เมื่อพระอภิญญาท่านว่า...

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย toplus99, 20 พฤศจิกายน 2011.

  1. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ก็เห็นว่าท่านtoplus99 นำบทความมาลงเพื่อกระตุ้นการฝึกอภิญญา

    การฝึกอภิญญาในแนวทางสมถะกรรมฐาน คือ การทำให้จิตนิ่ง คำว่านิ่งนี่ ไม่ใช่สตาฟจิตไว้นะ

    คือ ระงับจากอกุศลนิวรณ์ มีอารมณ์ตั้งมั่นเป็นหนึ่ง หรือมีเอกัคตารมณ์ พร้อมด้วยอุเบกขาฌาน

    ครูบาอาจารย์ท่านยังกล่าวไว้เลย ทำกรรมฐานให้จิตนิ่ง โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    ฉะนั้น เอกัคคตาจิต ในองค์ฌาน นี่ คืออารมณ์ตั้งมั่นเป็นหนึ่ง
    เป็นอาการ ตื่น รู้ ระหว่างนั้นอกุศลต่างๆไม่สามารถสอดแทรกเข้าไปได้ แต่แน่นอนยังแฝงไว้ด้วยอัตตาอันเป็นโลกียะ
    เป็นจิตที่ควรแก่การงาน กายเบา จิตเบา วจีสังขาร กายสังขาร ย่อมถูกระงับ

    ดังนั้น จิตที่ควรแก่การงาน ชำนาญการเข้าออกในวสี นี้ล่ะ เป็นจิตที่นำไปใช้ทางด้านอภิญญา

    แต่หากตั้งเจตนา สตาฟจิตไว้ให้นิ่งดังกล่าว นี่จะเป็นการเข้าสู่อสัญญีภพ เลยล่ะ

    นี้ทางการฝึกทางด้านสมถะ ในส่วนของการเจริญสติปัฏฐาน4
    นี้อันเป็นบ่อเกิดแห่งอภิญญาแท้ๆเช่นกัน ทั้งการพิจารณากาย พิจารณาจิต
    สติปัฏฐานเป็นได้ทั้งสมถะ และวิปัสสนา

    เพราะหากพิจารณาแล้ว บทความดังกล่าว เป็นการฝึกตามแนวมหายาน
    อย่าลืมว่ามหายาน จะแปลกตรงที่ ให้ทัสสนะไว้ว่า "ทุกดวงจิตเกิดมา ล้วนมีจิตบริสุทธิ์หมด"
    หรือที่เรียกว่า "จิตโพธิ" นั่นล่ะ มีทัสนะเห็นว่า "จิตเศร้าหมอง เพระถูกกิเลสที่จรมา"
    หากพิจารณาโดยไม่ถ่องแท้แล้ว จะเข้าใจว่า "ทุกดวงจิตล้วนมาจากนิพพาน" กันทั้งหมด
    และสักวันหนึ่งจะต้องได้กลับสู่พระนิพพาน ซึ่งเป็นการเข้าใจไม่ถูกต้อง

    ส่วน ผู้มีจิตนิ่ง ตามแบบฉบับครูบาอาจารย์ ย่อมจะไม่ฟุ้ง ไม่ส่ายหน้า
    ไม่พากันออกนอกฐาน ตามแบบฉบับในทัสสนะ "ทุกดวงจิตที่เกิดมา ล้วนมาจากอวิชชา"
    เด็กเกิดมาใหม่ทุกคน ย่อมถูกร้อยรัดไว้ด้วยสังโยชน์ ด้วยกันทั้งนั้น

    หากเกิดมาจากความบริสุทธิ์ มันจะใช่หรือ แม้แต่ "บัวยังเกิดแต่ตม"

    นั่นเพราะ ความไม่รู้แจ้งในอริยสัจทั้ง4 จึงพากันเวียนไปในวัฏฏะสงสาร
    จึงจำเป็นต้องฝึกตน เพื่อสลัดสิ่งร้อยรัดในอุปกิเลสทั้งหลาย

    ดังนั้น ท่านtoplus99 จะป่วยการ ฉีกเปลือกทุเรียน ด้วยมือเปล่าๆ ไปทำไมน้อ
    กับบทความ จากบล็อเกอร์ดังกล่าว ที่นำมาลงเพื่อฝึกอภิญญา ว่า "เขาเขียนผิดพลาดท่อนไหน....อย่างไร ?"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2012
  2. pleแบม

    pleแบม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +1,427
    ตราบใดที่เรายังไม่ใช่พระอรหันต์ เราก็ยังไม่รู้ลึกรู้จริง ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป น่ะ และถ้าคนแต่งเรื่องเขียนเรื่องยังไม่บรรลุอรหันต์ ก็น่าคิดน่ะ เหมือนดั่งคนตาบอดคลำช้างหรือเปล่านะ
     
  3. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ตามปรกติ ก็ไม่ชอบกินทุเรียนเท่าไร
    เพราะคุณหมอ บอกว่า..คลอเรสเตอรอลสูง

    แต่ถ้าปลอกทุเรียนก็จะหา ถุงมือหนาๆหน่อยมาสวมกันหนามมันตำมือ
    (เพราะไม่ชำนาญการแกะ)
    ใช้มีดค่อยๆผ่าเปลือก..จากนั้นก็ใช้มือแกะฉีกออกอีกที

    นานๆทีก็ปลอกให้คนอื่นที่นิยม...ได้กินบ้าง
    บางคนก็ไม่ชอบ เข้าใกล้ก็เหม็นเบื่อเวียนหัว.. พาลจะอ๊วก!

    ตัวเองก็ไม่ได้หวังความอร่อยอะไรมากมาย..
    แค่อยากออกกำลังกายเอากล้ามแขนบ้าง...แค่นั้นเอง
     
  4. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ช่ายแล้วครับ แลนด์มาร์ค สำคัญเลย ตรงที่ผู้เขียนบทความบอกไว้ใน สติปัฏฐาน

    บอกว่า ไม่จำเป็นต้องฝึกสติ ปัญญาจะเกิดด้วยการเห็นอนิจจัง จะเป็นไปได้หรือ
    ความเพียรระวังในอกุศลธรรม อินทรียสังวรณ์ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร

    หากขาดหัวใจหลักสำคัญของสติปัฏฐาน คือ "อาตาปี สัมปชาโน สติมา"

    ฉะนั้น เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะแจ้งในไตรลักษณ์ กับการชำแรกสังโยชน์บ่วงร้อยรัด
    อุปทานขันธ์ต่างๆ ที่เกาะกุมยึดไว้ หากขาดสัมมาสติในองค์มรรค โดยไม่มีการฝึก

    เพราะสตินี้ เป็นธรรมที่มีอุปการะมาก เป็นเครื่องตื่น เป็นเครื่องกั้นกระแส

    ขอบคุณครับ
     
  5. pleแบม

    pleแบม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +1,427
    การที่ท่าน(ขอโทษน่ะค่ะ คือไม่มีวงกลม เล็กใหญ่ในแป้นพิมพ์) กล่าวมาก็ถูก แต่ที่ท่าน
    toplus99 พิมพ์มานั้น เพราะวาระจิตของแต่ละคนไม่เท่ากัน หรือจะเรียกว่าลางเนื้อชอบ
    ลางยาง หรือมาคนละสายกันนั่นเอง จึงมีหลายกระทู้ให้ทุกท่านได้เลือกกัน จึงไม่มีใครผิด
    และไม่มีใครถูก มีแต่ความหวังดี และ เพราะบางคนเค้าก็ยังไม่พร้อมถึงขั้นจะศึกษาสติปัฏฐานสี่ พระพุทธเจ้า ท่านถึงให้กรรมฐานมา 40 กอง มีกสิน มีอภิญญา มีอาหารเรปฎิกูล สังขาร สุดท้ายจะช้าไปหลายชาติหรือเร็ว ภายใน 7 วัน ก็ต้องถึงพระนิพพานกันบ้างน่ะ
    (แยะไปไหมนี่)
     
  6. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ปล่อยให้เรื่องราวของเขาที่เขียนในบล๊อก...ให้เป็นเรื่องของเขาไปดีกว่า
    เขาก็ไม่ได้โฆษณาว่าใครต้องไปอ่าน...ก็แยกย้ายกันไปพิจารณาตามใจชอบก็แล้วกัน

    เพราะบทความอื่นที่แสดงไว้ในบล็อกเขาเอง
    toplus99 ก็มิได้นำมีการเสนอแต่อย่างใด..ยืนยันได้

    ถ้ายิ่งนำมาเสนอ มาโพสเพิ่มก็ยิ่งเหมือนช่วยแพร่แนวคิดของเขา
    ที่เห็นแย้งกับตนมากขึ้นเปล่าๆ
    ...

    ยุติดีกว่า เราจะได้ไม่วุ่นวายกันอีก

    ที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็ได้กล่าวแจ้งเตือนในกระทู้นี้ไปแล้ว ...ก็ถือว่าท่านทำหน้าที่ดีแล้ว

    ดังนั้น..ก็ปล่อยให้กระทู้นี้ได้เดินไปตามแบบฉบับสภาวะเดิมๆ..ประสาชาวเราดีกว่า
    จะได้ไม่ต้องมาโต้แย้งกันไปมา

    อนุโมทนา..ในกุศลจิตดีๆของทุกท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2012
  7. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    คนที่นานๆจะพูดซะที..ลองว่าได้ขยับที
    นี่ปล่อยแต่ละหมัด ก็หนักแน่นเอาเรื่องแฮะ!
     
  8. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    จะกรรมฐานกองไหนก็ต้องมีสติครับ สตินี่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการภาวนา
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    อรุณสวัสดิ์พระรัตนตรัย(เมืองไทย) Goodnight from USA ค่ะ:cool:;aa43
     
  10. ภิศรณ์

    ภิศรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,495
    มารายงานตัวค่ะ พร้อมกับนำบุญมาฝากทุกท่าน ด้วยว่าเพิ่งกลับจากไปปฏิบัติธรรมถือศีลหลายวัน ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีไม่มีปัญหาอันใดกับอาหารมื้อเย็น หรืออินเทอร์เน็ต แต่จะมีบ้างนิดหน่อยก็เกี่ยวกับการนอนผิดที่ทำให้ไม่ค่อยหลับ เลยพอได้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เป็นนาฬิกาปลุกให้ซะเลย
    ด้วยความอันรู้น้อยนิดก็ตั้งใจศึกษาตามที่พระอาจารย์สอนสั่ง ฟังบ้างจดบ้างตามประสา แล้วก็ฝึกสมาธิภาวนาทำตัวดีบ้างไม่ดีบ้างเป็นบางคราว ที่ว่าไม่ดีนั้นหมายถึงว่าเผลอหลับซะงั้น(ไม่ได้ตั้งใจจะหลับหรอกนะคะ) จากการไปปฏิบัตินี้ทำให้ใจเป็นสุข ผ่อนคลายได้โขเชียว เป็นพลังในการกลับมาทำงานต่อไป จึงนำความนี้มาเล่าสู่พี่ๆ น้องๆ น่ะเจ้าค่ะ
    yimm
     
  11. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    แวะมา..เสริฟออเดิฟให้พี่น้องผองเพื่อน "ครอบครัวtoplus99" จั๊กหน่อย
    ก่อนจะลอยพุงไปหาความรู้กะครูหมอเขียว เร็วๆนี้
    pig_ballet
    คือว่า.. วันนี้เห็นกะตา(ยายไม่เห็น).. ผู้ที่ก้มหน้างุ๊ดๆท่องเป็นนกแก้วแจ้วเจรจา
    ว่า.. งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข.. จึงมักไม่ค่อยจะลุกหันหน้าหาสิ่งไหน
    ไม่สนใจสุขภาพตราบแทบสิ้นใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ขยับก็เซ ..>เฮ้อออ<..
    กว่าจะรู้..หันมาดูตัวเองนั้น ชีวาบั่นสั้นลง งงไขว้เขว

    สิ่งที่ทำสิ่งที่สร้างอย่างทุ่มเท ก็จบเห่..เพราะร่างกายไม่ไหวนะเออ

    ปล. โปรดติดตามตอนต่อไป..เมื่อไหร่ก็คงเมื่อนั้น นะจ๊ะ นะจ๊ะ^_^
    ##หมั่นคอยดูแลร่างกายและรักษาดวงใจ เก็บเอาไว้จนวันสุดท้ายกันนะเอออ ##
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2012
  12. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    เอาล่ะๆ ไม่ต้องขอโทษก็ได้ครับ ถือว่าเรามาสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนซึ่งกัน

    สิ่งที่ท่านบอกมา ก็ขอรับไว้พิจารณาเช่นกัน

    แต่การที่ คุณpleแบม ได้กล่าวมาว่า "เพราะบางคน เค้าก็ยังไม่พร้อม ถึงขั้นจะศึกษาสติปัฏฐานสี่"

    คำกล่าวนี้ เมื่อเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบคำสอน และได้สดับตรับฟังในแนวทาง

    เช่นนี้แล้ว ช่างน่าอายสัตว์เดรัจฉาน นะครับ กับการไม่วิจัยธรรมในกองกรรมฐาน

    หรือว่าแสงสว่างนั้นส่อง แต่ส่องไปหาผู้ไม่รู้จักคุณค่า จึงไม่รู้ความหมาย

    "ช่างน่าอายสัตว์เดรัจฉาน อย่างไง ?" [​IMG]
     
  13. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    "ช่างน่าอายสัตว์เดรัจฉาน อย่างไง ?"

    มาดูกัน คุณpleแบม

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2012
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ปฏิบัติธรรม

    --------------------------------------------------
    น้องสาวพี่ก็ไปทําสมาธิที่วัด หลวงพ่อบอกว่า คราวนี้มีเทวดามามากเลยนะ พอทําไปๆๆ พอหมดเวลาหลวงพ่อก็บอกว่า"เอ้า ลืมตาได้แล้ว"เขาก็ลืมตา มองไปๆเห็นดวงกลมๆเยอะเลย พอเพ่งไปๆอีกทีปรากฎว่าเป็นหลอดไฟที่เขาติดไว้ตามต้นไม้เอง
    :d;aa57
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    80 เรื่องของพ่อหลวงไทย ที่คนไทย(อาจ)ยังไม่เคยรู้


    เมื่อ ทรงพระเยาว์

    1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.
    2นายแพทย์ผู้ทำ คลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ มีน้ำหนักแรก
    ประสูติ 6 ปอนด์
    3พระ นาม"ภูมิพล"ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระ
    ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
    4พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพล
    อดุลยเดช
    5ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
    6ทรง เคยเป็ นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระ
    ชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี
    มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า "H.H Bhummibol Mahidol"
    หมายเลขประจำตัว 449
    7ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนี หรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดา
    ว่า"แม่"
    8สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
    9แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้
    ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
    10สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยง สัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่
    นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพ
    อย่างใหญ่โต
    11สุนัขตัวแรกที่ทรง เลี้ยงสมัยพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้ง
    ชื่อให้ว่า"บ๊อบบี้"
    12ทรง ฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่
    เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำจะต้องลุกขึ้น บ่อยๆ
    13สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจา
    กันก่อน ว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรอง 3 ที มากเกิน
    ไป 2 ทีพอแล้ว ระหว่างประทับอยู่ ส วิตเซอร์แลนด์ โดยระหว่าง
    พี่น้องจะทรงใช้ภาษ ษฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
    14ทรงได้รับการอบรมให้ รู้จัก"การให้"โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า"กระป๋องคนจน"หาก ทรงนำเงินไปทำ
    กิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก"เก็บภาษี"หยอดใส่กระปุกนี้ 10%
    ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินใน
    กระป๋อง นี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า
    หรือทำกิจกรรม เพื่อคนยากจน
    15ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน
    เพราะ เพื่อนคนอื่นๆเขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า"ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ
    ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน"
    16กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget
    ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
    17ช่วง เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทน
    รถพระที่นั่ง


    พระ อัจฉริยภาพ

    18พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก"การเล่น"สมัย
    พระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไร ต้องทรงเก็บสตางค์
    ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับ พระชษฐาน
    ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ
    แล้ว แบ่งกันฟัง
    19สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิ
    ประเทศ
    ของ ไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่
    ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้
    ทรงเล่นเป็น จิ๊กซอว์
    20ทรง เครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน
    แต่รู้หรือไม่ เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง
    (แอกคอร์เดียน)
    21ทรง สนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา
    ทรงซื้อแซกโซโฟนมือ สองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดย
    ใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
    22ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
    23ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนม์พรรษา
    18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ"แสงเทียน" จนถึงปัจจุบัน
    พระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
    24ทรงพระราช นิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้อง
    ใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย
    ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้น
    เดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง"เราสู้"
    25รู้ ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร :
    เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5
    26นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่าย
    ภาพยนตร์ ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออก ฉายแล้ว
    นำเงินรายได้มาสร้างอาคาร สภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ
    โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
    27ทรง พระราชนิพนธ์เรื่อง"นายอินทร์"และ"ติโต" ทรงเขียน
    ด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์แต่พระมหาชนก ทรงพิมพ์
    ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
    28ทรง เล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และเรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการ
    แข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยน
    ชื่อเป็น"กีฬาซีเกมส์")ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510
    29ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับ
    ฝั่ง ตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่น
    ไปโดนทุ่น เข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่
    ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
    30ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรก ของโลกที่ได้รับ
    สิทธิบัตรผลงานประดิษฐ ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่
    ผิว น้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ "กังหันชัยพัฒนา" เมื่อปี 2536
    31ทรงเป็นผู้ ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการ
    เกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทด แทน เช่น แก๊สโซฮอล์,
    ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลา
    กว่า 20ปีแล้ว
    32องค์การสหประชาชาติ ได้ถวาย รางวัลความสำเร็จสูงสุด
    ด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม
    2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้าน
    การพัฒนา ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดย
    มี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมา
    ถวายรางวัลด้วยตนเอง


    เรื่อง ส่วนพระองค์

    33พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา
    มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร
    สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
    34รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิส
    เซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯ
    ทรงให้สัมภาษณ์ว่า"น่าจะ เป็น เกลียดแรกพบ มากกว่า รักแรกพบ
    เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึง เวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จ
    มาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
    35ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม
    2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม
    เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรส
    เหมือน คนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไป
    ทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
    36หลังอภิเษกสมรส ทรง"ฮันนีมูน"ที่หัวหิน
    37ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ใน
    พระ บรมมหาราชวัง เมืองวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับ
    จำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
    38ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
    39ของ ใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพง ต้องแบรนด์เนม
    ดังนั้นการถวายของ ให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง
    อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้ง นั้น
    40เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ
    เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
    41พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพล
    เพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบ
    แก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดี แก่ประเทศชาติ
    41หลอดยาสีพระทน ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ
    โดย เฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจน
    ถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทน
    ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม
    42วัน ที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรณคต
    มีหนังสือเล่า ไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้าแม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่
    หลับจึงเสด็จฯกลับ ถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า
    สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล
    เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบ
    ที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมา
    น้ำพระเนตรไหลนอง


    งานของในหลวง

    43โครงการ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมี
    จำนวนกว่า 3,000 โครงการ ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานที่ต่างๆ
    จะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่งคือ แผนที่ซึ่งทรง
    ทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอ
    ที่มียางลบ
    44ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้ กระทั่ง
    การโรเนียว กระดาษที่จะนำมาให้ข้อราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
    เก็บ ร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่
    เมื่อ เฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก
    ข้าราชการและ ราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อ
    ทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการ
    และราษฎรทั้ง กลางสายฝน
    45ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยม
    วิทยา นำขึ้นทูลเกล้าฯร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง
    เพื่อป้องกันภัย ธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
    46โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วน
    พระองค์จำนวน 32, 866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือ
    ดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็น
    โครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้
    47เวลา มีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวน
    จิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง
    เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
    48ม.ร. ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรง
    เหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า "ความจริงมันน่า
    ท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้
    เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือ
    บ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
    49ทรง นึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรง
    กำลังจะเข้าห้องผ่าตัด กระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง
    (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้ง
    คอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้า
    ประเทศ พระองค์จะได้ดูจอมอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้
    ช่วยเหลือทัน


    ของทรงโปรด

    50อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า
    ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
    51ผัก ที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังช่าย
    52ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
    53ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกใน
    ประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดา
    เป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
    54เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวย
    วันหนึ่งหลายครั้ง
    55ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี
    เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
    56ทรง ฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์
    ต่างๆใน กทม.ไปที ่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
    57หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวง
    จะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ
    และก่อน เข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก
    เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
    58ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูดลย เจ้าของชื่อ
    ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้ง
    แต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย
    นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้
    ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
    59ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บน
    ชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร
    ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร
    คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์
    แผนที่ ฯลฯ
    60สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด
    สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว
    ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว


    รู้หรือไม่ ?

    61ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จ
    พระเจ้าอยู่หัว ว่า "นายหลวง" ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
    62ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ
    เยอรมัน และ สเปน
    63อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสาร
    สำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า
    "ทำราชการ"
    64ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุ
    ทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิสเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชน
    กับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา
    ตอน นั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้าง
    ซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน
    ชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
    65ครั้ง หนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า
    แซกโซโฟนที่ทรง อยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำ
    ด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า"อันนี้
    ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก"
    66ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง
    จนกระทั่งกุด
    67หัวใจทรงเต้นไม่ปกติด ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจ
    เต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยม
    ราษฎรที่อำเภอสะ**censor**ติดต่อกันหลายปี
    68รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษา
    ในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุก วันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา
    ฟอนต์ภูพิงค์
    69ในนิทรรศการเฉลิมพระ เกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค
    มีประชาชนเข้าชมรวม 6 ล้านคน
    70ในหลวง เริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493
    จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระ ราชทานปริญญาบัตร
    490ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน
    470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนัก
    ทั้งหมด 141 ตัน
    71ดอกไม้ ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
    72สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
    73นั่ง รถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถ
    คนละคันเป็นการ สิ้นเปลือง ให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถ
    ยาวเหยียด
    80พระราช ประวัติในหลวง ฉบับการ์ตูน

    =================================
    ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2012
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    คนดวงตกชะตาขาดหรือทำแท้งต้องสวด อุณหิสสะวิชะยะคาถา
    อุณหิสสะวิชะยะคาถา

    อัตถิ อุณหิสสะ วิชะโย ธัมโม โลเก อะนุตตะโร
    สัพพะ สัตตะ หิตัต ถายะ ตัง ตวัง คัณหาหิ เทวะเต
    ปะริวัชเช ราชะทัณเฑอะมะนุสเสหิ ปาวะเก>
    พะยัคเฆนาเค วิเส ภูเต อะกาละมะระเณนะวา
    สัพพัสมา มะระณา มุตโต ฐะเปตวากาละมาริตัง
    ตัสเสวะอานุภาเวนะ โหตุเทโวสุขี สะทา
    สุทธะสีลัง สะมาทายะธัมมังสุจะริตัง จะเร
    ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขีสะทา
    ลิกขิตังจินติตังปูชัง ธาระณัง วาจะนัง คะรุง
    ปะเรสัง เทสะนัง สุตวาตัสสะ อายุ ปะวัฑฒะตีติ

    @@@@@@@
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2012
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    "เห็นเสือหมอบ อย่าเชื่อ ว่าเสือไหว้" (เจ้าคุณนรฯ)



    "เห็นเสือหมอบ อย่าเชื่อ ว่าเสือไหว้
    เผลอเมื่อไร เสือกิน สิ้นทั้งขน
    คนต้องเกรง เยงยำ น้ำใจคน
    เขาถ่อมตน อย่าเหมา ว่าเขากลัว

    เขาไม่สู้ อย่าเหมา ว่าเขาหนี
    คชสีห์ หรือจะ สู้หมูชั่ว
    วางตนสม คมประจักษ์ ในฝักตัว
    ชาติคนชั่ว ลบหลู่ อย่าสู้มัน

    เมื่อน้ำไหล ไหวเชี่ยว เป็นเกลียวกล้า
    เอานาวา ขวางไว้ ภัยมหันต์
    เรื่องของคน ปนยุ่ง นุงนังครัน
    ต้องปล่อยมัน เป็นไป ใจสบาย

    อวดฉลาด พูดออก บอกว่าโง่
    ฟ้งเขาโอ้ อวดอ้าง อย่างขวางเขา
    ขัดคอเขา เขาโกรธ พิโรธเรา
    เป็นเรื่องเร่า ร้อนใจ ไม่เป็นการ

    ใครมีปาก อยากพูด ก็พูดไป
    เรื่องอะไร ก็ช่าง อย่าฟังขาน
    เราอย่าต่อ ก่อก้าว ให้ร้าวราน
    ความรำคาญ ก็จะหาย สบายใจ"

    พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)
    วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร

    รูปขนาดเล็ก
    542658_453684841333456_573553403_n.jpg
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    หลวงพ่อชา สุภัทโท

    จะปฏิบัติธรรมอย่างไร คนเราไม่รู้จัก นึกว่าการเดินจงกรม นึกว่าการฟังธรรม
    นึกว่าการนั่งสมาธิ เป็นการปฏิบัติ นั่นเป็นส่วนน้อย
    ก็จริงอยู่ แต่มันเป็นเปลือกของมัน
    การปฏิบัติจริงๆ ก็ปฏิบัติเมื่อประสพกับอารมณ์ นั่นแหละการปฏิบัติ
    แล้วที่มันประสพอารมณ์ อยู่นั้น เช่นมีอะไร
    มีคนมาพูดไม่ถูกใจนะ เราเป็นทุกข์ขึ้นมา
    ถ้าคนพูดให้ถูกใจเรา เราก็เป็นสุข
    ตรงนี้แหละ ตรงที่จะปฏิบัติ

    เราจะปฏิบัติอย่างไร อันนี้สำคัญ
    ถ้าเราไปวิ่งกับสุข ไปวิ่งกับทุกข์ มัวไปวิ่งกับสุข ไปวิ่งกับทุกข์อยู่นั่น
    จะวิ่งตลอดจนถึงวันตายก็ไม่พบธรรมะ นี่ก็อยู่ไม่ได้
    เมื่อรู้จักสุขทุกข์ ทั้งสองนี้ขึ้นมาเมื่อไร
    เราจะแก้ไขปัญหาอย่างไรโดยธรรมะ นี่คือการปฏิบัติ

    โดยมากคนที่ได้ของที่ไม่ชอบใจ ไม่อยากจะพิจารณา
    อย่างคนนินทาว่าเรา "อย่ามาว่าฉัน มาว่าฉันทำไม"
    นี่คือคนปิดตัวไว้ ตรงนั้นแหละต้องปฏิบัติ
    ถ้าเขาว่าเราไม่ดี เขานินทาเรานี่ควรฟัง
    "เขาว่าถูกหรือผิดอะไรหนอ" ไม่ดีตรงไหน
    เราควรรับฟังไม่ต้องปิด ปล่อยเข้ามาให้ดูไว้
    บางทีก็มีนะ ที่เราไม่ดีนั่นน่ะ เขาว่าถูก ยังไปโทษเขาอีก
    นี่ทีนี้เรามาดูตัวเรา เราเห็นที่ไหน มันไม่ค่อยดี
    เราก็เขี่ยมันออกเสีย เขี่ยโดยไม่ให้ใครรู้จักนั่นแหละ
    เขี่ยสิ่งที่ไม่ดีออกเสีย มันก็ดีขึ้นมาอีก นี่คือคนมีปัญญา

    สิ่งที่มันวุ่นวาย สิ่งที่มันไม่สงบอยู่
    ตรงนั้นแหละมันเป็นเหตุสิ่งที่สงบอยู่ ก็ตรงนั้นเอง
    เราเอามันแทนที่เข้าไปที่มันไม่สงบนั่นไง
    นี่บางคนไม่รับฟัง ทิฐิมันแรง เราทำอย่างนั้นจริงๆ ก็ไปเถียงเขาอีกนะ
    ยิ่งกับลูกเราแล้ว ความเป็นจริงบางอย่างมันถูกของเขา
    แต่เราเข้าใจว่า เราเป็นแม่เขา ไม่ยอมมัน อย่างนี้ก็มี
    อย่างเราเป็นครูคนนี่ บางทีลูกศิษย์นะ เขาพูดถูก แต่ว่าเราไม่ยอมมัน
    ทำไม เพราะว่าเราเป็นครูเขา
    เขาจะเถียงเราได้อย่างไร นี่คืออย่างนี้ มันคิดไม่ถูก

    ในครั้งพุทธกาล มีสาวกองค์หนึ่ง ท่านมีปัญญามากพระพุทธเจ้าก็เทศน์ธรรมะให้ฟัง
    เทศน์ไปเรื่อยๆท่านก็ฟังไปเรื่อยๆพระพุทธเจ้าถามว่า
    "ท่านพระสารีบุตร ท่านฟังธรรมนี้ ท่านเชื่อไหม"
    "เกล้ากระผมยังไม่เชื่อ"
    พระพุทธเจ้าชอบใจเลย
    "เออ ! ดีแล้ว ท่านมีปัญญา คนที่มีปัญญาไม่ควรเชื่อง่าย
    ต้องรับอันนี้ไปพิจารณาดูเหตุผลกันก่อนจึงเชื่อ "
    นี่แหละ ธรรมที่เป็นครูสอนคนอย่างดีทีเดียว
    คือความเป็นจริงมันถูกของท่าน
    พระสารีบุตร ที่ท่านพูด
    ท่านเอาใจจริงมาพูดให้ฟังเลย บางคนก็ว่า ถ้าจะพูดว่าไม่เชื่อ
    ก็ดูเหมือน จะฝ่าฝืนอำนาจพระพุทธเจ้า
    กลัว ก็เลยกลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว ก็เลยว่าถูกตามกันไปหมด
    นี่โลกของเรา มันเป็นอย่างนี้
    พระพุทธเจ้าของเราตรัสว่า สิ่งที่ไม่ผิด ไม่เป็นบาป ไม่ต้องอายเลย
    เพราะเรายังเชื่อไม่ได้ เราพิจารณาไม่ได้ เรายังไม่เชื่อ
    พระสารีบุตรจึงพูดว่า "ข้าพระพุทธองค์ยังไม่เชื่อ" พระพุทธเจ้าชอบใจ
    "องค์นี้มีปัญญามาก ให้ไตร่ตรองดูเหตุดูผลก่อนจึงเชื่อ"
    พระสารีบุตรนี้มีปัญญา อันนี้เป็นคติของผู้ที่เป็นครูเป็นอาจารย์ ของคนเป็นอย่างดี
    บางทีความรู้เราได้จากเด็กๆก็มีนะ เราอย่าไปถือไปยึดมั่นอะไรทั้งหลาย

    ที่เราเกิดมา จะยืน จะเดินไปมา จะนั่งที่ไหน
    เวลานั้นเรียกว่าเราศึกษาทุกอย่าง
    เราศึกษาตามธรรมชาติ รูปก็ดี เสียงก็ดี กลิ่นก็ดี รสก็ดี โผฏฐัพพะก็ดี
    เราต้องฟัง ต้องรับฟัง คนมีปัญญาต้องรับฟังข้อประพฤติปฏิบัตินั้น
    ก็ท่านปฏิบัติให้มันหมดเรื่อง
    ถ้าเรามีความชอบใจ ไม่รู้เท่าความชอบใจ
    ไม่รู้เท่าความไม่ชอบใจ นี่เรายังมีเรื่อง
    ถ้าเรารู้เท่ามันแล้ว ความชอบใจ ความสุขนี้ก็ไม่มีอะไร
    สักแต่ว่าความรู้สึกแล้วมันก็หายไป ไม่ชอบใจนี้ ก็ไม่มีอะไรมากมาย
    สักแต่ว่าความรู้สึกเท่านั้น แล้วมันก็หายไป จะเอาอะไรกับมันเล่า
    ถ้าเรานึกว่าสุขนั้นเป็นของเรา ทุกข์นั้นเป็นของเรา
    มันก็ทุกข์ยากลำบากไปเท่านั้นแหละ มันหมดเรื่องจบเรื่องไม่ได้
    ปัญหาอันนี้ มันก็เกิดต่อๆไปเรื่อยๆนี่มันเป็นเช่นนี้
    หลักความจริงมันก็เป็นเช่นนี้

    แต่ว่าเราสอนกัน ไม่ค่อยพูดกันถึงเรื่องจิตใจ
    ไม่ค่อยพูดกันถึงเรื่องความจริง
    ถ้าเอาความจริงมาพูดกัน คนจะไม่ชอบด้วยซ้ำ
    เขาว่าไม่รู้จักกาละเทศะ ไม่รู้จักประสีประสา อะไรต่ออะไร
    ฟังธรรมนี่ต้องรับฟังคือ ธรรมะนี้ไม่ใช่ว่าท่านเอาความจำมาพูด
    ท่านเอาความจริงมาพูด
    คนทางโลกนี่มันเอาความจำมาพูดกัน
    แล้วก็ไปพูดในแง่ที่ว่า ยกหูชูหางขึ้นไป
    เช่นว่า เรานี่พรากกันมานานแล้วนะ จากกันไปอยู่ต่างประเทศ
    หรือจากกันไป อยู่ต่างจังหวัดกันมานาน
    อีกวันหนึ่งเผอิญไปขึ้นรถไฟพบกันเข้า
    "แหม ! ผมดีใจเหลือเกิน ผมนึกว่าจะไปเยี่ยมคุณอยู่เร็วๆ นี้"
    อันนี้ไม่ใช่ ความเป็นจริงไม่เคยนึกเลย
    แต่ไปพูดขึ้นเดี๋ยวนั้นแหละ ไปปรุงขึ้นเดี๋ยวนั้นแหละ
    คนมันชอบเป็นอย่างนี้ โกหก โกหกโดยไม่รู้ตัวเจ้าของนี่
    ธรรมะมันเป็นเช่นนี้ ถึงว่า พระนี่ ท่านพูดยาก
    เมื่อท่านพูด ท่านเอาความจริงมาพูดให้ฟัง
    พูดไป พูดไปเถอะ คนฟังก็ไม่เข้าใจ เข้าใจยาก
    ถ้าเราเข้าใจธรรมะเราก็ได้ปฏิบัติในส่วนของธรรมะ
    ไม่ถึงกับว่าต้องมาบวชก็ได้
    ถ้าเราเข้าใจ แต่การบวชนี่มันเป็นรากฐานโดยตรง
    ผู้จะมาปฏิบัติโดยตรงต้องออกมาอยู่ในป่า ต้องสละครอบครัว
    ต้องสละสมบัติมันถึงไม่กังวล
    การเข้ามาอยู่ในป่า หรือในที่สงัดนั้น เป็นเครื่องปฏิบัติโดยตรง

    บัดนี้ถ้าเรายังมีครอบครัวอยู่ ยังไม่มีภาระอยู่
    ทำอย่างไรเราจึงจะปฏิบัติได้
    บางคนก็นึกว่า เราปฏิบัติไม่ได้ล่ะ
    "พระกับโยม ในโลกนี้ ในประเทศไทยเรานี้ ใครมากกว่ากัน ?"
    "โยม" นั่นส่วนพระมาปฏิบัติเท่านี้ โยมนั้นไม่ปฏิบัติ มันก็วุ่นวายเท่านั้นเอง
    นี่คือเรายังเขาใจผิด... ผมยังบวชไม่ได้"... ไม่ใช่บวชหรอก ไม่ใช่การบวช
    บวชมาแล้วก็ไม่ได้อะไร ถ้าเราไม่ปฏิบัติ ก็เป็นอย่างเก่านั่นแหละ
    ก็เสียไปอย่างนั้นถ้าเราคิดถูก แม้จะทำอะไรอยู่ที่ไหนก็ช่างเถอะ
    เป็นครูเป็นอาจารย์ เป็นข้าราชการทำหน้าที่การงานที่ไหนก็ตาม
    ถ้าเรารู้เรื่องของเรื่องอันนี้ จะได้รับการอบรมทุกวินาที
    เราได้ปฏิบัติ บางคนเข้าใจว่า "โอ๊ย ! ฉันเป็นฆราวาสทำไม่ได้หรอก"
    นี่คือ มันหลงเตลิดเปิดเปิงไปทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์เลย
    อย่างอื่นทำไมทำได้ อย่างอื่นทำได้
    อะไรที่ไม่มี เราก็หาได้เพราะเราอยากได้เราก็ทำได้
    "ผมไม่มีเวลาเลย ผมมีแต่การงาน"
    "เอ้า ! ทำไมคุณมี เวลาหายใจล่ะ" นี่เป็นเรื่องอย่างนี้
    ทำไมคุณจึงมีเวลาหายใจ หาเวลามาจากไหน
    แน่ะ! เพราะ เรื่องการหายใจ เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของคุณ
    ถ้าคุณเห็นว่า เรื่องการปฏิบัติ เป็นเรื่องสำคัญ ในชีวิตของคุณแล้ว
    การปฏิบัติของคุณ ก็เสมอลมหายใจเท่านั้นแหละ
    ก็เพราะ การปฏิบัตินี้ มิใช่ว่า จะไปวิ่ง หรือไปเล่นกีฬา
    หรือจะต้องออกกำลังกาย หรือจะไปทำอะไรให้มันวุ่นวาย
    เราดูความรู้สึกของเรานี่ มันเกิดมาจากเหตุใด
    ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส
    อะไรมา ก็รวมกันมาที่ผู้รู้ คือ จิตที่มีความรู้ขึ้น มันเป็นอย่างไร
    ถ้ามันไม่ชอบใจมันก็ไม่เอา เป็นทุกข์
    ถ้ามันชอบใจ มันก็เอาเป็นสุขเสีย เรื่องเท่านี้แหละ
    ทีนี้เราลองคิดว่า ถ้าคุณอยู่ในโลกนี้ คุณจะไปเอาสุขที่ไหน
    ไม่ได้ ไม่ได้คุณจะไปอยู่ที่ไหน โลกนี้มันต้องเป็นอยู่อย่างนี้
    ท่านตรัสว่า โลกวิทู รู้แจ้งโลก
    พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้ พระพุทธเจ้าก็อยู่อย่างนี้
    ไม่ใช่ท่านจะไปอยู่ที่ไหน ท่านก็อยู่ในโลกนี้ มีครอบมีครัว
    ท่านจึงพิจารณาจนมันเบื่อ จนเห็นโทษมัน
    แล้วทำอย่างไร เราจะปฏิบัติได้
    ถ้าคุณจะปฏิบัติได้ คุณต้องพยายาม
    เมื่อคุณพยายามไปเรื่อยๆ
    คุณเข้าไปเห็นโทษในสิ่งนั้นแน่นอนแล้ว คุณก็วางมันได้เท่านั้นเอง

    อย่างคนดื่มเหล้านี้ "แหม ! ผมเลิกไม่ได้เหล้านี่"
    จะทำอย่างไรก็ไม่ได้ ยังไม่เห็นโทษของมันซี่
    ถ้าคุณไปเห็นโทษของมันอย่างชัดเจนแล้วไม่ต้องมีใครสอนหรอก
    ยังไม่เห็นโทษพอที่จะละมัน ไม่เห็นอานิสงส์ที่จะเกิดขึ้นมาได้
    การงานอันนั้น จึงไม่สำเร็จประโยชน์
    เอาเล็บเขี่ยเล่นอยู่เฉยๆ
    ถ้าเราเห็นโทษของมันอย่างชัดเจน
    เห็นอานิสงส์ ของการละมันอย่างชัดเจน
    เออ ! เช่นคุณไปสุ่มปลา สุ่มไปเถอะ
    รู้สึกว่ามีอะไรอยู่ในสุ่มของเรา มันดังคึกคักๆ เรานึกว่าปลา
    เอามือล้วงลงไป ไปเจอสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่มันอยู่ในน้ำ
    ตาไม่เห็น แต่มีความรู้สึกในใจของเรา
    นึกว่าเป็นปลาไหลบ้าง นึกว่าเป็นงูบ้านนะ จะทิ้งมันก็เสียดายมัน
    หากว่ามันเป็นปลาไหลแล้วก็เสียดาย จะจับไว้
    ถ้าหากว่ามันเป็นงูมันก็จะกัดเอา นี่เข้าใจไหม
    สงสัยอยู่ไม่ชัดเจน ไอ้ความอยากนี่มันมาก อุตสาห์จับไว้
    เผื่อมันจะเป็นปลาไหลนะ พอโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำเห็นแสกคอมันลาย วางเลย
    ไม่มีใครมาบอกว่า "อันนั้นงู วางๆ" ไม่มีใครบอกหรอก มันบอกมันเอง
    ยิ่งชัดกว่าเราบอกเสียด้วย เพราะอะไร
    เพราะเห็นโทษว่างูมันกัดเป็นใครจะไปบอกมัน
    จิตนี้ ถ้าเราฝึกมันแล้ว รู้เช่นนั้นแล้ว มันไม่เอาหรอก

    นี่เราไม่ค่อยฝึกกันนะ ฝึกในทางอื่น ไม่ค่อยฝึกเรื่องนี้
    มันก็เลยไม่แก่กัน ไม่ตายกัน
    พูดแต่เรื่องไม่แก่ไม่ตายกันเรื่อยๆ
    อันนี้มันเก็บความรู้สึกไว้ในธรรมกันไม่ได้ ไม่ได้ปฏิบัติเลย
    ถึงไปฟังธรรมะก็ไปฟังกัน แต่ไม่ได้ฟัง
    คือ ไปถึงที่นั้น ฟังอยู่ข้างนอกนี่
    บางทีในสังคมใหญ่ๆ นิมนต์อาตมาเทศน์
    ไม่อยากเทศน์หรอก รำคาญในใจ
    ทำไมไม่อยากจะเทศน์ เพราะไม่เกิดประโยชน์
    เพราะเมื่อมองๆดูคนในที่นั้น ไม่ใช่คนที่จะเตรียมตัวมาฟังธรรม
    ดื่มเหล้ามาบ้าง สูบบุหรี่บ้าง คุยกันบ้าง อะไรต่ออะไรบ้าง
    มันไม่เป็นลักษณะของคนที่มีศรัทธา ที่จะมาฟังธรรม
    ก็คิดว่าไปเทศน์ที่นั้น ก็เรียกว่า ประโยชน์มันน้อย หรือไม่มีประโยชน์เลย
    คนที่ยังมั่วสุมอยู่ในความประมาท
    เขาก็คิดว่า "แหม ! เทศน์นานเกินไป ทำนั่นก็ไม่ให้ทำ"
    มันคิดอยู่อย่างนี้เขาไม่ได้ฟังธรรมหรอก
    บางทีเขานิมนต์พระเทศน์เป็นพิธีเสียด้วย
    "นิมนต์ พระคุณท่านสักนิด"... เขาไม่ให้เทศน์มากหรอกรบกวนเขา
    "นิมนต์พระคุณท่าน สักนิดหนึ่ง" เราฟังแค่นี้เราก็เข้าใจแล้ว
    พวกนี้ไม่ชอบฟังธรรม เขารำคาญ พระเทศน์นิดเดียวก็ไม่เข้าใจกัน
    อย่างเอาของนิดๆหน่อยๆให้เรา มันพอไหม มันยังไม่พอ

    บางทีพระอุตสาห์เทศน์ไปหนักๆสักหน่อย
    ก็มีคนเมาๆอยู่ข้างๆนิมนต์ว่า
    "เฮ้ย ! ให้ทางท่าน ให้ทางท่านบ้าง ท่านจะออกมาแล้ว" ไล่พระอยู่นั้น
    ถ้าอาตมาเห็นชนิดนี้ ไปพบชนิดนี้ ก็มี ปัญญามาก ซึ้งในธรรมะ
    ซึ้งในจิตใจของคนเรา อันนี้เรียกว่า มันไปอุดอยู่ตรงนี้
    คล้ายๆ กับว่า น้ำในขวดเรา มันมีเต็มอยู่ เขาจะมาขอน้ำจากเรา
    ทั้งๆที่น้ำในขวดเรามันเต็มอยู่ เราจะเอา น้ำของเรา รินลงไป
    มันก็ไม่มีที่เก็บ มันล้นออกมา
    ถ้าเห็นอาการมันเป็นอย่างนั้น ปัญญาก็เห็นไป อย่างนั้น
    ก็ไม่มีเวลา ไม่มีโอกาส และไม่สมควร
    เพราะน้ำในขวดนั้นยังเต็มอยู่ ที่เก็บน้ำมีอยู่แล้ว เต็มอยู่แล้ว
    เราจะรินลงไปอีก นี่ มันก็ล้นไปหมด
    ประโยชน์มันไม่มีแล้ว นี่ ประโยชน์ไม่มี
    ถ้าหากว่าในขวดเขามันว่างๆอยู่ มาขอน้ำกะเรา
    เราจับขวดน้ำเทลงไป คนที่เก็บน้ำก็สบาย คนให้ก็สบายใจ มันมีที่เก็บน้ำ
    อย่างคนที่ฟังธรรมะก็ฟัง นั่งฟังเข้าใจธรรมะจริงๆ
    เราก็มีกำลังใจ มีสมาธิ มีความมั่นใจเทศน์ให้ฟัง
    ก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าไม่มีคนตั้งใจฟัง ก็เหมือนเทน้ำใส่ขวด
    ที่มันบรรจุน้ำอยู่แล้วเต็มๆ นั่นแหละไม่รู้จะทำไปทำไป ไม่รู้จะเทไปทำไมนะ
    พลังของจิต พลังธรรมะนี้ก็ไม่วิ่งขึ้นมาสู่ความรู้อันนี้
    เพราะว่าผู้ให้ก็ไม่ตั้งใจให้ เพราะคนรับ ไม่ตั้งใจรับ มันเป็นเสียเช่นนี้

    โดยมากทุกวันนี้ มันก็ชอบเป็นเสียอย่างนั้นกัน
    แล้วมันไม่เป็นอยู่เท่านี้ มันทวีขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่มันจะหยุดอยู่แค่นี้
    อันนี้มันเป็นอยู่ในความรู้สึกของมนุษย์ทุกวันนี้ คือ ไม่ค้นไปหา ความจริงกัน
    อย่างการร่ำการเรียน การหาวิชาความรู้
    เขาก็หา แต่เพียงไปเป็นอาชีพของเขา เท่านั้นแหละ
    เพื่อจะเลี้ยงชีวิตไป เลี้ยงครอบครัวไป เลี้ยงอัตตภาพไปเท่านั้นแหละ
    เรียนเพื่ออาชีพนะ แต่เพื่อสัมมาอาชีพ ให้มันเป็นธรรมะน่ะ
    ที่ให้เข้าอกเข้าใจในธรรมะมันน้อย มันมีอยู่แต่มันน้อย
    ดังนั้นพวกนักเรียนทุกวันนี้มันจึงมีความรู้ หลักการวิชาการ ดีกว่าสมัยโบราณ
    ที่เราเคยทำกันมา ตลอดถึงเครื่องมือเครื่องใช้ อะไรต่างๆ มันครบบริบูรณ์
    แล้วจะทำอะไรสะดวกกว่า มีความรู้มากกว่าแต่ก่อน
    แต่คนสมัยนี้วุ่นวายกว่าแต่ก่อน เป็นทุกข์กว่าแต่ก่อน มันเป็นเช่นนั้น
    นี่ไม่ใช่เพราะอื่นใด เพราะเขาพยายามว่า เขาเรียนมาเพื่ออาชีพเท่านั้น
    นักบวชทุกวันนี้ ที่เป็นเด็กรุ่นๆ เคยได้ถาม บวชมาแล้วทำไมไม่ปฏิบัติ
    "ผมบวชมา เพื่อเรียนหนังสือ ผมไม่ได้บวชมาเพื่อปฏิบัติธรรม" นี่มันไปรูปนี้
    ไม่ได้บวชมาเพื่ออันนั้น บวชมา เพื่อเรียนหนังสือ
    ถ้าพูดด้วยภาษาคนเราทุกวันนี้ ก็เรียกว่า "ไม่มีทาง"
    อย่างเราถามเขาว่า "เป็นอย่างไรล่ะ" "ไม่มีทาง"
    คำว่า "ไม่มีทาง" นี่ คือ นักบวชนักพรตนักเรียนมาพูดอย่างนี้
    "ผมไม่ได้บวชมาปฏิบัติพระธรรมวินัย ผมบวชมาเพื่อเรียนหนังสือ"
    คำนี้แหละเรียกว่า "ไม่มีทาง" ใช่ไหม? คือไม่มีทาง มันจบแล้วไม่ต่อไปอีก
    ที่จริงแล้ว เมื่อเราพูดถึงที่เรียนมาแล้ว เอาความจำ มาสอนกัน
    บางทีจิตเป็นอย่างหนึ่ง สอนไปอีกอย่างหนึ่ง สอนไปตามความจำ
    ไม่ได้สอน เพื่อความจริง
    นี่โลก ฉะนั้นโลกก็ต้องเป็นอยู่อย่างนี้
    ถ้าหากอยู่ร่วมกับเขา จะมาปฏิบัติอย่างนี้
    ไปอยู่เฉยๆ ให้ศีลมีธรรมสงบระงับ
    เขาเห็นว่า คนนั้นเป็นคนแปลก เขาทำโลกไม่ให้เจริญ
    ทำสังคมไม่ให้เจริญ เขายิ่งยุกันเข้าไป คนดีๆ ก็เลยเป็นคนไม่ค่อยดี
    ถูกเขารุมเอาเสีย นึกแล้วก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไป
    ลึกแล้วก็จะกลับออกมา...มาไม่ได้
    เลยมีคำพูดว่า "โอ๊ย ! ทุกวันนี้ผมไปไม่ได้ครับ...
    ผมเข้าลึกแล้ว ผมถอนไม่ได้" อันนี้มีปัญหาในโลก มันมักจะเป็นอย่างนั้น
    แต่ความเป็นจริงเราไม่รู้จักคุณค่าของธรรมะ
    คุณค่าของธรรมะนั้น ไม่ใช่ไปเห็นตามตัวหนังสือ ตามตำรา
    อันนั้นเป็นนั่น อันนั้นเป็นนั่น อันนั้นมันอยู่ข้างนอก
    มันไม่เห็นธรรมะ ซึ้งในจิตของตน
    เมื่อเราดูจิตของตน มันก็จะเห็นจิตของตน เห็นความจริงอยู่อย่างนั้น
    ถ้าเราเอาความจริง พูดขึ้นมา มันก็เป็นความจริง
    มันก็ตัดกระแสความไม่จริงทั้งหมดเลย
    ฉะนั้น ธรรมะในบางแห่ง ก็วุ่นวายขึ้นมา
    อย่างคนดื่มเหล้าไปเทศน์ให้คนดื่มเหล้าฟังว่า
    มันไม่ดีอย่างนั้น เป็นบาปอย่างนั้น
    โอ๊ย ! คนกินเหล้าจะมารุมเอาให้ได้

    ฉะนั้น จึงว่าสมัยนี้ สมัยไหนก็ช่างเถอะ
    คำสอนที่พระพุทธเจ้าของเรา ท่านสอนไว้นั้น มันเป็นความจริง
    ความจริงนี้จริงตลอดได้สองพันห้าร้อยยี่สิบกว่าพรรษามาแล้ว
    อันใดที่พระพุทธเจ้าของเราเทศน์แล้ว
    ทรงสั่งสอนเป็นความจริงแล้ว ถอดออกมาจากใจแล้ว
    อันนั้นท่านว่าอย่าไปเปลี่ยนแปลง อย่าไปเพิ่มเติม อย่าไปถอน
    ธรรมอันนี้แหละพระพุทธเจ้าตรัส
    "อย่าไปบัญญัติสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติ อ
    ย่าไปถอนสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว ให้สมาทาน ตามสิกขาบทอันนั้น"
    คือปิดไว้ ทำไมถึงปิด เพราะอันนี้เป็นคำพูดของผู้ที่ไม่มีกิเลส
    โลกจะเปลี่ยนไปสักเท่าไรก็ตาม อันนี้มันคงที่อยู่ ไม่เปลี่ยนไปตาม
    อันใดที่มันผิด คนว่าถูกมันก็ไม่ถูกด้วย
    อันใดมันดี คนว่าไม่ดี มันก็ไม่เปลี่ยน
    ถึงแม้เราตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายมันก็ไม่เปลี่ยน เพราะคำนี้คือความจริง

    ความจริงอันนี้ใครสร้างขึ้นมา ก็ความจริงมันสร้างขึ้นมา
    ไม่ใช่พระพุทธเจ้าสร้างหรือไม่ใช่ ท่านไปค้นพบว่าอันนี้เป็นอย่างนี้
    ท่านก็เอาออกมาสอน คำสอนอันนี้
    พระพุทธเจ้าจะเกิดมาก็ตาม ไม่เกิดมาก็ตาม
    ความจริงอันนี้มันเป็นอยู่อย่างนี้ ที่เรียกว่า พระพุทธเจ้านี้
    เป็นเจ้าของพระธรรม คือความจริงอันนี้ เท่านั้นเอง
    ความเป็นจริงท่านก็ไม่ได้สร้างมันขึ้นมา มันเป็นอยู่แล้ว
    แต่นานๆ แล้ว แต่ไม่มีใครพบไม่มีใครค้น พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ
    ท่านค้นพบเป็นอมตะนิยามแล้ว เอามาสอนคน เป็นธรรมะ
    มิใช่ว่าท่านมาแต่งขึ้น อันนี้มันเป็นของเก่า
    ถึงแม้พระพุทธเจ้าไม่เกิด ก็มีอยู่ ถึงเกิดมาก็มีอยู่
    แม้คนไม่ปฏิบัติก็มีอยู่ ถึงคนจะปฏิบัติอันนี้ก็มีอยู่ เพราะอันนี้เป็นความจริง
    เพราะฉะนั้นโลกอันนี้ตั้งมั่นขึ้นมา ตั้งมั่นอยู่นะ...
    แล้วก็ปฏิบัติตามความเป็นจริงกันไป แล้วก็ ถล่มทลาย ตายฉิบหายหมด
    ก็วนกลับเข้ามาหาความเป็นจริงอีก
    ความเป็นจริงคือ ธรรมะ ก็หล่อเลี้ยงคนไปอีก
    นานๆไป คนมากขึ้นไป ก็ประมาทอีก มันก็ทำไปตามโลก ตามความมืด ของคนไป
    เจริญไปๆแล้วก็เสื่อมอีก ตั้งไม่ได้ วุ่นวายอีกแล้ว
    ก็กลับมาตั้ง ความเป็นจริงอีก เพราะอันนี้ไม่หาย
    พระพุทธเจ้านิพพานแล้วก็ไม่หาย พระพุทธเจ้าทุกองค์ นิพพานแล้วก็ไม่หาย
    ท่านมาเกิดวันนี้ก็ไม่หาย ท่านดับขันธ์ไปแล้ว
    อันนี้คงตั้งอยู่ โลกเวียน มาบรรจบ
    อันนี้มันก็คล้ายๆ กับว่า มะม่วงต้นหนึ่ง มันก็เป็นดอก
    มันก็เป็นผล เป็นผลเล็ก แล้วเป็นผลโตเรื่อยๆ ขึ้นมา
    จนกว่ามันห่าม มันห่ามแล้วก็สุก
    เหลือสุกมันก็เละ มันก็หล่นลงมาอีก
    เมล็ดมันก็กลับมาสู่อีก เป็นต้นใหม่ขึ้นมาอีก เรื่อยๆไป
    ผลที่สุด มันห่าม แล้วมันก็สุก สุกแล้ว มันก็เละ
    เมล็ดมัน ก็ตกไปสู่ ดินอีก ต้นก็มาเกิดอีกเช่นนี้
    มันก็เป็นอยู่อย่างนี้ ในโลกนี้ ไม่ไปอื่นไกล มีแต่ของเก่านั้นแหละ

    อย่างที่เราทำทุกวันนี้ก็เหมือนกัน วันนี้เราก็ทำของเก่านั้นแหละ
    พรุ่งนี้ เราก็ไปทำ อย่างเก่า นี้ล่ะ ไม่ไปทำอย่างอื่นหรอก
    เออ ! ไปทำให้มันยุ่งยากขึ้นมาอีก คนคิดมากเกินไป
    ก็ของในโลกมันมีหลายๆอย่างนี่ ใครมีปัญญาค้นขึ้นมาได้ มันก็มีขึ้นมา
    แต่มันจบไม่ได้ จบไม่ได้ พุทธศาสตร์ก็ดี วิทยาศาสตร์ก็ดี
    ศาสตร์ทั้งหลายที่มีมาหลายๆศาสตร์ วิทยาศาสตร์ จิตศาสตร์ เกษตรศาสตร์
    ทุกอย่างนั่นแหละค้นไปมันก็มีมา
    แต่ว่ามันก็มาจบอยู่ที่ความจริงของมัน เพราะมันเป็นวัฏฏะ
    เหมือนกันกับ ล้อเกวียน เรามีเกวียนสักเล่มหนึ่ง
    แล้วก็มีโคลากมันไป ล้อเกวียนมันไม่ยาว แต่รอยมันยาว
    ถ้าโคตัวนั้นนะ มันลากเกวียนไปไม่หยุด
    อันรอยเกวียนนั้น มันก็ทับรอยโค ไปไม่หยุด
    มันกลม แต่ว่ามันยาว จะว่ามันยาวก็ได้
    แต่ว่ามันกลม เราเห็น ความกลม มันเช่นนี้
    ก็ไม่เห็นความยาว ในวงเกวียนอันนั้น
    แต่เมื่อโคลากไป แหม! กี่วันกี่เดือน มันยาว
    เมื่อโคมันลากไปไม่หยุด ล้อเกวียนก็หมุนไปไม่หยุด
    อีกวันหนึ่งโคมันเหนื่อย มันสลัดแอก ออกไปเสียแล้ว
    โคไปโค เกวียนไปเกวียน ล้อเกวียนก็หยุดเอง
    นี่ มันก็ทิ้งอยู่นั้นแหละ นานๆ ไป มันก็เป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม
    ถมทับเป็นดินหญ้าไปอย่างเดิม คนกระทำกรรมนี้ก็เหมือนกัน
    มันไม่จบเรื่องของมัน เราจะค้นอยู่ในโลกเหมือนกัน
    ตลอดถึงทุกวันนี้ คนพูดความจริงอย่างนี้ มันก็ไม่จบเหมือนกัน
    คนมิจฉาทิฏฐิก็มีไม่จบเหมือนกัน มันมีกำลังเท่ากัน

    เหมือนมีดเล่มหนึ่ง เรามาลับให้มันคมๆเสีย
    จะเอาไปทำให้มันเป็นประโยชน์ มันก็มีประโยชน์
    เป็นกำลังในทางที่เป็นประโยชน์
    เราจะเอาไปทำให้ไร้สาระไร้ประโยชน์ มันก็มีกำลังเท่าๆ กัน
    เพราะมีดมันมีความคมเสมอกัน
    นี่ก็เหมือนกันแต่ว่าต่อไปมีดเล่มนั้น เมื่อมันเกิดเป็นมีดมาได้
    สักวันหนึ่งมันจะหยุดเป็นมีด คนทำกรรมนี้ก็เหมือนกัน
    ทำไปๆ มันหยุดตรงไหน เราหยุดการกระทำมาแล้ว
    รอยเกวียนมันก็ไม่หยุด มันก็หมุนไปเรื่อย
    การกระทำกรรมชั่วของเราก็เหมือนกัน
    ถ้าเราไม่หยุดมันก็ไม่หยุด ถ้าเราหยุดมันก็หยุดแค่นี้ นี่คือการปฏิบัติธรรม

    คัดลอกจาก : http://www.geocities.com/Tokyo/Ginza/9697/ajarn_cha4.html
    http://www.dharma-gateway.com/monk/prea ... cha_07.htm
     
  19. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    หากจะกล่าวถึง ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาๆ "เมตตาเจโตวิมุติ"

    เพียงสัมผัสภาพแห่งรอยยิ้ม อันเป็นบุคลาธิษฐาน

    คงจะไม่มีใครรู้จัก "พระอริยสงฆ์ผู้เป็นดั่งเพชรน้ำหนึ่ง" อีกท่านหนึ่ง

    หากใครเคยศึกษาประวัติของท่าน จะได้ว่าเหตุการณ์ในขณะนั้น

    ทำให้ท่านเกิด สติสัมปชัญญะ ยับยั้งชั่วฟ้าแลบ ให้ได้เห็นพิษภัย ในโทษของโทสะ ท่านจึงได้เพียรละ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2012
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    "ครอบครัวtoplus99"มารอหัวหน้าครอบครัวแล้วนะ แถมพวกเราถือศีลห้าเป็นปรกติทุกวัน รวบรวม"พลังจิต"ให้ท่านอาจารย์กลับมาได้โดยปลอดภัยค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...