณสมบัติครบ ๓ ประการ คือ

    ๑. มีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมและสามารถปฏิบัติได้ถูกต้อง
    ๒. สามารถนำหลักธรรมไปแสดงให้คนอื่นทราบได้
    ๓. สามารถข่มขี่ปรัปปวาทที่เกิดขึ้นได้


    คุณสมบัติทั้ง 3 ประการนี้ ก็อาจกล่าวได้ว่า เป็นเหตุแห่งความมั่นคง หรือความเสื่อมของพระศาสนา เมื่อใด พุทธบริษัทยังมีคุณสมบัติเหล่านี้ พระศาสนาก็ยังมีความมั่นคง แต่หากเมื่อใดพุทธบริษัทขาดคุณสมบัติเหล่านี้ ก็คงพยากรณ์ได้เลยว่า พระศาสนาคงถึงกาลล่มสลายเป็นแน่แท้ เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงถือเป็นเรื่องสำคัญมาก และใช้เป็นเงื่อนไขต่อรองสำหรับการเสด็จดับขันธปรินิพพาน

    แล้วท่านทั้งหลายละ ! มีคุณสมบัติเหล่านี้หรือยัง ?
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พระพุทธองค์ทรงปฎิบัติเป็นตัวอย่าง..ให้กับพุทธบริษัทดูไปหมดแล้ว

    (ขออนุญาตสรุปเพียงสั้นๆพอเข้าใจ)
    ที่มา..วันวิสาขบูชา - วิกิพีเดีย

    พระองค์ได้บรรลุสมาบัติ ๘ แต่พระองค์ยังไม่ทรงพอพระทัย เพราะสมาบัติ ๘ นั้น ไม่สามารถทำให้พระองค์ตรัสรู้ได้

    พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญเพียรถึงขั้นยวดยิ่งแล้วแต่ยังไม่ตรัสรู้ พระองค์ได้ทราบอุปมาแห่งพิณ 3 สาย ว่าการปฏิบัติเช่นนี้เป็นหนทางอันสุดโต่งเกินไป จึงได้ละทุกกรกิริยาเสีย หันกลับมาเสวยอาหาร

    เมื่อกลับมาเสวยพระกระยาหารจนพระวรกายกลับมามีพระกำลังขึ้นเหมือนเดิมแล้ว จึงทรงเปลี่ยนมาเริ่มบำเพ็ญเพียรทางใจต่อไป
    ทรงอธิษฐานในพระทัยว่า
    ...หนัง เอ็น กระดูก จักไม่เหลืออยู่ เนื้อและเลือดในสรีระ จักเหือดแห้งไปก็ตามที เมื่อยังไม่ลุถึงประโยชน์อันบุคคลจะลุได้ด้วยกำลังของบุรุษ (การตรัสรู้) ด้วยความเพียรของบุรุษ (มนุษย์) ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักหยุดความเพียรนั้นเสีย เป็นไม่มีเลย...

    จากนั้น พญามารได้ยกพลเสนามารมาพจญ พระองค์ต้องต่อสู้ด้วยพระบารมี 10 ทัศ กล่าวในแง่ธรรมาธิษฐาน คือ ทรงต่อสู้กับกิเลสภายในใจจนทรงเอาชนะได้ด้วยพระบารมี คือ ความลำบากในการบำเพ็ญความดีทั้งปวง อันทรงได้สั่งสมมาตลอดแต่ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงต่อสู้จนพญามารพ่ายแพ้ไปตอนพระอาทิตย์จะตกแล้ว พระองค์จึงทรงเริ่มเจริญสมถภาวนา ทำจิตใจให้เป็นสมาธิ จนบรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน ตามลำดับ แล้วทรงทำให้ฌานอันเป็นองค์แห่งปัญญา 3 ประการ เกิดขึ้นในยามทั้ง 3 คือ

    ปฐมยาม ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ" คือ ทรงสามารถระลึกชาติได้
    มัชฌิมยาม ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือ รู้การตายการเกิดของสัตว์ทั้งปวง หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่าได้ ทิพยจักษุญาณ คือ ตาทิพย์
    ปัจฉิมยาม พระองค์ได้ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท คือ ธรรมที่อาศัยซึ่งกันและกัน เกิดขึ้นเป็นเหตุเป็นผลของกันและกันต่อเนื่องเสมือนกับลูกโซ่ จนได้รู้แจ้งซึ่งอริยสัจธรรม 4 ประการ คือ


    ๑.ทุกข์ ความทุกข์ สภาวะที่ทนได้ยาก ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ (ปัญหา)
    ๒.สมุทัย สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (สาเหตุของปัญหา)
    ๓.นิโรธ ความดับไปซึ่งต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (จุดมุ่งหมายในการแก้ปัญหา)
    ๔.มรรค ทนทางที่จะดับทุกข์ได้ (วิธีการแก้ปัญหา)

    -พระพุทธรูปปางมารวิชัย (ปางชนะมาร) เป็นพระพุทธรูปที่สื่อถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธองค์ทรงเอาชนะพญามาร (กิเลส) และบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    -พระพุทธรูปพระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาไม่เสวยพระกระยาหารจนพระวรกายผอมเหลือถึงกระดูก ภายในถ้ำดงคสิริ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อยากให้ผู้ปฎิบัติทุกท่านรับทราบว่าพระองค์ปฎิบัติอย่างไร
    ตั้งแต่เริ่มต้นจนตรัสรู้ พระองค์ลองวิธีผิด-ถูกมาก็มาก

    คนส่วนใหญ่รู้แล้ว แต่อยากให้รู้อีก(ทบทวน)

    เช่น
    - ทางอ้อม (ได้สมาบัติ๘ หรือฌาน ๘ แต่พระองค์ยังไม่ทรงพอพระทัย)
    พระองค์ท่านตรัสรู้แค่ฌาน ๔ นั่นแสดงว่าฌาน ๔ นี้ มีปัญญาเหมาะหรือควรแก่การพิจารณาธรรมดีที่สุด แต่ถ้าเลยไปกว่าก็คืออรูปฌาน เป็นอันว่าฌานทื่อ
    แค่วิชามโนยิทธิแค่ฌาน๔ ก็สามารถไปถึงนรก ถึงนิพพานกันมาแล้ว ส่วนผู้ใดจะนำอภิญญามาตัดกิเลสตนหรือไม่ก็ตามใจแล้ว
    เพราะฉะนั้น ผู้ได้ฌานสมาบัติหรืออภิญญา มิใช่ของวิเศษ แต่ถ้าหากผู้ใดถือเป็นแบบนั้น นั่นก็หมายความว่า หลงตนเองที่สุด ปฎิบัติธรรมก็เพื่อละกิเลสหรืออัตตามานะตนเอง
    แต่ยิ่งปฎิบัติยิ่งจิตละเอียดมักพบเจอของเก่าเป็นธรรมดา เช่น นิมิต อภิญญา เป็นต้น แต่ถ้าผู้ใดหลงไปยึดที่กล่าวมานี้ นึกว่าตนวิเศษกว่าคนอื่นเขาทำไม่ได้เหมือนตน
    ถ้ามีสติปัญญาไม่มากพอก็อาจจะหลงทางได้ ปฎิบัติเพื่อละ ละหยาบได้แต่ละละเอียดไม่ได้ กลับมาสร้างอัตตาอันละเอียดยิ๊บๆ ใครๆทักก็ไม่ฟัง หลงไปอีกนาน
    ไม่รู้อีกเมื่อไหร่ จะกลับมาเดินทางเดิม คือเดินมรรคให้ถูก+เดินให้ตรงทาง นอกจากสติปัญญาของตนเท่านั้นที่จะพาออกจากความหลงตรงนี้กันได้
    แต่ถ้าปฎิบัติไม่ถึง พระก็จนปัญญาที่จะมาโปรด เพราะมัวแต่หลงนิมิต อภิญญา เพราะทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดมาเพื่อ หลอกจิตนักภาวนาที่ยังอ่อนสติระดับสัมปชัญญะ

    - ทางสุดโต่ง (บำเพ็ญเพียรทางกาย คือ "ทุกกรกิริยา" คืออดอาหารจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แต่ก็ยังไม่บรรลุหรือตรัสรู้)
    แต่ท้ายที่สุด จึงเปลี่ยนมาเป็นบำเพ็ญเพียรทางใจ(แทนกาย)

    - สำหรับความเพียร(ทรงอธิษฐานในพระทัยว่า?) และในขณะทรงบำเพ็ญอยู่นั้นก็พบเจอแต่พญามารต่างๆ คือต่อสู้กับกิเลสภายในใจ
    เมื่อสอบผ่านแล้ว จิตใจจึงสงบ สามารถทำจิตเป็นสมาธิคือการเจริญสมถะ จนได้ฌานตามลำดับ
    เพราะฌานอันเป็นองค์แห่งปัญญา (สมถะเป็นบาทฐานของคำว่า วิปัสสนา)

    แต่ถ้าพวกเราสังเกตให้ดีก็จะเห็นได้ว่า ฌานลึกมากเกินไป(บางครั้ง)ก็ไม่มีประโยชน์ แล้วจะปฎิบัติ(อรูปฌานถึงฌาน๘ )ไปทำไม
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ไม่ใช่หนทางการตรัสรู้
    ในขณะปฎิบัติก็อย่าไปเน้นทางกายมาก พยายามเน้นที่จิตใจมากๆ
    ในขณะพระองค์ทรงบำเพ็ญก็ยังพบเจอแต่อุปสรรค์หรือปัญหามากมาย มีมารคอยผลญทั้งภายนอก ภายใน
    ก่อนจะตรัสรู้ พระองค์ยังต้องทรงจิตสมถะ(สมาธิ) ไปตามลำดับฌานและก็ญาณตามลำดับ ผมอยากเน้นกับผู้ปฎิบัติมาก คือฌานเป็นคลังแห่งปัญญา(เจริญปัญญา)
    ถ้าผู้ปฎิบัติมัวแต่ทำเล่นๆ ขำไปวันๆ หัวเราะไปวันๆ ไม่พยายามทรงจิตเป็นสมาธิหรือฌาน แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าเอาแต่หลับตาเข้าฌาน การงานไม่ต้องทำกันแล้ว
    ทรงฌานในขณะลืมตานี้ดีนักแล พี่ภูขอเรียกว่า ฌานตาใส คือฌานประยุกต์ เหมาะสมสำหรับนักภาวนาที่ไม่ค่อยมีเวลามากนัก ไม่เหมือนคนที่อยู่คนเดียว
    เพราะถ้าเอาแต่ทรงฌานๆ อย่าลืมฌานเสมือนหินทับหญ้า เมื่อฌานถอนจิตก็ไร้สติสมาธิเมื่อนั้น ไปตามกระแสโลกเหมือนเดิม พอมีสิ่งกระทบนิดหน่อยก็หงายเก๋ง
    ฌานหลับตาจึงเหมาะสำหรับเอาไว้ชาร์ตแบตชาร์ตจิตกันดีไหม เอาตามที่หลวงพ่อฤาษีฯแนะนำก็ดีเหมือนกัน คือทรงฌานตาใสๆนี่แหล่ะ
    เมื่อจิตสงบดีแล้ว เห็นอะไร รู้อะไรก็ตาม ตัดลงไตรลักษณ์ให้หมด หลวงตามหาบัวฯบรรลุธรรมก็เพราะขยันตัดลงที่ไตรลักษณ์นี่แหล่ะ(ลองไปอ่านธรรมะท่านดู)

    ยิ่งผู้ใดทรงเอกัคคตารมณ์ก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะทำให้จิตเข้มข้นดี นี่ไงที่พี่ภูเฝ้าบอกแต่พวกเธอว่า..เจริญปัญญาต้องให้ได้อย่างต่อเนื่อง..ไม่อย่างนั้นเจ๊งทุกจิต

    ผู้ที่มีสติปัญญาเลิศ ย่อมก้าวข้ามคำว่าเปลือกหรือกระพี้ให้ได้
    ทั้งหมดทั้งมวล ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของตนอีกนั่นแหล่ะ..จบข่าว!
    กำลังใจน้อย จิตก็มีปัญญาน้อย การละปล่อยวางจึงเป็นไปด้วยความยาก ลำบากแน่นอน

    นี่ไง ถึงอยากให้พวกเราสนใจจิตตนเองมากๆ ถ้าไปสนใจอย่างอื่น มัวแต่ไปจับจ่ายใช้สอยพลังจิตจนเกินตัว หมดตัว
    แล้วจะเอากำลัง เอาปัญญาไปตัดกิเลสของตนเองได้อย่างไรกันเล่า

    พยายามอย่าไปหายใจทิ้งขว้าง ฝึกลมหายใจเข้าออกเป็นอานาปานสติให้เป็นปรกติเข้าไว้
    แต่ถ้าเราตายในขณะที่จิตสงบ มีทางไปอยู่ทางเดียวก็คือ สุคติภูมิ
    ขอฝากกับนักภาวนาเพียงเท่านี้...สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กันยายน 2013
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    กำลังใจของพุทธภูมิ
    -------------------------------------------------------
    ถาม : ส่วนใหญ่พุทธภูมิที่ผมรู้จัก เขาจะคิดหรือทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านครับผม เป็นเพราะเรายังไม่เข้มหรือครับ ?

    ตอบ : ไม่ใช่...ถ้าทำเหมือนชาวบ้านก็เป็น "สาวกภูมิ" คือตามๆ เขาไป ฉะนั้น.. "พุทธภูมิ" ไม่เหมือนเขาหรอก ทางมีไม่เดิน ชอบหักร้างถางพงเอง เลยค่อนข้างจะเพี้ยนๆ ในสายตาคนปกติเขาหน่อย

    ถาม : อะไรที่คนเขาว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เขาทำได้ ?

    ตอบ : ที่ว่าเป็นไปไม่ได้นั้นเป็นกำลังใจของคนอื่น "แต่กำลังใจของท่านเรื่องแบบนี้ง่ายนิดเดียว ต่อให้ชาตินี้ไม่เสร็จ ชาติหน้าก็ทำต่อได้" เรามีอารมณ์อย่างนั้นหรือเปล่า ?

    ถาม : กระผมก่อนจะสนิทกับใคร ผมจะต้องไม่ถูกชะตาเขาก่อน หรือเกลียดขี้หน้าเขาก่อน ท้าดวลก่อน จึงจะให้ความเคารพเขา หรือสนิทกับเขา เป็นสันดานเก่าหรือครับ ?

    ตอบ : สันดานทรพี..! เจออะไรก็ชนดะไปก่อน ไม่มีอะไรจะชน ชนกับจอมปลวกก็เอา ไปดูตามภาคอีสาน ตามท้องนา ไม่มีอะไรก็ขวิดกันเอง หาคู่ขวิดไม่ได้ก็ขวิดจอมปลวก

    ถาม : อย่างเพื่อนรักก็อย่างเดียวกันใช่ไหมครับ ?

    ตอบ : "ไม่ต่อยตีไม่รู้จักกัน" ภาษิตจีนเขาบอกไว้ชัดแล้ว


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖

    Credit: Natthaphat Chandrasuta
    https://www.facebook.com/natthaphat.chandrasuta?hc_location=stream

    โมทนาสาธุ
    ถึงว่าเราเพี้ยนๆ บ้าๆ บอๆ ไม่เหมือนชาวบ้าน ชอบหมกมุ่นอยู่แต่พระพุทธเจ้ากับธรรมะ
    ชอบนั่งดูแต่จิต ทบทวนมรรคผลตน สงสัยกลัวตกนิพพานมั้ง ไม่ชอบสุงสิงกับคน แต่ถ้าเป็นผีละก้อชอบจริงจริ๊ง
    ชาวบ้านละยาก แต่ทำไมเราละง่าย มิใช่อวด พอดีหลวงพ่อเล็กเทศน์โดนใจ
    แต่ก็ยังมีคนชอบมาคุย(ทางตะไคร้)เหมือนกันนะ สงสัยจะเพี้ยนเหมือนๆกัน ฮ่าๆ คนไม่เอาตัวรู้นี่ สบายใจจริง
    เพราะรู้ปรกติชาวบ้านเขาไม่เป็นกันเพราะรู้ปรกติชาวบ้านเขาไม่เป็นกัน

    รึว่าไง..คุณเพ็ญยูเครน เอ๊ย ยูเค [ว.๒]
     

แชร์หน้านี้

Loading...