พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01fun12071050&day=2007-10-07&sectionid=0140


    วันที่ 07 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10802​

    เรียนรู้การเป็นผู้นำจาก"จูมง"


    คอลัมน์ ความคิดที่ออกแบบได้

    โดย สาโรจน์ มณีรัตน์



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>คงต้องยอมรับความจริงกันอย่างหนึ่งว่า ภาวะความเป็นผู้นำในสังคมไทยนั้นค่อนข้างขาด ยิ่งเฉพาะในส่วนของการบริหารประเทศด้วยแล้ว น่าจะชัดมากกว่าส่วนอื่นๆ

    ทั้งนั้นอาจเป็นเพราะบ้านนี้เมืองนี้เป็นเมืองเสรี

    เสรีภาพทั้งการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพทั้งการแสดงออกทางพฤติกรรม หรือเสรีภาพในการที่จะด่าใครก็ได้ ถ้าทำงาน หรือบริหารประเทศไม่ถูกใจ

    นั่นจึงเป็นเหตุให้ คนที่ทำงาน หรือคนที่ตั้งใจจะเข้ามาแก้ปัญหาของชาติหมดกำลังใจ หรือท้อใจได้ แต่กระนั้น คนเหล่านั้น ก็ไม่กล้าที่จะแสดงออก หรือโต้กลับอย่างทันควัน

    เพราะกลัวจะเสียภาพพจน์

    หรือเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อเด็ก หรือเยาวชน นั่นจึงเป็นเหตุให้ คนที่ทำงาน ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป ส่วนคนที่ด่าก็ด่ากันต่อไป

    ด่ากันจนกว่าสูจะออกไปนั่นแหละ ตูถึงจะเลิกด่า หรือเห็นสูฉิบหายไปข้างหนึ่งนั่นแหละ ตูก็จะหันไปด่าคนอื่นต่อ

    ซึ่งเห็นแล้วก็ได้แต่ปลงสังเวช

    แต่กระนั้น ในอีกภาพหนึ่ง ผมก็อยากที่จะเห็นภาวะความเป็นผู้นำในประเทศเกิดขึ้น เพราะอย่างที่ทราบๆกัน คนที่เป็นผู้นำนั้นนอกจากจะต้องมีความเป็นผู้นำอย่างชัดเจน ซึ่งจะต้องถึงพร้อมด้วยคุณธรรม จริยธรรม หรือถึงพร้อมในการเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธา

    หากผู้นำนั้นจะต้องกล้าตัดสินใจ มีการวางแผน และจะต้องมียุทธวิธีในการใช้คนด้วย ซึ่งตัวอย่างมีให้เห็นหลายคนในองค์กรธุรกิจชั้นนำ

    แต่ภาพที่เห็นชัดเจน จนเชื่อว่าหลายคนน่าจะนึกออกถึงความเป็นผู้นำก็คือ"จูมง"

    ยอมรับครับว่า แรกเมื่อดู "จูมง มหาบุรุษกู้บัลลังก์" ก็ดูแบบคนชอบดูละครทั่วไป แต่เมื่อนำหลักคิด วิธีคิดเชิงการบริหารจัดการมาลองจับดู ปรากฏว่าภาพยนตร์เกาหลีเรื่องนี้สอนให้เห็นในเรื่องของความเป็นผู้นำอย่างชัดเจน

    ทั้งในเรื่องของการวางแผน การตัดสินใจ ยุทธวิธีในการใช้คน หรือแม้แต่ความเด็ดเดี่ยว เด็ดขาด ที่เขาแสดงออกให้ลูกน้องเห็น ขณะเดียวกัน "จูมง" ก็พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของลูกน้อง หากลูกน้องมีความคิดเห็นที่ดีกว่า

    ที่สำคัญ"จูมง"พร้อมที่จะเสียสละอยู่เสมอ

    โดยไม่สนใจว่า สิ่งที่ตัวเองกรุยทางผ่านมาในการรวมอาณาจักรโชซอนโบราณ ตัวเองจะต้องขึ้นเป็นพระราชาเพียงผู้เดียว

    เพราะขณะนั้น ลูกน้องของ"โซซาโน"ต่างคิดว่าเราก็เป็นผู้สนับสนุนทางด้านเสบียงอาหาร และสร้างอาณาจักรขึ้นมา แล้วทำไม ถึงจะต้องยกตำแหน่งพระราชาให้กับ"จูมง"

    ส่วนฝ่ายลูกน้องของ"จูมง"ก็คิดว่า ในเมื่อเราเป็นผู้รวบรวมแคว้นต่างๆ จนเป็นปึกแผ่น แล้วทำไมถึงจะต้องมอบตำแหน่งผู้ปกครองอาณาจักรให้กับ"โซซาโน"

    ปรากฏว่าทั้ง"จูมง"และ"โซซาโน"กลับไม่คิดอย่างที่ลูกน้องคิดเลย เพราะทั้ง 2 คน ต่างมีความคิดเห็นอย่างเดียวกันว่าเป้าหมายของเราคือต้องการฟื้นอาณาจักรโชซอนโบราณขึ้นมา

    ดังนั้น ไม่ว่าใครจะเป็นพระราชา หรือผู้ปกครองก็ได้ทั้งนั้น ขออย่างเดียวคือคนที่จะมาเป็นผู้นำจะต้องเป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาของประชาชนให้ได้

    "จูมง"เป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาได้ ขณะที่"โซซาโน"ก็เป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาได้ ดังนั้น เมื่อทั้ง 2 คน แต่งงานกัน ศรัทธาจึงเพิ่มเป็น 2 เท่า จนทำให้อาณาจักรโชซอนโบราณฟื้นคืนมาอย่างยิ่งใหญ่

    จนสถาปนาเป็นแคว้นใหม่ขึ้นมา

    แต่ลึกลงไปกว่านั้น การที่"จูมง"และ"โซซาโน"สามารถสถาปนาแคว้นใหม่ขึ้นมาได้ เป็นเพราะเขาทั้งคู่มียุทธวิธีในการใช้คนด้วย

    ยิ่งเฉพาะ"จูมง"ด้วยแล้วเห็นชัดเจนที่สุด เพราะลูกน้องแต่ละคนที่เขาได้มานั้น ไม่เพียงถูกพิสูจน์กันด้วยใจกับใจ หากเขายังมอบความจริงใจให้ด้วย

    สำคัญไปกว่านั้น เขายังให้เกียรติ และมอบหมายงานที่เชื่อว่าคนคนนี้น่าจะเหมาะกับงานชนิดนี้ ขณะที่ลูกน้องอีกคนหนึ่ง ก็น่าจะทำงานอย่างนี้ ถึงจะบรรลุเป้าหมาย

    นั่นแสดงว่า"จูมง"ต้องอ่านใจคนออก และมีสายตาพิเศษที่มองออกว่าใครเหมาะกับงานประเภทไหน อย่างไร

    ซึ่งจริงๆ แล้ว เรื่องของภาวะผู้นำในประวัติศาสตร์ชาติไทย ก็มีบรรพกษัตริย์หลายพระองค์ที่เป็นอย่างเดียวกับ"จูมง"หรืออาจมากกว่าด้วยซ้ำ เพียงแต่ที่ไม่ได้หยิบยกมา เพราะเห็นว่าขณะนี้เรื่องของ"จูมง มหาบุรุษกู้บัลลังก์"กำลังอยู่ในความสนใจของคอละคร

    ดังนั้น ถ้าจะเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพของความเป็นผู้นำ ก็น่าที่จะหยิบเรื่องที่ใกล้ตัวคนที่สุดมานำเสนอ

    เพราะหาไม่เช่นนั้นก็จะเป็นนามธรรม

    และจริงๆ แล้วในองค์กรธุรกิจชั้นนำหลายองค์กร ก็มีผู้นำอย่าง"จูมง"อยู่หลายคน แต่อย่างว่าในการบริหารองค์กร กับการบริหารประเทศนั้นต่างกัน

    เพราะผู้นำองค์กรธุรกิจสามารถบริหารแบบรวบยอดได้ แต่สำหรับผู้นำในการบริหารประเทศจะต้องใช้รอยหยักในสมองอย่างมาก

    จะต้องคิดแล้วคิดอีก

    จะต้องทำให้ทุกคนพอใจ

    และจะต้องประสานประโยชน์เป็นหนึ่งเดียว หาไม่เช่นนั้น ก็จะเกิดปัญหา หาไม่เช่นนั้น ก็จะทำให้กลุ่มที่เสียประโยชน์ลุกขึ้นมาตีรวน

    ยิ่งประเทศไทยเป็นประเทศเสรีภาพด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้เกิดปัญหาได้ง่าย เหมือนกับที่ผู้นำประเทศเจออยู่ขณะนี้

    ซึ่งเห็นแล้วบางที ก็อยากที่จะเห็นผู้นำประเทศเป็นเผด็จการเสียบ้าง เพราะอะไรๆจะได้ไปข้างหน้ามากกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้

    แต่ก็คงได้แต่หวัง เพราะในความเป็นจริง ไม่ว่าจะมีรัฐบาลใหม่ในปีหน้า ผมก็เชื่อว่าการเป็นผู้นำของรัฐบาลใหม่ก็ไม่ต่างอะไรจากนี้เท่าไหร่นัก

    ฟังทุกฝ่าย

    ตัดสินรอบด้าน และอย่างรอบคอบ

    โดยอ้างว่าทำเพื่อประชาชน

    แต่ในความเป็นจริง ประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ ไม่ได้อยู่ในสายตาของผู้นำเหล่านั้นเลย เพราะเขาคิดแต่เพียงว่าทำอย่างไรถึงจะให้ตูเป็นผู้นำรัฐบาลนานที่สุด

    ทำอย่างไรถึงจะประสานประโยชน์ทุกฝ่ายได้

    เพราะถ้าตูทำได้ เก้าอี้ตูก็จะมั่นคง เก้าอี้ตูก็จะไม่มีใครโค่น ผมจึงอดคิดเล่นๆไม่ได้ว่า ถ้าผู้นำรัฐบาลใหม่ มีโอกาสศึกษาประวัติศาสตร์ในการสร้างชาติไทย หรือมีโอกาสศึกษาประวัติศาสตร์ในการสร้างชาติของประเทศเพื่อนบ้าน

    เขาก็จะเห็นว่า สิ่งต่างๆ ที่บรรพกษัตริย์ในสมัยโบราณสร้างไว้ให้ลูกให้หลานจนมีที่อยู่ที่ยืนทุกวันนี้ ล้วนมีเลือดเนื้อ และวิญญาณจมหายไปทั่วทั้งแผ่นดิน

    แล้วทำไมถึงไม่ลุกขึ้นมาสร้างชาติให้มั่นคงเสียที

    เพราะขนาดผม ความรู้เท่าหางอึ่งยังคิดเช่นนี้ได้ แต่สำหรับคนที่เป็นผู้นำประเทศ ซึ่งมีความรู้มากมาย ไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา ทำไมถึงไม่คิดที่จะทำอะไรเพื่อประเทศชาติบ้าง

    หรือจะปล่อยให้หันหลังเข้าคลองกันอย่างทุกวันนี้

    ผมถามดังๆ ช่วยตอบผมดังๆ บ้างนะครับ?
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01you12071050&day=2007-10-07&sectionid=0122


    วันที่ 07 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10802​

    "ไม่มีความสำเร็จใดๆ ได้มาโดยไม่มีอุปสรรค"


    คอลัมน์ ข้อความชวนคิด

    โดย พี่นะโม



    ทุกคืนก่อนนอน พี่นะโมมักจะอ่านหนังสือ แล้วคืนหนึ่งอ่านไปสักพัก ก็มีประโยคนี้ ทำให้พี่คิดตามคนเขียนว่า สิ่งที่เขียนนั้นเป็นจริงทุกประการ เพราะบุคคลสำคัญที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา นักแสดง นักร้อง หรือน้องเยาวชนเก่งๆ ที่ไปคว้ารางวัลวิชาโอลิมปิคต่างๆ ทุกคนล้วนเคยผ่านการฝึกซ้อม การทดสอบที่ชนะบ้างแพ้บ้าง แต่พวกเขาไม่เคยท้อต่ออุปสรรคเหล่านั้นเลย

    อ่านแล้วเริ่มมีกำลังใจขึ้นมากทีเดียว
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://search.sanook.com/knowledge/search/knowledge_search.php?qID=&wi=&hnl=&ob=&asc=&q=%BE%D1%B9%B8%D8%EC%E4%C1%E9%B4%CD%A1%CB%CD%C1%B7%D5%E8%E3%AA%E9%A7%D2%B9%BB%C3%D0%B4%D4%C9%B0%EC%E1%C5%D0%BA%D9%AA%D2%BE%C3%D0&select=1

    พันธุ์ไม้ดอกหอมที่ใช้งานประดิษฐ์และบูชาพระ

    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>เรามีความรู้เรื่อง : พันธุ์ไม้ดอกหอมที่ใช้งานประดิษฐ์และบูชาพระ มาให้ท่านศึกษาดังต่อไปนี้ </TD></TR><TR><TD class=fontblacksm>พันธุ์ไม้ดอกหอมที่ใช้งานประดิษฐ์และบูชาพระ จาก สารานุกรมไทยฉบับเยาวชน </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 23

    <TABLE class=fontblacksm cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD>พันธุ์ไม้ดอกหอมที่ใช้งานประดิษฐ์และบูชาพระ โดย นางวิยดา เทพหัตถี
    </TD><TD align=right>[ดูภาพทั้งหมดในหมวด] </TD></TR></TBODY></TABLE>หัวข้อ
    <TABLE class=fontblacksm cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD>พุทธชาด
    [​IMG]

    พุทธชาด (Jasminum auriculatum Vahl.) ไม้รอเลื้อยวงศ์เดียวกับมะลิชนิดนี้มีชื่ออื่นๆอีก ได้แก่ ไก่น้อย พุทธชาติ บุหงา และปะหนัน ใบเป็นใบประกอบชนิด ๓ ใบย่อย ซึ่งมักจะลดรูปลงเหลือเพียงใบเดียว บางใบอาจพบใบย่อยด้านข้างที่ลดรูปลงเหลือเป็นแผ่นเล็กๆ สีเขียว ๑-๒ แผ่น แผ่นใบรูปไข่หรือรูปไข่แกมรูปรี ยาวเพียง ๒-๓ ซม. มีขนนุ่มๆ ดอกเป็นช่อโปร่งที่ปลายกิ่งและซอกใบ ดอกสีขาวคล้ายมะลิลา แต่ขนาดเล็กกว่า เส้นผ่านศูนย์กลางดอก ๑-๑.๕ ซม.ดอกจะบานและเริ่มส่งกลิ่นหอมตั้งแต่ตอนเย็นเรื่อยไป กลิ่นหอมแรงกว่าดอกมะลิ ผลกลมเล็กๆ เมื่อสุกมีสีดำรสหวานเมล็ดกลม แข็ง สีดำ นำมาร้อยเป็นสร้อยลูกปัดสวมเล่นได้
    พุทธชาดนิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปทุกภาค โดยปลูกคลุมตามซุ้ม ในที่ค่อนข้างแจ้งเพราะเจริญเติบโตได้ดีในที่ที่มีแสงแดดมาก ปลูกง่ายโดยใช้กิ่งตอน หรือกิ่งที่ปักชำ และออกดอกตลอดปี
    ดอกพุทธชาดนำมาร้อยเป็นพวงมาลัย หรือมาลัยรูปสัตว์ตัวเล็กๆ เช่น กระแต ซึ่งเป็นงานฝีมือที่ผู้หญิงไทยสมัยก่อน โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ในวังจะได้รับการสอนและฝึกหัดจนสามารถร้อยได้แทบทุกคน มาลัยที่ประดิษฐ์ขึ้นนี้จะนำไปบูชาพระ หรือวางไว้ในห้องนอน ดังที่เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ได้ทรงพระนิพนธ์ไว้ในบทวรรณคดีดังนี้

    <TABLE style="WIDTH: 443px; HEIGHT: 189px" bgColor=#e4ecf6><TBODY><TR><TD>

    สาวหยุดพุทธชาด บานเกลื่อนกลาดดาษดาไป นึกน้องกรองมาไลย วางให้พี่ข้างที่นอน บทเห่ชมไม้ พุทธชาดดวงน้อยกลิ่น เปรมใจ เจ้าช่างกรองมาไลย เลิศแล้ว จำปาเสียบแซมใน มวยมุ่น หอมพี่ชมน้องแก้ว ถือหยื้น ทูลถวาย นิราศธารโศก
    </PRE></TD></TR></TBODY></TABLE></P></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มะลิ
    มะลิ (Jasminum spp.) ดอกไม้ที่คนไทยคุ้นเคยมากชนิดหนึ่งคือดอกมะลิ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันตลอดมา ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ได้รับยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์ของความดีและความบริสุทธิ์ ในวรรณคดีไทยมีการกล่าวถึงมะลิหลายชนิด ได้แก่มะลิลา มะลิซ้อน มะลิวัลย์ และมะลุลี ซึ่งล้วนอยู่ในวงศ์เดียวกัน



    มะลิลา
    มะลิลา (Jasminum sambac Ait.) ทางภาคเหนือเรียกมะลิชนิดนี้ว่า มะลิป้อมเป็นไม้พุ่มเล็กๆ ที่ปลูกกันทั่วไปตามบ้าน เพราะออกดอกดกเกือบทั้งปี โดยเฉพาะในฤดูร้อนและฤดูฝน มะลิลามีใบเดี่ยว รูปไข่ หรือรูปไข่แกมรูปรี ปลายใบแหลมออกเป็นคู่ตรงกันข้าม ดอกสีขาวออกเป็นช่อเล็กๆ ๑-๓ ดอก ที่ปลายกิ่งและซอกใบ กลีบเลี้ยงเป็นเส้นแหลมๆ ๘-๑๐ เส้นกลีบดอกเชื่อมเป็นหลอดปลายแยกเป็น ๕-๘ กลีบขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางดอก ๒-๓ ซม.ดอกจะเริ่มบานและมีกลิ่นหอมในเวลาเย็น มะลิลาไม่ติดผล จึงขยายพันธุ์ด้วยวิธีตอนกิ่งหรือปักชำกิ่งและปลูกในที่แจ้ง แดดจัด
    คนไทยใช้ดอกมะลิลาที่ปลูกไว้ตามบ้านลอยน้ำที่ใช้ล้างหน้า ลอยในน้ำเย็นสำหรับดื่มลอยในน้ำหวานหรือน้ำเชื่อมใส่ขนม เพื่อให้มีกลิ่นหอมชื่นใจ นอกจากนั้น ยังใช้อบใบชาให้มีกลิ่นหอมอีกด้วย ปัจจุบัน มีการปลูกมะลิลาเพื่อเก็บดอกขาย ทำรายได้ให้เกษตรกรได้ดีมากโดยเฉพาะในฤดูหนาว มะลิออกดอกน้อยจึงมีราคาแพงมาก ไม่ควรใช้ดอกมะลิที่ขายตามตลาดแต่งหน้าขนม หรือใส่ในน้ำเชื่อม เพราะอาจมียาฆ่าแมลงเจือปน ควรใช้เฉพาะการร้อยพวงมาลัย หรืองานประดิษฐ์ต่างๆ เท่านั้น การร้อยพวงมาลัยดอกมะลิเพื่อใช้บูชาพระ หรือมอบให้ผู้ที่เคารพ เป็นสิ่งที่คนไทยนิยมกระทำมาตั้งแต่ในอดีต ดังปรากฏในวรรณคดี เช่น


    <TABLE bgColor=#e4ecf6><TBODY><TR><TD>

    พี่เลี้ยงนั่งตั้งพานบุปผา ไว้ตรงหน้าหมอบประณตบทศรี แล้วว่าองค์นงนุชพระบุตรี ร้อยมาลีมะลิลามาประทาน
    พระอภัยมณี...สุนทรภู่



    </PRE></TD></TR></TBODY></TABLE></P>ทั้งมะลิลาและมะลิซ้อนมีสรรพคุณทางสมุนไพรเหมือนกัน ดอกแห้งใช้ปรุงยาหอมบำรุงหัวใจและแก้โรคลม ใบสดตำให้ละเอียดผสมน้ำมันพืชเป็นยาพอก หรือทารักษาแผลพุพอง ลำต้นใช้แก้โรคคุดทะราดและแก้ไข

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มะลิซ้อน
    มะลิซ้อน (Jasminum sambac Ait.) มะลิซ้อนเป็นพันธุ์ไม้ชนิดเดียวกับมะลิลาแต่ต่างพันธุ์กัน ขนาดของพุ่มจะใหญ่และสูงกว่ามะลิลา ดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อ ๒-๓ ดอก กลีบดอกสีขาวซ้อนกันหลายชั้นคล้ายกุหลาบดอกเล็กๆ เส้นผ่านศูนย์กลาง ๒-๓ ซม.ดอกจะบานและมีกลิ่นในเวลาเย็น แต่กลิ่นหอมน้อยกว่ามะลิลานิยมปลูกเป็นไม้ประดับตามบ้าน หรือใช้ดอกปักแจกันบ้าง บูชาพระบ้าง ไม่ใช้ในการอบกลิ่นหรือร้อยมาลัย คนไทยใช้ดอกมะลิซ้อนเป็นสัญลักษณ์วันแม่แห่งชาติ



    <TABLE bgColor=#e4ecf6><TBODY><TR><TD>
    ยี่สุ่นกุหลาบมะลิซ้อน ซ่อนชู้ชูกลิ่นถวิลหา ลำดวนกวนใจให้ไคลคลา สายหยุดหยุดข้าแล้วยืนชม ขุนช้างขุนแผน พระราชนิพนธ์ใน รัชกาลที่ ๒



    </PRE></TD></TR></TBODY></TABLE></P>
    ทั้งมะลิลาและมะลิซ้อนมีสรรพคุณทางสมุนไพรเหมือนกัน ดอกแห้งใช้ปรุงยาหอมบำรุงหัวใจและแก้โรคลม ใบสดตำให้ละเอียดผสมน้ำมันพืชเป็นยาพอก หรือทารักษาแผลพุพอง ลำต้นใช้แก้โรคคุดทะราดและแก้ไข

    [​IMG]


    มะลุลี
    มะลุลี (Jasminum pubescens Willd.) มะลุลีเป็นพันธุ์ไม้สกุลเดียวกับมะลิอีกชนิดหนึ่งที่มีดอกหอม มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น มะลิพวง มะลิเลื้อย มะลิซ่อม เป็นไม้รอเลื้อยกระจายพันธุ์อยู่ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในประเทศไทยพบปลูกอยู่ทั่วไป เป็นที่นิยมเพราะปลูกง่ายเจริญเติบโตเร็ว ออกดอกตลอดปีและจะออกดอกมากเป็นพิเศษประมาณเดือนกุมภาพันธ์ มะลุลีมีใบเดี่ยวรูปไข่ ปลายใบแหลม ใบดกมาก จึงปลูกคลุมซุ้มไม้ได้ดี ดอกเป็นช่อแน่นตามปลายกิ่งและซอกใบ มีสีขาวแต่ละช่อมีมากกว่า ๑๐ ดอกขึ้นไป จึงเห็นเป็นช่อใหญ่สวยงาม มีขนนุ่มๆ โดยเฉพาะที่กลีบเลี้ยงซึ่งเป็นแฉกแหลมๆ ลักษณะของดอกคล้ายมะลิลา แต่กลีบแคบยาวและปลายแหลมกว่า ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางดอก ๒.๕-๓ ซม. ใช้ทั้งช่อเป็นดอกไม้บูชาพระ กลิ่นหอมตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน คล้ายกลิ่นมะลิวัลย์ดังเรื่อง ลิลิตพระลอ ในสมัยอยุธยา ตอนหนึ่งว่า

    <TABLE bgColor=#e4ecf6><TBODY><TR><TD>

    มะลุลีหอมหื่นฟุ้ง มะลิวัน ปรูประยงค์ก็หอมหรรษ์ หื่นห้า หอมกลกลิ่นจอมขวัญ ขวัญพี่ พระเอย หอมห่อนเห็นหน้าหน้า ใคร่กลั้น ใจตาย



    </PRE></TD></TR></TBODY></TABLE></P>
    [​IMG]


    พิกุล
    พิกุล (Mimusops elengi L.) พิกุลเป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในอินเดียและพม่า ในประเทศไทยพบอยู่ตามธรรมชาติในป่าทางภาคใต้และภาคตะวันออก นอกจากนั้น ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ที่ปลูกประดับเพื่อให้ร่มเงาและให้กลิ่นหอม สมัยก่อนมักปลูกพิกุลตามวัด เช่น ที่สุนทรภู่กล่าวถึงใน นิราศพระประธมตอนหนึ่งว่า

    <TABLE bgColor=#e4ecf6><TBODY><TR><TD>

    ถึงวัดพิกุลฉุนชื่นระรื่นรส เหมือนไม้สดหอมกรุ่นพิกุลเอ๋ย เจ้าร้อยพวงมาลัยให้พี่เชย ได้เสียดเสยสวมกรแล้วช้อนชม



    </PRE></TD></TR></TBODY></TABLE></P>พิกุลเป็นไม้ต้น สูง ๖-๑๕ เมตร เรือนยอดเป็นรูปเจดีย์ ใบดกแน่นค่อนข้างทึบใบเป็นใบเดี่ยว รูปรีหรือรูปไข่ ปลายใบแหลมกว้าง ๒-๔ ซม. ยาว ๕-๘ ซม. สีเขียวเข้มเป็นเงางาม ออกดอกตลอดทั้งปี เป็นช่อสั้นๆ ๒-๓ ดอก ตามซอกใบ ดอกกลมมีกลีบหยักแหลมๆ อยู่โดยรอบ กลีบดอกมีจำนวนมากถึง ๒๔ กลีบ และเรียงซ้อนกันเป็น ๒ ชั้น สีขาวนวลส่วนกลีบเลี้ยงสีน้ำตาลอ่อนเป็นจักแหลมๆ ๘ อัน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางดอก ๑-๑.๕ ซม. ลักษณะการเรียงตัวของกลีบดอกพิกุลนี้มีความงดงามละเอียดอ่อน จึงมีการนำมาเป็นแบบลวดลายของเครื่องประดับ ลายผ้าทอ และลายเครื่องจักสาน เรียกกันว่า "ลายดอกพิกุล"
    พิกุลออกดอกเกือบตลอดปี ดอกมีกลิ่นหอมแรง และทนทาน เมื่อแห้งแล้วก็ยังคงมีกลิ่นหอม ดอกบานตอนเช้ามืดและร่วงในตอนกลางวัน ผลรูปไข่ปลายแหลม ยาว ๒-๓ ซม. เมื่อสุกมีสีส้มหรือแสด เนื้อสีเหลือง รสหวานปนฝาด รับประทานได้ ขยายพันธุ์ได้ทั้งการเพาะเมล็ดและตอนกิ่ง
    การที่คนไม่นิยมปลูกพิกุลตามบ้าน เพราะบางคนถือว่า กลิ่นดอกพิกุลเป็นกลิ่นของความเศร้า ไม่ควรนำมาอยู่ใกล้ตัว ปัจจุบัน ความคิดความเชื่อเหล่านี้คงน้อยลงมากแล้ว เพราะมีการปลูกพิกุลทั่วไป แม้แต่ตามบ้าน
    ดอกพิกุลใช้ร้อยพวงมาลัย และมาลัยรูปสัตว์ เก็บไว้ได้นาน ใช้อบผ้า และใช้ผสมกับดอกไม้หอมชนิดอื่นๆ ทำเป็นบุหงา ในวรรณคดี มักกล่าวถึงเสมอ เช่น

    <TABLE bgColor=#e4ecf6><TBODY><TR><TD>

    พิกุลจะกรองอุบะ ลำดวนจะร้อยเป็นสร้อยใส่ จะทำบุหงารำไป วางไว้ข้างที่ไสยา
    อิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒



    </PRE></TD></TR></TBODY></TABLE></P>นอกจากคุณค่าดังกล่าวข้างต้นแล้ว พิกุลยังเป็นสมุนไพร ดอกใช้ปรุงยาหอม ยานัตถุ์ และเป็นหนึ่งในเกสรทั้ง ๕ ทั้ง ๗ และทั้ง ๙เปลือกใช้ทำยาอมแก้ปากเปื่อย และรักษาเหงือก

    [​IMG]

    [​IMG]

    บรรณานุกรม
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=6668&catid=14

    ปกป้องตัวเองจาก 'สปายแวร์'

    โดย ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ pairat@matichon.co.th
    [​IMG]


    ฟัง ไซแมนเทค ยักษ์ใหญ่ในวงการแอนตี้ไวรัส แอนตี้มัลแวร์ระดับโลก บอกเล่าเรื่องปัญหาสปายแวร์ในบ้านเราแล้วน่าตกใจ เพราะเขาบอกว่า คอมพิวเตอร์ในบ้านเราถูกแอบติดตั้งสปายแวร์ไว้มากเป็นอันดับ 9 ของเอเชีย และเป็นอันดับ 1 ถ้านับแค่เฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน
    เรื่องนี้น่าตกใจครับแต่ไม่น่าแปลกใจ เพราะตอนนี้บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์ยอมรับกันออกมาแล้วว่า ปัญหาใหญ่ของคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องของไวรัสแล้วครับ แต่เป็นเรื่องของ 'สปายแวร์' นี่แหละ
    อินเตอร์เน็ตทำให้โลกเราเชื่อมต่อกันได้ใกล้ชิดมากขึ้นแต่ก็ก่อปัญหาให้กับเราได้มากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกัน
    ที่ผมบอกว่าน่าตกใจนั้น เป็นเพราะแต่ก่อนนี้ สปายแวร์ แค่ทำให้เราหงุดหงิดรำคาญใจเฉยๆ พักหลังนี้ มันกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของพวกมิจฉาชีพที่ทำมาหากินกันเป็นล่ำเป็นสันในการแอบดูดเอา 'อัตลักษณ์' ของเราไปใช้ อาทิ หมายเลขบัตรเครดิต หมายเลขบัญชี พาสเวิร์ดสำหรับทำธุรกรรมอะไรต่อมิอะไรต่างๆ
    [​IMG]
    ตอนนี้มี สปายแวร์ หรือที่บางคนเรียกว่า มัลแวร์ เหล่านี้อยู่ประมาณ 2.3 ล้านตัว อาละวาดสิงสู่บรรดาคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย เพื่อคอยสอดแนมความลับในคอมพิวเตอร์ของเรา ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ ประเมินกันว่าในจำนวนคอมพิวเตอร์ทั่วโลกในเวลานี้มีเพียงแค่ 4 เครื่องใน 5 เครื่องเท่านั้นที่ติดตั้งโปรแกรมต่อต้านไวรัส-สปายแวร์ ที่สำคัญก็คือ มีเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นที่พยายาม 'อัพเดต' โปรแกรมต่อต้านไวรัสที่ว่าให้ทันสมัยอยู่เสมอ
    แต่ถึงจะติดตั้งและอัพเดตอยู่เสมอก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ตามสถิติเขาบอกว่าถึงจะทำอย่างที่ว่านี้แล้วก็ยังคงมีเครื่องคอมพิวเตอร์ราว 70 เปอร์เซ็นต์ ติดไวรัส, หนอน, โทรจัน และสปายแวร์จำพวก คีย์สโตรก ล็อกเกอร์ (สำหรับบันทึกการกดแป้นคีย์บอร์ดของเราแล้วส่งกลับไปหาผู้ติดตั้ง)
    สปายแวร์ในปัจจุบันนี้นอกจากมีพฤติกรรมอันตรายมากขึ้นแล้ว ยังก๊อบปี้ตัวเองและ 'กลายพันธุ์' ได้เร็วกว่าการพัฒนาของซอฟต์แวร์ต่อต้านมัลแวร์ทั้งหลายอีกต่างหาก ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าพวกนี้คิดและเปลี่ยนแปลงสปายแวร์ของตัวเองเร็วมากจนทำให้การต่อต้านล้าหลังอยู่ราวเดือนหรือสองเดือนเลยทีเดียว
    เราคงตัดคอมพิวเตอร์ของเราจากอินเตอร์เน็ตไม่ได้แน่ ความเป็นจริงที่ว่านี้ทำให้เทคนิคเก่าๆ อย่างหนึ่งซึ่งคิดค้นขึ้นเมื่อราว 20-30 ปีที่ผ่านมากลับมาฮิตอีกครั้งในฐานะเป็นเครื่องมือในการปกป้องตัวเราจากพวกมิจฉาชีพทั้งหลายที่ใช้สปายแวร์เป็นเครื่องมือทำมาหากิน นั่นคือ การทำเวอฌ่วลไลเซชั่น ที่คิดค้นโดย ไอบีเอ็ม ในราวทศวรรษ 1960 ครับ
    เวอร์ฌ่วลไลเซชั่น คือการซ่อนทรัพยากรทั้งหมดของคอมพิวเตอร์เรา ไม่ว่าจะเป็น โปรเซสเซอร์, ระบบปฏิบัติการ, เมมโมรี่ และเครื่องมือควบคุมเครือข่าย เอาไว้หลัง 'ม่าน' ที่เป็นซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์ที่ว่านี้จะจำลองการทำงานของอุปกรณ์ทั้งหมดออกมาเพื่อหลอกล่อบรรดาสปายแวร์ทั้งหลายให้เข้าใจว่ามันสามารถเข้ามาควบคุมคอมพิวเตอร์ของเราได้แล้ว ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วมันกำลังทำงานอยู่บนซอฟต์แวร์ที่เราติดตั้งไว้ทั้งหมดเท่านั้น
    เดิมที เวอร์ฌ่วลไลเซชั่น ใช้ติดตั้งกันบนเซิร์ฟเวอร์เท่านั้น แต่ตอนนี้พีซีธรรมดาๆ ก็สามารถใช้เทคนิคนี้ได้ บริษัทซอฟต์แวร์ 2 เจ้า คือ วีเอ็มแวร์ (VMware) ออกซอฟต์แวร์ วีเอ็มแวร์ เซิร์ฟเวอร์มาขายอยู่พักใหญ่แล้ว ส่วนยักษ์ใหญ่อย่าง ไมโครซอฟท์ เองก็มี เวอร์ฌ่วลพีซี 2007 ออกมาให้เป็นทางเลือกเหมือนกัน
    รูปแบบการทำงานของซอฟต์แวร์ทั้งคู่คล้ายๆ กัน คือจะอนุญาตให้เราติดตั้งระบบปฏิบัติการที่เป็นตัว 'สำเนา' ขึ้นมาสำหรับเป็น 'ม่าน' กั้นมัลแวร์ทั้งหลายเหล่านั้น หลังจากที่เราเสร็จสิ้นการทำงานกับอินเตอร์เน็ตเรียบร้อยแล้ว คอมพิวเตอร์เสมือนและระบบปฏิบัติการที่เป็นตัวสำเนาที่ว่านี้ก็จะถูกปิดทิ้งไป และสามารถเปิดใช้งานใหม่ได้ในการเปิดคอมพิวเตอร์ครั้งต่อไป
    ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ถ้าจะให้ได้ผลมากขึ้น แทนที่ระบบปฏิบัติการที่เป็นตัวสำเนาจะเป็นของวินโดวส์อย่างที่เราใช้อยู่จริง ก็ให้หันไปใช้ระบบปฏิบัติการที่เป็นโอเพ่น ซอร์ซ จากลีนุกซ์ อย่าง คน็อปพิกซ์ หรือ คูบันตู แทนก็ได้ครับ
    ในขณะที่ โซนอลาร์ม ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ต่อต้านไวรัส-สปายแวร์อีกเจ้า กำลังนำเอาแนวความคิดคล้ายๆ กันไปพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเองขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน มีเวอร์ชั่นเบต้าออกมาแล้วเรียกว่า โซนอลาร์ม ฟอร์ซฟีลด์ ที่จะไปจำลองบราวเซอร์ (อย่างอินเตอร์เน็ต เอ็กพลอเรอร์ หรือ ไฟร์ฟอกซ์) ทำเป็นม่านกั้น มัลแวร์พวกนี้
    ทีนี้ก็โล่งใจได้ในระดับหนึ่งละครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://hilight.kapook.com/view/16110

    กีตาร์ปืน



    <CENTER>
    [​IMG]

    บ้านเมือง "โคลัมเบีย" มันร้อนรุ่มเพราะปัญหากองโจร-แก๊งยาเสพติด-อำนาจรัฐ รบราฆ่าฟันยิงกันระเบิดเถิดเทิง คุณลุงหลุยส์ อัลเบอร์โต พาราเดส ผู้ผลิตเครื่องดนตรีชื่อดังก็เลยอยากมีส่วนร่วมแก้ไขสังคมให้สงบร่มเย็น
    ไปนำเอา "ปืนอาก้า" จริงๆ ของพวกกองโจรมาดัดแปลงจนกลายเป็น "กีตาร์" ออกวางขายตามท้องตลาด
    ปืนกระบอกนี้ยิงออกมาแต่ "เสียงดนตรี" ขับกล่อมจิตใจผู้คนให้รักสันติสุขเท่านั้นค่ะ!

    ข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
    เอิ๊กอ๊ากอินเตอร์​
    </CENTER>
     
  10. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังครับ
    ปกติแล้วเวลาที่ผมเดินดูพระพิมพ์ไม่ว่าจะเป็นแผงทั่วไปหรือบนห้างที่เป็นศูนย์พระเครื่อง ผมจะเห็นแต่พระพิมพ์ที่ใส่กรอบหรือตลับทอง หรือกรอบแสตนเลส หรือเลี่ยมปิดอัดพลาสติก ไม่เคยเห็นที่วางบนศูนย์เหล่านี้แล้วจะเจาะรูพลาสติกเหมือนที่พวกเราทำกัน แต่เมื่อวานนี้ผมได้เห็นเริ่มเห็นแล้วครับ ว่าเลี่ยมอัดพลาสติก มีรูเจาะตรงกลางและเลี่ยมกรอบเลส มีรูเจาะที่พลาสติกไม่ต่ำกว่า5รูจำนวนหลายๆองค์ ผมกำลังจะบอกว่าที่เราเล่าและให้ความรู้เกี่ยวกับ พลังของพระพิมพ์ที่ไม่สามารถผ่านกรอบพลาสติกได้ จำเป็นต้องเจาะรูเพื่อให้พลังสามารถผ่านได้สะดวก ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานของ อาจารย์ปู่เราเริ่มมีผู้ทราบมากขึ้นน่ายินดีครับ^-^
     
  11. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 8 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 6 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>nongnooo, :::เพชร::: </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้าว...หวัดดีครับคุณเพชร นึกว่าดึกๆจะไม่มีใครแล้วมาแอบโม้คนเดียวครับ(one-eye)
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมจะไปถามมาให้อีกครั้ง ผมจำไม่ได้ว่า อยู่ในเรื่องไหน(น่าจะเป็นพระสูตร) เรื่องของรังสีจิตที่เดินบนอากาศธาตุครับ

    .
     
  13. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    สุดยอดครับคุณหนุ่ม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังครับ
    ปกติแล้วเวลาที่ผมเดินดูพระพิมพ์ไม่ว่าจะเป็นแผงทั่วไปหรือบนห้างที่เป็นศูนย์พระเครื่อง ผมจะเห็นแต่พระพิมพ์ที่ใส่กรอบหรือตลับทอง หรือกรอบแสตนเลส หรือเลี่ยมปิดอัดพลาสติก ไม่เคยเห็นที่วางบนศูนย์เหล่านี้แล้วจะเจาะรูพลาสติกเหมือนที่พวกเราทำกัน แต่เมื่อวานนี้ผมได้เห็นเริ่มเห็นแล้วครับ ว่าเลี่ยมอัดพลาสติก มีรูเจาะตรงกลางและเลี่ยมกรอบเลส มีรูเจาะที่พลาสติกไม่ต่ำกว่า5รูจำนวนหลายๆองค์ ผมกำลังจะบอกว่าที่เราเล่าและให้ความรู้เกี่ยวกับ พลังของพระพิมพ์ที่ไม่สามารถผ่านกรอบพลาสติกได้ จำเป็นต้องเจาะรูเพื่อให้พลังสามารถผ่านได้สะดวก ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานของ อาจารย์ปู่เราเริ่มมีผู้ทราบมากขึ้นน่ายินดีครับ^-^

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เรื่องนี้เป็นเรื่องของความเชื่อ คณะเราไม่กลัวเนื้อพระพิมพ์เสีย เราให้พระท่านคุ้มครอง เราไม่ต้องคุ้มครองพระพิมพ์

    .
     
  15. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    มิน่าเมื่อคืนตอนย่องเข้ามาในห้อง ใจผมไม่ค่อยดีเลย นึกสังหรณ์ใจสงสัยจะมีโจรอยู่ในบ้าน หึหึ ที่แท้พวกๆกันเองมาคอยดักจับโจรนี่เอง สุดท้ายต่างฝ่ายต่างคิดว่าอีกฝ่ายเป็นโจร ...อิอิ...
     
  16. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ผมคนดีนา....บ่ใช่โจร เพียงแต่เมื่อคืนไม่ง่วงเองครับ(b-glass)
     
  17. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    นี่ก็เป็นข้อมูล"วงใน"จริงๆ ที่สืบไปมาเหมือนข้อมูลที่คณะเราทราบกันนั่นแหละ คนเชื่อก็มีคนไม่เชื่อก็มีคนเชื่อแต่ไม่อยากให้คนเชื่อก็มีคนไม่เชื่อและก็ไม่อยากให้คนไม่เชื่อตามเพราะความ"ไม่รู้"ก็มี อยู่ที่ว่าเราจะเลือกอยู่กลุ่มไหน ช่วงปี ๒๕๒๕ คนรู้ต่างเก็บเงียบจริงๆ อายุความ ๒๐ ปี หมดเมื่อ ๒๕๔๕ แต่ก็วางใจไม่ได้ สำหรับผู้ครอบครองในจำนวนมากๆ มีโอกาสถูกเรียกคืนเหมือนกัน ต้องทำใจกว้างให้ข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และเป็นการบอกให้ทราบกันว่ามีของปลอม ไม่เพียงคณะเราบอกๆกัน นี่เป็นอีกท่านที่บอกๆกัน เชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ผม และคณะไม่ได้เดือดร้อน...


    เคยบอกไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่าให้ดูกรณีสมเด็จอรหังเป็นตัวอย่าง สุดท้ายไปพบหลักฐานคาตาเอง เพิ่งจะมาเชื่อ โถ!!!! สงสัยจะต้องให้อุทานอีกหลายๆๆๆโถ!!!!! หมดกรุเมื่อไหร่ก็เลิกโถ! ไปเอง คราวต่อไปได้จับเรือนหมื่น เรือนแสน วิ่งกันขาขวิด บอกแล้วว่าเซียนที่ไหนจะให้ดัง หากดังเขาก็ขาดทุนจิ...ดันราคาพระสมเด็จของ ๓ วัดหลักๆไว้ตั้งหลายล้าน ลงมาได้ไง เชิยเล่นหากันไปตามสบายครับ แต่..สบายเราได้ของแท้ ราคาเบาๆกัน...

    และก็ยังเคยบอกด้วยว่า เจอของปลอม แต่ก็สามารถทำให้จริงได้ และจะใช้กันในคณะเท่านั้น หรือบรรจุกรุเท่านั้น ไม่ได้เอามาให้บูชากัน แบบนี้สบายใจ ...
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมกำลังคิดว่า จะหาพระบูชาขนาด 5หรือ9 นิ้ว (เชียงแสน ,สุโขทัย,อู่ทอง) และปางห้ามญาติ (เป็นปางเดียวกันกับพระประธานในพระอุโบสถวังหน้า) แล้วนำพระพิมพ์ของวังหน้าหลายๆพิมพ์(ไม่ว่าจะเป็นพระสมเด็จ,สมเด็จเจ้าคุณกรมท่า,หรือพิมพ์อื่นๆ) นำบรรจุในพระบูชา เพื่อไว้สักการะบูชาเอง เดี๋ยวต้องรอเก็บตังก่อน

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ท่านใดสนใจ ก็คุยกันได้ไม่มีปัญหาครับ

    ส่วนที่จะต้องอุดฐานพระ ว่าจะไปปรึกษากับพี่จิ๋วและพี่ที่ผมเคารพท่านนึง(ไม่ใช่พี่ใหญ่)อีกครั้งว่าจะทำอย่างไร จึงจะคงทนไม่หลุดจากองค์พระง่ายๆครับ

    .
     
  20. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ยอดบอกบุญ ผมได้โอนให้แล้วเรียบร้อยครับ

    17,860.- บาท ครับ

    เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2550 เที่ยงกว่าๆ ครับ

    [​IMG]

    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...