ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. noway

    noway เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2012
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +3,969
    การไม่เห็นด้วยไม่ผิดอะไร

    ไม่เช่นนั้นผู้คนในศาสนาอื่นๆ ที่ไม่นับถือพุทธศาสนา ไม่เคารพพระรัตนตรัย

    ก็ตกนรกกันหมดน่ะสิ ทั้งๆที่เขาเป็นคนดี มีการให้ทานเป็นปกติ

    หลวงพ่อพระราชพรหมญาณ

    เคยเล่าว่าพบเห็นเทวดาที่มาจากผู้นับถือในศาสนาคริสต์ก็มีไม่น้อย

    หลวงปู่มั่นเล่าว่า มีเทวดาจากประเทศเยอรมันมาขอฟังเทศน์จากท่านอยู่เรื่อยๆ

    แต่หากจะมีกรรม ก็เพราะ

    การเยาะเย้ย ดูหมิ่น ถากถางต่างหากเล่า

    แต่ก็อย่าลืม การเผยแพร่คำสอนบิดเบือน ในหลักธรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นกรรมไม่น้อย

    เพราะดูเหมือนในห้องภัยพิบัติ

    มีหลักคิด ความเชื่อที่เป็นการบิดเบือน ปลอมปน แอบแฝง

    จับแพะชนแกะ เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาปนเปกับหลักศาสนาพุทธอยู่ไม่น้อย

    อาจเป็นผลพลอยให้คนที่หลงเชื่อเป็นมิจฉาทิษฐิ เป็นการตัดมรรคผลนิพพาน

    ดังนั้นผู้ที่เผยแพร่ก็ต้องรับกรรมตรงนี้ไปด้วย

    โดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบก็ได้ว่า

    ระหว่าง

    ผู้ที่ปรามาส กับผู้ที่บิดเบือน หรือเผยแพร่ คำสอนผิดๆ โดยอ้างหลักธรรมของพระพุทธเจ้า

    ใครจะตกนรกขุมลึกกว่ากัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2013
  2. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    เอาไป ห้า Like
    :cool::cool::cool::cool::cool:
     
  3. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    เข้าใจแล้วครับ
     
  4. phirus

    phirus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +318

    :boo: ผมไม่เชื่อก้อตรงนี้แหละ ผมก้ออ่านหนังสือมาเยอะ ทำไมเรื่องที่คุณธมไชโยบอกมาถึงไม่เข้าหัวเลย;aa2 มีในคำสอนวัดไหนเนี่ย
     
  5. นางไพจิตต์

    นางไพจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +956
    คุณเกษมนี่...ชอบลอกพระไตรปิฏกมาให้อ่าน...เฮ้อเหนื่อย.....ตอบธรรมดาก็ไม่ได้เหรอชอบข่มขู่คนอื่นท่านนี่แปลกคนจริงๆ ไหนเคยอ้างว่าเป็นศิษญ์หลวงปู่ฤาษีลิงดำ...ดูเหมือนท่านไม่เคยอ่านคำสอนและคำตอบที่ท่านพระอาจารย์เมตตาสั่งสอนเลยน่ะ.....เสียดายแทนท่านเกษมจริงๆ:mad:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2013
  6. kb 2500

    kb 2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +873
    อ่านทวนคิดเห็นตามหลายรอบแล้ว ..อยากจะอนุโมทนาให้อีก 500 ครั้งเลยครับท่าน
     
  7. นางไพจิตต์

    นางไพจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +956
    ...................................................................................
    คุณ phirus นั่นละเขาหล่ะจอมข่มขู่ ...มีอยู่ครั้งหนึ่งเขายกเอาภาพในนรกนายนิรบาลลากลิ้นลากไส้มาขู่...เพราะว่าเพียงดิฉันสงสัยว่าท่านเกษมได้ข่าวมาจากไหนที่ว่าคนจะกลายจากเดินเป็นคลาน...โอ้โหเขาแช่งว่าดิฉันจะตกนรกหมกไหม้ถูกตะขอเกี่ยวลากลิ้นมาตัดเพราะปรามาสพระเกจิอาจารย์ผู้ให้คำทำนาย...ทั้งๆที่ดิฉันน่ะเคยติดตามเข้ารับความรู้เรื่องปิรามิดเรื่องสโตนเฮนท์เพียงแต่ไม่รู้ว่ามีการอบรมวิธีแก้ไขแรงกดทับจากเดินเป็นคลานในช่วงวันที่...ข่วง....เดือนมกราคม ปี2556...สรุปว่าอะไรรรรรรรรรรรรรรคือปรามาส??????
    มีคนบอกว่าเลิกเข้าได้แล้วเว็ปนี้แต่พี่ตั้งใจว่าเข้าเป็นสมาชิกเว็ปนี้เพราะได้ญาติธรรมก็หลายคนได้ความรู้จากสมาชิกดีๆหลายท่าน แต่พี่สัญญาใจว่าจะโพสต์ตอบกระทู้คนที่ทำตัวเป็นหนอนคอยไชพระพุทธศาสนา บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะพี่อธิษฐนจิตทุกครั้งที่ทำบุญพี่ขอทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาทุกชาติตราบครบอายุพระพุทธศาสนาและหลังจากนั้นถ้ามีบุญพอก็ขอตรงสู่นิพพาน...:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2013
  8. ไทร

    ไทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +771
    ภัยพิบัติมีหลายรูปแบบ เป็นไปได้ไหมครับ ว่านี่ก็คือภัยพิบัติรูปแบบหนึ่ง

    http://www.watnyanaves.net/uploads/...ociety_development_(expanded_and_revised).pdf

    ถ้าเห็นว่ายาวไป อ่านเฉพาะหน้าสุดท้ายหน้าเดียวก็น่าจะพอแล้วครับ
     
  9. พญาเสือดาว

    พญาเสือดาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    452
    ค่าพลัง:
    +503
    มารายงานตัวครับ อิอิ หายไปนาน
     
  10. พญาเสือดาว

    พญาเสือดาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    452
    ค่าพลัง:
    +503
    ผมอ่านมานานเเล้ว กับคุณ ตัวเขียวๆ ชอบเเอบอ่่างคนอืน เเล้วชอบเอานรกมาเเอบอ้าง อะครับผมเบือสุดๆครับ ขอบอก
     
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เหตุแห่งภัยพิบัติอันน่าสะพรึงกลัว 10 ประการ

    [​IMG]

    ผู้บริสุทธิ์ที่บุคคลไม่ควรประทุษร้าย ไม่ควรปรามาส ไม่ควรล่วงเกินโดยประการทั้งปวงมิฉะนั้นจะเกิดภัยพิบัติ 10 ประการแก่บุคคลผู้ล่วงเกินและเป็นผลพวง นับเนื่อง ถึงบุคคลอื่น ๆ ซึ่งเป็นทายาทแห่งกรรมอันหนักนั้นด้วย ผู้บริสุทธิ์ที่บุคคลไม่ควรประทุษร้ายมีดังนี้:-

    - ผู้มีอุปการะก่อน โดยไม่หวังผลตอบแทน เช่น มารดา บิดา ฯลฯ

    - พระคุณครูอุปัชฌายะธรรมมาจารย์ผู้ทรงคุณทั้งหลายทั้งปวง

    - บรรดาลูกกตัญญูกตเวที พระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง

    - ผู้มีดวงใจอิ่มด้วยบุญ ทั้งที่เป็นมนุษย์หรือสรรพสัตว์น้อยใหญ่ แม้แต่รูปปั้น พระปฏิมากรของพระองค์ บรรดาผู้ทรงฌานบริสุทธิ์ ตลอดถึงผู้บรรลุธรรมตั้งแต่เบื้องต้นเป็นลำดับ ตั้งแต่พระอริยะเบื้องต้นตราบถึงพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย

    - พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งปวง บุคคลทั้งปวงที่เป็นผู้บริสุทธิ์ สุจริต และมีดวงใจอันอิ่มด้วยบุญแม้แต่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชพุทธรรม

    - ผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพสกนิกรทั้งหลายทั้งปวง ก็ตาม นับได้ว่า เป็นผู้มีพระคุณบริสุทธิ์โดยประการทั้งสิ้นทั้งปวง อันบุคคลมิบังควรประทุษร้าย มิบังควรปรามาส มิบังควรล่วงเกิน

    ภัยพิบัติ ๑๐ ประการมีดังนี้

    ภัยพิบัติ ๑๐ ประการ อันเกิดแต่การประทุษร้ายล่วงเกิน ปรามาสผู้ทรงคุณดังกล่าวบุคคลผู้กระทำกรรมหนักนั้น ย่อมได้รับผลอันเหมาะสมแก่การกระทำของตน ๑๐ ประการดังนี้.​

    ๑.แม้มีเงินทอง ย่อมเปรียบเสมือนด้วยก้อนแห่งถ่านเพลิง แม้จับถือแล้วก็ต้องปล่อยทันที ไม่อาจเก็บงำไว้ได้เสมือนว่าเงินทองนั้นเป็นของร้อนเหมือนก้อนถ่านเพลิง ​

    ๒.แม้ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่มีอยู่ ย่อมเปรียบเสมือนกระเบื้องแตก มีความหมายว่า ถ้าเป็นกระเบื้องหลังคา ก็ไม่อาจกันร้อน ไม่อาจกันลม ไม่อาจกันฝนได้ ถ้าเปรียบด้วยกระเบื้องคือ ภาชนะ ก็ไม่อาจใส่อาหารได้อย่างโดยบริบูรณ์ ทรัพย์สมบัตินั้นเป็นทรัพย์สมบัติที่ใช้การไม่ได้ ประดุจดั่งว่า เมล็ดฝ้ายผุ ถูกหนอนเจาะเพาะไม่ขึ้น ทรัพย์สมบัติล้วนกลายเป็นของคนอื่น ทั้งหมดเขาเวนคืนหรือถูกยึดไป​

    ๓.บ้านแตกสาแหรกขาด ญาติพี่น้องแตกแยก ขาดความสมาน ขาดความปรองดอง ขาดความสามัคคี แม้นมียศศักดิ์ ฐานันดร อันสูงส่ง ก็เป็นคนปราศจากสง่าราศี เป็นคนไม่มีราศี ย่อมถูกบุคคลผู้เป็นคู่เวรกลั่นแกล้ง ถูกขุดคุ้ยเรื่องเลวร้ายให้ขยาย กระจายความขึ้นเกินกว่าเหตุ ถูกอาเภท ให้บุคคลคู่เวรได้ใส่ร้ายป้ายสี ต่าง ๆ นานา เป็นเหตุให้เป็นที่รังเกียจแก่ผองชนทั่วไป​

    ๔.ย่อมถูกราชทัณฑ์ ต้องโทษ ถูกจองจำ ถูกกฎหมายบีบบังคับ ให้ต้องอาญาร้ายแรง ถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว​

    ๕.ย่อมเกิดทุกขเวทนาอย่างแก่กล้าแสนสาหัส โดยหาสมมุติฐานแห่งโรคไม่พบ​

    ๖.ย่อมเกิดโรคร้ายแรง เป็นที่ยิ่ง อันเป็นเหตุ ให้เกิดความทุกขเวทนาแสนสาหัส​

    ๗.อวัยวะร่างกายของเขา ย่อมพิกลพิการไป ด้วยเพราะการประสบอุบัติเหตุในลักษณะต่าง ๆ​

    ๘.จิตใจของเขาผู้นั้น ย่อมไม่อาจหยั่งลงสู่สมาธิรสอันลึกซึ้งได้ ขาดความปราโมทย์ ขาดความสดชื่น ขาดความแช่มชื่นจิต ขาดความปลื้มจิตปีติใจ จิตใจขาดความสุขุมเยือกเย็น ขาดความหนักแน่น ขาดความตั้งมั่นของจิตใจ จิตใจเสียการทรงตัว จิตใจมิอาจเข้าแถวเขาแนวให้เป็นระบียบได้ จิตใจซัดส่าย ฟุ้งซ่าน คิดมาก เกิดความเครียดอย่างแสนสาหัส เป็นเหตุให้เกิด โรคประสาทโรคจิต ชนิดต่าง ๆ ​

    ๙.ทุมเมโท....เขาผู้นั้น ย่อมถึงแก่ความเป็นคนบ้า ควบคุมสติไม่อยู่ แม้นได้รับการบำบัดเยียวยา ด้วยหยูกยาต่าง ๆ ก็มิอาจบำบัดให้หายเป็นปกติได้​

    ๑๐.ปาวโก... เทวทัณโฑ อัสนี อันว่าไฟแห่งบาปเวร ผู้ชำระ อันเกิดขึ้นโดยเหมาะสม แก่การกระทำของตน ย่อมเผาไหม้สมบัติบ้านเรือน ปีละหนบ้าง สองหนบ้าง หากแม้นว่า อันว่าไฟแห่งบาปเวรผู้ชำระ มิล้างผลาญซึ่งสมบัติบ้านเรือนแล้วไซร้ เทวทัณโฑ อัสนี อันว่าอาญาแห่งเทพ คืออัสนีบาต ย่อมฟาดลงกลางกระหม่อม แห่งเขาผู้กระทำซึ่งกรรมนักนั้น (ฟ้าผ่า หรือไฟช๊อตตาย) อันเป็นลางร้ายเป็นความหมายแห่งไฟอันเกิดแต่ไฟแห่งอเวจี เข้ามาเผาผลาญเขาผู้นั้นให้ย่อยยับ เพื่อจักได้อบรมบ่มอุปนิสัยให้ได้เกิดความสำนึก รู้ผิดชอบชั่วดี รู้ความบังควรหรือมิบังควร โดยประการไร ๆ​

    ดังกล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นภัยพิบัติ 10 ประการ ที่เกิดขึ้นจากการประทุษร้าย ปรามาสล่วงเกิน ท่านผู้บริสุทธิ์ดังกล่าว ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสเทศนาไว้แก่พุทธบริษัททั้งหลาย มีภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี สิกขมานา อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลายทั้งปวง เป็นต้น​

    ซึ่งในปัจจุบันนี้ ปรากฏการณ์อันน่าสะพรึงกลัวนี้ ได้ประสบกันโดยมากและเกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันโดยมาก และน่าสะพรึงกลัวมากอย่างเห็นได้ชัด เพราะฉะนั้น เหล่าบุคคล ผู้รักสงบ รักสันติสุข อย่างโดยชอบธรรม ควรแนะนำซึ่งกันและกัน ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้และทั่วถึง ถึงสาเหตุแห่งภัยพิบัติ ๑๐ ประการนี้ แล้วพากันระงับเหตุแห่งภัยพิบัติทั้ง ๑๐ ประการดังกล่าว มิให้เกิดภัยพิบัติทั้ง ๑๐ ประการ อันน่าสะพึงกลัวดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ​

    ทั้งแก่ตน คนที่รัก ญาติสนิท มิตรสหาย บริวาร และบุคคลอื่น ๆ ตลอดถึงเพื่อนร่วมชีวิต เพื่อนร่วมโลก เพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายทั้งปวง ด้วยการพากันสำนึก พินิจตรึกตรองโดยอย่างถี่ถ้วนถ่องแท้ ว่า ณ ทุก ๆ ปัจจุบันขณะนี้ ทุกข์นี้มีมาแต่ไหน และจะดับเหตุแห่งทุกข์นี้ ด้วยวิธีประการไร จึงจะถูกวิธีอย่างโดยบริบูรณ์ อย่างโดยเร่งด่วน จงอย่าได้ประมาทในชีวิตอันน้อยนิดนี้ และจงอย่าได้เป็นผู้ต้องเสียใจ และเดือดร้อนใจในภายหลังเลย ​

    โพสต์โดยคุณ มุณีธรรม 28/02/2552 (2:56 pm)

    ที่มา http://www.navagaprom.com/oldsite/show1.php?id=642<!-- google_ad_section_end -->
     
  12. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    :cool::cool::cool:
    นับถือเลยครับ กลับมาเกิดอีกหลายรอบเลย นับถือด้วยใจจริง ต่อไปจะแย่ลงเรื่อยๆ บุคคลที่กล่าวอ้าง ศาสนา บิดเบือนจะมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงยุค "ผ้าเหลืองห้อยหู"
     
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เด็กเอ๋ยเด็กน้อย..ความรู้เจ้ายังด้อยเร่งศึกษา !!!

    [​IMG]

    k_97 สมาชิก

    12 ก.พ. 56 นิมิต

    จระเข้ ลอยคอ รอคอย
    เที่ยวสอย ผู้คน เดินผ่าน
    เพื่อได้ สิ่งที่ ต้องการ
    ระวัง การเดิน ให้ดี

    ภาพจะสื่อถึง ผู้ไม่หวังดีจะออกมาคอยก่อกวน

    มหาประชาบดี 97

    14 ก.พ. 56 ป้องปราม

    เมื่อเห็นเด็กๆ กำลังจะเอาไม้แหย่ไฟ ในฐานะผู้เฒ่าผู้แก่ที่มากประสบการณ์มาก่อน ก็ต้องตักเตือนป้องกันไม่ให้เด็กๆที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ นำไม้มาแหย่ไฟเล่น ถ้าพลาดพลั้งขึ้นมาไฟก็จะลวกมือเอา บางทีถึงกับไฟไหม้บ้าน มิได้เขียนเพื่อขู่เพราะในอดีตมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว

    เคอิสรา

    ที่มา http://palungjit.org/threads/แจ้งเตือน-โดย-k-97-a.324655/page-102
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2013
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ถ้าท่านไม่เชื่อพระพุทธเจ้า..แล้วท่านจะไปเชื่อใคร ?

    คำสอนของพระพุทธเจ้า ที่มีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฏกนั้น ไม่ว่าใครจะเป็นผู้นำออกมาเผยแพร่ ก็เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่นั่นเอง ถ้าท่านไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แล้วท่านจะไปเชื่อใครได้อีก พระพุทธเจ้าท่านได้บอกถึงวิบากกรรมของท่านที่เคยทำผิดพลาดเอาไว้ในอดีต ว่าเคยทำผิดพลาดไปอย่างไรบ้าง และเคยได้รับผลแห่งวิบากกรรมนั้นอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติสาธุชนทั้งหลายไม่ให้เดินตามรอยที่ผิดพลาดนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้านี้มิใช่คำขู่แต่อย่างใด แต่เป็นคำเตือนมิให้พวกเราเดินไปในทางที่ผิดพลาดนั้นๆ

    ถ้าท่านไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แล้วท่านจะไปเชื่อใคร ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2013
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ตะลึง! ฝูง “กระเบนโมบูลา” ตายหมู่ปริศนาบนหาดกาซา !!!

    forest60 สมาชิก

    เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ฝูงกระเบนโมบูลา (Mobula Ray Fish) นับร้อยตัวถูกคลื่นซัดขึ้นมาตายบนหาดแห่งหนึ่งในเมืองกาซาซิตี วานนี้(27) สร้างความประหลาดใจแก่ชาวประมงปาเลสไตน์ ซึ่งพากันนำรถลากมาบรรทุกซากปลาไปขายในตลาด

    คลิปวีดีโอซึ่งถ่ายโดยสื่อท้องถิ่นเผยให้เห็นชาวประมงเข้าไปมุงดูและสำรวจซากกระเบนที่ตายหมู่อย่างปริศนา และระบุด้วยว่า ชาวบ้านแถบนี้ไม่ได้เห็นกระเบนโมบูลาขึ้นมาเกยหาดนานถึง 6 ปีแล้ว

    กระเบนโมบูลาเป็นปลาในตระกูลเดียวกับกระเบนราหู (Manta Ray) และมีลักษณะคล้ายคลึงกัน เมื่อโตเต็มวัยอาจมีความกว้างลำตัวถึง 17 ฟุต หนักเกือบ 80 กิโลกรัม และมีราคาขายในตลาดเมืองกาซาซิตีราวๆ 5 เชเกลต่อน้ำหนัก 1 ปอนด์ (ประมาณ 41 บาท) สำนักข่าวมาอันนิวส์ รายงาน

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ที่มา manager.co.th 28 กุมภาพันธ์ 2556 12:17 น.

    Nirvana สมาชิก

    อันนี้เป็นเรื่องประหลาดมากไม่เคยเกิดขึ้น ปกติปลากระเบนพวกนี้จะหากินห่างจากชายฝั่งมาก ถ้ามองดูใต้น้ำฝูงของมันจะสวยงามมากเหมือนนกบินในอากาศ การที่มาเกยตื้นสำหรับปลาพวกนี้ เป็นสิ่งผิดปกติและบอกเหตุถึงการเปลี่ยนแปลงแน่นอน

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ตะลึง-ฝูง-“กระเบนโมบูลา”-ตายหมู่ปริศนาบนหาดกาซา.454491/
     
  16. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    อาจารย์ธรรมชโยของคุณเกษมสอนว่า นิพพานเป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา
    นิพพาน หมายถึง สภาพที่ดับกิเลสและกองทุกข์แล้ว ภาวะที่จิตมีความสงบสูงสุด เพราะไร้ทุกข์ ไร้สุข เป็นอิสรภาพสมบูรณ์
    "นิพพาน" จากบาลี Nibbāna निब्बान ประกอบด้วยศัพท์ นิ (ออกไป, หมดไป, ไม่มี) + วานะ (พัดไป, ร้อยรัด) รวมเข้าด้วยกันแปลว่า ไม่มีการพัดไป ไม่มีสิ่งร้อยรัด คำว่า "วานะ" เป็นชื่อเรียก กิเลสตัณหา กล่าวโดยสรุป นิพพานคือการไม่มีกิเลสตัณหาที่จะร้อยรัดพัดกระพือให้กระวนกระวายใจ อันเป็นจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
    ในทางมหายานได้กล่าวไว้ใน ธรฺม ธาตุ ปรกฺฤตย อวตาร สูตฺร(入法界體性經 ) โดยอธิบายว่า ธรรมธาตุของนิพพานนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิด ไม่ดับ ไม่สกปรก ไม่บริสุทธิ์ ไม่แปดเปื้อน ไม่แปรปรวน ไม่มีผู้ใดดับได้ จึงไม่มีผู้ใดเกิด นิกายมหายานส่วนใหญ่มักมุ่งสู่การไปเกิด ณ แดนสุขาวดี (หนึ่งในพุทธเกษตร ซึ่งเป็นโลกธาตุที่พระอมิตตายุสสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เนรมิตขึ้น ) โดยมีคติการบรรลุธรรมคนเดียวเป็นการเห็นแก่ตัวดังนั้นจึงอยู่ช่วยสรรพสัตว์จนถึงคนสุดท้าย
    พระอนุรุทธาจารย์ ผู้รจนาคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ ได้พรรณนาคุณของนิพพานว่า ปทมจฺจุตฺ มจฺจนฺตํ อสงฺขตมนุตฺตรํ นิพฺพานมีติ ภาสนฺติ วานมุตฺตามเหสโย "พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ผู้พ้นแล้วจากตัณหาเครื่องร้อยรัด ทรงตรัสถึงสภาวะธรรมชาติหนึ่งที่เข้าถึงได้ เป็นธรรมชาติที่ไม่จุติ พ้นจากขันธ์ 5 ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัยใดๆ เลย หาสภาวะอื่นเปรียบเทียบไม่ได้ ว่าสภาวธรรมนั้นคือพระนิพพาน"
    คัมภีร์พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตกะกล่าวถึงนิพพาน 2 ประเภท คือ
    สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุยังมีอุปาทิเหลือ ยังเกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์ กล่าวคือดับกิเลสแต่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ
    อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุที่ไม่มีอุปาทิเหลือ หรือนิพพานที่ไม่เกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์ กล่าวคือดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่อีก
    [แก้]การถกเถียงเรื่องสภาวะของนิพพาน

    อนึ่ง การถกเถียงเรื่องสภาวะของนิพพาน มีมานานเป็นพันปีแล้ว ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มที่มีความเชื่อไว้สองกลุ่มดังนี้
    1. กลุ่มที่เชื่อว่า นิพพานมีสภาวะเป็น นิจจัง สุขขัง อัตตา กลุ่มนี้เชื่อว่า โดยมีแนวคิดง่ายๆว่าสภาวะของนิพพานนั้นต้องตรงข้ามกับกฎไตรลักษณ์(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)โดยเฉพาะข้อความใน อนัตลักขณสูตร ที่กล่าวว่า สิ่งไดไม่เที่ยง สิ่งนั้นย่อมเป็นทุกข์ และอนัตตา โดยทรงยกเอาขันธ์๕มาเป็นตัวอย่างในคุณลักษณะแห่ง สภาวะที่ตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์
    เมื่อนิพพาน อยู่นอกเหนือจากกฎไตรลักษณ์ นิพพานจึงมีคุณลักษณะที่เที่ยงแท้ แน่นอน และเป็นบรมสุข ดังนั้นนิพพานจะเป็นอนัตตาไม่ได้ เพราะถ้านิพพานเป็นอนัตตานิพพานก็จะมีสภาวะเดียวกับขันธ์๕ แต่นิพพานไม่ใช่เบญจขันธ์(ขันธ์ 5) นิพพานนั้นเป็นธรรมขันธ์ นิพพานจึงไม่สามารถเป็นอนัตตา กลุ่มที่มีความเชื่อเช่นนี้มักเป็นกลุ่มธรรมกาย เป็นส่วนใหญ่ และสำนักเหล่านี้ยังอ้างว่า ตนสามารถไปเยี่ยมพระพุทธเจ้าที่แดนนิพพานด้วย
    การเชื่อเรื่องนิพพานเป็นอัตตานั้นปรากฏหลักว่าเริ่มมีมาตั้งการสังคายนาครั้งที่ 2เช่น นิกายวัชชีปุตวาท เป็นนิกายที่แยกออกมาจากเถรวาทเมื่อครั้งการสังคายนาครั้งที่ 2 นิกายนี้ได้แพร่หลายจากมคธไปสู่อินเดียภาคตะวันตกและภาคใต้ ไม่มีปกรณ์ของนิกายนี้เหลืออยู่เลยในปัจจุบัน หลักธรรมเท่าที่มีหลักฐานเหลืออยู่คือนิกายนี้ยอมรับว่ามีอาตมันหรืออัตตาจึงถูกโจมตีจากนิกายอื่น เช่น นิกายมหาสังฆิกะ(มหายานในปัจจุบัน) เถรวาทและนิกายเสาตรันติกวาท
    2. กลุ่มที่เชื่อว่า นิพพาน มีสภาวะ เป็นอนัตตา เป็นสุขสูงสุดคือความสงบ ไม่ใช่สุขอย่างโลก ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่การมา ไม่ใช่การไป ไม่สถานที่ คือความหยุดโดยสมบูรณ์สิ้นสุดความเปลี่ยนแปลงจึงคงอยู่ในสภาพเดิมหรือ เป็น ตถตาคือความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ ประกอบด้วยความเป็น สุญญตา(บาลี-เถรวาท)หรือศูนยตา(สันสกฤษ-มหายาน) หมายความว่า “ว่าง” ธรรมธาตุของนิพพานนั้นจึงเป็นธาตุว่างพุทธศาสนานั้นปฏิเสธทิฐิเรื่องอัตตาหรืออาตมันในสมัยพุทธกาลลัทธิต่างๆจะเน้นย้ำเรื่องอาตมันนี้มาก และทิฐิที่เห็นว่าเป็นอุจเฉททิฐิ(ขาดสูญ)
    ในกลุ่มแรกจะแย้งว่านิพพานไม่ใช่อนัตตาเพราะเนื่องจากอนัตตาคือสิ่งที่เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ คืออนิจจัง(ไม่เที่ยง) ทุกขัง(เป็นทุกข์) อนัตตา(ไม่มีตัวตน) แต่การนิพพานนั้นเป็นการดับสนิท โดยไม่เหลือเหตุปัจจัย ได้แก่ กิเลส ตัณหา อุปาทาน(เช่นการยึดมั่นถือมั่นในอัตตา) ทั้งปวง จึงเป็นการดับไม่เหลือหรือ “นิพพาน”
    [แก้]สภาวะของนิพพานจากหลักฐานในพระไตรปิฎก

    คำว่า "นิพพาน" เป็นคำที่ใช้กันในปรัชญาหลายระบบในอินเดีย โดยใช้ในความหมายของการหลุดพ้น แต่การอธิบายเกี่ยวกับสภาวะของนิพพานนั้นแตกต่างกันออกไป ในปรัชญาอุปนิษัทเชื่อว่า นิพพานหรือโมกษะ คือการที่อาตมันย่อยหรือชีวาตมันเข้ารวมเป็นเอกภาพกับพรหมัน แต่ในพระพุทธศาสนาอธิบายว่า นิพพานคือการหลุดพ้นจากอวิชชา ตัณหา ซึ่งแสดงออกในรูปของโลภะ โทสะ และโมหะ มิได้หมายความว่าเป็นการหลุดพ้นของอัตตาหรือตัวตนในโลกนี้ ไปสู่สภาวะของนิพพานเช่นเดียวกับคำสอนอุปนิษัท แต่หมายถึงความดับสนิทแห่งความเร่าร้อนและเครื่องผูกพันร้อยรัดทั้งปวง ซึ่งเรียกว่าเป็นความทุกข์
    คัมภีร์ชั้นอรรถกถา ของฝ่ายเถรวาท ระบุว่า "นิพพานอันว่างจากตน" "นิพพานเป็นอนัตตา" เช่น ในคัมภีร์พระวินัยปิฎก ปริวารระบุว่า อนิจฺจา สพฺพสงฺขารา ทุกฺขานตฺตา จ สงฺขตา นิพฺพานญฺเจว ปณฺณตฺติ อนตฺตา อิติ นิจฺฉยา "สังขารทั้งปวงอันปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นิพพานและบัญญัติเป็นอนัตตา วินิจฉัยมีดังนี้" (วิ.ป.บาลี 8/257/194)
    นิพพานก็อยู่ใน อริยสัจ 4 ด้วย คือเป็นจุดหมายของพระพุทธศาสนา ได้แก่ อริยสัจข้อ 3 ที่เรียกว่า "นิโรธ" คำว่านิโรธนี้เป็น ไวพจน์ คือใช้แทนกันได้กับ "นิพพาน" พระไตรปิฎกเล่ม 31 ระบุว่าอริยสัจ 4 ทั้งหมดซึ่งรวมทั้งนิโรธ คือนิพพาน ด้วยนั้น เป็นอนัตตา ดังนี้ อนตฺตฏฺเฐน จตฺตาริ สจฺจานิ เอกปฏิเวธานิ . . . นิโรธสฺส นิโรธฏฺโฐ อนตฺตฏฺโฐ. (ขุ.ปฏิ. 31/546/450) แปลว่า: "สัจจะทั้ง 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) มีการตรัสรู้ด้วยกันเป็นอันเดียว (คือด้วยมรรค ญาณเดียวกัน) โดยความหมายว่าเป็นอนัตตา . . . นิโรธมีความหมายว่าดับ (ทุกข์) ก็มีความหมายว่า เป็นอนัตตา " อรรถกถาอธิบายว่า อนตฺตฏฺเฐนาติ จตุนฺนมฺปิ สจฺจานํ อตฺตวิรหิตตฺตา อนตฺตฏฺเฐน. (ปฏิสํ.อ.2/229)
    ในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรคระบุว่า "สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา" และในอังคุตตรนิกาย ติกนิบาตมีระบุว่า "สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา" ซึ่ง "ธรรม" ในที่นี้พระอรรถกถาจารย์อธิบายต่อว่า "หมายรวมถึงนิพพานด้วย" นอกจากนี้ ยังมีข้อความในคัมภีร์พระไตรปิฎกอีกหลายแห่งทั้งที่ระบุโดยตรงและโดยอ้อมที่มีนัยบอกว่า "นิพพานเป็นอนัตตา" คำว่า "อนัตตา" มีความหมายระดับปรมัตถ์ มีนัยที่ต้องไขความต่ออีก โดยเฉพาะในคัมภีร์ชั้นหลังจะบอกว่า "ที่ชื่อว่าเป็นอนัตตา เพราะเกิดขึ้นจากองค์ประกอบต่าง ๆ มาประชุมกัน ไม่มีตัวตนที่เป็นแก่นเป็นแกนอยู่ ไม่มีตัวตนที่คงที่ ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีผู้เสวย ไม่มีอำนาจในตัวเอง บังคับให้เป็นไปในอำนาจไม่ได้ แย้งต่ออัตตา"
    ในคัมภีร์มิลินทปัญหา พระนาคเสนทูลแก้ปัญหาของพระยามิลินท์ที่ทรงถามว่า ถ้านิพพานไม่มีที่ตั้งอาศัย นิพพานก็ย่อมไม่มี โดยกราบทูลว่า
    "ขอถวายพระพรมหาบพิตร โอกาสอันเป็นที่ตั้งของนิพพานหามีไม่ แต่นิพพานนั้นมีอยู่ พระโยคาวจรผู้ปฏิบัติชอบ ย่อมทำให้แจ้งนิพพาน ด้วยการพิจารณาโดยอุบายอันแยบคาย มหาบพิตร เหมือนดั่งว่าชื่อว่าไฟย่อมมีอยู่ แต่โอกาสอันเป็นที่ตั้งของไฟนั้นหามีไม่ เมื่อบุคคลเอาไม้สองอันมาขัดสีกันก็ย่อมได้ไฟขึ้นมาฉันใด มหาบพิตร นิพพานก็มีอยู่ฉันนั้นนั่นแล โอกาสอันเป็นที่ตั้งของนิพพานนั้นไม่มี (แต่) พระโยคาวจรผู้ปฏิบัติชอบ ย่อมทำนิพพานให้แจ้งด้วยการพิจารณาโดยอุบายอันแยบคาย..."(มิลินฺท.336)

    ในคัมภีร์รุ่นอรรถกถา ยังมีข้อความแสดงสภาวะของนิพพานอีกหลายแห่ง เช่นในปฏิสัมภิทามรรค มีอธิบายว่า นิพฺพานธมฺโม อตฺตสฺเสว อภาวโต อตฺตสุญฺโญ "ธรรมคือนิพพาน ว่างจากอัตตา เพราะไม่มีอัตตา" (ขุ.ป.อ.2/287) นอกจากนี้ในวิสุทธิมรรค พระพุทธโฆสะพยายามอธิบายให้เห็นถึงความไม่มีตัวตนของผู้ได้ชื่อว่าบรรลุนิพพาน ซึ่งเท่ากับว่าไม่มีอัตตา และนิพพานก็มิใช่สิ่งที่จะต้องมีอัตตาถึงจะมีอยู่ได้ ดังที่พระพุทธโฆสะกล่าวว่า "นิพพานมีอยู่ แต่ไม่มีผู้เข้าถึงนิพพาน มรรคามีอยู่ แต่ปราศจากผู้ดำเนินไป" (วิสุทฺธิ.3/101) ข้อความนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่มีตัวตนบุคคลใด ๆ ที่ปฏิบัติตามมรรค 8 แล้วบรรลุนิพพาน เมื่อปราศจาก "ตัวตน" ของผู้เข้าถึงนิพพาน นิพพานก็ย่อมไม่ใช่อัตตาไปด้วย
    ความมีอยู่ของพระนิพพาน มิใช่สภาวะที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของจิต แต่มีอยู่โดยตัวของตัวเอง คือเป็นความจริงขั้นปรมัตถสัจ ที่ตรงข้ามกับสมมติสัจในโลกแห่งปรากฏการณ์ มีสภาวะที่เที่ยง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดดับสลับกันไปแบบสิ่งต่างๆ ในโลก นิพพานจึงเป็นอสังขตธรรมที่พ้นไปจากปัจจัยปรุงแต่ง ในสภาวะของนิพพานทั้งนาม (จิต) และรูป ย่อมดับไม่เหลือ ดังพุทธวจนะในเกวัฏฏสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ได้กล่าวถึงนิพพานว่าเป็น "ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใสโดยประการทั้งปวง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมนี้ อุปาทยรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมนี้ นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ เพราะวิญญาณดับ นามและรูปย่อมดับ ไม่มีเหลือในธรรมชาติ ดังนี้ฯ" (ที.สี.14/350) เพราะฉะนั้น นิพพานจึงไม่ใช่จิต หรือสัมปชัญญะบริสุทธิ์ ซึ่งนั่นเป็นลักษณะของพรหมันหรืออาตมันของปรัชญาฮินดู ทั้งยังไม่ใช่เจตสิกที่อาศัยจิตเกิดขึ้น เพราะทั้งจิตและเจตสิกนั้นล้วนเป็นสังขตธรรม ซึ่งต้องอาศัยปัจจัยปรุงแต่ง มีธรรมชาติเกิดดับ มีการเปลี่ยนแปร เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เช่นเดียวกับสิ่งอื่นๆ แต่นิพพานอยู่เหนือสภาพเช่นนี้ และว่างเปล่าจากสิ่งเหล่านี้ ขณะเดียวกัน นิพพานก็ไม่ใช่ความดับสูญอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นลักษณะของอุจเฉททิฏฐิการใช้ภาษาอธิบายนิพพานเป็นสิ่งที่ต้องกระทำอย่างรัดกุม เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดว่าเป็นอัตตาเที่ยงแท้ (สัสสตทิฏฐิ) หรือว่าเป็นความขาดสูญ (อุจเฉททิฏฐิ) ซึ่งเป็นทัศนะที่คลาดเคลื่อนจากพระบาลีทั้งสิ้น
    พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงอธิบายว่า พระอรหันต์ผู้บรรลุนิพพานเมื่อดับขันธ์แล้วจะอยู่ในสภาพเช่นใด การอธิบายทำได้ในลักษณะเพียงว่า นิพพานคือการดับทุกข์ สิ้นตัณหา เหมือนไฟที่ดับจนสิ้นเชื้อไม่สามารถที่จะลุกลามขึ้นมาได้อีก สำหรับพระอรหันต์ที่ปรินิพพานแล้วนั้น พระพุทธองค์ไม่ทรงตรัสยืนยันถึงความมีอยู่หรือความดับสูญ พระองค์ตรัสแต่เพียงว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว ทั้งเทวดาและมนุษย์จะไม่สามารถเห็นพระองค์อีกต่อไป "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต" (ที.สี.14/90) ในคำสอนพระพุทธศาสนา ไม่มีอัตตาใดเข้าสู่นิพพาน และไม่มีอัตตาดับสูญในภาวะแห่งนิพพาน แม้ในโลกแห่งปรากฏการณ์ เบื้องหลังเบญจขันธ์อันไม่เที่ยงนั้น ก็มิได้มีอัตตาซึ่งเป็นผู้รับรู้หรือเป็นพื้นฐานแห่งตัวตนที่เที่ยงแท้อยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกอยู่ในรูปของกระบวนการที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทั้งรูปธรรมและนามธรรม กระบวนการแห่งนามรูปที่สมมติว่าเป็น ตัวตน สัตว์ บุคคล เราเขา นี้ เมื่อวิวัฒนาการไปจนกระทั่งถึงที่สุด ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปก็เป็นอันยุติลง สภาพความสิ้นสุดกระบวนการแห่งนามรูปที่ไม่เที่ยงแปรปรวนอยู่ทุกขณะนี้ เรียกว่านิพพาน เมื่อรูปและนามดับ นิพพานจึงไม่ใช่ทั้งจิตและสสารซึ่งต้องอาศัยเหตุปัจจัยในการดำรงอยู่ พระนิพพานตั้งอยู่โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัย จึงเรียกว่า อสังขตธรรมในพระไตรปิฎกมักเปรียบนิพพานว่าเหมือนกับไฟที่ดับแล้ว ไม่สามารถบอกได้ว่าไฟที่ดับไปนั้นหายไปไหนหรืออยู่ในสภาพใด
    นิพพานเป็นธรรมที่พ้นไปจากโลก การอธิบายนิพพานโดยอาศัยพื้นฐานในทางโลกตลอดจนภาษาทางตรรกวิทยาจึงไม่อาจกระทำได้ การจำกัดความจึงมักใช้การปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ไม่ใช่ทั้งสิ่งนั้นและสิ่งนี้ ไม่มีการอุบัติ ไม่มีการจุติ ไม่มีองค์ประกอบ ไม่มีการสร้างสรรค์ ไม่มีการแตกทำลาย ไม่ใช่ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นต้น ดังปรากฏในพาหิยสูตร ความว่า "ดิน น้ำ ไฟ และลม ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด ในนิพพานธาตุนั้น ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง พระอาทิตย์ย่อมไม่ปรากฏ พระจันทร์ย่อมไม่สว่าง ความมืดย่อมไม่มี ก็เมื่อใดพราหมณ์ชื่อว่าเป็นมุนีเพราะรู้ (สัจจะ 4) รู้แล้วด้วยตนเอง เมื่อนั้นพราหมณ์ย่อมหลุดพ้นแล้วจากรูปและอรูป จากความสุขและความทุกข์..." (ขุ.ขุ.อ.25/50)
    เมื่อนิพพานพ้นไปจากบัญญัติในทางโลก การอธิบายถึงนิพพานจึงเป็นเพียงการเปรียบเทียบ เช่น เปรียบเทียบกับความว่างเปล่า หรือไฟที่ดับไป เป็นต้น ในวิสุทธิมรรคกล่าวว่า "เพราะพระนิพพานเป็นคำสุขุมนัก...เป็นธรรมที่ต้องเห็นด้วยอริยจักษุ เป็นธรรมอันบุคคลผู้เพียบพร้อมด้วยมรรค (เท่านั้น) จะพึงถึงได้" นิพพานจึงมิใช่เรื่องของการเข้าใจ แต่อยู่ที่การเข้าถึง อันเป็นผลจากการปฏิบัติ
    [แก้]อ้างอิง

    ขุทฺทกนิกาเย ธมฺมปท อุทาน อิติวุตฺตก สุตตนิปาตปาลิ.กรุงเทพฯ :มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,2500.
    ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค.กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,2539.
    ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค.กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์การศาสนา, 2500.
    มิลินฺทปญฺหา.กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,2540.
    ธรรมปิฎก,พระ.พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม. กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,2546.
    ธรรมปิฎก,พระ.พุทธธรรม.พิมพ์ครั้งที่ 6.กรุงเทพ ฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,2538.
    พุทธทัตตะ,พระ.อภิธัมมาวตาร บาลี-ไทย.กรุงเทพฯ : มูลนิธิภูมิพโลภิกขุ,2530.
    พุทธทาสภิกขุ. อนัตตาของพระพุทธเจ้า.กรุงเทพฯ : ธรรมสภา,2542.
    วินยปิฎเก ปริวารปาลิ.กรุงเทพฯ :มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,2500.
    สุชีพ ปุญญานุภาพ.พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน.กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลัย,2539.
    เสถียร โพธินันทะ.ธรรมฐิติญาณกับนิพพานญาณ และหลักสุญญตา.กรุงเทพฯ :แพร่พิทยา,2526.
    อนุรุทธะ,พระ.อภิธัมมัตถสังคหะ.กรุงเทพ ฯ : มหามกุฏราชวิทยาลัย,2506.
    G.P. Malalasekera. The Truth of Anatta.Kandy:Buddhist Publication Society,1966.
    Gombrich, Richard Francis.Theravāda Buddhism : a social history from ancient Benares to modern Colombo.London:Routledge & Kegan Paul,1988.
    ปริวาร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๘
    ฉันนสูตร สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗
    อุปปาทสูตร อังคุตตรนิกาย พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐
    ธาตุสูตร ขุททกนิกาย พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕
    อนัตตลักขณสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔
    หมวดหมู่: หลักธรรมของศาสนาพุทธ

    ถ้าท่านไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แล้วท่านจะไปเชื่อใคร ?
     
  17. saychl anusonthi

    saychl anusonthi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +350
    เป็นไปได้มั้ยคะ ว่ามีการทดลองนิวเคลียหรือใช้คลื่นความถี่สูงหรืออะไรก็ตามที่คนกกำลังทำอยู่มันไปรบกวนสมองของเค้าเลยทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ น่าสงสารจัง สิ่งน่ากลัวที่สิ่งคือใจคนที่ขาดความรักและความเมตตา สิ่งที่จะดำรงต่อไปได้คือสติกับสันติภาพ(มีความเป็นไปได้น้อยมาก)แต่ทุกอย่างมันคงต้องเกิด เพราะกรรมได้จัดสรรค์ไว้แล้ว(ความเห็นและความรู้สึกส่วนตัวนะคะ)คุณอาคะ ความดีมักเห็นยาก แต่ความชั่วมักเห็นง่ายสุดท้ายก็อยู่ที่จะใช้ตาหรือใจมองคะ (ช่างมันอย่าได้สน อย่าได้แคร์เพราะใจเค้ามันต่างจากใจเราคะ)
     
  18. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=HRh4Ot87LKE]นิพพานเป็นอย่างไร? - YouTube[/ame]
     
  19. noway

    noway เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2012
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +3,969
    เข้าใจว่า ท่านน่าจะเข้าใจผิด

    ที่ว่าท่านเกษมอ้างว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    เราไม่เคยได้ยินเช่นนั้น
    แต่เคยอ่านผ่านตาว่าท่านเกษมเป็นลูกศิษย์พระธัมชโย
    และเป็นคนนับถือวัดพระธรรมกาย

    แต่เท่าที่อ่านมา ท่านเกษมมักขอความรู้ความเห็นจากหลายๆท่าน
    ที่เป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อพระราชพรหมญาณ หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ท่านเรียก
    (ต้องกราบขอขมา ที่เอ่ยตามคำท่านเพื่อความเข้าใจ เพราะ ลูกศิษย์หลวงพ่อ
    จะไม่เอ่ยถึงหลวงพ่อเช่นนี้ ถ้าไม่ใช้คำว่าหลวงพ่อพระราชพรหมญาณ
    ก็เรียกว่าหลวงพ่อฤาษี เพื่อให้คนอื่นที่ไม่ใช่สายหลวงพ่อ พอจะเข้าใจได้ว่าหมายถึงหลวงพ่อ)

    เพราะในสายหลวงพ่อพระราชพรหมญาณ ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า นะมะพะทะ
    รวมทั้งสายหลวงปู่ปาน ซึ่งเป็นอาจารย์หลวงพ่อฤาษีก็เช่นกัน ใช้คำบริกรรมภาวนาว่านะมะพะทะ

    และท่านเกษมมักโพสข้อความจากวัดธรรมกายอยู่บ่อยๆ จึงไม่สงสัยว่าเป็นสายธรรมกายคนหนึ่งอย่างแน้แท้ทีเดียว

    แต่ถ้าบอกว่านับถือหลวงพ่อฤาษีหรือหลวงพ่อพระราชพรหมญาณก็อาจจะใช่
    เพราะเคยเห็นท่านเกษมเคยโพสข้อความคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมญาณเช่นกัน

    แต่ไม่น่าจะถึงกับเป็นศิษย์สายนี้โดยตรง

    ด้วยเหตูที่ว่า
    ถ้าเป็นศิษย์สายหลวงพ่อฤาษีจริง
    ก็ไม่น่าเป็นลูกศิษย์พระธัมชโยไปด้วยได้ในเวลาเดียวกัน

    และลูกศิษย์สายหลวงพ่อฤาษีจริงๆ
    ก็น่าจะรู้กันดีว่าเพราะอะไร

    อยากรู้ก็ลองไปหาฟังคลิปเสียงที่หลวงพ่อฤาษีเอ่ยถึงพระธัมชโยและวัดธรรมกายในยูทูปเอาเอง

    บอกใบ้ได้แค่นี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2013
  20. kb 2500

    kb 2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +873
    จากที่นี่ สัทธรรมปฏิรูป - วิกิพีเดีย http://th.wikipedia.org/wiki/สัทธรรมปฏิรูป

    ในโลกใบนี้ เราชาวพุทธผู้รักสันติ รู้อภัย อหิงสา ดำรงค์ตนอยู่โดยไม่เบียดเบียนตน และผู้อื่น มีที่ยืนน้อยในโลกใบนี้ลดลงเรื่อยๆเพราะ สัทธรรมปฏิรูป ...เพราะขาดผู้กล้าหาญทางจริยธรรม นิ่งเฉยดูดาย กับกลุ่มที่มีส่วนทำให้พระธรรมของพระพุทธเจ้า บิดเบือน สร้าง ข้อโต้แย้ง ใส่ความคิดเห็น กระจายข่าว ปลอมปน สร้างข่าวความกลัว หวังความหวั่นใหวในจิตชาวพุทธ เพื่อสอดแทรกเข้ามาหาประโยชน์แย่งโยม แย่งศรัทรา ให้สับสนลังเลสงสัยในธรรมของศาสนา...ยุคนี้แหละครับ ที่เป็นยุค ที่เรียกว่า.สัทธรรมปฏิรูป ..

    เกิดขึ้นจากเหตุผล 5 ประการ คือ พุทธบริษัท 4 (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา)
    ไม่เคารพยำเกรงในพระศาสดา
    ไม่เคารพยำเกรงในพระธรรม
    ไม่เคารพยำเกรงในพระสงฆ์
    ไม่เคารพยำเกรงในสิกขา
    ไม่เคารพยำเกรงในสมาธิ
    นี้แล เป็นเหตุ....หากเราเห็น.ด้วยเหตุด้วยผล ตามครรลองคลองธรรม
    จงช่วยกันสอดส่องดูแล ด้วยเถิดครับพี่น้องชาวพุทธทั้งหลาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2013

แชร์หน้านี้

Loading...