จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ธรรมะก็มีอยู่ในกาย เพราะกายมีความ"เกิด แก่ เจ็บ ตาย" พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายท่านได้เสียสละ เช่น ความสุขอันเป็นไปด้วยราชสมบัตินั้น พระองค์ท่านผู้มีคนยกย่องสรรเสริญคอยปฏิบัติวัตรฐากแล้ว ได้เสียสละมานอนกับดินกับหญ้า ใต้โคนต้นไม้ ถึงกับอดอาหารเป็นต้น การเสียสละเหล่านี้เพื่อประโยนช์อะไร? ก็เพื่อให้ได้ถึงซึ่ง "วิโมกขธรรม" คือ ธรรมะเป็นเครื่องพ้นทุกข์จากการ"เกิด แก่ เจ็บ ตาย" และเมื่อพระองค์ตรัสรู้ก็ทรงนั่งสมาธิใต้ร่มไม้ อันเป็นสถานที่สงบสงัด และได้ทรงพิจารณาซึ่งความจริง คือ "อริยสัจ ๔" นี้เป็นมูลเหตุ อันเป็นเบื้องต้นของพระพุทธเจ้า
    ที่มา หนังสือธรรมะสว่างใจ (หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล)
     
  2. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ขอโมทนากับจิตบุญดวงที่ ๑๓๓ และครูผู้สอนทุกท่านครับ


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  3. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    การถาม - ตอบ ปัญหาการปฏิบัติธรรม
    ระหว่าง...
    หลวงพ่อชา และ ลูกศิษย์ พระภิกษุหนุ่มชาวอเมริกัน


    ถาม --เราควรอ่านตำรามากๆ หรือศึกษาพระไตรปิฏกด้วยหรือไม่ครับ

    พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่อาจค้นพบได้ด้วยตำราต่างๆ ถ้าท่านต้องการจะรู้เห็นจริงด้วยตัวของท่านเองว่าพระพุทธเจ้าทรง ตรัสสอนอะไร ท่านไม่จำเป็นต้องวุ่นวายกับตำราเลย จงเฝ้าดูจิตของท่านเอง พิจารณาให้รู้เห็นว่า ความรู้สึกต่างๆ (เวทนา) เกิดขึ้น และดับไปได้อย่างไร ความนึกคิดเกิดขึ้นและดับอย่างไร อย่าได้ผูกพันอยู่กับสิ่งใดเลย จงมีสติอยู่เสมอ เมื่อมีอะไรๆ เกิดขึ้นให้ได้รู้ได้ เห็น นี่คือทางบรรลุถึงสัจธรรมของพระพุทธองค์ จงปฏิบัติธรรมดาตามธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอยางที่ท่านทำขณะที่นี่ เป็นโอกาสแห่ง การฝึกปฏิบัติ เป็นธรรมะทั้งหมด เมื่อท่านทำวัตรสวดมนต์อยู่ พยายามให้มีสติ ถ้าท่านกำลังเทกระโถนหรือล้างส้วมอยู่ อย่าคิดว่า ท่านกำลังทำบุญทำคุณให้กับผู้หนึ่งผู้ใด มีธรรมะอยู่ในการเทกระโถนนั้น อย่ารู้สึกว่าท่านกำลังฝึกปฏิบัติอยู่เฉพาะเวลานั่งขัดสมาธิเท่านั้น พวกท่านบางคนบ่นงว่าไม่มีเวลาพอท่จะทำสมาธิภาวนา แล้วเวลาหายใจเล่ามีเพียงพอไหม? การทำสมาธิภาวนาของท่าน คือการมีสติ ระลึกรู้ และการรักษาจิตให้เป็นปกติตามธรรมชาติในการกระทำทุกอิริยาบถ....

    ถาม--ท่านอาจารย์มีความเห็นเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติ (วิธีภาวนา) วิธีอื่นอย่างไรครับ ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าจะมีอาจารย์มากมาย และมีแนวทางการทำสมาธิ

    วิปัสสนาหลายแบบ จนทำให้สับสน มันก็เหมือนกับการจะเข้าไปในเมือง บางคนอาจจะเข้าเมืองทางทิศเหนือ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ฯลฯ ทางถนนหลายสาย โดยมากแล้วแนวทางภาวนาก็แตกต่างกันแต่เพียงรูปแบบเท่านั้น ไม่ว่าท่านจะเดินทาสายหนึ่งสายใด เดินช้าหรือเดินเร็ว ถ้าท่านมีสติอยู้เสมอ มันก็เหมือนกันทั้งนั้น ข้อสำคัญที่สุดก็คือแนวทางภาวนาที่ดีและถูกต้องจะต้องนำไปสู่การไม่ยึดมั่นถือมั่น ลงท้ายแล้ว ก็ต้องปล่อยแนวทางการภาวนาทุกรูปแบบด้วย ผู้ปฏิบัติต้องไม้ยึดมั่นแม้ในตัวอาจารย์แนวทางใดที่นำไปสู่การปล่อยวาง สู่การไม่ยึดมั่นถือมั่นก็เป็นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง ท่านอาจจะอยากเดินทางเพื่อศึกษาอาจารย์อื่นอีก และลองปฏิบัติตามแนวทางอื่นบ้างก็ได้ พวกท่านบางคนก็ทำเช่นนั้น นี้เป็นความต้องการ ตามธรรมชาติ ท่านจะรู้ว่าแม้ได้ถามคำถามนับพันคำถามก็แล้ว และมีความรู้เรื่องแนวทางปฏิบัติอื่นๆ ก็แล้ว ก็ไม่อาจจะนำท่านเข้าถึงสัจจะธรรมได้ในที่สุดท่านก็จะรู้สึกเบื่อหน่าย ท่านจะรู้ว่าเพียงแต่หยุด และสำรวจตรวจสอบดูจิตใจของท่านเองเท่านั้น ท่านก็จะรู้ว่าพระพุทะเจ้าตรัสสอนอะไร ไม่มีประโยชน์ที่แสวงหาออกไปนอกตัวเอง ผลที่สุดท่านต้องหันกลับมาเผชิญหน้ากับสภาวะที่แท้จริงของตัวท่นเอง ตรงนี้แหละที่ท่านจะเข้าใจ ธรรมะได้

    ถาม---จำเป็นไหมครับที่จะต้องนั่งภาวนาให้นานๆ

    ไม่จำเป็นต้องนั่งภาวนานานนับเป็นหลายชั่วโมง บางคนคิดว่ายิ่งนั่งภาวนานานเท่าใด ก็ยิ่งจะเกิดปัญญามากเท่านั้น ปัญญาที่แท้เกิดจากการที่เรามีสติในทุกๆ อิริยาบท การฝึกปฏิบัติของท่านต้องเริมขึ้นทันทีที่ท่านตื่นนอนตอนเช้า และต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องไปจนกระทั่งนอนหลับไปอย่าไปห่วงว่าท่านต้องนั่งภาวนาให้นานๆ สิ่งสำคัญก็คือ ท่านเพียงแต่เฝ้าดู ไม่ว่าท่านจะเดินอยู่หรือนั่งอยู่ หรือกำลังเข้าห้องน้ำอยู่แต่ละคนต่างก็มีทางชีวิตของตนเอง บางคนต้องตาย เมื่อมีอายุ ๕๐ ปี บางคนเมื่ออายุ ๖๕ ปี และบางคนเมื่ออายุ ๙๐ ปี ฉันใดก็ฉันนั้น ปฏิปทาของท่านทั้งหลาลก็ไม่เหมือนกัน อย่างคิดมากหรือิกังวลใจในเรื่องนี้เลย จงพยายามมีสติ และปล่อยทุกสิ่งให้เป็นไปตามปกติของมัน แล้วจิต ของท่านก็จะสงบมากขึ้นในสิ่งแวดล้อมทั้งปวงมันจะสงบนิ่งเหมือนหนองน้ำใสในป่าที่บรรดาสัตว์ป่าสวยงาม และหายากจะมาดื่มน้ำในสระนั้นท่านจะได้เห็นความมหัศจรรย์และแปลกประหลาดทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไปแต่ท่านก็จะสงบอยู่เช่นเดิม ปัญหาทั้งหลายจะบังเกิดขึ้นแต่ท่านจะรู้ทันมันได้ทันที นี่แหละคือศานติสุขของพระพุทธเจ้า

    ถาม---ผมยังคงมีความนึกคิดต่างๆ มากมาย จิตของผมฟุ้งซ่านมากทั้งๆ ที่ผมพยายามจะมีสติอยู่

    อย่างวิตกในเรื่องนี้เลย พยายามรักษาจิตของท่านให้อยู่กับปัจจุบัน เมื่อเกิดรู้สึกอะไรขึ้นมาภายในจิตก็ตาม จงเฝ้าดูมันและปล่อยวางแล้วจิตก็จะเข้าถึงสภาวะปกติตามธรรมชาติของมันไม่มีการแบ่งแยกระหว่างความดีและความชั่ว ร้อนและหนาว ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีตัวตนเลย อะไรอะไรก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น จงรู้จักตัวเองด้วยการปฏิบัติตนเป็นปกติตามธรรมชาติ และเฝ้าดู เมื่อเกิดสงสัยจงเฝ้าดูมันเกิดขึ้นและดับไป มันก็ง่ายๆ อย่ายึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดทั้งสิ้น เหมือนกับว่าท่านกำลังเดินไปตามถนน บางขณะท่านจะพบสิ่งกีดขวางอยู่ เมื่อท่านเกิดกิเลสเครื่องเศร้าหมองจงรู้ทันมันและเอาชนะมันโดยปล่อยให้มันผ่านไปเสีย อย่าไปคำนึงถึง สิ่งกีดขวางที่ท่านได้ผ่านมากแล้วอย่าวิตกกังวลกับสิ่งที่ยังไม่ได้พบ จงอยู่กับปัจจุบัน ไม่ว่าท่านผ่านอะไรไปอย่าไปยึดมั่นไว้ ในที่สุดจิตก็จะบรรลุถึงความสมดุล ตามธรรมชาติของจิตและเมื่อนั้นการปฏิบัติก็จะเป็นเองโดยอัตโนมัติ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นและดับไปในตัวของมันเอง

    ถาม---ผมควรจะทำอย่างไรครับเมื่อผมสงสัย บางวันผมวุ่นวายใจด้วยความสงสัยในเรื่องปฏิบัติ หรือในความคืบหน้าของผม หรือในอาจารย์

    ความสงสัยนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทุกๆ คนเริ่มต้นด้วยความสงสัย ท่นอาจได้เรียนรู้อย่างมากจากความสงสัยนั้น ที่สำคัญก็คือ ถ้าท่านยังถือเอาความสงสัยนั้นเป็นตัวเป็นตน นั่นคืออย่าตกเป็นเหยื่อของความสงสัย ซึ่งจะทำให้จิตใจของท่านหมุนวนเป็นวัฏฏะ อันไม่มีที่สิ้นสุด แทนที่จะเป็นเช่นั้น จงเฝ้าดูกระบวนการเกิดดับของความสงสัย ของความฉงนสนเท่ห์ ดูว่าใครคือผู้ที่สงสัย ดูว่าความสงสัยนั้นเกิดขึ้นและ ดับไปอย่างไร และท่านจะไม่ตกเป็นเหยื่อของความสงสัยอีกต่อไป ท่านจะหลุดพ้นออกจากความสงสัยและจิตของท่านก็จะสงบ ท่านจะเห็นว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร จงปล่อยวางสิ่งต่างๆ ที่ท่านยังยึดมั่นอยู่ ปล่อยวางความสงสัยของท่านและเพียงแต่เฝ้าดู นี่คือสิ่งที่สิ้นสุดของควาสงสัย

    ถาม---อุปสรรคใหญ่ของลูกศิษย์ใหม่ของท่านอาจารย์คืออะไรครับ

    ทิฐิ ความเห็นและความนึกคิดเกี่ยวกับสิ่งทั้งปวงเกี่ยวกับตัวเขาเอง เกี่ยวกับการปฏิบัติภาวนา เกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้า หลายๆ ท่านที่มาที่นี่ มีตำแหน่งการงานสูงในสังคมบางคนเป็นพ่อค้าสที่มั่งคั่ง หรือได้ปริญญาต่างๆ ครูและข้าราชการ สมองของเขาเต็มไปด้วยความคิดเห็นต่อสิ่งต่างๆ เขาฉลาดเกินกว่าที่จะฟังผู้อื่น เปรียบเหมือนน้ำในถ้วย ถ้าถ้วยมีน้ำสกปรกอยู่เต็ยถ้วยน้ำก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ เมื่อได้เทน้ำเก่านั้นทิ้งไปแล้วเท่านั้น ถ้วยนั้นก็จะใช้ประโยชน์ไม่ได้ ท่านต้องทำจิตให้ว่างจากทิฐิ แล้วท่านจึงจะได้เรียนรู้การปฏิบัติ ของเรานั้นอยุ่เหนือความฉลาดหรือความโง่ ถ้าท่านคิดว่าฉันเก่ง ฉันรวย ฉันเป็นคนใหญ่คนโตฉันเข้าใจพระพุทธศาสนาแจ่มแจ้งทั้งหมด เช่นนี้แล้ว ท่านจะไม่เห็นความจริงในเรื่องอนัตตาหรือความไม่ใช่ตัวตน ท่านจะมีแต่ตัวตน ตัวอัน ของฉัน แต่พระพุทธศาสนาคือการละ ตัวตน เป็นความว่าง เป็นความไม่มีทุกข์ เป็นนิพพาน

    ถาม---กิเลสเครื่องเศร้าหมอง เช่นความโลภหรือความโกรธ เป็นเพียงมายาหรือว่าเป็นของจริงครับ

    เป็นทั้งสองอย่าง กิเลสที่เราเรียกว่าราคะหรือความโลภ ความโกรธและความหลง นั้นเป็นเพียงแต่ชื่อ เป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นมา เช่นเดียวกับที่เราเรียกชามใหญ่ ชามเล็ก สวยหรืออะไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สภาพที่เป็นจริงแต่เป็นความคิดปรุงแต่งที่เราคิดปรุงขึ้นจากตัณหา ถ้าเราต้องการชามใหญ่ เราก็ว่าอันนี้เล็กไป ตัณหาทำให้เราแบ่งแยกความจริงก็คือ มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ลองมามองแง่นี้บ้าง ท่านเป็นผู้ชายหรือเปล่า ถ้าตอบว่าเป็น นี่เป็นเพียงรูปร่างของสิ่งต่างๆ แท้จริงแล้วท่านเป็นส่วนประกอบของธาตุและขันธ์ ถ้าจิตเป็นอิสระแล้ว จิตจะไม่แบ่งแยก ไม่มีใหญ่ไม่มีเล็ก ไม่มีเขาไม่มีเรา ไม่มีอะไรจะเป็นอนัตตาหรือความไม่ใช่ตัวตน แท้จริงแล้วในบั้นปลาย ก็ไม่มีทั้งอัตตาและอนัตตา (เป็นแต่เพียงชื่อเรียก)

    ถาม---ขอความกรุณาท่านอาจารย์ทบทวนใจความสำคัญของการสนทนานี้ด้วยครับ

    ท่านต้องสำรวจตัวเองรู้ว่าท่านเป็นใครรู้ทันกายและจิตใจของท่าน จงรู้ความพอดีพอเหมาะสำหรับตัวท่าน ใช้ปัญญาในการฝึกปฏิบัติจงมีสติรู้ว่าอะไรเป็นอยู่ท่านจะมองเห็นทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ และความดับไปแห่งทุกข์ แต่ท่านต้องมีความอดทน และต้องทนได้ ท่านจะค่อยๆ ได้เรียนรู้ อย่าปฏิบัติเคร่งเครียดจนเกินไป อย่ายึดติดอยู่กับรูปแบบภายนอก จงเป็นปกติตามธรรมชาติ พระวินัยของพระสงฆ์และกฎระเบียบของวัดสำคัญมาก ทำให้เกิดบรรยากาศที่เรียบง่ายและประสานกลมกลืน แต่จำไว้ว่าความสำคัญของพระวินัยของพระสงฆ์คือการเฝ้าดูเจตตนาและสำรวมจิต ท่านต้องใช้ปัญญาอย่าแบ่งเขาแบ่งเรา ดังนั้นจงอดทนและฝึกให้มีคุณธรรมมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ เป็นปกติตามธรรมชาติ เฝ้าดู้จิต นี่แหละคือการปฏิบัติของเรา ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่เห็นแก่ตัว และความสงบสันติ


    (คัดมาเพียงบางส่วน จากเรื่องแนวทางการปฏิบัติธรรม ของ หลวงพ่อชา สุภัทโท)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2013
  4. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การฝึกสตินั้น จะต้องมีการติดฉลากสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนั้นเสมอ เช่น นั่งอยู่ก็ติดฉลากให้รู้ตนเองว่ากําลังนั่งอยู่ คิดก็ติดฉลากว่าคิดหนอ ฝรั่งที่ได้ศึกษาเรื่อง "วิปัสสนาได้พบว่าการบอก(Label)ที่ใช้นี้ได้ผลดีเป็นอย่างมากในการแก้ไขอารมณ์ที่รุนแรง รวมถึงการทะเลาะวิวาทกัน
    หัวใจของการบอกนี้เขาใช้คําว่า "Label" ซึ่งหมายถึงการติดฉลากนั้นเอง เด็กที่โกธรและชกต่อยกัน จะเปลี่ยนไปเมื่อเขาสามารถรู้อารมณ์ตนเองและติดฉลากเพื่อบอกตนเองในใจว่า
    "อ้อนี่ฉันกําลังโกธรนะ"คนที่รู้ว่าตนโกธรมักจะไม่แสดงความก้าวร้าวอย่างขาดสติ เพราะการฝึกสติจะช่วยให้เขารู้ตัวก่อนนั้นเอง คือเปลี่ยนจากการ "Action" เป็นคําพูด คือ "Verbal" แทน
    จึงจัดระดับ ความโกธรคือ ระดับที่ ๑.แย่คุ้มสติไม่อยู่ก็คือ "ลงมือชกต่อยเลย"
    ดีขึ้นหน่อยก็คือระดับที่ ๒. โกธรแล้วด่าเลย จนถึงขั้นมือโปรคือระดับที่ ๓. โกธรแล้วรู้จักเจรจาด้วยเหตุผล แต่ทั้ง ๓ ระดับต่างก็ใช้ความรู้ในดีกรีที่แตกต่างกันออกไป คือ ก็คล้ายๆในทางการสอนของพวกเราคือ "การจับภาพพระ"ก็ว่าได้ ก็เหมือนการติดฉลากในที่นี่ก็คือ "การมีสติตามรู้ตามเห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปนั้นเอง" จึงนํามาแชร์ค่ะ
    ที่มา หนังสือ ธรรมะสว่างใจ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2013
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออนุญาต ขยาย/ย่อ
     
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ความทุกข์เกิด.

    ความทุกข์ เกิดที่จิต

    เพราะเห็นผิด เมื่อผัสสะ

    ความทุกข์ จะไม่โผ่ล

    ถ้าไม่โง่ เมื่อผัสสะ

    ความทุกข์ เกิดไม่ได้

    ถ้าเข้าใจ เรื่องผัสสะ

    คำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ หรือพระธรรมโกศาจารย์.
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุกับคุณฝ้าย จบ.133
    และครูทุกท่านที่เกี่ยวข้องด้วยนะครับ

    ส่วนข้อผิดพลาดนั้น ย่อมเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่หลักใหญ่ใจความมันอยู่ที่ว่า
    หากมีข้อผิดพลาดใดๆก็ตาม จะต้องแก้ไขด้วยสติปัญญา
    งานจิตเกาะพระหยุดไม่ได้ และไม่มีใครหรือสิ่งใดมาหยุดยั้งได้
    นอกเสียจากชาวจิตเกาะพระ จะหมดลมหายใจ ไปทีละคน..สองคน

    ปล.ขอขอบพระคุณทุกท่าน ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เรื่อง อยากไปนิพพานเป็นตัณหาไหม

    ค่อยๆอ่านเอาความเข้าใจเป็นหลัก และช่วยแชร์เพื่อเผยแผ่เป็นธรรมทาน จักเป็นกุศลยิ่ง

    ถ้าถามว่า ถ้าคนเขาอยากไปนิพพานเป็นตัณหาไหม ก็เห็นจะ 99 เปอร์เซ็นต์ที่ตอบว่าคำว่าอยาก แปลว่า ตัณหา
    ในเมื่ออยากไปนิพพาน ก็แสดงว่าเป็นตัณหาเหมือนกัน ก็เลยบอกว่านี่แกเทศน์แล้ว แกก็เดินลงนรก ไปเลยนะ
    แกเทศน์แบบนี้แกเลิกเทศน์ แล้วก็เดินย่องไปนรกเลยสบาย ไปเสียคนเดียวก่อนดีกว่ามาชวนชาวบ้านเขาไปอีก
    ถ้าต้องการไปนิพพานเขาเรียกว่า ธรรมฉันทะ มีความพอใจในธรรมเป็นอาการซึ่งทรงไว้ซึ่งความดี
    พวกเราฟังแล้วจำไว้ด้วยนะถ้าใครเขาถาม จะได้ตอบถูก

    คำว่ามีสุข ในกามสุข คำว่า กาม อย่าหมายความเอาแต่ความใคร่ในเพศอย่างเดียว ไม่ถูก
    ต้องหมายเอาทุกอย่างที่ได้มา เพราะผลของความอยากได้
    ถ้าเป็นวัตถุหรืออารมณ์ที่ไม่เนื่องด้วยปรารถนาสวรรค์ นิพพานแล้ว เป็นกามทั้งนั้น
    ถ้าปรารถนาสวรรค์ พรหม นิพพาน ท่านเรียกว่า ธรรมฉันทะ คือ พอใจในธรรม

    คัดลอกจากบางส่วนของ จดหมายจากหลวงพ่อ 19 ธันวาคม 2513
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    ที่มา

    รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เรื่อง จงอย่าสนใจในจริยาผู้อื่น /คนดีไม่ตีใคร

    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน และหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    จงอย่าสนใจ กับจริยาของบุคคลอื่น ให้ทรงพรหมวิหาร 4 มี อิทธิบาท 4 หลวงพ่อเคยเทศน์ ที่บ้านสายลม เมื่อวันที่ 10 มิถุ นายน 2534 ว่า ถ้าไม่มี อิทธิบาท 4 ปฏิบัติ อีกโกฏิปี ก็เอาดีไม่ได้ อิทธิบาท 4 ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา มีศีล เป็นปกติ คนที่เขามีศีลน่ะ เขาไม่สร้างความยุ่งยาก ให้กับบุคคลอื่น เพราะว่า เขามองหาความเลวของตัวเป็นสำคัญ ถ้าจิต ของเราดีมันก็ไม่ยุ่ง กายก็ดี วาจาก็ดี ถ้าจิตของเรา เลวลง วาจาก็เลว กายก็เลว ที่นี้ทุกคนจงสำนึกตัวไว้ อย่าให้มีอะไรเกิด ขึ้นเป็นการผิดระเบียบ ตามพระพุทธศาสนา และตามระเบียบวินัยแล้ว เราก็ควบคุมศีล ศีลของเรามีเท่าไหร่ ปฏิบัติให้ครบ ทำไว้ให้มันครบ ธรรมะมีเท่าไหร่ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน มีเท่าไหร่ ปฏิบัติให้ครบ อารมณ์สมถะมี 40 ปฏิบัติ ให้มันครบองค์ วิปัสสนาญาณมี เท่าไหร่ปฏิบัติให้ครบ ถ้าพยายามคิด ประพฤติอยู่อย่างนี้ มันก็ไม่มีเวลาไปยุ่งกับบุค คลอื่น ถ้าเราดีเสียแล้ว ก็ไม่สร้างความยุ่งยาก ความเดือดร้อน ให้แก่บุคคลอื่นก็ชื่อว่า ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเอง

    ที่มา
    Firstbuddha.com :
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,705
    ค่าพลัง:
    +51,934
    *** ซื้อตั๋วด้วยสัจจะ ****

    จะไป ไม่ไป ขึ้นกับตนเองตัดสินใจ
    แล้วลงมือทำจริง ทุกวัน

    อยากอยู่กับโลก ก็ต้องผจญอดทนกับ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
    อยากพ้นทุกข์ ก็ต้องค่อยๆขจัด ตัวอยาก ตัวดึงดูด กับสิ่งต่างๆในโลก

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  11. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,705
    ค่าพลัง:
    +51,934
    ความคิด ความเชื่อ...เป็นเหตุิ
    พอได้ลองก็ติดใจ ทำบ่อยๆจึงเป็นนิสัยสันดาน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    หลวงปู่ดู่สอนศิษย์ "คนดีไม่ตีใคร"

    ธรรมะจาก หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จังหวัดอยุธยา

    หลวงปู่บอกว่าคนดีเขาไม่ว่าใครถ้าแกไปว่าเขาแกก็จะเป็นคนไม่ดี

    หลวงปู่ท่านมักกล่าวถึงมงคลที่สำคัญที่ท่านอยากให้ลูกศิษย์ได้นำไปปฏิบัติคือ มงคล 38 ประการ มงคลที่ท่านพูดถึงบ่อยๆ นั่นคือสัมมาวาจาชอบ คือ พูดแต่สิ่งที่เป็นมงคลท่านว่าคนส่วนมากมักสร้างกรรมทางวาจาเพราะกรรมนี้สร้างได้ง่ายแต่เขาไม่รู้หรอกว่าผลของกรรมเมื่อส่งผลจะร้ายแรงเพียงไร คำพูดนั้นสำคัญมากบางคนพูดไม่ดีกับผู้อื่นจนเป็นเหตุถึงโกรธเกลียดกันชั่วชีวิตก็มี

    บางรายคำพูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้ไม่พูดกันไปหลายปีคนส่วนมากที่ขึ้นโรงขึ้นศาลหรือทะเลาะกันจนไปถึงฆ่ากันตายก็เพราะคำพูดที่ไม่ดีนี่แหละ หลวงปู่ท่านสอนอยู่เสมอว่า อย่าไปพูดไม่ดีกับใครเขาถ้ามีคนมาว่าหรือด่าเราแต่เราไม่ว่าหรือด่าเขาตอบมันก็จะไม่มีเรื่องกัน

    แต่ถ้าแกไปด่าเขาเมื่อไรนั่นแหละเรื่องใหญ่ท่านสอนศิษย์เสมอว่าอย่าไปพูดทำลายความหวังของใครเขา เพราะนั้นอาจจะเป็นความหวังเดียวที่เขามีอยู่ ถ้าแกไปพูดเข้าเมื่อไหร่กรรมใหญ่จะตกแก่ตนเองท่านบอกไว้อีกว่าคนที่ชอบด่าหรือใส่ร้ายผู้อื่น รวมไปถึงการพูดไม่ดีต่างๆ กับคนอื่นนั้นกรรมจะมาเร็วมาก เขาผู้นั้นจะเป็นคนที่มีศัตรูทั้งภายนอกและภายในไม่เป็นที่รักของคนทั่วไป ตรงกันข้ามกับเป็นคนที่น่ารังเกียจแก่คนทั้งหลายกรรมนี้จะทำให้เขามีเรื่องและเดือดร้อนอยู่เสมอๆ ทั้งทางกายและทางใจบางคนทำกรรมนี้ไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัวพอกรรมดีที่ตนเคยสร้างมาแต่ปางก่อนหมดหรือเหลือน้อยลงกรรมชั่วที่สร้างนี้ก็จะสนองเขาอย่างหนักทั้งในภพนี้และภพหน้า ในภพนี้เวลาที่กรรมดีแต่ปางก่อนจะส่งผลให้มีความสุขหรือมีโชคลาภกรรมชั่วก็จะเข้ามาตัดรอนกรรมดี


    เหมือนอย่างเขาผู้นั้นซื้อหวยเลข 56 หวยก็จะออกเลข 55 หรือ 57 บางทีก็ติดต่อการค้าหรืองานต่างๆ มองเห็นอยู่ว่างานนี้ได้แน่นอน แต่พอถึงเวลาก็ไปไม่ทันบ้างไปแล้วไม่เจอหรือมีเหตุต่างๆ มาทำให้มีอุปสรรคอยู่เสมอๆ ซึ่งที่จริงแล้วผู้นั้นจะมีโชคที่ควรได้ประมาณเป็นล้านๆ เขาก็จะได้แค่หมื่นสองหมื่น หรือโชคครั้งนี้จะได้หลายหมื่นแต่เขากับได้เพียงไม่กี่พันบาทหรือเพียงได้ไม่กี่ร้อยเท่านั้นเอง นี้เป็นเพราะกรรมชั่วเข้ามาตัดรอนกรรมดีและรวมถึงญาติพี่น้องลูกหลานเขาเหล่านั้นก็จะทำความเดือดร้อนเสียหายมาให้ มีพี่น้องหรือญาติไปจนถึงเพื่อนฝูงก็จะโกงทรัพย์สินเงินทองของเราบ้าง บางครั้งก็พูดใส่ร้ายให้โทษด่าว่าทะเลาะวิวาททำให้เราไม่สบายกายและสบายใจเป็นอย่างมาก มีเรื่องเดือดร้อนต่างๆ อยู่ตลอดเวลาอย่างไม่จบสิ้นมีลูกหลานก็จะดื้อด้านว่านอนสอนยาก ทำความเดือดร้อนให้เสียเงินทองอยู่มิได้ขาด ว่ากล่าวลูกหลานไม่เชื่อฟังไม่เคารพนับถือลูกหลานบางคนก็จะอกตัญญูตนเองมักจะเดือดร้อนด้วยการเป็นโรคร้ายที่รักษายากหรือรักษาไม่หายเช่น อัมพฤตอัมพาตมะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคร้ายต่างๆ อีกมากมายหลายชนิด


    หลวงปู่ท่านบอกไว้ว่ากรรมทางวาจามีร้ายแรงมากการที่เราพูดใส่ร้ายหรือพูดไม่ดีจนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนและเสียใจ หรือไปพูดทำลายความหวังต่างๆ ของเขาถ้ารู้ตัวให้หยุดเสียถ้าไม่หยุดหรือเลิกทำเสียกรรมไม่สนองแต่ในชาตินี้พอตายลงไปยังต้องไปใช้กรรมยังนรกตามขุมต่างๆ อีก ท่านจะพูดและสอนศิษย์อยู่เสมอว่า "คนดีเขาไม่ตีใคร" ความหมายว่าคนดีไม่ตีใครไม่ใช่เอาไม้หรือของแข็งๆ ไปตีเขาแต่ท่านไม่ให้พูดจาไม่ดีด่าว่าใส่ร้ายทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเสียหายและ "ทุกข์ใจ"


    ที่มา
    หลวงปู่ดู่สอนศิษย์ "คนดีไม่ตีใคร"

    ลูกขอกราบลูกหลวงปู่ดู่...ด้วยเศียรเกล้า
    _/l\_ _/l\_ _/l\_

    ลูกคนนี้จะน้อมนำคำสั่งสอนของหลวงปู่่ดู่ไปปฎิบัติให้จงได้
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ศีล-สมถะ-วิปัสสนา

    ศีล....... รักษา กาย วาจา เพื่อให้ไม่ไปสร้างเหตุแห่งอกุศลกรรม ทำให้จิตไม่มีนิวรณ์ทั้ง ๕ มารบกวน เตรียมพร้อมที่จะสร้างกุศลกรรมให้เกิดขึ้น

    สมถะกรรมฐาน....รักษาสงบของใจ หากกระทำให้ต่อเนื่อง จริงจัง สม่ำเสมอ จิตจักมีพลัง สงบ เยือกเย็น มีสติตามรู้เท่าทันในอริยบถต่างๆ ทำให้การงานต่างลุล่วงไปได้อย่างดี แลมีของแถม อันเป็นอภิญญาต่างๆ ตามที่บุญวาสนาต่างๆของแต่ล่ะบุคคลได้สั่งสมมา

    วิปัสนากรรมฐาน.......รักษาความความโ่ง่ให้หายขาดไปจากใจ ตัดขาดซึ่งภพ ชาติ ไม่ยึดกับสิ่งใดๆ ประหัตประหารกิเลสเป็นสมุทเฉทปหาน บุคคลใดที่เจริญวิปัสสนากรรมฐานจนจิตหลุดพ้นจากอาสวะกิเลส อันเป็นเครื่องหมักดองแล้วไซร้ บุคคลนั้นได้ชื่อว่า เป็นพระอรหันตขีนาสพ ปราศจาก โลภ โกรธหลง โดยสิ้นเชิง


    เครดิต (เห็นคนเขาเข้าไปขโมยกันเต็มเลย ก็เลยนึกไปขโมยกับเขามั่ง)
    โมกขทรัพย์ ลูกหลวงพ่อฤาษี พุทธบุตร

    ก็เพราะว่า..รักกันนี่ไง๊! ถึงได้นำธรรมะมาฝากกัน
    โอ้โห! คุณโมกขทรัพย์ สมแล้วที่เป็นลูกหลวงพ่อฤาษี เห็นมีแต่รูปเกาหลี เอ๊ย รูปหลวงพ่อฤาษีเต็มเลย
    พวกเราอย่าเกาะกลุ่มคุยกันมากนักนะ ให้นำจิตไปเกาะพระ เกาะคำสั่งสอนหรือธรรมะของพระพุทธเจ้า หรือ ครูบาอาจารย์ของเราเยอะ
    เพราะจิตของเราจะได้ตั้งอยู่แต่พวก บุญกุศล นอกจากทรงฌานเป็นปกติแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กุมภาพันธ์ 2013
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คำสอน สมเด็จองค์ปฐม​

    กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตอบสนอง เรียนรู้กฎของกรรมเอาไว้แล้ว ก็จงอย่าประมาทในกรรม
    และกรรมแปลว่าการกระทำ ไม่ว่าทางกาย-ทางวาจา-ทางใจ ก็เป็นกรรม ทำดีได้ดี-ทำชั่วได้ชั่วแน่นอนเที่ยงแท้ที่สุดในเรื่องกฎของกรรม
    เมื่อร่างกายเจ็บป่วย ก็ให้ยอมรับว่าเป็นกฎของกรรมที่ตามมาให้ผล
    จงพิจารณาให้เห็น เป็นทุกข์-เป็นอริยสัจ-เป็นธรรมดาของผู้มีร่างกาย อย่ากังวลให้มากนัก เมื่อกฎของกรรมตามมาให้ผล

    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๑๕
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  15. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    โมทนา สาธุ กับ คุณจุ๋มจิต บุญ๑๓๒ และคุณฝ้ายจิตบุญ๑๓๓ พร้อมทั้งครูผู้สอน
    และท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ในครั้งนี้ด้วยครับ

    พี่เมศขอแผ่เมตตาและยกผลบุญบารมีที่มีมาทั้งหมด ให้กับจิตบุญและครูฝึกทุกท่าน
    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ สาธุ


    ปาราเมศ....นิวเวป จบ.๑๔
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เตือนจิตลูกเดียว!

    เพราะจิตที่จะไปเป็นเทพหรือเทวดา พรหม หรือ พระนิพพาน มิใช่กาย!

    ขอให้ทุกท่าน สนใจดูแต่จิตตนเอง
    ขัดแต่จิตตนเอง
    ต่อไปนี้พี่ภูจะไม่ไปขัดจิตใจของผู้อื่นแทนแล้ว เพราะว่า..เข็ดแร๊ะ
    ใครชอบเดินหลงทาง ชอบแวะข้างทาง ไม่เดินตรงทาง ช่างเขาปะไร อุเบกข๋าๆ

    แล้วนำจิตตนเอง ยกไปอยู่ข้างบนให้ได้ตลอดเวลา เท่าที่นึกกันได้
    และหวนกลับมาดูกายเคลื่อนไหว ดูใจเคลื่อนไหวของตนเอง
    หรือดูความเกิด-ดับของกิเลสตน ดูความรู้สึกนึกคิดต่างๆของตนไป คนเดียวจะดีกว่า
    หนุกหนานดีออก

    ถ้าผู้ใด ทำจิตของตนได้แบบนี้นะ บอกได้คำเดียวว่า ส.บ.ม.
    และคำว่า อยู่เหนือขันธ์ ๕ เป็นเช่นไร มันเด่นชัดกันตรงนี้เลย
    อะไร๊กับสิ่งที่มากระทบกายใจ ส.บ.ม.

    อยู่หลายคนเห็นแต่ กรรม พออยู่คนเดียวเห็นแต่ ธรรม

    ปล.ปัญญา(ทางธรรม) ทุกท่านตามหากันได้ที่ หลังจิตเป็นสมาธิ นั่นไง๊
    นอกนั้นเป็นปัญญาทางโลก(สัญญา)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กุมภาพันธ์ 2013
  17. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    [​IMG]




    .......... ชัยชนะใด จะยิ่งใหญ่เท่า ชนะใจตน นั้นไม่มี............

    ทุกตำรา ทุกครูบาอาจารย์ ต่างสอนเอาไว้ว่า
    จิต+สติ=สมาธิ
    เมื่อสมาธิดีแล้ว ก็จะเกิดปัญญา และปัญญาญาน
    แล้วให้เอาปัญญานั้นไปพิจารณาหาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
    และนำผลที่ได้จากปัญญาที่รู้แจ้งแล้วนั้น ไปเป็นแนวปฏิบัติ
    ที่นำไปสู่หรือนำไปถึงซึ่งความดับทุกข์
    อันจะเข้าสู่หลักการพิจารณา อริยสัจ4 นั่นเอง

    อริยสัจ หรือจตุราริยสัจ หรืออริยสัจ 4 เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่สี่ประการ คือ

    1. ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น กล่าวโดยย่อ ทุกข์ก็คืออุปาทานขันธ์ หรือขันธ์ 5

    2. ทุกขสมุทัย คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 คือ
    กามตัณหา-ความทะยานอยากในกาม ความอยากได้ทางกามารมณ์,
    ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ และ วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ

    3. ทุกขนิโรธ คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ ดับตัณหาทั้ง 3 ได้อย่างสิ้นเชิง

    4. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา คือ แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มรรคอันมีองค์ประกอบอยู่แปดประการ คือ
    1. สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นชอบ
    2. สัมมาสังกัปปะ-ความดำริชอบ
    3. สัมมาวาจา-เจรจาชอบ
    4. สัมมากัมมันตะ-ทำการงานชอบ
    5. สัมมาอาชีวะ-เลี้ยงชีพชอบ
    6. สัมมาวายามะ-พยายามชอบ
    7. สัมมาสติ-ระลึกชอบ และ
    8. สัมมาสมาธิ-ตั้งใจชอบ ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า
    "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง

    มรรคมีองค์แปดนี้สรุปลงในไตรสิกขา ได้ดังนี้
    1. อธิสีลสิกขา ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ
    2. อธิจิตสิกขา ได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ และ
    3. อธิปัญญาสิกขา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ

    อริยสัจ 4 นี้ เรียกสั้น ๆ ว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    ขอเจริญในธรรม

    ปาราเมศ นิวเวป จบ.๑๔
     
  18. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    พุทธศาสนาสอนถึงใจตน... คนไม่เห็นใจของตนแล้วจะไปถึงศาสนาได้อย่างไร...
    การละชั่วทั้งปวงก็ต้องเห็นด้วยใจของตนเองเสียก่อนจึงจะละได้... ความดีที่ตนจะทํานั้นถ้าไม่เห็นด้วยใจของตนเองแล้ว... ก็จะทําไม่ได้ ถึงทําไปก็สักแต่ทําไม่มั่นคง...
    การชําระใจของตนให้บริสุทธ์ผ่องแผ้วยิ่งแล้วใหญ่... ถ้าไม่เห็นใจของตนแล้วจะไปละได้อย่างไร...
    ธรรมะของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    ลูกขอน้อมกราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าค่ะ
     
  19. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ทุกข์เดือด ทุกหย่อมหญ้า

    ศีลนั้นอยู่ที่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้รักษา แล้วก็รู้ว่าผู้นั้นเป็นตัวศีล

    ศีลก็อยู่ที่คนนี้เจตนาเป็นตัวศีล เจตนาคือ จิตใจคนเราถ้าจิตไม่มีก็ไม่เรียกว่าตน

    มีแต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตไม่เป็นศีล

    กายก็ประพฤติไปต่างๆ ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษ จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว

    ไม่มีเรื่อหลงหาหลงของคนที่ขอต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไีรยิ่งไม่มี.

    กายกับจิตเราได้มาแล้วมีอยู่แล้ว มีอยู่แล้ว ได้จากบิดามารดาพร้อมบริบูรณ์แล้ว

    จะทำให้เป็นศีลก็ให้รีบทำ ศีลมีอยู่ที่เรานั้นแล้ว รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล

    ผู้มีศีล ย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ ผู้มีศีลย่อมมีความสุข ผู้ที่จักมีดั่งบริบูรณ์ สมบูรณ์

    ไม่อด ไม่อยาก ไม่จน ก็เพราะรักษาศีลได้สมบูรณ์จิตดวงเดียว เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา.

    ธรรมะคำสั่งสอนของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต. ลูกขอน้อมกราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2013
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีครับคุณnatatik
    ขอตอบใหม่อีกรอบนึง วันก่อนตอบไปแล้ว แต่มันแฮ๊งไรไม่รุ๊
    ผมยังจำคุณได้เสมอ สุขกายสบายใจดีนะครับ
    ฮ่าๆ ยังอุตส่าห์จำกันได้ ตามไปดู นึกว่ากระทู้อะไรซะอีก
    คุณนี่ก็อีกคนนึงที่เชียร์ให้เปิดกระทู้นี้ใช่ไหม และประกอบกับครูบาอาจารย์มาเร่งให้เปิดๆกระทู้อีก
    นึกว่ามีแค่สองสามคนตามที่คุณว่า ผมเห็นคุณลินดาคนที่สองและตามด้วยคุณก้องเกียรติ คุณวิทย์มั้ง
    ไปๆมาๆก็เลยยาวเลย
    แล้วคุณหายไปไหนเสียหล่ะ จิตคนที่เอยชื่อมานั้น เขายกกันไปหมดแล้วนะ เหลือแต่คุณนี่แหล่ะ จะไม่ลองหน่อยหรอ?
    ไงก็อย่าลืมมาให้ธรรมทานกันบ้างนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กุมภาพันธ์ 2013

แชร์หน้านี้

Loading...