รวมคำทำนายและวิเคราะห์ภัยพิบัติ - What's Next ?

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย hiflyer, 8 พฤศจิกายน 2012.

  1. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    List of Comets


    [​IMG]

    .
     
  2. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    Two-in-One


    \[​IMG]

    .
     
  3. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    มาดูราคาทองคำกันบ้างครับ

    1 ปีที่ผ่านมา ราคาลดลง 8%
    6 เดือนที่ผ่านมา ราคาลดลง 7%
    60 วันที่ผ่านมา ราคาลดลง 6%
    30 วันที่ผ่านมา ราคาลดลง 5%


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     
  4. KhonDernDin

    KhonDernDin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +382
    อัพกระทู้หน่อยครับ

    กระทู้มีสาระตกไปหน้า สองซะงั้น แต่กระทู้ .......... เต็มไปหมด

    ปล. ช่วงนี้อุณหภูมิในบอร์ด เริ่มร้อนแรงจริงๆ
     
  5. starme

    starme เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +2,277
    ช่วงนี้ท่านเจ้าของกระทู้ไม่อยู่ค่ะ
    ไปวัดและไปทริป
    เดี๋ยวจะช่วยอัพให้เรื่อยๆค่ะ


    :cool::cool:
     
  6. starme

    starme เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +2,277
    ดาวหางแพนสตาร์ส (C/2011 L4 PANSTARRS)

    วรเชษฐ์ บุญปลอด 20 กุมภาพันธ์ 2556 (ปรับปรุง 7 มีนาคม 2556)


    ดาวหางแพนสตาร์สเป็นดาวหางหนี่งใน 3 ดวง ที่คาดว่าจะสว่างจนสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าในช่วงปีนี้ อีก 2 ดวง คือ ดาวหางไอซอน (C/2012 S1 ISON) และดาวหางเลมมอน (C/2012 F6 Lemmon) ไอซอนจะเห็นได้ในปลายปี ส่วนเลมมอน ซึ่งสว่างที่สุดในช่วงที่เข้าใกล้โลกและดวงอาทิตย์ในเดือนมีนาคม 2556 อยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถสังเกตได้จากประเทศไทย


    ชื่อดาวหาง การค้นพบ และวงโคจร

    ดาวหางแพนสตาร์สมีชื่อตามโครงการแพนสตาร์ส (Pan-STARRS ย่อมาจาก Panoramic Survey Telescope & Rapid Response System) ซึ่งเป็นโครงการสำรวจท้องฟ้าโดยมีเป้าหมายหลักในการค้นหาดาวเคราะห์น้อยและดาวหางที่อาจเป็นภัยคุกคามโลก มีข้อสังเกตว่าโครงการนี้ใช้ชื่อย่อในภาษาอังกฤษว่า Pan-STARRS แต่ในชื่อดาวหางที่สหพันธ์ดาราศาสตร์สากลกำหนดนั้น ใช้อักษรตัวใหญ่ทั้งหมด และเขียนติดกัน

    นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวหางในภาพถ่ายซีซีดีที่ถ่ายไว้เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2554 ผ่านกล้องแพนสตาร์ส 1 (ย่อว่า PS1) ขนาด 1.8 เมตร ซึ่งตั้งอยู่ที่ยอดเขาฮาเลอาคาลา (Haleakala) ในหมู่เกาะฮาวายของสหรัฐอเมริกา ขณะค้นพบดาวหางสว่างที่โชติมาตรประมาณ 19.4 อยู่ในกลุ่มดาวแมงป่อง จากนั้นได้พบภาพที่ถ่ายติดดาวหางหลายภาพภายในคลังภาพของโครงการเมาต์เลมมอน (Mt. Lemmon Survey) รัฐแอริโซนา ซึ่งเป็นภาพที่ถ่ายไว้เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2554 ก่อนการค้นพบ

    ขณะค้นพบ ดาวหางแพนสตาร์สอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ไกลถึง 7.9 หน่วยดาราศาสตร์ อยู่ระหว่างวงโคจรของดาวพฤหัสบดีกับดาวเสาร์ การคำนวณวงโคจรในช่วงแรกพบว่าดาวหางจะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดในกลางเดือนเมษายน พ.ศ. 2556 โดยมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์เพียง 0.3 หน่วยดาราศาสตร์ ระยะใกล้ขนาดนั้น ทำให้มีความหวังว่ามันจะเป็นดาวหางที่สว่างมากดวงหนึ่ง

    ผลการคำนวณล่าสุดพบว่าดาวหางมีวงโคจรเป็นรูปไฮเพอร์โบลา ผ่านจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดในวันที่ 10 มีนาคม 2556 ที่ระยะ 0.3 หน่วยดาราศาสตร์ (ใกล้เคียงวงโคจรของดาวพุธ) และใกล้โลกที่สุดในวันที่ 5 มีนาคม 2556 ที่ระยะ 1.1 หน่วยดาราศาสตร์ ระนาบวงโคจรของดาวหางเกือบตั้งฉากกับวงโคจรโลก โดยเอียงทำมุม 84°



    ตำแหน่งและความสว่าง

    มกราคม-กุมภาพันธ์ 2556

    กลางเดือนมกราคม 2556 ดาวหางอยู่บริเวณส่วนหางของกลุ่มดาวแมงป่อง สว่างที่โชติมาตร 8 ซึ่งจางกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านั้นประมาณ 1 อันดับ ถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ มีแนวโน้มว่าช่วงที่ดาวหางสว่างที่สุดในเดือนมีนาคม อาจไม่สว่างกว่าโชติมาตร 3 ซึ่งนับว่าจางกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้อยู่ไม่น้อย

    อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มที่ดีขึ้นในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ความสว่างของดาวหางแพนสตาร์สได้เพิ่มขึ้นมาที่โชติมาตร 5 และมีอัตราการเพิ่มขึ้นสูงกว่าช่วงที่ผ่านมา โดยซีกโลกใต้เป็นซีกโลกที่สังเกตดาวหางได้ดี

    สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ รายงานจากซีกโลกใต้ระบุว่าดาวหางสว่างเพิ่มขึ้นไปที่โชติมาตร 2.6-2.8 เป็นช่วงที่ดาวหางผ่านใกล้ดาวโฟมัลฮอต (Fomalhaut) ในกลุ่มดาวปลาใต้ สามารถเห็นดาวหางได้ด้วยตาเปล่า แม้ว่าจะอยู่สูงจากขอบฟ้าไม่กี่องศา และมีแสงรบกวนจากตัวเมือง (ประเทศไทยยังสังเกตไม่ได้ เพราะดาวหางตกลับขอบฟ้าเกือบพร้อมกับดวงอาทิตย์)


    มีนาคม 2556

    วันที่ 5 มีนาคม เป็นต้นไป หลังจากดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า ควรจะเริ่มพยายามมองหาดาวหางบริเวณใกล้ขอบฟ้าทิศตะวันตก โอกาสเห็นดาวหางจะเพิ่มขึ้นทุกวันหลังจากนั้น เนื่องจากดาวหางเคลื่อนห่างขอบฟ้ามากขึ้นทีละน้อย เมื่อเทียบตำแหน่งในเวลาเดียวกันของทุกวัน

    หัวค่ำของวันที่ 9-17 มีนาคม น่าจะเป็นช่วงที่สังเกตดาวหางดวงนี้ได้ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะวันที่ 8-12 มีนาคม เนื่องจากคาดว่าจะเป็นช่วงที่ดาวหางสว่างที่สุด และตกลับขอบฟ้าช้าที่สุด อย่างไรก็ตาม ดาวหางแพนสตาร์สจะอยู่ในแสงสนธยา ท้องฟ้าที่ไม่มืดสนิท และตำแหน่งดาวหางที่อยู่ใกล้ขอบฟ้า ทำให้การสังเกตดาวหางด้วยตาเปล่าค่อนข้างจะยากสำหรับประเทศไทย

    ผลการวิเคราะห์เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2556 โดย อันเดรียส คัมเมอเรอร์ (Andreas Kammerer) นักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์สมัครเล่นชาวเยอรมัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องดาวหาง ระบุว่าดาวหางแพนสตาร์สน่าจะสว่างที่สุดที่โชติมาตร +2.0 หางยาวประมาณ 10° และหัวดาวหางหรือโคม่า (coma) น่าจะมีขนาดประมาณ 10 ลิปดา

    จอห์น บอร์เทิล (John Bortle) ให้ความเห็นกับนิตยสาร Sky & Telescope เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2556 ระบุว่าดาวหางแพนสตาร์สน่าจะสว่างที่สุดในวันที่ 10 มีนาคม ราวโชติมาตร +2.2 หางยาวประมาณ 5°-15° แล้วจางลงไปที่โชติมาตร +5.0 ในปลายเดือน โดยตำแหน่งและความสว่างของดาวหางแพนสตาร์สดูคล้ายดาวหางมาร์คอส (C/1957 P1 Mrkos) หากดาวหางแพนสตาร์สสามารถสว่างได้ถึงระดับนี้ หางฝุ่นอาจแผ่กว้างและตีวงโค้ง อย่างไรตาม แสงสนธยาอาจทำให้การปรากฏของหางในลักษณะดังกล่าวไม่ชัดเจน

    สมการคำนวณความสว่างของดาวหางโดย เซอิชิ โยะชิดะ (Seiichi Yoshida) เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2556 แสดงว่าดาวหางแพนสตาร์สน่าจะสว่างที่สุดในวันที่ 8-11 มีนาคม ราวโชติมาตร +1.8 (ใกล้เคียงความสว่างของดาว 3 ดวง ตรงเข็มขัดนายพราน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดาวไถ ตามกลุ่มดาวไทย)

    วันที่ 6 มีนาคม 2556 เทอร์รี เลิฟจอย (Terry Lovejoy) รายงานจากออสเตรเลียว่าดาวหางแพนสตาร์สสว่างที่โชติมาตร +1.5 แสดงว่าดาวหางแพนสตาร์สสว่างกว่าโชติมาตรที่คำนวณด้วยสมการข้างต้นราว 0.5 อันดับ แปลว่าเมื่อดาวหางสว่างที่สุดในวันที่ 10มีนาคม มันอาจสว่างได้เกือบถึงโชติมาตร +1.0





    ประเทศไทยจะสังเกตดาวหางแพนสตาร์สได้ดีตั้งแต่หลังดวงอาทิตย์ตกไปแล้ว 30 นาที (ภาคกลางตรงกับเวลาประมาณ 1 ทุ่ม) โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันตก อุปสรรคสำคัญในการสังเกตดาวหางดวงนี้ในช่วงดังกล่าว คือดาวหางอยู่ห่างดวงอาทิตย์ 15° จึงมีเวลาสังเกตได้ไม่นาน และดาวหางจะอยู่ใกล้ขอบฟ้ามาก จึงต้องสังเกตจากสถานที่ที่ขอบฟ้าทิศตะวันตกเปิดโล่ง ไม่มีสิ่งใดบดบัง หรือสังเกตจากอาคารสูง และอาจต้องใช้กล้องสองตาช่วยกวาดหา

    ปลายเดือนมีนาคม ดาวหางอยู่ในกลุ่มดาวแอนดรอเมดา ผ่านใกล้ดาราจักรแอนดรอเมดาในต้นเดือนเมษายน ประเทศในละติจูดสูง ๆ ทางเหนือ จะสังเกตดาวหางได้ดี โดยดาวหางจะเคลื่อนไปทางเหนือและจางลงเรื่อย ๆ ช่วงสงกรานต์เป็นต้นไป ประเทศไทยมีโอกาสสังเกตดาวหางแพนสตาร์สในเวลาเช้ามืด ปรากฏบริเวณกลุ่มดาวแคสซิโอเปีย แต่ดาวหางจะอยู่ต่ำใกล้ขอบฟ้าทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ความสว่างลดลงไปอยู่ที่ประมาณโชติมาตร 6 จากนั้นต้นเดือนพฤษภาคม ดาวหางจะเข้าสู่กลุ่มดาวซีฟิอัส ความสว่างลดลงไปที่โชติมาตร 7 ปลายเดือนพฤษภาคม 2556 แพนสตาร์สจะผ่านใกล้ดาวเหนือที่ระยะ 5° เป็นช่วงที่ความสว่างน่าจะลดลงไปที่โชติมาตร 8-9

    จากวงโคจรของดาวหางแพนสตาร์สแสดงว่านี่เป็นครั้งแรกที่มันเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มันมีปฏิกิริยากับแสงอาทิตย์สูงกว่าปกติในช่วงแรก ๆ หลังจากการเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ในปีนี้ คาดว่าดาวหางดวงนี้จะกลับมาอีกครั้งในอีกประมาณ 110,000 ปี

    หมายเหตุ : ช่วงเดือนมีนาคม 2556 ดาวหางเลมมอน (C/2012 F6 Lemmon) เป็นดาวหางอีกดวงหนึ่ง ที่คาดว่าจะสว่างถึงระดับที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า (ราวโชติมาตร 4-5) แต่ดาวหางดวงนี้ไม่สามารถสังเกตได้จากประเทศไทย เนื่องจากตกลับขอบฟ้าในเวลาใกล้เคียงกับเวลาดวงอาทิตย์ตก


    ที่มา สมาคมดาราศาสตร์ไทย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2013
  7. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,015
    ค่าพลัง:
    +10,241
    นักวิทย์เตือนธารน้ำแข็งละลาย-น้ำทะเลสูง-โลกร้อน
    วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2556 เวลา 17:49 น.

    นักวิทยาศาสตร์เตือน ธารน้ำแข็งในแคนาดาอาจละลาย 1 ใน 5 ภายในสิ้นศตวรรษนี้ อันจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอีกกว่า 1 นิ้ว และจะทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้นอีก อีกทั้งธารน้ำแข็งที่ละลายแล้ว จะไม่วันหวนกลับไปเป็นดังเดิมได้อีก

    สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานเมื่อวันที่ 7 มี.ค.ว่า แจน เลเนิร์ตส์ นักอุตุนิยมวิทยาและผู้นำนักวิจัยของมหาวิทยาลัยอูเทรค ประเทศเนเธอร์แลนด์ เปิดเผยผลการศึกษาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา พบว่า ธารน้ำแข็งในแคนาดาอาจละลายหดหายไป 1 ใน 5 ภายในสิ้นศตวรรษนี้ และทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอีกประมาณ 1.4 นิ้ว หรือ 3.5 เซนติเมตร และโอกาสที่ธารน้ำแข็งจะก่อตัวกลับสู่สภาพเดิมก็เลือนรางมาก ทั้งนี้ หากธารน้ำแข็งแคนาดาหายไปร้อยละ 20 ตามที่ผลวิจัยสรุป อุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 3 องศาเซลเซียส


    เขากล่าวว่า กระบวนการการละลายของธารน้ำแข็ง ทั้งไม่สามารถย้อนกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อีก และยังมีแรงเสริมในตัวของมันเองด้วย เนื่องจากหิมะและน้ำแข็งในเขตทุ่งทุนดรา ที่ราบที่ไม่มีต้นไม้ในขั้วโลกเหนือ และในน่านน้ำทางตอนเหนือของแคนาดา มีส่วนช่วยสะท้อนความร้อนจากดวงอาทิตย์ออกไปจากโลก เมื่อน้ำแข็งเหล่านี้หายไป ความร้อนจากดวงอาทิตย์ก็จะถูกน้ำทะเลและแผ่นดินดูดซับไว้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นด้วย


    นอกจากนี้ หากธารน้ำแข็งในแคนาดา ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ละลายหายไปทั้งหมด จะทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น 7.9 นิ้ว

    นักวิทย์เตือนธารน้ำแข็งละลาย-น้ำทะเลสูง-โลกร้อน | เดลินิวส์
     
  8. starme

    starme เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +2,277

    ขอบคุณสำหรับข่าวค่ะ :cool::cool:
     
  9. starme

    starme เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +2,277


    ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน


    แม้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วอุณหภูมิของโลกจะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อเป็นทอดๆ และจะมีผลกระทบกับโลกในที่สุด ขณะนี้ผลกระทบดังกล่าวเริ่มปรากฏให้เห็นแล้วทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การละลายของน้ำแข็งทั่วโลก ทั้งที่เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก น้ำแข็งที่ละลายนี้จะไปเพิ่มปริมาณน้ำในมหาสมุทร เมื่อประกอบกับอุณหภูมิเฉลี่ยของน้ำสูงขึ้น น้ำก็จะมีการขยายตัวร่วมด้วย ทำให้ปริมาณน้ำในมหาสมุทรทั่วลกเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นมาก ส่งผลให้เมืองสำคัญๆ ที่อยู่ริมมหาสมุทรตกอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลทันที

    มีการคาดการณ์ว่า หากน้ำแข็งดังกล่าวละลายหมด จะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 6-8 เมตรทีเดียว

    ผลกระทบที่เริ่มเห็นได้อีกประการหนึ่งคือ การเกิดพายุหมุนที่มีความถี่มากขึ้น และมีความรุนแรงมากขึ้นด้วย ดังเราจะเห็นได้จากข่าวพายุเฮอริเคนที่พัดเข้าถล่มสหรัฐฯ หลายลูกในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา แต่ละลูกก็สร้างความเสียหายในระดับหายนะทั้งสิ้น สาเหตุอาจอธิบายได้ในแง่พลังงาน กล่าวคือ เมื่อมหาสมุทรมีอุณหภูมิสูงขึ้น พลังงานที่ดายุได้รับก็มากขึ้นไปด้วย ส่งผลให้พายะมีความรุนแรงกว่าที่เคย



    นอกจากนั้น สภาวะโลกร้อนยังส่งผลให้บางบริเวณในโลกประสบกับสภาวะแห้งแล้งอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น ขณะนี้ได้เกิดสภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้นอีกเนื่องจากต้นไม้ในป่าที่เคยทำหน้าที่ดูกกลืนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ล้มตายลงเนื่องจากขาดน้ำ นอกจากจะไม่ดูดกลืนก๊าซต่อไปแล้ว ยังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากกระบวนการย่อยสลายด้วย และยังมีสัญญาณเตือนจากภัยธรรมชาติอื่นๆ อีกมาก ซึ่งหากเราสังเกตดีๆ จะพบว่าเป็นผลจากสภาวะนี้ไม่น้อย

    10 ปรากฏการณ์ประหลาดผลกระทบวิกฤต “ โลกร้อน !”

    ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภัย “ โลกร้อน ” ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน อาทิ อากาศร้อนขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลายหรือระดับน้ำทะเลโลกสูงขึ้นเท่านั้น แต่ปัจจุบันยังเป็นต้นเหตุของปรากฏการณ์แปลกๆ มากมาย ซึ่งเกี่ยวพันกับการหายสาบสูญของทะเลสาบ โรคภูมิแพ้โดยไม่ทราบสาเหตุ วิถีโคจรของดาวเทียมในอวกาศ ฯลฯ

    1.สารภูมิแพ้แพร่ระบาด

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้นทุกๆ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ นั่นคือ

    ประชาชนไอ จาม เป็นภูมิแพ้ และหอบหืดกันง่ายขึ้นและบ่อยขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ จากการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปกับสภาพมลพิษในอากาศเป็นสาเหตุสำคัญของอาการดังกล่าว

    อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยใหม่ ๆ ชี้ให้เห็นว่าวิกฤตอุณหภูมิโลกร้อนขึ้นและมีระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมากชึ้น คือต้นเหตุทำให้พืชพรรณต่างๆ ผลิใบเร็วกว่าเดิม ขณะเดียวกันปริมาณละออกเกสรที่ฟุ้งกระจายไปตามอากาศก็มากขึ้นเช่นกัน คนที่เป็นภูมิแพ้หรือหอบหืดเมื่อสูดละอองเหล่านี้เข้าไปมากๆ อาการจึงกำเริบง่าย



    2.สัตว์อพยพไร้ที่อยู่

    ผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน ทำให้สัตว์บางชนิด เช่น กระรอก ตัวชิปมังก์ หรือแม้กระทั่งหนู ต้องอพยพหนีขึ้นไปอยู่บนที่สูงขึ้น สัตว์ที่กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ ได้แก่ “ หมีขั้วโลก ” ที่ในอนาคตอาจมีชีวิตอยู่ในถิ่นฐานเดิมแถบอาร์กติก ขั้วโลกเหนือไม่ได้ เนื่องจากธารน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว

    3.“ พืช ” ขั้วโลกคืนชีพ

    ช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ผลจากภาวะน้ำแข็งขั้วโลกละลายเพราะโลกร้อน ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของพืชและสัตว์จำนวนมาก ตามปกติพืชแถบอาร์กติกจะถูกปกคลุมอยู่ในน้ำแข็งตลอดทั้งปี แต่ปัจจุบัน เมื่อน้ำแข็งละลายมากขึ้นเรื่อย โดยเฉพาะในช่วงก่อนฤดูใบไม้ผลิ จึงทำให้พืชที่เคยถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งกลายเป็นอิสสระ สามารถเริ่มกระบวนการสังเคราะห์แสงและกลับมาเติบโตขึ้นอีกครั้ง

    กลายเป็นอีก 1 ปรากฏการณ์ใหม่ของพื้นที่ขั้วโลกเหนือ

    4.ทะเลสาบหายสาบสูญ

    เรื่องประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้นในเขตอาร์กติก หรือ ขั้วโลกเหนือยังไม่หมดแค่นั้น มีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา “ ทะเลสาบ ” ประมาณ 125 แห่งได้หายสาบสูญไปจากเขตอาร์กติก เป็นสัญญาณหนึ่งที่ช่วยให้เห็นว่า ภัยโลกร้อนส่งผลกระทบเร็วมากต่อสภาพแวดล้อมแถบขั้วโลก

    สาเหตุที่ทะเลสาบหายไปก็เพราะ “ เพอร์มาฟรอส ” ที่เป็นน้ำแข็งตัวอยู่ใต้พื้นทะเลสาบนั้นละลายหมดสิ้นไป ดังนั้น น้ำในทะเลสาบจึงซึมเข้าสู่พื้นดินข้างใต้ได้ เหมือนกับเวลาเราดึงจุกปิดน้ำออกจากอ่างอาบน้ำแล้วจึงไหลหมดไปจากอ่างนั่นเอง

    นอกจากนี้ การที่ทะเลสาบขั้วโลกหายวับไป ยังส่งผลลูกโซ่ปั่นป่วนไปถึงระบบนิเวศ์ในพื้นที่ที่พึ่งพิงน้ำจากทะเลสาบอีกด้วย



    5.น้ำแข้งใต้พื้นโลกละลาย

    ภาวะโลกร้อนไม่ได้เพียงแค่ทำให้ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ชั้นน้ำแข็งถาวรที่มีอยู่ใต้พื้นผิวโลกค่อยๆ ละลายลดปริมาณลงไปเช่นกัน ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นตามมาในอนาคตก็คือ จุดใต้พื้นโลก ซึ่งเคยเป็นน้ำแข็งหายไปจนเกิดเป็น “ รูรั้ว ” ใต้ดินขึ้นมา

    เมื่อเป็นเช่นนี้สภาพทางภูมิศาสตร์ในพื้นที่ย่อมเปลี่ยนแปลงไป สิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งก่อสร้างของมนุษย์ เช่น ทางรถไฟ ถนน บ้านเรือน ฯลฯ ซึ่งตั้งอยู่เหนือจุดดังกล่าวมีโอกาสได้รับความเสียหายตามไปด้วย ถ้าปรากฏการณ์น้ำแข็งละลายเกิดขึ้นบนที่สูง เช่น ภูเขา จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติตามมา อาทิ หินถล่มและโคลนถล่มเป็นต้น

    6.ชนวนเกิดไฟป่า

    นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยืนยันตรงกันทั่วโลกว่า ภัยโลกร้อนเป็นสาเหตุให้ธารน้ำแข็งละลายและพายุก่อตัวบ่อยและรุนแรงขึ้นกว่าในอดีต ยิ่งไปกว่านั้น ภาวะโลกร้อนยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิด “ ไฟป่า ” ได้ง่ายขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก และชาติเมืองหนาวในซีกโลกตะวันตก ซึ่งตามปกติไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไฟป่า

    7.ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงอยู่รอด

    โลกร้อนส่งผลให้หน้าหนาวหดสั้นลง และหน้าร้อนมาถึงเร็วขึ้น บรรดา “ นกอพยพ ” หลายสายพันธุ์ต่างมึนงง ปรับ “ นาฬิกาชีวภาพ ” ในตัวของมันให้เข้ากับสภาพความผันแปรของฤดูกาลที่บิดเบี้ยวไปไม่ทัน สัตว์ที่จะเอาชีวิตรอดจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนในทุกวันนี้ได้ต้องป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้น ในที่สุดสัตว์ที่อยู่รอดจะต้อง “ กลายพันธุ์ ” หรือปรับพันธุกรรมในตัวมันเสียใหม่ เพื่อรับมือภัยโลกร้อนให้ได้ และมีสัตว์หลายชนิดกำลังวิวัฒนาการตัวเองเช่นนั้นอยู่



    8.ดาวเทียมโคจรเร็วกว่าเดิม

    การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าถ่านหิน ยวดยานพาหนะ ฯลฯ คือ ตัวการสำคัญของวิกฤตโลกร้อนล่าสุดพบว่า เจ้าก๊าซตัวเดียวกันนี้เองที่ขึ้นไปสะสมมากขึ้นในชั้นบรรยากาศโลก ได้กลายเป็นต้นเหตุทำให้ “ ดาวเทียม ” ที่อยู่ในวงโคจรโลกเคลื่อนที่เร็วกว่าเดิม ตามปกติอากาศในบรรยากาศชั้นนอกสุดของโลกจะเบาบาง แต่โมเลกุลของอากาศจะยังคงมีแรงดึงดูดมากพอในการทำให้ดาวเทียมโคจรช้าๆ ดังนั้น เราอาจเคยได้ยินข่าวกันมาบ้างว่า ผู้ควบคุมต้องจุดระเบิดดาวเทียมเป็นระยะๆ เพื่อให้ดาวเทียมโคจรต่อไปอย่างถูกต้อง

    อย่างไรก็ตาม เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์ลอยไปสะสมในบรรยากาศชั้นล่างมากไป จะทำแรงดึงดูดของบรรยากาศชั้นนอกสุดลดกำลังลง ดาวเทียมจึงโคจรเร็วกว่าปกติ

    9. ภูเขากระเด้งตัวเหนือพื้นโลก

    ภูเขาและเทือกเขาสูงหลายแห่งทั่วโลก กำลังขยายตัว “ สูง ” ขึ้น เพราะผลจากโลกร้อน ! นั้นเป็นเพราะ ตามธรรมชาติที่ผ่านๆ มานับพันปี ยอดภูเขาในเขตหนาวเย็นโดยทั่วไปจะมี “ น้ำแข็ง ” ปกคลุมอยู่ ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับตุ้มน้ำหนักที่คอยกดทับให้ฐานล่างของภูเขาทรุดต่ำลงไปใต้พื้นผิว เมื่อน้ำแข็งบนยอดเขามลายสูญสิ้นไป ส่วนฐานล่างที่เคยถูกกดจมดินลงไปจะค่อยๆ กระเด้งคืนตัวกลับมาเหนือผิวโลกอีกครั้ง

    10. โบราณสถานเสียหาย

    โบราณสถาน เมืองเก่าแก่ ซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ อันเป็นสิ่งแสดงถึงวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองของมนุษย์ในอดีตได้รับผลกระทบจากโลกร้อน เหตุเพราะโลกร้อนทำให้อากาศทั่วโลกแปรปรวน ทั้งเกิดพายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูง และล้วนแต่ยิ่งสร้างความเสียหายให้กับมรดกตกทอดทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งมีสภาพทรุดโทรมอยู่แล้วโบราณสถานอายุ 600 ปีในจังหวัดสุโขทัยของประเทศไทยเรา ก็เคยเสียหายอย่างหนักเพราะภัยน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งเป็นผลจากภัยโลกร้อน มาแล้วเช่นกัน



    ที่มา หนังสือ "ภาวะโลกร้อน ระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ" ของชมรมพิทักษ์โลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2013
  10. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    [​IMG]


    ต้องขอบคุณน้องดาว ที่ช่วยเฝ้ากระทู้ให้ หลายๆครั้งที่ไม่อยู่ครับ thaxx


    ทริปต่อไป

    15-18 มีค ต้องเดินทางไป อช. เขาหลวง หน่วยน้ำตกกรุงชิง
    26-28 มีค ไป อช.แก่งกระจาน อีกรอบ

    Mountain is the only place that I can look into myself

    .
     
  11. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    ช่วงหัวค่ำออกไปสังเกตการณ์ดาวหาง PAN STARRS แต่ท้องฟ้าด้านทิศตะวันตก ยังมีกลุ่มเมฆอยู่ค่อนข้างหนา ยากที่จะมองทะลุไปได้ เลยได้แต่ภาพพระอาทิตย์ยามเย็น กับ นกยางกรอกที่กำลังบินกลับรัง แบคกราวนด์เป็นเมฆสีร้อนแรงมาฝากครับ



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2013
  12. KhonDernDin

    KhonDernDin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +382
    ขอบคุณ สำหรับรูป สวยๆ ครับ :cool:
     
  13. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    เย็นวันนี้ก้อยังไปเฝ้าสังเกตดาวหาง PAN STARRS เช่นเคย ใกล้ๆบ้าน แต่คงยากครับเพราะภูมิประเทศของภาคกลาง มลภาวะ กับ สภาพดินฟ้าอากาศ ทำให้ทัศนวิสัยไม่เอื้ออำนวยที่จะมองเห็นดาวหางได้เลย ได้แต่นกปากห่างที่กำลังบินกลับรังมาฝากครับ


    [​IMG]

    .
     
  14. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    นี่คือ ภาพจำลองที่ทางนาซ่า ระบุตำแหน่งของดาวหาง PAN STARRS
    แต่วันนี้เมฆบังขนาดดวงจันทร์ยังไม่เห็นเลยครับ


    [​IMG]

    .
     
  15. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    ช่วงกลางวันไม่ได้ทำอะไร เลยถ่ายรูปกล้วยไม้ แกรมมาโต มาฝากครับ


    [​IMG]

    [​IMG]

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2013
  16. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    ตารางรวบรวมคำทำนาย อัพเดท :


    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    hp_day

    .
     
  17. llilliilliiill

    llilliilliiill เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    589
    ค่าพลัง:
    +2,741
    ขอบคุณท่าน hiflyer สำหรับตารางอัพเดทครับ
    ผมว่ามีประโยชน์สำหรับผู้ที่ติดตามการทำนายเป็นอย่างมาก ดูแล้วรู้ว่าที่ผ่านมาใครถูกผิดยังไง และควรเชื่อได้มากแค่ไหน ไม่ใช่เพียงแค่การหลับหูหลับตาเชื่ออย่างไร้เหตุ-ผล

    ผ่านพ้นปีนี้ไปได้ หากไม่เกิดอะไรขึ้นเลย ผมว่ากระแสคงไม่ถูกโหมอีกแล้วหลังจากนี้ และภัยธรรมชาติระดับใหญ่ เช่นแผ่นดินไหนระดับที่เคยเกิดกับญี่ปุ่นก็คงมีมาอีกไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่คงไม่ใช่วันล้างโลกจนมนุษย์เหลือแค่10%อย่างที่หลายคนเข้าใจ

    .
     
  18. starme

    starme เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +2,277

    ยินดีค่ะ พี่ Hiflyer
    ช่วงนี้เริ่มยุ่งๆ
    แต่ก็จะเข้ามาดูกระทู้ให้เรื่อยๆค่ะ


    (sing);aa28
     
  19. starme

    starme เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +2,277
    ชวนชมดาวแพนสตาร์ เฉียดใกล้โลกถึง17มี.ค.

    กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) ชวนคนไทยชม "ดาวหางแพนสตาร์" ที่จะโคจรมาใกล้โลกและดวงอาทิตย์ ระหว่างวันที่ 8-17 มี.ค. นี้ ย้ำมาเที่ยวเดียวไม่มาอีกแล้ว หากฟ้าใสดูตาเปล่าได้


    "ดาวหางแพนสตาร์" (C/2011 L4 PANSTARRS) เข้าใกล้โลกที่สุดวันที่ 5 มี.ค. และสุกสว่างมากที่สุดเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดในวันที่ 10 มี.ค. สามารถสังเกตได้ตั้งแต่หลังดวงอาทิตย์ตกดินประมาณ 30 นาที หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ดาวหางจะปรากฏอยู่ใกล้ขอบฟ้าบริเวณกลุ่มดาวปลา และหากอยู่บริเวณที่ท้องฟ้ามืดสนิท จะมีโอกาสเห็นได้ด้วยตาเปล่า


    ดาวหางแพนสตาร์ค้นพบโดยกล้อง Pan-STARRS บนเกาะฮาวาย เมื่อเดือนมิ.ย. 2554 ปรากฏอยู่บริเวณกลุ่มดาวแมงป่องมีวงโคจรเป็นแบบไฮเปอร์โบลา จะโคจรมาใกล้โลกเพียงครั้งเดียว และจะไม่กลับมาอีก จึงเป็นโอกาสเดียวที่มนุษย์จะได้เห็นดาวหางดวงนี้


    ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผอ.สดร. กล่าวว่า ถึงจะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโลก แต่นักดาราศาสตร์ต้องเก็บข้อมูลเพื่อศึกษาวิจัยวัตถุที่มาใกล้โลกเหล่านี้ เพื่อความเข้าใจและความรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลา จึงขอเชิญชวนประชาชนหาข้อมูลเรื่องนี้ไว้ ไม่อยากให้ตื่นตระหนก


    "ดาวหางเป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติบนท้องฟ้าที่น่าสนใจและหาชมได้ยากเท่านั้น หากพลาดชมดาวหางแพนสตาร์ในครั้งนี้ ในช่วงเดือนพ.ย.ยังมี "ดาวหางไอซอน" โคจรมาใกล้โลก และนักดาราศาสตร์คาดว่าจะเป็นดาวหางที่สว่างที่สุดดวงหนึ่งในศตวรรษเลยทีเดียว" ดร.ศรัณย์กล่าว


    ทั้งนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้มอบหมายให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (สทอภ.) และสดร. ตั้งศูนย์เครือข่ายเตือนภัยพิบัติโดยใช้เทคโนโลยีอวกาศ เพื่อเฝ้าระวังภัยพิบัติจากอวกาศและผลกระทบจากอวกาศที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โดยหลังจากเหตุการณ์อุกกาบาตตกที่รัสเซียเมื่อ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา ก่อให้เกิดความตื่นตัวในเรื่องวัตถุอวกาศที่มีโอกาสทำอันตรายต่อโลก สดร.ได้ติดตามการโคจรของวัตถุอวกาศที่เข้ามาใกล้โลก เช่น ดาวเคราะห์น้อย/ดาวหาง ผลกระทบของดวงอาทิตย์ที่มีต่อภูมิอากาศ


    การตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์เพื่อยืนยันชนิดของวัตถุจากอวกาศ การศึกษาข้อมูลเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติจากอวกาศและผลกระทบจากอวกาศที่มีต่อภูมิอากาศ รวมทั้งการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง


    ที่มา
    ข่าวสดออนไลน์
    วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 01:45 น.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681

    สวัสดีครับท่าน llilliilliiill

    ดูเหมือนว่าทั่วหล้าจะไม่มีใครที่สามารถล่วงรู้อนาคตได้จริง ที่มีก็เพียงแค่จิตที่ปรุงแต่งพาไป หรือไม่ก็จงใจแต่งเรื่อง เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง คนที่ไม่โง่ ก็เลยอาจตกเป็นเหยื่อทางความคิด ของคนที่เฉลียวฉลาดกว่า

    ใครที่มีอาการวิตกกังวลกับเรื่องภัยพิบัติ ผมมีทางแก้ครับ ให้ปลีกวิเวก ตัดขาดข่าวสาร เป็นระยะๆ เช่น 1 สัปดาห์ อาจจะเช็คข้อมูลสัก 1 ครั้ง ปิดหู ปิดตา กับข่าวสาร แต่ไม่ต้องปิดจมูกนะครับ เดี๋ยวรถพยาบาลมาไม่ทัน สัก 1-2 สัปดาห์ คุณจะเห็นถึงความแตกต่าง ( รับประกันความพอใจ ภายใน 30 วัน ไม่เห็นผล ยินดีคืนความเครียด 2 เท่า )

    เรื่องกรรมจัดสรร มนุษย์จะเหลือคนดี 10% เป็นเรื่องในทางอุดมคติครับ ความเป็นจริงเป็นไปไม่ได้ คนจะตายเยอะขนาดนั้น มีเพียงวัตถุนอกโลกขนาดใหญ่พุ่งเข้าชน แล้วกรรมจะจัดสรรยังไงครับ ทุกตารางกิโลเมตร. ก็มีทั้งคนดีคนชั่วปะปนกันอยู่ แต่ที่แน่ๆ ทำดีกันเถอะครับ มองประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก แล้วโลกนี้จะน่าอยู่

    ช่วงที่ผ่านมา ไม่ต่างกับที่หลายๆท่านเคยพูดไว้ว่า เป็นกลียุค เป็นช่วงที่มนุษย์เราจิตตก ระส่ำระส่ายกับเภทภัย ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ในยุคโบราณ ที่กลัวเรื่องปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ก็เลยเกิดความเชื่อ เกิดศาสนา เกิดพธีกรรมต่างๆ

    คำว่า " ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่ " ดูเหมือนจะขัดแย้งกับ หลักกาลามสูตรขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เลยนะ ตื่นๆๆ สติ ตื่นๆๆ ปัญญากำลังตามหาท่านอยู่

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...