ให้ดูที่ " จิต "

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oatthidet, 3 เมษายน 2013.

  1. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    อ่านให้จบ สับสน
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เฮ้อ!!!
    ว่าแล้วต้องโชว์คxxxจนได้ พระพุทธองค์ทรงไม่ข้องด้วยอามิสทั้งปวงนั้น
    ก็ชัดเจนแล้วว่า ไม่มีอะไรๆในโลกจะมาเป็นเครื่องล่อจิตใจของพระพุทธองค์ได้อีกแล้ว
    อามิสทั้งหลายที่จะทำให้จิตใจของพระพุทธองค์ทรงทำสิ่งต่างๆเพราะอามิสนั้นเป็นไม่มี
    พระพุทธองค์ทรงกระทำอะไรต่างๆออกไปด้วยเมตตาล้วนๆโดยปราศจากอามิส
    ผิดกับจอมเสี้ยมบางคน ที่ทำอะไรมักแฝงด้วยอามิส แม้แต่บุญที่ทำก็ยังแฝงด้วยอามิส
    ขนาดเขียนตัวอักษรออกไปก็ยังไม่วายแฝงด้วยอามิส คxxxกลับชาติมาเกิดชัดๆ เฮ้อ!!!

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    คนอะไรเป็นกบฎศาสนาได้ทั้งตัวและหัวใจ
    กลับกล้าปรามาสน้ำพระทัยใจของพระพุทธเจ้าได้
    จะกิ๊กก๊อก กระจอกงอกง้อย ประจบ สอพอยังไง
    ถ้ามีใจทำบุญกุศล พระพุทธองค์ท่านก็ทรงรับไว้ด้วยเมตตาล้วนๆ
    โดยปารศจากอามิสใดๆทั้งภายนอกและภายใน

    ผิดกลับพวกกบฎศาสนาชั้นแนวหน้าอย่างคุณนิวรณ์
    ที่แม้กระทั่งเรื่องบุญทาน งานเพื่อพระพุทธศาสนา มันยังไม่กล้าที่คิดจะช่วยทำ
    แต่กลับคุยโม้โออวดว่า ยอมสละชีวิตเพื่อพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
    มันจะเอากำลังใจมาจากไหนกัน หลอกตัวเองเข้าไปนั่น
    สงสารแต่บุคคลชั้นเลิศในครั้งพุทธกาล ที่ต้องโดนคนเฮ้งซวยแบบนี้ปราสมาสเอาด้วย เฮ้อ!!!
    บุญกุศลไม่คิดจะทำ แถมยังขัดขวางคนอื่นไม่ให้ทำเสียอีก สะสมกรรมชั่วเข้าไปเยอะๆนะ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  4. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ^คุณอาใช้คำระวังหน่อยครับ เดี๋ยวโดนแบนฮับ
     
  5. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ตอนแรก oatthidet พูดไว้เองว่า

    นี่มันขัดกับที่หลวงปู่สอน แบบ ตรงกันข้ามเลยนะ
    ทำไมไม่พูดถึงประเด็นนี้บ้างหละ?
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กั๊กๆ นึกแล้วว่า ต้อง งง สุดๆ

    แล้ว ก็เอาความ งง มาเผยไต๋ว่า เวลาพวกคุณทำทาน ดันไปดำริ
    หรือมีความคิดว่า พระพุทธองค์ทรงรับอามิส

    คุณคร้าบ แยกให้ออกสิคร้าบ

    ทาน ก็เรื่องของทาน ผลของทาน มีอะไรที่คุณต้อง สงสัย อยู่เหรอ
    ครับว่า มันจะไม่เกิดผล ต่อให้ เป็นการทำทานแก่ มด ตัวเล็กๆ
    พระพุทธองค์ยังบอกเลยว่า แค่นั้น ก็เหลือแหล่แล้ว ที่จะมี อานิสงค์มาก
    ไม่ใช่มีอานิสงค์น้อย

    แต่ถ้า ใจคนทำทานมันคด ทำทานเพราะหวังได้หน้าว่า ทานนี้เราได้
    ทำแก่ "......" ไอ้ตรงนี้ พระพุทธองค์ก็บอกว่า ปฏิบัติผิดเสียแล้ว
    เป็นผู้ ห่างไกลจากศาสนา เพียรไร ( ก็เพียงนั้น ) คือ ไปไกลๆ

    ภาวนามาป่านนี้ ยังวิจัยธรรมกะไอ้แค่เรื่อง " ทาน " ไม่ได้อีกเหรอ

    ขนาดเรื่อง ทาน ยังลูบๆคลำๆ ไม่รู้หัว ไม่รู้หาง โอยยย เรื่องศีล ไม่ต้องไปพูดถึง กะลามัง
     
  7. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เพราะยังไม่เคยแยกขันธ์ได้หนะสิ เลยคิดแบบนี้สินะ

    ก็มันก็ทำงานเป็นเอกเทศของมันเองตามปกติไง

    หลวงปู่ท่านถึงพูดได้ว่า "มี แต่ไม่เอา" เพราะของท่าน มันก็ยังทำงานเป็นเอกเทศปกติ แต่ท่านไม่เอามาปนกัน...
     
  8. jintanakarn

    jintanakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +236
    คงเป็นการรับรู้เรื่องการดูจิตได้บ้าง แต่ก็ยังมีข้อที่ต้องการคำอธิบายให้มากกว่านี้ อย่างที่ท่านบอกในความเข้าใจของผมคือการดูจิตที่แท้จริงก็ยังดูไม่ออก เพียงแต่ดูกิริยาของจิต(การรับรู้ความรู้สึก)การรับรู้ความรู้สึกเรียกว่าจิตไช่ไหมในความหมายของท่าน จริงอยู่กิริยาของจิตมักเกิดขึ้นพร้อมจิตเสมอ (กิริยาของจิตคือการแสดงปฏิกิริยาอาการต่างๆ และการรับรู้กิริยาของจิตคือจิตที่แท้จริงไช่ไหม ในความใเข้าใจของผม ถูกผิดโปรดแนะนำ) แล้วกิริยาของจิตเกิดขึ้นเพราะจิตสั่งการไช่หรือไม่อย่างไร และการที่เฝ้ามองดูกิริยาของจิตไม่ว่าเบื้องต้นอย่างหยาบไปถึงท่ามกลาง จนถึงความละเอียดจนหยุดนิ่ง(รับรู้ความรู้สึกและเห็นการเปลี่ยนแปลงตลอด นี่ก็คือกิริยาของจิตและจิตไช่หรือไม่) และที่บอกว่าเห็นการดิ้นรนของจิต คำว่าเห็นการดิ้นรนของจิตเป็นลักษณะอย่างไร สิ่งที่เห็นและสิ่งที่ถูกเห็นเป็นจิตและเป็นดวงเดียวกันหรือไม่ แล้วที่เห็นนั้น ผู้เห็นและผู้ถูกเห็น เป็นอะไร ขอแค่อธิบายให้พอเข้าใจจะใช้วิธีไหนหรือเปรียบเทียบกับอะไรก็ได้ที่พอให้เห็นภาพและเข้าใจได้ก็พอ ขออนุโมทนา
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    ทั้งหมดก็ต้องการเห็นก็ตรงนี่แหละ
    ส่วนเรื่องผลของทานที่ได้รับจากการกระทำของตนเอง
    ไม่ใช่มั่วไปเรื่อยเฉื่อย โดยแอบอ้างไปทั่วมั่วไปหมด
    ความเสียหายเกิดขึ้นได้ เพราะคนอ่านจะเข้าผิดไปจากความจริง

    ส่วนใครจะใจคต ใจตรง คงที่หรือจิตใจชั่วร้าย อัป...ยังไงในตอนทำบุญ
    นั้นเป็นเรื่องเฉพาะตนของคนๆนั้นที่ได้กระทำลงไป
    ไม่ใช่เพียงแค่ตนเองไม่คิดที่จะทำำบุญทา่นอะไรกับเค้าเลย
    ก็มาอ้างโน้นอ้างนี่ จนคนอ่านลังเลสงสัยในผลของทาน
    ไม่ได้งง แต่เพราะรู้เจตนารมณ์ที่แฝงด้วย.....สารพัด

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    มาดูเรื่องนี้กัน จะได้ เลิกลังเลในผลของทาน จนกระทั่ง ต้องไปลูบๆ
    คลำ เอาวัตถุทานมาเป็น เงื่อนไข


    อ่านแล้วเข้าใจไหม มา เดี๋ยว เจาะปากให้ดู

    คือ นิครณ์เนี่ยะ วางแผนจะย่ำยี พระพุทธองค์ว่า เป็นพวก เห็นแก่ ทาน
    เห็นแก่ อามิส พอเชิญมาทานอาหารชั้นเลิศจาก เหล่ากษัตรยิ์ พระพุทธองค์
    กับเหล่า สาวก ก็จะ ยกโขยงกันมา ฉัน กันอย่าง อิ่มหมีพีมัน ว่างั้น

    แล้ว นิครนณ์ ก็จะอาศัยจังหวะนี้ ทำทีพูดว่า เราพ้นจากการรับอานิสงค์ใดๆ
    โดยใช้ วาจาไขว้หลอกว่า " ขอให้อานิสงค์ใดๆ เกิดขึ้นกับ ผู้อื่นทั้งหมดเทอญ"

    พระพุทธองค์ก็เลย กล่าว ทวนกระแสกิเลส นิครนท์ไปว่า

    ทาน ทั้งหมดนั้น สำหรับบุคคลที่ควรกราบไหว้แต่ กิเลส ยังบานเบอะ
    ผลของทานจะมีแก่ ตัวนิครนท์เอง คือ เหล่ากษัตริยย่อมพอใจในการ
    ทำตามคำขอของ นิครนท์ แม้จะเป็น อุบาย ก็ตาม

    แต่ ผลทานที่พระพุทธองค์มาในครั้งนี้ อานิสงค์นั้นจะทำให้ นิครณท์
    เข้าใจ และ เกิดปัญญาได้บ้างว่า ยังโง่ อยู่มากนัก ที่ หมายในประโยชน์
    ของ "งานเลี้ยงลวงมาฆ่า" ครั้งนี้

    เรียกว่า " กิเลสที่อยู่ในจิตนิครณท์ที่วางอุบายเด็กๆ ไว้นั้น ถูกตีแผ่หงายเก๋ง "

    ก็เลย จบพระสูตร ไปสั้นๆ นิครณ์ อึ้งกิมกี่ นั่นเอง

    ************

    สรุปอีกที : คนที่ดำริว่า " พระพุทธองค์รับอามิส " จะมีได้ในจิตของบุคคล นอกศาสนา เท่านั้น
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    น้องๆ หนู อย่า งง นะ

    ผลของการทำทาน อันนี้ มันมีผลอยู่แล้ว ไม่ต้องไปสงสัยว่า จะไม่ได้ อานิสงค์

    แต่ ความดำริว่า พระพุทธองค์ หรือ สงฆ์สาวก เป็นผู้ รับทาน ข้องในทาน ตรง
    นี้จัดว่าเป็น " มิจฉาทิฏฐิ " เป็น เรื่องของ " คอนเซ็บของคำสอนนอกศาสนาพุทธ
    ทั้งหมด "

    ถ้า เราไปเผลอดำริว่า พระองค์ หรือ สงฆ์สาวกเป็น ผู้ขวนขวายในอามิส ศาสนาเปลี่ยน
    ทันที รูปแบบขององค์กรศาสนานั้นๆ เปลี่ยน ทันที

    **************

    ยกตัวอย่างเช่น

    มีฆารวาส คนหนึ่ง ได้ยินชื่อ วัดหนึ่งแถวเมืองโอ่ง พระวัดนั้นกำลังเข้ากระแสสังคม
    ก็เอาเลย ฆารวาสคนนั้น สำคัญว่า " พระ " ในพุทธศาสนาไหนๆ ก็ หวังในอามิส
    เมื่อเอา อามิสไปให้ เดี๋ยวก็ แบมือรับ

    พอเอาไปให้สำเร็จ เสร็จสรรพ แหม ฆารวาสคนนั้น ก็เที่ยวมาบอกว่า

    เฮ้ยดูกร พวก "ค ทริปเปิ้ลเอ๊กซ์ " ทั้งหลาย จงเห็นว่า พระวัดนั้นอยู่ในอุปถัมภ์ของเรา

    เราเป็น ผู้ปกปักษ์ ปกครอง จัดเข้า สังกัดเดียวกันกับเรา นับแต่ บัดนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2013
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    หลานรัก ขอบใจนะที่เตือน
    สำหรับคนๆนี้แล้ว ดีด้วยไม่ได้เลยจริงๆ เผลอไม่ได้เป็นแว้งกัดในทันที
    ก็รู้ๆกันอยู่ไม่ได้มีความคิดสร้างสรรอะไรในการจรรโลงพระธรรมคำสอนเลย
    ที่นำเอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาขีดๆเขียนๆนั้น
    เพียงเพื่อต้องที่จะสร้างฐานให้กับตนเอง จะได้เป็นที่ยอมรับเท่านั้นเอง

    รู้จักตั้งแต่สมัยยังเป็นอริยตราตั้งอยู่เลย แต่ดันไปปรารถนาพุทธภูมิ
    เมื่อครั้งเจอธรรมภูต ความเป็นอริยตราตั้งก็หายไป พร้อมกับจำทางกลับไปพุทธภูมิไม่ได้แล้ว
    จึงได้เป็นเพียงสัมภเวสี ที่ค่อยเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ตามมาหลอกหลอนคนอื่นเท่านั้น55+

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    นี่แหละที่ต้องการให้พูดชัด
    ไม่ใช่ซี้ซั้วแอบอ้าง พูดไปเรื่อยเฉื่อยโดยอาศัยตีความจากพระพุทธพจน์
    ใครที่ใจตรงคงที่หรือใจคตชั่วช้าเลวทรามยังไงในตอนทำบุญทำทานนั้น
    มันก็เป็นผลของคนๆนั้นที่จะได้รับเอง จากเจตนาของเค้าที่ตั้งไว้ ใครๆก็รู้

    ไม่ใช่แอบอ้างพระพุทธพจน์ จนคนอ่านเกิดกังวลสงสัยในผลบุญที่ได้ทำไป
    ถ้าตัวเองไม่คิดทำบูญทำทานอะไรกับใครเค้า
    ก็ไม่ควรแอบอ้างเอาพระพุทธวจนะมาพูดวนเวียนจนน่าเวียนหัว
    ให้คนอ่านงงเล่นๆ สนุกปากเพราะผีเจาะปากให้มาพูดเท่านั้น
    ไม่ได้"งง" แต่เพราะรู้เจตนารมณ์ของคนเขียนเพื่อต้องการ....เท่านั้น

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เอ่อ จ่าแอม หรือว่า น้าจร ฮับ ไสช้างออกมายืนหน้ากองทัพ นิ นึง !!

    ว่าแต่ "สิ่งใดสิ่งหนึ่งดิ้นรน กระวนกระวาย" ที่ จ่าแอม/น้าจร กล่าวถึง สิ่งนั้น ใช่ เรา อะเป่า ฮับ ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2013
  15. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,337
    =======

    จะดูจิตตน เห็นธรรมชาติของจิตตน ต้องอาศัยบาทฐาน ต้องอาศัยบาทฐาน คือ สติสัมปชัญญะ และสมาธิร่วมด้วย เพื่อให้ไม่ส่ายไปที่อื่นให้มุ่งตรงไปยังจิตภายใน หากสติพร้อม สมาธิพร้อม การเข้าไปดูจิตเห็นจิตภายในย่อมทำได้ไม่ยาก อยากดูจิตเก่งๆ ให้ฝึกมหาสิตปัฏฐาน4 ให้เริ่มดูกาย เวทนา จิต และธรรมารมณ์ที่เกิด ทำให้ชำนาญ เมื่อได้มหาสติแล้วให้เปลี่ยนไปสู่สมถะสลับกับวิปัสสนา ทำให้มากแล้วปัญญาวิมุตติย่อมเกิดแก่ท่าน แต่อินทรีย์ท่านยังไม่แก่กล้า ต้องฝึกฝนตนเองให้มาก หากมีอินทรีย์แก่กล้าแล้ว ย่อมบรรลุธรรมได้สำเร็จครับ
     
  16. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..การเห็นจิต..ในความเห็นผม เราจะเห็นตนเองนั่งดูตนเอง คล้ายจิตเฉยสว่าง ลอยเด่น ว่างแต่มีสติ..ไม่คิด นึกอะไรเลย..นี่คือ ดูจิตแบบมีสมาธิ
    ..หากเกิดอาการแบบนี้ บ่อยๆ กำลังจิตจะสะสมมหาศาล..ความเห็นส่วนตัว
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,337
    ผู้ปฏิบัติธรรม ส่วนหนึ่งมีความรู้ในธรรมมาก จะด้วยศึกษามามากหรือปฏิบัติมามากก็ดี จากคำถามเราขอกล่าวว่า

    การดูจิตตน มีสภาวะลำดับขั้นดังนี้
    1ในสภาวะเริ่มต้นใหม่ๆ การเห็นจิตตน ยังเห็นแบบหยาบๆไม่ละเอียด เพราะจิตที่เห็นย่อมเป็นจิต ที่อาศัยร่วมอยู่กับกาย
    2 ต่อมาก็จะเห็นละเอียดขึ้น คือจิตปฏิสนธิอยู่กับเวทนา
    3 ต่อมาก็จะเห็นละเอียดขึ้น คือจิตปฏิสนธิอยู่กับสัญญา
    4 ต่อมาละเอียดยิ่
    งขึ้นคือจิตปฏิสนธิอยู่กับสังขาระ
    5 ถัดมาละเอียดยิ่งขึ้น คือเห็นจิตปฏิสนธิอยู่กับวิญญาเจตสิก
    6 ถัดมาละเอียดยิ่งขึ้น คือเห็นจิตสว่างว่าง ไม่ปฏิสนธิกับรูปนามใดๆ [จิตเดิม จิตพุทธะ จิตปภัสสร]

    หากนักภาวนาเจริญมหาสติ มาถึงเรื่องจิตตานุสติ จะดูจิตให้ทั่วทุลุปรุโปร่ง ย่อมเป็นการยากไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่ก็สามารถทำได้คือให้ทำความเพียร เจริญให้มาก ทำให้มากๆ ย่อมเข้าไปเห็นจิตได้อย่างทั่วถึงหมดไม่มีเหลือ สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2013
  18. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    หลงมหาศาลล่ะคิดว่าตนเป็นผู้หมดกิเลส เขาถึงธรรมแท้แล้ว แท้ๆเชาว์ปัญญาล้วนๆเลย ถ้าเป็นคนนิสัยดีก็จะพูดดูสุภาพ แต่ถ้าเป็นคนติ้งต๊อง ก็จะภาษาไม่ค่อยเหมือนคนปรกติครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2013
  19. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    เข้าใจครับ การที่จิตรวมตั้งมั่นเราดูจิตบางทีวอกแวกนิดหน่อย ที่ทราบเพื่มคือจิตคือใจ ทีนี้เรื่องคุณโอ๊ทผมว่าโอ๊ทเขากล่าวถูกแล้วนะครับ ผมว่าคุณโอ๊ทอย่างน้อยก็สกิทาคามี หรือไม่ก็อนาคามี เห็นด้วยไหม...
     
  20. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ไม่ใช่อารมณ์จัดว่าไม่คิดไม่นึกอะไรเลยครับคุณสับสน จะว่าคิดก็ไม่ใช่ จะว่าไม่คิดก็ไม่ใช่ ถ้าไม่คิดสมองมันกดมันฝืน เราจะอยู่ในภาวะความทนฝืน สักครู่...อ้อครับ ว่างครับ ตามทันไหม นี่สอนขั้นอนาคา คือกำหนดให้ว่างๆอารมณ์สบายๆ ดูลมหายใจให้บางๆละเอียด ไม่เกร็ง ไม่ฝืน ปล่อย ทิ้งคำบริกรรม เมื่อได้ที่จับรู้ จับที่รู้ แล้วออกภาคปัญญา ขันธ์ 5 เป็นไปตามไตรลักษณ์ ขอให้ได้ทั้งอนาคามีและอรหันต์นะครับ อ้อ ผมไม่ใช่พระอรหันต์นะ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...