จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,365
    ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ เราผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรม ต้องไม่ประมาทนะครับ ในเรื่องคำสอนของบัณฑิต ก็ดี ผู้รู้ก็ดี หรือจาก พระอริยะสงฆ์ก็ดี ผู้มีสัมมาทิฏฐิ ย่อมจะต้องทำจิตให้เสมือน น้ำที่ไม่เต็มแก้ว เป็นผู้ฉลาดในการฟังธรรม และปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าเราสอนเรื่องนี้มามาก ท่านย้ำเสมอว่า เมื่อศึกษารู้แล้ว ต้องนำมาปฏิบัติ การปฏิบัติจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำ ต้องทำๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ขาดไม่ได้ ส่วนผลที่ได้รับ ก็ต้องน้อมมาพิจารณาให้เข้าใจเช่นกัน เมื่อรู้แล้วก็ปล่อยวางครับ

    อนึ่งเรื่องนิพพาน นี่ก็ตอบยาก คนที่จะพูดถึงนิพพาน จะกล่าวว่า ในเมื่อยังไม่เคยไปถึงมา จะกล่าวว่าเห็นว่ารู้จักนิพพานได้อย่างไร หรือจะอุปมาเหมือน การบอกว่าเรายังไม่เคยไปเชียงใหม่ แล้วจะกล่าวว่าเรารู้จักหรือเคยเห็นเชียงใหม่ดี ก็อาจจะไม่ถูกนัก เพราะเชียงใหม่เป็นเรื่องของวัตถุ แต่พระนิพพานเป็นเรื่องของนามธรรม ก็ตอบยากจริงๆครับ

    แต่สุดท้ายก็ขออนุโมทนากับทุกความเห็นครับ อนึ้งอันความเห็นและความรู้ใดๆ ไม่ควรมองว่า มันผิดหรือถูก แต่ควรมองว่า แล้วเราจะได้ประโยชน์อะไร มีส่วนดีอย่างไร มีความสมเหตุสมผลอย่างไร มีส่วนไม่ดีอย่างไร แล้วเราควรหยิบยกอะไรจากตรงนี้ได้บ้างเพื่อประโยชน์ต่อไปครับ สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2013
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,365
    พระพุทธเจ้าสอนให้เชื่อตัวเอง จาก อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ คือความหวังพึ่งตนเอง ด้วยสติปัญญาศรัทธาความเพียรของตัวเอง พระองค์มอบไว้แล้วทุกอย่าง เครื่องมือถูกต้องหมดแล้ว เอ้า นำมาประกอบ นำมาฟาดฟันกิเลส กิเลสจะตายด้วยสติปัญญา กิเลสกลัวสติปัญญา กิเลสประเภทใดก็ตามไม่พ้นจากสติปัญญานี้ไปได้ นี่กิเลสกลัวมาก และตายด้วยสติปัญญาศรัทธาความเพียรนี้ด้วย ไม่ได้ตายด้วยอย่างอื่น สิ่งที่พอกพูนกิเลสอย่าสนใจนำมาใช้ สิ่งใดที่กิเลสจะยุบยอบลงไป หรือจะสลายลงไปจากจิต ให้นำสิ่งนั้นมาใช้เสมอ สติปัญญาเอาให้ดี
    ========

    หลวงตากล่าวสอนธรรม ตรงประโยคนี้ได้คมเสียดแทงจิตได้ดีมากๆครับ
    สติปัญญาศรัทธาความเพียร คือเครื่องมือคืออาวุธที่ดีที่สุดครับ ลับมันให้คมหรือยัง ครับ อาศัยความเพียรให้มากที่สุดครับ สาธุครับ
     
  3. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    [SIZE="4"
    รู้
    รู้ทั้งรู้ ว่ารู้ ดูอยู่นะ
    รู้จะจะ รู้เน้น ให้เห็นแก่น
    รู้เผินๆ สติเดิน ยังคลอนแคลน
    รู้แน่นๆ ถึงข้างใน หยักใย่ยอง
    รู้ว่าตื่น หรือหลับ ระงับจิต
    รู้อีกนิด มีคิด ออกสอดส่าย
    รู้เข้าไป รู้ทุกวัน จนฉันตาย
    รู้ง่ายๆ รู้จิตกาย ภายในตน
    รู้เรื่องเขา เรื่องเรา ไม่เอาไหน
    รู้ทำไม จิตใคร ใยยุ่งเขา
    ข้างนอกงาม ผุดผ่อง เช็ดขัดเกลา
    ข้างในเน่า เอาไม่อยู่ ดูไม่งาม
    เอาแค่นี้ แค่ไหน จะไงช่าง
    จะรู้มัน อยู่ตรงนี้ เท่านี้หนา
    สติดู รู้กายจิต ทุกเวลา
    จะเดินหน้า หาสติ มิมีลืม
    สติพา รู้เกิด ตั้งอยู่จบ
    สติพา สยบ เจ้ากิเลส
    สติพา ปัญญาเกิด เหมือนเปิดเนตร
    สติ เจตจำนงค์ พาหา...นิพพาน[/SIZE]
     
  4. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    การดูจิตของผู้อื่น ก็เหมือนการเข้าไปห้องส้วมสาธารณะ
    แล้วไปฟังเสียงฉี่ เสียงผายลม ของห้องน้ำข้างๆ
    มันน่าสมเพชเวทนาดีแท้ ซึ่งข้าพเจ้ามานั่งพิจารณาดูแล้ว
    ก็เอามานั่งสอน จิตเลวๆจิตนี้ว่า ทำไมถึงต้องไปนั่ง
    ฟังเสียง หรือ มองสอดส่ายอยู่ได้ จิตเลวจิตนี้มันคิดแต่
    จะเข้าข้างตนเองว่า ดีแล้ว เก่งแล้ว นิ่งแล้ว ว่างแล้ว
    ไม่มีอะไรแล้ว แต่จริงๆแล้ว มันไม่แล้วดังที่คิด
    เพราะมันเลวนี่แหละ มันถึงได้เข้าใจไปเช่นนั้น
    ยิ่งเราอยู่ในสังคมออนไลน์กันเช่นนี้ จิตยิ่งมีโอกาสมากที่จะ
    สอดส่ายย้ายโยกวิ่งตามวิ่งดูสิ่งต่างๆอยู่เป็นนิจ
    เมื่อเป็นเช่นนี้
    การมีสติคอยกำกับการแสดงของจิตจึงเป็นเรื่องที่สมควรเป็นอย่างยิ่ง
    บางครั้ง จิตเลวนี้ยังมองเห็นถึงความมีสติดีเข้มข้น ยกในจิตตนว่า
    เออ เรานี้ช่างมีสติดีแท้ นิ่งดีนะ ว่างจริงๆ เออ ดีดี ดีแท้
    แต่หารู้ไม่ว่า อะไรที่โผล่ออกมาชะเวิ๊บชะว๊าบ
    ก็อั่ยตัวกิเลสดีๆนี่เอง หลงไปนิด จิตหมองมัวทันที
    บางครั้ง ไปเตือนสติเขาแต่ดั๊นไปมองในจิตเขา
    เอ๊า..ลืมเสียงฉี่เสียงผายลมตนซะงั้น อันนี้ ก็เลวลืมโลก
    จริงๆแล้ว เรามันก็ยังเลวอยู่เรื่อยๆนั่นแหละ แต่เลวแล้วรู้ตัว
    ว่าเลว รู้จิตว่า เลว ก็ถือว่ากลับลำทัน สติใช้ตะขอเกี่ยวกลับ
    แต่หากจิตเลว แล้วยังหลงระเริงในความเลว นั่นสิ ท่านว่ามันเข้าใน
    โมทนาสาธุ

    [/B][/I][/B][/B][/FONT[/B][/U]]
    __________________[/COLOR]
     
  5. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    กด ไลค์ หนึ่งพันล้านครั้ง:cool:
     
  6. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]


    สาธุ สาธุ สาธุ ขออนุโมทนาบุญอีกสัก 131 ครั้ง กับจิตบุญน้องใหม่ล่าสุดดวงที่ 131 คุณนิตยา ผาพองยุน หรือ น้องปุ้ย พร้อมทั้งครูผู้สอนทุกท่านค่ะ..:cool:.

    น้องปุ้ย เป็นเพื่อนรุ่นน้องที่ค่อนข้างสนิทและเรารู้จักกันมาร่วม 3 ปีได้แล้วค่ะ เราเจอกันครั้งแรกที่วัดไทยแห่งหนึ่งที่แคนาดา ซึ่งเป็นวันบวชชีพราหมณ์ประจำของทุกๆ สิ้นเดือน ตอนนั้นน้องปุ้ยเพิ่งมาอยู่ที่แคนาดาใหม่ๆ แล้วหลังจากนั้นเป็นต้นมาเราก็ได้เจอกันที่วัดเป็นประจำทุกเดือนมิได้ขาด (ขอบอกว่า อยู่เมืองนอกอย่างนี้ กว่าจะเดินทางไปถึงวัดมิใช่ง่ายๆ น่ะค่ะ ทั้งความห่างไกล แล้วยิ่งสภาพอากาศด้วยแล้ว ต้องขันติ วิริยะอุตสาหะมั่กมากกเลย) ด้วยความที่เราเห็นน้องเป็นเด็กดี ใฝ่ธรรมมะ มาตลอด เมื่อเรามาเจอจิตเกาะพระ เราก็อยากจะมอบสิ่งดีๆ ให้กับคนดีๆ อย่างน้องเค้าให้ได้รู้จักเช่นกัน เราแนะนำให้น้องเค้ารู้จักจิตเกาะพระตั้งแต่ตอนที่เรากำลังฝึกอยู่เลยค่ะ ทั้งส่งเมล์ ส่งกระทู้ ไปให้อ่าน น้องมันก็ อึม..จ้า..ค่า..เหรอค่ะ..ฮ่าๆๆๆ เราก็เล่าให้เค้าฟังเรื่อย

    จนกระทั่งเราจบกิจ สอนลูกศิษย์สาย UK ยกจิตไปตั้งหลายดวงแหล่ะ (ช่วงนั้นเราก็ดูน้องมันอยู่ห่างๆ ก็รู้ได้ว่าน้องมันยังติดวาระกรรมอยู่ อยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงชีวิตเล็กน้อย) เราก็รอจนทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง แล้วเราก็ตื้อใหม่...5555...ในทุกวิถีทาง จนในที่สุด ครั้งนี้ ก็สำเร็จค่ะ น้องปุ้ยตัดสินใจมาเรียนจิตเกาะพระอย่างจริงจัง เมื่อ วท.4/11/55 - วท.22/01/56 รวมฝึกจิตเกาะพระทั้งหมด 80 วัน

    จิตน้องปุ้ยเดินมรรคได้ดีและเร็วพอสมควร ฝึกสติเกาะพระอยู่ไม่นาน ก็เกาะพระติดเป็นออโต้แล้ว แต่ทำไมมันหายหัวไปไหนเนี่ย ไม่ยอมส่งการบ้าน กำลังใจถดถ้อย ไอ้เราก็ไม่ยอมแพ้ จะทำยังงี้ได้จังได๋ จิตเดินมรรคมาขนาดนี้แล้ว เราก็ทั้งโทรจิก โทรตาม ทั้งส่ง text..555... พอคุยไปก็จับได้ว่าเรื่องศีล5 พร่องในข้อ4 มุสาวาทา นี้เอง มิน่าล่ะ จิตถึงเดินมรรคติดๆ ดับๆ ก็ได้คุยปรับจิตปรับใจไป (จากการบ้านที่เคยนำลงกระทู้มาแล้ว) ก็เข้าใจ และมีกำลังใจมาเดินมรรคต่อ จนกระทั่งมาตอนก่อนจิตยก ก็มาเจอวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตสำหรับเธอก็ว่าได้ จะเป็นอย่างไรนั้น ไว้ให้เธอมาเล่าต่อดีกว่าน่ะค่ะ...โปรดติดตาม...ในเร็วๆ นี้..สาธุ...({):cool:({):cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มกราคม 2013
  7. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    (k) อ้าว ๆ คุณลินดา มากดไลค์ แล้วเหรอคะ..
     
  8. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    ครูดัช นี่ ด่าจิตเลวได้สะใจจริง ๆ เลย.. โมทนาค่ะ
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,365
    ========
    คุณครูดัชกล่าวสอนได้เฉียบคมเสียดแทงจิตได้ดีเยี่ยมมากครับ ขออนุโมทนา ใน ธรรมทาน ด้วยครับ เห็นภาพชัดเลยครับ สาธุครับ
    [นี่แค่เห็นภาพนะครับ ถ้าได้กลิ่นตามมาด้วยจะเป็นยังไงบ้างหนอ สาธุๆๆครับ ]
    ปล. ขอมีอารมณ์ขำๆบ้างนะครับ นานๆทีครับ เพราะมันคมบาดใจครับ สาธุครับ

     
  10. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    จิตเดิมแท้มีธรรมชาติผ่องใสขาวรอบ



    การทำจิตให้ขาวสะอาดรอบ เรามีวิธีการลัดที่ทำได้โดยไม่ยาก เรามีวิธีทำที่ทำได้โดยไม่ยากและไม่ต้องสนใจว่าเป็นสมถะ ภาวนาหรือวิปัสนากรรมฐานภาวนา หลักมีอยู่อย่างเดียวว่าเรากำหนดปล่อยวาง อารมณ์ ที่ทำให้จิตใจว่างจากอารมณ์ หรือทำให้เข้าถึงจิตเดิม ทำจิตให้เป็นจิตเดิมเข้าหาจิตเดิมด้วยวิธีการ สละวางปล่อยวาง โดยไม่ต้องคำนึงว่ามันเป็น สมาถกรรมฐานหรือวิปัสนากรรมฐาน หรือภาวนาวิปัสนากรรมฐาน จิตว่าง ทำจิตให้ว่าง กับจิตเดิม บางท่านอาจสงสัยว่ามันเป็น อันเดียวกัน หรือว่าต่างกัน ทำจิตให้ว่างนั้นหรือ จิตเดิมนั้นมันเป็นอันเดียวกันหรือต่างกันข้อนี้ ก็มีคำตอบว่ามันเป็นคนละอย่างกัน การทำจิตว่างกับจิตเดิมมันเป็นคนละอย่างกัน การทำจิตว่างกับจิตเดิมมันเป็นคนละอย่างกัน จิตเดิมเป็นจิตที่ไม่ต้องทำ แต่จิตที่ว่าง เป็นจิตที่ต้องทำ เมื่อทำจิตให้ว่างแล้ว ก็เข้าถึงจิตเดิม ต่างกันโดยอย่างนี้ จิตเดิมนี้คืออะไร เป็นอย่างไร มาอย่างไร อันนี้ก็เป็นอีกประการหนึ่่ง หรือเป็นอีกแนวหนึ่งอันลึกเข้าไป เหตุใดจึงต้องทำจิต ให้เข้าถึงจิตเดิม เจริญภาวนาให้เข้าถึงจิตเดิม พระพุทธเจ้าท่านว่าจิตเดิมเป็นธรรมชาติ ผ่องใสมาแต่เดิม เป็นธรรมชาติเดิม เป็นธรรมชาติผ่องใส มีแสงสว่างมาแต่เดิม อันนี้เรียกเป็น ภาษาบาลีว่า ปภัสสร อันนี้ไม่ต้องทำเป็นธรรมชาติ ตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยเกิด ไม่เคยดับ เป็นของเดิม จึงเรียกว่าจิตเดิม หรือจิตที่เป็นอมตะจิต หรืออมตะธาตุ ไม่มีเกิด ไม่มีดับ ก็แล้วจิตเดิมนี่แหละ ที่เวียนว่าย ตายเกิด ถือเอารู เอา นาม เอาชาติ เอาภพ ก็กลายเป็นเวียนว่ายตายเกิดไป แต่จิตเดิมไม่ได้เกิด ไม่ได้ตาย แต่จิตเดิมเข้าไปหลง เข้าไปรวมอยู่ ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เข้าไปรวม หรือเข้าไปยึดถือ อยู่ในขันธ์ ๕ หรืออยู่ใน รูปใน นาม ก็เป็นภพเป็นชาติขึ้นมา ก็มีการเกิด มีการแก่ มีการเจ็บ มีการตายขึ้นมา การเกิดแก่ เจ็บ ตาย อันนี้ เป็นขันธ์ หรือเรียกว่าเป็นรูป นาม เมื่อรูป นาม สิ้นอายุ หมดปัจจัย หมดบุญหมดกรรม ก็จิตเดิมนี้ก็รับผล คือถือเอาภพ เอาชาติใหม่อีก แล้วก็เข้าไปอยู่ เข้าไปยึดมั่น ในรูป นามอันเป็นของใหม่
     
  11. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    โมทนากับครูน้องเกษด้วยนะคะ.. ปลื้มใจแทนค่ะ

    วันนี้ วันหยุดเมืองไทย ทางเมืองนอกไม่พักผ่อนเหรอคะ เห็น อ.ภู แว่บ ๆ ด้วยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 มกราคม 2013
  12. sweetwhiterose

    sweetwhiterose Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +77
    สวัสดีค่ะหนูขอรายงานตัวกับคุณพี่ภู คุณครูใหญ่พี่เพ็ญ คุณครูลูกพลัง คุณครูพี่เกษ คุณครูหมอดวงพร คุณครูแหววและคุณครูจิตบุญทุกๆท่านที่ไม่ได้เอ่ยนามและชาวจิตบุญทุกๆท่านค่ะ

    อย่างแรกเลย ต้องขอบพระคุณครูพี่เกษที่เป็นคนชักชวนหนูมาทำจิตเกาะพระ ซึ่งจริงๆแล้วครูพี่เกษชักชวนตั้งแต่ที่ครูพี่เกษฝึกใหม่ๆ จำได้ว่ามีวันนึงที่ไปฏิบัติธรรมที่วัดครูพี่เกษเอาภาพพระท่านพ่อองค์ปฐมมาให้และเพื่อนๆผู้ปฏิบัติธรรมท่านอื่นด้วย แล้วครูพี่เกษก็เล่าให้ฟัง แต่ไม่ได้สนใจที่จะฝึกฏิบัติ ณ ช่วงนั้น ถ้าจำไม่ผิดครูพี่เกษฟอร์เวิร์ดเมล์มาให้อ่านด้วยค่ะ หลายเมล์เหมือนกันเกี่ยวกับการบ้านของครูพี่เกษและเว็บไซด์ หนูก็เปิด แต่กวาดสายตาอ่านประมาณ 20 วิ อ่านอย่างรวดเร็วแล้วก็ผ่านไป จนกระทั่งวันนึงไปปฏิบัติธรรมที่วัดปลายเดือนตุลาคม 2555(ที่แคนาดาจะจัดถือศีล ปฏิบัติธรรมที่วัดเสาร์-อาทิตย์ทุกๆสิ้นเดือน ) หนูสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของครูพี่เกษมาเรื่อยๆค่ะ จนกระทั่งเดือนนั้นหนูสังเกตเห็น ครูพี่เกษมีออร่าเปล่งประกาย ดูสวย สดใสมาก(ไม่ได้ยกยอนะคะ แต่มาจากจิตของหนูจริงๆ)ไม่ว่าตอนเดินจงกรม นั่งสมาธิ หรือตอนที่เราคุยกัน เตรียมอาหารในครัว มันรู้สึกเห็นความเปลี่ยนแปลง ดูสงบ สุขุม ตอนที่หนูอยู่ใกล้แล้วรู้สึกดียังไงไม่รู้ตอนนั้น
    มันเป็นจุดเปลี่ยนทำให้หนูสนใจอยากปฏิบัติ ซึ่งที่ผ่านมาครูพี่เกษเจอหนูทุกครั้งก็ชวนตลอด ทั้งเมล์เอย ทางโทรศัพท์เอย ตั้งแต่ช่วงเมษายน 2012 แล้วค่ะ จำได้หลังจากไปถือศีลที่วัดกลับมาได้ 3-4 วัน หนูโทรไปหาครูว่าอยากฝึก ครูพี่เกษถามคำถาม “เรื่องขันธ์ 5” หนูก็รีบตอบตามสูตรที่อ่าน ท่องมาสมัยประถม มัธยมเลยค่ะ บลาๆๆ ครูพี่เกษก็ฟังหนูพูด ไม่ได้ตอบโต้อะไร แถมถามต่ออีกว่าเธอเข้าใจ “กฎไตรลักษณ์”มั้ย หนูก็ตอบบลาๆๆ พูดจบ หนูประมาณว่ามั่นใจมาก(ตรูรู้เฟ้ย) คิดในใจ “คุณพี่จะถามอะไรอีกมั้ยว๊า” ฮ่าๆๆ แต่สิ่งที่ครูพี่เกษพูดสวนกลับมาทางโทรศัพท์ว่า “ที่เธอพูด บลาๆๆๆ มาทั้งหมดอ่ะ มันมาจากจิตของเธอ หรือสมอง” ตอนนั้นรู้สึกสะอึก อึ้ง สะกิดที่ใจมากเลยค่ะ หนูก็เลยพูดตะกุกตะกัก(พูดกับตัวเองว่า จริงๆด้วย(ว่ะค่ะ)) ครูก็เลยจัดหนักเลยค่ะว่า “ปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรมมันต่างกัน บลาๆๆ” เยอะมากค่ะ คืนนั้นทำให้หนูได้คิดจากจิตจากใจเลยค่ะ ว่าแท้จริงแล้วหนูก็เหมือนคนทั่วๆไป ที่ไปปฏิบัติธรรมที่วัดถือศีล 8 5 วัน 7วัน 10 วัน เข้าวัดทำบุญ พระให้พรก็ถือศีล 5 (ครบบ้างไม่ครบบ้าง เราก็ไม่ได้เช็คจริงๆจังๆเอาเป็นเอาตาย)ไหว้พระสวดมนต์ อ่านหนังสือธรรมมะ ฟังเทศน์ นั่งสมาธิ ฯลฯ หนูมีความสุขที่ได้ทำ อาจเป็นปลื้มซัก 3 5 7 วันหรือนานสุด 2 อาทิตย์ ความรู้สึกเอิบอิ่ม เป็นปลื้มจากสิ่งที่ทำมันก็จางหายไป ได้ความสงบตอนนั่งสมาธิ แต่พอมีสิ่งกระทบเราก็ไหลไปตามสิ่งกระทบ ได้สัมผัส แตะๆแค่เปลือกนอก ยังไม่ถึงแก่นของธรรมมะเลยค่ะ
    จนมาเริ่มฝึกจิตเกาะพระค่ะ ฝึกแรกๆก็ดี ครูให้ทำอะไรเราก็ทำตาม แต่เรื่องศีลนั้นสำคัญมากเลยค่ะ เพราะถ้าไม่ครบจะทำให้เราเดินต่อไปไม่ได้เลย จนกระทั่งครูพี่เกษต้องโทรมาคุยแบบเอาจริงเอาจัง เสียงเข้มเลยค่ะ จากวันนั้นก็ไปได้ดี กำลังไปได้สวยเลยค่ะ แต่ดันมาเจอวิกฤตชีวิต ตอนนั้นโชคดีที่ฝึกจิตเกาะพระมาได้ระดับหนึ่งแล้วค่ะ มันเหมือนมีพยามารมาทดสอบเลย ว่าจะยอมแพ้หรือชนะ
    เดชะบุญที่หนูได้มาฝึกจิตเกาะพระค่ะ ถ้าหนูไม่ได้ฝึกจิตเกาะพระ ทุกข์ที่เกิดขึ้น อาจใช้เวลาเป็นเดือน เป็นปี 10 ปี หรือตลอดชีวิตและข้ามภพข้ามชาติไปอีกไม่รู้เท่าไหร่ก็ได้ค่ะ ทั้งๆที่เรียนมาเรื่องวิธีดับทุกข์ แต่พอตัวเองเจอเข้าจริงๆจังๆด้วยตนเอง สิ่งที่เรียนรู้มา(ใช้สมองเรียนรู้)มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยค่ะ มันเหมือนกับเราเหยียบตะปู แทนที่จะหาวิธีเอาตะปูออก เรากลับไปหาค้อนไปตีๆๆๆทุบๆๆๆฝังมันเข้าไปลึก ราดด้วยน้ำกรด ปรุงแต่งสารพัดให้ทุกข์หนักขึ้นไปอีก แต่วิกฤตครั้งนี้ใช้เวลาเพียง 2 วันเท่านั้น แค่เมล์ฉบับที่ 2 ของครูลูกพลังหนูอ่านจบปุ๊บ มันถูกจริต มันกระแทกจิตหนูมากๆๆๆ มันทำให้หนูกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ปิดปากไม่ให้เสียงออกมา พอเข้าห้องน้ำ ร้องไห้ออกมาดังมากๆๆ สะอึกสะอึ้นยิ่งกว่าเด็กอีกค่ะ พอร้องเสร็จจนหนำใจ ที่เราไปปรุงแต่งว่าเป็นความทุกข์แสนสาหัสในชีวิต มันกระเด็นหายไป มันไม่เหลือตกตะกอนค้างเลยค่ะ มันมีแต่ความรู้สึกว่าง เบา โล่ง สบาย แบบไม่เคยเป็นมาก่อน เปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนจิตของหนูอัตโนมัติ มันมหัศจรรย์มากๆเลยค่ะ (ฟังดูอาจจะเว่อร์นะคะ แต่มันเกิดขึ้นกับหนูแล้วจริงๆ) มันทำให้หนูมีสติ มีสมาธิมากขึ้น มันทำให้หนูค้นพบตัวตนที่แท้จริงของตนเอง พอเข้าใจตนเองมันพลอยให้เข้าใจคนอื่น เข้าใจคนทั้งโลก (มันรู้สึกยังงั้นจริงๆค่ะ) เข้าใจสัจธรรม ธรรมมะอื่นๆมากขึ้นไปด้วย โดยเรียนรู้จากทุกข์ที่เกิดขึ้น หนูเข้าใจแล้วค่ะ กับคำว่า “เห็นทุกข์ จึงเห็นธรรม” สาธุๆ ค่ะ ขอยกบุญใหญ่นี้ให้คุณพ่อ พี่ชายที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ให้แก่คุณแม่ให้ท่านมีดวงตาเห็นธรรมในเร็ววัน ท้ายนี้หนูขอยกบุญนี้ให้แก่คุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน คุณครูเพ็ญ ครูลูกพลัง ครูพี่เกษ ครูหมอดวงพร ครูแหวว ครูก้องและครูจิตบุญทุกๆท่านและชาวจิตบุญทุกๆคน ที่ไม่ได้เอ่ยนามมาค่ะ สาธุๆๆๆๆ ค่ะ
    ปุุ้ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2013
  13. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ๑๓๙. หลวงปู่เทสก์พูดถึงหลวงปู่ดูลย์

    ผู้เขียนได้พบหลวงปู่ดูลย์ อตุโล (พระราชวุฒาจารย์) แต่ครั้งแรกท่านไปพักเรียนหนังสืออยู่ที่วัดสุทัศนาราม อุบลราชธานี ในสมัยนั้นดูเหมือนท่านได้ ๑๐ พรรษา ท่านมีเมตตาแก่ผู้เขียนเป็นอันมาก พอเห็นหน้าตาเข้าเรียกร้องให้ไปหาและก็ได้สัมโมทนียกถาโดยสุภาพเรียบร้อย ตามวิสัยของท่าน ผู้มีนิสัยเช่นนั้น เพราะท่านพูดแต่ละคำนั้นดูเหมือนกลั่นกรองแล้วจึงค่อยพูด พูดเฉพาะที่จำเป็น ไม่ได้พูดพร่ำเพรื่อ และพูดในสิ่งที่ควรทำและทำได้ นับว่าเป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่ง นิสัยอันนี้นับได้ว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่คบหาสมาคม 

    ผู้เขียนก็ได้เข้าไปหาท่านเมื่อท่านเรียกโดยสุภาพเรียบร้อย ฟังโอวาทของท่านแล้วประทับใจจนกระทั่งบัดนี้ ไม่เฉพาะแต่ผู้เขียนเท่านั้นที่เห็นท่านแล้วเคารพนับถือ พระเณรทั้งวัดก็เคารพนับถือ ถึงแม้ท่านเป็นคณะมหานิกายมาอาศัยเรียนหนังสือชั่วคราวก็ตาม กิจการงานท่านเป็นหัวหน้าหมู่ในวัดนั้นได้ แม้แต่สมภารก็ยังนับถือท่านว่าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง และการสร้างพระอุโบสถวัดสุทัศน์ฯ สมภารยังนิมนต์ท่านมาช่วยควบคุมการก่อสร้าง 

    ท่านได้ญัตติเป็นธรรมยุตก่อนเข้าพรรษา หรือออกพรรษาแล้วผู้เขียนชักจะลืมเสียแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ดี เมื่อออกพรรษาแล้วท่านอาจารย์สิงห์ออกจากอุบลราชธานี ไปเที่ยววิเวกขึ้นมาทางจังหวัดสกลนคร-อุดรธานี-หนองคาย ท่านก็ได้ติดตามท่านอาจารย์สิงห์ไปด้วย จากนั้นหลายปีผู้เขียนกำลังเรียนหนังสือไม่ได้ติดตามข่าวของท่าน 

    จนกระทั่งผู้เขียนได้บวชเป็นพระ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๖ เพราะเวลานั้นท่านอาจารย์สิงห์กลับคืนอุบลราชธานีอีก ได้ข่าวว่าหลวงปู่ดูลย์ก็กลับไปด้วย แต่ไม่ได้ไปอุบลราชธานี ท่านแยกไปทางจังหวัดสุรินทร์ เลยไม่ได้พบท่าน ได้ข่าวว่าเมื่อท่านกลับไปทางจังหวัดสุรินทร์แล้ว ก็ไม่ได้กลับไปทางจังหวัดสกลนคร-อุดรธานี-หนองคายอีก ท่านคงเที่ยวอยู่แถวจังหวัดสุรินทร์บ้านเดิมของท่าน

    เมื่องานศพหลวงปู่ฝั้น ที่อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร จึงได้พบท่านอีก ท่านยังได้แสดงความเมตตาปรารถนาหวังดีต่อผู้เขียนอย่างยิ่ง ในที่ประชุมพระเถรานุเถระเป็นอันมาก ท่านยังอุตส่าห์มาทักทายปราศรัยกับผู้เขียน แล้วก็พูดธรรมะที่ละเอียดลึกซึ้งสุขุมที่เป็นแนวปฏิบัติทั้งนั้น ท่านมักพูดแต่เรื่องจิต คือ เรียกว่า จิตคือพุทธะ และจิตที่ส่งออกไปภายนอกเรียกว่า สมุทัย อันเป็นเหตุนำทุกข์มาให้ ท่านพูดอย่างนี้บ่อยๆ ท่านพูดกับผู้เขียนอยู่นาน คล้ายๆ กับว่าท่านจะเมตตากับผู้เขียนโดยเฉพาะ ท่านพูดแต่ในทางปฏิบัติ เห็นว่าผู้เขียนเป็นผู้ปฏิบัติ คล้ายๆ กับว่าจะมีความรู้สูงในด้านปฏิบัติแต่แท้จริงแล้วเปล่า ก็พระเทสก์ธรรมดาๆ นี่เอง

    ต่อมา ครั้งสุดท้ายท่านได้ไปวางศิลาฤกษ์อุโบสถวัดหนึ่งที่อำเภอผือ จังหวัดอุดรธานี แล้วท่านไปนอนค้างที่วัดของผู้เขียนคืนหนึ่ง ท่านก็พูดอย่างเก่า รู้สึกว่าท่านกระฉับกระเฉงแข็งแรงมาก ชราภาพถึงขนาดนั้นแล้วรูปร่างลักษณะของท่านยังไม่เปลี่ยนแปลงไปนัก และท่านไม่เคยถือไม้เท้าเลย

    ในโอวาทของท่านที่ท่านพูดว่า จิต คือ พุทธะ ในตอนนี้ผู้เขียนขออธิบายว่า พุทธะ คือความรู้ทั่วไป ไม่ได้หมายถึงสัมมาสัมพุทธะ พุทธะ คือผู้รู้ทั่วไป หรือธาตุรู้ก็ว่า

    แล้วก็อีกคำหนึ่งท่านว่า จิตส่งออกนอกเป็นตัวสมุทัย มันก็แน่ทีเดียว ถ้าจิตส่งแล้วมันเป็นตัวสมุทัย โดยความเข้าใจของผู้เขียน จิต คือผู้คิดผู้นึก ผู้ส่ง ผู้ปรุงแต่ง ผู้จดผู้จำ เป็นอาการวุ่นวายของจิตทั้งหมด ครั้นมาเห็นโทษเห็นภัยเห็นเช่นนั้นแล้วถอนเสียจากความยุ่ง ความวุ่นวายแล้ว เข้ามาหาตัวเดิม คือ ใจ แล้วไม่มีคิดไม่มีนึก ไม่มีส่งไม่ส่าย ไม่มีจดไม่มีจำอะไรทั้งหมด คือเป็นกลางๆ อยู่เฉยๆ นี่ละ ผู้เขียนเรียกว่า ใจ คืออยู่กลางๆ ของความดีความชั่ว ความปรุงความแต่ง อดีตอนาคตปล่อยวางหมด จึงกลับมาเป็นใจ จิตคือ พุทธะ ท่านคงหมายเอาตอนนี้ 

    ผู้ใคร่อยากรู้ใจแท้ ถึงแม้ยังไม่เป็นสาวกพุทธะปัจเจกพุทธะ สัมมาสัมพุทธะก็ตาม ขอให้ศึกษาพอเป็นสุตพุทธะเสียก่อน คือ จงกลั้นลมหายใจไปสักพักหนึ่งลองดู ในที่นั่นจะไม่มีอะไรทั้งหมด นอกจากความรู้เฉยๆ ความรู้ว่าเฉยนั่นแหละเป็นตัวใจ พุทธะ ทั้งสี่จะมีขึ้นมาได้ ก็เพราะมีใจ ดังนี้ ถ้าหาไม่แล้ว พุทธะทั้งสี่จะมีไม่ได้เลยเด็ดขาด 

    แท้จริง จิตกับใจ ก็อันเดียวกันนั่นเอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ตรัสไว้ว่า จิตอันใดใจก็อันนั้น แต่ผู้เขียนมาแยกออกเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายตามภาษาบ้านเราเท่านั้น เมื่อพูดถึงใจแล้วต้องหมายความของกลาง อย่างใจมือ ใจเท้า หรือใจไม้ แม้แต่ใจของคนก็ชี้เข้าตรงที่ท่ามกลางอกนั่นเอง แต่ความจริงแล้วใจไม่ได้อยู่ที่นั่น ใจย่อมอยู่ในที่ทั่วไป สุดแท้แต่จะเอาไปเพ่งไว้ตรงไหน แม้แต่ฝาผนังตึกหรือต้นไม้ เมื่อเอาใจไปไว้ตรงนั้น ใจก็ย่อมปรากฏอยู่ ณ ที่นั้น 

    คำพูดของหลวงปู่ดูลย์ที่ว่า จิต คือ พุทธะ ย่อมเข้ากับคำอธิบายของผู้เขียนที่ว่า ใจ คือ ความเป็นกลางนิ่งเฉย ไม่ปรุงแต่ง ไม่นึกไม่คิด ไม่มีอดีตอนาคต ลงเป็นกลางมีแต่รู้ตัวว่านิ่งเฉยเท่านั้น เมื่อออกมาจาก ใจ แล้วจึงรู้คิดนึกปรุงแต่งสารพัด วิชาทั้งปวงเกิดจากจิตนี้ทั้งสิ้น 

    นักปฏิบัติทั้งหลายจึงต้องควบคุมจิตของตน ด้วยตั้ง สติรักษาจิต อยู่ตลอดเวลา ถ้าจิตแส่ส่ายไปในกามโลก รูปโลก อรูปโลก รู้ว่าเป็นไปเพื่อก่อแล้ว รีบดึงกลับมาให้เข้าใจ นับว่าใช้ได้แต่ยังไม่ดี ต้องเพียรพยายามฝึกหัดต่อไปอีก จนกระทั่งใจนึกคิดปรุงแต่งไปในกามโลก รูปโลก อรูปโลก ก็ รู้เท่าทัน ทุกขณะ อย่าไปตามรู้หรือรู้ตาม จะไม่มีเวลาตามทันเลยสักที เหมือนคนตามรอยโคไม่เห็นตัวมัน จึงตามรอยมัน 

    รู้เท่า คือ เห็นตัวมัน แล้วผูกมัดเอาตัวมันเลย แล้วฝึกหัดจนกระทั่งมันเชื่อง แล้วจะปล่อยให้มันอยู่อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องตามหามันอีก นับว่าใช้ได้ดี 


    ถ้าตามใจของตนไม่ทัน หรือไม่เห็นใจตน มันจะไปหรืออยู่ หรือมันจะคิดดีคิดร้ายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องของมัน นั้นใช้ไม่ได้เลย จมดิ่งลงกามภพโดยแท้ 

    เราขอตักเตือนเพื่อนสหธรรมิก ผู้บวชมาหวังความบริสุทธิ์เจริญก้าวหน้าในพุทธศาสนาว่า การกระทำสิ่งใดด้วยกาย วาจา และใจอันเป็นไปเพื่อโลก เมื่อถามตนเองก็รู้อยู่และโลกมนุษย์ทั้งหลายก็รู้อยู่ สิ่งนั้นผิดวิสัยของสมณะ จงละเสียอย่ากระทำ จงศึกษาแต่ธรรมวินัยและข้อวัตรปฏิบัติให้เข้าใจถ่องแท้ และปฏิบัติตามให้ถูกทุกประการ อันจะนำมาซึ่งความเย็นใจแก่ตน และเป็นเหตุให้คนอื่นเกิดความเลื่อมใสศรัทธา เป็นเหตุให้พุทธศาสนาจีรังถาวรสืบไป 

    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล (พระราชวุฒาจารย์) ได้สละทิ้งร่างกายอันกอปรด้วยของปฏิกูลโสโครกทนได้ยาก พร้อมทั้งญาติโยมและสานุศิษย์จำนวนมากไปแล้ว แต่เมตตาธรรมที่ท่านได้ประสาทไว้แก่สานุศิษย์ทั้งหลาย ยังเหลืออยู่ คุณธรรมดังกล่าวแล้วประทับจิตใจของทุกๆ คนไม่ลืมหาย กระผม พระเทสรังสี พร้อมด้วยอุบาสกอุบาสิกา และสานุศิษย์พระภิกษุสามเณรทั้งหลาย ขอน้อมถวายความเคารพด้วยกายวาจาและใจ ในที่ทุกสถาน ทุกกาล ทุกเมื่อ 

    พระนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาจารย์ (เทสก์ เทสรังสี)
    ๙ มีนาคม ๒๕๒๘
    วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย


    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2013
  14. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,105
    ค่าพลัง:
    +10,246
    จูฬสุญญตสูตร (ต่อ)

    [๓๓๗] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจสัญญาว่าแผ่นดิน
    ไม่ใส่ใจอากาสานัญจายตนสัญญา ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะวิญญาณัญจายตนสัญญา
    จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในวิญญาณัญจายตน-
    *สัญญา

    เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ในวิญญาณัญจายตนสัญญานี้ไม่มีความกระวน-
    *กระวายชนิดที่อาศัยสัญญาว่าแผ่นดิน และชนิดที่อาศัยอากาสานัญจายตนสัญญา
    มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย คือภาวะเดียวเฉพาะวิญญาณัญจายตนสัญญา
    เท่านั้น

    เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าแผ่นดิน สัญญานี้ว่างจากอากาสานัญ
    จายตนสัญญาและรู้ชัดว่า มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะวิญญาณัญจายตนสัญญา
    เท่านั้น ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ใน
    สัญญานั้นเลยและรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี ดูกรอานนท์
    แม้อย่างนี้ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์
    ของภิกษุนั้น ฯ
     
  15. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขอกล่าวคํา"อนุโมทนาสาธุ กับท่านผู้ว่าง"ที่ได้นําวีดีโอขององค์หลวงตาที่ท่านได้เข้าเฝ้าพระสังฆราช มาเป็นบุญตาแก่พวกเราทุกๆท่านที่ได้เข้ามาพบเห็นและเราขอกราบอาราธนาคุณบารมีของคุณพระพุทธ คุณของพระธรรม และคุณของพระสงฆ์ และคุณขององค์หลวงตามาปกปักษ์คุ้มครองท่านให้ท่านจงมีแต่ความเจริญในทุกๆด้านโดยเฉพาอย่างยิ่งในด้านธรรมะของท่านจงเจริญยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตา และองค์พระสังฆราชด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ.
     
  16. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]

    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

    ◕ หลวงปู่สอนว่า...ให้ใช้หลัก อริยสัจ แห่งจิต ◕

    จิตที่ส่งออกนอก(เพื่อสนองอารมณ์ทั้งสิ้น) เป็นสมุทัย
    จิตที่ส่งออกนอก(แล้วหวั่นไหว) เป็นทุกข์
    จิตเห็นจิต( อย่างแจ่มแจ้ง) เป็นมรรค
    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต(อย่างแจ่มแจ้ง) เป็นนิโรธ

    อนุโมทนา..สาธุค่ะ ลูกขอน้อมกราบหลวงปู่ดูลย์ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ _/\_
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2013
  17. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ต้องตั้งใจรักษาศีลโดยเจตนาไม่ใช่เล่นๆ

    บางคนที่บอกว่ากำลังรักษาศีล ปากบอกว่ากำลังรักษาศีล

    แต่ฝ่าฝืนเสียแล้ว ยังพูดไม่จบเลย ตบยุงเสียแล้ว

    ดั่งนั้นปากว่ารักษาศีล หัวใจจะต้องมีความตั้งใจจริงๆด้วย.

    ธรรมะของหลวงปู่ท่อน ญาณธโร.
     
  18. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713

    สาธุค่ะขอบพระคุณมากค่ะที่นำภาพต่างๆของพ่อแม่ครูอาจารย์มาให้ได้รับชม

    และนำธรรมะดีๆของเกจิอาจารย์หลายๆเกจิมาให้รับฟัง.
    ู้
    วันที่พระราชเพลิงศพของท่านและชมพิธีต่างๆในวันนั้นดูไปใจก็ระลึกถึงตอนที่มี

    โอกาสได้ไปร่วมงานวันมุทิตาท่านคือต้องไปนอนที่วัดป่าบ้านตาดผู้คนมากมาย

    ต้องจองที่ไว้ในศาลานอนกันเป็นแถวหัวชนเท้าเพื่อรอวันรุ่งเช้าของวันที่ ๑๒

    สิงหาคมทุกปีต้องมีงานมุทิตาท่าน ชมพิธีไปคิดไปใจก็อธิษฐานบอกท่านว่าลูก

    ไม่มีโอกาสได้ไปร่วมงานแต่ก็อธิษฐานว่าถ้าลูกมีบุญขอให้ลูกได้เห็นท่านได้สิ่ง

    ศักดิ์สิทธิ์ของท่านมาไว้กราบไหว้บูชาแทนตัวท่าน. แต่ผู้เขียนมีความปิติมาก

    ช่วงที่ชมพิธีอยู่แล้วก็ได้เห็นภาพของท่านลอยขึ้นมาปนกับควันเป็นภาพที่ท่าน

    กำลังบิณฑบาตรแล้วก็เกิดความอัศจรรย์ขึ้นจริงๆ ผู้เขียนกลับเมืองไทยมีลูกศิษย์

    ของท่านที่ผู้เขียนรู้จักเขาเอาพระธาตุขององค์ท่านพร้อมรูปเหมือนของท่านองค์เล็กๆมา

    ให้ซึ่งเป็นรูปเหมือนองค์ที่เห็นบนควันนั้นเลยแล้วเขาก็บอกว่าเก็บไว้ให้ผู้เขียนปิติมากตอนนั้น.ท่านมีความเมตตามากและผู้เขียน

    ก็ระลึกถึงคำสั่งสอนของท่านตลอดมานำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ.ขออนุโมทนาบุญกับท่าน

    และขอขอบคุณที่นำธรรมะของท่านมาให้รับชมและรับฟังอนุโมทนาสาธุค่ะ.

    ลูกน้อมกราบองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ.
    [/BIGVDO]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2013
  19. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขออนุญาตินำการบ้านฉบับสุดท้ายของน้องปุ้ยมาลงให้ได้อ่านเป็นธรรมทาน และโมทนาบุญกับน้องเค้าด้วยน่ะค่ะ..สาธุ..(ว่าจะไม่เอามาลงแล้ว แต่ก็อดไม่ได้..555)..:cool:

    สวัสดีค่ะครูลูกพลัง ครูพี่เกษ

    สาธุๆๆ หนูขอบพระคุณครูทั้งสองอย่างสุดซึ้งนะคะ :D ครูพี่เกษถามหนูว่า " แน่ใจน่ะ ว่าไม่ได้เขียนด้วยอารมณ์ ตอนเขียนเสร็จรู้สึกเป็นอย่างไร บ้างจ๊ะ "
    ครูอ่านแล้ว มันให้ความรู้สึกเหมือนเขียนด้วยอารมณ์เหรอคะ ? 555 หนูมีสติดีและเขียนโดยปราศจากความรู้สึกโลภ โกรธ หลง แน่นอนค่ะ มันหลุด กระเด็นหายตั้งแต่เจอเมล์ครูลูกพลังแล้วค่ะ ฮาๆ ความรู้สึกก็ปรกติ เบา สบาย โปร่ง โล่ง มันอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกจริงๆค่ะ ที่จริงหลายอย่างที่หนูไม่ได้ เขียนลงไป กับสิ่งที่หนูได้สัมผัสด้วยตัวเองจริงๆ มันพรั่งพรูออกมาเร็วมาก นิ้วกดแป้นพิมพ์ไม่ทันเลยค่ะ
    หนูจะเล่าให้ฟังว่าหนูต้องกราบขอบพระคุณกับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นจริงๆค่ะ มันทำให้หนูรู้สึกว่าหนูตาสว่างขึ้นอย่างครูลูกพลังว่า ฮ่า หลังจากเหตุการณ์หนูเปลี่ยนไปมากเลยค่ะ หนูรู้สึกตัวเอง มีจิตใจ โปร่ง โล่ง เบา สบายมาก ปกติหนูจะอยู่ที่ร้าน หนูจะไม่ออกข้างนอก เพราะอากาศหนาว หิมะตก นอกจากมีธุระจริงๆ หนูจะนอนพักที่ร้าน ตอนเช้าจะตื่นนอนทำวัตรเช้า ตกเย็นทำวัตรเย็น นั่งสมาธิเมื่อไม่มีลูกค้า ทำงาน คุยกับเจ้านาย เพื่อนร่วมงานบ้าง แล้ววันพฤหัสที่ผ่านมาหนูต้องไปต่อเอกสารที่หมดอายุ อาทิ บัตรสุขภาพ บัตรประกันสังคม
    ตอนที่หนูเดินออกไปสัมผัสกับอากาศภายนอก ความเย็นยะเยือกมากระทบที่ผิว หนูรับรู้อารมณ์ความรู้สึกตอนนั้นตอนที่มันมาสัมผัสกระทบค่ะแต่ระหว่างเดินหนูเห็นร่างกายตัวเองเดิน ระหว่างรอไฟแดง ระหว่างก้าวเท้าขึ้นรถ แล้วนั่งลง มันมีสติรับรู้ตอนนั้นตลอดเวลา ตอนที่เดินเห็นร่างกายมันเดินตัวเบา สบายแม้อากาศหนาวมาก ตอนที่นั่งลงหนูรู้สึกว่าใจหนู มันเป็นอิสระ โล่ง ว่างมากค่ะ มันไม่มีความรู้สึกปรุงแต่ง ห่วง คิดถึงอดีต อนาคตอะไรเลย วันนั้นรอคิวยาวหนูก็ไม่ได้กังวลหงุดหงิดหรือปรุงแต่งว่าทำไมมันช้าจัง นั่งรอด้วยใจเบา สบาย วันนั้นทำบัตรสุขภาพเจ้าหน้าที่ ถามว่าคุณจะบริจาคอวัยวะร่างกาย เช่น หัวใจ ตับ ตา ฯลฯ มั้ย หนูไม่ลังเลที่ จะกรอกเอกสารเลยค่ะ ที่จริงเค้าให้ขีดเลือกมา แต่หนูก็บอกเค้ามาทุกอย่างค่ะ ไม่รู้สึกหวงร่างกายเลย มันทำให้หนูผุดเหตุการณ์ปีแรกที่หนูมา เคยไปทำบัตรสุขภาพตอนนั้นหวงแหนร่างกายมาก ครูอนุโมทนาบุญกับหนูด้วยนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มกราคม 2013
  20. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ความโกรธเป็นอันตราย แก่ธรรมะทั้งหลาย

    ชื่อเสียงเกียรติยศ รสนิยม พังไปตามๆกัน

    เพราะความโกรธมันทำลาย

    อะไรต่อมิอะไรได้ตามอำเภอใจ

    กำลังความโกรธนั้นมันรุนแรง

    เพราะมันเป็นไฟอย่าไปหลงอำนาจแก่มันเด็ดขาด.

    หลวงปู่ท่อน ญาณธโร.สาธุกราบหลวงปู่เจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...