ยุคก่อนมีพระพุทธรูป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 6 ธันวาคม 2012.

  1. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .............อันนี้แค่ คิดนะครับ..คือ การยกพระพุทธวจนะเป็นภาษาบาลีสมัยพุทธกาล...ก็คือการกล่าวออกมาเป็นเสียง ภาษาบาลี(เพราะ จขกท ว่ายังไม่มีลายลักษณ์อักษร)....ส่วนที่ จขกท ว่า ยกบาลีไทย นั้น ผมว่าอยู่ในส่วนของคำ ที่."แปล"ความหมาย ให้ คนที่ไม่ได้ใช้บาลี ตั้งแต่เกิด รู้ว่า คำบาลี คำนั้นหมายถึงอะไร?................เพราะอย่างนี้ พระวจนะ ที่เป็นภาษาไทย จะเรียกได้ว่า เป็นความจำเป็นในการ แปล ความหมายให้คนไทย เข้าใจจากบาลี เท่านั้น.........ถ้าให้ดี น่าจะมีการพิมพ์บาลี(ภาษาไทยอ่านออกเสียงบาลี) คู่กับ คำแปล น่าจะดีมาก.....ถ้าเป็นคำแปลความหมายไทย ก็ ขอให้เรา โยนิโสมนสิการว่าเป็น แค่คำแปลความหมายบาลี เท่านั้น ไม่ใช่พระพุทธวจนะที่เป้นภาษา เดิม:cool:(อย่างไรก็ ตาม เราอยู่ในยุคหลังยุคพระพุทธปรินิพพาน เราเองมีความจำเป็นที่เรียนรู้มาจากการบันทึกของพระไตรปิฎก ที่มีการสังคายนาอยู่แล้ว)
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ไม่แน่ครับ ท่าน paetrix ลองอ่านโพสต์ต่อไปนี้ครับ
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ภาพที่ ๕๔

    ภาพอักษรจารึกที่เสาอโศก ที่ลุมพินี กล่าวถึงการที่พระเจ้าอโศกได้เสด็จมาที่นี่ อันเป็นที่ประสูติของพระพุทธองค์

    [​IMG]

    คำอธิบายภาพที่ ๕๔

    ภาพนี้เป็นภาพตัวอักษรโบราณในอินเดีย ที่ปรากฏอยู่ในจารึกของพระเจ้าอโศก ซึ่งจารึกไว้ตามหน้าผาหรือเสาหินที่ยกขึ้น, มากมายหลายสิบแห่ง และมีอยู่แห่งหนึ่งที่เกี่ยวกับพระพุทธประวัติโดยตรง ได้จำลองเอามาติดรวมกับหมู่ภาพพุทธประวัติยุคก่อนมีพระพุทธรูปที่ทำขึ้นเพื่อการศึกษาประกอบกัน, จารึกนี้ปรากฏอยู่ที่เสาหิน ที่ลุมพินี อันถือกันว่าเป็นที่ประสูติของพระพุทธองค์.

    อักษรรูปนี้เรียกกันว่าอักษร พราหมี, ภาษาที่ใช้คือ ภาษาปรากฤตอันเป็นภาษาชาวบ้าน, ใช้จารึกที่ถิ่นไหน ก็ใช้ภาษาปรากฤตของถิ่นนั้น เพื่อมีผลดีเต็มที่. เชื่อกันว่าภาษาปรากฤตทางแคว้นอวันตี คือภาษาที่ถูกปรับปรุงขึ้นเป็นภาษาบาลีที่ปรากฏเป็นพระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาทเรา, ทั้งเชื่อได้ว่าพระพุทธองค์เสด็จไปเทศนาที่ถิ่นไหน ก็ได้ใช้ภาษาปรากฤตของถิ่นนั้นแสดงธรรมแก่ชนในถิ่นนั้น. ภาษาเหล่านั้นเป็นภาษาชาวบ้าน คือต่ำเกินไปกว่าที่จะใช้เป็นภาษาทรงพระไตรปิฎกในการสืบอายุศาสนาจึงต้องปรับปรุงให้ดีขึ้นในทางไวยากรณ์ ตลอดถึงการออกเสียงและการประกอบรูปศัพท์, ดังนั้นจึงได้สอบสวนกันแต่ในส่วนใจความให้ถูกต้องเสียก่อน แล้วร้อยกรองขึ้นเป็นภาษาบาลีเรื่อย ๆ มาจนสมบูรณ์. การออกเสียงและคำที่เรียกจึงต่างกันไป และมีคำที่น่าสนใจเพื่อการวิจารณ์อยู่มากมาย โดยเฉพาะเช่นคำว่าลุมพินีที่เราใช้เรียกกันในศิลาจารึกนี้ เขียนและออกเสียงว่า ลํมินิ เป็นต้น ชาวบ้านที่ตำบลนี้ในปัจจุบันนี้ เรียกตำบลนี้ของเขาว่ารุมมินเดอี ซึ่งเห็นได้ว่า ยังอยู่ในรูปของภาษาปรากฤตอยู่นั่นเอง หากแต่เพี้ยนมาตามกาลเวลาที่ล่วงมาถึงสองพันกว่าปีเท่านั้น.

    อักษรแบบพราหมี นี้ไม่ยากแก่การศึกษา สังเกตดูสักครู่เดียวก็จะอ่านได้ เพราะมีตัวพยัญชนะน้อย มีสระน้อย และประกอบกันอย่างง่าย ๆ ซึ่งเชื่อว่าท่านจะอ่านออกได้ในเวลาไม่กี่นาที, ลองสนใจดูบ้างก็ได้.

    ครั้งแรกที่สุด ให้สังเกตสระ ซึ่งเสียบอยู่ที่ตัวพยัญชนะเฉพาะที่ปลายสุดทางบนของตัวพยัญชนะ คือ สระ เอ อา อิ อี โอ, ส่วน อุ และ อู นั้นเสียบทางล่าง, ถ้าไม่มีสระอะไรปรากฏอยู่ ก็เท่ากับสระ อะ ทำนองเดียวกับอักษรแบบอื่น ๆ.

    ในที่นี้ให้สังเกตจากอักษรสัก ๑๑ ตัว ตอนแรกของบรรทัดบนสุด ซึ่งอ่านได้ว่า เท วา น ปิ เย น ปิ ย ท สิ น แล้วแยกสระออกจากพยัญชนะดู คือ ตัวแรกที่อ่านว่า เท นั้น ขีดสั้น ๆ ตอนบนที่งิกไปทางข้างหน้า หรือซ้ายมือนั่นแหละคือสระ เอ. ส่วนที่ต่ำลงมาคือตัวพยัญชนะ ท, รวมกันจึงเป็น เท, ถ้าขีดที่กล่าวนี้งิกไปทางหลังคือทางขวามือ มันก็เป็นสระ อา, ดังนั้นตัวที่ถัดมา ก็คือ วา, ตัวที่สามคือ น ไม่มีรูปสระอะไรเลย นั้นคือมีสระอะ, ถัดไปคือ ปิ, ท่านจะเห็นได้ทันทีว่า สระอิ นั้น นอกจากจะงิกไปทางหลังนิดหนึ่งแล้ว ยังจะต้องงิกเป็นมุมฉากขึ้นทางบนอีกนิดหนึ่งด้วย, ถ้าจะให้เป็นสระ อี ก็ต้องเสียบขีดเหมือนกันเข้าอีกขีดหนึ่ง ดังอักษรตัวที่ ๑๕ (นับจากซ้าย) ซึ่งอ่านว่า วี, ถัดจาก ปิ ไปอีกก็คือ เย, ท่านเข้าใจได้เองทันทีว่า อะไรคือ ย, อะไรคือ เอ. แล้วก็ไล่ไปตามลำดับ แล้วถอดสระจากพยัญชนะได้เอง. จนหมดสิ้น, สำหรับสระ โอ นั้น คือขีดขวางข้างบนตัวเหมือนกับงิกไปทั้งข้างหน้าและข้างหลัง หรือเท่ากับ เอ กับ อา ผสมกันเลยนั่นเอง, สระ อุ นั้น ขีดสั้น ๆ ลงไปตรง ๆ ใต้ตัวพยัญชนะนิดหนึ่ง, ดังจะถอดหนังสือ ๔ บรรทัดครึ่งนี้ อย่างบรรทัดต่อบรรทัดให้ดู ดังต่อไปนี้

    บรรทัดที่หนึ่งมี ๒๓ ตัว คือ เท วา น ปิ เย น ปิ ย ท สิ น ลา ชิน วี ส ติ ว สา ภิ สิ เต น

    บรรทัดที่สองมี ๒๑ ตัว คือ อ ต น อา คา จ ม หี ยิ เต หิ ท พุ เธ ชา เต ส กย มุ นี ติ

    บรรทัดที่สามมี ๒๑ ตัว คือ สิ ลา วิ ค ฑ ภี จา กา ลา ปิ ต สิ ลา ถํ เภ จ อุ ส ปา ปิ เต

    บรรทัดที่สี่มี ๑๙ ตัว คือ หิ ท ภ ค วํ ชา เต ติ ลํ มิ นิ คา เม อุ พ ลิ เก ก เฏ

    ครึ่งบรรทัดที่ห้ามี ๖ ตัว คือ อ ถ ภา คิ เย จา

    เมื่อผู้สนใจพยายามทบทวนคิดและอ่านไปมา สักครึ่งชั่วโมงก็จะอ่านได้เองจนหมด, และผู้ที่รู้ภาษาบาลีอยู่แล้ว ก็อาจจะทราบได้ว่า เมื่อเป็นภาษาบาลีจะต้องเป็นอย่างไร โดยไม่ยากเกินไป, แต่ต้องทราบไว้บางอย่างว่า ตัว ร ไม่มีใช้, ใช้ตัว ล แทน, และภาษาต่างกันอยู่โดยปรกติ เช่น บาลีเป็น อิธ ในที่นี้ปรากฤตเป็น หิท เป็นต้น, ดังนั้น กาลาปิต ก็คือ การาปิต, หิธ พุเธ ชาเต ก็คือ อิธ พุทเธ ชาเต เป็นต้นนั่นเอง, ในที่สุดก็จะเดาความหมายได้ถูกหมด.

    คำแปลเท่าที่ยุติกันในเวลานี้ เรียงตามบรรทัดต่อบรรทัดเพื่อเปรียบเทียบดังนี้

    (๑) พระราชา ปิยทัสสี ซึ่งเป็นที่รักของเทวดา รดน้ำแล้วยี่สิบปี

    (๒) ได้เสด็จมา ด้วยพระองค์เอง ด้วยการเตรียมใหญ่ เพราะพระพุทธองค์เกิดแล้วที่นี่ ว่าศากยมุนี ดังนี้

    (๓) ให้กระทำสิลาวิคฑภิด้วย, ให้ยกขึ้นแล้ว ซึ่งสิลาถัมภะด้วย

    (๔) เพราะพระภควันเกิดแล้วที่นี่ ในลํมินิคาม, ให้เลิกเก็บภาษี

    (๕) ซึ่งเก็บอยู่หนึ่งในแปดของผลได้.

    ข้อความนี้ แสดงให้เราทราบได้ว่า พระเจ้าอโศกมหาราชเรียกพระองค์เองว่า ปิยทัสสีซึ่งเป็นที่รักของเทวดา, เมื่อทำพิธีราชาภิเษกแล้ว ๒๐ ปี ได้เสด็จมายังที่ประสูติของพระพุทธองค์ด้วยความเคารพอย่างใหญ่หลวง, ทรงให้สร้าง "สิลาวิคฑภิ" ซึ่งยังไม่ยุติกันว่าอะไรแน่ อาจจะเป็นกำแพงหิน ล้อมสถานที่นั้น, หรืออาจจะเป็นบัวหัวเสามีรูปสัตว์ (เช่นรูปสิงห์ที่สารนาถ หรือรูปช้างที่สังกัสสะ) เป็นต้น ก็ได้, ส่วนสิลาถัมภะนั้นคือเสาหินที่จารึกอักษรเหล่านี้เอง. ที่ทำดังนี้ก็เพราะ "พระพุทธะเกิดแล้วที่นี่", หรือ "พระภควันเกิดแล้วที่นี่", นั่นเอง. ระบุชื่อสถานที่นั้นว่า ลํมินิคาม, ซึ่งต่อมาเรียกกันเป็น ลุมพินี, ซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างภาษาปรากฤตกับภาษาบาลี แล้วแต่จะเรียกกันด้วยสำเนียงไหน. พวกชาวบ้านที่นั่นเรียก รุมมิน-เดอี ก็เท่ากับ ลํมิน-เทวี อยู่แล้ว คือเขาเล็งถึงพระเทวีพุทธมารดานั่นเอง. คำที่ยังเป็นปัญหาไม่ค่อยจะเห็นพ้องเป็นอันเดียวกันได้ ก็คือคำว่า อุพลิเกกเฏอถภาคิเยจา มีผู้แปลไปต่าง ๆ กันอีกสองสามอย่าง แต่ในที่นี้ถือเอาเสียงข้างมาก หรือเหตุผลที่ว่าคงจะเป็นเช่นนั้น, และถ้าเป็นการเลิกเก็บภาษีที่เก็บอยู่จริง เราก็ได้ความรู้ว่า การเลิกเก็บภาษีเป็นพุทธบูชานี้ มีมาตั้งแต่ครั้งนั้น และเป็นการกระทำที่พิเศษแท้ น่าจะยังคงเป็นตัวอย่างมาจนถึงทุกวันนี้.

    ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่เราจะต้องนึกและขอบคุณพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นอย่างที่สุดนั้น ก็คือได้ทรงเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานที่สำคัญของพระพุทธองค์ทุก ๆ แห่ง จนเป็นเหตุให้สถานที่นั้น ๆ ยังคงปรากฏอยู่มาจนถึงพวกเรา, มิฉะนั้น

    แล้วจะสาบสูญหายไปไม่ปรากฏเลยสักแห่งเดียวก็เป็นได้; ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าอโศกได้ทรงกระทำไว้แล้วเช่นที่กล่าวนี้ ก็ยังเป็นการยากที่จะพบได้ง่าย ๆ เพราะรกร้างเป็นสถานที่ที่มนุษย์ไม่เกี่ยวข้องไปแล้วทั้งนั้น, แต่โดยเหตุที่พระเจ้าอโศกได้ทรงให้ทำอะไรบางอย่างไว้ แม้เพียงเสาหินสักต้นเดียว ก็เป็นเหตุให้คนต่อมาทำอะไรเพิ่มเติมเข้าอีกมากมายเรื่อย ๆ มา, สิ่งเหล่านั้นจึงยังคงอยู่เป็นเครื่องกำหนดหมายสถานที่สำหรับพระพุทธองค์อย่างถูกต้อง, และยังแถมสร้างศิลปะวัตถุ เช่นภาพสลักต่าง ๆ เข้าไว้ จนพวกเราได้รับประโยชน์เป็นอันมาก ดังที่ปรากฏอยู่ในบรรดาภาพทั้งหมดที่นำมาพิมพ์ไว้ในสมุดเล่มนี้.

    http://www.buddhadasa.org/html/life-work/theatre/sculpture/sculpture54.html
     
  4. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    สองคำถามของผมละครับ
    อย่าอ้อมได้ไหม ผมถามคุณ
    ไงคุณทำเป็นกลบเกลือนไม่ตอบล่ะครับ
    บอกมาสิครับว่าคุณมั่วนะ
    ไหนล่ะครับสูตรที่พระพุทธเจ้าห้ามสอนธรรมเป็นภาษาอื่นนอกจากบาลี
    เอามาซี่
    แล้วสูตรที่คุณไปเอามาลงหมายความว่ายังไง
    ถามไปตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว
    ลอกคำตอบชาวบ้านมาตอบไม่ได้ใช่มิใช่มิคำถามผมนะ
    คุณถึงได้ แถ
    พ่อปลาไหล ขาดคำผมไม่ล่ะครับ
    นิสัยคุณมันก็เป็นงี้ทุกที
    แล้วเรื่องพระพุทธรูป เรืองพระวัลกลิล่ะครับ
    ผมพูดผิดไหม?เอ๋ย
    พ่อปลาไหล เขาพูดอีกเรื่องไปก็อปปี้มาอีกเรื่องแถไปแถมา
    ไม่รู้ก็พูดว่าไม่รู้สิครับ
    ฟร์อมจัดจริงๆๆ คุณ


    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2012
  5. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    แถ วันนั้นยังบอก ท่านธรรมรังสีว่า
    พระพุทธเจ้าห้ามแสดงธรรมเป็นภาษาอื่นนอกจากภาษาบาลีอยู่เลย
    พอท่านธรรมรังสีถามว่า แล้วไปเอามาจากไหน
    พระพุทธเจ้าห้ามพระสงฆ์แสดงธรรมด้วยภาษาอื่น(นอกจากบาลี)
    กรุณาตอบด้วย ไปเอามาจากไหน
    ก็แถไปเอาสูตรอะไรก็ไม่รู้ คนล่ะเรื่องมาลง
    ไงวันนี้มาพูดแบบนี้ล่ะครับ
    คุณปลาไหล เอาให้แน่หน่อย
    จะแถไปไหน..........
    พระพุทธเจ้าห้ามสงฆ์บัญญัติสิ่งที่ทรงบัญญัติไว้ ไปเอามาจากไหนอีกเนี่ย...โอ๊ยเอาเข้าไป
    มั่งฉิบหายเลย
    จริงอยู่ที่ก่อนหน้านั้นทรงตรัสว่า

    ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่
    เคยบัญญัติ ไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติที่ปฏิบัติไว้ดีแล้ว แล้วจักสมาทาน
    ศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้วนี้อย่างเคร่งครัดต่อไป ตราบนานเท่านานอยู่เพียงใด,
    ความเจริญก็จะเป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายพึ่งหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย
    อยู่เพียงนั้น.

    แต่ก็ชี้หมายเพียงว่า ห้ามเพิ่มเติมโดยไม่จำเป็นให้ปฏิบัติตามที่เราบัญญัติไว้ดีแล้ว ท่านก็จะพบกับความเจริญไม่มีเสื่อม
    อีกสูตร

    ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุบริษัทในกรณีนี้, สุตตันตะเหล่าใด ที่กวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อย
    กรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าว
    ของสาวก เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่ เธอจักไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้
    ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.
    ภิกษุทั้งหลาย ! ส่วน สุตตันตะเหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง
    เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอย่อมฟัง
    ด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน จึงพา
    กันเล่าเรียน ไต่ถาม ทวนถามแก่กันและกันอยู่ว่า “ข้อนี้เป็นอย่างไร ? มีความหมายกี่นัย ? ” ดังนี้.
    ด้วยการทำดังนี้ เธอย่อมเปิดธรรมที่ถูกปิดไว้ได้. ธรรมที่ยังไม่ปรากฏ เธอก็ทำให้ปรากฏได้, ความ
    สงสัยในธรรมหลายประการที่น่าสงสัยเธอก็บรรเทาลงได้
    ทุก. อํ. ๒๐/๙๒/๒๙๒

    บางคนตีความว่าทรงกำชับให้ศึกษาปฏิบัติเฉพาะจากคำของพระองค์เท่านั้น อย่าฟังคนอื่น
    นี่ ตีความแบบเด็กอนุบาล พระสูตรชี้หมายว่า อย่าฟังคำสอนอื่นแม้คำสอนอื่นเหล่านั้นจะเป็นคำสอนที่ไพเราะ งดงาม วิจิตรก็ตามที
    แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นที่นอกแนวทางไปจากเรื่องที่ตถาคตสอนก็อย่าฟังเพราะไม่ช่วยให้พ้นทุกข์ไปได้
    โดยพิจารณาจากว่าเขาพูดเรื่องโลกุตระโดยเฉพาะเรื่องสุญญตาหรือไม่
    ถ้าพูดถ้ามีคนเอามากล่าวเธอก็ควรที่จะฟัง ควรศึกษาเล่าเรียน จึงพา
    กันเล่าเรียน ไต่ถาม
    ปฏิบัติตามให้ถือว่านั้่นเป็นคำสอนของตถาคต


    แต่เมื่อจะปรินิพพาน พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ถอนให้บัญญัติสิกขาเล็กๆๆน้อยใหม่ได้ตามกาลสมัยนิยม

    "เมื่อเราล่วงไปสงฆ์ยังอยู่ จะพึงถอนสิกขาบทเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ตถาคตได้บัญญัติให้เหมาะกับกาลกับสมัยเสียบ้างก็ได้"
    มหาปรินิพานสูตร

    เพียงแต่พระอานนท์ไม่ได้ถามว่าที่ทรงอนุญาตให้ถอนให้บัญญัติใหม่นะหมายถึงข้อใดบ้าง
    เขาก็เลยมีกลุ่มคนที่ยืนยันว่า จะรักษาไว้ตามเดิมใหม่มากที่สุดคือชาวพุทธเถรวาทเรา
    ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าห้ามสงฆ์บัญญัติสิ่งที่ทรงบัญญัติไว้
    มีที่อนุญาตให้ทำได้(ตามแต่ความเหมาะสมในแต่ละถิ่นของสงฆ์)อยู่
    และที่ทรงห้ามต้องให้พระองค์บัญญัติ
    ไม่ใช่ มีหน้าที่ทำตามแบบหลับหูหลับตาอย่างเดียว
    อย่ามายัดความคิดวิปริตแถวนี้นะัครับ ทำพระธรรมให้วิปริตตีความตามใจชอบแบบเด็กอนุบาล
    ไหนว่าอ่านมาเยอะไงครับ ถ้าอ่านลวกๆๆไม่จับใจความอย่าอ่านมันเลยดีกว่าไหม?คุณ



    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2012
  6. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    คุณถามเขาก็ไม่ได้อะไร หรอกครับ
    เจ้าของกระทู้นะปลาไหลตัวพ่อ
    ผมถามไปตั้งแต่ปีมะโว้ พอตอบไม่ได้
    ทำเป็นนิ่ง
    ทำพระธรรมให้วิปริต
    แล้วยังไม่รู้ตัว

    "ดูกรกัสสป ธาตุดินยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ธาตุ
    น้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็ยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ที่แท้โมฆบุรุษใน
    โลกนี้ต่างหาก เกิดขึ้นมาก็ทำให้พระสัทธรรมเลือนหายไป เปรียบเหมือนเรือจะ
    อัปปาง ก็เพราะต้นหนเท่านั้น "




    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2012
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คนไม่เคารพพระพุทธเจ้า ไม่เคารพระธรรม เหมือนคนบอด
    บอกแมวว่าเสือ บอกเสือว่าแมว
    คลำช้างบอกว่าช้างเป็นอย่างนี้ๆ มันไม่รู้จักช้างเลยสักนิด
    ท่านพระพุทธทาส ใช้คำว่า "เชื่อกันว่า" มันก็เชื่อเสียแล้ว
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    หลวงตา เขาเอากระดูกพ่อแม่ครูจารย์มั่นไปปั้นเอาไว้ที่ที่เราพัก กุฏินั่นนะ ไปอยู่ที่นั่น เป็นอะไร เป็นทองคงไม่ใช่ เขาเรียกอะไรมันหลายอย่างนะ ที่ปั้นรูปเหมือนท่านน่ะ มันมีอะไรบ้างที่เอามาปั้น

    โยม สัมฤทธิ์ครับ

    หลวงตา นั่นซิ ทองแท้คงไม่ใช่ พวกทองพวกอะไร พวกเหล็กพวกทอง เขาอาจจะมีอะไรบ้าง รูปเรามันก็แอบไปมีแล้วนะ รูปเราน่ะ มันค่อยขโมยแบบนี้ก็มี เข้าใจไหม ขโมยแบบโลกก็มี ขโมยแบบธรรมนี้ก็มี มันขึ้นหน้าขึ้นตาเหลือเกินเรื่องวัตถุ เพราะฉะนั้นเราจึงได้ตีไว้ เอามาให้เราก็ไม่เอา ให้เอาคืน แม้รูปพระพุทธเจ้าก็ตาม เราเคารพพระพุทธเจ้าแต่ไม่เคารพกิริยาที่ทำมาอย่างนี้ ทำให้ลืมตัว ทำง่ายๆ นิดเดียวๆ การปฏิบัติตัวไม่สนใจเลย พระสาวกทั้งหลายท่านไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่าจนกระทั่งสำเร็จมรรคผลนิพพานเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ไม่ปรากฏมีองค์ไหนบ้างที่ได้แบกพระพุทธเจ้า หามพระพุทธเจ้าไปด้วย

    ท่านก็บอกว่าธรรมอยู่ที่ใจ สอนลงที่ใจ สอนที่ใจ ไม่ได้สอนให้แบกพระพุทธเจ้า ไปไหนให้แบกไปนะ ท่านไม่ได้สอนอย่างนั้น นั้นเป็นด้านวัตถุ หยาบๆ ด้านธรรมะที่จะเป็นผลเป็นประโยชน์แก่ตน ท่านเน้นหนักในจุดนี้ต่างหาก ไม่มีใครละที่จะห้ามอย่างเรา เรามันไม่สนใจกับอะไรมีแต่เหตุผลอรรถธรรมเท่านั้น นอกนั้นใครจะมาใหญ่กว่าธรรมไม่ได้

    มานี้ โอ๋ย พระพุทธรูปเอาไปถวายพระ ท่านก็เกรงใจ ใครก็ขนไปๆ ให้พระท่านแบก ในห้องมีตั้งแต่พระพุทธรูปที่เขาเอาไปถวายท่านนั่นแหละ จนจะหาที่หลับที่นอนก็ไม่มี เราเห็นด้วยตานี่ เราก็ทราบว่านี้เพราะความเกรงใจอะไรๆ อาจประกอบกับท่านก็ชอบของขลังอยู่ด้วย มันก็เลยบวกขึ้นเป็นอย่างนั้น เลยเกลื่อนไปหมดเรื่องวัตถุ เอะอะปุ๊บปั๊บเอามาแล้ว ปุบปับเอามาแล้ว ปัดเรื่อยนะเรา ไม่เหมือนใคร มันไปอย่างนั้นแหละ มันไม่ได้เข้าไปข้างใน ข้างนอกยุ่งมากที่สุด ข้างในไม่สนใจปฏิบัติ ฝึกฝนทรมานตน

    อันนั้นเป็นเครื่องอาศัยเพียงเล็กน้อยภายนอก เช่น พระพุทธรูป ไปอยู่ที่ไหนพอกราบพอไหว้แล้วก็พอ อันนี้จะกลายเป็นโรงงานขายพระพุทธเจ้าทั้งองค์ๆ ทั่วประเทศเขตแดน มันเป็นอย่างนั้นแล้วนะ โรงงานขายพระพุทธเจ้า โรงงานขายพระเต็มไปหมด ใครมาก็ยื่นให้ๆ ปัดเลยเรา ไม่เอา ไม่เล่นด้วย เราคิดด้วยเหตุด้วยผลเรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยทำให้คนลืมตัว มากกว่านั้นก็เลอะเทอะ ไม่รู้สึกตัวเลย

    จุดสำคัญ พระพุทธเจ้าท่านสอนลงนั้นนะ ไม่เคยมีตำราใดที่สอนไปที่ไหนให้แบกเราตถาคตไปด้วย ถ้าแบกไม่ได้ให้หามนะ ถ้าองค์ใหญ่ให้หามไปนะ ไม่เห็นว่า บอกศีลบอกธรรม บอกการประพฤติปฏิบัติแก้ไขข้าศึกศัตรูซึ่งมีอยู่ภายใน ให้แก้ลงภายในนี้ ดัดแปลงตัวเองนี้ให้ดี มันก็ดีขึ้นๆ กราบพระพุทธเจ้า กราบสนิทอยู่ภายในใจ นั่นกราบโดยแท้ มันเป็นอย่างนั้นนะ ในวัดจึงไม่เห็นมีเท่าไร พระพุทธรูปเห็นไหม แท่นพระเรา ใครอย่ามายุ่งไม่ได้ ให้เอาคืนต่อหน้าเลย

    ใครจะว่าเราประมาทพระพุทธเจ้า เราเทิดทูนพระพุทธเจ้านั่นเอง ตรงกันข้ามนะ เอามาเหมือนของไม่มีค่า เอามาโยนมาทิ้งไว้อย่างง่ายดายๆ สร้างง่าย สร้างพระพุทธรูป เท่าไรบาทก็แล้ว แต่จะสร้างตัวเองไม่สนใจ เอานั้นสร้างนั้นแทน มันเลยเลอะเทอะไปหมดด้วยวัตถุ อยู่ที่ไหนเกลื่อนไปหมด ไม่มีเฉพาะวัดป่าบ้านตาด มีเฉพาะองค์ที่จำเป็นๆ ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน เอาไว้ด้วยเหตุด้วยผลทุกอย่าง ไม่ได้เลอะๆ เทอะๆ

    คัดลอกมาบางส่วนจาก
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
    เมื่อค่ำวันที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
    สายทางที่จะนำเราให้หลุดพ้นจากทุกข์
    Luangta.Com -
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พอพูดอย่างนี้เราไม่ลืมนะ ตอนเย็นๆ พ่อแม่ครูจารย์มั่นเทศน์ธรรมะอย่างเด็ดทีเดียว เอาอย่างเปรี้ยงๆ เลย ที่จะว่าเปรี้ยงๆ ก็คือว่า มีพระองค์หนึ่งพูดขึ้นมาถึงเรื่องอัฐิของหลวงปู่เสาร์กลายเป็นพระธาตุ ท่านก็ว่า ถ้าอัฐิหลวงปู่เสาร์ไม่กลายเป็นพระธาตุแล้ว พวกเรามันก็เป็นขอนซุงละซี ฟังซิน่ะ หลวงปู่เสาร์คือว่าท่านแน่แล้ว หลวงปู่เสาร์เป็นพระอรหันต์พูดง่ายๆ แล้วอัฐิกลายเป็นพระธาตุ พระมาเล่าให้ฟังว่าอัฐิหลวงปู่เสาร์เป็นพระธาตุ ท่านก็เลยพูดอย่างนี้ เออ ถ้าอัฐิหลวงปู่เสาร์ไม่เป็นพระธาตุแล้ว พวกเราปฏิบัติมานี้ก็เท่ากับขอนซุงละซี ไม่มีความหมาย ถ้าธรรมยังมีความหมายอยู่ พวกเราปฏิบัติก็จะเป็นไปได้อย่างนั้น ความหมายว่างั้น

    จากนั้นแล้วมีอีกองค์หนึ่งว่า อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุแล้ว ส่วนที่เป็นผุยเป็นผงที่ยังไม่เป็นพระธาตุ มีพระเอาไปตำบดละเอียด แล้วเอาไปทำรูปเหมือนท่านจำหน่ายขาย ท่านก็เปรี้ยงขึ้นเลยตรงนี้ สะเทือนใจท่านมาก ท่านก็ เหอๆ ขึ้นเลย คือเอาอัฐิของท่านไปทำเป็นพระผงพระอะไรอย่างนี้ขาย ท่านขึ้นแรงนะ เหอๆ ชี้นิ้วเลย เหอ พวกนี้ปฏิบัติแบบไหน มันปฏิบัติแบบหมา ว่าอย่างนั้นนะ หาแทะกระดูก นี่จะปฏิบัติแบบไหน ว่าอย่างนั้นนะ ชี้พระที่นั่งอยู่ตามนั้น เหอๆ ขึ้นเลยใส่เปรี้ยงๆ เพราะเต็มยศแล้ว สุดท้าย พูดแล้วสาธุ ท่านยกมือขึ้นเลย แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม ทูลถามท่านหาอะไร ของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน แล้วถามท่านหาอะไร

    คัดลอกมาบางส่วนจาก
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
    ธรรมชาติที่เป็นพุทธะแท้
    Luangta.Com -
     
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระมหาบุรุษทรงปลื้มพระทัยนักแล เมื่อผลกรรมปรากฏ
    ทรงงดงามเพราะอวัยวะส่วนใดยาว อวัยวะส่วนนั้นย่อมตั้งอยู่ยาว
    ทรงงดงามเพราะอวัยวะส่วนใดสั้น อวัยวะส่วนนั้นย่อมตั้งอยู่สั้น
    ทรงงดงามเพราะอวัยวะส่วนใดล่ำ อวัยวะส่วนนั้นย่อมตั้งอยู่ล่ำ
    ทรงงดงามเพราะอวัยวะส่วนใดเรียว อวัยวะส่วนนั้นย่อมตั้งอยู่เรียว
    ทรงงดงามเพราะอวัยวะส่วนใดกว้าง อวัยวะส่วนนั้นย่อมตั้งอยู่กว้าง
    ทรงงดงามเพราะอวัยวะส่วนใดกลม อวัยวะส่วนนั้นย่อมตั้งอยู่กลมดังนี้.
    อัตตภาพของพระมหาบุรุษสะสมไว้ด้วยทานจิต บุญจิต ตระเตรียมไว้ด้วยบารมี ๑๐
    ด้วยประการฉะนี้. ศิลปินทั้งปวงหรือผู้มีฤทธิ์ทั้งปวงในโลก
    ไม่สามารถสร้างรูปเปรียบได้.

    พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๑๒๑/๕๖๐
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ภิกษุทั้งหลาย เมื่อผลของกรรมเป็นที่ชอบใจปรากฏแล้ว
    ย่อมงามด้วยอวัยวะยาวเหล่าใด อวัยวะเหล่านั้นยาว ก็ดำรงอยู่
    ย่อมงามด้วยอวัยวะสั้นเหล่าใด อวัยวะสั้นเหล่านั้น ก็ดำรงอยู่
    ย่อมงามด้วยอวัยวะหนาเหล่าใด อวัยวะหนาเหล่านั้น ก็ดำรงอยู่
    ย่อมงามด้วยอวัยวะบางเหล่าใด อวัยวะบางเหล่านั้นก็ดำรงอยู่
    ย่อมงามด้วยอวัยวะกลมเหล่าใด อวัยวะกลมเหล่านั้นก็ดำรงอยู่
    อัตตภาพของพระตถาคตเจ้า ความวิจิตรต่าง ๆ สั่งสมแล้ว
    ด้วยความวิจิตรแห่งบุญ อันบารมี ๑๐ ตกแต่งแล้วด้วยประการฉะนี้
    ช่างศิลป์ทั้งปวง หรือผู้มีฤทธิ์ทั้งปวงในโลก ก็ไม่อาจกระทำ
    แม้รูปเปรียบแก่พระตถาคตเจ้าได้ดังนี้

    พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๑ หน้าที่ ๒๖๖/๔๗๑
     
  12. ซงแทฮา

    ซงแทฮา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +386
    เรา เข้าใจแกว่ะ555555555555555 ปล. คำว่าเข้าใจ..ไม่ใช่คำว่า สรุปแล้วเลือกข้างอะไร..แต่ฉันเข้าใจ แก ว่ะ พยายามดีจริงๆๆ แต่เจอมนุษย์พรรค์นี้ต้องทำใจนะเว้ย เป็นฉันจะไม่มานั่งเสียเวลาเหมือนแกเลยว่ะ
    ไปโทรหาสาวให้มานั่งเกาหลังดีกว่าไหม?
    ปล. โบราณว่าอย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา (วันนั้น จขกท.เคยบอกว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้ว ก็พิจารณาเอาเองละกันว่ายังควรไปถือสาหาความหรือไม่........)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2012
  13. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    อ่านแบบไม่เข้าใจอีกแล้ว เบื่อพวกทำพระศาสนาวิปริต
    อีกแล้ว นี่คล้ายๆๆกับจขกท.แกจะพูดว่า เห็นไหม
    รูปเหมือนพระพุทธเจ้านะไม่มีใครทำได้หรอก ดังนั้นไม่ต้องกราบสิ
    เอ้าคุณจะไม่กราบก็ไม่ต้องกราบสิครับ อย่ามาเอาทิฏฐิของคุณมายัดใส่หัวคน
    อื่นว่าคนอื่นที่กราบเป็นพวกบ้าวัตถุ พวกโง่ พวกยึดวัตถุป็นที่พึ่ง
    ยึดติดรูปเคารพ พวกเดรัจฉานวิชา งมงาย
    เขากราบพระพุทธรูปเพราะ
    ถือว่าเป็นที่สถิตคุณความดีครับของพระพุทธเจ้าในรูปแบบที่เป็นรูปธรรมขึ้นมา
    นอกจากนามธรรมที่ใจล้วนๆๆครับ ไอ้เรื่องคุณความดีไพศาลเหมือนมหาสมุทร
    ไม่มีเปรียบมีแทนได้นั้นใครๆๆก็เข้าใจครับ
    พระพุทธรูปไม่ใช่พระพุทธเจ้าองค์จริงที่เดินได้ สอนธรรมได้ อันนี้ใครๆๆก็รู้ครับ
    ถ้าคุณข้าใจ คุณและพระเกษมก็จะไม่ไปบ่นทำนองว่า
    เขาว่าพวกบ้าวัตถุ พวกโง่ พวกยึดวัตถุป็นที่พึ่ง
    ยึดติดรูปเคารพ พวกเดรัจฉานวิชา งมงาย
    แล้วมันเรื่องอะไรของคุณครับ
    ย้ำคุณจะไม่กราบมันเรื่องของคุณผมไม่ได้ว่าอะไรนะ

    มาที่สูตร เขาหมายความว่า พระพทธเจ้าที่แท้ให้ดูที่คุณความดีดูที่บารมี ๑๐ของพระองค์
    ไม่ใช่ยึดติดด้วยรูป ดั้งนั้นรูปอะไรก็ตามไม่ว่าใครจะเนรมิตจะปั้นแต่ง
    หรือแม้แต่ร่างกายของพระพุทธเจ้าแท้ๆๆที่มีเลือดเนื้อ
    ก็ไม่ใช่แก่นแท้ของพระพุทธเจ้าเหมือนผลของคุณความดี ของบารมี ๑๐
    ที่ทำให้พระองค์ได้เป็นพระพุทธเจ้า

    อันนี้ใครๆๆก็รู้ครับ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการห้ามสร้างรูปเคารพ ห้ามระลึกถึงพระองค์เลย
    เพียงแต่เป็นการเตือนว่า พระพุทธเจ้านั้นแท้ที่จริงแล้วควรยึดถือที่คุณธรรมของพระองค์มากกว่าที่รูปแทนภายนอก

    อันชาวพุทธเราก็เข้าใจเช่นนี้
    เรากราบพระพุทธรูปเพราะเราระลึกถึงคุณความดี
    ไม่ใช่เพราะทำด้วยทองเหลือหรืองงมงายอย่างเดียว
    การตีคลุมแบบว่าห้ามทำรูปเคารพห้ามกราบไหว้
    พวกบ้าวัตถุ พวกโง่ พวกยึดวัตถุป็นที่พึ่ง
    ยึดติดรูปเคารพ พวกเดรัจฉานวิชา งมงาย
    ใครทำทุศีล เลวทรามตามแบบที่คุณพูดนะ
    ถือว่ากล่าวตรุพระพุทธเจ้าแล้วเอาทิฏฐิ เอาความพึ่งพอใจของตนยัดเยียดให้พระองค์ตามชอบใจ
    บิดเบือนพระสูตร เพื่อบังคับให้คนอื่นทำตามใจชอบสนองตัญหาตนแบบคุณ


    วันนั้นคุณตาดำดำ พูดนิสัยคุณไว้ตรงกับที่ผมพูดเลย ขอยกมาดังนี้
    ปล. คุณอุรุเวลาไม่ได้เรียกว่ารู้ตำราหรอกครับ เรียกว่าตีความเอาเองมากกว่า ถึงขั้นทึกทักว่าตัวเองรู้ธรรมเห็นธรรมแล้ว (ดูตัวอย่างที่ผมยกมาข้างต้นก็ได้ว่าอ่านภาษาไทยธรรมดายังไม่แตกฉานเลย ตีความไปตามอคติตัวเอง ลองไปดูกระทู้เก่าๆเป็นตัวอย่างจะยิ่งเห็นชัด ขยันตั้งกระทู้ใหม่แต่ก็เป็นเรื่องเดิมๆคือไม่ให้คนกราบไหว้พระพุทธรูปหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชี้แจงยังไงก็ไม่เข้าใจ สักพักก็ตั้งกระทู้ใหม่อีก)
    เอาเป็นว่านำข้อมูลมาชี้แจงเพื่อจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นละกันครับ อย่างที่บอก เห็นหลายเวปยังเชื่อการพิสูจน์นั้นโดยไม่พิจารณาให้ดีว่าวิธีการทดสอบนำมาอธิบายได้จริงหรือไม่


    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  14. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    ส่วนคำถามสองข้อของผม ไม่ต้องตอบแล้ว
    ผมรู้ว่าคุณตอบไม่ได้
    เพราะอะไรที่ต้องใช้ความคิด ไปลอกมาตอบตรงๆๆไม่ได้นะ
    คุณไม่มีปัญญาใช่ไหม?
    งั้นไม่ต้องก็ได้ครับ
    ส่วนไอ้ที่คุณไปยกข้อความเล่าของหลวงตาบ้านตากมา
    ผมไม่ได้อ่านไม่ได้สนใจครับ
    *************************
    ********************
    ก็แค่ความเห็นของหลวงตาท่านหนึ่งแค่เรื่องเล่า
    ผมสนใจเฉพาะที่คุณบิดเบือนพระสุตรของพระพุทธเจ้า
    เพื่อสนองตัญหาคุณ
    เพื่อทำให้วิปริต
    *****************************

    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
  15. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    เจ้าของกระทู้กตัวเองบรรลุธรรมด้วยหรือครับ
    กระทู้นั้นยังอยู่ไหม
    หามาให้ผมฮาขี้แตก
    หน่อยสิครับคุณ


    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2012
  16. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    ผมอ้าง คุณตาดำดำ คุณตาดำดำก็เคยพูดกับคุณอุรุเวลา
    แต่ดูเหมือนคุณอุรุจะเป็นพวกทิฏฐิจัดไม่เลิกดังนี้

    ผมขอแยกเป็น 2 ประเด็นนะครับ
    1. การกราบไหว้พระพุทธรูปที่ถูกต้อง --> ได้บุญ
    2. การกราบไหว้พระพุทธรูปที่ไม่ถูกต้อง หรือการหลอกลวงเรี่ยไรที่ไม่ถูกต้อง --> เป็นบาป

    ตอนนี้คุณอุรุเวลามองแต่เพียงวัดที่เรี่ยไรหลอกลวง หากินกับพระพุทธรูป จนดูเหมือนเป็นอคติให้คิดว่าการสร้างพระพุทธรูปเป็นบาป หรือเรื่องข้อความในพระไตรปิฎกที่คุณอุรุเวลายกมาบ่อยๆเกี่ยวกับพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่นชมความงดงามของร่างกายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าสังขารนั้นย่อมต้องเสื่อมไปเป็นธรรมดา ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมายินดีในพระพุทธรูป ซึ่งข้อความนี้เคยได้พูดคุยกันมาแล้วในกระทู้หนึ่งว่า พระพุทธรูปในข้อความนั้นหมายถึงร่างกายของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ พระพุทธรูปที่เป็นวัตถุเพื่อระลึกถึงพระองค์

    แต่หากคุณอุรุเวลายังเห็นว่าตนเองเข้าใจถูกต้องแล้ว ผมก็ขออนุญาตให้วางเรื่องตำรา ความรู้ต่างๆไว้ก่อนแล้วมาใช้หลักกาลามสูตรเพื่อพิจารณาถึงสิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ว่าเห็นด้วยหรือเห็นต่างอย่างไร

    ประเด็นที่ 1
    - เมื่อพูดถึงบุญในแง่การทำประโยชน์ให้เกิดขึ้น การช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้อื่น
    การสร้างพระพุทธรูปนั้นหากมีประโยชน์ต่อผู้อื่นก็ย่อมเป็นบุญใช่หรือไม่

    ผมขอย้อนไปในวัยเด็ก หรือใครมีลูกมีหลานก็สังเกตเอาก็ได้ เวลาเราสอนให้เขารู้จักสิ่งของต่างๆทำอย่างไร เวลาเราสอนให้เขารู้จักสีต่างๆทำอย่างไร
    การที่เด็กจะรู้จักสีแดง เขาต้องเคยเห็นสีนั้นมาก่อน เมื่อรู้จักแล้วต่อให้ไม่เห็นสีแดง แต่เมื่อได้ยินคำว่า แดง ก็รู้ว่าสีแดงเป็นยังไง

    เช่นเดียวกัน ธรรมมะก็เป็นลำดับขั้นตอน จากต่ำไปสูง จากหยาบไปละเอียด แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องพิจารณาร่างกายหรือสังขารก่อนจึงจะเข้าใจเรื่องวิสังขาร ไม่มีใครที่อยู่ดีๆจะเข้าใจวิสังขารได้เลยโดยไม่ได้เข้าใจเรื่องสังขารมาก่อน ยิ่งเป็นปุถุชนธรรมดาที่ไปนิพพานเองไม่ได้ต้องอาศัยผู้ชี้แนะคือพระพุทธเจ้า จึงต้องรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเป็นยุคที่พระพุทธเจ้ายังอยู่คงได้เสาะแสวงหา แต่ในเมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้วการจะรู้จักก็ต้องสร้างสิ่งทดแทนให้ระลึกว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร พระธรรมของท่านก็รวบรวมเป็นพระไตรปิฎกขึ้นมาให้ผู้คนได้ศึกษาสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งสอน

    เปรียบเหมือนการที่เด็กจะรู้จักบรรพบุรุษหรือบุคคลสำคัญในทางประวัติศาสตร์ที่ล่วงลับไปแล้วก็อาศัยรูปภาพที่เคยถ่าย รูปปั้น อ่านจากหนังสือชีวประวัติต่างๆ

    ดังนั้นการสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คนได้รู้จักพระพุทธศาสนา คิดว่ามีประโยชน์ต่อผู้อื่นเพียงพอที่จะเรียกว่าเป็นบุญได้หรือไม่

    - เมื่อพระพุทธรูปเปรียบเหมือนสิ่งทดแทนให้รำลึกถึงพระองค์ ผู้ที่พบเห็นพระพุทธรูปก็แสดงความเคารพกราบไหว้ ซึ่งเป็นการคารวะหรือแสดงการสักการะบูชาด้วยวิธีต่างๆ เหมือนวันสำคัญต่างๆเช่นวันจักรี วันปิยมหาราช ก็มีการนำพวงมาลาไปสักการะ ถือเป็นความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ซึ่งก็เป็นกุศลกรรมใช่หรือไม่
    เมื่อประพฤติดี - กายก้มกราบอย่างนอบน้อม วาจากล่าวบทสวดสรรเสริญ หรือกล่าวทบทวนธรรมที่ท่านสอนก็ย่อมนำไปสู่จิตใจที่ดี ผ่องใส เป็นสุขใช่หรือไม่ นี่ก็คือบุญไม่ใช่หรือ

    - แม้ว่าเราจะถูกสอนมาให้มีพุทธานุสติระลึกถึงพุทโธอยู่เสมอ แต่ก็เป็นธรรมดาที่อาจขาดสติ พลั้งเผลอไปตามอารมณ์ ปัจจัยภายนอก ก็ด้วยพระพุทธรูปไม่ใช่หรือที่ทำให้เกิดสติระลึกถึงพระองค์รวมถึงคำสั่งสอนของท่านขึ้นมา

    นี่เป็นเพียงตัวอย่างให้เห็นถึงประโยชน์ของพระพุทธรูปที่มีต่อศาสนาพุทธของเรา ก็ด้วยประโยชน์ต่างๆเหล่านี้ก็คงพอจะให้เกิดเป็นบุญเป็นกุศลไม่ใช่เหรอครับ

    ประเด็นที่ 2
    - เรื่องการนำพระพุทธรูปมาหากิน การนำไปใช้เป็นเครื่องรางของขลัง การอวดอ้างอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์เกินจริงก็คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากน่าจะมีให้เห็นอยู่ทั่วไป จะรู้เท่าทันหรือไม่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
    อย่างที่พระท่านหนึ่งท่านพิจารณาว่าทำไมคนไทยทำบุญเยอะแต่ประเทศกลับไม่เจริญรุ่งเรืองเหมือนประเทศที่นับถือศาสนาอื่น สาเหตุหนึ่ง(นอกเหนือไปจากเรื่องที่นักการเมืองคดโกงภาษี หรือการไม่มีวินัยและกฎหมายย่อหย่อนทำให้เก็บภาษีได้ไม่เต็มที่) ก็เป็นเรื่องที่ชาวพุทธทำบุญกับผู้ที่ไม่ใช่เนื้อนาบุญอย่างแท้จริง (เหมือนหว่านข้าวลงไปในนาที่แห้งแล้งย่อมไม่เกิดดอกออกผลอย่างที่ตั้งใจ) เมื่อทำบุญกับพระที่ไม่ดีขาดศีลขาดธรรมหรือพวกที่แอบอ้างหากินกับศาสนา เงินที่ทำบุญไปก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม กลับเอาไปบำรุงบำเรอตนหรือคนที่รักชอบ ต่างกับการทำบุญกับพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่มักน้อยสันโดษ ไม่คิดหาเงินเข้าตัว เงินต่างๆที่ได้มาก็กลับคืนไปสู่สังคม อย่างหลวงตาบัวที่เงินทองหลั่งไหลเท่าไหร่ก็ช่วยเหลือสงเคราะห์โรงพยาบาล โรงเรียน หรือแม้แต่อาศัยความรู้แจ้งนำเงินบริจาคมาซื้อทองคำช่วยเหลือชาติให้พ้นภัยไปได้

    ที่ยกเรื่องนี้มาเพื่อจะบอกว่าการจะทำบุญก็ต้องรู้จักพิจารณาถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น พิจารณาผู้ที่จะร่วมทำบุญด้วย ไม่เช่นนั้ก็ไม่ต่างกับตอนน้ำท่วมที่ของบริจาคมากมายแต่ไปไม่ถึงมือของผู้เดือดร้อน

    ปล. นอกเรื่องไปหน่อย แต่น่าจะพอเห็นภาพถึงประโยชน์และโทษที่เกิดขึ้น ศรัทธาอย่างไรจึงจะถือเป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่งมงายก็ต้องพิจารณาให้ดี ยังไงก็อย่าไปโทษพระพุทธรูปเลย โทษกิเลสคนเราดีกว่าครับ


    ผมอ้างคุณถิ่นธรรม เรื่องที่คุณอุรุเวลาบอกว่าพระพุทธรูปไม่มีในสมัยพุทธกาลไม่ควรกราบไหว้(แต่พระไตรปิฏกก็ไม่มีเหมือนกันไม่ใช่หรือคราบอุรุแล้วคุณอ่านทำซากอะไร)


    คุณใช้ตรรกะแบบนี้ เขาเรียกว่าตรรกะวิบัติ ประเด็นที่คุณว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สร้างพระพุทธรูป คุณก็เลยต่อต้าน มันก็เหมือนว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้่อินเตอร์เน็ต แล้วทำไมคุณใช้อินเตอร์เน็ต ตรรกะแบบเดียวกัน ตัวอาจารย์ที่ถ่ายทอดทิฐิแบบนี้ให้คุณก็เขียนหนังสือตั้งหลายเล่ม ก็พระพุทธเจ้าไม่ทรงเคยเขียนหนังสือสักเล่ม ถ้าใช้ตรรกะแบบที่คุณอ้างนี้ หนังสือที่อาจารย์คุณเขียนมันก็ไม่ถูกต้องนะสิเพราะพระพุทธเจ้าไม่เคยเขียนหนังสือสักเล่ม พระสาวกก็ไม่เขียน สมัยพุทธกาลเขาใช้มุขปาฐะสอนแบบปากต่อปาก แนวคิดแบบนี้มันจึงเป็นตรรกะวิบัติ ที่ไม่ได้ประกอบด้วยอรรถด้วยธรรมอะไรเลย
    ก็สิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนไว้โดยตรง เราจะมีหลักวินิจฉัยอย่างไร เรื่องนี้ก็มีหลัก 2 ประการ คือ ยึดถือพระพุทธคือเทียบเคียงกับพระสูตรต่างๆซึ่งถือเป็นคำำที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้โดยตรง ถ้าสอดคล้องไปกันได้ก็ใช้ได้ หลักอีกอย่างคือยึดถือพระธรรม คือสิ่งใดที่ทำให้กุศลเจริญก็ควรทำ แต่สิ่งใดที่ทำแล้วอกุศลเจริญก็ควรละเว้น การเขียนหนังสือก็ดี การท่องอินเตอร์เน็ตก็ดี ย่อมสามารถอ้างหลักการในข้อนี้ได้
    ซึ่งเรื่องของพระพุทธรูป ท่านผู้รู้ก็วินิจฉัยถูกต้องแล้วว่าเป็นอุทิสกเจดีย์ชนิดหนึ่ง ซึ่งตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอนให้สร้างเจดีย์เพื่อบูชาบุคคลที่ควรบูชาคือพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอริยเจ้าและพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งเจดีย์จะเป็นอะไรก็ได้ รูปทรงอย่างไรก็ได้ พระไตรปิฎกไม่ได้บอกไว้ แม้แต่ต้นโพธิ์ก็ยังถือว่าเป็นเจดีย์เลย ขอเพียงมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธองค์ก็เป็นอันใช้ได้ ส่วนของธรรม ก็การสร้างพระพุทธรูปหรือเจดีย์ทั้งหลายให้มหาชนกราบไหว้ ก็เป็นส่วนทำให้กุศลของคนดีเจริญขึ้น ส่วนอกุศลเสื่อมไปจากสังคมแม้จะชั่วขณะก็ตามที การสร้างพระพุทธรูปจึงมีทั้งพระพุทธและพระธรรมรองรับหลักการอยู่
    ส่วนเรื่องการหลงสมมติ มันลึกซึ้งกว่าที่คุณจะเข้าใจได้ ทุกอย่างในภพสามมันก็สมมติทั้งนั้นแหละ พ่อแม่ก็สมมติทั้งนั้น แต่ทำไมพระพุทธเจ้ายังทรงต้องเสด็จไปโปรดพุทธมารดาและพุทธบิดาเล่า แล้ัวตัวคุณเองที่ยังเป็นปุถุชน มีความกตัญญูต่อบิดามารดาหรือไม่ ก็พ่อแม่เป็นสิ่งสมมติทั้งนั้น ละสมมติจึงมิใช่ละเพื่อติดกับทิฐิใหม่ที่แย่กว่าเดิมแบบที่คุณทำ

    ที่มา http://palungjit.org/threads/จะไปสวรรค์แล้วโว้ย-ๆ.364595/page-2
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2012
  17. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    ผมอ้างพระราชสุทธิญาณมงคล
    พระพุทธรูป หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าพระรูปของพระพุทธเจ้า การสร้างพระพุทธรูปจะมีอานิสงส์อย่างไรบ้าง? การสร้างพระพุทธรูปมีอานิสงส์มากมายหลายประการ เหลือที่จะนับจะประมาณได้ จะขอยกมาแสดงไว้ในที่นี้แต่พอเป็นตัวอย่าง หรือพอเป็นแนวทางเท่านั้นคือ

    ๑. ผู้สร้างพระพุทธรูป ชื่อว่าได้บำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการคือ

    ๑) ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน หมายความว่า ผู้นั้นต้องเอาพระพุทธรูปไปถวายพระสงฆ์ไว้ในวัดใดวัดหนึ่ง เพื่อให้ภิกษุสามเณรหรืออุบาสกอุบาสิกาได้กราบไหว้สักการะบูชา และก่อนที่จะได้ถวายตัวเองก็ต้องบริจาคเงินสร้างหรือเช่ามาแล้วนี้เป็นทานมัยกุศลชั้นต้น ต่อมาก็มีการเฉลิมฉลองอีก ตัวเองก็บริจาคจตุปัจจัยไทยทานถวายพระทำบุญ นี้เป็นทานมัยกุศลชั้นที่ ๒ ถึงแม้ว่าจะสร้างไปไว้ที่บ้านเพื่อสักการะบูชา ก็ต้องปฏิบัติในทำนองเดียวกันนี้ ดังนั้นผู้สร้างพระพุทธรูปจึงชื่อวาได้บำเพ็ญทานมัยกุศลไปด้วย

    ๒) ศีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล หมายความว่า ก่อนแต่จะทำการถวายทานหรือถวายพระพุทธรูป เจ้าภาพก็ต้องสมาทานศีลเสียก่อน ศีลที่สมาทานคราวนี้เกิดขึ้นเพราะการสร้าพระพุทธรูปเป็นปัจจัย ดังนั้นผู้สร้างพระพุทธรูป จึงชื่อว่าได้บำเพ็ญศีลมัยกุศลไปด้วย

    ๓) ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา คำว่าภาวนานั้นมีสองอย่างคือ สมถภาวนา ๑ วิปัสสนาภาวนา ๑ การได้เห็นพระพุทธรูปด้วยตาได้กราบได้ไหว้ด้วยกาย ได้เปล่งวาจาระลึกถึงพระพุทธคุณ ใจก็น้อมนึกไปตาม ว่าผู้นั้นได้เจริญพุทธานุสสติกรรมฐาน จัดเป็นสมถกรรมฐานเป็นมหากุศล ตายด้วยจิตดวงเดียว อย่างต่ำต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ อย่างกลางสามารถไปเกิดในสวรรค์ อย่างสูงสามารถไปสู่พระนิพพานได้ ดังพระปิติมัลละเถระเป็นตัวอย่าง คือพระเถระนั้นได้กวาดลานวัดแต่เช้าตรู่ ได้เห็นพระพุทธรูปของพระพุทธเจ้า ซึ่งเทวดานฤมิตนั้นขึ้น พอท่านเห็นก็เกิดปีติแล้วยกปีติขึ้นพิจารณา เจริญวิปัสสนากรรมฐานได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ดังนั้นผู้สร้างพระพุทธรูปจึงชื่อว่าได้บำเพ็ญภาวนากุศลไปด้วย

    ๔) อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อท่านผู้เจริญโดยคุณ โดยวัย โดยชาติ การไหว้พระพุทธรูป ไหว้พระสงฆ์ หรือไหว้ผู้แก่กว่า ชื่อว่าได้ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อท่านผู้เจริญ จัดเป็นบุญกิริยาวัตถุ ดังนั้นผู้สร้างพระพุทธรูปจึงชื่อว่าได้บำเพ็ญอปจายนมัยกุศลไปด้วย

    ๕) ไวยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยขวนขวายในกิจที่ชอบ หมายความว่า ในการสร้างพระพุทธรูปนั้น จะต้องอาศัยคนเป็นจำนวนมาก การวิ่งเต้นช่วยกันในงานหล่อพระในงานฉลองพระ เป็นต้น ถือว่าเป็นมหากุศลมีผลไม่น้อย เช่น พระเจ้าจันทปัชโชติ พระไวยาวัจจกเถระ เป็นตัวอย่างดังนี้คือ
    ก. พระเจ้าจันทปัชโชติ ได้ช่วยนายรับบาตรพระมาใส่อาหารและนำกลับไปถวายพระ ปรารถนาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และปรารถนาให้มียานพาหนะดี เดินทางได้วันละหลายๆ โยชน์ และปรารถนาให้ตนมีอำนาจวาสนามาก ครั้นตายแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินมีนามว่า พระเจ้าจันทปัชโชติสมความปรารถนา

    ข. พระไวยาวัจจกเถระ ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าพระวิปัสสี ท่านเป็นผู้ช่วยเหลือในกิจการของวัดและได้ช่วยเหลือในงานทำบุญต่างๆ ตายจากชาตินั้นได้ไปเกิดในสวรรค์ จุติมาเกิดเป็นพระราชาได้ออกบวชเจริญวิปัสสนากรรมฐานสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แตกฉานในปฏิสัมภิพาทั้ง ๔ ได้วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ดังนั้นผู้สร้างพระพุทธรูปจึงชื่อว่าได้บำเพ็ญไวยาวัจจมัยกุศลไปด้วย

    ๖) ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ หมายความว่า ผู้ที่ได้สร้างพระพุทธรูปจำเป็นอยู่เองที่จะบอกญาติสนิทมิตรสหายให้ทราบ เพื่อร่วมอนุโมทนาในการฉลองพระ การถวาย เป็นต้น นอกจากนั้นยังจะต้องอุทิศส่วนกุศลส่วนบุญให้แก่บิดามารดาปู่ย่าตายาย ท่านผู้มีพระคุณ เทพบุตร เทพธิดา เป็นต้นอีก ดังนั้นผู้สร้างพระพุทธรูปจึงชื่อว่าได้บำเพ็ญปัตติทานมัยกุศลไปด้วย

    ๗) ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ หมายความว่า เมื่อผู้สร้างพระพุทธรูปได้บอกบุญแจ้งข่าวแก่ญาติมิตรแล้ว ญาติมิตรเหล่านั้นก็จะต้องพากันอนุโมทนาต้อนรับเป็นอย่างดี เมื่อผู้อื่นมาอนุโมทนาท่านเจ้าภาพก็พลอยปลื้มปีติอนุโมทนาสาธุการตอบอีก การปฏิบัติอย่างนี้ จัดเป็นมหากุศลด้วยกันทั้งสองฝ่าย ดังนั้นผู้สร้างพระพุทธรูปจึงชื่อว่าได้บำเพ็ญปัตตานุโมทนามัยกุศลไปด้วย

    ๘) ธัมมัสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม หมายความว่า ในการสร้างพระพุทธรูปนั้น เจ้าภาพบางคนก็ได้นิมนต์พระไปสวดชะยันโต เจริญพระพุทธมนต์ แสดงธรรม และเจ้าภาพบางคนได้พิมพ์หนังสือธรรมแจกเป็นธรรมทานในงานฉลองพระ เป็นต้น การปฏิบัติเช่นนี้ ชื่อว่าได้ให้ธรรมเป็นทานด้วย ตัวเองและผู้ได้มาร่วมงานก็ได้ฟังธรรมไปด้วย ดังนั้นผู้สร้างพระพุทธรูป จึงชื่อว่าได้บำเพ็ญธัมมัสวนมัยกุศลไปด้วย

    ๙) ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม หมายความว่า การที่พระสงฆ์ได้มาสวดมนต์สวดชะยันโต หรือแสดงธรรมนั้น ก็เพราะเจ้าภาพเป็นผู้อาราธนามา นี้ชื่อว่าเจ้าภาพได้บุญอันสำเร็จจากการแสดงธรรมแล้ว ดังนั้นผู้สร้างพระพุทธรูป จึงชื่อว่าได้บำเพ็ญธัมมเทสนามัยกุศลไปด้วย

    ๑๐)ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความเห็นให้ตรง หมายความว่า กุศลนั้นมีอยู่ ๔ ชั้นคือ
    ๑.กุศลชั้นกามาวจร ได้แก่ มหากุศลต่างๆ มีการสร้างพระพุทธรูป ถวายทาน สร้างศาลา ฟังธรรม แสดงธรรม เป็นต้น
    ๒.กุศลชั้นรูปาวจร ได้แก่ การเจริญสมถกรรมฐาน เช่น พุทธานุสสติ เป็นต้น
    ๓.กุศลชั้นอรูปาวจร ได้แก่ การเจริญอรูปกรรมฐาน ๔ มีอากานัญจายตนะ เป็นต้น
    ๔.กุศลชั้นโลกุตตระ ได้แก่ การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
    การที่ผู้สร้างพระพุทธรูปได้เกิดศรัทธา จนถึงสละเงินออกมาสร้างพระพุทธรูปได้ และออกมาทำทานในงานฉลองพระพุทธรูปได้ ชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นตรงเห็นถูกแท้ เพราะเป็นบุญของตนเอง ไม่ใช่บุญของใครเลย

    ๑.ผู้สร้างพระพุทธรูป ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท
    ๒.ผู้สร้างพระพุทธรูป ชื่อว่าเป็นผู้ได้เตรียมตัวก่อนตาย

    ---------------------------------------------------------------------
    ก า ร ส ร้ า ง พ ร ะ พุ ท ธ รู ป จ ะ ไ ด้ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร ?

    ผมอ้างอาจารย์เสถียร โพธินันทะ
    พระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    จัดเป็นปูชนียวัตถุสูงสุด ผู้สร้างพระพุทธรูปจะได้ประโยชน์ ดังนี้

    ๑.ได้บุญตั้งแต่วินาทีแรกที่คิดสร้าง
    อันประกอบด้วยศรัทธาในพระพุทธองค์จัดเป็น ตถาคตโพธิศรัทธา

    ๒. เมื่อบริจาคทรัพย์ในการสร้างจัดเป็น ทานบารมี

    ๓. เมื่อขวนขวายติดตามตลอดงานจัดสร้างพระปฏิมา
    จัดเป็นกุศลส่วน วัยยาวัจจมัย

    ๔ .เมื่อองค์พระปฏิมาสำเร็จสมบูรณ์ ได้เป็นที่ตั้งแห่งความตามอนุสรณ์
    ถึงพระพุทธคุณทั้งตนเองด้วย ทั้งผู้อื่นด้วย
    กุศลจะเกิดเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ได้อาศัยพระพุทธปฏิมา

    ๕. อำนาจแห่งกุศลที่สร้างพระพุทธปฏิมา
    ส่งผลให้ได้เกิดเป็นคนรูปงาม
    มีบุคลิกสง่าเป็นที่เคารพรักใคร่ของประชาชน
    และมีอิสริยยศ บริวาร ทรัพย์สมบัติ
    ตลอดจนความสุขสถาพร ไม่เป็นโรควิกลวิกาล

    ๖. ปิดอบายภูมิ และส่งให้ปฏิสนธิในสุคติภูมิทันทีในสมัยกาลมรณะแล้ว
    หากมีอารมณ์ในกุศลกิจนั้นปรากฎให้จิตก่อนจุติ

    ๗. เป็นการส่งเสริมพุทธศิลป์ให้เจริญแพร่หลาย
    พุทธศิลป์นั้นในชนที่เจริญทางสติปัญญา
    เขายกย่องว่าเป็นศิลปะอันสุขุมประณีตละเอียดอ่อน
    เป็นสัญญลักษณ์แห่งสันติธรรม และปัญญาธนบริสุทธิ์

    (ที่มา : "การสร้างพระพุทธรูปจะได้บุญอย่างไร" ใน สำนักพุทธรัตนประทีป
    ศูนย์เผยแพร่พุทธศาสนา ๒๕ ศตวรรษ โดย เสถียร โพธินันทะ, หน้า ๑๒๔-๑๒๕)

    http://palungjit.org/posts/7087264

    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2012
  18. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    ผมอ้างปู่เทพอภิบาล

    มาที่เรื่องพระพุทธรูปก็คงรู้กันแล้วว่า เริ่มแรกเดิมทีนี่มันไม่มี เพราะเขาถือว่าพระแท้มันไปพ้นรูปลักษณ์ ไปพ้นมายาภาพเรื่องรูป พระพุทธเจ้าเองที่ตรัสว่าที่ใดมีรูปลักษณ์ที่นั้นมีมายา ไม่พึงยึดถือเราด้วยรูป ทีนี้พอพวกกรีกมันเข้ามาในอินเดียเพราะัพระเจ้าอเล็กซานเดอร์พยายามจะตีอินเดีย มันก็แลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมขึ้น เพราะักรีก-โรมันนั้นเน้นสร้างรูปเคารพเทพของเขา เช่นซูส เฮร่า เขาก็เลยสร้างกันนั้นแล

    ทีนี้ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่าควรสร้างหรือไม่ เพราะ เขาสร้างกันไปแล้ว แต่ต้องตีให้แตกว่าสร้างทำไม? มันมีอะไรมากกว่าเอาไว้ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า เอ็งต้องเข้าใจ เช่นทำไมพระพุทธรูปรูปลักษณ์ถึงคล้ายๆๆกันหมดทุกวัฒนธรรม ทำไมหูถึงยาน ทำไมหัวถึงแหลม ทำไมตาท่านถึงมองลงต่ำ ทำไมถึงมักสร้างให้หันไปทางตะวันออก เหล่านี้คือปริศนาธรรมทั้งนั้น ไม่ทราบว่าคนรุ่นเอ็งนี่ทราบความหมายพวกนี้ไหม? เด็กๆๆๆ ว่าคนรุ่นปู่ย่าตายาย นี่เขาทำทำไมแบบนี้

    หรือรู้แต่เรื่องขลังไม่ขลัง เรื่องขอพร สร้างแก้่กรรมล่ะ ไอ้หนุ่มและนางหนู เอ็งเคยเห็นพระพุทธรูปอยุธยาแท้ๆๆไหม มันไม่สวยเลยใช่ไหม? เมื่อเทียบกับพระสุโขทัย แต่เอ็งว่าความงามมันอยู่ที่ไหน?ล่ะ พระอยุธยานี่ มันอยู่ที่พลังศรัทธาใช่ไหม? ไม่ใช่อยู่ที่ฝีมือช่าง โบราณเขาจะไม่มีการตำหนิติเตียนเรื่องนี้เลย คือใครใคร่สร้างสร้าง จะห่วยอย่างไร? เขาไม่สน เขาสนที่พลังศรัทธาของคนคนนั้น หรือ ของมวลชนที่มาร่วมมือกันสร้าง แล้วเขาก็กราบได้ด้วยใจที่มีความสุขพอๆๆกับพระที่งามทางเทคนิคของช่าง อีกกรณีคือคนโบราณท่านไม่ได้สร้างเพราะมันจักทำให้ไปสวรรค์ เหมือนสมัยนี้ดังนั้น เขาจะไม่จารึกชื่อเหมือนคนสมัยนี้เขาจะไม่มีใบอนุโมทนา เขาทำดุจตัวเขาไม่ได้ทำและไม่มีใครรู้ด้วยว่าเขาสร้าง บางท่านท่านก็ยกประโยชน์ให้เทวดาสร้างไปเลย คนโบราณ เขาสร้างเพราะเขารักเขาเคารพเขาสำนึกในพระคุณของพระพุทธเจ้า พุทธคุณมันก็เกิด โดยไม่จำเป็นต้องปลุกพระ คือเอ็งเป็นใครเอ็งจะไปปลุกพระพุทธเจ้า ท่านตื่นแล้วเอ็งสิที่ยังไม่ตื่น แล้วเขาก็ไม่ได้ทำไว้ขายเหมือนสมัยนี้ด้วยเขาทำไว้เพื่อบูชา จริงๆๆ นี้แลคือความงามที่แท้ อันที่จริงช่างอยุธยาหาได้มีฝีมือด้อยกว่าช่างสุโขทัยไม่ดอก เพียงแต่ท่านไม่อยากจะสร้างเลียนแบบกันไปมา ท่านเบื่อท่านก็แสวงหารูปลักษณ์ความงามที่ต่างออกไป แต่พระพุทธรูปสุโขทัยนั้นงามเป็นเลิศอยู่แล้ว ไอ้จะสร้างให้ดีกว่าเดิมจึ่งเป็นเรื่องยากนั้นแล พระพุทธรูปอยุธยาจึ่งดูสู้พระพุทธรูปสุโขทัยไม่ได้ แต่ในแง่ความงามที่แท้ที่พ้นรูปลักษณ์ไป นั้นมันก็งามปานๆๆกัน


    ทุกวันนี้การสร้างพระมันเป็นไปเพื่อบุญเพื่อบาป เพื่อการค้า ไอ้คนเราส่วนใหญ่นี่มันหลงลืมความหมายที่แท้จริง มันก็เน้นใหญ่โตเพราะมันคิดว่าบุญเยอะ แก้กรรมได้ ไม่ตกนรก แต่คุณความดีเขาวัดที่เจตนาเอ็งมีเจตนาบริสุทธิ์หรือไม่เล่า ถ้ามี เอ็งสร้างองค์ท่านหัวแม่โป้งมันก็มีอานิสงส์มากกว่าสร้างองค์เท่าภูเขาหิมาลัยเป็นหมื่นเป็นล้านองค์ พระคุณความดีท่านวัดที่เจตนา นี่เพราะมันไม่เข้าใจตรงนี้ มันถึงได้มีพวกศรัทธาวิปริตเยอะ บางคนมันไปดูเลยนะว่าพระไตรปิฏกพระพุทธเจ้าตรัสว่า(ไม่รู้ว่าได้เอากาลามสูตรมาจับไหม?) ทำบุญอย่างไร ได้บุญเยอะที่สุดบ้าง แล้วมันก็เลือกทำแต่อันที่ได้บุญเยอะๆๆๆที่มันไปอ่านมา แล้วภูมิใจด้วยว่าบุญเยอะเราฉลาดเราเลือกอันบุญเยอะ มันบ้าขนาดนี้มันเลยไม่ได้บุญอย่างที่มันคิด เพราะ เจตนาของตัวมันเองนี่แหละ อีกพวกคือรวยแต่ความรวยตั้งอยู่บนฐานการเอารัดเอาเปรียบคนอื่นการโกงกินคนอื่น มันรู้สึกผิดมันก็คิดว่าถ้ามันสร้างพระทำบุญมันก็จะไม่ตกนรก เน้นของโตๆๆบุญเยอะๆๆ ไอ้นี่มันก็บ้า เพราะตราบใดที่มันยังเอาเปรียบคนอื่นไม่เลิก ยังโกง มันสร้างพระอีกล้านองค์มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะเจตนามันไม่บริสุทธิื์์มันทำการค้า แม้กับพระกับเจ้านี่หนึ่ง สองคือมันยังไม่เลิกทำบาปแล้วมันจะไถ่บาปจะแก้ผลกรรมชั่วได้อย่างไร มันก็ยิ่งเพิ่มทุกวันกรรมเก่ายังใช้ไม่หมดมันเอาของใหม่มาอีก กรรมต้องแก้ที่เจตนานี่สำคัญที่สุด ไม่สำคัญหรอกว่าเอ็งเคยทำอะไรมาแล้วในชาตินี้ หรือ ชาติก่อน มันสำคัญที่เอ็งจะจัดการกับปัจจุบันนี้อย่างไร? นี่แหละคือการแก้กรรมที่แท้ ที่พระพุทธเจ้าสอน ท่านไม่ปฏิเสธเรื่องกรรมเก่ามีผลต่อชีวิตแต่ท่านปฏิเสธว่ากรรมเก่ามีผลต่อชีวิตทุกๆๆอย่าง ท่านบอกว่า มันมีผลน้อยมาก สิ่งที่มีผลที่สุดที่ทำให้คุณเป็นอย่างที่คุณเป็นในปัจจุบันนี้คือความคิดของตัวคุณเอง ถ้าแก้ตรงนี้คุณก็ทำลายโซ่ตรวนของกรรมได้ หลุดพ้นได้ นี่ต่างหากพุทธธรรม


    อีกเรื่องก็ไอ้การเน้นเอาพระมาเยอะๆๆมาปลุกพระพระจะได้ขลัง ไอ้พระที่สร้างด้วยวิธีนี้มันสมควรจักเผาทิ้งยิ่งนัก เพราะมันไม่ใช่พระพุทธรูปแท้ มันไม่มีพุทธคุณอะไรทั้งนั้น มันสูญเสียความหมายที่แท้ไป น่าเศร้านัก ถึงเอ็งจะสร้างได้งามกว่าพระสุโขทัย อยุธยา ต้นรัตนโกสินทร์ก็ตามที มันก็แค่เทคนิคทางช่างทางเทคโนโลยีมันดีกว่าสมัยโบราณเท่านั้น แต่มันจะมีความหมายอะไรล่ะถ้าหัวใจ ศรัทธา คุณความดีทั้งหมดไม่ได้ใส่ลงไปด้วย มันจักศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไรพระแบบนี้มันก็แค่ตุ๊กตาเท่านั้น ทุกครั้งที่ลุงเห็นพระพุทธรูปทำนองนี้ลุงจะรู้สึกไม่ดียิ่งนัก เพราะมันสัมผัสไม่ได้ถึงความรักความเคารพ ถึงหัวใจ ถึงความงาม ความดีความจริงเลย สิ่งนี้ต่างหากที่ปลุกพระได้ คือปลุกพระที่อยู่ในหัวใจเอ็ง(ความดี ความกรุณา สัจจะ ปัญญา อื่นๆ )นั้นแหละให้ตื่น ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้มันก็น่าเศร้านะเด็กๆๆ ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้เอ็งกราบพระล้านครั้งก็ไม่อาจจะเรียกได้ว่ากำลังกราบท่านในความหมายที่แท้จริง เมื่อเรากราบทั้งหมดทั้งปวงต้องอยู่ที่ตรงนั้น ความสำนึกในบาป ความละอาย ความยึดติดในตัวเองต้องวางลงไปพร้อมๆๆกันด้วย พร้อมทั้งความมีสติ ความดีงามความอะไรก็ตามมันต้องถูกปลุกขึ้นมาด้วยในการกราบแต่ล่ะครั้งนี้แลการกราบ

    ข้าพูดถึงตรงนี้ก็ไม่ได้มาเรื่องพระเกษมดอก ไอ้การพูดว่า พุทธกาลเขาไม่สร้าง ดังนั้นมันคือทองเหลือเผาทิ้งไปเลย นี่เรียกว่าไม่เข้าใจอุปายะของคนโบราณ ถ้าเขาเข้าใจเขาจะ ต้องพูดให้คนเข้าใจความหมายที่แท้ของการสร้างแล้วไปใช่ปัญญาตรองเอาเองว่าตัวเองจะสร้างจะกราบหรือไม่มันมีคุณและโทษอย่างไหน?มากกว่ากัน และ ต้องรู้จักสอนให้มองให้เห็นพระพุทธเจ้าที่ไปพ้นจากรูปลักษณ์ด้วย นี่จึ่งจะเป็นหน้าที่พระที่แท้ และสิ่งนี้แลที่ทำลายความงมงายได้อย่างแท้จริง พระพุทธรูปที่แท้มีจุดมุ่งหมายเดียว อันที่จริงมันก็มีหลายจุดมุ่งหมายนั้นแลเด็กๆๆ แต่ที่สำคัญที่สุดคือเรื่องนี้ คือมันถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คนที่เห็นได้เกิดความสงบในใจ เกิดสมาธิ นี่คือเรื่องสำคัญเวลาเอ็งเข้าใกล้พระพุทธรูปของจริงเอ็งจะสัมผัสได้ถึงศรัทธาความรักของคนที่สร้าง และ ความสงบสุข สันติ และ อิสรภาพที่อยู่รอบๆๆๆองค์พระนั้นแหละคือจุดสำคัญ พระพุทธรูปที่งามที่สุดในโลกเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้ไม่ใช่เพราะเป็น พระใหญ่ที่สุด เพราะแพง เพราะช่างเก่ง เพราะมีมหาปุริสลักษณะครบ เพราะมีเกจิเป็นล้านมีเทวดามาปลุก แต่เพราะท่านทำให้จิตที่เหมือนลิงนี่มันสงบลง มันว่างไม่ใช่วุ่น แลความเมตตากรุณา ความดีงาม ความอะไรก็ตามมันก็จะเกิดขึ้นมาในขณะนั้นเอง มันมาของมันเองอย่างเป็นธรรมชาติ นี้แลคือจุดมุ่งหมายล่ะ

    --------------------------------------------------------------------------------
    อ้างจาก http://palungjit.org/threads/เพราะเหตุใดผมถึง-ศรัทธา-หลวงพ่อเกษม.359878/page-2

    ที่อ้างนี่ไม่ใช่อะไรหรอกเขาเขียนดี มีประโยชน์ ก็คิดดูเถอะ คนพวกนี้แหละที่กราบพระพุทธรูป
    แต่ก็ไม่ได้งมงาย แบบที่อุรุเวลาตีคลุม และเป็นคนที่มีสมองมากกว่าอุรุเวลาหลายเท่า อุรุเวลามีปัญญาเขียนได้ขนาดนี้ไหมล่ะคิดดู


    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2012
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    มาแบบตาดำดำ ผมไม่เคยบอกว่าผมบรรลุธรรม คุณซงแทฮาไปหามา ผมโพสต์ไว้ที่ไหน ช่วยกันกับตาดำดำ
    ผมท้าตาดำดำ ให้ไปหามาจนถึงวันนี้ยังเงียบกริบอยู่เลย ตาดำดำด้วยนะถ้าเจอรีบเอามาโพสต์เลยครับ
     
  20. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เขาไหว้เพราะศรัทธา สมัยพุทธกาลมีภิกษุไปตัดต้นไม้ที่ชาวบ้านเขานับถือว่าเป็นเจดีย์ไปสร้างวิหาร
    ชาวบ้านมาฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงติเตียน ปรับอาบัติสังฆาทิเสสภิกษุรูปนั้น
    พระพุทธเจ้าไม่ทรงตำหนิการบูชา เพราะเหตุนี้คุณกราบไหว้รูปคุณทำได้ไม่ผิด ผมเห็นแต่รูปพระ...
    รูปหลวงปู่... รูปหลวงพ่อ... รูปอาจารย์... รูปท่าน... รูป.... ไหว้รูปอะรเพราะศรัทธา
    คุณทำได้ไม่ผิดหรอก แต่รูปเหล่านั้นไม่ใช่รูปพระพุทธเจ้าแน่ครับ

    พระไตรปิฏกคือบันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำโดยคณะพระเถระที่ทรงจำคำของพระพุทธเจ้าได้แล้วบันทึก
    เป็นลายลักษณ์อักษรในพระไตรปิฏก แม้พระไตรปิฏกเกิดขึ้นหลังพุทธกาล แต่สิ่งที่บันทึกไว้คือคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ผมอ่านพระไตรปิฏกผมไหว้พระธรรม รูปเหมือนเกิดขึ้นหลังพุทธกาล หลังพระไตรปิฏก
    คุณไม่เคารพพระพุทธเจ้า ไม่เคารพพระธรรม ไหว้รูปด้วยหรอก คุณไหว้ทำซากอะไร
     

แชร์หน้านี้

Loading...