จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    หากใครสนใจในพระสูตร สี่ห้าสูตรนี้ ก็พอจับหลัก ในแนวทางได้นำไปปฏิบัติ
    1.ธัมจักรกัปวตนสูตร
    2.มหาจัตตารีสกสูตร
    3.อนัตลักขณสูตร
    4.อาทิตปริยายสูตร
    5.โมฆราชมาณวกปัญหา
    ลืมไปอีกสองสูตร คือ สติปัฏฐานสูตร และมหาปรินิพพานสูตร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2013
  2. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    สติ เป็นของสำคัญ ปัญญา เป็นของสำคัญ นี้เป็นหลักสำคัญมากในการประกอบความเพียร อย่าปล่อย นี่สอนเสมอ สอนหมู่เพื่อนเรื่องสติเรื่องปัญญา เพราะไม่เห็นอันใดที่เด่นมาในการแก้กิเลสอาสวะทุกประเภท จนกระทั่งหมดความสงสัยภายในใจที่นอกเหนือไปจากสติปัญญา โดยมีความเพียรเป็นเครื่องสนับสนุนนี้เลย เราเคยเห็นคุณค่าของสติปัญญามาอย่างนี้ เราจึงพูดเต็มปาก

    สติไม่มี สติล้มลุกคลุกคลานก็เคยเป็นมาแล้วอย่างที่เล่าให้ฟัง ปัญญาไม่มี ไม่ทราบจะคิดอะไรให้เป็นอรรถเป็นธรรมให้เป็นสติปัญญา ท่านพูดว่าปัญญาๆ ก็ไม่รู้ นี่ก็เคยเป็นมาพอแล้ว เวลาพิจารณาจิตอบรมจิตหลายครั้งหลายหนอย่างเอาจริงเอาจัง ก็ไม่ทนต่อความเอาจริงเอาจังด้วยความมีสติจดจ่อ ใจสงบลงจนได้ เมื่อสงบลงได้แล้วก็ปรากฏเป็นความสุข ความแปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นก็เป็นความอัศจรรย์ตามขั้นของจิต

    ความเพียรเริ่มละที่นี่ เพราะเห็นผล เมื่อเห็นผลของงานแล้วความเพียรหากเป็นมาเอง เอ้า ทีนี้พิจารณาแยกแยะทางด้านปัญญาอย่างเอาจริงเอาจัง จดจ่อพิจารณาหาอุบายพลิกแพลงตนเอง ไม่คอยแต่ครูบาอาจารย์บอกวิธีนั้นวิธีนี้ นั้นไม่ใช่เป็นเรื่องของตนผลิตขึ้นมาเอง ไม่ดีไม่เหมาะ ปัญญาที่เกิดขึ้นจากความคิดความเห็นของตัวเอง เกิดขึ้นกับตัวเองนั้นกินไม่หมด ยิ่งแตกแขนงออกไปเรื่อยๆ คิดเท่าไรพิจารณาเท่าไร ยิ่งแตกแขนงออกไปไม่มีสิ้นสุด จนกระทั่งกระจายไปรอบตัวรอบจักรวาล นั่งอยู่ที่ไหนก็มีแต่สติปัญญาทำหน้าที่คุ้ยเขี่ย ขุดค้น ปราบปรามกิเลส

    ถ้ากิเลสเป็นด้านวัตถุ ลงสติปัญญานี้ได้ออกก้าวเดินแล้วด้วยความสง่าผ่าเผย องอาจกล้าหาญ มีความเฉลียวฉลาดรอบตัว เราเดินไปตามทางก็ดี หรือในทางจงกรมก็ดี ก็เหมือนว่าเราฆ่ากิเลส เผากิเลสอยู่ตลอดเวลา ฆ่ากิเลสตายระเนระนาด ทั้งการเดินการนั่งมีแต่การฆ่ากิเลส นั่งก็นั่งฆ่ากิเลส ยืนก็ฆ่ากิเลส ยืนที่ไหนฆ่าแต่กิเลส ด้วยสติปัญญาศรัทธาความเพียรทั้งนั้น หากกิเลสเป็นวัตถุแล้วซากศพของกิเลสเกลื่อนไปหมด แต่ก่อนล้วนกิเลสมันสั่งสมตัวมันไว้กี่กัปกี่กัลป์ ทำลายจิตใจ ทีนี้ถูกสติปัญญาฟาดฟันหั่นแหลกกันลงไป ตายระเนระนาด ไปที่ไหนมีแต่เรื่องกิเลสตาย นี่สติปัญญาขั้นนี้เป็นอย่างนี้

    ต้องให้รู้จักการรู้จักงาน รู้จักวิธีรบ วิธีรับ วิธีต่อสู้ วิธีหลบหลีก จึงเรียกว่าปัญญาอันคมกล้า ถ้ามีแต่กิเลสคมกล้า ไอ้เราก็มืดดำกำตาหรือมืดแปดทิศแปดด้าน ถ้าปัญญาได้สว่างจ้าขึ้นมาภายในใจแล้วจะรอบตัว กิเลสมาแง่ไหน คิดขึ้นเรื่องใด อะไรมาสัมผัส สติปัญญาทันทั้งนั้น นอกจากทันกับอารมณ์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกันแล้ว ยังตามวินิจฉัยกันจนเป็นที่เข้าใจ ปล่อยวางๆ ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติขึ้นมา

    ที่นี่เอาละ เรื่องความขี้เกียจเรื่องความกลัวทุกข์นั้นหายหน้าไปหมดเลย ไม่มีคำว่ากลัวทุกข์ ไม่มีคำว่ากลัวตาย มีแต่จะเอาให้รู้ เป็นก็ให้รู้ตายก็ให้รู้ หรือว่าเป็นก็ให้พ้นตายก็ให้พ้นจากทุกข์ พ้นจากกิเลสไปโดยถ่ายเดียว เป็นสิ่งที่ต้องการ คำว่าแพ้นี้ให้ตายเสียดีกว่า อย่าให้แพ้แบบหมอบราบทั้งๆ ที่มีชีวิตอยู่นี้เลย เป็นไปไม่ได้ ถ้าแพ้ก็ให้แพ้แบบตายเลย เป็นมวยบนเวทีก็ให้ถูกน็อคล้มลงไป ตายเลย อย่างนี้จึงว่าแพ้ อยู่ๆ ก็ไปยกมือไหว้เขา ว่ายอมแพ้ไม่ได้

    จิตขั้นนี้สติปัญญาขั้นนี้ เชื่อตัวเองขนาดนั้นแล ให้ท่านทั้งหลายพิจารณาเอาเอง เมื่อถึงขั้นเชื่อตัวเอง เชื่ออย่างนั้น คือ เชื่อกำลังความสามารถของสติปัญญา อยากพบเห็นข้าศึกคือกิเลสเท่านั้น กิเลสตัวไหนที่มาขวางใจ อยู่ตรงไหนบ้าง มันพิจารณาซอกแซก ซิกแซ๊ก คุ้ยเขี่ยขุดค้นหาจนแหลก เพราะเมื่อสติปัญญามีกำลังกล้าขึ้นมาแล้ว ข้าศึกมันหลบตัวมันซ่อนตัว จึงต้องขุดค้นคุ้ยเขี่ย พอเจอกันแล้วก็ฟาดกันละที่นี่ เรียกว่าได้งานหรือเจอข้าศึกแล้ว ฟาดลงไป พอเหตุผลพร้อมแล้วกิเลสขาดสะบั้นลงไปเห็นชัดนี่ตัวนี้ขาดลงไปแล้ว ทีนี้คุ้ยเขี่ยหาอีก หางาน พอเจอเข้าก็ได้งานและต่อสู้ขาดลอยไปอย่างนี้เรื่อยๆ จิตก็เพลินในความเพียร

    ใจยิ่งเด่นขึ้นๆ เห็นชัดเจนโดยลำดับลำดา กิเลสมีมากมีน้อยเห็นชัดว่าเป็นภัยต่อจิตอย่างยิ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้นจะนอนใจได้อย่างไร เอาดำเนินไปซิ เมื่อความเพียรมีอยู่ไม่หยุดไม่ถอย จะไม่พ้นจากคำที่กล่าวนี้ไปได้เลย เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้ในทางคงวามเพียรนี้ ต้องเป็นไปอย่างนี้จริงๆ ไม่สงสัย เอาให้จริง

    ทำอะไรอย่าทำแบบจับๆ จดๆ อย่าหัดนิสัยจับๆ จดๆ ให้มีความจดจ่อ ให้มีความจริงใจกับสิ่งนั้นจริงๆ ทำอะไรก็เพื่อผลประโยชน์ อย่าสักแต่ว่าทำผ่านมือๆ ไป เป็นนิสัยจับจดใช้ไม่ได้ เวลาจะทำความพากเพียรถอดถอนกิเลสก็จะทำแบบจับๆ จดๆ ปล่อยๆ วางๆ เป็นคนหลักลอย เลยไม่มีอะไรเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นของตัวได้เลย มีแต่ความเหลาะแหละเต็มตัว นั้นหรือเป็นตัว เป็นตัวไม่ได้ เชื่อตัวเองไม่ได้

    เอาให้เชื่อตัวเองได้สิ พระพุทธเจ้าสอนให้เชื่อตัวเอง จาก อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ คือความหวังพึ่งตนเอง ด้วยสติปัญญาศรัทธาความเพียรของตัวเอง พระองค์มอบไว้แล้วทุกอย่าง เครื่องมือถูกต้องหมดแล้ว เอ้า นำมาประกอบ นำมาฟาดฟันกิเลส กิเลสจะตายด้วยสติปัญญา กิเลสกลัวสติปัญญา กิเลสประเภทใดก็ตามไม่พ้นจากสติปัญญานี้ไปได้ นี่กิเลสกลัวมาก และตายด้วยสติปัญญาศรัทธาความเพียรนี้ด้วย ไม่ได้ตายด้วยอย่างอื่น สิ่งที่พอกพูนกิเลสอย่าสนใจนำมาใช้ สิ่งใดที่กิเลสจะยุบยอบลงไป หรือจะสลายลงไปจากจิต ให้นำสิ่งนั้นมาใช้เสมอ สติปัญญาเอาให้ดี

    เต็มๆที่นี่ ขันธ์ 5 ต่างหากจากจิต โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
     
  3. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ๑. การอยู่ในหมู่คนดีย่อมมีคนไม่ดีปะปนอยู่ด้วยเป็นของธรรมดา

    จึงไม่ควรใส่ใจ คนใหนดีเราก็สรรเสริญ คนใหนไม่ดีเราก็ออกห่าง

    ไม่ยกย่อง

    ๒. จงรักคนทุกคน แต่ไว้ใจบางคน

    ๓. อย่าทำผิดต่อทุกคน

    ๔. จงดูตนเองเสมอ

    ๕. เกิดเป็นคนถ้าจะสอนคนให้สอนตนเองก่อน

    ๖. เมื่อถูกสอน อย่าทำค้อนคำสอน

    เขาจะดีคนหรือคนดีจงติเรา จะโกรธเขาหรือเขาโกรธดูโทษตัว

    โอวาทคำสอน หลวงปู่หลอด ประโมทิโต.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2013
  4. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    บางคนสนใจปฏิบัติธรรม มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ

    แต่ใจยังแกว่งไปในการชอบดูดวง คำทำนายโชคชะตาราศรี เครื่องรางของขลัง
    หวังในลาภต่างๆ พอเป็นอย่างนี้แล้ว ก็จะไขว้เขวไปในโลกจินดา
    เพราะตนยังเป็นผู้ดำเนิน อุปทานขันธ์ยังไม่ถูกสำรอกอะไรเลย จะถูกชักจูงได้โดยง่าย

    นั่นแสดงว่า ยังคลอนแคลนต่อการก้าวเดินเพื่อให้ถึงฝั่ง ใน "อัตตาหิ อัตโน นาโถ"

    พระพุทธองค์ทรงบอกว่า

    ให้ "เป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นสรณะอยู่ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ
    เป็นผู้มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นสรณะอยู่ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ"

    พื้นฐานในหลักการดำเนิน ก็เคยนำลงให้ได้พิจารณาแล้ว ใน "มังคลชาดก ว่าด้วย ถือมงคลตื่นข่าว"

    ผู้จะมีตนเป็นสรณะ มีธรรมเป็นเกาะ นั่นแสดงว่า การดำเนินได้หยั่งลงในกระแสธรรม

    ก็ต้องมีความเพียรพยายามสำรอกทิฏฐิเหล่านั้น เพื่อให้ถึงกระแส ให้มั่นในมรรคมีองค์8 สติปัฏฐาน และจะเป็นมงคลแก่ตนที่ประเสริฐสุด

    ฝากไว้ ขอตัวก่อน
     
  5. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157

    [​IMG]
     
  6. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  7. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  8. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  9. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157


    [​IMG]
     
  10. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    สติเป็นแก่นของธรรม แก่นของธรรมแท้อยู่ที่สติ
    ให้พากัน หัดทำให้ดี ครั้นมีสติแก่กล้าดีแล้ว
    ทำก็ไม่พลาด คิดก็ไม่พลาด กุศลธรรมทั้งหลายจะเกิดขึ้น
    เมื่อบุคคลอยู่กับสติแล้ว สติเป็นใหญ่ สติมีกำลังดีแล้ว
    จิตมันรวม เพราะสติคุ้มครองจิต



    หลวงปู่ขาว อนาลโย

    [​IMG]
     
  11. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    .....ธรรมเป็นเครื่องปกครองสมบัติ

    และปกครองใจ ถ้าขาดธรรมเพียงอย่างเดียว

    ความอยากของใจจะพยายามหาทรัพ

    ได้กองเท่าภูเขาก็ยังหาความสุขไม่เจอ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2013
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    " ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ "

    ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ แปลว่า (พระธรรม) อันวิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะตน
    ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ หมายความว่า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่วิญญูชนหรือผู้รู้แจ้งหรือผู้บรรลุผลด้วยการประพฤติปฏิบัติตามเท่านั้นจึงจะรู้ประจักษ์โดยเฉพาะตนคนเดียว คนอื่นที่ยังไม่รู้แจ้งยังไม่ได้บรรลุจะพลอยตามรู้ตามเห็นด้วยหาได้ไม่ เหมือนรสอาหาร ผู้ที่ได้ชิมเท่านั้นจึงจะรู้ว่ารสจริงๆ ของอาหารนั้นเป็นเช่นไร คนอื่นที่มิได้ชิมมิอาจรู้จริงได้ หากจะรู้ก็รู้เพียงคาดเดาหรือสันนิษฐานเอาเท่านั้น และพระธรรมนั้นมิใช่เป็นวิสัยของผู้มิใช่วิญญูชนที่จะพึงรู้พึงทราบได้โดยง่าย ต้องปฏิบัติจนกระทั่งเป็นวิญญูชนจึงจะทราบได้ ด้วยเหตุนี้พระธรรมจึงชื่อ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เป็นธรรมคุณคือ คุณของพระธรรมประการที่๖ ในจำนวน ๖ ประการ.

    Wat Sumter
    คำวัด โดย พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต)


    http://th.wikipedia.org/wiki/พระธรรมกิตติวงศ์_(ทองดี_สุรเตโช)
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อจินไตย
    แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน มี 4 อย่างได้แก่

    1.พุทธวิสัย วิสัยแห่งความมหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เช่น การเดินบนดอกบัว7ก้าวและเปล่งอาสภิวาจาของพระพุทธเจ้า
    2.ฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของผู้มีฌาน ทั้งมนุษย์ และเทวดา
    3.กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม และวิบากกรรม คือการให้ผลของกรรมที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ
    4.โลกวิสัย วิสัยแห่งโลก คือการมีอยู่ของสวรรค์ นรก และสังสาระวัฏ

    ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น


    http://th.wikipedia.org/wiki/อจินไตย
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นึกว่า..ขอร้องกัน

    ข้าพเจ้าเคยเตือนไปแล้วว่า...
    อย่านำเรื่อง ปัจจัตตัง อจิณไตย โดยเฉพาะ เรื่อง จิตอรหันต์

    แต่ถ้าจะคุยให้ไปคุยกันในกลุ่มพวกเพื่อนพร้อง เพื่อนสหธรรมิกหรือเพื่อนในกลุ่มผู้คนที่สนิทหรือผู้ปฎิบัติธรรมในสายหรือในแนวกัน

    เพื่อป้องกันการเกิดความขัดแย้งไปในตัว หรือเป็นการสร้างกรรมไม่ดีกันและกัน โดยมิรู้ตัวด้วย
    ส่วนผู้ใดจะหยุดกรรมนั้น จึงขอเริ่มต้นกันที่..ตัวของเราเองก่อน

    เพราะที่นี่ ก็คือกระทู้สาธารณะ ข้าพเจ้าเป็นเจ้าของสมมุติกระทู้นี้เฉยๆ
    แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของกระทู้นี้จริงๆหรอก มีแต่เจ้าของเวปไซท์นี้เท่านั้น

    นี่ขนาดในวงการผู้ปฎิบัติยังเกิดความขัดแย้งกันได้เลย นับประสาอะไรกับบุคคลที่มิได้ประพฤติ ปฎิบัติธรรม

    แต่ผู้ที่ถึงซึ่งธรรมกันแล้ว ย่อมไม่มีความขัดแย้งใดๆเกิดขึ้น
    แม้นกระทั่งตัวขอข้าพเจ้าเองนั้น ก็ต้องประพฤติ ปฎิบัติให้มากๆเช่นกัน
    ส่วนผู้ใด จิตถึงอรหันต์นั้น ขอให้ถามตนเองดูก็รู้แล้ว ว่าเป็นเช่นไร

    ผู้ที่ถึงซึ่งอรหันต์กันจริงๆนั้น เงียบเป็นเป่าสาก

    เพราะฉะนั้น คำว่า อรหันต์นั้น มิใช่นำมาเพื่อพูดในสถานที่สาธารณะ ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว
    ยกเว้น ยกคำกล่าวอ้างของพระอรหันต์ ที่ทุกท่านให้การยอมรับนั้น นำมาเพื่อเป็นธรรมาทาน อันนี้ได้อยู่

    แต่ถ้าคราบมนุษย์หรือครองฆราวาสอยู่นั้น จะมาพูดกันเรื่องนี้ จะหาที่สุดมิได้ คือจะเกิดการถกเถียงกันในวงกว้างมากยิ่งๆขึ้นไปอีก

    ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
    (ที่ให้ความร่วมมือ)

    จาก..เจ้าของกระทู้สมมุติ หรือละมุดดิ ไม่ใช่..วิมุตติ
     
  15. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    นิสัยวาสนา ที่ติดตัวเรามาทั้งแต่กําเนิดนั้น เป็นนิสัยที่จะแก้ได้ยาก เพราะเป็นความเคยชินมาตั้งแต่หลายภพหลายชาติแล้ว อย่างเช่น การทําอะไรๆที่เราชอบ ถ้าท่านมีนิสัยชอบสร้างทานมา ท่านผู้นั้น ก็จะสละออกได้ง่ายกว่าท่านผู้ไม่เคยทํามาเพราะนิสัยติดมา ท่านจึงได้กล่าวไว้เรื่อง"นิสัยวาสนานั้นเป็นไปตามภูมิเกิด(บุญทํากรรมแต่งก็ว่าได้) ก็อย่างเราๆท่านๆที่มีความชอบด้านธรรมะก็บ่งบอกถึงนิสัยที่ท่านได้เคยสร้างสมมาท่านจึงเป็นผู้มีความฉลาดในด้านธรรม และถ้าท่านไม่ชอบท่านก็คงไม่ได้มาปฏิบัติกัน เพราะท่านจะชอบสิ่งใดก็คงทําสิ่งที่ท่านชอบนั้น ก็จะดูได้ง่ายอย่างเราผู้ปฏิบัติจะคุยกับคนที่เขาไม่ปฏิบัติ เขาก็จะไม่รู้ไม่เข้าใจเรา...จิตก็จะขัดทางกันคือมันไปกันไม่ได้นั้นเอง จึงนํามาเล่าสู่กันฟังตามแต่นิสัยวาสนาที่เราๆท่านชอบ(ติดตัวมาค่ะ)
     
  16. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ธรรมะของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.

    การภาวนาการอบรมนี่คือการพักเครื่องนั่นเอง

    จิตใจของเรามีความคิดปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา

    เรียกว่าเดินเครื่องตลอดไป

    ที่นี้เวลาเราพักเครื่องคือเราอบรมจิตของเราให้เข้าสู่ความสงบ

    สงบลงตามลำดับลำดา นี่เรียกว่าจิตพักเครื่อง

    จิตพักเครื่องจะมีความแปลกประหลาดภายในของตัวเรา

    มีความตื่นเต้น มีความแปลกประหลาด มีความอัศจรรย์

    เพราะเห็นความสุขที่ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้ ตั้งแต่เราเกิดมา

    จากความสุขอื่นใดก็ตามไม่เหมือนความสุขที่เกิดขึ้น

    จากจิตที่ได้รับความสงบจากการภาวนานี้เลย.

    กราบหลวงตาด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2013
  17. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/JTk6he_7AAc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  18. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    <iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/9VxffZwZo-8" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>


    คลิปนี้ได้ถ่ายทำไว้ ตอนไปในช่วงงานพระราชเพลิงศพ
     
  19. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    [​IMG]

    จำได้ว่าช่วงนั้นไปอยู่ 5 วัน 5 คืน พอเสร็จงานก็กลับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC01585.JPG
      DSC01585.JPG
      ขนาดไฟล์:
      236.4 KB
      เปิดดู:
      46
    • DSC01468.JPG
      DSC01468.JPG
      ขนาดไฟล์:
      194.6 KB
      เปิดดู:
      38
    • DSC01522.JPG
      DSC01522.JPG
      ขนาดไฟล์:
      162.3 KB
      เปิดดู:
      45
    • DSC01616.JPG
      DSC01616.JPG
      ขนาดไฟล์:
      166.2 KB
      เปิดดู:
      43
    • DSC01611.JPG
      DSC01611.JPG
      ขนาดไฟล์:
      154.7 KB
      เปิดดู:
      54
    • DSC01497.JPG
      DSC01497.JPG
      ขนาดไฟล์:
      169.7 KB
      เปิดดู:
      215
    • DSC01498.JPG
      DSC01498.JPG
      ขนาดไฟล์:
      162.2 KB
      เปิดดู:
      39
    • DSC01596.JPG
      DSC01596.JPG
      ขนาดไฟล์:
      188 KB
      เปิดดู:
      46
    • DSC01600.JPG
      DSC01600.JPG
      ขนาดไฟล์:
      152.7 KB
      เปิดดู:
      47
    • DSC01618.JPG
      DSC01618.JPG
      ขนาดไฟล์:
      155.6 KB
      เปิดดู:
      46
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2013
  20. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    เราเองก็ไปกราบสังขารท่านอยู่หลายรอบ
    แต่ว่าวันปลง ไม่ได้ไป ดูทีวีเอา (เห็นว่าต้องจอดรถปากทางแล้วเดินเข้าไปตั้งหลายโล)
    บางท่านก็ไปปักหลักกางเต้นท์นอนในบริเวณวัดเลย คนเยอะมากๆ
    แต่ว่าเพื่อนๆกันกับครูบาอาจารย์ที่นับถือกัน พวกท่านๆก็ไปอยู่ที่นั่นเลย
    ภายหลังมาเป็นพระธาตุแล้ว เราก็ยังมีไปกราบอยู่ที่วัด


    เมื่อหลายปีก่อนเราได้ไปงานบุญประทายข้าวเปลือก ตอนนั้นหลวงตายังอยู่และเป็นประธาน
    เราไปพักที่โรงแรมในตัวเมืองอุดร แล้วต้องออกจากโรงแรมแต่เช้ามืด
    เพราะเขาบอกกันว่าเวลาวัดบ้านตาดมีงาน ต้องจอดรถด้านนอกและเดินไกลมาก
    ดังนั้นจึงต้องรีบไปแต่เช้ามืดจะได้ไม่ต้องเดินไกลมาก (คือพึ่งจะไปครั้งแรกน่ะ)

    จำได้ว่าไปถึงประมาณตี5มั้ง โอ้โห..คนนี่เพียบเลย ก็ยังต้องเดินอีกซัก1-2กิโลเมตร
    ก็เดินเล่นและกินอาหารตามซุ้มโรงทาน(ที่เขามาออกโรงทานกันน่ะ)
    ช๊อบปิ้งและชิมไปเรื่อย อาหารสุดยอดมีทุกรูปแบบ กินไม่หวาดไม่ไหว
    ขนาดว่าเช้ามืด มันก็ไม่ได้หิวซักเท่าไร แต่ก็ชิมไปเรื่อย..555
    เออ..อาหร๋อยๆ พอได้ซักพักนึง เอาละซิ "ปวดท้องอึ" กองทัพข้าศึกเริ่มประชิดประตูหลัง
    เรานี้วิ่งไปหาห้องน้ำเข้า โอ้พระเจ้าจ๊อด.. คนต่อคิวเพียบเลย ทุกจุดของห้องน้ำ
    (ห้องน้ำจุดนึงมีซัก8-16ห้อง และตอนนั้นก็มีอยู่ไม่กี่จุด แต่คนมามีเป็นหมื่น)
    แต่ทุกห้องมีคนยืนต่อคิวไม่ต่ำกว่าสิบคนอยู่หน้าห้องน้ำเลย
    ครั้นจะไปหาป่าแถวนั้นปลดทุกข์หนักก็ไม่ได้เพราะว่า คนมากางเต้นท์นอนกันทั่วบริเวณวัดเลย
    เราจึงจำเป็นต้องไปต่อคิวกับเขา
    ทุกท่านลองนึกดูว่า ท่านปวดท้องอย่างถึงที่สุด(ในชีวิตเลยตั้งแต่เกิดมา) แต่ไม่สามารถถ่ายทุกข์ได้
    คือข้าศึกกำลังจะพังประตูหลังแล้ว แต่เราจำต้องอดทน แต่ประตูจะพังอยู่แล้ว
    ความจริงแล้วต้องใช้คำว่า"โคตรของโคตรทน" (ขออภัย..แค่ต้องการให้นึกภาพออก)
    ทุกข์เวทนามันขึ้นถึงที่สุดๆเลย แทบจะทนไม่ได้ แทบจะบ้าตาย
    ก็กลั้นใจยืนต่อคิวไป ภาวนาไปแบบติดๆดับๆ (มันจะไม่ดับๆยังงัยยล่ะ ก็มันปวดสุดๆเลย)
    อดทน(ขันติบารมี-ไม่อยากจะบอกว่าsuperขันติเลย) ภาวนาไป ยืนสงบๆไป
    เราต่อคิวประมาณคนที่7-8นี่แหล่ะ
    (สภาพห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม คนเยอะจนไม่ได้แยกหญิง/ชายแล้ว
    แต่ว่าเขาก็ต่อคิวกันเป็นแถวชายและก็แถวผู้หญิงต่อห้องๆแบบยืนหน้าประตูเลย
    พอท่านนี้เสร็จกิจออกมา ท่านคิวแรกก็รีบพลวดเข้าไปในทันที
    แต่ละท่านจะใช้เวลาประมาณ10-15นาทีในการปลดทุกข์หนักกัน เท่าที่จับเวลาได้
    เราก็มองดูหน้าตาของผู้คน แบบทุกข์มาก-ปานกลาง-น้อย
    ส่วนตัวเอง ทุกข์มากที่สุด ไม่เห็นหน้าตัวเอง..555
    แถมบางท่านคิวที่หนึ่ง ต้องเคาะประตูห้องเพื่อเร่งคนที่อยู่ข้างในห้องส้วม
    แบบว่า"เฮ้ย..เร็วๆหน่อย" จนบางท่านต้องตะโกนออกมา"เดี๋ยวซิ..เกือบแล้ว"
    แต่เราก็ขำไม่ออก เพราะเราก็มีสภาพไม่ต่างจากท่านคิวที่หนึ่ง)
    เราก็ยืนภาวนาไปจน จิตเริ่มสงบ ทุกข์เวทนามันก็เริ่มเบาบางลง
    พอจิตมันสงบ ปัญญามันก็เกิดซิครับ ท่านผู้ชม
    เราดันมายืนต่อแถวผู้ชาย ทำไมฟ๊ะ เพราะว่าทุกท่านเขาปลดทุกข์หนักหมดเลย
    (หากถ้าเป็นทุกข์เบา มันก็มีช่องฉี่ได้อยู่แล้ว เขาจะมายืนต่อคิวทำอะไร?)
    แต่หากถ้าเป็นแถวผู้หญิง โอกาสที่ผู้หญิงจะปลดทุกข์เบามันมี ซึ่งจะใช้เวลาแค่1-2นาทีเท่านั้น
    คิดได้เราจึงย้ายแถวไปต่อแถวผู้หญิงซะงั้น
    ปรากฏว่า"เรายังพอจะมีบุญอยู่บ้าง"แถวที่เรายืนอยู่เป็นทุกข์เบาและหนักอย่างละครึ่ง
    จึงทำให้เราได้แซงผู้ชายคนที่เคยอยู่ด้านหน้าเรา(ตอนยืนแถวผู้ชายอยู่น่ะ)
    เพราะแถวผู้ชายเขา"ปลดทุกหนัก"ทุกคนเลย จึงใช้เวลานานกว่า

    นี่อุทาหรณ์เรื่องนี้ เราสรุปสิ่งที่ได้คือ
    - เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม
    - เมื่อจิตสงบ ปัญญาก็เกิด
    - ทุกข์แสนสาหัสแบบทรมานมากๆและยาวนานร่วม2ชม.เห็นจะได้ สุดๆจริงๆ
    (ตายไปเลย ยังง่ายซะกว่า)
    - ส่วน"สุขที่สุด" เชื่อว่าทุกท่านคงจะเดาได้ว่า"เป็นตอนไหนนะครับ?"
    - เราจดจำ"วัดป่าบ้านตาด"ไปจนวันตายเลย.. :)
    - การกินน้อย ก็ทุกข์น้อย.. จงจำเอาไว้

    "เห็นธรรม ในธรรม".. สาธุครับ

    ปล.เล่าหนุกๆนะครับ อย่าซีเรียส.. :)
     

แชร์หน้านี้

Loading...