จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    (^)ในวันคล้ายวันเกิดนี้ ขอคุณงามความดีที่ครูแม่เพ็ญมีให้ คุณธรรมใดที่ข้าพเจ้าและครอบครัวได้รับ ขออุทิศกุศลทั้งหลายเหล่านี้ ที่ได้ทำทุกอย่างตั้งแต่อดีตชาติ น้อมบูชาพระวิสุทธิคุณของครูแม่เพ็ญ ผู้นำแสงสว่างจากสมเด็จพ่อฯ ต่อจิตบุญทุกๆท่าน ขอให้การทำนุบำรุงศาสนา ของข้าพเจ้าลูกศิษย์ทั้งหลาย จงรวมเป็นพลังสว่างไสวดุจดวงอาทิตย์
    จิตบุญที่๑๐๗;aa57;aa39
     
  2. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ข้าพเจ้าขอขอบคุณทุกท่านที่มาอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิด
    ขอพรอันประเสริฐทุกประการจงสำเร็จถึงทุกท่านไม่มีประมาณ
    จิตบุญไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
    ขอเพียงท่านรักษาอารมณ์ใจสบายไว้เสมอ
    จิตท่านก็จะใสอยู่ตลอดเวลา
    จิตบำเพ็ญก็ขอให้มีสติอยู่กับจิตให้มาก
    อย่าส่งจิตออกนอกให้มากนัก
    การงานใดที่ต้องทำในทางโลกก็ทำไปตามหน้าที่
    แต่อย่าเอาจิตไปข้องเกี่ยวกับโลก
    จิตให้อยู่กับพระกันนะลูก
    จิตเกาะพระก็เหมือนเด็กอนุบาลเขียนหนังสือยังไม่คล่อง
    ก็ต้องฝึกเขีัยนบ่อย ๆ นะลูก มือไม้จะได้คล่องแคล่ว
    นึกถึงภาพพระให้บ่อย ภาพใดก็ได้ที่ลูกนึกแล้วสบายใจก็ให้นึกบ่อยๆ
    จับภาพพระให้ติดตาติดใจแล้วใจลูกจะสบาย
    ขอบารมีพระได้โปรดคุ้มครองทุกท่านให้อยู่เย็นเป็นสุขและมั่งมีศรีสุขเทอญ

    ด้วยรักจากใจ

    พี่เพ็ญ จบ.3
     
  3. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ Supatorn ที่ได้นําหัวข้อข้างบนนี้มาแชร์ เพ็ญ2 อ่านแล้วได้มีการหัวเราะอย่างมีความสุข:d:d และเป็นอะไรที่แปลกที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน และก็ประกอบด้วยมีธรรมมะแฝงอยู่ด้วย คือความมีเมตตาของในหลวงซึ้งท่านได้มีต่อประชาชนของท่านโดยไม่เรียกชั้น วรรณะ และมีความเมตตาต่อ ผู้ที่ไม่รู้แม้แต่จะใช้คําศัพย์ ในการสนทนากับท่าน ท่านก็ยังมีความ เมตตา กรุณา มุทิตา และก็อุเบกขา เพราะฉะนั้น พวกเราชาวจิตบุญ ทั้งหลายขอให้ท่านจงมีแต่ความรัก ความสามัคคี ต่อกลุ่มชนของพวกเราให้เจริญๆ ยิ่งๆ ขื้นด้วยเทอญ.
     
  4. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ถูกละๆ พวกเธอทราบธรรมที่เราแสดงแล้วอย่างนี้ ถูกแล้ว น้ำตาที่หลั่งไหลออกของพวกเธอ ผู้ท่องเที่ยวไปมา ฯลฯ โดยกาลนานนี้แหละ มากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย

    พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของมารดาตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น ผู้ประสบมรณกรรมของมารดา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ นั่นแหละ มากกว่า ส่วนน้ำใน
    มหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย


    พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของบิดา ... ของพี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว ... ของบุตร ... ของธิดา ... ความเสื่อมแห่งญาติ ...ความเสื่อมแห่งโภคะ ... ได้ประสบความเสื่อมเพราะโรคตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น ผู้ประสบความเสื่อมเพราะโรค คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ นั่นแหละมากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย

    ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ

    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
    อัสสุสูตร ย่อหน้า ๔๒๖
     
  5. อัญญะมณี

    อัญญะมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ขอฝากคำรักสั้นๆ ด้วยเช่นกันนะคะ ขอให้หนูมาดีคิดทบทวนสิ่งกล่าวมาทั้งหมดนี้กับตัวท่านเองด้วยนะคะ
    อย่ามัวแต่มองคนอื่น เคยมองดูตัวเองบ้างหรือเปล่า ถามตัวเองดูนะ
    ข้าพเจ้ามิบังอาจไปสั่งสอนท่านหรอกเพราะเราก็ยังเลวอยู่ แต่ข้าพเจ้าสัมผัสได้แต่อัตตามานะของท่าน ก็ขอให้ไปดีนะคะ
     
  6. อัญญะมณี

    อัญญะมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +2,169
    คุณเต่าซาบซึ้งในพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า และประวัติของพระสาวก
    เวลานึกถึงพระก็ให้นึกถึงประวัติของท่านค่ะ ประวัติของท่านไหนผุดขึ้นมาก็ให้ตามดูเรื่องนั้น ดูไปเรื่อยๆ ค่ะ นี่หล่ะจิตเกาะพระแล้ว มองไม่เห็นรูปพระก็ไม่เป็นไรงัย นึกถึงประวัติท่านแทน
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,550
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    "จิตบุญทัวร์ USA 2556/2557" ??? บ้านรากแก่นโพธิญาน ราชบุรีติดชายเขา ฝันๆเล่นๆนะ เดี๋ยวจะโดนว่า คช อีก
    กราบสวัสดีอาจารย์ท่านภูเจ้าค่ะcatt1
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,550
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    น้ำตาที่หลั่งไหล

    ============================
    อนุโมทนาสาธุกับคุณหมอค่ะ น่าจะมาทุกวัน
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,550
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ธรรมโอวาท
    ของ
    พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
    (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร)
    วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ


    ร่างกายมีสภาพแต่จะต้องตกไปในกระแสของความเสื่อมถ่ายเดียว
    แต่ส่วน "จิต" จะไม่ตกไปอย่างนั้น
    จะต้องไหลไปสู่ความเจริญได้ตามกำลังของมัน
    ถ้าใครมีกำลังแรงมากก็ไปได้ไกล

    ถ้าใครไปติดอยู่ในเกิด เขาก็จะต้องเกิด
    ใครไปติดอยู่ในแก่ เขาก็จะต้องแก่
    ใครไปติดอยู่ในเจ็บ เขาก็จะต้องเจ็บ
    ใครไปติดอยู่ในตาย เขาก็จะต้องตาย
    ถ้าใครไม่ไปติดอยู่ในเกิด ไม่ติดอยู่ในแก่
    ไม่ติดอยู่ในเจ็บ และไม่ติดอยู่ในตาย
    เขาก็จะต้องไปอยู่ในที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย

    เรียกว่า มองเห็นก้อน "อริยทรัพย์" แล้ว คือ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ
    ผู้นั้นก็จะไม่ต้องกลัวจน ถึงร่างกายเราจะแก่ จิตของเราไม่แก่
    มันจะเจ็บก็เจ็บไป ตายก็ตายไป แต่จิตของเราไม่เจ็บ จิตของเราไม่ตาย
    พระอรหันต์นั้นใครจะตีให้หัวแตก แต่จิตของท่านก็อาจไม่เจ็บด้วย

    "จิต" เมื่อมันสุมคลุกเคล้ากับโลก ก็จะต้องมีการกระทบ
    เมื่อกระทบแล้วก็จะหวั่นกลอกกลิ้งไปกลิ้งมา
    เหมือนก้อนหินกลมๆ ที่มันอยู่รวมกันมากๆ ก็จะกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างเดียวกัน
    ดังนั้นใครจะดีจะชั่ว เราไม่เก็บมาคิดให้เกิดความชอบความชัง
    ปล่อยไปให้หมด เป็นเรื่องของเขา

    นิวรณ์ เป็นตัวโรค ๕ ตัว ซึ่งเกาะกินจิตใจคนให้ผอมและหิวกระหาย
    ถ้าใครมี "สมาธิ" เข้าไปถึงจิตก็จะฆ่าตัวโรคทั้ง ๕ นี้ให้พินาศไปได้
    ผู้นั้นก็จะต้องอิ่มกาย อิ่มใจ เป็นผู้ไม่หิว ไม่อยาก ไม่ยาก ไม่จน
    ไม่ต้องไปขอความดีจากคนอื่น

    ผลที่ได้ คือ
    ๑) ทำให้ตัวเองเป็นผู้เจริญด้วย "อริยทรัพย์"
    ๒) ถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ก็จะต้องพอพระทัยมาก
    เหมือนพ่อแม่ที่มีลูกเป็นคนร่ำรวย ตั้งเนื้อตั้งตัวได้เอง
    ท่านก็หมดความเป็นห่วงใย นอนตาหลับได้

    สรุปแล้ว
    "โลกียทรัพย์" เป็นเครื่องบำรุงกาย
    "อริยทรัพย์" เป็นเครื่องบำรุงกำลังใจ

    จึงขอให้พากันน้อมนำธรรมะข้อนี้ไปปฏิบัติ
    เพื่อฝึกตน ขัดเกลากาย วาจา ใจของตน
    ให้เป็นความดีงาม บริสุทธิ์ เพื่อจะได้ถึงซึ่งอริยทรัพย์
    อันเป็นทางนำมาแห่งความสุขเป็นอย่างยอด คือ พระนิพพาน


    คัดลอกจาก...
    หนังสือแนวทางปฏิบัติวิปัสสนา-กัมมัฏฐาน ๒
    พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
    (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร)
    พิมพ์เผยแพร่โดย ชมรมกัลยาณธรรม หน้า ๕๔-๕๖
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แหม๊!จิตบุญท่านนี้นี่ บุญหนักเหลือเกิน
    ก่อนอื่นผมขอโมทนาสาธุกับธรรมทาน ที่นำรายชื่อของพระพุทธเจ้า
    ครั้งก่อนพุทธกาล และหลังพุทธกาลให้กับพวกเราได้ชื่นชมพระบารมีกัน
    สงสัยเจ้าตัวคงไม่ทราบว่า ทำไม๊ อยู่ๆก็นำมาลง เห่อๆ
    ปล่อยให้งง จ้างก็ไม่บอก

    จิตบุญท่านนี้ ท่านเป็นเจ้านิมิตเลย
    และอย่าลืมอยู่ดูนิมิตของตนเองนะ
    ท่านขยันสร้างบุญบารมีเหลือเกินนะะะ
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ความหมาย
    จิตดูจิต และ จิตในจิต


    แท้ที่จริงแห่งจิตของคนเรานั้น ก็คือ ความรู้สึก ความนึกคิดของเรานี่เอง
    สมมุติว่าเป็นเรา
    คอยสังเกตดูให้ดีๆนะว่า บางวันเราสบายใจ แต่บางวันเราทุกข์ใจ
    หรือแต่บางวันไม่รู้สึกอะไรเลย คือเฉยๆ อะไรประมาณนั้น
    อารมณ์ประมาณนี้แหล่ะ ก็คือ ตัวเราเอง

    สำหรับผู้ที่ไม่ได้ฝึกจิตมาเลย หรือ จิตปุถุชน(คนธรรมดา)
    วันๆหนึ่ง ก็จะหนีไม่พ้น ๓ อารมณ์นี้
    เพราะจิตหรือดวงจิตของคนเรา หลักใหญ่ๆ ก็มีเพียงแค่นี้จริงๆ
    นี่คืออารมณ์ของจิต หรือเรียกกันว่า เจตสิก
    เจตสิก อาจแบ่งได้เป็น ๓ กลุ่มใหญ่ก็คือ
    ๑.ฝ่ายดี(บุญหรือกุศล) ๒.ฝ่ายไม่ดี(บาปหรืออกุศล) ๓.ฝ่ายกลาง(อาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้)

    แต่ถ้าเปรียบจิตเป็นดั่งน้ำ เจตสิกเป็นดั่งสีแดง
    ผสมกันเป็นน้ำแดง เมื่อผสมกันแล้วไม่สามารถแยกน้ำออกจากสีแดงได้ฉันใด
    จิตและเจตสิกก็ไม่สามารถแยกออกจากกันเป็นอิสระได้ฉันนั้น

    แต่ถ้าเราไม่ได้ฝึกจิตกัน อารมณ์เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง หรือเฉยๆ
    สลับกันไปแต่ละวัน แต่ละเดือน วนอยู่อย่างนี้ จนกว่าเราจะฝึกดูจิต(ภาวนา)
    แต่สำหรับผู้ที่ฝึกจิตมาดีเยี่ยม ก็จะเห็นเจตสิกหรืออารมณ์ของจิตนี้ได้ชัดเจนมาก
    เพราะมันเป็นได้แค่เกิดมา ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปในที่สุด
    พอนักภาวนาเห็นความเกิด-ดับของจิต(อารมณ์ของจิต)บ่อยๆเข้า หรือ จิตก็จะเห็นความเกิด-ดับจนชิน
    ต่อไปนักภาวนา ก็จะเห็นความเป็นธรรมดาของทุกๆธรรมเหล่านั้น อยู่อย่างนั้น

    การดูจิตตนเองนั้นจึงไม่เหมือนที่เราเรียนรู้ หรือ เปิดตำราดู
    ถึงเปิดตำราดูก็แค่รู้เท่านั้นเอง แต่ไม่เข้าใจ และไม่สามารถปฎิบัติตามได้
    เพราะจิตใครจิตมัน ต้องเอาสติตนเองเข้าไปดูเจตสิกตัวที่กล่าวมา

    เพราะผู้ที่ฝึกจิตมาดี จิตย่อมเกิดปัญญา หรือ ปัญญาญาณ หรือ วิปัสสนาญาณ
    หรือ เรียกกันว่า ญาณ
    (ความหมายทั่วไป) ก็คือ ปัญญา หรือ ความรู้บริสุทธิ์ที่ผุดโพลงสว่างแจ้งขึ้น
    มองเห็นตามสภาวะของสิ่งนั้นๆ หรือเรื่องนั้นๆ บางครั้งญาณเกิดขึ้นโดยอาศัยความคิดเหตุผล
    แต่ญาณนั้นเป็นอิสระจากความคิดเหตุผล คือไม่ต้องขึ้นต่อความคิดเหตุผล
    แต่ออกไปสัมพันธ์กับตัวสภาวะที่เป็นอยู่จริง
    (ความหมายเฉพาะ) ก็คือการหยั่งรู้ ความรู้แจ้ง หรือ โพธิญาณ หรือ สัมมาสัมโพธิญาณ

    สรุป คำว่า จิตดูจิต
    หมายถึง จิตตัวที่นิ่งหรือตัวที่เราฝึกฝนมาดีแล้ว จิตที่ถูกพัฒนามาจากจิตที่ไม่นิ่ง ฝึกจนนิ่งมาก(ฌาน)
    จนจิตกลายเป็นจิตปัญญา หรือจิตที่มีญาณ(รู้แจ้งแทงตลอด)
    จิตปัญญานี้ หรือเรียกกันว่า ตัวรู้รู้ ซึ่งเกิดจากที่เราฝึกจิต โดยเริ่มต้นการสร้างสตินั่นเอง
    (สติคือตัวรู้) (จิตคือผู้รู้)
    พอจิตนิ่งมาก(จิตปัญญา) ก็จะเป็นผู้ดูจิต ดูอะไรของจิต ก็ดูอารมณ์ของจิต(เจตสิก)
    ต่อไปจิตปัญญานี้จะเป็นฝ่ายที่นั่งดูบ้างหล่ะ
    จากเมื่อก่อนที่จิตไม่นิ่ง(ยังไม่เคยฝึกจิต) จิตมักวิ่งตามกิเลสหรือสิ่งที่มากระทบจิต
    และผลสุดท้ายก็คือ ทำให้ใจเราสุขบ้าง ทุกข์บ้าง หรือเฉยๆ เป็นต้น
    นาทีนี้เราไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องธรรมะ เพราะธรรมะนั้นก็เกิดขึ้นที่จิตปัญญา
    และปัญามากนี้เองจะพัฒนาจิตให้เป็นจิตพุทธะได้ในที่สุด
    พอพวกเราได้จิตพุทธแล้ว ตัวธรรมหรือสภาวธรรมนั้น ก็จะออกมาจากจิตตนเองนี้แล

    ส่วนจิตในจิต
    พี่ภูจะขอตอบตามเอาความเข้าใจสั้นๆว่า ปกติจิตของคนเรานั้น ไม่นิ่ง
    แต่พอเรามาฝึกจิตให้นิ่ง และจิตที่นิ่งนั้น ก็จะไปแทนจิตที่ไม่นิ่ง
    และต่อไป จิตที่นิ่ง(จิตที่ฝึกมาดี) ก็จะเป็นฝ่ายผู้นั่งดูอย่างเดียว
    เพราะฉะนั้นจิตผู้ที่ฝึกมาดีนั้น จึงไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพราะจิตเกิดปัญญารู้แจ้งแทงตลอด
    สรรพสิ่งหรือทุกธรรม ที่มากระทบจิตนั้น ล้วนแต่ไม่พ้นกฎพระไตรลักษณ์ของพระพุทธองค์
    หรือ เราเห็นความเกิด-ดับของจิต(อารมณ์ของจิต ก็คือเจตสิก)นี้ เป็นเรื่องธรรมดาทั้งหมด
    หรือ เรียกกันว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง

    และด้วยเหตุนี้เอง ผู้ที่ฝึกจิตมาดีแล้ว จึงไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นทุกข์อีกต่อไป
     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สรุปแล้ว เจตสิก
    ข้าฯไม่เอาแล้วนะตะเอง


    เพราะว่า ตรูรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว ฮ่าๆ(ยกมือขึ้น)
    ต่อไป เอ็ง(เจตสิก)หลอกข้าฯ(ญาณ)ไม่ได้แล้ว
    ขอให้ผู้ปฎิบัติ โดยเฉพาะจิตบุญมองเห็นจิตตนเอง ให้ทะลุปรุโปร่งอย่างนี้นะ
    ต่อไปเวลามีอะไรมากระทบจิต โดยที่เราไม่ต้องไปดูที่จิตผู้อื่น หรือจิตตนเองเลย
    ข้ารู้ ข้าเห็นความเป็นไปของจิต ของกิเลสหมดทุกอย่างแล้ว
    ถึงแม้นเราได้กายละเอียด(จิตที่กลายเป็นธรรม เป็นพระหรือพุทธะ) หรือได้จิตเดิมแท้กลับคืนมา
    ตราบใดที่พวกเรายังมีกายหยาบ จึงถือว่ายังสกปรกอยู่ ยังไม่บริสุทธิ์พอ
    ถึงเราจะได้ดวงจิตเดิมแท้(จิตประภัสสร)กลับคืนมา
    เพราะฉะนั้นแล้ว พวกเราก็อย่าประมาท ให้คอยหมั่นทรงฌานเป็นปกติกันเข้าไว้
    เพราะในขณะที่จิตทรงฌานนั้น จิตรู้สึกว่าปลอดภัย เพราะจิตอยู่ในเขตบุญหรือกุศลแล้ว
    ข้อดีที่จิตเขาทรงฌาน ก็คือ เราจะมีสติมาก หรือมีสติสัมปชัญญะ
    ด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนี้เอง เมื่อมีสิ่งใดๆมากระทบจิต จึงไม่มีผลต่อจิต เป็นต้น
    อย่างน้อยที่สุด เราก็ลืมความทุกข์ได้ชั่วคราว แต่ยังดีกว่าคนที่จิตตก
    หรือจากเคยเป็นทุกข์มาก ก็จะทุกข์น้อยลง

    ธรรมในธรรม
    หมายถึง จิตที่เป็นธรรม จิตอยู่กับธรรม จิตอยู่กับธรรมชาติ
    หรือ คนที่เข้าถึงกระแสจิต คือเข้าถึงธรรมชาติแห่งจิต(จิตของตนเองนะ)
    หรือ จิตเข้าถึงสภาวธรรม คือจิตที่ทรงฌาน จิตละเอียดมาก ยิ่งจิตเข้าถึงความละเอียดมากๆนี้
    จิตก็จะพบเจอตอหรือต่อมธรรมะ ที่เรียกกันว่า จิตพุทธนี้
    และธรรมะนี้จะผุดออกมาจากจิตที่เป็นผู้รู้รู้(จิตปัญญา หรือ ญาณ)
    แต่รู้แล้ว ก็ต้องวางนะ
    แต่ถ้าใครรู้แล้ว ไม่วาง ก็หนักอีก หรือเป็นการเพิ่มอัตตาละเอียดเข้าไปอีก
    เช่น เมื่อจิตเข้าถึงความละเอียดมากๆ จิตก็เที่ยวไปรับรู้ เช่น ติดสุขจากฌาน
    นิมิต กรรมของผู้อื่น อภิญญาต่างๆ(ยกเว้นอภิญญาข้อที่๖) เป็นต้น
    จะต้องวางทั้งหมด
    แต่ใครจะวางหรือไม่วาง ก็เป็นเรื่องของผู้นั้น เราไม่ต้องไปวางให้กับผู้นั้นหลอกนะ
    ขอให้ตัวเราวางก็พอแร๊ะ เราเองก็อย่าเข้าไปในสมาคมสอ..ใส่..เกือกก็พอแร๊ะ ไม่ดี มันยุ่ง
    เราสงบภายในของตนเองจะดีกว่า เน้นใจเบาสบาย อย่างอื่นข้าไม่ต้องการ

    แต่ธรรมชาติแห่งจิตเดิมแท้ เป็นประภัสสร
    แต่ด้วยจิตหรือดวงจิตเดิมแท้นี้ เกิดมาหลายภพ หลายชาติ จากจิตเดิมแท้
    จิตที่เคยเป็นประภัสสรก็จะถูกกิเลสครอบงำมานานแสนนาน จนยกไม่ออก
    เป็นดั่งน้ำผสมกับสีแดงนั้น จนแยกกันไม่ออก
    บางทีความต้องการของตนเองมากไป ก็จะกลายเป็นกิเลสโดยที่เราไม่รู้ตัวมาก่อน
    เพราะจริงๆแล้วร่างกายคนเรารับประทานแค่อาหารจานเดียว ทานอย่างเดียวก็พอแล้ว
    หรือทำมาหาเลี้ยงชีพ ไม่จำเป็นจะต้องร่ำรวยมากนัก เพราะเงินอาจเป็นสิ่งจำเป็น
    แต่มิใช่ หมายถึงไปซื้อความสุขของเราได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 ธันวาคม 2012
  13. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    (k):cool: wow wow จะมีหวังได้เห็นพี่ต้อยตัวเป็น ๆ แว๊ว..ดีใจจังค่ะ
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คำเดียวสั้นๆ แต่มีความหมาย คือ
    สติ นั่นไง!​


    สตินะ..สติ!

    สติเป็นฝ่ายดีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
    สติเป็นเพื่อน หรือ พี่เลี้ยงที่ดีที่สุดของจิต
    สติมีหน้าที่แยกแยะความดี-ความชั่ว หรือ ถูก-ผิดให้กับจิต
    เพราะจิตหรือดวงจิต มีหน้าที่อยู่อย่างเดียว นั่นก็คือ รู้ๆๆ
    แต่ไม่สามารถแยกแยะความดี-ความชั่ว หรือ ผิด-ถูก
    เพราะฉะนั้นแล้ว จิตที่ไม่ได้เข้ารับการฝึกอบรม(ปฎิบัติธรรม)ก็เปรียบเสมือนเด็กน้อย
    ความอัศจรรย์แห่งแห่งก็คือ สามารถจดจำมากกว่าสมอง และจิตเรียนรู้ได้เพียงครั้งเดียว
    ก็สามารถจจดจำไปยังภพชาติหน้าต่อๆไปด้วย
    ถ้าตราบใด พวกเราไม่ฝึกฝนจิต หรือไม่นำจิตไปปฎิบัติธรรม ให้รู้ถึงตามความเป็นจริงนั้นๆได้
    จิตของเราก็จะหลงอยู่อย่างนั้นไปจนตาย ตายแล้วก็ยังไม่วายหลงกันอีก
    หลงกลับมาเกิด หลงมาเบียดเบียน หลงมาทำกรรม(ดีหรือชั่ว)ร่วมกันอีก
    และหลงชาติ ชาติภพ และวนเวียนอยู่อย่างนี้
    ตราบจนกว่าเจ้าของดวงจิตนั้นจะพาออกจากทุกข์ หรือ ออกจากวัฎสงสาร

    ปล. ครูทุกท่านที่กำลังสอนจิตเกาะพระกันอยู่นี้ เคยคิดกันบ้างไหม๊ว่า..
    เรากำลังนำพาจิตหรือดวงจิตของผู้อื่น ให้ออกจากทุกข์ หรือ ออกจากวัฎสงสารกัน
    หากพวกท่านไม่รู้ตัว ก็ไม่เป็นไร
    แต่ท่านพ่อรู้แล้ว เห่อๆ
    (พี่ภู..จะมาพร่ำหาถั่วพูอะไรฟ่ะเนี๊ย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 ธันวาคม 2012
  15. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    โมทนากับธรรมะอันยิ่งใหญ่..ที่ท่านทั้ง 2 นำมาแสดง..สาธุ
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    มาแร๊ะ! พ่อปู่ภุชงค์ตัวจริงเสียงจริง
    บ้านรากแก่นฯ กำลังสงบไปทีนึงแล้วนะ
    ท่านภุชงค์มาเปิดประเด็นกันอีกแร๊ะ!
    สงสัยท่านกลัวไม่ดัง หรือ ดังไม่กลัว
    ตั้งแต่ เจ้าของริเริ่มกองหนุน เอ๊ย กองทุน
     
  17. เมธญา

    เมธญา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +1,584
    ไปจำศีลมา เพราะเจอวาระกรรม อ่านตามกระทู้ม่ายทันเลยค่ะ กราบสมเด็จพ่อองค์ปฐมฯ
    และสวัสดีคุณพ่อทุกท่านล่วงหน้า ในวันพ่อ 5 ธันวา ค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2012
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ดับไม่เหลือ
    นึกว่าอะไร​


    เมื่อนิพพานพ้นไปจากบัญญัติในทางโลก การอธิบายถึงนิพพานจึงเป็นเพียงการเปรียบเทียบ
    เช่น เปรียบเทียบกับความว่างเปล่า หรือไฟที่ดับไป เป็นต้น
    ในวิสุทธิมรรคกล่าวว่า "เพราะพระนิพพานเป็นคำสุขุมนัก...เป็นธรรมที่ต้องเห็นด้วยอริยจักษุ
    เป็นธรรมอันบุคคลผู้เพียบพร้อมด้วยมรรค (เท่านั้น) จะพึงถึงได้"

    นิพพานจึง มิใช่เรื่องของการเข้าใจ แต่อยู่ที่การเข้าถึง

    อันเป็นผลจากการปฏิบัติธรรมของตนเอง​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 ธันวาคม 2012
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุ
    ไม่มีผู้ใดหนีกฎแห่งกรรมพ้นสักคนเดียว
    และไม่มีผู้ใด จะไปแก้กรรมที่ว่ามานี้ด้วย
    เห็นมีแต่ แก้ไขกรรมให้มันเบาบางลงไป

    กฎแห่งกรรม(อันนี้เราหมายถึง กรรมไม่ดีนะ)
    อย่างมากก็แค่ส่งผล กายหยาบเท่านั้นเอง
    แต่ไม่มีผลต่อจิตใจ(ถ้าผู้ปฎิบัติถึง หรือ ออกจากทุกข์หรือวัฎสงสารได้นะ)
    แต่ผู้ที่สามารถอยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้นั้น ก็คือ จิตอรหันต์และได้ละขันธ์ไปเรียบร้อยแล้ว

    แต่ถ้ายังมีขันธ์อยู่ เราก็ต้องอยู่กับรถผุๆพังๆไป ตราบจนจะถึงวาระสุดท้าย
    เพราะฉะนั้น อย่าไปหนีมัน ถึงหนีก็หนีไม่พ้น นอกจากตายไปนิพพาน จึงจะพ้น

    เพราะฉะนั้น จิตบุญก็เหมือนกัน นอกจากปล่อยวางกับทุกสิ่งได้หมด หรือเกือบหมด
    ย่อมอยู่รับกรรมกันไปเถิด หรือยอมความรู้สึกที่เจ็บปวดใจ
    อย่าเที่ยวไปรังเกียจ รำคาญ กีดกั้นดวงจิตที่มันกำลังรับเศษกรรมนี้เลยนะ
    ทำเหมือนสีทนได้ ทนทั้งแดด ทนทั้งลม
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตบุญฟังให้ดีๆ
    จิตหลุดพ้นจริงหรือไม่?

    ท่านปล่อยวางจริงหรือไม่?
    อะไรไปพระนิพพาน???
    ร่างกาย หรือ จิต
    (อย่าหลงประเด็น)
    เวลาไปพระนิพพาน ไปแต่จิตร่อนจ้อน
    เหมือนเราจะไปอาบน้ำ ต้องปลดเปลื้องเสื้อผ้าให้หมด ถึงจะอาบน้ำได้สะอาด
    เวลาไปพระนิพพานก็เหมือน เขาไม่เอาควายไปกันนะ
    พี่ภูเห็นควายไปแต่ท้องทุ่ง ท้องนา
    ใครเคยเห็นควาย บนพระนิพพานบ้าง?
    ไหนๆยกมือขึ้นสิ!

    เขาให้รู้แล้ววางซะ!
    ใครรู้? ใครวาง?
    ตอบว่า..ก็จิตใครจิตมันสิ รู้และวางน่ะ
    ตัวเราวางได้รึยัง อย่าเที่ยวไปบอกคนอื่นๆว่า ปล่อยๆวางๆ
    จิตใครจิตมัน ต้องดูแลกันเอง
    เราไม่สามารถนำแฟนไปนิพพานได้ หรือ บรรลุธรรมแทนกันได้
    เพราะจิต ไม่ใช่แฟน ที่จะมาทำแทนกันได้

    สำหรับจิตบุญที่ยังไปไม่ถึง จิตตถาคต หรือ จิตพุทธะ
    เมื่อผู้ที่ไปถึงแล้ว ท่านก็จะทราบเองแหล่ะ
    อย่าเที่ยวไปสงสัยกับบุคคลอื่น
    เอาตัวเองให้หายสงสัยก่อน
    เหมือนตนเองก็ยังไม่เข้าใจตนเอง แล้วเราจะไปเข้าใจใครเขาเล่า!

    เอ๊าๆๆๆๆๆๆๆ งง กันใหญ่ ไม่ต้องงแล้ว
    เลิกงงได้แล้ว รีบกลับไปดูจิตตนเองให้ไวๆ
    จิตใครจะดี หรือ จิตใครจะเลว ก็ช่างเขาปะไร
    แต่ถามว่าจิตเราดีแล้วหรือยัง?
    (ตอบตนเอง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 ธันวาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...