<VSN><<<มาใหม่ สายเขาอ้อ อ.ชุม,อ.ปาล,อ.คง, สรุปรายการหน้า๑๐๓>>><NSV>

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย momotaro67, 25 ธันวาคม 2010.

  1. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    พระหลวงปู่ทวดเขาอ้อ อ.ชุม วัดพระบรมธาตุ ปี 2497 ของดีพุทธคุณสูง ด้านหน้ามีรอยเม็ดเหล็กไหลหลุด แต่พิเศษที่ด้านหลังฝั่งเม็ดเหล็กไหลหายาก และมีจำนวนน้อยมาก

    พิธี เดียวกันกับพระนางตรา ท่าเรือ ออกที่วัดพระบรมธาตุ ปี 2497 โดยความร่วมมือกันของศิษย์สายเขาอ้อ อ.ชุม ขุนพันธ์ฯ จำนวนการสร้างนั้นมีถึง 84,000 องค์ พระมีจำนวนมาก เมื่อเหลือจากแจกจ่ายไปแล้ว ท่านจึงได้นำบรรจุเก็บไว้ในถัง 200 ลิตร ต่อมาปลวกเข้าไปทำรัง พระที่พบจึงมีทั้งแบบมีคราบปลวกและที่ไม่มีคราบ

    มวล สารที่รวบรวมมามี พระกรุสุดยอดพระเครื่องจากทั่วประเทศ มาดำเนินการสร้างพระชินราชท่าเรือนี้ จากการรวบรวมปรากฎว่าได้พระกรุมากว่า 108 กรุ ว่านยาอีก 108 ชนิด รวมทั้งผงวิเศษ อาทิเช่น พระกรุนางตรา-ท่าเรือ, กรุท้าวโคตร, สมเด็จวัดระฆัง, สมเด็จบางขุนพรหม, พระผงสุพรรณ, ผงดำผงแดงหุ่นพยนต์, หลวงพ่อเกตุ วัดขวิด, ขุนแผนวัดพระรูปและวัดบ้านกร่าง, พระนางพญาวัดนางพญาและวัดต้นจันทร์ สุพรรณบุรี, พระกรุต่าง ๆ ในกำแพงเพชร, พระกรุต่าง ๆ ในสุโขทัย, หูยานลพบุรี, ท่ากระดานหูไห กาญจนบุรี, พระกรุวัดท่ามะปราง, พระวัดชินราช พิษณุโลก, พระหลวงพ่อจุก, พระจุฬามณี พิษณุโลก, พระรอด พระคง พระเปิม-ลำพูน, มหาว่านวัดเขาอ้อ-พัทลุง, และพระกรุศรีวิชัยฯลฯ

    การ ประกอบพิธีพุทธา ภิเษก จัดให้มีขึ้นตลอดพรรษา ณ วิหารวัดพระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช โดยนิมนต์พระเถราจารย์ ผู้เรืองเวทวิทยาคม 108 รูป มาร่วมประกอบพิธี มีท่านเข้าคุณพระภัทรมุนี เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุฯ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ สำหรับพระคณาจารย์ที่ปลุกเสกขอยกมาเป็นบางส่วน ได้แก่ หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขัน จันดี, หลวงพ่อโอภาสี บางมด ธนบุรี,หลวงพ่อเขียว วัดหรงบน, หลวงพ่อเมือง วัดท่าพญา, หลวงพ่อคง วัดคลองน้อย, หลวงพ่อมุ่ย วัดป่าระกำ ปากพนัง, หลวงพ่อแดง วัดโท ท่าศาลา, หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง ร่อนพิบูลย์, หลวงพ่อแดง วัดเขาหลัก ทุ่งใหญ่, หลวงพ่อตุด วัดทุ่งกง กระบี่, หลวงพ่อวัน มะนะโส วัดประสิทธิชัย, หลวงพ่อแสง วัดคลองน้ำเจ็ด ตรัง, หลวงพ่อปาล วัดเขาอ้อ, หลวงพ่อคง วัดบ้านสวน, หลวงพ่อดิษฐ์ วัดปากสระ. หลวงพ่อเจ็ก วัดเขาแดงตะวันตก, หลวงพ่อหมุน วัดเขาแดง ตะวันออก พัทลุง, หลวงพ่อพัว วัดเขาราหู (วัดบางเดือน). หลวงพ่อแดง วัดคลองไทร, หลวงพ่อวิรัช วัดกะเปา คีรีรัฐนิคม สุราษฎร์ธานี, หลวงพ่อทอง วัดดอนสะท้อน, หลวงพ่อสงฆ์ วัดศาลาลอย, หลวงพ่อจีด วัดถ้ำเขาพลู, หลวงพ่อรุ่ง วัดบางแหวน ชุมพร, หลวงพ่อท้วม วัดเขาโบสถ์ บางสะพาน, หลวงพ่อเปี่ยม วัดเกาะหลัก ประจวบคีรีขันธ์, หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง เพชรบุรี, หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม, หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม นครปฐม ฯลฯ อาจารย์ที่เป็นฆราวาสได้แก่ อ.ชุม ไชยคีรี, อ.นำ แก้วจันทร์, พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ ราชเดช

    การ ปลุกเสกเน้นเด่นเฉพาะทาง แบ่งออกเป็นช่วง ช่วงละ 7 วัน เช่น ปลุกเสกเน้นด้านคงกระพันชาตรี 7 วัน มหาอุด 7 วัน ป้องกันสัตว์ร้ายและโจรร้าย 7 วัน ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บและภูตผีปีศาจ 7 วัน เมตตามหานิยม 7 วัน เนรมิตกายกำราบศัตรูให้เห็นเราคนเดียวเป็นหลายคน ดังนี้เป็นต้น

    สามารถบูชาแทนหลวงปู่ทวด ปี2497 วัดช้างให้ได้เลย เพราะใช้บล็อคเดียวกับหลวงปู่ทวด ปี2497 วัดช้างให้ และผสมมวลสารของหลวงปู่ทวด ปี2497 วัดช้างให้ด้วย ของดีทีี่คนยังไม่รู้มากแต่ลูกศิษท์สายอาจารย์ชุมรู้ดี และไล่เก็บเงียบมานานแล้ว ปัจจุบันอยู่กับลูกศิษท์ต่างชาติเสียเยอะแล้ว ของแท้แน่นอนรับประกันชั้นหนึ่งครับ
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]


    *ปิดรายการนี้ครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_1926-horz.jpg
      SAM_1926-horz.jpg
      ขนาดไฟล์:
      267.1 KB
      เปิดดู:
      14,061
    • SAM_1930.JPG
      SAM_1930.JPG
      ขนาดไฟล์:
      146.6 KB
      เปิดดู:
      13,693
    • SAM_1929.JPG
      SAM_1929.JPG
      ขนาดไฟล์:
      158.1 KB
      เปิดดู:
      12,152
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2013
  2. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    พระหลวงปู่ทวดเขาอ้อ อ.ชุม วัดพระบรมธาตุ ปี 2497 ของดีพุทธคุณสูง เปิดให้บูชาตามสภาพครับ สำหรับผู้ที่ต้องการบูชาเอาพุทธคุณครับ

    พิธี เดียวกันกับพระนางตรา ท่าเรือ ออกที่วัดพระบรมธาตุ ปี 2497 โดยความร่วมมือกันของศิษย์สายเขาอ้อ อ.ชุม ขุนพันธ์ฯ จำนวนการสร้างนั้นมีถึง 84,000 องค์ พระมีจำนวนมาก เมื่อเหลือจากแจกจ่ายไปแล้ว ท่านจึงได้นำบรรจุเก็บไว้ในถัง 200 ลิตร ต่อมาปลวกเข้าไปทำรัง พระที่พบจึงมีทั้งแบบมีคราบปลวกและที่ไม่มีคราบ

    มวล สารที่รวบรวมมามี พระกรุสุดยอดพระเครื่องจากทั่วประเทศ มาดำเนินการสร้างพระชินราชท่าเรือนี้ จากการรวบรวมปรากฎว่าได้พระกรุมากว่า 108 กรุ ว่านยาอีก 108 ชนิด รวมทั้งผงวิเศษ อาทิเช่น พระกรุนางตรา-ท่าเรือ, กรุท้าวโคตร, สมเด็จวัดระฆัง, สมเด็จบางขุนพรหม, พระผงสุพรรณ, ผงดำผงแดงหุ่นพยนต์, หลวงพ่อเกตุ วัดขวิด, ขุนแผนวัดพระรูปและวัดบ้านกร่าง, พระนางพญาวัดนางพญาและวัดต้นจันทร์ สุพรรณบุรี, พระกรุต่าง ๆ ในกำแพงเพชร, พระกรุต่าง ๆ ในสุโขทัย, หูยานลพบุรี, ท่ากระดานหูไห กาญจนบุรี, พระกรุวัดท่ามะปราง, พระวัดชินราช พิษณุโลก, พระหลวงพ่อจุก, พระจุฬามณี พิษณุโลก, พระรอด พระคง พระเปิม-ลำพูน, มหาว่านวัดเขาอ้อ-พัทลุง, และพระกรุศรีวิชัยฯลฯ

    การ ประกอบพิธีพุทธา ภิเษก จัดให้มีขึ้นตลอดพรรษา ณ วิหารวัดพระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช โดยนิมนต์พระเถราจารย์ ผู้เรืองเวทวิทยาคม 108 รูป มาร่วมประกอบพิธี มีท่านเข้าคุณพระภัทรมุนี เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุฯ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ สำหรับพระคณาจารย์ที่ปลุกเสกขอยกมาเป็นบางส่วน ได้แก่ หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขัน จันดี, หลวงพ่อโอภาสี บางมด ธนบุรี,หลวงพ่อเขียว วัดหรงบน, หลวงพ่อเมือง วัดท่าพญา, หลวงพ่อคง วัดคลองน้อย, หลวงพ่อมุ่ย วัดป่าระกำ ปากพนัง, หลวงพ่อแดง วัดโท ท่าศาลา, หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง ร่อนพิบูลย์, หลวงพ่อแดง วัดเขาหลัก ทุ่งใหญ่, หลวงพ่อตุด วัดทุ่งกง กระบี่, หลวงพ่อวัน มะนะโส วัดประสิทธิชัย, หลวงพ่อแสง วัดคลองน้ำเจ็ด ตรัง, หลวงพ่อปาล วัดเขาอ้อ, หลวงพ่อคง วัดบ้านสวน, หลวงพ่อดิษฐ์ วัดปากสระ. หลวงพ่อเจ็ก วัดเขาแดงตะวันตก, หลวงพ่อหมุน วัดเขาแดง ตะวันออก พัทลุง, หลวงพ่อพัว วัดเขาราหู (วัดบางเดือน). หลวงพ่อแดง วัดคลองไทร, หลวงพ่อวิรัช วัดกะเปา คีรีรัฐนิคม สุราษฎร์ธานี, หลวงพ่อทอง วัดดอนสะท้อน, หลวงพ่อสงฆ์ วัดศาลาลอย, หลวงพ่อจีด วัดถ้ำเขาพลู, หลวงพ่อรุ่ง วัดบางแหวน ชุมพร, หลวงพ่อท้วม วัดเขาโบสถ์ บางสะพาน, หลวงพ่อเปี่ยม วัดเกาะหลัก ประจวบคีรีขันธ์, หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง เพชรบุรี, หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม, หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม นครปฐม ฯลฯ อาจารย์ที่เป็นฆราวาสได้แก่ อ.ชุม ไชยคีรี, อ.นำ แก้วจันทร์, พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ ราชเดช

    การ ปลุกเสกเน้นเด่นเฉพาะทาง แบ่งออกเป็นช่วง ช่วงละ 7 วัน เช่น ปลุกเสกเน้นด้านคงกระพันชาตรี 7 วัน มหาอุด 7 วัน ป้องกันสัตว์ร้ายและโจรร้าย 7 วัน ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บและภูตผีปีศาจ 7 วัน เมตตามหานิยม 7 วัน เนรมิตกายกำราบศัตรูให้เห็นเราคนเดียวเป็นหลายคน ดังนี้เป็นต้น

    สามารถบูชาแทนหลวงปู่ทวด ปี2497 วัดช้างให้ได้เลย เพราะใช้บล็อคเดียวกับหลวงปู่ทวด ปี2497 วัดช้างให้ และผสมมวลสารของหลวงปู่ทวด ปี2497 วัดช้างให้ด้วย ของดีทีี่คนยังไม่รู้มากแต่ลูกศิษท์สายอาจารย์ชุมรู้ดี และไล่เก็บเงียบมานานแล้ว ปัจจุบันอยู่กับลูกศิษท์ต่างชาติเสียเยอะแล้ว ของแท้แน่นอนรับประกันชั้นหนึ่งครับ
    [​IMG]
    [​IMG]


    *ปิดรายการนี้ครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_1935-horz.jpg
      SAM_1935-horz.jpg
      ขนาดไฟล์:
      259.8 KB
      เปิดดู:
      7,932
    • SAM_1936.JPG
      SAM_1936.JPG
      ขนาดไฟล์:
      130 KB
      เปิดดู:
      7,603
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2014
  3. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]
    หลวงพ่อแดงพุทโธ เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำเขาเงินเมื่อ 69 ปีล่วงมาแล้ว (พ.ศ. 2545) ในสมัยท่านมีชีวิตอยู่ท่านเป็นพระวาจาสิทธิ์เชี่ยวชาญในทางวิปัสสนา ให้พรผู้ใดก็มักเป็นไปตามพรที่ท่านให้ ปกติท่านพูดใช้คำ "พุทโธ" เป้นประจำติดปากจนประชาชนทั่วไปเรียกชื่อท่านว่า หลวงพ่อแดงพุทโธ นอกจากนั้นหลวงพ่อแดงยังมีความชำนาญในทางไสยศาสตร์แสดงอภินิหารอย่างน่า มหัศจรรย์ เป็นที่เคารพนับถือและเป็นที่พึ่งของประชาชนทั่วไปจนกระทั่งบัดนี้

    ชาติกำเนิด
    ภูมิลำเนาของหลวงพ่อแดง เกิดที่บ้านแหลมน้ำ หมู่ที่ 9 ตำบลวังตะกอ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ท่านเกิดเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 9 ปีเถาะ ตรงกับวันที่ ... เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2379 บิดาชื่อนายหนู มารดาชื่อนางอ่อน
    เมื่อหลวงพ่อแดงเจริญวัยขึ้นพอที่จะศึกษาวิชาการได้แล้ว บิดาของท่านผู้เห็นการไกลก้ได้นำหลวงพ่อแดงไปฝากให้ศึกษากับ ท่านอาจารย์หลวงพ่อภารรัตน์แก้ว ณ สำนักวัดถ้ำเขาเงิน หลวงพ่อภารรัตน์แก้วท่านได้เอาใจใส่อบรมสั่งสอนจนมีความรู้ความชำนาญในภาษา ไทย และศึกษาภาษาขอม เมื่อมีความรู้ดีแล้วสมควรที่จะให้อุปสมบทเป็นภิกษุ ในสมัยนั้นภิกษุหลวงพ่อแดงได้ศึกษาธรรมวินัยจนแตกฉานแล้ว ก็ศึกษามุ่งตรงในทางวิปัสสนา โดยอาจารย์หลวงพ่อภารรัตน์แก้วให้การศึกษาอบรมจนเป็นที่ชำนาญ นอกจากศึกษาธรรมวินัย และปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดแล้ว อาจารย์หลวงพ่อภารรัตน์แก้วยังประสิทธิ์ประสาทเวทย์ศาสตร์และไสยศาสตร์ ให้หลวงพ่อแดงได้ศึกษา จนมีความชำนาญแสดงอภินิหาร ได้อย่างน่าอัศจรรย์จนเป็นที่นับถือเลื่องลือทั่วไปของประชาชน เมื่ออาจารย์หลวงพ่อภารรัตน์แก้ว มรณภาพแล้วหลวงพ่อแดงก็รับตำแหน่งเจ้าอาวาสแทนท่านอาจารย์ ในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสก้ได้ปรับปรุงบูรณะวัดถ้ำเขาเงินให้มีความเป็น อยู่ดีขึ้นหลายประการ เป็นต้นว่าได้สร้างกุฏิเพื่มขึ้น และนอกจากนั้นหลวงพ่อแดงได้วางโครงการสร้างเจดีย์หน้าถ้ำเขาเงินไว้แต่ไม่ สำเร็จ การสร้างพระเจดีย์หน้าถ้ำนี้เพิ่งมาสำเร็จ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสถ้ำเขาเงิน และรับสั่งให้พระยาจรูญราชโภคากรเจ้าเมืองหลังสวนในสมัยนั้นเป็นผู้สร้างโดย พระองค์พระราชทานราชทรัพย์ดำเนินการ

    กิจวัตรของหลวงพ่อแดงพุทโธ
    โดยปกติท่านปฏิบัติธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เป็นตัวอย่างที่ดีของบรรดาศิษย์ มีเมตตากรุณาแก่คนทั่วไป กิจวัตรประจำวันของท่าน เช่น บิณฑบาตเป็นประจำทุกวัน แม้ว่าตอนหลังพรรษาของท่านมากขึ้น และร่างกายของท่านทรุดโทรมไปตามภาวะของสังขารการบิณฑบาตนี้ ท่านมิได้ท้อถอยคงปฏิบัติเป็นประจำตลอดมา จนถึงชาวบ้านมีความสงสาร นำอาหารมาให้ท่านบิณฑบาตไกล้ๆ วัดและยังมีกิจวัตรการบำเพ็ญวิปัสสนา อีกอย่างหนึ่งที่หลวงพ่อแดงพุทโธท่านปฏิบัติเป็นประจำโดยเคร่งครัดเมื่อถึง กำหนดเวลา แม้ว่ามีแขกมาหาท่าน ท่านก็เข้าปฏิบัติกิจของท่านทันที จนเป็นที่ทราบกันทั่วไป นอกจากหลวงพ่อแดงพุทโธท่านปฏิบัติด้วยตนเองในวิปัสสนาแล้ว ท่านยังมีความเมตตาให้การฝึกอบรมพระภิกษุสามเณรอุบาสกอุบาสิกาให้เจริญ วิปัสสนาด้วย ดังนั้นสำนักวัดถ้ำเขาเงินของหลวงพ่อแดงจึงอบอวลไปด้วยธรรม เป็นสังฆารามที่เต็มไปด้วยสันติสุขโดยอาศัยสันติธรรมเป็นแนวทาง ยังมีกิจวัตรอีกอย่างหนึ่งที่หลวงพ่อแดงปฏิบัติเป็นประจำเช่นเดียวกันคือการ รับนิมนต์ ทั้งนี้ก็ด้วยความเมตตากรุณาของท่านเอง เมื่อใครนิมนต์ท่านไปเจริญพระพุทธมนต์หรือพิธีใดๆ อันเป็นมงคลหรืองานอวมงคล หลวงพ่อแดงพุทโธท่านไปในงานนั้นเป็นที่ชื่นชอบของชาวพุทธทั่วไป มีครั้งหนึ่งความเมตตาของท่านก่อให้เกิดความลำบากแก่หลวงพ่อคือ เนื่องจากสมัยนั้นมีอั้งยี่ดาษดื่นทั่วไป ได้มีบุคคลพวกหนึ่งได้มาอาราธนาขอศีลจากหลวงพ่อแดง ณ วัดถ้ำเขาเงิน เมื่อรับศีลแล้ว บุคคลของพวกนั้นก็กลับจากวัดไป ภายหลังทางราชการทำการปราบปรามคณะอั้งยี่ต่างๆ และคณะบุคคลที่อาราธนาหลวงพ่อให้ศีลก็เป็นอั้งยี่คณะหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้หลวงพ่อแดงพุทโธจึงถูกทางการเพ่งเล็งกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับ สนุนคณะอั้งยี่ ความจริงหลวงพ่อให้ศีลแก่บุคคลพวกนั้นด้วยเจตนาบริสุทธิ์เพื่อเฉลิมฉลอง ศรัทธา ด้วยเมตตาจิตของหลวงพ่อเท่านั้น มิได้มีเจตนาที่จะส่งเสริมบุคคลคณะนั้นไปในทางชั่วแต่ประการใด เพราะผู้รับศีลย่อมตั้งตนและถือปฏิบัติเป็นคนดี เพราะหลวงพ่อแดงสอนให้คนทำดีต่างหาก แต่เมื่อทางราชการเห็นเป็นอย่างนั้นก็เป็นกรรมของหลวงพ่อแดงพุทโธ จึงถูกทางราชการอาราธนาเข้ากรุงเทพฯ เพื่อทำการสอบสวนก่อนที่จะมีการสอบสวน ทางการได้ให้หลวงพ่อแดงพุทโธลาสิกขาบท และเมื่อได้สอบสวนเป็นที่แน่ชัดแล้ว ปรากฏว่าหลวงพ่อแดงพุทโธเป็นผู้บริสุทธิ์จึงพระยาวุฒิไกรชาญคดีธรรมการได้ จัดการให้หลวงพ่อแดงพุทโธอุปสมบทเป็นภิกษุตามเดิม ณ อุโบสทวัดสามปลื้มตอนนั้นหลวงพ่อมีพรรษา 45 พรรษา เมื่ออุปสมบทใหม่แล้วหลวงพ่อแดงพำนักอยู่วัดสามปลื้มครึ่งเดือน แล้วเดินทางกลับหลังสวน ตามที่หลวงพ่อแดงพุทโธเดินทางไปกรุงเทพฯ ครั้งนั้นมีศิษย์ตืดตามไปด้วยสามคน คือ นายหนู ศักดิ์แสง เวลานั้นอายุ 58 ปี และยังมีชีวิตอยู่ และนายเชื่อม นายศึก สองคนนี้เสียชีวตแล้วตามคำบอกเล่าของนายหนู ศักดิ์แสง ว่าเวลาที่หลวงพ่อแดงพุทโธพำนักอยู่ที่วัดสามปลื้มนั้นเป็นที่เคารพของพระยา วุฒิไกรชาญคดีธรรมการ และปรชาชนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจากภรรยาของพระยาผู้นี้ถึงกำหนดคลอดบุตรแล้วมีความเจ็บปวดใน การคลอดเป็นอย่างมาก แต่ไม่ยอมคลอดภรรยาของพระยาผู้นี้เจ็บปวดทรมานอยู่หลายวัน ต่อมาด้วยเมตตาจิตรของหลวงพ่อแดงพุทโธ ที่จะสองคุณโยมอุปฐากจึงได้นำน้ำมนต์เสดาะอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อไป ประพรมภรรยาของพระยาดังกล่าว ผลปรากฏว่าคลอดออกมาเรียบร้อยและสุขสบายทั้งมารดาและทารก นี่เป็นสาเหตุที่อภินิหารของหลวงพ่อแดงพุทโธ ปรากฏใต้ฟ้ากรุงเทพมหานคร

    เมื่อหลวงพ่อกลับถึงหลังสวนได้พำนักที่วัดน้ำฉ่า (วัดชลธารวดี ปัจจุบัน) ชั่วคราว เพราะหลวงพ่อแดงพุทโธเป็นที่ชอบพอถูกอัธยาศัยกับหลวงพ่อนวล เจ้าอาวาสวัดน้ำฉ่า หลวงพ่อแดงพักอยู่พอสมควรแล้วกลับมาอยู่ประจำวัดถ้ำเขาเงินตามเดิมจนวัยชรา แม้ว่าสังขารของหลวงพ่อแดงพุทโธไม่ค่อยอำนวยให้เกี่ยวกับการปฏิบัติกิจวัตร ประจำวันก็ตามแต่หลวงพ่อก็ไม่ได้ท้อถอยคงปฏิบัติกิจเป็นประจำ จนวาระสุดท้ายของหลวงพ่อมาถึงอันเป็นไปตามกฏแห่งกรรม


    มรณภาพ
    หลวงพ่อแดงพุทโธมรณภาพด้วยโรคชรา ในอาการนั่งสมาธิโดยสงบมีพรรษา 97 พรรษาเมื่อ พ.ศ. 2476 ยังความเศร้าโศกแก่บรรดาศิษยานุศิษย์ ญาติโยมและประชาชนทั่วไป เหตุที่มหัศจรรย์ก่อนที่หลวงพ่อแดงพุทโธจะมรณภาพคือท่านกำหนดรู้เวลามรณภาพ ของท่าน กล่าวคือในวันที่หลวงพ่อจะมรณภาพหลวงพ่อสั่งให้พระภิกษุคล้อย (ในกาลต่อมาเป็นผู้ใหญ่คล้อย ฉิ่งวังตะกอ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ต.วังตะกอ) ไปแจ้งข่าวแก่พระครูภมร จริยคุณ ศิษย์ของหลวงพ่อผู้หนึ่ง ณ วัดสมุเขตตาราม ให้บอกว่าหลวงพ่อจะมรณภาพวันนี้ตอนบ่าย และสั่งไว้ว่า เมื่อหลวงพ่อมรณภาพแล้าให้จัดบูชาเพลิงศพของหลวงพ่อที่ต้นสารภีไกล้กับกุฏิ ของท่านเป็นที่น่าเสียดาย พระครูภมร จริยคุณ มาถึงตอนบ่ายช้าไปเพียงเล็กน้อย หลวงพ่อมรณภาพเสียแล้วเวลาประมาณบ่าย 2 โมง (14 นาฬกา) มิฉะนั้นคงจะได้ฟังเรื่องการดำเนินการบำเพ็ญศพจากปากของหลวงพ่อว่าควร ปฏิบัติอย่างไรจึงจะสมควร แต่ถึงอย่างไรก็ตาม พระครูภมรได้ปรึกษาญาติโยมพร้อมกันแล้วก็อาราธนาศพหลวงพ่อแดงพุทโธไปตั้ง บำเพ็ญกุศล ณ วัดสมุเขตตาราม 7 วัน 7 คืน เมื่อครบกำหนดแล้วให้เก็บศพไว้เพื่อเตรียมการบูชาเพลิงศพต่อไปเวลาล่วงเลยมา พอสมควร เมื่อพระครูภมรจริยคุณ ได้เตรียมเมรุเสร็จแล้วก็กำหนดการบำเพ็ญกุศล และจัดบูชาเพลิงศพหลวงพ่อแดงพุทโธ แต่ตอนที่ยกศพขึ้นเมรุ ปรากฏว่ายกศพไม่ขึ้นเป็นที่น่าอัศจรรย์ ผู้ที่ไปยกนั้นมีเหตุเป็นไปต่างๆ จนไม่สามารถยกศพขึ้นเมรุได้ เมื่อเกิดเหตุดังนั้นพระครูภมรจริยคุณระลึกถึงคำสั่งของหลวงพ่อแดงพุทโธได้ และดูเหมือนยังก้องโสตประสาทอยู่ว่า ให้นำไปบูชาเพลิงที่วัดถ้ำเขาเงินไกล้ต้นสารภี พระครูภมรจริยคุณ จึงตัดสินใจนำศพกลับมาบูชาเพลิง ณ วัดถ้ำเขาเงิน ส่วนอัฐิของหลวงพ่อแดงก็เก็บไว้เป็นที่เรียบร้อยจนเสร็จพิธีบารมีความดีที่ หลวงพ่อแดงพุทโธ ได้บำเพ็ญมาตามแนวทางพุทธศาสนา ตลอดเมตตาธรรมของหลวงพ่อที่มีแก่ชาวพุทธทั่วไปนั้น ได้ประมวลให้บรรดาศิษย์ของหลวงพ่อตลอดผู้ที่เคารพนับถือหลวงพ่อได้ยึดถือ เป็นแนวทางปฏิบัติ และน้อมระลึกถึงคุณงามความดีของหลวงพ่อตลอดมา

    หลังจากหลวงพ่อแดงพุทโธมรณภาพแล้ว ผู้ที่เคารพนับถือหลวงพ่อเชื่อกันว่าดวงวิญญาณของหลวงพ่อยังมีความเมตตาธรรม อยู่เนืองนิจ เมื่อมีเรื่องเหตุเดือดร้อนประการใดก็ตาม ก็บวงสรวงดวงวิญญารของหลวงพ่อให้ช่วยเหลือดลบันดาลให้พ้นทุกข์ และก็เป็นที่ประจักษ์ว่า เป็นความจริงสมความมุ่งหมาย จนเป็นที่เลื่องลือในอภินิหารในเมตตาธรรมของหลวงพ่อเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง นัก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ นายเขียน อบแพทย์ ผู้เป็นญาติของหลวงพ่อแดงพุทโธ ได้เสียสละเงินส่วนตัว 80 บาทจัดดำเนินการสร้างรูปปั้นของหลวงพ่อขึ้นไว้สำหรับประชาชนทั่วไปได้เคารพ โดยมีนาย นายแอบ ยอดอุดม เป็นช่างปั้นรูปปั้นหลวงพ่อแดงพุทโธจึงมีมาจนถึงปัจจุบัน

    [​IMG]
    อภินิหาร
    สำหรับอภินิหารของหลวงพ่อแดงพุทโธ สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้นได้สอบถามจากบรรดาศิษย์ของหลวงพ่อตลอดจนผู้ไก ล้ชิดที่มีชีวิตอยู่ มีรายชื่อดังนี้ (พ.ศ. 2545)
    1. นายหนู ศักดิ์แสง ศิษย์ก้นกุฏิขณะอายุ 80 ปี (พ.ศ. 2545) อยู่หมู่ที่ 12 ต.ท่ามะพลา อ.หลังสวน จ.ชุมพร
    2. นายซ้อน เพชรโสม เป็นทั้งศิษย์และญาติ อยู่หมู่ที่ 1 ต.ท่ามะพลา อ.หลังสวน จ.ชุมพร
    3. นายพร้อม ศิริรัตน์ ศิษย์หลวงพ่อ อยู่หมู่ที่ 12 ต.ท่ามะพลา อ.หลังสวน จ.ชุมพร
    4. นายชวน ยิ่งคีรี ศิษย์ก้นกุฏิขณะอายุ 80 ปี (พ.ศ. 2545) อยู่หมู่ที่ 8 ต.ท่ามะพลา อ.หลังสวน จ.ชุมพร
    5. นายสุวรรณ ศิริรัตน์ ศิษย์หลวงพ่อ อยู่หมู่ที่ 4 ต.ท่ามะพลา อ.หลังสวน จ.ชุมพร
    6. นายอ้วน ขาวสมุทร ศิษย์หลวงพ่อ อยู่หมู่ที่ 3 ต.ท่ามะพลา อ.หลังสวน จ.ชุมพร

    1. หลวงพ่อแดงพุทโธรักษาโรคภัยด้วยนิ้วเพชร
    จากคำบอกเล่าของ นายหนู ศักดิ์แสง ว่านิ้วเพชรของหลวงพ่อไม่ตัดแต่ก็ยาวไม่ออก เมื่อใครเจ็บป่วยเป็นอะไรมาหาหลวงพ่อ เช่น เป็นฝี, ปวดท้อง, แผลเน่าเปื่อย เป็นต้น เมื่อมาถึงหลวงพ่อก็จะกล่าววาจาว่า "พุธโธจา พุทโธเอย" แล้วชี้ด้วยนิ้วเพชร ปรากฏว่าหายทุกรายไป
    มีอยู่ครั้งหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่าหลวงพ่อผู้หนึ่งไปตั้งกองตัดไม้ ณ ทุ่งแร่ หมู่ที่ 10 ต.วังตะกอ ได้ตั้งทับอยู่ไกล้หนองน้ำชื่อว่า หนองนาคบุค หนองนี้เป็นที่เลื่องลือว่า เป็บปราบโป่งเทพารักษ์สิงสถิตย์อยู่เฮี้ยนนักใครไปทำไม่ดีก็เป็นให้โทษทุก ราย จนเป็นที่หวั่นเกรงของชาวบ้านทุ่งแร่ยิ่งนัก เหตุเกิดในเช้าวันหนึ่งหลวงพ่อท่านไปตักน้ำแล้วล้างหน้าลงในหนองน้ำ ต่อมาก็ปรากฏว่าจมูกของท่านบวมโตใช้ยาอะไรรักษาก็ไม่ผ่อนคลายความเจ็บปวด อยู่หลายวัน หลวงพ่อผู้นี้นึกถึงหลวงพ่อแดงขึ้นได้ จึงมาหาหลวงพ่อแดงที่วัดถ้ำเขาเงิน พร้อมพูดว่า "ขรัวแดงที่เขาว่าเก่งนัก ลองชี้จมูกให้หายบวมสักที่" ทันไดหลวงพ่อก็กล่าวว่า "พุทโธๆ พุทโธเอย จาพุทโธ" พร้อมกับชี้ตรงไปที่จมูกพอลดนิ้วเพชรก็ปรากฏว่าจมูกที่บวมก็ผ่อนคลาย หายบวมโตลงทีละนิดๆ จนหายเป็นปกติเป็นที่อัศจรรย์ในความศักดิ์สิทธิ์ของนิ้วเพชรหลวงพ่อยิ่งนัก เป็นที่นับถือของ พระธรรมรามคณีฯ เป็นอย่างยิ่งและก็สมัยที่พระธรรมรามคณีสุปรีชา จัดหาไม้สร้างอุโบสถนั่นเองได้ให้คนงานมาตัดโค่นไม้ตะเคียนที่หน้าถ้ำเขา เงินริมตลิ่งสูงแม่น้ำหลังสวน ตรงที่ต้นตะเคียนปัจจุบัน เมื่อคนงานโค่นต้นตะเคียนตกลงไปในวังน้ำวัดถ้ำเขาเงิน ใช้คนเท่าไรก็ตามจนถึงร้อยๆ คนก็ดึงต้นตะเคียนไม่ขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าคุณธรรมารามคณีฯ ซึ่งเคยเชื่อในอภินิหารของหลวงพ่อแดงพุทโธ ระลึกถึงหลวงพ่อแดงพุทโธ เมื่อระลึกถึงหลวงพ่อแดงพุทโธขึ้นมาได้จึงจัดให้คนงานทำเสลี่ยงไปนิมนต์หลวง พ่อแดงให้มาชี้ไม้ต้นตะเคียน หลวงพ่อรับนิมนต์แล้วก็ขึ้นนั่งบนเสลี่ยงคนหามมาสู่ท่าน้ำหาดวัดถ้ำเขาเงิน ครั้นมาถึงหลวงพ่อใช้ให้ นายแดง สัจจาครุฑ นำเชือกลงไปผูกไม้ตะเคียนแล้วให้คนงานช่วยกันดึง ต่อจากนั้นหลวงพ่อก็ยืนทำพิธีบริกรรมบนหาด ใช้นิ้วเพชรของหลวงพ่อชี้ไปที่ต้นตะเคียน ทันใดนั้นคนงานก้ดึงต้นตะเคียนลอยน้ำขึ้นสู่หาดทรายทันที สร้างความตื่นเต้นต่อประชาชนทั้งหลายตลอดทั้งเจ้าคุณพระธรรมารามคณีฯ ทำให้ชื่อเสียงของหลวงพ่อแดงพุทโธลือกระฉ่อนไปทั่ว เป็นเหตุให้ผู้เจ็บป่วยหลั่งไหลมาให้ท่านรักษาเพื่มขึ้นทุกวันทั้งใกล้และ ไกล

    2. หลวงพ่อแดงพุทโธเสกกระต่ายขูดมะพร้าวให้ชนกัน

    นายหนู ศักดิ์แสง ศิษย์ก้นกุฏิหลวงพ่อเล่าว่าถ้าวันใหนหลวงพ่ออารมณ์ดี ท่านก็ทดลองอภินิหารให้ดู วันหนึ่งตอนบ่ายหลวงพ่อให้ศิษย์ 2 คนไปจัดนำกระต่ายขูดมะพร้าวจากกุฏิแม่ชี กระต่ายไม้สองตัวนี้มีอวัยวะที่นายช่างจัดสร้างไว้ครบเมื่อมองจะเห็นมี หู ตา ปาก จมูก มีหาง เป็นต้น ได้มาแล้วหลวงพ่อให้ตั้งไว้ห่างกันประมาณสองวาแล้วเอาผ้าคลุมไว้ ต่อจากนั้นหลวงพ่อก็ทำพิธีปลุกเสกเป่าพลาง พรมน้ำหระพุทธมนต์พลางปรากฏว่ากระต่ายทั้งสองตัวต่างก็เดินอยู่ไปมา หลวงพ่อจึงใหเอาผ้าคลุมออกหลังจากนั้นกระต่ายทั้งสองตัวก็กระโดดเข้าชนกัน เป็นที่สนุกสนานของศิษย์วัดตลอดจนเป็นขวัญตาของภิกษุสามเฌรและชาวบ้านผู้ไป ชมในบารมีของหลวงพ่อแดง

    3. หลวงพ่อแดงพุทโธ ประจุอักษรวิเศษให้ศิษย์
    จากคำบอกเล่าของนายหนู ศักดิ์แสง เล่าว่าหลวงพ่อแดงท่านมีเมตตามอบอักขระวิเศษให้แกศิษย์เกือบทุกคน โดยหลวงพ่อเขียนอักษรตัวขอม เช่น ตัวมี นะ โม พุท ธา ยะ ลงบนกระดานชนวนแล้วให้ศิษย์เลือกตัวที่ชอบที่สุด เมื่อเลือกได้แล้วหลวงพ่อก็จะถามว่าจะเอาไว้ตรงไหน เช่น ไว้ที่หน้าผาก ที่แขน ที่หน้าอก เป็นต้น ถ้าเมื่อตอบหลวงพ่อว่าไว้ที่หน้าผาก อักษรตัวนั้นก็จะไปปรากฏอยู่ที่หน้าผากโดยไม่ต้องเขียนเลยแล้วก็หายไป เป็นวิธีประจุอักษรของหลวงพ่อ อักษรที่หลวงพ่อประจุประจุให้นี้เป็นอักษรวิเศษทางเมตตามหานิยม ถ้าศิษย์ผู้ใดต้องการให้อักษรปร่กฏชัดก็ได้ โดยยกมือประณมมือระลึกถึงหลวงพ่อแล้วยกมือขวาตบหน้าผากสามครั้ง อักษรที่ประจุไว้ก็ปรากฏเด่นชัด โดยเฉพาะของนายหนู ศักดิ์แสง ประจุไว้ที่หน้าผาก เป็นอักษรตัวพุท นายซ้อน เพชรโสม ตัวพุท ประจุไว้ที่หน้าผาก ผู้ใหญ่สุวรรณ ศิริรัตน์ ประจุตัวพุท ไว้ที่หน้าผาก เช่นเดียวกัน
    โดยเฉพาะของนายหนู ศักดิ์แสงได้แสดงให้อาจารย์ชุม ไชยคีรี อาจารย์หนังเหนียวชื่อดังทั่วเมืองไทยชมเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2511 ในโอกาสที่ อาจารย์ชุม ไชยคีรี มาดำเนินการสร้างรูปพระเครื่องหลวงพ่อแดงพุทโธ การแสดงขแงนายหนู ศักดิ์แสง ก็โดยยกมือประฌมระลึกถึงหลวงพ่อ ก้ปรากฏว่าอักษรตัวพุท ปรากฏชัดเจนที่หน้าผากท่ามกลางประชาชนผู้สนใจชมอภินิหารของหลวงพ่อ อาจารย์ชุม ไชยคีรี เห็นเช่นนั้นก็ปลาบปลื้มใจมากที่ดวงวิญญาณหลวงพ่อแม้ล่วงลับไปแล้วประมาณ 40 ปี ก็ยังต้อนรับท่านอย่างเมตตาจิต

    4. หลวงพ่อแดงพุทโธทำน้ำให้เป็นเหล้า
    จากคำบอกเล่าของนายซ้อน เพชรโสม ศิษย์ของหลวงพ่อแดงพุทโธผู้หนึ่งว่า วันหนึ่งมีชาวบ้านจำนวนมากมาช่วยงานหลวงพ่อเลื่อยไม้ทำกุฏิ พอตกตอนเย็นชาวบ้านเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาก หลวงพ่อเห็นเช่นนั้นก็เกิดเมตตาคิดอยากให้ทุกคนหายเนื่อย จะเลี้ยงอาหารก็ไกลจากวัดอีกทั้งเป็นเวลาเย็นจะจัดอะไรเลี้ยงก็ไม่ทันกาล หลวงพ่อจึงสั่งให้คนงานตักน้ำมาใส่โอ่ง แล้วหลวงพ่อก็ทำพิธีปลุกเสกน้ำเสรจแล้วพูดว่า "เอาไปกินกันซิ แต่อย่ากินมากประเดี๋ยวจะเมา" พอหลวงพ่อพูดขาดคำ คนงานก็เข้ามาตักน้ำดื่ม ปรากฏว่าน้ำนั้นกลายเป็นน้ำเหล้าไปแล้ว ต่างคนก็ต่างดื่มกันอย่างสนุกสนานหายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเหมือนปลิดทิ้ง มีอยู่รายหนึ่งดื่มมากไปหน่อย เพื่อนต้องช่วยกันลากเข็นกลับบ้านนี่แหละอภินิหารของหลวงพ่อ ปลุกเสกน้ำเป็นเหล้า เป็นที่เลื่องลือกันทั่วไป

    5. หลวงพ่อแดงพุทโธหายตัว
    จากคำบอกเล่าของนายกลับ รื่นฤทัย อยู่บ้านหมู่ที่ 1 ต.ท่ามะพลา นายกลับเล่าว่าตอนที่ตนบวชอยู่กับหลวงพ่อ วันหนึ่งหลวงพ่อเรึยกให้ไปหา เมื่อไปถึงก็เห็นหลวงพ่อนั่งอยู่หน้ากุฏิ เมื่อตนนมัสการแล้วก็นั่งสงบอยู่ หลวงพ่อบอกว่านั่งก่อนและให้หลับตาชั่วอึดใจด้วย พอลืมตาขึ้นมาก็ไม่เห็นหลวงพ่อ สำคัญว่าหลวงพ่อเข้าไปในกุฏิก็นั่งรออยู่ที่เดิมนั่นเองหลังจากนั้น หลวงพ่อก็พูดว่านี่แหละการกำบังกายหายตัว นายกลับ รื่นฤทัย บอกว่าขณะนั้นตนรู้สึกปลื้มปิติจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว ด้วยเห็นอภินิหารของหลวงพ่อแดง และเล่าว่าศิษย์หลายคนตลอดชาวบ้านได้มีโอกาสชมอภินิหารแบบนี้เช่นกัน

    6. หลวงพ่อแดงพุทโธ สั่งให้ผู้ถูกงูกัดหายเจ็บปวด
    จากคำบอกเล่าของนายพร้อม ศิริรัตน์ ศิษย์ผู้หนึ่งของหลวงพ่อ อยู่บ้านหมู่ที่ 12 ต.ท่ามะพลา เล่าว่าเวลาตนบวชอยู่กับหลวงพ่อได้ถูกงูกะปะกัด มีความเจ็บปวดมากได้ไปหาหลวงพ่อให้ช่วยปัดเป่าให้ หลวงพ่อท่านพูดว่า "จาพุทโธเอย จาเอย" พูดแล้วใช้นื้วเพชรชี้ที่แผลงูกัด พร้อมกับออกคำสั่งว่าให้หายเจ็บเสีย ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นตนก็หายเจ็บปวดเป็นที่น่าอัศจรรย์ ต่อจากนั้นหลวงพ่อพูดว่า "ต่อไปถ้าถูกงูกัดแล้วให้ระลึกถึงท่านที่สั่งไว้ว่า หลวงพ่อสั่งไม่ให้เจ็บปวด" พรือถ้าใครถูกงูกัดก็ให้พูดเช่นเดียวกัน จนกระทั่งบัดนี้นายพร้อม ศิริรัตน์ ถูกงูกัดก็ไม่เคยเจ็บปวดเลยตลอดมาและถ้ามีใครถูกงูกัดมาหานายพร้อม ศิริรัตน์ ให้ช่วยปัดเป่า นายพร้อมก็ใช้คำสั่งของหลวงพ่อที่ว่า "ให้หลวงพ่อสั่งไว้ว่างูกัดไม่ให้เจ๊บปวด" ซึ่งก็หายทุกรายไปจนเป็นที่เลื่องลือของประชาชนทั่วไป

    ข้อมูลโดย : เซียนตุ่น




    พระรูปเหมือนหลวงพ่อแดง พุทโธ วัดถ้ำเขาเงิน พิธีใหญ่ชุมนุมศิษย์สายเขาอ้อ ปี2511

    รูปเหมือนลพ.แดง พุทโธ พิธีที่วัดถ้ำเขาเงิน ชุมพร ปี2511 ขุนพันธ์ฯเป็นประธานจัดสร้าง มีการสร้างวัตถุมงคลหลายพิมพ์ด้วยกัน เนื้อผงอาทิเช่นพิมพ์ขุนแผนใหญ่-เล็ก ปิดตา พระสีวลี พระทุ่งเศรษฐี ฯลฯ


    พระทำจากเนื้อดินผสมว่านเกสรศักดิ์สิทธิ์นานาชนิด เนื้อสีแดงปนม่วงหรือสีหมาก มีคราบน้ำว่านบนผิว

    พระอาจารย์นำ แก้วจันทร์ วัดดอนศาลา จ.พัทลุง, หลวงพ่อคง วัดบ้านสวน จ.พัทลุง, พระอาจารย์ปาล วัดเขาอ้อ, หลวงปู่หมุน วัดเขาแดงตะวันออก จ.พัทลุง, พระครูปลัดพวง วัดประสาทนิกร จ.ชุมพร, หลวงพ่อคล้อย วัดถ้ำเขาเงิน จ.ชุมพร, อาจารย์ชุม ไชยคีรี เขาไชยสน จ.พัทลุง ปลุกเสกตามตำรับไสยเวทย์ของเขาอ้อ จึงเป็นที่มั่นใจได้ว่าใช้บูชาดีเด่นในทุกทาง
    [​IMG]



    [FONT=&quot]ให้บูชา 650บ.ครับ[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    พระรูปเหมือนหลวงปู่คง อาจารย์ขุนแผน พิมพ์ซุ้มกอ เนื้อว่านยา 500 กว่าชนิด อ.ชุม ไชยคีรี จัดสร้างปี 2515

    ประวัติหลวงปู่คง วัดแค อาจารย์ขุนแผน

    หลวงปู่คง (ตาขรัวคง) ตามประวัติศาสตร์เป็นอาจารย์ขุนแผน อยู่วัดตาลหรือวัดแค เมืองสุพรรณบุรี สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เป็นอาจารย์ของขุนแผนองค์แรก ท่านได้สร้างพระเครื่องทรงขุนแผนเรือนแก้วมอบไว้ให้กับขุนแผนบูชาติดตัว

    ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2496 ท่านได้มาเข้าประทับทรงข้าราชการผู้หนึ่งที่จังหวัดพัทลุง บอกตำราสร้างพระผงให้กับอาจารย์ชุม ไชยคีรี ชนิดหนึ่งเรียกว่าพระผงเทพนิมิต ในขณะที่กำลังทำพิธีพุทธาภิเษกพระผงเทพนิมิตรอยู่นั้น ท่านได้มาเข้าประทับทรงช่วยปลุกเสกอีกตลอดไตรมาส 3 เดือน ยิ่งกว่านั้นท่านได้ขอร้องให้ อ.ชุม ไชยคีรี ช่วยเอากระดูกของท่านและพระยอดขุนพล พระผงขุนแผน ขึ้นจากใต้ฐานของเจดีย์ที่ท่านได้บรรจุเอาไว้ที่วัดตาลแต่ครั้งโบราณ อ.ชุม จึงได้ขออนุญาตทำการขุดขึ้นตามคำสั่งของท่าน จากกรมศิลปากร และขออนุญาตจากวิญญาณท่านสร้างเป็นรูปของท่านแล้วเอากระดูกที่ขุดขึ้นมาได้ดังกล่าวบรรจุไว้ในองค์พระ เพื่อให้คณะศิษย์ได้มีไหว้กราบไหว้สักการะบูชา

    คณะศิษย์ที่ทราบเกียรติคุณได้ขอร้องให้อ.ชุม ไชยคีรี สร้างขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 อาจารย์ได้พิจารณาเห็นสมควรว่าหากสร้างขึ้นอีก ก็จะมีโอกาสนำเงินรายได้ไปสร้างพระอุโบสถวัดบ้านสวน อ.ควนขนุน จังหวัดพัทลุง เพื่อเป็นการอุทิศส่วนบุญถวายให้แก่ท่าน พร้อมทั้งจะได้ทำแจกทหาร ตำรวจ ที่ทำหน้าที่ป้องกันประเทศชาติไว้เป็นเครื่องรางป้องกันตัวในคราวเดียวกัน

    ประวัติพระเครื่องรูปหลวงปู่คง ปี 2515 ที่อ.ชุม ไชยคีรี จัดสร้างขึ้นเมื่อปี 2515

    พิธีสร้างครั้งนี้ได้สร้างพระบูชารูปเหมือนของท่าน และสร้างเป็นรูปกริ่งเนื้อนวโลหะผสมทองคำ ผสมเหล็กไหล และพระพิมพ์ทรงซุ้มกอ เนื้อว่านยา 500 กว่าชนิด ที่อาจารย์พระครูพิพัฒน์สิริธร และอาจารย์ชุม ไชยคีรี ได้สะสมทำพิธีมาแล้วเป็ฯเวลานานกว่า 40 ปี ผสมกับผงก้นกรุของหลวงปู่คง แจกจ่ายให้แก่ทหาร ตำรวจ และจะนำพระพิมพ์ดังกล่าวส่วนหนึ่งขึ้นทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อมีไว้พระราชทานแก่ทหาร ตำรวจ ประชาชน ตามพระราชอัธยาศัยในโอกาสอันควรอีกต่อไป

    โดยเจตนาของพระอาจารย์เจ้าผู้ทรงคุณในภาคใต้ 9 องค์ ซึ่งมีอาจารย์พระครูพิพัฒน์สิริธร(หลวงพ่อคง วัดบ้านสวน) เป็นประธาน ร่วมกับพระอาจารย์มีชื่อเป็นมงคลนามในภาคกลาง อาทิเช่น หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เป็นประธาน โดยมอบให้อ.ชุม ไชยคีรี กับคณะศิษย์เป็นผู้ดำเนินงานพิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถวัดชำนิหัตถการ (สามง่าม) ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 รวมเวลา 3 วัน 3 คืน รวมกับพิธีสร้างพระสีวลี และ รูปท่านท้าวมหาพรหม

    คุณวิเศษตามเลขยันต์ ว่านยา ตลอดถึงพระคาถาที่พระอาจารย์เจ้าได้ปลุกเสกอธิษฐานบรรจุไว้ในองค์พระแบบต่างๆนั้นดีทุกทางเฉพาะสำหรับผู้มีความเชื่อ เคารพ และเข้าถึง เช่น คงกระพัน กันปืน กันวัตถุระเบิด แคล้วคลาด รวมทั้งมีอำนาจชนะศัตรู กันอุบัติเหตุ และขอพระส่งเสริมให้มีอานุภาพอันเกรียงไกรยิ่งขึ้น

    [​IMG]


    [FONT=&quot]ให้บูชา 650บ.ครับ[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    "ลูกไม้มงคล ๓ ประการ...สำนักเขาอ้อ" วัดดอนศาลา(นิยม+หายาก+กล่องเดิมจากวัด)

    ลูกไม้มงคล พระครูกาชาด วัดดอนศาลา จ.พัทลุง พระครูกาชาด (บุญทอง) ท่านศิษย์เอกหลวงพ่อเอียด อีกหนึ่งรูปเป็นเจ้าอาวาส วัดดอนศาลา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ของ อ.ศรีเงิน ท่านบวชแล้วก็ศึกษาวิชากับลพ.เอียด วัดดอนศาลา ท่านศิษย์เป็นรูปเดียวที่ ได้รับการถ่ายทอดวิชา ทำลูกไม้มงคล จาก ลพ. เอียด วัดดอนศาลา โดยใช้ ลูกไม้ 3 ชนิด โดยท่าน จะหาลูกไม้ทั้ง3 ที่นำมาเจาะ จะนำกระดาษสาลงยันต์ 3 แบบและอุดผงที่ท่านลบเอง 3 ผง ใส่ในลูกไม้ และนำเทียนอุดซึ่งแต่ล่ะชนิด มีคุณประโยชน์ และอำนาจพุทธคุณต่างกันดั่งนี้
    1.ลูกสวาท มีอำนาจทางเมตตามหานิยม ค้าขาย เจรจา โชคลาภ
    2.ลูกลาน มีอำนาจทางแคล้วคลาด คงกระพัน ชาตรี หรือใช้ทำน้ำมนต์
    3.ลูกประคำดีควาย มีอำนาจทางป้องกันคุณไสย เสนียดจัญไร กันภัยต่างๆทั้งภูตผีปีศาจ ลมพัดลมเพ ล้างอาถรรพ์

    กล่องเดิมๆจากวัด นำไปใช้บูชาได้เลยนะครับ ท่านหยอดกาวช้างติด ทั้งสามลูก หยอดปิดกล่องเปิดไม่ได้ ตามตำรา ต้องอยู่คู่กัน 3ลูก ทางวัดเลยหยอดกาว ผลึก พกบูชากันทั้งกล่องเลย ครับ

    ลูกไม้มงคล 3 ชนิดมีคู่มากับสายเขาอ้อ มานานนับแล้ว พกติดตัว หรือ เมื่อก่อนชาวพัทลุงนิยม แขวนไว้กับเสาเอกของบ้าน เพื่อศิริมงคลของบ้านเรือน และป้องกันภัย

    คาถาสำหรับอารธนาลูกไม้มงคล คือ" พา มา นา อุ กะ สะ นะ ทุ "

    [​IMG]



    ให้บูชา 1,250บ.ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_1880.JPG
      SAM_1880.JPG
      ขนาดไฟล์:
      176.2 KB
      เปิดดู:
      8,529
  6. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    ประวัติวัดเขากง
    วัดเขากงเป็นวัดเก่าแก่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ห้ว เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๒๑ วัดนี้ต่อมาได้กลายเป็นวัดร้างอยู่ระยะหนึ่งจนถึงปี พ.ศ.๒๔๙๔ จึงได้มีพระภิกษุมาจำพรรษาอีกครั้งหนึ่ง

    พระพทุธทักษิณมิ่งมงคล
    เป็น การสร้างพระพุทธรูปใหญ่บนยอดเนินเขาสูงสุดในบริเวณเขากง เพื่อให้เป็นพระพุทธรูปประจำภาคใต้รวม ๑๔ จังหวัด ให้มีพระพุทธลักษณะตามอิทธิพลของสกุลศิลปะอินเดียใต้ที่แผ่นอิทธิพลมาในระยะ เดียวกันสกุลศิลปะเสนา แห่งอินเดียเหนือ ตลอดพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยและตลอดไปจนสุดแหลมมลายูในเขตประเทศมาเลเซีย ปัจจุบัน

    พระกริ่งพุทธทักษิณมิ่งมงคล (กริ่งเขากง) วัดเขากง นราธิวาส ปี2511


    พระกริ่งทักษิณมิ่งมงคล ปี 2511 วัดเขากง จ.นราธิวาส สร้างจากชนวนวัตถุมงคลเก่าๆและตะกรุดของเกจิอาจารย์จำนวนมาก และต่อมายังเข้าปลุกเสกอีกหลายวาระ

    ในพิธีเททอง ขณะกำลังหลอมโลหะวัตถุดิบ ว่ากันว่าแผ่นยันต์ของพระอาจารย์ทิม วัดช้างให้, พ่อท่านเส้ง วัดแหลมทราย และของอาจารย์นำ วัดดอนศาลา หลอมไม่ละลาย ทำให้ต้องตักแผ่นขึ้นมาใหม่ทำพิธีอีกจึงหลอมได้สำเร็จ

    เกจิคณาจารย์ร่วมพิธี
    พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ จ.ปัตตานี
    อาจารย์นอง วัดทรายขาว จ.ปัตตานี
    หลวงพ่อดำ วัดตุยง จ.ปัตตานี
    พระอาจารย์นำ แก้วจันทร์ วัดดอนศาลา จ.พัทลุง
    หลวงพ่อเมือง วัดท่าแหน จ.ลำปาง
    หลวงปู่นาค วัดระฆัง กรุงเทพฯ
    พ่อท่านแสง วัดคลองน้ำเจ็ด จ.ตรัง
    พ่อท่านเส้ง วัดแหลมทราย จ.สงขลา
    หลวงพ่อดี วัดตันหยงมัส จ.นราธิวาส
    หลวงพ่อแดง วัดเชิงเขา จ.นราธิวาส
    อาจารย์ชุม ไชยคีรี เขาไชยสน จ.พัทลุงฯลฯ

    พระกริ่งเนื้อทองเหลืองปางประทานกะไหล่ทอง พระสร้างเป็นสามชิ้นนำมาต่อกัน ในซอกฐานจะเห็นรอยเชื่อมด้วยตะกั่ว เป็นรุ่นนิยม พระสภาพสวยมาก ไม่ผ่านการใช้บูชา

    [​IMG]
    [​IMG]



    ให้บูชา 2,400บ.ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_1968-horz.jpg
      SAM_1968-horz.jpg
      ขนาดไฟล์:
      424 KB
      เปิดดู:
      72
    • SAM_1972.JPG
      SAM_1972.JPG
      ขนาดไฟล์:
      89.4 KB
      เปิดดู:
      50
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2014
  7. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]


    "พระอาจารย์ศรีเงิน อาภาธโร" หรือ พระครูสิริวัฒนการ อดีตรองเจ้าอาวาส วัดดอนศาลา ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ยอดพระเกจิอาจารย์ ศิษย์เอกพระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม พระอาจารย์แห่งสำนักเขาอ้อ

    ประวัติพระอาจารย์ศรีเงิน อาภาธโร วัดดอนศาลา
    อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า ศรีเงิน ชูศรี เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2472 ที่บ้านไผ่รอบ หมู่ที่ 7 ต.ปันแต อ.ควนขนุน จ.พัทลุง เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 5 คน โยมบิดา-มารดา คือ นายสุดและนางเฟื่อง ชูศรี


    ในช่วงวัยเด็ก มารดาของท่านได้เสียชีวิตตั้งแต่ท่านอายุเพียงแค่ 7 ขวบ ภายหลังจบการศึกษาชั้นประถมปีที่ 4 โรงเรียนวัดดอนศาลา ได้ลาออกมาช่วยบิดาประกอบอาชีพ จนเมื่ออายุ 17 ปี บิดาได้เสียชีวิตไปอีกคน

    กระทั่งเมื่ออายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ จึงได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดดอนศาลา เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2493 โดยมีพระพุทธิธรรมธาดา เจ้าอาวาสวัดสุวรรณวิชัย และรองเจ้าคณะจังหวัดพัทลุง เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูกรุณานุรักษ์ เจ้าคณะอำเภอควนขนุน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูกาชาด (บุญทอง) เจ้าอาวาสวัดดอนศาลา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า อาภาธโร

    พระอาจารย์ศรีเงิน ภายหลังอุปสมบทท่านได้อยู่จำพรรษาอยู่ที่ วัดดอนศาลา พร้อมกับตั้งใจศึกษาด้านพระปริยัติธรรมอย่างมุ่งมั่น สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี โท และ นักธรรมชั้นเอก ตามลำดับ

    ด้านศาสนกิจนอกจาก พระอาจารย์ศรีเงิน จะเป็นพระครูสอนนักธรรมแก่พระภิกษุ-สามเณรที่ วัดดอนศาลาแล้ว พระอาจารย์ศรีเงินท่าน ยังเป็นครูสอนธรรมศึกษาจริยธรรมแก่นักเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ที่ วัดสุวรรณวิชัย อ.ควนขนุน ได้อุปถัมภ์โรงเรียนวัดดอนศาลานำวิทยาด้วย โดยได้จัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนให้กับโรงเรียน สร้างสนามกีฬา สร้างศาลาอเนกประสงค์ และพระอาจารย์ศรีเงินยังเป็นอาจารย์ สอนพิเศษ วิชาธรรมศึกษา จริยธรรมศึกษา ให้กับนักเรียนที่เข้าสอบธรรมศึกษาในสนามหลวงทุกปี ตั้งแต่ธรรมศึกษาชั้นตรีถึงชั้นเอก พร้อมทั้งได้ให้ทุนศึกษาแก่นักเรียนที่มีอุปนิสัยดีและตั้งใจเรียนเป็นประจำ

    ด้านวิทยาคม พระอาจารย์ศรีเงินท่านได้ศึกษาร่ำเรียนวิชา สายเขาอ้อกับพระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อ และพระอาจารย์นำ แก้วจันทร์ นอกจากนี้ ท่านได้ศึกษาความรู้ทางด้านการแพทย์แผนโบราณกับพระครูพิพัฒน์สิริธร หรือ พระอาจารย์คง สิริมโต อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านสวน และได้ร่ำเรียนวิชากับอาจารย์เปรม นาคสิทธิ์ โดยเฉพาะกับพระอาจารย์ปาล นับได้ว่าพระอาจารย์ศรีเงินเป็นศิษย์เอกที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาสายตรงจาก พระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม มากที่สุดท่านหนึ่ง

    ด้วยระหว่างที่พระอาจารย์ศรีเงินเป็นพระครูสอนพระปริยัติธรรมแก่พระภิกษุและสามเณรที่วัดเขาอ้อ นั้น พระอาจารย์ศรีเงินได้เรียนวิชากับพระอาจารย์ปาลมาโดยตลอด

    เมื่อพระอาจารย์ปาลชราภาพ พระอาจารย์ศรีเงินย้ายมาอยู่จำพรรษาที่วัดดอนศาลา ท่านก็ทำหน้าที่ดูแลปรนนิบัติอย่างใกล้ชิดเป็นเวลาหลายปี และเมื่อพระอาจารย์ปาลมรณภาพลง พระอาจารย์ศรีเงินก็เป็นแม่งานใหญ่ในการจัดพิธีศพ

    สำหรับวัตถุมงคลของพระอาจารย์ศรีเงิน ล้วนแต่เป็นที่นิยมของบรรดานักสะสมพระเครื่องและผู้สนใจอย่างแพร่หลายทั้งใน จังหวัดและทั่วประเทศ เนื่องจากมีพุทธคุณสูงทั้งด้านแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี และเมตตามหานิยม

    อย่างไรก็ตาม พระอาจารย์ศรีเงิน เคยได้เปิดกรุวัตถุมงคล ของท่านส่วนหนึ่ง เมื่อประมาณปี 2536 เพื่อสมนาคุณให้กับผู้มีจิตศรัทธาร่วมสมทบทุนสร้างศาลาอเนกประสงค์ (ศาลาสิริวัฒนการ) โรงเรียนวัดดอนศาลา ซึ่งมีหลายรุ่นด้วยกัน เช่น พระสมเด็จเนื้อนวโลหะ ปี 2524 พระกลีบบัวผงว่านยา ปี 2526 พระกริ่งสิริวัฒน์ รุ่นฉลองสมณศักดิ์ สัญญาบัตรพัดยศ ปี 2534 พระผงว่านสิริวัฒน์ พระปิดตาเนื้อชินตะกั่ว พระของขวัญเนื้อผงว่านยาอาจารย์นำ ปี 2513 และตะกรุดต่างๆ แต่ปัจจุบันวัตถุมงคล พระเครื่อง พระอาจารย์ศรีเงินเหล่านี้ล้วนเสาะแสวงหาได้ยากยิ่งนัก

    พระอาจารย์ศรีเงิน อาภาธโร วัดดอนศาลาได้รับพระราชทาน เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตร ในราชทินนามพระครูสิริวัฒนการ และได้สร้างพระกริ่งสิริวัฒน์ รุ่นฉลองสมณศักดิ์ สัญญาบัตรพัดยศ เมื่อปี 2534

    พระอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2543 สิริอายุได้ 72 ปี พรรษา 51

    ตลอดชีวิต พระอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา อาศัยในร่มเงาพระพุทธศาสนา ประกอบคุณงามความดีด้วยจิตใจที่ผ่องแผ้ว แม้ว่าพระอาจารย์ศรีเงินจะละสังขารลาโลกไปแล้วก็ตาม แต่คุณงามความดีที่ได้ประกอบศาสนกิจมาตลอดชีวิต จะเป็นที่จดจำของชาวพัทลุงอย่างมิลืมเลือน


    <center>[​IMG]
    รูปถ่าย อ.ศรีเงิน วัดดอนศาลา เป็นรูปต้นแบบ เหรียญรุ่นแรกครับ

    เหรียญรุ่นแรกพระอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา สร้างเมื่อปี ๒๕๔๑ ซึ่งในครั้งนั้นประเทศไทยประสบภาวะเศรษฐกิจอย่างรุนแรง พระอาจารย์ศรีเงินฯ ได้อนุญาตให้สร้างเหรียญรูปเหมือนท่านเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว เพื่อนำรายได้ทั้งหมดมอบให้แก่รัฐบาลในกองทุนไทยช่วยไทย โดยเฉพาะ วัตถุมงคลรุ่นนี้สร้างขึ้นแล้วท่านได้เมตตา ปลุกเสกเดี่ยวนาน ๗ เสาร์ ๗ อังคาร ก่อนแล้วจึงรวมคณาจารย์เขาอ้อ พุทธาภิเษกครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๑ ก่อนหน้านี้ลูกศิษย์ได้รบเร้าขอให้ท่านสร้างเหรียญรูปเหมือนท่านหลายครั้ง แต่พระอาจารย์ศรีเงินฯ ก็ปฏิเสธมาโดยตลอด ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปไข่ ด้านหน้าเป็นรูปพระอาจารย์ศรีเงินนั่งสมาธิเต็มองค์ ส่วนด้านหลังเป็นยันต์นอโม ซึ่งเป็นยันต์ศักดิ์สิทธิ์ตามตำราสูตรลับของสำนักเขาอ้อ ชนิดที่สร้างก็มีเหรียญทองคำ (สร้างตามจำนวนที่สั่งจองเท่านั้น มีตอกโค๊ต, หมายเลข, ลอยจารมือ สร้างหลักสิบ) เหรียญเงิน (สร้างจำนวน ๑ หมื่นห้าพันเหรียญ) และ เหรียญทองแดง (สร้างจำนวน ๔ หมื่นเหรียญ) ซึ่งพระอาจารย์ศรีเงินได้ลงอักขระในแผ่นโลหะ หลายชนิดเช่น ทองคำ นาก เงิน และทองแดง เพื่อนำมาหลอมเป็นชนวนศักดิ์สิทธิ์ ของเนื้อเหรียญแล้วก็ยังมีแผ่นยันต์กับตะกรุดของศิษย์สำนักเขาอ้อทั้งเก่า และใหม่ หลายท่านเป็นจำนวนมาก รวมทั้งชนวนวัตถุมงคลหลายพิธีนำมาหลอมเป็นเนื้อเหรียญ จึงทำให้เหรียญพระอาจารย์ศรีเงินรุ่นนี้โดยเฉพาะเหรียญทองแดงจะมีวรรณะคล้ำ ผิด ไปจากเหรียญทองแดงธรรมดาทั่วๆไป ในพิธีปลุกเสกได้มีการจัดพิธีปลุกเสกใหญ่ ณ พระอุโบสถวัดดอนศาลา โดยมีศิษย์สำนักเขาอ้อทั้งบรรพชิตและฆราวาส หลายท่าน มาร่วมปลุกเสกด้วย เช่น ๑.พระครูกาชาด (บุญทอง) วัดดอนศาลา ๒.พระอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา ๓.หลวงพ่อเทพ วัดประดู่เรียง ๔.หลวงพ่อคล้อย วัดภูเขาทอง ๕.หลวงพ่อแก้ว วัดโคกโดน ๖.พระอาจารย์พรหม วัดบ้านสวน สายฆาราวาสก็ได้ ๑.พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ๒.อาจารย์ประจวบ คงเหลือ ฯลฯ มาร่วมพิธี ถือว่าสุดยอดครับท่านกับเจตนาการสร้าง, พิธีกรรม, มวลสาร ตลอดจนพระอาจารย์ผู้สร้าง

    [​IMG]
    [​IMG]


    ให้บูชา 1,150บ.ครับ

    </center>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ajsn1.jpeg
      ajsn1.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      68.1 KB
      เปิดดู:
      66
    • ajsn2.jpeg
      ajsn2.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      77.3 KB
      เปิดดู:
      67
  8. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    ปิดรายการนี้ให้พี่ธเนศครับผม ขอบคุณครับ

     
  9. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]
    หลวงปู่จันทร์ หรือพ่อท่านจันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ แห่งนครศรีธรรมราช
    เป็นพระเกจิอีกรูปหนึ่งที่มรณะภาพแล้วสังขารไม่เน่าเปื่อย ท่านมีอายุกว่า 90ปี เป็นศิษย์สืบทอดอาคมในสายหลวงพ่อเอียด วัีดในเขียว พ่อท่านจันทร์ ท่านมั่นใจในพระเครื่องทุกรุ่นที่ท่านเสกว่าคุ้มครองลูกศิษย์ได้ เพราะท่านเคยบอกกับลูกศิษย์ เหรียญรุ่นแรกปี 2513 ของท่านดังมากๆในเรื่องคงกระพัน แคล้วคลาด เป็นเหรียญหลักที่นักสะสมสายใต้หากันมากแต่หาค่อนข้างยาก เครื่องรางที่ขึ้นชื่อของท่านคือวัวธนู มีราคาค่อนข้างสูงเช่นกัน หลวงปู่จันทร์ เกิดวันพฤหัสบดี ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2453 ณ บ้านหลาแก้ว อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช เมื่ออายุครบ 20ปี ก็ได้อุปสมบทที่วัดศาลาแก้ว มีพระครูพนังศรีวิสุทธิพุทธิภักดี เป็นพระอุปัชฌาย์ อาจารย์เห้ง วัดศาลามีแก้ว เป็นพระกรรมาวาจารย์ หลวงพ่อจันทร์ ได้ฉายาว่า "สุเมโธ" หลวงปู่จันทร์ ได้เดินธุดงค์ไปทั่วทั้ง 14จังหวัดภาคใต้ ต่อมาในปี พ.ศ.2491 พ่อท่านจันทร์ สุเมโธ ท่านได้จำพรรษาที่ วัดทุ่งเฟื้อ เพราะเล็งเห็นว่าเหมาะแก่การเจริญวิปัสสนาสมาธิเป็นอย่างยิ่ง จากอดีต วัดทุ่งเฟื้อ ที่เคยมีสภาพทรุดโทรม ก็ได้รับการพัฒนาเปิดป่า เปลี่ยนเป็นศาลาโรงธรรม หอระฆัง พระอุโบสถและกุฏิสงฆ์ขึ้นมาตามลำดับ ต่อมา พ่อท่านจันทร์ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส วัดทุ่งเฟื้อ อย่างสมบูรณ์ พระสงฆ์ต่างจังหวัดและชาวบ้านต่างมาฝากตัวเป็นศิษย์ท่านเป็นจำนวนมาก เพื่อศึกษาตำราพิชัยสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องวิชาคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด มหาอุด แต่งคนเลิศดีนักแลฯ ถือเป็นวิชาสุดยอดทั้งนั้นและ หลวงพ่อจันทร์ ก็เคยเดินทางไปศึกษาวิชากับ อาจารย์เอียดดำ วัดในเขียว อีกด้วย หลวงปู่จันทร์ เป็นพระปฏิบัติสามารถรู้เหตุการณ์ต่างๆแม้แต่วันตาย คืนวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2532 ท่านเข้าสมาธิภาวนาตั้งแต่หัวค่ำด้วยอิริยาบถอันสงบ แม้อาการป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอดท่านก็ไม่ ทอดธุระเรื่องภาวนา ตลอดคืนจนได้เวลา 05.00น. อันเป็น เวลาใกล้สว่าง หลวงปู่จันทร์ ท่านได้ให้บรรดาศิษย์ช่วยกันพยุงกายท่านให้ลุกขึ้น เพราะท่านนั่งสมาธิมาตั้งแต่หัวค่ำ เรี่ยวแรงก็น้อยลง เมื่อพระสมุห์พิงค์ ขึ้นแล้ว ท่านได้เปลี่ยน สบง จีวร สังฆาฏิ ใหม่หมดเสร็จแล้วท่านได้บอกให้ลูกศิษย์ประคองให้นั่งลงทำสมาธิต่อไปหลังจากฉันอาหารเช้าแล้ว หลวงปู่จันทร์ท่านก็หลับตาลง และได้สั่งให้พระผู้เป็นศิษย์จุดเทียนไว้เบื้องหน้าหนึ่งเล่ม พร้อมทั้งไม่ให้ใครมาส่งเสียงบริเวณนั้นจะทำสมาธิครั้งสุดท้ายหลังจากกล่าวแก่ศิษย์ทุกคนแล้ว หลวงปู่จันทร์ ท่านก็หลับตาลงเป็นครั้งสุดท้ายกำหนดจิตเข้าสู่สมาธิ เป็นลำดับเวลา 08.30น.บรรดาลูกศิษย์ ที่เฝ้าดูอาการของ เห็นผิดสังเกต เพราะศีรษะของท่านโน้นเอียงลงมาเล็กน้อย ซึ่งปกติท่านจะนั่งตัวตรงไม่ไหวติง ศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดท่านย่อมรู้ดี จึงทราบว่า หลวงปู่จันทร์ หรือ พ่อท่านจันทร์ สุเมโธ วัดทุ่งเฟื้อ ได้มรณภาพแล้ว วันที่ 10 พฤศจิกายน 2532 สังขารไม่เน่าเปื่อยและแข็งเป็นหิน รอให้ศิษย์ผู้ศรัทธาไปกราบสักการะได้ทุกวัน


    พระปิดตาขมวดมวย นวโลหะ หลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ นครศรีธรรมราช
    ถือว่าเป็นพระปิดตารุ่นแรกของ ผสมชนวนเนื้อโลหะมากมายของท่าน พ่อท่านจันทร์ปลุกเสกให้อย่างดี จึงน่าบูชามากๆครับ


    พ่อท่านจันทร์เป็นลูกศิษย์สืบทอดวิชาจากพ่อท่านเอียด วัดในเขียว ท่านได้ออกเดินธุดงจนมาพบวัดทุ่งเฟื้อซึ่งเป็นวัดร้างท่านได้อยู่จำพรรษาและบูรณะพัฒนาวัดทุ่งเฟื้อขึ้นมาใหม่สมัยที่พ่อท่านจันทร์มีชีวิตอยู่นั้นมีชาวบ้านและพระภิกษุต่างเมืองมาฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านเป็นจำนวนมากเพื่อศึกษาตำราพิชัยสงคราม ไสยศาสตร์ โดยเฉพาะในเรื่องวิชาคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด มหาอุดต่างเชื่อถือกันว่าเป็นวิชาสุดยอดของท่าน
    ท่านเป็นเกจิอาจารย์ที่ ขุนพันธ์ฯ ให้ความนับถือมากเวลาขุนพันธ์ฯจะทำอะไร(ของขลัง)ก็จะไปปรึกษาและขอคำแนะนำจากท่านซึ่งขุนพันธ์ฯกล่าวว่าเคยเห็นพ่อท่านจันทร์ เรียกเหล็กไหลที่อยู่ตามถ้ำศักดิ์สิทธิ์ออกมาตัดด้วยอาคม และฝังเหล็กไหลเข้าไปในร่างคนได้และเสกด้วยเวทมนตร์เรียกออกมาจากตัวเมื่อฝังแล้วได้

    หากได้ศึกษาประวัติท่านแล้วจะเห็นได้ว่าท่านเป็นพระอริยสงฆ์แห่งแดนใต้อย่างแท้จริง ทั้งการปัดเป่าทุกข์ให้ชาวบ้าน ให้ชาวบ้านทำความดี ปฏิบัติดี ท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีความสมถะอย่างแท้จริงสำหรับมูลค่าที่ผมตั้งไว้ถือว่าไม่แพงครับ สำหรับการได้ครอบครองวัตถุมงคลของท่านครับ

    พระปิดตารุ่นนี้ของท่านได้รับความนิยมในหมู่ศิษย์ ปัจจุบันหายากไม่ค่อยมีค่อยยอมเปลี่ยนมือ ในพื้นที่หวงมากๆ เค้าว่าประสบการณ์เยี่ยมด้านคงกระพัน มหาอุด พระปิดตานวโลหะ มีตอก 2โค้ดด้านหลัง เริ่มหายากแล้วครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]



    ให้บูชา 5,500ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pj5.jpg
      pj5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.8 KB
      เปิดดู:
      7,139
    • pj1.jpg
      pj1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.1 KB
      เปิดดู:
      9,894
    • pj3.jpg
      pj3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.9 KB
      เปิดดู:
      17,806
    • pj4.jpg
      pj4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.3 KB
      เปิดดู:
      10,530
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2013
  10. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    กรุแตก มีดครูเทพศาสตราวุธ อ.ชุม ไชยคีรี ปี 2519

    มีดครูเทพศาสตราวุธ อ.ชุม ไชยคีรี จากพิธีพรหมศาสตร์ วัดทุ่งเสรี วันที่ 30 เมษายน ปี พ.ศ.2519 หัวมีดทำเป็นเศียรพระพิฆเนศว์บรรจุเม็ดกริ่งพิเศษ ตังมีดผสมด้วยเหล็กตามตำราคล้ายกับดาบฟ้าฟื้นของขุนแผนลงยันต์เทพศาสตราวุธทั้ง 5 สำเร็จเป็นเทพศาสตราวุธ มีฤทธิ์มีอำนาเหนืออาวุธของมนุษย์ มีอานุภาพทำให้ภูตผีปีศาจเกรงกลัว ติดตัวเป็นเครื่องกันอาวุธดุจเครื่องรางของขลังอื่นๆ เป็นมีดครูคู่มือครูไสยศษสตร์ หมอเฒ่า หมอยา เป็นเทพบรมครูของนักการช่างทุกชนิด ใช้ทำพิธีแก้และกันอุบาทว์ เสนียดจัญไร ขับไล่ภูตผีปีศาจ ทำน้ำมนต์แก้คนถูกกระทำ ตัดและถอดถอนคุณไสยที่เขากระทำไว้ ใช้เป็นองค์ประธานในพิธีต่างๆ เพียงแต่ให้ระลึกถึงองค์พระพิฆเนศว์เทพบรมครูแล้วว่า "โอมพระพิฆเณศายะนะมะ" หลายๆจบนอกจากนั้นแล้วเราก็พูดขอพรหรือว่าคาถาอื่นๆเป็นต้นว่า โองการท้าวสหัมบดีพรหม องค์การเชิยครู แล้วแต่ว่าจะเหมาะสมกับเหตุการณ์ในพิธีนนั้นๆ ความขลังจะเพิ่มขึ้นตามอำนาจความเชื่อถือแต่ละคนที่เรียกกันว่ามีแรงครูสูง เป็นครูต้นที่สูงกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ขอกรรมสิทธิจงมีแต่ผู้ใช้ทุกๆท่าน

    มีดหมอเทพศาสตรา ด้ามเศียรพระพิฆเนศ อาจารย์ชุม ไชยคีรี ปี19


    พิธีปลุกเสกยิ่งใหญ่มาก รวมพราหมณ์ 4 นิกาย และโยคี และ เกจิอาจารย์ไสยศาสตร์108 อาจารย์ จากประเทศไทย รายละเอียดตามใบฝอย และ ถ่ายจาก หนังสือครับ ตัวมีดเนื้อผสมด้วยเหล็กตามตำราคล้ายดาบฟ้าฟื้นของขุนแผน ด้ามมีดทำเป็นพระเศียรพระพิฆเณศว์ บรรจุด้วยเม็ดกริ่งพิเศษ ลงยันต์เทพศาตราวุธ ทั้ง5 สำเร็จเป็นเทพศาตราวุธ มีฤทธิ์ มีอำนาจเหนือมนุษย์ ทำให้ภูตผีปีศาจเกรงกลัว

    พิเศษด้ามมีดเศียรพระพิฆเณศว์ เป็นแบบสร้างครั้งแรกครับมีน้อยหายากครับผม เนื่องจากการสร้างครั้งแรกได้หล่อด้ามน้อยกว่าใบมีด เมื่อด้ามหมดก่อนจึงนำด้ามครั้งแรกไปถอดพิมพ์หล่อเพิ่ม ข้อสังเกตุด้ามแบบเดิมผิวจะเรียบตึงครับ ส่วนด้ามที่ถอดพิมพ์จะผิวขรุขระ(ผิวมะระ) โดยปลุกเศกในพิธีเดียวกันครับ


    ตำราการตีดาบฟ้าฟื้น(ดาบคู่บารมีขุนแผน)

    เอาเหล็กยอดพระเจดีย์มหาธาตุ ยอดปราสาททวารามาประสม
    เหล็กขนันผีผรายตายท้องกลม เหล็กตรึงโลงตรึงปั้นลมสลักเพชร

    หอกสัมฤทธิ์กฤชทองแดงพระแสงหัก เหล็กปฏักสลักประตูตะปูเห็ด
    พร้อมเหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด เหล็กบ้านพร้อมเสร็จทุกสิ่งแท้

    เอาเหล็กไหลเหล็กหล่อบ่อพระแสง เหล็กกำแพงน้ำพี้ทั้งเหล็กแร่
    ทองคำสัมฤทธินากอะแจ เงินที่แท้ชาติเหล็กทองแดงดง

    เอามาสุมคุมควบเข้าเป็นแท่ง เผาให้แดงตีแผ่แช่ยาผง
    ไว้สามวันซัดเหล็กนั้นเล็กลง ยังคงแต่พองามตามตำรา

    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]



    มีให้บูชา 8เล่มให้บูชาเล่มละ 3,950บ.ครับ เลือกได้เลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC01379.jpg
      DSC01379.jpg
      ขนาดไฟล์:
      234.5 KB
      เปิดดู:
      7,380
    • DSC01378.jpg
      DSC01378.jpg
      ขนาดไฟล์:
      240 KB
      เปิดดู:
      7,526
    • 2950324.jpg
      2950324.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52.5 KB
      เปิดดู:
      15,471
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2014
  11. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    รับทราบครับท่าน
     
  12. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    รับทราบครับท่าน พรุ่งนี้จัดส่งให้ครับ เมตตาสุดๆ พระผงท่านนี้
     
  13. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    รูปเหมือนลอยองค์ หลวงปู่ทวด รุ่นเสิ่นเจิ้น วัดสะบ้าย้อย

    รูปเหมือนลอยองค์ หลวงปู่ทวด วัดสะบ้าย้อย สร้างโดยพ่อท่านหวาน เมื่อปี 2539 สุดยอดพระเกจิสายใต้ร่วมพิธีพุทธาภิเษก นำโดยท่านพระอาจารย์นอง วัดทรายขาว มีประสบการณ์เครื่องบินตกที่เสิ่นเจิ้น ประเทศจีน แล้วมีผู้รอดชีวิตด้วยปาฏิหาริย์โดยที่ห้อยพระหลวงปู่ทวด รุ่นนี้เมื่อหลายปีที่ผ่านมา จึงเรียกพระรุ่นนี้ว่า "รุ่นเครื่องบินตก" หรือ "รุ่นเสิ่นเจิ้น"

    เมื่อกล่าวถึงพระยอดนิยมอันดับหนึ่งของทางภาคใต้ เห็นจะได้แก่ พระเครื่องลป.ทวด ซึ่งตามประวัติ ท่านเป็นพระที่มีอายุพรรษาอยู่ในช่วงสมัยอยุธยา ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นพระโพธิสัตว์ ที่จะช่วยคุ้มครอง ปัดเป่า ภัยร้ายแก่มนุษย์ และสิ่งมีชีวิต และ แม้ท่านจะถึงแก่มรณะกาลไปแล้วเมื่อประมาณ 400 กว่าปีมาแล้ว แต่สังฆบารมีของท่านหาได้หายไปไม่ แต่กลับช่วยคุ้มครองชีวิต ผู้คนที่บูชาและนับถือเคารพในองค์สมเด็จเจ้าพระโคะอย่างไม่เคยได้ขาดตกประการใดเลย ยิ่งนานวันก็ยิ่งพิสูจน์ได้ว่า ท่านเป็นพระของมหาชน ที่คอยช่วยคุ้มครองชาวไทย หรือแม้แต่ชาวต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ก็ยังให้ความเคารพบูชาท่าน มีเรื่องราวอภินิหารเกี่ยวกับลป.ทวด มากมายที่เกิดแก่ผู้นำพระเครื่องลป.ทวดไปสักการ หรือ ห้อยบูชา
    "นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา"

    ขออาราธนา บารมีแห่งองค์พระโพธิสัตว์ลป.ทวด โปรดอภิบาล รักษา คุ้มครอง ช่วยเหลือ ดลใจให้ทุกท่านที่ประพฤติอยู่ในศีลธรรม มีความเคารพในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จงมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ตลอดกาลนานเทอญ

    การขอบารมีอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ทวด : ด้วยการจุดธูป 16 ดอก บูชาวัตถุมงคลของท่านรุ่นใดก็ได้ หรือ ระลึกถึงท่าน ตั้งจิตให้เป็นสมาธิแน่วแน่และศรัทธา ท่อง " นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา " 16 จบ เท่านี้ท่านก็รับรู้แล้วครับ
    [​IMG][​IMG]
    [​IMG]



    ให้บูชา 950บ.ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • po1.jpg
      po1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.2 KB
      เปิดดู:
      7,164
    • po2.jpg
      po2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      19.6 KB
      เปิดดู:
      6,891
    • po3.jpg
      po3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.9 KB
      เปิดดู:
      6,792
  14. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    หลวงปู่ธูป วัดแคนางเลิ้ง
    ธูปธรรมที่ไม่มีวันมอดไหม้

    หลวงปู่ธูป หรือ พระราชธรรมวิจารณ์ เป็นพระยุคเก่าที่สมถะ มีความเป็นอยู่แบบเรียบง่ายให้ การอนุเคราะห์สาธุชนโดยเลือกชั้นวรรณะ เปี่ยมล้นด้วยพรหมวิหาร ให้การต้อนรับขับสู้แขกผู้มาเยือนอย่างมีไมตรีจิต เป็นที่เคารพนับถือของบรรพชิต และคฤหัสถ์โดยทั่วไป
    นับตั้งแต่สงครามอินโดจีนเรื่อยมา วัดสุนทรธรรมทาน หรือวัดแคนางเลิ้ง หรือวัดสนามกระบือ ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ถือเป็นสถานที่ต้อนรับพระเกจิอาจารย์ที่อยู่ต่างจังหวัดมากมาย หลวงปู่ธูปจึงมีความสนิทคุ้นเคยและมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนวิชาความรู้ทางพุทธา คมคาถา กับพระผู้ทรงวิทยาคมในสมัยนั้นหลายรูปหลายนามยิ่งกว่านั้น ยังได้รับตำรับตำราจากพระคณาจารย์บางองค์เป็นการเพิ่มเติมจากเดิมที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะวิชา อยู่ยงนั้นเป็นที่เล่าลือมาก
    ต่อมาในระยะหลังๆพระเกจิอาจารย์มาเยือนวัดแคนางเลิ้งเพียงไม่กี่รูป เพราะชราภาพไม่สะดวกในการเดินทาง คงมีแต่หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง นครปฐม หลวงพ่อนอ วัดกลางและหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันคงเหลือแต่เพียงเรื่องราวของท่าน ที่ถูกนำมาถ่ายทอดเล่าขานสืบต่อกันมา
    หลวงปู่ธูปเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 9 ของวัดแคนางเลิ้ง ที่มีความเข้มขลังทางพุทธาอาคม สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านไม่ยอมเปิดเผยวิทยาคุณด้านนี้ให้เป็นที่แพร่หลายมากนัก ผู้คนทั่วไปจึงไม่ค่อยมีโอกาสรับรู้ นอกจากผู้อยู่ใกล้ชิดและติดตาม
    ท่านเกิดในสกุล วิชาเดช เกิดวันจันทร์ที่ 11 เม.ย. 2441 ณ บ้านต.บางหลวงเอียง อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา บิดาชื่อ เดช มารดาชื่อ ผ่องมีพี่น้องทั้งหมด 5 คน ท่านเป็นคนสุดท้อง อายุได้ 8 ปี ญาติผู้ใหญ่นำไปฝากให้เรียนอักษรสมัยที่วัดตะกู โดยมีพระ อาจารย์เอม เจ้าอาวาสขณะนั้น เป็นครูสอนเรียนหนังสือไทยเบื้องต้น มีประถมก.กา มูลบทบรรพกิจ หนังสือพระมาลัยและขอม เป็นพื้นฐานเบื้องต้น จากนั้นได้ย้ายมาศึกษาวิชามูลกัจจายน์ และเรียนหนังสือบาลีที่วัดศาลาปูน จ.พระนครศรีอยุธยา
    หลัง จากเล่าเรียนจนแตกฉานแล้ว พี่ชายของท่านซึ่งอยู่กับญาติผู้ใหญ่ที่กรุงเทพฯคือ พล.ต.อ.เจ้าพระยาราชศุภนิมิตร และท่านผู้หญิงแปลก ได้มารับท่านไปอยู่ที่กรุงเทพฯด้วย และได้ให้ความเมตตาและอุปการะเป็นอย่างดี โดยให้เข้าเรียนหนังสือต่อที่ ร.ร.วัดส้มเกลี้ยง(วัดราชผาติการาม) จนจบชั้นประถม 4 ในขณะที่เล่าเรียนได้มีโอกาสติดตาม พล.ต.อ.เจ้าพระยาราชศุภนิมิตรเข้าเฝ้า และติดตามเบื้องพระยุคลบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในพระราชพิธีต่างๆ และการเสด็จแปรพระราชฐานในต่างจังหวัดอยู่บ่อยครั้ง
    เมื่อ อายุครบเกณฑ์ทหารได้สมัครเข้ารับราชการเป็นทหารรักษาวังอยู่ 2 ปี หลังปลดประจำการท่านเจ้าพระยาและท่านผู้หญิง ได้อุปถัมภ์ให้เข้ารับการอุปสมบท ณ วัดสุนทรธรรมทาน เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2463 สมเด็จพระวันรัต (จ่าย) เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอริยมุนี (หว่าง) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูพุทธบาล (เนตร) เจ้าอาวาสวัดสุนทรธรรมทาน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า เขมสิริ
    ได้อยู่จำพรรษาที่วัดแคนางเลิ้ง ศึกษาพระธรรมวินัยกับพระครูพุทธบาลมาโดยลำดับ และยังได้ศึกษานักธรรมชั้นตรีในสำนักเรียนวัดเบญจมบพิตร เมื่อถึงกำหนดสอบธรรมสนามหลวง เกิดอาพาธกะทันหันจึงล้มเลิกการศึกษาทางด้านคันถธุระตั้งแต่นับนั้นและหันมา เอาดีทางสมถกรรมฐานและพุทธาคมคาถา
    ประมาณพรรษาที่ 3 ได้เดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชากรรมฐานชั้นสูงกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จนบรรลุฌานชั้นสูง สามารถแสดงอิทธิคุณต่างๆได้ ยิ่งกว่านั้น ยังได้ศึกษาเวทมนต์คาถา ซึ่งเป็นวิชาการแขนงหนึ่งที่พระเถระยุคเก่าต้องใฝ่หาเรียนรู้ไว้เพื่อ ประโยชน์ในงานพระศาสนาต่างๆ อาทิ การปลุกเสกวัตถุมงคลในรูปแบบต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยพระผู้ทรงวิทยาคุณเป็นผู้ภาวนาปลุกเสก โดยได้รับการประสิทธิ์ประสาทจากหลวงพ่อปานมาเต็มเปี่ยม
    หลวงปู่ธูปใช้เวลาศึกษาอยู่กับหลวงพ่อปานประมาณหนึ่งพรรษา จึงกลับคืนวัดสุนทรธรรมทาน และได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้รั้งตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบแทนพระครูพุทธบาล ที่ขอลาสิกขาบทในปีพ.ศ.2470 และผ่านการลงคะแนนเลือกตั้งจนได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ในปีพ.ศ.2471 ขณะมีอายุได้ 30 ปี พรรษา 8 นับเป็นพระหนุ่มที่มีพรรษาน้อยสุดที่ได้เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดในเขตจ.พระ นครสมัยนั้น
    หลังจากรับตำแหน่งท่านก็ริเริ่มปฏิสังขรณ์และพัฒนาก่อสร้างอาคาร เสนาสนะต่างๆเรื่อยมา โดยเริ่มลงมือตั้งแต่ปีพ.ศ.2472-2500 ซึ่งเป็นปีที่ก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่ กระทั่งวันอาทิตย์ที่ 29 ก.ค. 2533 เวลา 02.26 น. ท่านก็มรณภาพลงที่โรงพยาบาลพญาไท รวมสิริอายุ 92 ปี 3 เดือน 28 วัน พรรษา 70
    ด้านวัตถุมงคล ตลอดเวลาที่ท่านครองเพศพรหมจรรย์ ได้สร้างวัตถุมงคลในรูปแบบต่างๆมากมายหลายรุ่น จากการบันทึกของหนังสือวัดทราบว่าสร้างครั้งแรกในปีพ.ศ.2482 และจัดสร้างติดต่อกันมาจนถึงพ.ศ.2529 ทุกชนิดมีพุทธคุณในด้าน เมตตามหานิยมและความรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน เป็นหลัก

    เหรียญรุ่นแรก พิมพ์นิยม
    (บล๊อคแตก) หลวงปู่ธูป วัดแคนางเลิ้ง เนื้อทองแดง รมดำ สภาพรมดำเดิมเก็บดีสวยสุดยอดครับ

    การจัดสร้างพระเครื่องและวัตถุมงคลของหลวงปู่ธูป จะจัดแบ่งเป็นสามยุคคือยุคต้นช่วงสมัยสงครามอินโดนจีนจะเป็นผ้ายันต์ ผ้าประเจียดและตะกรุดเสียส่วนมาก ด้านพระเครื่องจะสร้างไว้น้อย โดยมากจะเป็นพระผงแล้วนำไปชุบรักไว้อีกที (ต้องดูให้ดีๆว่าถูกยุคไหม) ยุคกลางคือช่วงปีพ.ศ.2504หลวงปู่จะสร้างพระผงน้ำมันเสียส่วนใหญ่ ยุคท้ายคือช่วงตั้งแต่ พ.ศ.2514-2517ท่านจะสร้างเป็นพระผง ด้านหลังมีฝังแร่ หรือจีวร หรือไม่มีฝังเลยก็ได้ เอกลักษณ์ในพระของท่านโดยมากจะปั๊มเป็นยันต์ใบพัด ที่ไม่ปั๊มก็มี แต่มีน้อยมาก ส่วนที่ปั๊มด้วยยันต์ตัวอื่นก็มีแต่หายากมาก เครื่องรางที่ขึ้นชื่อของท่านจะเป็นลูกอม เป็นเนื้อผงมีสองแบบคือขนาดเล็กไว้พกติดตัว และขนาดใหญ่หน่อยเรียกว่าลูกอมศรีสวาทด้านในจะใส่กริ่งเอาไว้ เขย่าจะมีเสีย เอาไว้แขวนหน้าร้านหรือใส่ไว้ในลิ้นชักเก็บเงิน เด่นทางด้านเมตตาค้าขาย เครื่องรางอีกอย่างคือผ้ายันต์สาลิกาน้ำจันทร์เป็นผ้ายันต์ปั๊มหมึก เด่นครบวงจรทั้งเมตตา มหานิยมและคงกะพันแต่ไหนแต่ไรก็หายากมากคนเก็บกันหมด


    พระเครื่องของท่านเป็นของดีราคาถูกพุทธคุณสูง แถมราคาไม่สูงมากเพราะพระของท่านจะโดนลูกศิษย์ลูกหาสายตรงเก็บเข้ารังหมด ไม่แพร่หลายเป็นที่รู้จักในวงการมากนัก ปัจจุบันพระของท่านเริ่มๆทยอยแตกรังออกมาบ้าง เมื่อคนได้ไปบูชาเริ่มมีประสบการณ์ พระเครื่องของท่านจะหายากกว่านี้ครับ

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]


    ให้บูชา 5,450บ.ครับ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • tup1.jpg
      tup1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.6 KB
      เปิดดู:
      10,903
    • tup2.jpg
      tup2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      69.1 KB
      เปิดดู:
      9,955
    • tup3.jpg
      tup3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.8 KB
      เปิดดู:
      7,804
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2014
  15. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    ประวัติ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง

    ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย


    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เดิมชื่อ ญาณ หรือ ยาน รามศิริ เกิดวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2430 วันจันทร์ ขึ้น 3 ค่ำ ปีกุน ณ บ้านนาโป่งบ้างก็ว่า บ้านหนองบอน ตำบลหนองใน (ปัจจุบันเป็น ตำบลนาโป่ง) อำเภอเมือง จังหวัดเลย ท่านเกิดในตระกูลช่างตีเหล็ก เป็นบุตรคนที่ 2 (คนสุดท้อง) ของ นายใส หรือ สาย กับ นางแก้ว รามศิริ มีพี่สาวร่วมท้องเดียวกัน 1 คน

    เมื่อหลวงปู่แหวน อายุประมาณ 5 ขวบ พอจำความได้บ้างว่า ก่อนที่มารดาจะเสียชีวิต ได้เรียกไปสั่งเสียว่า "ลูกเอ๋ย แม่ยินดีต่อลูก สมบัติใด ๆ ในโลกนี้ จะเป็นกี่ล้านกี่โกฏก็ตาม แม่ก็ไม่ยินดี และแม่จะยินดีมาก ถ้าลูกจะบวชให้แม่จนตายในผ้าเหลือง ไม่ต้องสึกออกมามีเมียนะลูกนะ" หลังจากนั้นมารดาได้ถึงแก่กรรมลง ท่านจึงอยู่ในความดูแลของตากับยายขุนแก้ว

    อนึ่ง ยายของหลวงปู่แหวน ได้ฝันว่า เห็นหลานชายไปนั่งไปนอนอยู่ในดงขมิ้นจนเนื้อตัวเหลืองอร่ามน่าชม จึงได้มาร้องขอให้บวชเช่นเดียวกัน ท่านจึงรับปาก แล้วบวชพร้อมกับหลานยายอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และมีศักดิ์เป็นน้า ยายได้นำหลานทั้ง 2 คน ไปถวายตัวต่อพระอุปัชฌาย์ที่ วัดโพธิ์ชัย (มหานิกาย) ในหมู่บ้านนาโป่ง เพื่อฝึกหัดขานนาค ทำการบรรพชาเป็นสามเณรต่อไป

    ด้วยคำพูดของแม่ในครั้งนั้น เป็นเหมือนพรสวรรค์คอยเตือนสติอยู่ตลอดเวลา มันเป็นคำสั่งที่ก้องอยู่ในความทรงจำมิรู้เลือน จนในที่สุดท่านก็ได้บวชตามความประสงค์ของมารดาและใช้ชีวิตอยู่ในผ้าเหลืองจนตลอดอายุขัย

    ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

    หลวงปู่แหวน ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อปี พ.ศ. 2439 มีอายุได้ 9 ปี ที่วัดโพธิ์ชัย บ้านนาโป่ง ตำบลนาโป่ง อำเภอเมือง จังหวัดเลย มีพระอาจารย์คำมา เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระอาจารย์อ้วน เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัย เป็นพระพี่เลี้ยง

    เมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว จึงเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น แหวน อยู่จำพรรษาที่วัดโพธิ์ชัยนั่นเอง พอเข้าพรรษาได้ประมาณ 2 เดือน สามเณรผู้มีศักดิ์เป็นน้าที่บวชพร้อมกันเกิดอาพาธหนักถึงแก่มรณภาพไป ทำให้ท่านสะเทือนใจมาก

    เนื่องจาก วัดโพธิ์ชัย ไม่มีการศึกษาเล่าเรียน เพราะขาดครูสอน ท่านจึงอยู่ตามสบาย คือ สวดมนต์ไหว้พระบ้าง เล่นบ้างตามประสาเด็ก ต่อมาได้ถูกส่งไปเรียนมูลกัจจายน์ ที่ วัดสร้างก่อ อำเภอหัวสะพาน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งในสมัยนั้น จังหวัดอุบลราชธานีมีสำนักเรียนที่มีชื่อเสียง มีครูอาจารย์สอนกันเป็นหลักเป็นฐานหลายแห่งเช่น สำนักเรียนบ้านไผ่ใหญ่ บ้านเค็งใหญ่ บ้านหนองหลัก บ้านสร้างก่อทั่วอีสาน 15 จังหวัด (ในสมัยนั้น) ใครต้องการศึกษาหาความรู้ ต้องมุ่งหน้าไปเรียนมูลกัจจายน์ ตามสำนักดังกล่าว ผู้เรียนจบหลักสูตรได้ชื่อว่าเป็นปราชญ์ เพราะเป็นหลักสูตรที่เรียนยาก มีผู้เรียนจบกันน้อยมาก ภายหลัง สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงมาปรับปรุงเปลียนแปลงหลักสูตรใหม่ดังเป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้การเรียนมูลกัจจายน์ถูกลืมเลือน

    ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนที่สำนักนี้หลายปี จนอายุครบบวชพระ จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกายที่ วัดสร้างก่อนอก อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี พระอาจารย์แว่น เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อประมาณ พ.ศ. 2451

    ในระยะที่เรียนหนังสืออยู่นั้น ท่านเกิดความว้าวุ่นใจเพราะ ท่านอาจารย์อ้อน อาจารย์เอี่ยม ครูผู้สอนหนังสือเกิดอาพาธด้วยโรคนอนไม่หลับ ท่านจึงแนะนำให้ลาสิกขาบทเผื่อโรคอาจจะหายได้ หายแล้วหากยังอาลัยในสมณเพศ เมื่อได้โอกาสก็ให้กลับมาบวชใหม่อีก ท่านอาจารย์ทำตาม ปรากฏว่าโรคหายดี แต่ต่อมาพระผู้เป็นอาจารย์สอนหนังสือ คือ อาจารย์ชม อาจาาย์ชาลี และท่านอื่น ๆ ลาสิกขาไปมีครอบครัวกันหมดสำนักเรียนจึงต้องหยุดชงักลง

    ในที่สุด ท่านจึงเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า บรรดาครูอาจารย์เหล่านั้น สึกออกไปล้วนเพราะอำนาจของกามทั้งสิ้น จึงระลึกนึกถึงคำเตือนของแม่และยาย และเกิดความคิดขึ้นมาว่าการออกปฏิบัติเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้บวชอยู่ได้ตลอดชีวิตเหมือนกับครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ได้ออกไปปฏิบัติอยู่กันตามป่าเขาไม่อาลัยอาวรณ์อยู่กับหมู่คณะจึงได้ตัดสินใจไปหาอาจารย์ที่เมืองสกลนคร

    ท่านได้ตั้งสัจจาธิษฐาน ขออุทิศชีวิตพรหมจรรย์แด่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หลังจากตั้งจิตอธิษฐานแล้ว ท่านมีความรู้สึกปลอดโปร่ง เบากายเบาใจ อยู่มา 2-3 วัน โยมอุปัฏฐาก ได้มาบอกว่า พระอาจารย์จวง วัดธาตุเทิง อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ได้ไปกราบ ญาคูมั่น พึ่งกลับมา ท่านจึงได้ไปนมัสการพระอาจารย์จวง เพื่อขอทราบที่อยู่ของ หลวงปู่มั่น ด้วยรู้สึกศรัทธาในกิตติศัพท์ความเก่งกล้าสามารถของหลวงปู่มั่นยิ่งนัก

    จากนั้น ท่านก็ได้ออกธุดงค์มุ่งสู่สำนักของ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต โดยผ่านม่วงสามสิบ คำเขื่อนแก้ว ยโสธร เลิงนกทา มุกดาหาร คำชะอี นาแก สกลนคร พรรณานิคม สว่างแดนดิน หนองหาน อุดรธานี บ้านผือ ซึ่งนับเป็นการเดินทางไกลและยาวนานเป็นครั้งแรกจนได้เข้าพบหลวงปู่มั่น ที่ดงมะไฟ บ้านค้อ

    คำแรกที่หลวงปู่มั่นสั่งสอนก็คือ "ต่อไปนี้ให้ภาวนา ความรู้ที่เรียนมา ให้เอาใส่ตู้ไว้ก่อน" ซึ่งทำให้ท่านรู้สึกยินดีมากเพราะได้บรรลุสิ่งที่ตั้งใจ

    หลังจากอยู่กับหลวงปู่มั่นได้ 4 วัน พี่เขยและน้าเขยก็มาตามให้กลับไปเยี่ยมโยมพ่อที่ไม่ได้พบกันมานาน 10 ปี จึงเข้าไปกราบลาหลวงปู่มั่น และได้รับคำเตือนว่า "ไปแล้วให้รีบกลับมา อย่าอยู่นาน ประเดี๋ยวจะเสียท่าเขา ถูกเขามัดไว้แล้วจะดิ้นไม่หลุด"

    ท่านได้กลับไปเยี่ยมบ้านในปี พ.ศ.2461เป็นที่นับถือศรัทธาของประชาชนในแถบบ้านเกิดมาก หลั่งไหลกันมากราบอย่างไม่ขาดสาย จนทำให้พักผ่อนไม่พอและล้มป่วยลงต้องพักรักษาตัวอยู่หนึ่งเดือนเต็ม ด้วยจิตที่ระลึกถึงคำสั่งของพระอาจารย์ว่า "อย่าอยู่นานให้รีบกลับมาภาวนา" กับคำสั่งเสียของแม่ว่า "แม่ยินดีมากถ้าลูกจะบวชให้แม่ แล้วก็ให้ตายกับผ้าเหลือง" ทำให้ท่านตัดสินใจรีบเดินทางกลับไปอยู่รับการอบรมภาวนาต่อแล้วจึงได้แยกไปหาที่วิเวกบำเพ็ญสมาธิภาวนาตามความเหมาะสมกับจิตของตน เมื่อถึงวันอุโบสถจึงได้ถือโอกาสเข้านมัสการถามปัญหาข้อข้องใจในการปฏิบัติจากหลวงปู่มั่นจนเป็นที่เข้าใจแล้ว จึงกลับสู่ที่ปฏิบัติของตนดังเดิม โดยยึดมั่นในคำเตือนของหลวงปู่มั่นว่า "ให้ตั้งใจภาวนา อย่าได้ประมาท ให้มีสติอยู่ทุกเมื่อ จงอย่าเห็นแก่การพักผ่อนหลับนอนให้มาก"

    ในระยะแรกออกปฏิบัตินั้น ท่านไม่ได้ร่วมทำสังฆกรรมฟังการสวดปาติโมกข์ เพราะยังไม่ได้ญัตติเป็นธรรมยุต พระมหานิกายที่ได้รับการอบรมจากท่านหลวงปู่มั่นครั้งนั้นมีหลายรูป เมื่ออยู่ไปนาน ๆ ได้เห็นความไม่สะดวกในการประกอบสังฆกรรมดังกล่าว จึงไปกราบขออนุญาตให้ญัตติเป็นธรรมยุต ซึ่งบางรูปก็ได้รับอนุญาต บางรูปก็ไม่ได้รับอนุญาต โดยหลวงปู่มั่นให้เหตุผลว่า "ถ้าพากันมาญัตติเห็นพระธรรมยุตเสียหมดแล้ว ฝ่ายมหานิกายจะไม่มีใครมาแนะนำในการปฏิบัติ มรรคผลไม่ได้ขึ้นอยู่กับนิกาย แต่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำสั่งสอนไว้แล้ว ละในสิ่งที่ควรเว้น เจริญในสิ่งที่ควรเจริญ นั่นแหละ คือ ทางดำเนินไปสู่มรรคผลนีพพาน"

    ประมาณ พ .ศ.2464 ท่านได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อพำนักและศึกษาธรรม กับพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) แห่งวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ ซึ่งหลวงปู่มั่นยกย่องอยู่เสมอว่าเชี่ยวชาญทั้งทางการเทศน์และการปฏิบัติธรรม

    หลังจากที่ท่านได้รับฟังธรรมและเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย พม่า และเชียงตุง จากท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ แล้ว ก็ได้จาริกไปพม่า อินเดีย โดยผ่านทาง แม่ฮ่องสอน จังหวัดตาก ข้ามแม่น้ำเมย ขึ้นฝั่งพม่าต่อไปยังขลุกขลิกมะละแหม่ง ข้ามฟากไปถึงเมาะตะมะ ขึ้นไปพักที่ดอยศรีกุตระ กลับมามะละแหม่ง แล้วโดยสารเรือไปเมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย แล้วต่อรถไฟไปเมืองพาราณสี เที่ยวนมัสการปูชนียสถานต่าง ๆ แล้วจึงกลับโดยเส้นทางเดิม ถึงฝั่งไทยที่อำเภอแม่สอด เดินเที่ยวอำเภอสามเงา

    ปีต่อมา เดือนตุลาคม ท่านได้จาริกธุดงค์ไปเชียงตุง และ เชียงรุ้ง ในเขตพม่า โดยออกเดินทางไปด่านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ผ่านหมู่บ้านชาวเขา พักตามป่าเขา จาริกผ่านเชียงตุง แล้วต่อไปทางเหนือ อันเป็นถิ่นชาวเขา เช่น จีนฮ่อ ซึ่งอยู่ตามเมืองแสนทวี ฝีฝ่า หนองแส บางเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง พอฝนตกชุกจวนเข้าพรรษาก็กลับเข้าเขตไทย นับได้ว่าท่านได้ธุดงค์จาริกไปตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่งในและนอกประเทศส่วนใหญ่จะพำนักอยู่ในเขตจังหวัดอุบลฯ อุดรฯ และตั้งใจจะไปให้ถึงสิบสองปันนาสิบสองจุไท แต่ทหารฝรังเศสห้ามเอาไว้ จึงไปถึง วัดใต้หลวงพระบาง แล้วก็กลับพร้อมกับหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม

    ทางภาคเหนือ ท่านได้มุ่งเดินทางไป ค่ำไหนนอนนั่น จากอำเภอท่าลี่ จังหวัดเลยออกไป อำเภอด่านซ้าย ผ่านอำเภอน้ำปาด อำเภอนครไทย อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ตัดไปอำเภอนาน้อย แพร่ หมู่บ้านชาวเย้า อำเภอสูงเม่น อำเภอเด่นชัย ลำปาง แล้วต่อไปยังเชียงใหม่ เที่ยวดูภูมิประเทศโดยรอบเขาดอยสุเทพ

    ท่านได้รับความเมตตาจาก ท่านเจ้าคุณพระอุปาลีคุณูปมาจารย์ ด้วยดีตลอดมา ประมาณปี พ.ศ.2470 ท่านเจ้าคุณเห็นว่า หลวงปู่แหวน เป็นผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติมีวิริยะอุตสาหะปรารภความเพียรสม่ำเสมอไม่ท้อถอย มีข้อวัตรปฏิบัติดี มีอัธยาศัยไมตรีไม่ขึ้นลง คุ้นเคยกันมานาน เห็นสมควรจะได้ญัตติเสีย หลวงปู่แหวน จึงตัดสินในเป็นพระธรรมยุต ที่พัทธสีมา วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ มี พระนพีสิ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ต่อมา หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ซึ่งเคยเป็นสหธรรมิกร่วมธุดงค์กัน ก็ได้ญัตติเป็นธรรายุตเหมือนกัน

    ในระหว่างที่จาริกแสวงหาวิเวกอยู่ทางภาคเหนือนั้น ท่านได้พบกับหลวงปู่ขาว อนาลโย และได้แยกย้ายกันจำพรรษาตามป่าเขา ท่านเคยได้แยกเดินทางทุ่งบวกข้าว จนถึงป่าเมี่ยงขุนปั๋ง พอออกพรรษา หลวงปู่มั่น พระอาจารย์พร สุมโน ได้มาสมทบที่ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง ขณะนั้น พระอาจารย์เทสก์ เทสรํสี พระอาจารย์อ่อน ญาณสิร ิมาร่วมสมทบอีก เมื่อทุกท่านได้รับโอวาทจากหลวงปู่มั่นแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไป หลวงปู่แหวนพร้อมหลวงปู่ขาว พระอาจารย์พร ไปที่ดอนมะโน หรือ ดอยน้ำมัว ส่วนหลวงปู่มั่นอยู่ที่กุฏิชั่วคราวที่ชาวบ้านสร้างถวายที่ป่าเมี่ยบขุนปั๋งนั่นเอง

    ภายหลังหลวงปู่มั่น เดินทางกลับอีสานแล้ว หลวงปู่แหวนยังคงจาริกแสวงวิเวกบำเพ็ญธรรมอยู่ป่าเมี่ยงแม่สาย หลวงปู่เล่าว่า อากาศทางภาคเหนือถูกแก่ธาตุขันธ์ดี ฉันอาหารได้มาก ไม่มีอาการอึดอัด ง่วงซึม เวลาภาวนาจิตก็รวมลงสู่ฐานสมาธิได้เร็ว นับว่าเป็นสัปปายะ

    ประมาณปี พ.ศ. 2474 ขณะที่หลวงปู่แหวนปฏิบัติธรรมอยู่ที่เชียงใหม่ ได้ทราบข่าวว่า ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ ประสบอุบัติเหตุขณะขึ้นธรรมาสน์เพื่อแสดงธรรมถึงขาหักจึงเดินทางจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯ และแวะกราบเรียนให้หลวงปู่มั่นทราบที่อุตรดิตถ์ แล้วเดินทางโดยรถไฟถึงโกรกพระ นครสวรรค์ ลงเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยามาถึงวัดคุ้งสำเภา พักค้างคืนหนึ่ง แล้วลงเรือล่องมาถึงกรุงเทพฯ เฝ้าพยาบาลท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ นานหนึ่งเดือน จึงกราบลาไปจำพรรษาที่เชียงใหม่

    ปี พ.ศ.2498 ท่านจำพรรษาที่ วัดบ้านปง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เกิดอาพาธแผลที่ขาอักเสบทรมานมาก ท่านจำพรรษาอยู่รูปเดียว ชาวบ้านไม่เอาใจใส่ได้ ท่านพระอาจารย์หนู สุจิตฺโต วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ พาหมอมาจี้ มาทำการผ่าตัดโดยไม่ต้องฉีดยาชา ใช้มีดผ่าตัดเพียงเล่มเดียว ท่านมีความอดทนให้กระทำจนสำเร็จและหายได้ในที่สุด

    อีกหลายปีต่อมา พระอาจารย์หนูเห็นว่า หลวงปู่แหวน แก่มากแล้ว ไม่มีผู้อุปัฏฐาก จึงได้ชักชวนญาติโยมไปนิมนต์ให้ ท่านมาจำพรรษาที่ วัดดอยแม่ปั๋ง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2505 ในฐานะพระผู้เฒ่าทำหน้าที่ปฏิบัติธรรมอย่างเดียวไม่ต้องเกี่ยงข้องกับภาระหน้าที่อื่นใด และท่านก็ได้ตั้งสัจจะว่า จะไม่รับนิมนต์ ไม่ขึ้นรถ ไม่ลงเรือ แม้ที่สุดจะเกิดอาพาธหนักเพียงใด ก็จะไม่ยอมเข้านอนโรงพยาบาล ถึงธาตุขันธ์จะทรงอยู่ต่อไปไม่ได้ ก็จะให้สิ้นไปในป่าอันเป็นที่อยู่ แล้วท่านก็ได้ปฏิบัติตามที่ตั้งใจไว้ได้

    นับตั้งแต่ท่านขึ้นไปภาคเหนือแล้ว ท่านก็ไม่เคยไปจำพรรษาที่ภาคอื่นอีกเลย ท่านเคยอยู่บนดอยสูงกับชาวเขาเกือบทุกเผ่า อยู่ในป่าเขาภาคเหนือตอนบน เช่น เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ส่วนภาคเหนือตอนล่าง เช่น แพร่ น่าน ตาก กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก ท่านเคยจาริกไปครั้งคราว จึงนับได้ว่า วัดดอยแม่ปั๋ง เป็นสถานที่ซึ่ง หลวงปู่อยู่จำพรรษามาตั้งแต่ปี พ.ศ.2505 จวบจนมรณภาพ

    หลวงปู่แหวน มีโรคประจำตัวคือ เป็นแผลเรื้อรังที่ก้นกบยาวประมาณ 1 ซม. มีอาการคัน ถ้าอักเสบก็จะเจ็บปวดมาก และอีกโรคหนึ่งคือ เป็นต้อกระจกนัยน์ตาด้านซ้าย เป็นต้อหินนัยน์ตาด้านขวา หมอได้เข้าไปรักษาเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2518 ซึ่งรักษาแล้วสุขภาพก็ยังแข็งแรงตามวัย แต่ต่อมาปี 2519 ร่างกายเริ่มซูบผอม อ่อนเพลีย ฉันอาหารได้น้อย ขาทั้ง 2 เป็นตะคริวบ่อย ต่อมา 2520 สุขภาพทรุด ค่อนข้างซูบเหนื่อยอ่อน เวียนศีรษะถึงกับเซล้มลง และประสบอุบัติเหตุขณะครองผ้าจีวรในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2522 ซึ่งเป็นวันที่ทางวัดจัดงานผูกพัทธสีมา ส่งผลให้เจ็บบั้นเอวและกระดูดสันหลัง ลุกไม่ได้ ต้องนอนอยู่กับที่ รักษาอยู่เดือนหนึ่ง ก็หายเป็นปกติ แต่เนื่องจากหลวงปู่อายุมากแล้ว จึงมีอาการอาพาธมาโดยตลอด คณะแพทย์ก็คอยให้การรักษาด้วยดีเช่นกัน จนกระทั่งใน วันอังคารที่ 2 กรกฏาคม พ.ศ.2528 เวลา 21.53 น. การหายใจครั้งสุดท้ายก็มาถึง หลวงปู่แหวน ท่านได้ละร่างอันเป็นขันธวิบากไปด้วยอาการสงบ สิริรวมอายุได้ 98 ปี

    ธรรมโอวาท

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ได้แสดงธรรมโอวาทหลายเรื่อง เช่นเรื่อง ของเก่าปกปิดความจริง ที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า การพิจารณาต้องน้อมเข้ามาสู่ภายใน พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว มันก็วางเอง

    หลวงปู่มั่น ท่านว่า "เหตุก็ของเก่านี้แหละ แต่ไม่รู้ว่าของเก่า" ของเก่านี่แหละมันบังของจริงอยู่นี่ มันจึงไม่รู้ ถ้ารู้ว่าเป็นของเก่า มันก็ไม่ต้องไปคุย มีแต่ของเก่าทั้งนั้นตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ของเก่า เวลามาปฏิบัติภาวนา ก็พิจารณาอันนี้แหละ ให้มันรู้แจ้งเห็นจริง ให้มันรู้แจ้งออกมาจากภายใน มันจึงไปนิพพานได้ นิพพานมันหมักอยู่ในของสกปรกนี่ มันจึงไม่เห็น พลิกของสกปรกออกดูให้เห็นแจ้ง

    นักปราชญ์ท่านไม่ละความเพียร เอาอยู่อย่างนั้นแหละ เอาจนรู้จริงรู้แจ้ง ทีนี้มันไม่มาเล่นกับก้อนสกปรกนี้อีก พิจารณาไป พิจารณาเอาให้นิพพานใสอยู่ในภายในนี่ ให้มันอ้อ นี่เอง ถ้ามันไม่อ้อหนา เอาให้มันถึงอ้อ จึงใช้ได้

    ครั้นถึงอ้อแล้วสติก็ดี ถ้ามันยังไม่ถึงแล้ว เต็มที่สังขารตัวนี้ พิจารณาให้มันรู้แจ้งเห็นจริงในของสกปรกเหล่านี้แหละ ครั้นรู้แจ้งเข้า รู้แจ้งเข้า มันก็เป็นผู้รู้พระนิพพานเท่านั้น

    จำหลักให้แม่น ๆ มันไม่ไปที่ไหนหละ พระนิพพาน ครั้นเห็นนิพพานได้แล้ว มันจึงเบื่อโลก เวลาทำก็เอาอยู่นี่แหละ ใครจะว่าไปที่ไหนก็ตามเขา ละอันนี่แหละทำความเบื่อหน่ายกับอันนี้แหละ ทั้งก้อนนี่แหละ นักปฏิบัติต้องพิจารณาอยู่นี่แหละ ชี้เข้าไปที่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ ให้พิจารณากาย พิจารณาใจ ให้เห็นให้เกิดความเบื่อหน่าย

    การต่อสู้กามกิเลส เป็นสงครามอันยิ่งใหญ่ กามกิเลสนี้ร้ายนัก มันมาทุกทิศทุกทาง หากพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง ก็ถอนได้ กามกิเลสนี้แหละ เป็นบ่อเกิดแห่งการฆ่ากันตาย ชิงดีชิงเด่น กิเลสตัวเดียว ทำให้มีการต่อสู้แย่งชิงกัน ทั้งความรักความชัง จะเกิดขึ้นในจิตใจก็เพราะกาม

    นักปฏิบัติต้องเอาให้หนักกว่าธรรมดา ทำใจของตนให้แน่วแน่ มันจะไปสงสัยที่ไหน ก็ของเก่าปรุงแต่งขึ้นเป็นความพอใจไม่พอใจ มันเกิดมันดับอยู่นี่ ไม่รู้เท่าทันมัน ถ้ารู้เท่า ทันมัน ก็ดับไป ถ้าจี้มันอยู่อย่างนี้ มันก็ค่อยลดกำลังไป ตัดอดีต อนาคตลงให้หมด จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน ทำในปัจจุบัน แจ้งอยู่ในปัจจุบัน

    ปัจฉิมบท

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เป็นพระมหาเถระ ซึ่งได้ดำเนินชีวิตของท่านอยู่ในเพศของบรรพชิตมาตั้งแต่อายุเยาว์วัย เป็นพระนักศึกษาและนักปฏิบัติธรรมมาโดยตลอด เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยศีลาจารวัตร ทั้งที่เมื่อยังเป็นพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย และ เป็นฝ่ายธรรมยุตแล้ว ดังที่ หลวงปู่มั่น เคยแสดงเหตุผลว่า "มรรคผลไม่ได้ขึ้นอยู่กับนิกาย"

    หลวงปู่แหวน เป็นผู้เปี่ยมด้วยเมตตาบารมีธรรม เป็นปูชนียบุคคล ชาวพุทธให้ความเคารพสักการะอย่างมาก เมตตาบารมีธรรมของท่าน ยังผลให้กุลบุตรกุลธิดาใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรม สืบสร้างความมั่นคงให้แก่พระศาสนา ทำให้เกิดมีการก่อสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ เช่น โรงพยาบาล วัด อาคาร ท่านได้อำนวยคุณประโยชน์ต่าง ๆ แก่สังคมสืบมาจนถึงปัจจุบัน ชีวิตร่างกายของท่านได้ดับสลายไป แต่คุณงามความดีของท่านยังตรึงแน่นอยู่ในจิตสำนึกของพุทธศาสนิกชนอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย เพราะท่านเป็นพระผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบในฐานะพุทธชิโนรส เป็นเนื้อนาบุญของผู้ต้องการบุญในโลกนี้

    รูปหล่อโบราญ อุดกริ่ง หลวงปู่แหวน เก่า สวยมากครับ

    [​IMG][​IMG]
    [​IMG]


    *ปิดรายการนี้ครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1255179567.jpg
      1255179567.jpg
      ขนาดไฟล์:
      81.6 KB
      เปิดดู:
      8,300
    • vn1.jpg
      vn1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.3 KB
      เปิดดู:
      10,508
    • vn2.jpg
      vn2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50 KB
      เปิดดู:
      8,558
    • vn3.jpg
      vn3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.6 KB
      เปิดดู:
      11,370
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2014
  16. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]
    เหรียญรุ่นแรก อาจารย์ชุม ไชยคีรี เนื้อสัตตะโลหะ ปี ๒๕๑๗ จ.พัทลุง

    เหรียญรูปเหมือนอาจารย์ชุม ไชยคีรี รุ่นแรก เหรียญรุ่นนี้ ถือเป็นเหรียญรุ่นแรก ของท่าน เป็นเหรียญอาจารย์ชุม ไชยคีรีเต็มตัว

    พิธีปลุกเสกทีละเหรียญตามตำราเขาอ้อ โดยเชิญหลวงปู่คง ปรมาจารย์ขุนแผน หลวงปู่ทวดวัดช้างให้ เสด็จพ่อกรมหลวงชุมพร พระพิฆเณศ มาทำการอธิฐานจิตให้ที่สำนัก อาจารย์ชุม ไชยคีรี 16 วัน 16 คืน เสกทีละเหรียญ

    เหรียญสร้างจากเนื้อโสฬสธาตุ 16 อย่าง ส่วนหนึ่งได้นำมาจากชนวนสร้างพระโสฬสมงคล พระภควัมบดีของหลวงพ่อวัดแหลมทราย จ.สงขลาตั้งแต่ปี 2481 ก่อนประกาศสงครามโลกครั้งที่ 2 จำนวนสร้างประมาณ 2,500เหรียญ โสฬส 16 อย่าง มีดังนี้ 1.เหล็กไหล
    2.เจ้าน้ำเงิน
    3.ทองคำ
    4.เงินบริสุทธิ์
    5.นาค
    6.ทองแดง
    7.ทองเหลือง
    8.แร่ดีบุก
    9.แร่วุลแฟรม
    10.แร่จักรนารายณ์
    11.แร่สังควานร
    12.แร่ชิณ
    13.แร่ตะกั่วดำ
    14.แร่ตะกั่วเถื่อน
    15.แร่เหล็กน้ำพี้
    16.เหล็กยอดพระปรางค์

    สมัย 30กว่าปีก่อน ชื่อของอาจารย์ชุม ไชยคีรี ฆราวาสผู้เรืองเวทเป็นที่เลื่องลือกระฉ่อนไปทั่วประเทศ ไม่มีใครในวงการไสยศาสตร์ที่ไม่รู้จักท่าน อาจารย์ชุม ไชยคีรี เป็นศิษย์สำนักเขาอ้อสายตรง ท่านสนใจในวิชามายาศาสตร์มาแต่เยาว์วัย เมื่ออายุได้เพียง 5 ขวบ ก็สามารถภาวนาคาถาแค่สองคำ สะกดงูพิษทุกชนิดไม่ให้อ้าปากขบกัดได้เป็นที่น่าอัศจรรย์ แม้สุนัขก็เช่นกัน เด็กชายชุมจึงเป็นหนูน้อยคนเดียวในหมู่บ้านที่ไม่เคยถูกสุนัขกัดเลย และเมื่ออายุได้ 7 ขวบ ก็เคยเอามือปิดปากกระบอกปืนของเพื่อนบิดาที่มาเยี่ยมบ้าน ท่องคาถาเพียง 11 ตัว ยังเป็นเหตุให้ปืนยาวเหล่านั้นถึงแตกระเบิดเมื่อนำไปยิง เกิดมาเพื่อ ?เป็น? โดยแท้

    อาจารย์ชุมมีความใฝ่รู้ในวิชาเวทมนต์คาถายิ่งนัก ครูบาอาจารย์ท่านใดในยุคเก่าก่อนที่ว่าเก่ง ท่านเป็นต้องไปขอเรียน ขอศึกษาเอาจนได้ และนำสรรพวิชาเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ได้เป็นอย่างดี โดยพื้นฐานของจริตนิสัยในแต่ละคน เมื่อจิตใจมีความเมตตาอยู่เป็นนิตย์ ก็มักทำของไปทางมหาเสน่ห์ได้ผลกว่าวิชาอื่นๆ หากจิตใจออกไปทางนักเลง กล้าสู้ กล้าลุย ของที่ทำออกมาจะหนักไปทางคงกระพันชาตรีเป็นส่วนมาก เรียกว่าถนัดอะไรก็เก่งไปอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่อาจารย์ชุม ฆราวาสผู้แตกฉานท่านนี้ เมื่อต้องการให้เป็นทางคงกระพัน ท่านก็สามารถกำหนดจิตได้ทันที ขนาดทดสอบเชือดเนื้อ เถือหนัง พิสูจน์กันเห็นๆ ครั้นจะแสดงทางมหาอุด ก็สั่งศิษย์ลงนั่ง ให้ผู้มีอาวุธปืนทุกชนิด ทดลองยิงข้ามศีรษะได้เลย ไม่ออกสักกระบอกเดียว เมื่อจะแสดงวิชามหานิยม ก็เสกน้ำมันงา ทาหนูกับแมว แล้วปล่อยเข้ากรงเดียวกัน ถ้าเป็นลูกหนูกับแม่แมว ลูกหนูทั้งหมดก็จะคลานเข้าไปดูดกินนมแม่แมว หน้าตาเฉย และแม่แมวก็ยอมนอนให้กินแต่โดยดี จะทำกี่ตัวกี่ครั้งก็มีผลเช่นเดียวกันหมดเป็นสุดยอดของมหานิยมจริงๆ พิสูจน์ได้ทุกเวลาทุกสถานที่นี้เอง เป็นเหตุให้อาจารย์ชุมปรากฏชื่อลือชาไปทั่ว ได้รับเชิญไปงานพุทธาภิเษกและสาธิตวิชาต่างๆ ไม่ว่างเว้น แลท่านก็สามารถแสดงจิตตานุภาพให้เป็นที่ตื่นตะลึงมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

    เหรียญรุ่นแรกรุ่นนี้ เป็นเหรียญที่ลูกศิษย์ใกล้ชิดนิยมห้อยคอติดตัว เหรียญสวยมาก จมูกโด่งแบบนี้หาชมยากครับ มาพร้อมเลี่ยมเงินลงยาโบราญ นำไปห้อยบูชาได้เลยครับผม

    [​IMG]
    [​IMG]


    ให้บูชา 4,750บ.ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1366559345.jpg
      1366559345.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.6 KB
      เปิดดู:
      11,156
    • DSC01399.jpg
      DSC01399.jpg
      ขนาดไฟล์:
      287 KB
      เปิดดู:
      8,430
    • DSC01402.jpg
      DSC01402.jpg
      ขนาดไฟล์:
      297 KB
      เปิดดู:
      8,293
  17. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]
    เหรียญรุ่นแรก อาจารย์ชุม ไชยคีรี เนื้อสัตตะโลหะ ปี ๒๕๑๗ จ.พัทลุง

    เหรียญรูปเหมือนอาจารย์ชุม ไชยคีรี รุ่นแรก เหรียญรุ่นนี้ ถือเป็นเหรียญรุ่นแรก ของท่าน เป็นเหรียญอาจารย์ชุม ไชยคีรีเต็มตัว

    พิธีปลุกเสกทีละเหรียญตามตำราเขาอ้อ โดยเชิญหลวงปู่คง ปรมาจารย์ขุนแผน หลวงปู่ทวดวัดช้างให้ เสด็จพ่อกรมหลวงชุมพร พระพิฆเณศ มาทำการอธิฐานจิตให้ที่สำนัก อาจารย์ชุม ไชยคีรี 16 วัน 16 คืน เสกทีละเหรียญ

    เหรียญสร้างจากเนื้อโสฬสธาตุ 16 อย่าง ส่วนหนึ่งได้นำมาจากชนวนสร้างพระโสฬสมงคล พระภควัมบดีของหลวงพ่อวัดแหลมทราย จ.สงขลาตั้งแต่ปี 2481 ก่อนประกาศสงครามโลกครั้งที่ 2 จำนวนสร้างประมาณ 2,500เหรียญ โสฬส 16 อย่าง มีดังนี้ 1.เหล็กไหล
    2.เจ้าน้ำเงิน
    3.ทองคำ
    4.เงินบริสุทธิ์
    5.นาค
    6.ทองแดง
    7.ทองเหลือง
    8.แร่ดีบุก
    9.แร่วุลแฟรม
    10.แร่จักรนารายณ์
    11.แร่สังควานร
    12.แร่ชิณ
    13.แร่ตะกั่วดำ
    14.แร่ตะกั่วเถื่อน
    15.แร่เหล็กน้ำพี้
    16.เหล็กยอดพระปรางค์

    สมัย 30กว่าปีก่อน ชื่อของอาจารย์ชุม ไชยคีรี ฆราวาสผู้เรืองเวทเป็นที่เลื่องลือกระฉ่อนไปทั่วประเทศ ไม่มีใครในวงการไสยศาสตร์ที่ไม่รู้จักท่าน อาจารย์ชุม ไชยคีรี เป็นศิษย์สำนักเขาอ้อสายตรง ท่านสนใจในวิชามายาศาสตร์มาแต่เยาว์วัย เมื่ออายุได้เพียง 5 ขวบ ก็สามารถภาวนาคาถาแค่สองคำ สะกดงูพิษทุกชนิดไม่ให้อ้าปากขบกัดได้เป็นที่น่าอัศจรรย์ แม้สุนัขก็เช่นกัน เด็กชายชุมจึงเป็นหนูน้อยคนเดียวในหมู่บ้านที่ไม่เคยถูกสุนัขกัดเลย และเมื่ออายุได้ 7 ขวบ ก็เคยเอามือปิดปากกระบอกปืนของเพื่อนบิดาที่มาเยี่ยมบ้าน ท่องคาถาเพียง 11 ตัว ยังเป็นเหตุให้ปืนยาวเหล่านั้นถึงแตกระเบิดเมื่อนำไปยิง เกิดมาเพื่อ ?เป็น? โดยแท้

    อาจารย์ชุมมีความใฝ่รู้ในวิชาเวทมนต์คาถายิ่งนัก ครูบาอาจารย์ท่านใดในยุคเก่าก่อนที่ว่าเก่ง ท่านเป็นต้องไปขอเรียน ขอศึกษาเอาจนได้ และนำสรรพวิชาเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ได้เป็นอย่างดี โดยพื้นฐานของจริตนิสัยในแต่ละคน เมื่อจิตใจมีความเมตตาอยู่เป็นนิตย์ ก็มักทำของไปทางมหาเสน่ห์ได้ผลกว่าวิชาอื่นๆ หากจิตใจออกไปทางนักเลง กล้าสู้ กล้าลุย ของที่ทำออกมาจะหนักไปทางคงกระพันชาตรีเป็นส่วนมาก เรียกว่าถนัดอะไรก็เก่งไปอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่อาจารย์ชุม ฆราวาสผู้แตกฉานท่านนี้ เมื่อต้องการให้เป็นทางคงกระพัน ท่านก็สามารถกำหนดจิตได้ทันที ขนาดทดสอบเชือดเนื้อ เถือหนัง พิสูจน์กันเห็นๆ ครั้นจะแสดงทางมหาอุด ก็สั่งศิษย์ลงนั่ง ให้ผู้มีอาวุธปืนทุกชนิด ทดลองยิงข้ามศีรษะได้เลย ไม่ออกสักกระบอกเดียว เมื่อจะแสดงวิชามหานิยม ก็เสกน้ำมันงา ทาหนูกับแมว แล้วปล่อยเข้ากรงเดียวกัน ถ้าเป็นลูกหนูกับแม่แมว ลูกหนูทั้งหมดก็จะคลานเข้าไปดูดกินนมแม่แมว หน้าตาเฉย และแม่แมวก็ยอมนอนให้กินแต่โดยดี จะทำกี่ตัวกี่ครั้งก็มีผลเช่นเดียวกันหมดเป็นสุดยอดของมหานิยมจริงๆ พิสูจน์ได้ทุกเวลาทุกสถานที่นี้เอง เป็นเหตุให้อาจารย์ชุมปรากฏชื่อลือชาไปทั่ว ได้รับเชิญไปงานพุทธาภิเษกและสาธิตวิชาต่างๆ ไม่ว่างเว้น แลท่านก็สามารถแสดงจิตตานุภาพให้เป็นที่ตื่นตะลึงมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

    เหรียญรุ่นแรกรุ่นนี้ เป็นเหรียญที่ลูกศิษย์ใกล้ชิดนิยมห้อยคอติดตัว เหรียญสวยมาก จมูกโด่งแบบนี้หาชมยากครับ มาพร้อมเลี่ยมกันน้ำสี่ชั้นแบบโบราญ นำไปห้อยบูชาได้เลยครับผม

    [​IMG]
    [​IMG]


    ให้บูชา 3,550บ.ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC01395.jpg
      DSC01395.jpg
      ขนาดไฟล์:
      279.1 KB
      เปิดดู:
      8,657
    • DSC01398.jpg
      DSC01398.jpg
      ขนาดไฟล์:
      247.1 KB
      เปิดดู:
      8,195
  18. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    ผงว่านช้างผสมโขลง มหาเสน่ห์ อ.ชุม ไชยคีรี จัดสร้าง

    ทำพิธีชักยันต์ผงอิทธิเจ ผงนะปะถะมัง ผงยันต์ช้างผสมโขลง ผงยันต์กำเนิด 3 ล้วนแล้วแต่เป็นตำราเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ แล้วผสมกับผงว่านช้างผสมโขลงตัวผู้ ว่านช้างผสมโขลงตัวเมีย(ว่านพระยาเทครัว) ตามตำราไสยศาสตร์ที่อาจารย์ครั้งโบราณพรรณาไว้

    ตามตำรากล่าวไว้ว่า สามารถใช้ประโยชน์ประสานความสามัคคี ทำให้คนหมู่มาก ที่อยู่รวมกันเป็นหมู่ เป็นคณะ และบุคคลในโรงงาน ในกรมกอง ในครอบครัว ในวงศ์ญาติพี่น้องให้มีความรักมีความสามัคคี เลิกรบเลิกเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ส่งเสริมการค้า การทำมาหากิน แม้ในระหว่างคู่ครองคนรักก็ให้รักกันจริง รักอย่างมีศีลรักอย่างมีสัจจะธรรม ขวดเดียวใช้ได้ตลอดชีวิต

    (ขวดทรงหลอด ขนาดสูง 3.9c.m. เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.1c.m. เส้นรอบวงประมาณดินสอหรือปากกา)

    ขวดนี้ได้ตกทอดกันมาจากที่บ้านของท่านอาจารย์ชุมเลยครับ ของทำไว้ไม่มาก จึงหาชมได้ยากในปัจจุบัน

    ผงช้างผสมโขลงนี้ ถือว่าเป็นสุดยอดของเมตตามหานิยมของสายนี้แล้ว หากจะใช้เป็นมหานิยม เจรจา ค้าขาย แค่พกขวดติดตัวไว้ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปิดออกมาใช้ครับ

    หมายเหตุ : ห้ามนำไปใช้ในทางที่ผิด ครูบาอาจารย์ท่านสั่งไว้ หากละเมิดจะทำให้เกิดโทษนานาชนิด

    [​IMG]

    [​IMG]


    *ปิดรายการนี้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 13270-3.jpg
      13270-3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      99.4 KB
      เปิดดู:
      16,432
    • 8zue.jpg
      8zue.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.6 KB
      เปิดดู:
      14,814
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2014
  19. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    ตะกรุดมหาอุตม์พิชัยสงครามชุด 4ดอก รุ่นเงียบเสียง อาจารย์ชุม ไชยคีรี

    จัดสร้างขนาดยาว 9.7c.m. แผ่นยันต์ที่ใช้ทำตะกรุดทั้งสี่แผ่น จะจารด้วยมือทั้งสองหน้า และทั้งสี่แผ่นจารยันต์ไม่ซ้ำกัน อีกทั้งมีผงพุทธคุณกับสมุนไพรว่านยาอยู่ข้างใน ม้วนแล้วพันผ้าแดงและร้อยเชือกพร้อมใช้ เป็นหนึ่งในวัตถุมงคลสามอย่าง "ไทย สู้ไม่หนีทิ้งแผ่นดิน"

    ท่านว่าเรียนมาจากอาจารย์ภาคใต้ที่มีชื่อเสียงถึงห้าอาจารย์ด้วยกัน ทุกอาจารย์เรียนจากสำนักวัดเขาอ้อ จังหวัดพัทลุง ต่อๆกันมาทั้งหมด ตรงกับตำราพิชัยสงครามทั้งนั้น
    เคยมีประสพการณ์ กำบังตาศัตรู กระสุนศัตรูยิงมาไม่เข้าใกล้กาย นายทหารคนเดียวสามารถพาลูกน้องให้ปลอดภัยได้ทั้งกองร้อย พ่อค้าราชการนำไปใช้ได้ผลดีมาแล้ว

    พิธีปลุกเสกที่ถ้ำเสือ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เมื่อ 18 ก.พ. 2521 และเสกในพรรษาปี 2524 อีกครั้ง

    ท่านว่าเหมาะแก่นักรบสมัยโบราณและนักรบปัจจุบัน พระอาจารย์ผุ้มีความรู้ทำพิธีตามฤกษ์ยามพิชัยยุทธ เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ผู้ใช้ที่ยึดมั่นในคุณพระและคุณอาจารย์ สูงสุดในด้านกำจัดภัยนานาชนิด อาวุธทุกชนิดของศัตรูไม่เข้าใกล้กาย เป็นตะกรุดที่มีคุณวิเศษสูงสุดตามศัพท์หมายความว่า ยิ่งใหญ่หรือสูงสุด ที่เคยใช้ตำราพิชัยสงคราม

    ที่เห็นนี้เป็นชุดตะกรุดสี่ดอก นอกจากจะปกป้องผู้สวมใส่แล้ว ยังสามารถป้องกันไปได้ถึงคนรอบข้าง กันได้ถึงบริวาร ใช้ได้ทั้งชายและหญิง

    วิธีอารธนา ก่อนคาดเข้าที่สะเอว ให้เอาตะกรุดใส่เข้าในมือประนมมือว่า นะโม 3 จบ แล้วหลับตาภาวนาหายใจเข้านึกว่า"พุท" หายใจออกนึกว่า"โธ" จากนั้นภาวนา "ภะคะวาสุคะโต อะระหัง" หลายๆจบแล้วคาดที่สะเอวทั้งๆที่หลับตา คาดเสร็จแล้วเอามือขวาปิดบนกระหม่อม เอาหัวแม่มือซ้ายกดสะดืออึดใจภาวนา "นะอุอะมิ" จำนวน 3 อึดใน เมื่อคาดแล้วไปไหนมาไหนไม่ต้องเอาออก เว้นแต่นอนร่วมกับผู้หญิงเท่านั้นที่ต้องเอาออก ห้ามทดลองทำเป็นเล่น

    เข้าที่คับขันภาวนา "ภะคะวา สุคะโต อะระหัง" กำบังตาศัตรู กันอาวุธทุกชนิด วิเศษสูงสุดใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ดอกเดียวกันได้เฉพาะตัวเอง 4ดอกกันได้ถึงบริวาร

    [​IMG]

    [​IMG]


    ให้บูชา 3,750บ.ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2013
  20. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]
    พระสิวลี+ตะกรุดมหาบุรุษ 8จำพวก อาจารย์ชุม ไชยคีรี ปี2511

    หนึ่งในพระพิมพ์ต่างๆที่สร้างใน "พิธีชุมนุมศิษย์เขาอ้อ" ณ วัดถ้ำเขาเงิน อ.หลังสวน จ.ชุมพร ปี 2511 โดยมีอาจารย์ชุมเป็นเจ้าพิธี มีศิษย์สายเขาอ้อทั้งบรรพชิตและฆราวาสในยุคนั้น ร่วมพิธีปลุกเสกอย่างเข้มขลัง พระสิวลีสร้างด้วยเนื้อผงผสมว่าน ด้านหลังติดตะกรุดมหาบุรุษ 8 จำพวก ตามตำราที่ท่านกล่าวว่า หากใช้ร่วมกันจะเกิดผลทางด้านโภคทรัพย์อย่างสูงสุด ถือเป็นของดีราคาเบาที่หลายๆคนมองข้ามครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...