จะเริ่มฝึก สติปัฏฐาน4 แต่ยังไม่รู้เริ่มยังไงดี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Sir-Pai, 2 กันยายน 2013.

  1. GROLY

    GROLY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    2,019
    ค่าพลัง:
    +8,001
    ถ้าจะเริ่มจริงๆให้ยึดตามพระอริยะที่รู้จริงที่ท่านปฏิบัติจนเห็นผลแล้ว แนะนำไปหาหนังสือกรรมฐาน40 ของลพ.ฤาษีท่านอธิบายไว้ครบถ้วนอ่านง่ายไม่ต้องมาตีความให้ปวดหัว
    ท่านเรียบเรียงให้อ่านง่ายเหมาะกับคนธรรมดา ไม่ใช้ศัพท์ยากๆเข้าใจยาก
    โมทนาครับ
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ฮาๆๆๆ...

    ดูมันทำ โง่ล้วนๆก็ว่าแย่แล้ว ยังชอบอวดรู้โชว์ภูมิแบบแอบอ้างเอาเป็นของๆตน

    ตามแบบใครสักคนที่ชอบทำจนเป็นนิสัยถาวร แบบ"ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง"

    ดูความลื่นเหลือล้น ด้านเหลือหลาย แอบหนีไปไม่ยอมตอบคำถามที่ถามไป

    แต่กลับยัดเยียดตามนิสัยถาวรที่ติดเป็นกลม...กล่าวร้ายคนอื่นไว้ก่อน เฮ้อ!!!

    ที่ถามไปนั้น คนที่หัด "ภาวนา"ทั้งหลายยังต้องการรู้อยู่นะ

    ทำไม"ฌานที่๒" อามีสสัญญาจึงดับ อย่าแกล้งโง่อีกหละ(ครั้งที่๔-๕มั๊ง)


    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    คุณ solardust ทำได้ถูกทางแล้ว ผมมีข้อแนะนำเล็กน้อย "เฉพาะจุด" ในการฝ่าเข้าด่าน "ธรรมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน" สำหรับคุณ

    สติจากการตามดูจะต่างกับ สติตอนเข้าสมาธินิดนึง
    สติจากการทำสมาธิ ขอบเขตุ จะแคบลง แคบลง ตามความลึกของสมาธิที่เข้าได้ แต่กำลังจะยิ่งมากขึ้น
    สติจากการเจริญสติ ขอบเขตุจะกว้างขึ้น กว้างขึ้น จนรู้ไปทั้ง กาย เวทนา จิต ทีเดียวทั้งหมด

    +++ ตรงนี้เป็นอิทธิพลของ "ตัวดู" ยามใดที่ "ตัวดู ถูกรู้" ก็จะเห็นอาการที่ "ตัวดูจางคลาย กลายมาเป็นธรรมารมณ์ชนิดหนึ่ง"
    +++ หากผ่านตรงนี้ได้ ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของ "ธรรมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน" ได้เอง นะครับ

    แม้ว่าจะกำหนดจิตตามดูลมหายใจในชีวิตประจำวันอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
    และสติที่ผ่านการฝึกแบบนี้ จะมีความรวดเร็ว เฉียบคม จนสามารถมองเห็นความเกิดดับ ของสิ่งต่างๆ ได้แบบสโลโมชั่น
    จนสามารถเข้าใจคำว่า สันตติรูป โดยการตามดูได้

    +++ ด้วยสติในระดับนี้ ลองทำธรรมะวิจัยด้วยการ "เข้าไปอยู่" ใน "ระหว่าง" สันตติ ดูนะครับ รวมทั้ง "ตรงรอยต่อ" ของมันด้วย ตรงที่ สัญญา กับ เวทนา เกิดขึ้นไม่ได้ แล้วมี สติโดดเด่นเป็นเอก แล้วจะเข้าใจคำว่า นิโรธสมาบัติ ได้เอง

    เมื่อเจริญสติด้วยการตามดูกายจนถึงที่สุดแล้ว -----> (สุดของผมนะครับ คือผมทำได้แค่นี้)
    จะมีความรู้สึกเหมือน มีเราสองคนซ้อนกันอยู่ คนหนึ่งใช้ชีวิตตามปรกติ อีกคนดูอยู่ไม่เลิก (24 ชั่วโมงต่อวัน)
    ความรู้สึกตัว จะรู้ตลอดทั่วตัวพร้อมกันทั้งหมด ตั้งแต่เส้นผมจรดฝ่าเท้า ตลอดเวลา

    +++ เมื่อทำความรู้สึกตัวได้แบบ "ตะจะปริยันโต" แล้ว ผลลัพธ์ย่อมได้ "กายในกาย" นั่นแล ส่วน "กายที่เป็นผู้ดูนั้น" ผมเรียกมันว่า "กายเวทนา"

    ---------------------------------------------

    ว่างๆก็สังเกตุไปด้วย ว่าอารมณ์ต่างๆในสมาธิมันผุดมาจากตรงไหน
    แรกๆก็ไม่เห็น ดูไปดูมา ก็สังเกตุได้ว่า กระแสอารมณ์ มันมาจากแถวลำตัว
    ยิ่งจิตสงบยิ่งเห็นชัด
    ดูไปดูมา เห็นเป็นดวง โผล่ขึ้นมา

    +++ ดูให้ดี ๆ แถว ๆ ลิ้นปี่ไว้นะครับ ตรงนั้นแหละ ที่มันชอบผุดขึ้นมา
    ---------------------------------------------------

    ส่วนเรื่อง ขอบเขตุของสติ แคบลง เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ

    ในตอนที่ผมหัดนั่งสมาธินั้น
    แม้จะพยายาม เอาสติติดตามลมหายใจเข้าออก หรือรูปใดๆ อยู่ก็ตาม
    สตินั้นก็ยัง ระลึกรู้ว่า เราอยู่ในห้อง เรานั่งอยู่ มือเราประสานกันอยู่ ขาเราไขว้กันอยู่เป็นต้น
    แม้เมื่อเกิดปิติขึ้น แล้วรู้สึกว่า ร่างกายเราโยกโคลงไปมา เราก็ยังมีสติรู้อยู่ว่า เราโยกออกจากจุด C.G. ที่เรานั่งอยู่หรือไม่
    ฌาน 1 เรายังมีสติรับรู้อยู่ว่า เรายังมีคำภาวนา มีกายนั่ง ตั้งอยู่บนอาสนะ
    ฌาน 2 เราก็ยังมีสติรับรู้อยู่ว่า เรามีกายนั่ง ตั้งอยู่บนอาสนะ สติที่เรารับรู้ถึงคำภาวนา หดหายไปดื้อๆ
    ฌาน 3 เราก็ยังมีสติรับรู้อยู่ว่า เราอยู่ในท่านั่ง ตั้งอยู่ที่ไหน ไม่รับรู้อีกแล้ว
    ฌาน 4 เรามีสติรับรู้อยู่แค่ว่า นี่เรา ไม่รับรู้ถึงร่างกายอีกแล้ว
    ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องที่ว่า ยังนั่งอยู่หรือเปล่า ยังอยู่บนเบาะหรือเปล่า ยังภาวนาอยู่หรือเปล่า ยังหายใจอยู่หรือเปล่า เพราะไม่รับรู้เรื่องเหล่านั้นอีกแล้ว
    แถมยังมีความรู้สึกอีกว่า เรานั้น เป็นจุดเล็กๆ หรือเป็นดวงกลมเล็กๆเท่านั้น

    +++ นั่นคือ "อัตตาจิต หรือ จิตที่เป็น อัตตา นั่นเอง" แต่ตรงนี้เป็น "สังขตะธรรมที่เป็นอัตตา ยังไม่ใช่ อสังขตะธรรม"
    +++ "ตัวดู" ที่หดลงแบบเล็กมากจะกลายเป็น อัตตาจิต (ตัวกูของกู) และจะมาพร้อมกับ ความเครียด จะสังเกตุได้ในขณะจิตปกติ
    +++ "ตัวดู" ที่ถูกรู้ จะมีขนาดปานกลาง
    +++ "ตัวดู" ที่จางคลายและขยายตัวออก จะกลายเป็น หย่อมความกดชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ธรรมารมณ์ และจะมาพร้อมกับ ความเบาสบาย
    +++ "ตัวดู" ที่ยุติการทำงานลงชั่วคราว แต่ยังคงสภาวะไว้ คือ "สมถะ อรูปฌาน" หรือเรียกว่า "จิตนิ่ง"
    +++ ควบคุม การหด-ขยาย ของ "ตัวดู" ได้ก็ควบคุม ระดับของ ธรรมารมณ์ และ อัปปนาสมาธิ ได้
    +++ "ตัวดู" คือ "ตัวจุติจิต"
    +++ "ตัวดู" เมื่อถูกวางก็คือ "การวางการจุติ" แล้วเหลือแต่ "อยู่กับรู้" ("อยู่กับรู้" เป็นคำพูดของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) เท่านั้นเอง

    -------------------------------------------------------------------------------------------
    ผมเลยใช้คำว่า ขอบเขตุของสติ นั้นกว้างขึ้น จากการฝึก
    วัตถุประสงค์ของการใช้คำว่าสติกว้างขึ้น ก็เพื่ออธิบาย อาการแบบนี้เท่านั้น

    ถ้าท่านมีคำอื่นเหมาะสมกว่า ผมก็ขอคำแนะนำหน่อยแล้วกัน

    +++ คำที่เหมาะสมกว่าคือ "ขอบเขตของการดู" เพระมันเป็นผลลัพธ์มาจาก "ตัวดู" นั่นเอง
    +++ "ตัวดู" จะกำหนดขอบเขตของ "การดู" ไว้อย่างไรก็ตาม ยามใดที่ "ตัวดู ถูกรู้" ก็จะเป็น "สภาวะรู้ ที่เป็น อสังขตะธรรม รู้อยู่" ในตัวของมันเอง
    +++ "ตัวดู" คือ "ตัวที่กำลัง ดูกาย ดูจิต นั่นเอง" มันเป็นอาการของ "ตัวคุณ" ดังนั้นมันคือ "ตัวอัตตาจิต" นั่นแหละ

    คุณ solardust ลอง ๆ ทำดูนะครับ
     
  4. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ลองสังเกตดูตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วกันนะ
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    โถ!!!

    อวยกันจริง แค่สติแคบ สติกว้าง ก็ออกทะเลไปคนละทางแล้ว

    "ยังจะมีตัวดู ถูกรู้" เข้าไปอีก ขอคำตอบแบบชัดๆนะ

    ตัวดู คือใครหรืออะไรดู?

    ถูกรู้ คือ ใครหรืออะไรรู้?

    มันซ้อนกันอยู่ ยังไม่รู้ตัวอีกหรือจ๊ะ?

    ไม่คิดหรือชอบขัดคอขัดใจใคร แต่เรื่องปฏิบัติธรรมควรชัดเจน

    เอออวยช่วยกันไม่ได้ เพราะมันไม่เกิดประโยชน์ที่แท้จริงเลย

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ไปสังเกตุทำไม? รู้ลงไปเลยชัดเจนกว่า

    อย่าแกล้งลืมตอบคำถามสิ เพียรหาคำตอบเข้า มันจะเกิดประโยชน์กับตนเอง

    ก็ของมันจ่ออยู่ตรงหน้า ไม่ต้องไปหาไกลที่ไหน?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  7. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    อนุโมทนาค่ะ
    หาอ่านได้ยากมากนะคะที่จะมีใครสาธยายธรรมได้แบบนี้
    และคนที่จะเข้าใจตามได้ก็อาจจะมีไม่มาก
    หนักกว่านั้นอาจจะมีคนปรามาสอีกด้วย

    ขออนุญาต ยกธรรมของหลวงตามมหาบัว มาวางค่ะ

    บรรลุธรรมถึงที่สุดแล้วเหมือนกันหมด
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒

    มันมีหลายครั้งต่อหลายครั้ง กิเลสหลายกองทัพ กองทัพธรรมก็หลายกองทัพ สู้กัน ดูวัดดอยธรรมเจดีย์จะมีสองครั้ง ครั้งหนึ่งที่ว่าเดินจงกรมอยู่ตอนเช้าๆ เช้ามืดตี ๕ ที่จิตมันสว่างไสว คือมันว่างหมดเลย นั่นละเราก็มาคิดอัศจรรย์ใจเจ้าของ โถ ใจดวงนี้ทำไมมันถึงได้อัศจรรย์นัก (ครั้งแรกที่สว่างมีธรรมะขึ้นมาเตือนว่า มีจุดมีต่อมอยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ แต่หลวงตาคิดไม่ออกในตอนนั้น) นั่นละพระธรรมขึ้น ธรรมชาติเป็นผลมาดั้งเดิมเรื่อยมาจนกระทั่งถึงขั้นว่างหมดเลย อัศจรรย์เจ้าของ ตี ๕ เดินจงกรมอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ ทางจงกรมไปตามทิศใต้ทิศเหนือ คือมันเป็นทางตรงแน่วกลางคืนเดินดี เวลาไหนก็เดินดี เช้าวันนั้นประมาณตี ๕ ดูจิต แหม มันสว่างไสว สว่างแล้วยังไม่แล้วยังว่างหมดเลย อัศจรรย์เจ้าของ โอ้โห จิตนี้เป็นขนาดนี้เชียวน้า มันสว่างไสว

    สักเดี๋ยวหนึ่งธรรมที่เหลือนั้นมาอีกนะ นี้ก็เป็นกิเลสประเภทหนึ่งที่หลอกให้หลง ที่หลอกให้หลงนั่นคือกิเลส เรารู้ไม่ทันมัน จึงได้หลงได้อัศรรย์ความสว่างของจิต ว่างไปหมดเลย นี่เราอัศจรรย์ นี่มันก็ยังไม่ถึง แต่จิตก็ยังไม่สำคัญว่าถึงแล้ว ทีนี้พระธรรมท่านก็เตือน พออันนี้สงบลงพระธรรมเตือนขึ้นมาเลย ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ เราเลยงงแก้ไม่ตก เดือนสามอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ แก้ไม่ตก งงเลย เอ๊ มันจุดต่อมอย่างไรน้า ถ้าหากไปพูดให้พ่อแม่ครูจารย์ฟังแล้วดีไม่ดีสำเร็จในเดี๋ยวนั้นเลย เพราะมันก้าวเดียวเท่านั้นละ ก้าวที่สองก็ตูมเลย มันเปิดไว้แล้วแต่ยังไม่เข้าเฉยๆ

    อัศจรรย์ แล้วธรรมท่านก็เตือนขึ้นมาว่าถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ จุดก็คือจุดสว่างไสว จุดว่างเปล่า ตัวจิตยังไม่ว่าง สิ่งเหล่านั้นว่างหมดแล้ว มันวางหมด ว่างหมด แต่ตัวเองยังไม่ว่าง ยังไม่วาง มันอยู่จุดนี้นะ ถ้าหากว่าไปเล่าให้พ่อแม่ครูจารย์ฟังดีไม่ดีปึ๋งในเดี๋ยวนั้นเลย บรรลุ ที่ว่าพระสาวกทั้งหลายไปกราบทูลธรรมะถวายพระพุทธเจ้าได้บรรลุธรรมไม่น้อยนะ คือปัญหาอย่างนี้ละ พอไปถึงมันจะลงแล้วตีเลย ลงเลย ตูมเลย นั่น อันนี้ไม่มีใครมาตีให้ซี เลยงง อัศจรรย์ ทำไมมันสว่างไสวเอานักหนา

    จากนี้เราก็ลงจากดอยธรรมเจดีย์ไปองค์เดียว ธรรมดาเราไปองค์เดียว ไปอยู่ทางเลยศรีเชียงใหม่เข้าไปลึกๆ อยู่ในภูเขาเหมือนกัน ไปพักที่ถ้ำผาดัก จนกระทั่งเดือนหก สามเดือนกลับมา กลับมาก็ขึ้นเขาอีก เขาลูกนี้แหละลูกดอยธรรมเจดีย์ มันแบกปัญหาอันนี้ละไป ที่ว่ามีจุดมีต่อมอยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ เราก็เลยงง เลยแบกปัญหานี้ไป ไปไหนแบกไปไหนปลงก็ไม่ลง จนกระทั่งเดือนหก กลับมาก็ขึ้นเขานี้ละวัดดอยธรรมเจดีย์ เป็นวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ กลับมาก็พิจารณาจุดต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ อันนั้นก็มีแต่เรื่องใจ เศร้าหมองก็ใจ ผ่องใสก็ใจ สุขก็ใจ ทุกข์ก็ใจ ทำไมใจนี่เป็นได้หลายอย่างนักนา มันรำพึง

    พอว่าอย่างนั้นแล้วจิตอยู่ในมัธยัสถ์วางเป็นกลาง ไม่ได้คิดไม่ได้คำนึงอะไร ว่าจะจ่อกับอะไรก็ไม่จ่อ หากอยู่กลางๆ พอธรรมเตือนขึ้นมาอย่างนี้แล้วก็หยุดพักไป นิ่ง วางเฉย แล้วบอกขึ้นมาอีกว่าความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดี ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี ธรรมเหล่านี้ทั้งหมดเป็นอนัตตานะ คือไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ความหมายว่าอย่างนั้น เป็นอนัตตา พออันนี้ว่าแล้วก็สงบเงียบ ตอนนั้นไม่ตั้งใจจะจดจ่อกับงานอะไร อยู่ว่างๆ อยู่กลางๆ อุเบกขา ผางขึ้นมาเลยเชียว นั่น บทเวลาจะเป็น ไม่ได้มาเป็นตอนตั้งใจนะ

    อย่างพระอานนท์สำเร็จในอิริยาบถสี่ คือนั่งจริงๆ ก็ไม่ใช่ ว่าจะนอนเอนไปหัวยังไม่ถึงหมอนผางขึ้นตรงนั้นเลย ท่านว่าอิริยาบถสี่ คือจิตจดจ่ออยู่ตรงไหนยังไปไม่ได้นะ ถ้าไม่ปล่อยเสียก่อนยังไปไม่ได้ มีจดจ่ออยู่..พระพุทธเจ้าว่าเรา (พระอานนท์) จะบรรลุธรรมตอนเช้าสังคายนาแล้วเอานั่นมาเป็นอารมณ์ เลยไม่ทำงานจุดที่จะให้บรรลุ เลยเอาอันนั้นมาเป็นอารมณ์เลยไม่ได้เรื่อง ทีนี้พอทอดธุระ อ้าวนี่ก็จะสว่างแล้ว วันพรุ่งนี้ก็จะสังคายนาแล้ว เราเป็นองค์ที่ ๕๐๐ ยังขาดเราคนเดียว พักเสียก่อน ไม่สำเร็จก็จำเป็นแหละ

    พอว่าอย่างนั้นแล้วก็เข้าพัก คือที่ไปเจาะจงกับอะไรมันไม่ถอย มันจับอยู่นั้น นั่นไม่ใช่มรรคผลนิพพาน มันสัญญาอารมณ์ต่างหาก พอถอยจิตออกมาทีนี้ทอดธุระหมดทีนี้นะ พอเอนลงไปหัวยังไม่ถึงหมอน จะว่านั่งก็ไม่ใช่ จะว่านอนจริงๆ ก็ไม่ใช่คือเอนๆ ก็ตรัสรู้ผางขึ้นมา พอเช้าก็แสดงปาฏิหาริย์เลย ถึงวันเวลาที่จะประชุมสังคายนา ๕๐๐ องค์ เว้นไว้ช่องหนึ่ง คือพระอานนท์ ว่าจะได้พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ พระพุทธเจ้านะรับสั่งเอง สังคายนาวันนั้นเหลือไว้พระอานนท์องค์เดียว เป็น ๔๙๙ องค์

    พอถึงเวลาแล้ว..แต่ก่อนมันจ่อว่าจะได้ตรัสรู้ตามที่พระพุทธเจ้าสั่ง แต่มันไปหมายเสียซิ มันไม่เข้ามาทำงาน พอจิตถอยออกมา ปล่อยทุกอย่างแล้วเอนลง ก็ผางขึ้นมาเลย สำเร็จอิริยาบถสี่พระอานนท์ จะว่ายืนก็ไม่ใช่ จะว่านั่งจะว่านอนก็ไม่เชิง อยู่ตรงกลาง อิริยาบถสี่ เช้าวันทำสังคายนาเว้นช่องว่างไว้นั้น พระอานนท์ก็ผึงขึ้นตรงนั้นเลย ฤทธิ์เดชของพระอานนท์ที่เป็นสักขีพยานว่าพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ที่จะทำสังคายนานี้เต็ม ๕๐๐ แล้ว ๔๙๙ ว่างไว้ช่องหนึ่งสำหรับพระอานนท์ เพราะพระอานนท์นี้เป็นตู้พระไตรปิฎก เป็นพหูสูตได้ศึกษามานาน อย่างไรพระอานนท์ต้องได้เข้าในที่ประชุม พระพุทธเจ้ารับสั่งไว้หมดแล้ว มีแต่พระอรหันต์ล้วนๆ ๔๙๙ เหลือพระอานนท์องค์เดียวผึงขึ้นก็ ๕๐๐ พอดี

    อย่างนั้นละพระพุทธเจ้ารับสั่งผิดที่ไหน รับสั่งตรงไหนไม่ผิด ตอนที่ท่านว่าอย่างนั้นจิตมันก็ส่ายแส่ไปเจาะจงหรือหมายนั้นหมายนี้ จิตมันไม่เข้าทำงาน พอปล่อยวางหมดทอดอาลัยเท่านั้นจิตก็ปล่อยนั้นลงผึงเลย เป็นอย่างนั้นละ เรียกว่าบรรลุนั้นบรรลุนี้เราอย่าเข้าใจว่าธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่ครึที่ล้าสมัยนะ ล่วงมาหลายปีหลายเดือนนั้นเป็นมืดกับแจ้ง บาปกับบุญไม่ได้ล่วง เป็น อกาลิโก คือบาปกับบุญ การบำเพ็ญคุณงามความดีตลอดเวลาก็เป็นอกาลิโกของบุญ การทำความชั่วตลอดเวลาก็คือการสั่งสมความชั่วเข้าใส่ตัวตลอดเวลา จึงเรียกว่าอกาลิโก เป็นได้ทั้งบาปทั้งบุญ ทำเวลาไหนถ้าเป็นบาปก็เป็น ถ้าเป็นบุญก็เป็นทั้งนั้นละ

    ...

    (คัดลอกมาบางส่วน)
    Luangta.Com - ��ǧ����Һ�� �ҳ����ѹ�
     
  8. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    มันจะค่อยๆ เริ่มส่งผลมากขึ้นทีละนิดๆ นะ ธรรมภูต

    http://palungjit.org/8307218-post183.html
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    อนุโมทนาค่ะ
    หาอ่านได้ยากมากนะคะที่จะมีใครสาธยายธรรมได้แบบนี้

    +++ การโพสท์ของผม มาจากประสพการณ์โดยตรง และการใช้ภาษานั้น พยายามให้ตรงกับอาการให้มากที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเดินจิตผิดพลาด

    และคนที่จะเข้าใจตามได้ก็อาจจะมีไม่มาก

    +++ โพสท์ของผมข้างบนนั้น เป็นโพสท์สำหรับคุณ solardust โดยตรง หรือบุคคลที่กำลังฝึกอยู่ในระดับนี้ เท่านั้น
    +++ ผู้ที่จะเข้าใจได้นั้น 1. ต้องเดินจิตเป็น 2. การฝึกมหาสติปัฏฐาน ต้องอยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกับโพสท์ข้างบนนั้น
    +++ หากต่ำกว่านั้นลงมา จะไม่มีทางรู้ได้เลย แม้ว่าจะถึงระดับที่ถอดกายออกท่องเที่ยวได้ก็ตาม เพราะเป็นโพสท์ที่เกี่ยวกับ นามละเอียด (ไม่ใช่รูป)

    หนักกว่านั้นอาจจะมีคนปรามาสอีกด้วย

    +++ ตรงนี้ผมวางไว้ เพราะมันเป็นกรรมส่วนบุคคล ที่เกิดอยู่ในวงจรจิตของเขาเอง
    =================================================================

    +++ สำหรับผู้ที่ฝึกมหาสติปัฏฐานจริง ๆ ที่ไม่โกหกตนเองนั้น มักจะผ่านมาตามลำดับขั้นตอนต่าง ๆ คือ ผ่านกาย ก่อนที่จะผ่าน เวทนากาย (พลังกาย) แล้วจึงจะผ่านจิต ก่อนที่จะผ่าน เวทนาจิต (พลังจิต) ซึ่งเป็น อาการการรวมตัวของธรรมารมณ์ ในการกำเหนิดอัตตาจิต (ตนที่เป็นโลกียะ)

    +++ ต้องขอขอบคุณ คุณ MindSoul1 ที่ได้ยกธรรมะของ หลวงตามหาบัว มาไว้ในที่นี้ด้วย ผมจะใช้อีกภาษาหนึ่งมาอธิบายอาการ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในวงกว้างต่อไป ส่วนคำศัพท์ที่เรียบกว่า "ผู้รู้" นั้น แท้จริงแล้วก็คือ "ตัวผู้ฝึก" ที่เรียกว่า "อัตตาจิต" นั่นเอง แต่อาการของมันเป็น "อาการดู" ผมจึงเรียกมันว่า "ตัวดู" ตามอาการของมันนั่นแหละ

    "ถ้ามีจุดมีต่อมแห่ง "ผู้รู้" ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ" และ "สิ่งเหล่านั้นว่างหมดแล้ว มันวางหมด ว่างหมด แต่ตัวเองยังไม่ว่าง ยังไม่วาง"
    + นั่นคือ ยังเหลือแต่ "อัตตาจิต" นั่นเอง

    "พอว่าอย่างนั้นแล้วจิตอยู่ในมัธยัสถ์วางเป็นกลาง"
    + ตรงนี้คือ สภาวะรู้ ที่ไร้กิริยาจิต เป็น อสังขตะธรรม

    "ไม่ได้คิดไม่ได้คำนึงอะไร"
    + ตรงนี้ สังขารจิต เกิดไม่ได้

    "ว่าจะจ่อกับอะไรก็ไม่จ่อ"
    + ที่สำคัญที่สุดคือตรงนี้ เป็นสภาวะของ "ตัวดู" หรือ "อัตตาจิต" หยุดการทำงานลง และ ไม่มีการส่งออก (จ่อ) แม้แต่นิดเดียว
    (คำว่า "จ่อ" ของหลวงตามหาบัว เป็นอาการเดียวกันกับคำว่า "จิตส่งออก" ของหลวงปู่ดูลย์)
    (ส่วนคำว่า "จิตเห็นจิตเป็นมรรค" นั้น ตรงกับอาการของ "ตัวดู หรือ อัตตาจิต ถูกรู้")

    "หากอยู่กลางๆ พอธรรมเตือนขึ้นมาอย่างนี้แล้วก็หยุดพักไป นิ่ง วางเฉย แล้วบอกขึ้นมาอีกว่าความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดี ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี ธรรมเหล่านี้ทั้งหมดเป็นอนัตตานะ คือไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ความหมายว่าอย่างนั้น เป็นอนัตตา"
    + หลังจาก หยุดตนได้ (ไม่มีการจ่อ) จึงเห็นอนัตตาธรรม (ไม่มีอะไรเป็นตน)

    "พออันนี้ว่าแล้วก็สงบเงียบ"
    + จากนั้นจึงเหลือแต่ สภาวะรู้

    "ตอนนั้นไม่ตั้งใจจะจดจ่อกับงานอะไร"
    + อัตตาจิต เกิดไม่ได้

    "อยู่ว่างๆ อยู่กลางๆ อุเบกขา ผางขึ้นมาเลยเชียว นั่น"
    + รู้แจ้งในขณะนั้น คำว่า "อยู่ว่างๆ อยู่กลางๆ อุเบกขา" เป็นอาการของ สภาวะรู้ ส่วน "ผางขึ้นมาเลยเชียว นั่น" เป็นอาการ รู้แจ้ง

    "บทเวลาจะเป็น ไม่ได้มาเป็นตอนตั้งใจนะ"
    + ความตั้งใจใด ๆ รวมทั้งการกำหนดจิตทั้งหลาย จะเกิดขึ้นไม่ได้ในขณะนั้น และสภาวะที่เกิดขึ้นนี้ เป็น สภาวะที่ไร้เจตนา

    +++ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ต่อคุณ MindSoul1 และ ผู้ที่มีกิเลสเบาบาง พอสมควรนะครับ
     
  10. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    มีประโยชน์แน่ครับ เพราะบางทีหลวงตาใช้ภาษาโบราณ ภาษาท้องถิ่น
    อย่างสายหลวงปู่มั่นบางทีท่านเทศน์เป็นภาษาอีสาน มึนตึบเลยผม ต้องแปลไทยเป็นไทย
     
  11. ไม้เกาหลัง

    ไม้เกาหลัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +89
    สติปัฏฐาน 4 มีไว้พิจารณา โดยใช้หลักธรรมอริยะสัจ 4 มีอริยมรรคเป็นองค์ 8
     
  12. aejj

    aejj สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2010
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +5
    เคยนั่งสมาธิเมื่อหลายปีมาแล้ว ครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว จากนั้นก็ไม่เคยได้มีโอกาสนั่งสมาธิอีกเลย เพราะวิบากกรรมต่างๆ ทำงานและสภาวะรถติดทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ในใจก็ยังฝักใฝ่เข้ามาอ่านในกระทู้การทำสมาธิอยู่เป็นประจำ เลยทำให้นึกถึงตอนตนเองนั่ง
    "ในสมาธิว่างเปล่า แต่ระลึกรู้ตนเองอยู่เสมอว่ากำลังนั่งสมาธิอยู่ เมื่อเกิดภาพใดๆขึ้นในสมาธิก็มองแต่ไม่สนใจมัน อย่างนี้เป็นการนั่งสมาธิที่ดีแล้วหรือไม่" หากมีวาสนาคงได้มีโอกาสนั่งสมาธิอีกครั้ง อนุโมทนาสาธุกับพุทธศาสนิกชนทุกท่านที่มีใจฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนา
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เฮ้อ!!!

    มันไม่ใช่แค่เริ่ม มันส่งผลตั้งแต่"ตอนที่ขาดความซื่อสัตย์ต่อตนเอง"แล้ว

    ที่ถามไปไม่คิดจะตอบ คิดแต่จะเอาชนะคะคานเพียงแค่น้ำคำเท่านั้นหรือ?

    ไม่ใช่บีบให้ตอบ แต่บีบให้เอาเวลาไป"ภาวนา"เพื่อค้นหาคำถามตอบ

    กลับไม่ทำ เอาแต่ปรุงแต่งมันไปเรื่อยๆตามกิเลสอ้าง

    เมื่อไหร่ "อามีสสัญญา" และ"ถิรสัญญา"จึงจะดับลงไปได้บ้างน้อ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

     
  14. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ยังสงสัยอยู่ เอามาจากไหน เรื่องฌาน 2 อามิสสัญญา
    มันเป็นเรื่องที่ธรรมภูต คุยกับคนอื่น ไม่ได้คุยกับผม แล้วอยู่ดีๆ เอามาถามผมเพราะอะไร

    ให้สังเกตนะว่า เรื่องที่ผมถามธรรมภูต แย้งธรรมภูต คุยกับธรรมภูต จะเป็นเรื่องระหว่างที่เราคุยกันสองคน ไม่ได้เอาเรื่องข้อที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นมาผสม

    แต่พอผมแย้งจุดที่ธรรมภูต สมองเบลอ สับสน จำคนผิด ถามผิดคน เพื่อที่จะชี้ว่า มันเริ่มเกิดความฟั่นเฟือนแล้ว แทนที่ธรรมภูตจะสนใจข้อนี้ ธรรมภูตกลับไม่พูดถึงความผิดพลาดของตนเอง แต่โยงเอาประเด็นมาผูกรวมกัน แล้วเอาคำถามที่คุยกับคนอื่น มาถามกับผม แล้วก็หาว่าผมไม่ยอมตอบ เพื่อเบี่ยงประเด็นให้ดูดี ให้เหมือนว่า ผมตอบคำถามธรรมภูตไม่ได้ เพื่อกลบเรื่องความฟั่นเฟือนของตนเอง

    ปัจจุบันนี้ ธรรมภูตมีปัญหาเรื่องการคิดหรือเปล่า สมองมันสับสนมากหรืออย่างไร?
     

แชร์หน้านี้

Loading...