พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.budpage.com/ba32.shtml

    ความสุข ๕ ชั้น​

    พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต)



    <CENTER><TABLE><TBODY><TR><TD width=600><CENTER><TABLE><TBODY><TR><TD width=550>
    1. ฝึกตนยิ่งขึ้นไป ดำเนินชีวิตให้ถูก ความสุขยิ่งเพิ่มพูน
    เมื่อทำตัวเป็นพระพรหมได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้วก็มาทำชีวิตให้เข้าถึงความสุข ในทีนี้ขอพูดคร่าว ๆ ถึงความสุข ๕ ชั้นขอพูดอย่างย่อ ในเวลาที่เหลืออันจำกัดดังนี้

    ขั้นที่ ๑ คือ ความสุขจากการเสพวัตถุ หรือสิ่งบำรุงบำเรอภายนอกที่นำมาปรนเปรอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเรา ข้อนี้เป็นความสุขสามัญที่ทุกคนในโลกปรารถนากันมาก ความสุขประเภทนี้ขึ้นต่อสิ่งภายนอก เพราะว่าเป็นวัตถุ หรืออามิสภายนอก เมื่อเป็นสิ่งภายนอก อยู่นอกตัว ก็ต้องหา ต้องเอา เพราะฉะนั้นสภาพจิตของคนที่หาความสุขประเภทนี้จึงเต็มไปด้วยความคิดที่จะได้จะเอา แล้วก็ต้องหา และดิ้นรนทะยานไป เมื่อได้มาก ก็มีความสุขมาก แล้วก็เพลิดเพลินไปกับความสุขเหล่านั้น พอได้มาก ๆ เข้า ต่อมาก็นึกว่าตัวเองเก่งมาก ๆ ไป ๆ มา ๆ โดยไม่รู้ตัวก็มีภาวะอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คือ ชีวิตและความสุขของตัวเองต้องไปขึ้นกับวัตถุเหล่านั้น อยู่ลำพังง่าย ๆ อย่างเก่า ไม่สุขเสียแล้ว ตอนที่เกิดมาใหม่ ๆ นี้ ไม่ต้องมีอะไรมากก็พอจะมีความสุขได้ ต่อมามีวัตถุมาก เสพมาก ทีนี้ขาดวัตถุเหล่านั้นไม่ได้เสียแล้ว กลายเป็นว่าสูญเสียอิสรภาพ ชีวิตและความสุขต้องไปขึ้นกับวัตถุภายนอก แต่เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเก่ง อันนี้เป็นข้อสำคัญที่คนเราหลงลืมไป ทางธรรมจึงเตือนไว้เสมอว่าเรา อย่าสูญเสียอิสรภาพนี้ไป พร้อมทั้งอย่าสูญเสียความสามารถที่จะเป็นสุข
    สิ่งที่คนเราจะพัฒนากันมากก็คือ การพัฒนาความสามารถที่จะหาสิ่งเสพมาบำเรอความสุข แม้แต่การศึกษา ทำไปทำมาก็ไม่รู้ตัวว่ากลายเป็นการพัฒนาความสามารถที่จะหาสิ่งเสพบำเรอความสุข แต่อีกด้านหนึ่งของชีวิตที่ลืมไปคือการพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข ถ้าเราไม่พัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข หรือแม้แต่ไม่รักษามันไว้เราก็สูญเสียความสามารถที่จะมีความสุข
    อาการของคนที่สูญเสียความสามารถที่จะมีความสุข ก็คือยิ่งอยู่ในโลกนานไปก็ยิ่งกลายเป็นคนที่สุขยากขึ้น คนจำนวนมากสมัยนี้มีลักษณะอย่างนี้ คืออยู่ในโลกนานไป เติบโตขึ้น กลายเป็นคนที่สุขได้ยากขึ้น ต่างจากคนที่รักษาดุลยภาพของชีวิตไว้ได้ โดยพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขควบคู่ไปด้วย จะเป็นคนที่มีมีลักษณะตรงข้าม คือยิ่งอยู่ในโลกนานไป ก็ยิ่งเป็นคนที่สุขได้ง่ายขึ้น
    ถ้าเป็นคนที่สุขได้ง่ายขึ้น ก็ดี ๒ ชั้น คือ เราพัฒนาสองด้านไปพร้อมกัน ทั้งพัฒนาความสามารถที่จะหาสิ่งเสพบำเรอความสุขด้วย และพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขด้วย ผลก็คือ เราหาสิ่งมาบำเรอความสุขได้เก่ง ได้มากด้วย และพร้อมกันนั้นเราก็เป็นคนทีสุขได้ง่ายด้วย เราก็เลยสุขซ้อนทวีคูณ
    ส่วนคนที่สูญเสียความสามารถที่จะมีความสุข แม้จะหาสิ่งเสพบำเรอความสุขได้มาก แต่ความสุขก็ที่เดิมเรื่อยไป เพราะข้างนอกได้มา ๑ แต่ข้างในก็ลดลงไป ๑ เลยเหลือ 0 ที่เดิม กระบวนการวิ่งหาความสุขจึงดำเนินไปไม่รู้จักจบสิ้น เพราะความสุขวิ่งหนีเราไปเรื่อย ๆ
    เพราะฉะนั้น จะต้องพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขไว้ด้วยคู่กัน เป็นคนที่สุขได้ง่ายก็เป็นอันว่าสบาย อย่างน้อยก็ฝึกตัวเองไว้ อย่าให้ความสุขต้องขึ้นกับวัตถุมากเกินไป
    ศีล ๕ เป็นตัวอย่างของวิธีฝึกไม่ให้เราสูญเสียอิสรภาพ โดยไม่เอาความสุขไปขึ้นต่อวัตถุมากเกินไป แปดวันก็รักษาศีล ๘ ครั้งหนึ่ง ลองหัดดูซิว่าให้ความสุขของเราไม่ต้องขึ้นกับการบำรุงบำเรอทางกายด้วยวัตถุ เริ่มด้วยข้อวิกาลโภชนาฯ ไม่ต้องบำเรอลิ้นด้วยอาหารอร่อยอยู่เรื่อย ไม่คอยตามใจลิ้น กินแค่เที่ยง เพียงที่ที่ร่างกายต้องการเพื่อให้มีสุขภาพดี แข็งแรง ตลอดจนข้อ อุจจาสยนะฯ ไม่บำเรอตัวด้วยการนอน ไม่ต้องนอนบนฟูก ลองนอนง่าย ๆ บนพื้น บนเสื่อธรรมดา ลองไม่ดูการบันเทิงซิ ทุก ๘ วัน เอาครั้งเดียว จะเป็นการรักษาอิสรภาพของชีวิตไว้ และฝึกให้เรามีชีวิตอยู่ดีได้โดยไม่ต้องขึ้นกับวัตถุมากเกินไป
    พอฝึกได้แล้วต่อมาเราจะพูดถึงวัตถุหรือสิ่งบำรุงความสุขเหล่านั้นว่า "มีก็ดี ไม่มีก็ได้" ต่างจากคนที่ไม่พัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข ซึ่งจะเอาความสุขไปขึ้นต่อวัตถุ ถ้าไม่มีวัตถุเหล่านั้นเสพแล้วอยู่ไม่ได้ รุรนทุราย ต้องพูดถึงวัตถุหรือสิ่งเสพเหล่านั้นว่า "ต้องมีจึงจะอยู่ได้ ไม่มีอยู่ไม่ได้" คนที่เป็นอย่างนี้จะแย่ ชีวิตนี้สูญเสียอิสรภาพ คนยิ่งอายุมากขึ้นสถานการณ์ก็ไม่แน่นอน ถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ร่างกายเสพความสุขจากสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ เช่น ลิ้นไม่รับรู้รส กินอาหารก็ไม่อร่อย ถ้าไม่ฝึกไว้ ความสุขของตัว ไปอยู่ที่วัตถุเหล่านั้นเสียหมดแล้ว และตัวก็เสพมันไม่ได้ จิตใจก็ไม่มีความสามารถที่จะมีความสุขด้วยตนเอง ก็จะลำบากมาก ทุกข์มาก เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ฝึกไว้ รักษาศีล ๘ นี้แปดวันครั้งหนึ่ง จะได้ไม่สูญเสียอิสรภาพนี้ไป
    เพราะฉะนั้นเอาคำว่า "มีก็ดี ไม่มีก็ได้" นี้ไว้ ถามตัวเอง เป็นการตรวจสอบอยู่เสมอว่า เราถึงขั้นนี้หรือยัง หรือต้องมีจึงจะอยู่ได้ ถ้ายังพูดได้ว่า มีก็ดีไม่มีก็ได้ ก็เบาใจได้ว่า เรายังมีอิสรภาพอยู่ ต่อไปถ้าเราฝึกเก่งขึ้นไปอีก อาจจะมาถึงขั้นที่พูดได้ในบางเรื่องว่า "มีก็ได้ ไม่มีก็ดี" ถ้าได้อย่างนี้ก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก
    คนที่พูดได้อย่างนี้ จะมีความรู้สึกว่าของพวกนี้เกะกะ เราอยู่ของเราง่าย ๆ ดีแล้ว มีก็ได้ไม่มีก็ดี ไม่มีเราก็สบาย ชีวิตเป็นอิสระโปร่งเบาความสุขเริ่มไม่ขึ้นต่อวัตถุอามิสสิ่งเสพภายนอก ความสุขเริ่มไม่ต้องหา
    -ความสุขที่ต้องหา แสดงว่าเราขาด คือยังไม่มีความสุขนั้นเราหาได้ที เสพทีก็มีสุขที แต่ระหว่างนั้นต้องอยู่ด้วยการอ อยู่ด้วยความหวัง บางทีก็ถึงกับทุรนทุราย กระวนกระวาย เพราะฉะนั้น จะต้องทำตัวให้มีความสุขด้วยตนเองสำรองไว้ให้ได้ ด้วยวิธีฝึกรักษาอิสรภาพของชีวิต และรักษาความสามารถที่จะมีความสุขไว้

    ขั้นที่ ๒ พอเจริญคุณธรรม เช่น มีเมตตากรุณา มีศรัทธา เราก็มีความสุขเพิ่มขึ้นอีกประเภทหนึ่ง แต่ก่อนนี้ชีวิตเคยต้องได้วัตถุมาเสพต้องได้ ต้องเอา เมื่อได้จึงจะมีความสุข ถ้าคือเสียก็ไม่มีความสุข แต่คราวนี้ คุณธรรมทำให้ใจเราเปลี่ยนไป เหมือนพ่อแม่ที่มีความสุขเมื่อให้แก่ลูก เพราะรักลูก ความรักคือเมตตา ทำให้อยากให้ลูกมีความสุขพอให้แก่ลูกแล้วเห็นลูกมีความสุข ตัวเองก็มีความสุข เมื่อพัฒนาเมตตากรุณาขยายออกไปถึงใคร ให้แก่คนนั้น ก็ทำให้ตัวเองมีความสุขศรัทธาในพระศาสนาในการทำความดี และในการบำเพ็ญประโยชน์เป็นต้น ก็เช่นเดียวกัน เมื่อให้ด้วยศรัทธา ก็มีความสุขจากการให้นั้น ดังนั้นคุณธรรมที่พัฒนาขึ้นมาในใจ เช่น เมตตากรุณา ศรัทธา จึงทำให้เรามีความสุขจากการให้ การให้กลายเป็นความสุข

    ขั้นที่ ๓ ความสุขเกิดจากการดำเนินชีวิตถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติ ไม่หลงอยู่ในโลกของสมมติ ที่ผ่านมานั้นเราอยู่ในโลกของสมมติมาก และบางทีเราก็หลงไปกับความสุขในโลกของสมมตินั้น แล้วก็ถูกสมมติ ล่อหลอกเอา อยู่ด้วยความหวังสุขจากสมมติที่ไม่จริงจังยั่งยืน และพาให้ตัวแปลกแยกจากความจริงของธรรมชาติ และขาดความสุขที่พึงได้จากความเป็นจริงในธรรมชาติเหมือนคนทำสวนที่มีวหวังความสุขจากเงินเดือน เลยมองข้ามผลที่แท้จริงตามธรรมชาติจากการทำงานของตัว คือความเจริญงอกงามของต้นไม้ ทำให้ทำงานด้วยความฝืนใจเป็นทุกข์ ความสุขอยู่ที่การได้เงินเดือนอย่างเดียว ได้แต่รอความสุขที่อยู่ข้างหน้า แต่พอใจมาอยู่กับความเป็นจริงของธรรมชาติ อยากเห็นผลที่แท้จริงตามธรรมชาติของการทำงาน ของตน คือ อยากเห็นต้นไม้เจริญงอกงาม หายหลงสมมติ ก็มีความสุขในทำสวน และได้ความสุข จากการชื่นชมความเจริญงอกงามของต้นไม้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น คนที่ปรับชีวิตได้ เข้าถึงความจริงของธรรมชาติ จึงสามารถหาความสุขจากการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของธรรมชาติ ได้เสมอ พอปัญญามาบรรจบให้วางใจถูก ชีวิตและความสุขก็ถึงความสมบูรณ์


    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2007
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขั้นที่ ๔ ความสุขจากความสามารถปรุงแต่ง คนเรานี้มีความสามารถในการปรุงแต่ง ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของมนุษย์ ปรุงแต่งทุกข์ก็ได้ ปรุงแต่งสุขก็ได้ โดยเฉพาะที่เห็นเด่นชัดก็คือปรุงแต่งความคิดมาสร้างสิ่งประดิษฐ์ จนมีเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย
    ที่สำคัญก็คือในใจของเราเอง เรามักจะใช้ความสามารถในทางที่เป็นผลร้ายแก่ตนเอง แทนที่จะปรุงแต่งความสุข เรามักจะปรุงแต่งทุกข์ คือเก็บเอาอารมณ์ที่ไม่ดี ที่ขัดใจ ขัดหู ขัดตา เอามาครุ่นคิดให้ไม่สบายใจ ขุ่นมัว เศร้าหมอง โดยเฉพาะคนที่สูงอายุนี่ ต้องระวังมาก ใจคอยจะเก็บอารมณ์ที่กระทบกระเทือน ไม่สบาย แล้วก็มาปรุงแต่ง ให้เกิดความกลุ้มใจ ว้าเหว่ เหงา เรียกใช้ความสามารถไม่เป็น
    พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรารู้จักใช้ความสามารถในการปรุงแต่งแทนที่จะปรุงทุกข์ ก็ปรุงสุข เก็บเอาแต่อารมณ์ที่ดีมาปรุงแต่งใจให้สบาย แม้แต่หายใจ ที่ยังให้ปรุงแต่งความสุขไปด้วย ลองฝึกดูก็ได้เวลาหายใจเข้า ก็ทำใจให้เบิกบาน เวลาหายใจออก ก็ทำใจให้โปร่งเบาทานสอนไว้ว่าสภาพจิต 5 อย่างอย่างนี้ ควรปรุงแต่งให้มีในใจอยู่เสมอ คือ
    1. ๑. ปราโมทย์ ความร่าเริงเบิกปานใจ
      ๒. ปีติ ความอิ่มใจ
      ๓. ปัสสัทธิ ความสงบเย็น ผ่อนคลายกายใจ ไม่เครียด
      ๔. ความสุข ความโปร่งโล่งใจ คล่องใจ สะดวกใจ ไม่มีอะไรมาบีบคั้น หรือติดขัดคับข้อง และ
      ๕. สมาธิ ภาวะที่จิตอยู่กับสิ่งที่ต้องการ ได้ตามาต้องการ ไม่มีอะไรมารล[กวน จิตอยู่ตัวของมัน
    ขอย้ำว่า ๕ ตัวนี่สร้างไว้ประจำใจให้ได้ เป็นสภาพจิตที่ดีมาก ผู้เจริญในธรรมจะมีคุณสมบัติของจิตใจ ๕ ประการนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    1. ตโต ปาโมชฺชพหุโล ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสติ
    1. แปลว่า ภิกษุปฏิบัติถูกต้องแล้ว มากด้วยปราโมทย์ มีจิตใจร่าเริงเบิกบานอยู่เสมอ จักทำทุกข์ให้หมดสิ้นไป ท่านพูดไว้ถึงอย่างนี้
    ฉะนั้น ท่านผู้เกษียณอายุนั้น ถึงเวลาแล้ว ควรจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ถือเป็นโอกาสดี มาปรุงแต่งใจ แต่ก่อนนี้ปรุงแต่งแต่ทุกข์ทำให้ใจเครียด ขุ่นมัว เศร้าหมอง ตอนนี้ปรุงแต่งใจให้มีธรรม 5 อย่างนี้ คือ ปราโมทย์ มีความร่าเริงเบิกบานใจ ปีติ ความอิ่มใจ ปัสสัทธิ ความผ่อนคลาย สงบเย็นกายใจ สุข โล่งโปร่งใจ สมาธิ สงบใจตั้งมั่น ไม่มีอะไรมารบกวน อยู่ตัว สบายเลย ทำใจให้ได้อย่างนี้อยู่เสมอ ท่องไว้เลย 5 ตัวนี้ คือ ปราโมทย์ ปีติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ พระพุทธเจ้าประทานไว้แล้ว ทำไมเราไม่เอามาใช้ นี่แหละความสามารถในการปรุงแต่งจิต เอามาใช้ สบายแน่ และก็เจริญงอกงามในธรรมด้วย
    โดยเฉพาะ ที่นผู้สูงอายุนั้นก็เป็นธรรมดาว่าจะต้องมีเวลาพักและเวลาว่างที่ว่างจากกิจกรรม มากกว่าคนหนุ่มสาวและคนวัยทำงานที่เขายังมีกำลังร่างกายแข็งแรงดี ว่างจากงานเขาก็ไปเล่นไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้มาก แต่ท่านที่สูงอายุ นอกจากออกกำลังบริหารร่างกายบ้างแล้ว ก็ต้องการเวลาพักผ่อนมากหน่อย จึงมีเวลาว่าง ซึ่งไม่ควรปล่อยให้กายว่างแต่ใจวุ่น
    เพราะฉะนั้น ในเวลาที่ว่าง ไม่มีอะไรทำ และก็ยังไม่พักผ่อนนอนหลับ หรือนอนแล้วก่อนจะหลับ ก็พักผ่อนจิตใจให้สบาย ขอเสนอวิธีปฏิบัติง่าย ๆ ไว้อย่างหนึ่งว่า ในเวลาที่ว่างอย่างนั้น ให้สูดลมหายใจเข้าและหายใจออกอย่างสบาย ๆ สม่ำเสมอ ให้ใจอยู่กับลมหายใจที่เข้าและออกนั้น พร้อมกันนั้นก็พูดในใจไปด้วย ตามจังหวะลมหายใจเข้าและออกว่า
    1. จิตใจเบิกบานหายใจเข้า
      จิตใจโล่งเบาหายใจออก
    ในเวลาที่พูดในใจอย่างไร ก็ทำใจให้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ด้วย หรืออาจจะเปลี่ยนเป็นสำนวนใหม่ก็ได้ว่า
    1. หายใจเข้า สูดเอาความสดชื่น
      หายใจออก ฟอกใจให้สดใส
    ถูกกับตัวแบบไหน ก็เลือกเอาแบบนั้น หายใจพร้อมกับทำใจไปด้วยอย่างนี้ตามแต่จะมีเวลาหรือพอใจ ก็จะได้การพักผ่อนที่เสริมพลังทั้งร่างกายและจิตใจ ชีวิตจะมีความหมาย มีคุณค่า และมีความสุขอยู่เรื่อยไป

    ขั้นที่ ๕ สุดท้าย ความสุขเหนือการปรุงแต่ง คราวนี้ไม่ต้องปรุงแต่ง คืออยู่ด้วยปัญญา ที่รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต การเข้าถึงความจริงด้วยปัญญาเห็นแจ้ง ทำให้วางจิตวางใจลงตัวสนิทสบาย กับทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่อย่างผู้เจนจบชีวิต
    สภาพจิตนี้จะเปรียบเทียบได้เหมือนสารถีที่เจนจบการขับรถสารถีผู้ชำนาญในการขับรถนั้น จะขับม้าให้นำรถเข้าถนน และวิ่งด้วยความเร็วพอดี ตอนแรกต้องใช้ความพยายาม ใช้แซ่ ดึงบังเหียนอยู่พักหนึ่ง แต่พอรถม้านั้นวิ่งเข้าที่เข้าทางดี ความเร็วพอดี อยู่ตัวแล้ว สารถีผู้เจนจบ ผู้ชำนาญแล้วนั้น จะนั่งสงบสบายเลย แต่ตลอดเวลานั้นเขามีตลอดเวลานั้นเขาไม่มีความประหวั่น ไม่มีความหวาด จิตเรียบสนิท ไม่เหมือนคนที่ยังไม่ชำนาญ จะขับรถนี่ ใจคอไม่ดี หวาดหวั่น ใจคอยกังวลโน่นนี่ ไม่ลงตัว แต่พอรู้เข้าใจความจริงเจนจบดี ด้วยความรู้นี่แหละ จะปรับความรู้สึกให้ลงตัว เป็นสภาพจิตที่เรียบสงบสบายที่สุด
    คนที่อยู่ในโลกด้วยความรู้เข้าใจโลกและชีวิตตามเป็นจริง จิตเจนจบกับโลกและชีวิต วางจิตลงตัวพอดี ทุกอย่างเข้าที่อยู่ตัวสนิทอย่างนี้ ท่านเรียกว่าเป็นจิตอุเบกขา เป็นจิตที่สบาย ไม่มีอะไรกวนเลยเรียบสนิท เป็นตัวของตัวเอง ลงตัว เมื่อทุกสิ่งเข้าที่ของมันแล้ว คนที่จิตลงตัวเช่นนี้ จะมีความสุขอยู่ประจำตัวอยู่ตลอดเวลา เป็นสุขเต็มอิ่มอยู่ข้างใน ไม่ต้องหาจากข้างนอก และเป็นผู้มีชีวิตที่พร้อมที่จะทำเพื่อผู้อื่นได้เต็มที่ เพราะไม่ต้องห่วงกังวลถึงความสุขของตนและไม่มีอะไรที่จะต้องทำเพื่อตัวเองอีกต่อไป จะมองโลกด้วยปัญญาที่รู้ความจริง และด้วยใจที่กว้างขวางและรู้สึกเกื้อกูล
    คนที่พัฒนาความสุขมาถึงขึ้นสุดท้ายแล้วนี้ เป็นผู้พร้อมที่จะเสวยความสุขทุกอย่างใน ๔ ข้อแรก ไม่เหมือนคนที่ไม่พัฒนา ได้แต่หาความสุขประเภทแรกอย่างเดียว เมื่อหาไม่ได้ก็มีแต่ความทุกข์เต็มที่และในเวลาที่เสพความสุขนั้น จิตใจก็ไม่โปร่งไม่โล่ง มีความหวั่นใจหวาดระแวงขุ่นมัว มีอะไรรบกวนอยู่ในใจ สุขไม่เต็มที่ แต่พอพัฒนาความสุขขึ้นมา ยิ่งพัฒนาถึงขั้นสูงขึ้น ก็มีโอกาสได้รับความสุขเพิ่มขึ้นหลายทาง กลายเป็นว่า ความสุขมีให้เลือกได้มากมาย และจิตใจที่พัฒนาดีแล้ว ช่วยให้เสวยความสุขทุกอย่างได้เต็มที่ โดยที่ในขณะนั้น ๆ ไม่มีอะไรรบกวนให้ขุ่นข้องหมองมัว
    เป็นอันว่าธรรมะ ช่วยให้เรารู้จักความสุขในการดำเนินชีวิตมากยิ่ง ๆขึ้นไป สู่ความเป็นผู้เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ จนกระทั่งความสุขเป็นคุณสมบัติของชีวิตอยู่ภายในตัวเองตลอดทุกเวลา ไม่ต้องหาไม่ต้องรออีกต่อไป ความสุข ๕ ขั้นนี้ ความจริงแต่ละข้อต้องอธิบายกันมาก แต่วันนี้พูดไว้พอให้ได้หัวข้อก่อน คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์พอสมควร
    ขออนุโมทนา ท่านผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่าน ขอตั้งจิตส่งเสริมกำลังใจ ขอให้ทุกคนประสบจตุรพิธพรชัย มีปีติอิ่มใจอย่างน้อยว่า ชีวิตส่วนที่ผ่านมาได้ทำประโยชน์ ได้ทำสิ่งที่มีค่าไปแล้ว ถือว่าได้บรรลุจุดหมายของชีวิตไปแล้วส่วนหนึ่ง
    เพราะฉะนั้นจึงควรตั้งใจว่า เราจะเดินหน้าต่อไปอีกสู่จุดหมายชีวิตที่ควรจะได้ต่อไป เพราะยังมีสิ่งที่จะทำชีวิตให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีกไม่ใช่แค่นี้ ชีวิตนั้นยังเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เป็นประโยชน์ ที่จะทำให้เต็มเปี่ยมได้ยิ่งกว่านี้ จึงขอให้ทุกท่านเข้าถึงความสมบูรณ์ของชีวิตนั้นสืบต่อไปและขอให้ทุกที่นมีความร่มเย็นเป็นสุขในพระธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยทั่วกันตลอดกาลทุกเมื่อ.

    <SMALL>/คู่มือชีวิต/พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)</SMALL>
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.budpage.com/allday.shtml



    <CENTER>[SIZE=+2]"เทคนิคทำให้ชีวิตมีความสุขตลอดวัน" [/SIZE]</CENTER>


    คุณหนึ่ง :"วันนี้เครียดจัง ไปนั่งจิบเบียร์เย็นๆ กันเหอะ "
    คุณสอง : " เบื่อๆ อย่างนี้ ไม่หาแฟนสักคนล่ะ แก้เหงาได้นะ "
    คุณสาม : " อย่าริมีแฟนเชียว ปัญหาเพียบ มา..มาลองนี่ " เม็ดเดียว" รับรองไปสวรรค์ "
    นักวิทยาศาสตร์บอกเราว่าการที่คนเราสมัยนี้ชอบจิบเบียร์กินเหล้า หมกมุ่นเรื่องเพศ หรือ เสพยาเสพติด ก็เพราะกิจกรรมเหล่านี้จะไปกระตุ้นร่างกายของคนเราให้หลั่งสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า"เอนเดอร์ฟินส์" สารชนิดนี้เองที่ทำให้ร่างกายของคนเรามีความสุข รู้สึกโปร่งเบา สบายใจ ศ.นพ. ประเวศ วะสี เรียกสารชนิดนี้ว่า "สารแห่งความสุข"
    แต่ทว่าความสุขที่เกิดจากอบายมุขเหล่านี้ เป็นความสุขเพียงชั่ววูบ ไม่ยั่งยืน (ความสุขทางเพศ แม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชน แต่ถ้าหากหมกมุ่นมัวเมา ก็ถือว่าเป็นอบายมุขอย่างหนึ่ง) มีโทษมากกว่าคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาเสพติดเป็นสิ่งที่มีพิษภัย เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้ผู้เสพตกเป็นทาสของมันตลอดไป คือ ขาดไม่ได้ และ ยิ่งเสพความสุขก็ยิ่งลดน้อยลง จนกลายเป็นทุกข์ถาวรมาแทนที่
    ทำอย่างไรคนเราจึงจะสามารถมีความสุขได้ตลอดทั้งวันโดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งภายนอก พุทธศาสนามีวิธีการมากมายที่จะทำให้คนเราได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง แต่วันนี้เครือข่ายฯ ขอเสนอวิธีง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ เป็นเทคนิคฝึกหายใจเพื่อสกัดสารเอนเดอร์ฟินส์ภายในร่างกายของท่านเอง โดยไม่ต้องไปพึ่งพาอบายมุขอีกต่อไป เป็นเคล็ดลับจากพระไตรปิฎก นำมาเสนอท่านดังต่อไปนี้




    <TABLE><TBODY><TR><TD width=670 bgColor=#e0f3cb height=1000>[FONT=MS Sans Serif, Thonburi, EucrosiaUPC, FreesiaUPC, DB ThaiText]เคล็ดลับจากพระไตรปิฎก [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Thonburi, EucrosiaUPC, FreesiaUPC, DB ThaiText]ในพระไตรปิฎกอันเป็นแหล่งรวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้า หากท่านได้อ่านคำสอนเกี่ยวกับการฝึกสติด้วยลมหายใจ(อานาปานสติ) ท่านจะพบคำสอนกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่าหากคนเราสามารถฝึกตนเองให้สามารถรู้สึกว่าลมหายใจของตนเองมีการเข้าออกภายในร่างกายได้อย่างชัดเจน และ สามารถทำลมหายใจของตนให้ละเอียดประณีต ลมหายใจอันละเอียดอ่อนนั้นก็จะทำให้กายสังขารระงับ หรือพูดด้วยภาษาสมัยใหม่ คือ ร่างกายของผู้ฝึกจะเกิดความสุขอย่างประณีต รู้สึกโปร่งเบา สบายใจ (ร่างกายหลั่งสารเอนเดอร์ฟินส์) ดังจะขอยกพุทธพจน์บางตอนมาแสดงอ้างอิง ดังต่อไปนี้[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Thonburi, EucrosiaUPC, FreesiaUPC, DB ThaiText]"..ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายช่างกลึงหรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ขยัน เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่า เราชักยาวเมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักสั้น แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันเมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น เมื่อหายใจ เข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Thonburi, EucrosiaUPC, FreesiaUPC, DB ThaiText]ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลม ทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดกองลมทั้งปวงหายใจเข้า [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Thonburi, EucrosiaUPC, FreesiaUPC, DB ThaiText]ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลม ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.budpage.com/angry.shtml

    เทคนิคทำให้หายโกรธ

    [​IMG]

    ความโกรธ คืออารมณ์เดือดพล่านที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
    ในยามที่เราต้องเกี่ยวข้องผู้อื่น
    อ่านเทคนิควิธีทำให้หายโกรธแบบง่าย ๆ
    ท่านสามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตครอบครัวและการทำงาน



    [​IMG]
    วิธีที่ ๑. ยามใดเมื่อเราโกรธ เราต้องรู้ตัวของเราเองว่า เรากำลังได้รับพิษร้ายเข้าไปแล้ว
    ควรสร้างความรู้สึก"สะดุ้งกลัว"ขึ้นมาทันที และ พยายามระงับความโกรธนั้นไว้
    ไม่ให้พิษโกรธกำเริบแสดงเป็นกริยาอาการอะไรออกมาอย่างเด็ดขาด
    ด้วยการพิจารณาโทษของความโกรธให้มากที่สุด
    ตัวอย่างวิธีคิด
    "หากเราโง่เขลาคิดตอบโต้ผู้อื่นด้วยความโกรธเมื่อใด
    พิษร้ายของความโกรธก็จะเพิ่มขึ้นและหมักหมมอยู่ในใจมากขึ้นทุกที
    มันจะคอยออกมาเผาลนจิตใจของเราไปชั่วกาลนาน
    เสมือนหนึ่งเราได้สร้างนรกให้เกิดขึ้นในใจของตัวเอง "
    (เป็นการนำคุณธรรมข้อ "โอตตัปปะ"หรือ "ความสะดุ้งกลัว" มาอธิบาย
    ให้ตัวเองเห็นถึงผลร้ายของความโกรธ / สุตตันต.เล่ม ๑๓ ข้อ ๑๑ หน้า ๑๔ )



    <HR>
    [​IMG] วิธีที่ ๒ มองเห็นผลดีของการระงับความโกรธด้วยเมตตา ว่าทำให้เรานอนหลับฝันดี
    มีเพื่อนเยอะแยะ ใครเห็นใครก็รักไคร่ มีสุขภาพจิตดี มีความสุขตลอดเวลา
    โห..คุ้มค่าจริง ๆ เลย
    (ดูอานิสงส์เมตตา ๑๑ ประการ / สุตตันต.เล่ม ๑๖ ข้อ ๒๒๒ หน้า ๓๖๑ )



    <HR>
    [​IMG] วิธีที่ ๓. เมื่อรู้สึกโกรธ หรือ เคืองใจใครก็ตาม ให้ตั้งสติระลึกนึกถึงความดีของคน ๆ นั้นไว้ในใจ
    เช่นเขาเคยทำดีอะไรให้แก่เราบ้างไหม หรือ เขามีส่วนดีอื่นๆ ที่น่าประทับใจอะไรบ้าง
    นึกอย่างนี้มาแทนความคิดไม่ชอบใจ ความโกรธก็จะหายไปเอง
    ตัวอย่าง
    "นายมีโกรธนายแดงที่พูดจาดูถูกตน แต่พอนายมีนึกถึงเมื่อครั้งนายแดงเคยช่วยมา
    ทาสีบ้านให้ทั้งวันเมื่อปีที่แล้ว นายมีก็หายโกรธนายแดง"
    "คุณเจ ไม่ชอบหน้าคุณจอนเลย เพราะคุณจอนชอบพูดจากวนประสาท แต่คุณเจก็
    พยายามคิดว่าคุณจอนถึงแกจะชอบพูดกวนประสาท แต่แกก็ยังดีที่ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่
    คิดได้ดังนี้คุณเจ ก็เกิดความรู้สึกที่ดีต่อคุณจอนขึ้นมาบ้าง "
    (ดู วิธีระงับความอาฆาต ด้วยการมองเห็นความดีของเขา /สุตตันต.เล่ม๑๔
    ข้อ ๑๖๑-๑๖๒ )



    <HR>
    [​IMG] วิธีที่ ๔ เมื่อโกรธคนใกล้ตัว เช่น แฟน , พี่น้อง , เพื่อนร่วมงาน หรือ โกรธคนไกลตัวเช่น
    นักการเมือง ฯลฯ
    ให้ลองนึกมโนภาพหน้าตาของเขาให้เป็นเด็กเล็ก ๆ อายุสัก 1-2 ขวบ
    โดยให้คิดเหมือนกับ ว่าเขาเป็นลูกของเรา สร้างความรู้สึกเอ็นดูเมตตาเหมือน
    พ่อแม่รักลูก ความโกรธจะหายไปเป็น ปลิดทิ้ง วิธีนี้แม้ดูง่าย ๆ และ น่าขำ แต่ก็
    สามารถทำให้หายโกรธได้ผลเป็นอย่างดีเลยทีเดียว
    ( ดูคำสอนเรื่องให้รักผู้อื่นเหมือนมารดารักบุตร /สุตตันต เล่ม๑๗ ข้อ ๑๐ หน้า ๑๑ )



    <HR>
    [​IMG] วิธีที่ ๕ คิดตั้งหลายวิธีแล้วก็ยังไม่หายโกรธ มาลองใช้วิธี "ไม่คิด" ดูก็ได้ ด้วยการ
    หายใจเข้าปอดลึก ๆ ยาว ๆ ทำลมหายใจให้ละเอียด (นึกจินตนาการว่าลมหายใจ
    ของเราเป็นอะไรบางอย่างที่ละเอียด อ่อน บางเบา ในขณะที่หายใจ ) หายใจเข้า
    ออกติดต่อกันสัก ๑๐ ครั้ง ความโกรธก็จะสลายหมดไป กลายเป็นความสบายใจ
    มาแทนที่
    (ดูอานิสงส์อานาปาสติ ทำให้เกิดปีติ สุข จิตใจสงบระงับ ร่าเริง / สุตตันต.เล่ม ๖
    ข้อ ๒๘๘ ข้อ ๑๗๐)



    <HR>
    [​IMG]วิธีที่ ๖ วิธีนี้ง่ายที่สุด เหมาะสำหรับเพื่อนสนิท หรือ คู่รัก ในยามที่เกิดความไม่เข้าใจกัน
    หรือ ทะเลาะกันจนต่างฝ่ายต่างโกรธ นั่นคือ "การให้ของขวัญ" เป็นวิธีแก้ไข
    ปัญหาความโกรธที่ได้ผลดีอีกวิธีหนึ่ง วิธีนี้เป็นการแสดงออกที่ทำให้หายโกรธ
    ทั้งผู้ให้และผู้รับ

    [COLOR=#b00e](ดูสังคหวัตถุ ๔ คือ การให้ พูดจาไพเราะ ช่วยเหลือเจือจาน ร่วมทุกข์ร่วมสุข สมานไมตรีไว้ตลอดกาล/ [/COLOR]
    [COLOR=#b00e]สุตตันต.เล่ม๓ ข้อ๒๖๗ หน้า๒๒๐)[/COLOR]</I>



    <HR>[​IMG] วิธีที่ ๗ [​IMG] ให้มองว่าทั้งตัวเราและคนที่เราคนโกรธ ต่าง เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น
    คือ ไม่มีใครสามารถรอดจากความทุกข์ แก่ เจ็บ ตายได้สักคน ให้คิดจินตนาการ
    มองเห็นคนที่เรากำลังโกรธอยู่ เห็นภาพในอนาคตสมมุติว่าเขากำลังป่วยหนัก
    ใกล้ตาย เขาจะต้องพบกับความทุกข์ทรมานแค่ไหน จากนั้นให้หวนคิดถึงตัวเราเองว่า
    เราเองสักวันหนึ่งก็ต้องพบกับความทุกขทรมานและความตายเหมือนเขาเช่นเดียวกัน
    พวกเราล้วนตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมเดียวกันด้วยกันทั้งนั้น แล้วจะมามัวโกรธกันอยู่ทำไมกัน
    (ดูบทสวดมนต์แผ่เมตตา)
    ข้อ ๒๘๘ ข้อ ๑๗๐)



    <HR>
    [​IMG]วิธีที่ ๘ [​IMG] ใช้วิธีกราบพระเพื่อระงับความโกรธ
    การกราบพระทำให้จิตใจเกิดความอ่อนน้อม หมดความมานะถือตัว สภาพจิตใจเช่นนี้
    ความโกรธเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นหากท่านใช้วิธีระงับโกรธหลายวิธีแล้วยังไม่ได้ผล
    ขอแนะนำให้ใช้วิธีกราบพระ ท่านว่าได้ผลชงัดนัก วิธีง่าย ๆ เมื่อใดที่โกรธ
    ให้ก้มลงกราบพระทันที และในขณะที่ท่านกราบพระ ให้นึกถึงใบหน้าของ
    คนที่ท่านโกรธ ท่านจะพบด้วยตนเองว่าตราบใดที่ท่านยัง
    กราบพระอยู่ ความโกรธจะไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลย

    ( จากเทคนิควิธีกำราบความโกรธส่วนตัวของหลวงพ่อบุดดา ถาวโร )
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • funtoon02.jpg
      funtoon02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      20.7 KB
      เปิดดู:
      280
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2007
  5. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ท่าน ปา-ทานโพส ผิด web ผิดกะทู้ครับ ผมขอเตือน(b-smile)
     
  6. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    <TABLE class=tborder id=post590332 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] 04-06-2007, 02:12 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #48 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>chaipat<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_590332", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 12:30 PM
    วันที่สมัคร: Jan 2007
    ข้อความ: 585 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 7,951 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 4,593 ครั้ง ใน 594 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 527 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_590332 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->เมื่อมีพระ ก็ขอให้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
    ตั้งอยู่ในศีล สมถะ ภวานา และวิปัสนากรรมฐาน

    ทุกวันนี้ก็เพียรทำอยู่

    จากหัวข้อ

    "พระเครื่องใดมีพลังสูง?"

    เหมือนว่า ............................

    ให้ทำดี คิดดี พูดดี ปฏิบัติดี

    สาธุ

    เมื่อรู้แล้ว ถ้ามีก็ดี ไม่มีก็ดี ให้ทำดีดีกว่า
    สมถะกรรมฐาน กับวิปัสนากรรม จะนำพาท่านไปเอง

    ในที่นี้แหละ มีอยู่แล้ว ท่านที่ใจดี มีมาก
    ทำบุญไป ตามท่านว่า ท่านก็ให้มา
    บูชาให้ดี ให้ปฏิบัติดี และทำสมาธิ
    วันหนึ่งคงจะมีแก่เราสักวันครับ

    มีมากก็แบ่งปัน มีน้อยก็ยังมี ให้คนเขาได้ทำบุญ อย่างที่ท่าน เขาทำมา หรือให้ฟรี

    ไม่อยากให้ไปหาราคา ค่างวดที่แสนแพง เดี๋ยวจะไปในที่ไม่พึงปราถนา มันลำบากมาก

    ทำงานสุจริต ขยัน อดทน อดออม พอใจที่มี ยินดีที่ได้
    ไม่โลภทุกอย่าง ไม่งั้นมันจะลำบาก

    ผมเองก็ทำอยู่ สอนใจตนเองอยู่เสมอ ไม่ให้กิเลสมันมาชนะเรา
    เราต้องชนะมัน

    ขอขอบคุณครับ
    <!-- / message --><!-- edit note --><HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขออนุญาต เจ้าของกระทู้ กับผู้ที่เป็นเจ้าของโพส ขอนำมาเผยแพร่ครับ ผมว่ามีคติธรรมน่าสนใจดีครับ
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    http://www.budpage.com/angry.shtml

    เทคนิคทำให้หายโกรธ

    [​IMG]

    ความโกรธ คืออารมณ์เดือดพล่านที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
    ในยามที่เราต้องเกี่ยวข้องผู้อื่น
    อ่านเทคนิควิธีทำให้หายโกรธแบบง่าย ๆ
    ท่านสามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตครอบครัวและการทำงาน



    [​IMG]
    วิธีที่ ๑. ยามใดเมื่อเราโกรธ เราต้องรู้ตัวของเราเองว่า เรากำลังได้รับพิษร้ายเข้าไปแล้ว
    ควรสร้างความรู้สึก"สะดุ้งกลัว"ขึ้นมาทันที และ พยายามระงับความโกรธนั้นไว้
    ไม่ให้พิษโกรธกำเริบแสดงเป็นกริยาอาการอะไรออกมาอย่างเด็ดขาด
    ด้วยการพิจารณาโทษของความโกรธให้มากที่สุด
    ตัวอย่างวิธีคิด
    "หากเราโง่เขลาคิดตอบโต้ผู้อื่นด้วยความโกรธเมื่อใด
    พิษร้ายของความโกรธก็จะเพิ่มขึ้นและหมักหมมอยู่ในใจมากขึ้นทุกที
    มันจะคอยออกมาเผาลนจิตใจของเราไปชั่วกาลนาน
    เสมือนหนึ่งเราได้สร้างนรกให้เกิดขึ้นในใจของตัวเอง "
    (เป็นการนำคุณธรรมข้อ "โอตตัปปะ"หรือ "ความสะดุ้งกลัว" มาอธิบาย
    ให้ตัวเองเห็นถึงผลร้ายของความโกรธ / สุตตันต.เล่ม ๑๓ ข้อ ๑๑ หน้า ๑๔ )




    <HR>
    [​IMG] วิธีที่ ๒ มองเห็นผลดีของการระงับความโกรธด้วยเมตตา ว่าทำให้เรานอนหลับฝันดี
    มีเพื่อนเยอะแยะ ใครเห็นใครก็รักไคร่ มีสุขภาพจิตดี มีความสุขตลอดเวลา
    โห..คุ้มค่าจริง ๆ เลย
    (ดูอานิสงส์เมตตา ๑๑ ประการ / สุตตันต.เล่ม ๑๖ ข้อ ๒๒๒ หน้า ๓๖๑ )




    <HR>
    [​IMG] วิธีที่ ๓. เมื่อรู้สึกโกรธ หรือ เคืองใจใครก็ตาม ให้ตั้งสติระลึกนึกถึงความดีของคน ๆ นั้นไว้ในใจ
    เช่นเขาเคยทำดีอะไรให้แก่เราบ้างไหม หรือ เขามีส่วนดีอื่นๆ ที่น่าประทับใจอะไรบ้าง
    นึกอย่างนี้มาแทนความคิดไม่ชอบใจ ความโกรธก็จะหายไปเอง
    ตัวอย่าง
    "นายมีโกรธนายแดงที่พูดจาดูถูกตน แต่พอนายมีนึกถึงเมื่อครั้งนายแดงเคยช่วยมา
    ทาสีบ้านให้ทั้งวันเมื่อปีที่แล้ว นายมีก็หายโกรธนายแดง"
    "คุณเจ ไม่ชอบหน้าคุณจอนเลย เพราะคุณจอนชอบพูดจากวนประสาท แต่คุณเจก็
    พยายามคิดว่าคุณจอนถึงแกจะชอบพูดกวนประสาท แต่แกก็ยังดีที่ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่
    คิดได้ดังนี้คุณเจ ก็เกิดความรู้สึกที่ดีต่อคุณจอนขึ้นมาบ้าง "
    (ดู วิธีระงับความอาฆาต ด้วยการมองเห็นความดีของเขา /สุตตันต.เล่ม๑๔
    ข้อ ๑๖๑-๑๖๒ )




    <HR>
    [​IMG] วิธีที่ ๔ เมื่อโกรธคนใกล้ตัว เช่น แฟน , พี่น้อง , เพื่อนร่วมงาน หรือ โกรธคนไกลตัวเช่น
    นักการเมือง ฯลฯ
    ให้ลองนึกมโนภาพหน้าตาของเขาให้เป็นเด็กเล็ก ๆ อายุสัก 1-2 ขวบ
    โดยให้คิดเหมือนกับ ว่าเขาเป็นลูกของเรา สร้างความรู้สึกเอ็นดูเมตตาเหมือน
    พ่อแม่รักลูก ความโกรธจะหายไปเป็น ปลิดทิ้ง วิธีนี้แม้ดูง่าย ๆ และ น่าขำ แต่ก็
    สามารถทำให้หายโกรธได้ผลเป็นอย่างดีเลยทีเดียว
    ( ดูคำสอนเรื่องให้รักผู้อื่นเหมือนมารดารักบุตร /สุตตันต เล่ม๑๗ ข้อ ๑๐ หน้า ๑๑ )




    <HR>
    [​IMG] วิธีที่ ๕ คิดตั้งหลายวิธีแล้วก็ยังไม่หายโกรธ มาลองใช้วิธี "ไม่คิด" ดูก็ได้ ด้วยการ
    หายใจเข้าปอดลึก ๆ ยาว ๆ ทำลมหายใจให้ละเอียด (นึกจินตนาการว่าลมหายใจ
    ของเราเป็นอะไรบางอย่างที่ละเอียด อ่อน บางเบา ในขณะที่หายใจ ) หายใจเข้า
    ออกติดต่อกันสัก ๑๐ ครั้ง ความโกรธก็จะสลายหมดไป กลายเป็นความสบายใจ
    มาแทนที่
    (ดูอานิสงส์อานาปาสติ ทำให้เกิดปีติ สุข จิตใจสงบระงับ ร่าเริง / สุตตันต.เล่ม ๖
    ข้อ ๒๘๘ ข้อ ๑๗๐)




    <HR>
    [​IMG]วิธีที่ ๖ วิธีนี้ง่ายที่สุด เหมาะสำหรับเพื่อนสนิท หรือ คู่รัก ในยามที่เกิดความไม่เข้าใจกัน
    หรือ ทะเลาะกันจนต่างฝ่ายต่างโกรธ นั่นคือ "การให้ของขวัญ" เป็นวิธีแก้ไข
    ปัญหาความโกรธที่ได้ผลดีอีกวิธีหนึ่ง วิธีนี้เป็นการแสดงออกที่ทำให้หายโกรธ
    ทั้งผู้ให้และผู้รับ

    [COLOR=#b00e](ดูสังคหวัตถุ ๔ คือ การให้ พูดจาไพเราะ ช่วยเหลือเจือจาน ร่วมทุกข์ร่วมสุข สมานไมตรีไว้ตลอดกาล/ [/COLOR]
    [COLOR=#b00e]สุตตันต.เล่ม๓ ข้อ๒๖๗ หน้า๒๒๐)[/COLOR]</I>




    <HR>[​IMG] วิธีที่ ๗ [​IMG] ให้มองว่าทั้งตัวเราและคนที่เราคนโกรธ ต่าง เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น
    คือ ไม่มีใครสามารถรอดจากความทุกข์ แก่ เจ็บ ตายได้สักคน ให้คิดจินตนาการ
    มองเห็นคนที่เรากำลังโกรธอยู่ เห็นภาพในอนาคตสมมุติว่าเขากำลังป่วยหนัก
    ใกล้ตาย เขาจะต้องพบกับความทุกข์ทรมานแค่ไหน จากนั้นให้หวนคิดถึงตัวเราเองว่า
    เราเองสักวันหนึ่งก็ต้องพบกับความทุกขทรมานและความตายเหมือนเขาเช่นเดียวกัน
    พวกเราล้วนตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมเดียวกันด้วยกันทั้งนั้น แล้วจะมามัวโกรธกันอยู่ทำไมกัน
    (ดูบทสวดมนต์แผ่เมตตา)
    ข้อ ๒๘๘ ข้อ ๑๗๐)




    <HR>
    [​IMG]วิธีที่ ๘ [​IMG] ใช้วิธีกราบพระเพื่อระงับความโกรธ
    การกราบพระทำให้จิตใจเกิดความอ่อนน้อม หมดความมานะถือตัว สภาพจิตใจเช่นนี้
    ความโกรธเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นหากท่านใช้วิธีระงับโกรธหลายวิธีแล้วยังไม่ได้ผล
    ขอแนะนำให้ใช้วิธีกราบพระ ท่านว่าได้ผลชงัดนัก วิธีง่าย ๆ เมื่อใดที่โกรธ
    ให้ก้มลงกราบพระทันที และในขณะที่ท่านกราบพระ ให้นึกถึงใบหน้าของ
    คนที่ท่านโกรธ ท่านจะพบด้วยตนเองว่าตราบใดที่ท่านยัง
    กราบพระอยู่ ความโกรธจะไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลย

    ( จากเทคนิควิธีกำราบความโกรธส่วนตัวของหลวงพ่อบุดดา ถาวโร )
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ผมขอโทษและขออภัยครับ

    แต่ผมจะปฎิบัติตัวใหม่ (นี่ประกาศลงเว็บด้วย ไปทั่วโลก)

    จะปฎิบัติตนให้ดีขึ้น มีอะไรก็บอกกล่าวตักเตือนกันได้ (ให้แต่ใบเหลืองนะครับ อย่าให้ใบแดง)

    (bb-flower

    ขอบคุณครับ

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ยินดีครับ ไม่ต้องขออนุญาตผม เพราะว่ากระทู้นี้เป็นกระทู้ของทุกๆท่านครับ แต่เจ้าของโพส ต้องคุยกันเองครับ

    ตกลงเจ้าของโพส จะลงเขามาเมื่อไหรละ เดี๋ยวไอติมจะละลาย

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 10 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 5 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, kittie, suketo, Vodka109, zmico </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ท่านที่เข้ามาอ่าน ก็ยังเยอะอยู่เลยครับเนี่ย

    ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  10. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    พระสมเด็จที่พระอาจารย์แสงและสมเด็จโตร่วมกันเสกเป็นอีกหนึ่งในของดีที่พี่ใหญ่ยังเอ่ยปากว่าต้องไปเลี่ยมแขวน

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มกราคม 2008
  11. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    สมเด็จกรุบางน้ำชน คราบกรุและพิมพ์รวมถึงเนื้อพระจะคล้ายบางขุนพรหมสามารถใช้ทำน้ำมนต์รักษาโรคได้

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มกราคม 2008
  12. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    พระสมเด็จโตพิมพ์ที่เซียนไม่นิยม (ดีที่ไม่นิยมพวกเราจะได้บูชาของดีไว้ในราคาไม่แพง) เป็นแบบเดียวกับที่พี่พันวฤทธิ์แบ่งให้บูชา

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มกราคม 2008
  13. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    มาดูพระอื่นบ้างที่ไม่ใช่สมเด็จเสก เป็นพระหูยานไม่ทราบกรุได้จากศิษย์รุ่นใหญ่ของกลุ่มเรา เสกโดยท่านชีปะขาว พลังแปลกแต่ต่างไปจากพระสงฆ์เสกนำมาให้ชมกัน

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มกราคม 2008
  14. tata-1

    tata-1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +133
    ขออนุญาตถามคุณ sithiphong หน่อยครับ
    ช่วยดูว่าพระสมเด็จสององค์นี้เป็นพระเนื้อปูนสอหรือปล่าวครับ ขอบคุณมากครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 ตุลาคม 2007
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ผมขอโทษครับ ขออนุญาตไม่ตอบนะครับ

    ผมเคยแจ้งในกระทู้นี้แล้วว่า จะไม่ตอบในลักษณะนี้ครับ

    ขอบคุณครับ

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาแล้วครับ มาแล้ว มาจริงๆ

    กิเลสอ้วน มาแล้ว

    ผมจะไปจัดชุดเพื่อนำมาห้อยคอ 2 ชุด

    1.ชุดพระสมเด็จ
    1.1.มีพระสมเด็จกลักไม้ขีด
    1.2.พระสมเด็จที่พระอาจารย์แสงและสมเด็จโตร่วมกันอธิษฐานจิต
    1.3.สมเด็จกรุบางน้ำชน

    2.ชุดหลวงพ่อเงิน
    2.1.หลวงพ่อเงิน เนื้อทองแปด บางสะพาน
    2.2.หลวงพ่อเงิน ทรงช้าง
    2.3.หลวงพ่อเงิน บุทองคำ

    ********************************************

    พระสมเด็จที่พระอาจารย์แสงและสมเด็จโตร่วมกันเสกเป็นอีกหนึ่งในของดีที่พี่ใหญ่ยังเอ่ยปากว่าต้องไปเลี่ยมแขวน
    [​IMG]

    สมเด็จกรุบางน้ำชน คราบกรุและพิมพ์รวมถึงเนื้อพระจะคล้ายบางขุนพรหมสามารถใช้ทำน้ำมนต์รักษาโรคได้
    [​IMG]

    เฮ้ย กิเลสอ้วนมาจริงๆ


    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมขออนุญาตคุณเพชร นำข้อความของคุณเพชร นำมาลงให้ทราบกัน

    <TABLE class=tborder id=post676610 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">28-08-2007, 07:55 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#8291 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>:::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_676610", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 08:46 AM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    อายุ: 42 ปี
    ข้อความ: 1,600 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 12,781 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 15,588 ครั้ง ใน 1,644 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 1732 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_676610 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    มีหลายๆท่าน นำพระพิมพ์มาให้ผมดูให้นั้น ผมต้องขอโทษทุกๆท่านด้วยนะครับ ผมไม่สามารถที่จะดูพระพิมพ์ทางจอคอมพิวเตอร์ได้ และอีกประการ ผมดูได้แต่เพียงเนื้อหาทรงพิมพ์ แต่ไม่สามารถตรวจสอบพลังอิทธิคุณองค์ผู้อธิษฐานจิตได้ ซึ่งเนื้อหาทรงพิมพ์ในตอนนี้ ปลอมได้เนียนจริงๆ

    และผมคงป้องกันตนเองไว้ เนื่องจากว่า อาจจะมีบางท่านเห็นว่า ผมดูว่าพระตนเองแท้ แต่พระคนอื่นปลอม ผมจะไม่ตอบคำถามที่ทุกๆท่านสอบถามเรื่องพระพิมพ์เข้ามาในทุกๆกรณี ผมต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้ด้วย

    ผมเองศึกษามามากพอสมควร โดนมาก็เยอะ และโดนคนอื่นมาด่าก็มาก ดังนั้น ผมจะไม่ตอบ ไม่เตือนอีก ผมขอความกรุณาด้วยนะครับ อย่าถามผมเรื่องพระพิมพ์อีกเลย ส่วนจะให้ไปศึกษาที่ไหนนั้น เมื่อมีวาสนาบารมี ก็จะได้พบ ได้เจอ ได้รู้จัก ว่าพระแท้นั้นเป็นอย่างไรเอง

    ขอบพระคุณอีกครั้ง

    โมทนาสาธุครับ

    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พี่ๆน้องๆเพื่อนๆ ที่นำพระมาให้คุณหนุ่ม เช็คว่าเป็นยังไง แท้ ไม่แท้ แล้วใครเสก เป็นคำถามที่ยอดฮิตมากครับ ขอตอบแทนคุณหนุ่มใน ๒ ด้านของความเห็นคือ แท้ และไม่แท้ดีกว่านะครับ

    หากคุณหนุ่มตอบว่า"แท้" หลายๆท่านก็สรรหามาจากตลาดพระ(เป็นตลาดจริงๆ เพราะเอาพระเครื่องมาวางขาย) หรือนำมรดกที่ได้รับมา แต่ไม่ทราบที่มาขององค์พระนั้น ย่อมอยากรู้เป็นธรรมดา จึงนำมาถามไม่เว้นแต่ละวัน คุณก็ถามคำถามลักษณะนี้แหละ คนอื่นอีกกี่ท่านก็จะถามในลักษณะเดียวกันนี้เช่นกัน คุณหนุ่มก็คงไม่เป็นอันทำอะไร เขาตอบอะไรซ้ำซาก เขาก็คงไม่ชอบ เช่นเดียวกับคุณ

    หากคุณหนุ่มตอบว่า"ไม่แท้" คือ"เก๊" นั่นแหละ คุณก็จะเสียกำลังใจ อาจจะมีต่อท้ายว่า แน่ละสิ พระเอ็งแท้คนเดียว ของคนอื่นปลอมไปหมด เหอะๆ ไปดีกว่า...

    แล้วคุณก็ไปจริงๆ และไม่ชอบหน้าคุณหนุ่มไปเลย แถมพาลจะเหมาเอาว่าไม่ชอบไอ่พวกกระทู้พระวังหน้าไปเลย (ขอโทษเสียงใน Film)

    คำถามพวกนี้ ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับคุณหนุ่มเลยไม่ว่าพระที่คุณนำมาให้ดูนั้น จะแท้ หรือ จะไม่แท้ก็ตาม มีแต่เสมอตัว กับ เสียเปรียบ แล้วคุณเข้าใจหรือยังว่า ทำไมคุณหนุ่ม ถึงไม่อยากตอบ และต่อความยาวสาวความยืด

    ผมคิดว่าแนวทางที่ดีที่สุดคือ ผู้ที่เข้ามาใหม่ หมายถึง เพิ่งจะทราบว หรือมีความสนใจในพระวังหน้าจริงๆ คุณก็ควรจะมีความ"พยายาม"ในการเริ่มต้นอ่านกระทู้หน้าที่ ๑ มาเรื่อยๆ หากเห็นว่าอันไหนไร้สาระ (ความจริงก็ไม่ได้ไร้สาระ ควรมองว่าคั่นด้วยเรื่องเฮฮามากกว่า ต้องเข้าใจว่ามันเป็น"ความเห็น" มันไม่ใช่"บทความ" บางความเห็นในกระทู้เป็นการนำบทความมาลง บางความเห็นเป็นความเห็นจริงๆ เรื่องราวของพระวังหน้า หรือวังหลวงล้วนมันผ่านเวลา ประสบการณ์ และถือเป็นประวัติศาสตร์มามากกว่า ๑๕๐ ปี แต่คุณเพียง"ยอม"อ่านซัก ๓ เดือน เท่ากับว่าคุณได้ย่นระยะเวลามามากแล้ว พยายามศึกษา และยอมรับบางส่วนไว้ก่อน มันทุ่นแรงคุณเรียนไปทั้งชีวิตแน่นอน คุณจะได้ไม่สงสัยอีก ว่ารู้คือรู้ ไม่รู้คือไม่รู้ ไม่มีมั่ว อย่าเป็นเช่น"ไม่รู้"ว่า"ไม่รู้"อีกเลย) และอันไหนที่พูดซ้ำซาก เช่นการไหว้ ๕ ครั้ง ฯลฯ(ที่พูดซ้ำไม่ใช่ว่าอยากทำ แต่เพราะมันสำคัญ คุณหนุ่มอาจจะเหมือนคุณครูสมัยโบราณ พูดจาไม่ได้ไพเราะเสนาะหูมาก ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ ดังนั้น style เขาเมื่อเห็นความสำคัญ ก็จะพูดย้ำๆๆๆ คุณอาจเบื่อ แต่คุณก็ข้ามไปก็ได้ อย่าไปมองมัน แต่คุณเลือกจะมอง แล้วชอบตำหนิคนนั้นคนนี้) ผมมั่นใจว่าจำนวนหน้าทั้งหมด ๔๑๕ หน้านี้ หากคุณ"ยอม"อ่านจริงๆ เพียง ๒๕% คือ ๑๐๐ หน้า คุณก็รู้เองได้แล้ว มาพูดคุยกันในลักษณะของคำถามที่น่าตอบ คุณน่าจะรู้นะว่าคุณควรถามอะไร ไอซ์สไตร์ ไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง แต่เป็นคนทีตั้งคำถามเก่ง ท่านแนะว่า กระบวนการตั้งคำถามจะนำมาซึ่งคำตอบที่ดี มีสาระ และคุณจะได้ประโยชน์สุดๆก็อยู่ที่ลักษณะคำถามของคุณเอง ผู้ตอบไม่ทราบว่าจะตอบอย่างไรให้ถูกใจคุณ หากคำถามนั้นคลุมเคลือ หรือเสี่ยงต่อการถูกว่ากล่าว

    สุดท้ายนี้ คณะเรายินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ มาพูดคุยกัน อย่าได้ถามคำถามแบบนั้นในครั้งแรกที่พบกัน อย่าเพิ่งให้ความสงสัยหลุดจากปากครั้งแรกที่ได้พบกัน คุณคิดว่าเขาจะไร้สาระขนาดมีเวลาว่างมานั่งพิมพ์เรื่องราวแบบนี้มานานถึง ๒ ปีกว่าเหรอ ลองคิดดูเอานะ..ขอให้อดทนอ่านดูเนื้อหาในกระทู้ไปซัก ๑๐๐ หน้าก่อน แล้วค่อยมาถามดีไม๊ครับ ผมเชื่อว่า คำถามของคุณ อาจเข้าใจได้เมื่อคุณอ่านไปไม่ถึง ๕๐ หน้านะ

    "เมื่อนั้นความรู้ที่คุณควรมีก็พอจะเข้ากระแสของโลกอุดรได้แล้ว"

    ผมไม่อยากใช้คำพูดคำนี้ แต่จำเป็นแล้วครับ<!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 16 คน ( เป็นสมาชิก 8 คน และ บุคคลทั่วไป 8 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, aries2947+, chaipat+, chakkit29, narongwate+, nongnooo+, renault, พันวฤทธิ์+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    คุณพันวฤทธิ์ ครับ

    ปี พ.ศ.2367 ครับ

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2007
  20. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ท่านปา-ทาน มายั่วกิเลสเพื่อนๆน้องๆอีกแล้วครับท่าน...คลิกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆคลิกเข้าไปก็ไม่มี(b-ahh) อิด-ฉาสุดๆๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...