เมื่อพระอภิญญาท่านว่า...

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย toplus99, 20 พฤศจิกายน 2011.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ประโยชน์ของการสวดมนต์

    ประโยชน์ ของการสวดมนต์ เชื่อ หรือไม่ ว่าหากเราสวดมนต์(ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม) เพื่อให้ใครสักคนหายป่วย แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก แต่พลังแห่งบทสวดนั้นจะเดินทางไปเยียวยาความเจ็บป่วยของเขาได้ ? เพราะการสวดมนต์บำบัดทำให้เกิดทั้งคลื่นเสียงที่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในสมอง และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายไปในชั้นบรรยากาศไกลๆ ได้ การ สวดมนต์บำบัด คือหลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือ Vibrational Medicine คือการใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความ เจ็บป่วย ซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่างๆ ก็เป็นVibrational Therapy เช่นกัน แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ต่างจาก สวดมนต์บำบัดซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต ดังนั้นมาดูพลังแห่งการสวดมนต์บำบัดกัน ว่าคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร ???

    คลื่นแห่งการเยียวยา

    การสวดมนต์ใช้หลักการทำให้เกิดคลื่น เสียงที่มีความสม่ำเสมอ เพื่อเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการเยียวยา ซึ่งหากคลื่นเสียงที่มากระทบดังแบบไร้ระเบียบ คือประกอบด้วยเสียงที่มีความถี่ต่างๆกัน ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการบำบัดกลไกดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อหูของเราได้ยินเสียง บทสวด ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังศูนย์การได้ยินที่อยู่บริเวณ สมองกลีบขมับ ก่อนส่งไปบริเวณก้านสมอง ซึ่งเมื่อได้รับคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาที ก็จะหลั่งสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์มากมาย

    เสียงสวดมนต์ด้วยสมาธิเป็นยา :ให้ผลกับร่างกายเอนกอนันต์

    รอง ศาสตราจารย์ ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายเพิ่มเติมดังนี้

    “สมองของเราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาทีขึ้นไป จะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆชนิด

    “บริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน (serotonin) เพิ่มขึ้น

    ซึ่ง มีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ ช่วยการเรียนรู้ ลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น เมลาโทนิน ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ เพราะจะช่วยยึดอายุการทำงานของเซลล์ประสาท เซลล์ร่างกาย ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ เพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น รวมถึง โดปามีน มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าวและอาการพาร์กินสัน'

    “นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนินมีความสัมพันธ์ ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อ ประสาทอื่นๆ เช่น อะเซทิลโคลีน ช่วยในกระบวนการเรียนรู้และความจำ ช่วยขยายเส้นเลือด ทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณ อาร์กินิน วาโซเปรสซิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว ความสมดุลของน้ำ และซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิด หนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นของการ ทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลง ส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง และไม่เครียด ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น

    ดังนั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาทได้หรือไม่ อาจารย์สมพรเสริมว่า

    “หลักการสำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้า หลายๆประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่น สมองพร้อม ๆ กัน ทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน ไม่มีผลในการเยียวยา สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง เช่น บางคนปากสวดมนต์ แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ก็ไม่ได้ประโยชน์ และการเกิดเสียงดังอื่นๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์ เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไวและอ่อน ไหวมาก เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูก การเคลื่อนไหว และใจ เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสนและเปลี่ยนไป ร่างกายก็จะสร้างซีโรโทนินได้ไม่มากพอ”

    และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้จากการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆได้รับการกระตุ้น คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์

    สวดมนต์กระตุ้นอวัยวะ

    อาจารย์เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อธิบายหลักการนี้ว่า
    “เวลาเราสวดมนต์นานๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากันตาม ฐานที่เกิดของเสียงหรือตาม วิธีเปล่งเสียง แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก บางเสียงออกมาจากไรฟัน บางเสียงออกมาจากคอ ดังนั้น ถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์จึงเกิดพลังของการสั่น”
    และเมื่อเกิดพลังของการสั่น การสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วยได้อย่างไร อาจารย์เสถียรพงษ์อธิบายต่อว่า
    “เวลา เราสวดมนต์ เสียงสวดจะไปช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆ ซึ่งจะช่วยปราบเชื้อโรคบางชนิด เช่นการวิจัยของฝรั่ง พบว่า อักษร เอ บี ซี ดี จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำย่อย ส่วนบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย ทำให้ต่อมต่างๆในร่างกายถูกกระตุ้น เมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆเข้า ก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น”
    นอกจากนี้ยังมีบทความที่อธิบายเกี่ยวกับการฝึกเปล่งเสียงเพื่อรักษาโรคจากเสียงต่างๆ เช่น

    โอม กระตุ้นหน้าผาก ฮัม กระตุ้นคอ ยัม กระตุ้นหัวใจ
    ราม กระตุ้นลิ่นปี่ วัม กระตุ้นสะดือ ลัม กระตุ้นก้นกบ เป็นต้น

    แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทางใจที่มีคุณค่ากับผู้สวด

    รองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปว่ามี 2 ข้อคือ

    1.การ สวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว จึงเกิดสมาธิ

    2.ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม จิตใจก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด

    เมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆ ให้ทำงานเป็นปกติ เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ ความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศที่อาจารย์สมพร สรุปให้ฟังว่า การสวดมนต์ช่วยบำบัดอาการป่วยและโรคร้ายดังต่อไปนี้>

    1. หัวใจ 2. ความดันโลหิตสูง 3. เบาหวาน 4. มะเร็ง 5. อัลไซเมอร์ 6. ซึมเศร้า 7. ไมเกรน
    8. ออทิสติก 9. ย้ำคิดย้ำทำ 10. โรคอ้วน 11. นอนไม่หลับ 12.พาร์กินสัน




    สวดมนต์อย่างไรให้หายจากโรค

    สวดมนต์บำบัดมีวิธีการและจุดประสงค์ที่หลากหลาย สรุปออกมาได้ 3 แบบ

    1.การสวดมนต์ด้วยตัวเอง
    เป็น การเหนี่ยวนำตัวเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า Prayer Therapy ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์ นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง วิธีการที่อาจารย์สมพรแนะนำคือ

    -ควรสวดด้วยตัวเอง และไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน

    - หาสถานที่ที่สงบเงียบ

    -สวด บทสั้น ๆ 3-4 พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีขึ้นไป จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ จะได้ความผ่อนคลายและความศรัทธา

    -ขณะสวดมนต์ให้หลับตา สวดให้เกิดเสียงดังเพื่อให้ตัวเองได้ยิน

    2.การฟังผู้อื่นสวดมนต์
    เป็น การเหนี่ยวนำโดยคลื่นเสียงจากผู้อื่น เช่น การฟังเสียงพระสวดมนต์ เสียงผู้นำสวดในศาสนาต่างๆ หากผู้สวดมีสมาธิ เสียงสวดนั้นจะนุ่ม ทุ้ม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยา(healing)ผู้ฟัง แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิ ไม่มีความเมตตา เสียงสวดที่เกิดขึ้นอาจเป็นคลื่นขึ้นๆลงๆ นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วย อาจทำให้เสียสุขภาพได้

    3.การสวดมนต์ให้ผู้อื่น
    ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสังคม เมื่อใครสักคนเจ็บป่วย เรามักสวดมนต์อธิษฐานขอให้ความเจ็บป่วยของเขาหายไป บางครั้งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก เสียงสวดมนต์เหล่านี้จะมีผลทำให้สุขภาพเขาดีขึ้นจริงหรือไม่ อาจารย์สมพรอธิบายดังนี้
    คลื่นสวดมนต์ เป็นคลื่นบวก เพราะเกิดจากจิตใจที่ดีงาม ปรารถนาดีต่อผู้ป่วย และเมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกลๆ มันจะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้า ซึ่งมนุษย์มีเซลล์สมองที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าและสารเคมีได้ถึง สิบยกกำลังสิบ คลื่นนี้จึงเดินทางไปได้ไกลๆ
    บางทีพ่อกำลังป่วยหนักอยู่ที่นี่ แต่ลูกอยู่ต่างประเทศ ก็สามารถรับคลื่นนี้ได้และรู้ว่ามีใครกำลังไม่สบาย ที่เราเรียกว่า ลางสังหรณ์หรือสัมผัสที่หก
    “การับรู้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้รับผู้ส่งด้วย ถ้าคนไหนรับสัญญาณคลื่นแห่งบทสวดมนต์ได้จึงได้ผล เหมือนเราเปิดวิทยุ ถ้าคนฟังปิดหูก็จะไม่ได้ยิน ดังนั้นถ้าต่างฝ่ายต่างเปิดรับคลื่นบวกที่เราส่งไปผู้ป่วยก็จะได้รับ และทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องของความมหัศจรรย์ แต่เป็นหลักธรรมชาติทั่วไป


    เลือกสวดมนต์อย่างไรดี

    แล้วบทสวดที่เลือกควรใช้บทไหนดี อาจารย์สมพรแนะนำว่า

    “น่าแปลกที่บทสวดในศาสนาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีจังหวะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนจังหวะเพลง จะมีโทนเสียงแค่ไม้เอกไม้โทเท่านั้น สักสามสี่พยางค์ มาสวดซ้ำไปมาได้ทั้งนั้น
    พระ พุทธศาสนา มีบทสวดมากมายหลายบท ให้เลือกใช้ตามความชอบ ยกตัวอย่างเช่น อิติปิโส หรือนะโมตัสสะ นะโมพุทธายะ หรือสัพเพสัตตา ฯลฯ เลือกท่อนใดท่อนหนึ่งแล้วสวดวนไปวนมา หรือโพชฌงค์ 7 ที่หลายคนนิยมสวดให้ตัวเองหรือคนไข้หายป่วย
    “ข้อ ที่น่าสังเกตคือ บทสวดโพชฌงค์ 7 จะมีความแตกต่างจากบทสวดอื่นๆคือ คลื่นเสียงของบทสวดจะมีแค่เสียงสระ มีแค่สองจังหวะ คลื่นเสียงจากบทสวดจึงทำให้เกิดคลื่นที่เยียวยาได้ดีที่สุด”

    อยากให้ตัวเองและผู้อื่นมีสุขภาพกายใจเป็นสุขและยังน้อมนำกุศลจิต เริ่มจากการสวดมนต์เป็นประจำด้วยสมาธิ
    จาก นิตรสารชีวจิต ฉบับแรกของเดือนมกราคม 2551

    ================================
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ(ท่านอาจารย์ยังหลับอยู่แน่ๆ เลยแอบมาเติม)rabbit_sleepy
     
  2. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ขอบคุณ แม่ต้อย Supatorn มากๆครับ
    ประโยชน์ของการสวดมนต์

    อยากให้ ญาติธรรมทุกท่านเข้ามาอ่านและช่วยเผยแพร่เรื่องนี้กันเยอะๆหน่อยจะได้มีกำลังใจการสวดมนต์

    พอดีอยากนำเสนอเรื่องนี้อยู่พอดี แต่ค้นหายังไม่เจอ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2012
  3. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624
    HBD ครับ จะติดตามอ่านผลงานไปเรื่อยๆครับ
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    นโมฯ ด้วยกุศลกรรมอันดีงามที่ข้าพเจ้าเคยกระทำบำเพ็ญไว้ด้วยดีแล้ว นับแต่ต้นชาติภพ
    หากมีอกุศลกรรมอันใด ที่อาจเคยประมาทพลาดพลั้งดวงจิตท่านใดไว้ ไม่ว่าจะชาติภพใดใดด้วยกาย วาจา ใจ ระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี บัดนี้ข้าพเจ้าได้รับการอบรมสั่งสอนรับพระสัทธรรมแท้ จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
    ขอน้อมจิตสมาการลาโทษทุกข์อันอาจก่อเกิดทุกกรณี มายังท่าน ณ บัดนี้
    และหากมีอกุศลกรรมอันใดที่ท่าน อาจเคยมีกับข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าก็ขออกุศลกรรมทั้งปวงแปรเป็นโมฆะกรรม ถวายเป้นอภัยทาน เป้นพุทธบูชาด้วยเช่นกันนะคะ
    และขออำนาจแห่งความดีงามที่ข้าพเจ้าได้กระทำบำเพ้ญได้ด้วยดีแล้วทุกประการรวมกับอำนาจกุศลกรรมที่ท่าน กระทำได้ดีแล้วทั้งปวงเช่นกัน
    จงส่งผลเป้็นพลวัตร ปัจจัย มายังวิถีการดำรงชีวิตในสภาพการครองกายส้งขารขันธ์ภพภูมินี้ของท่านให้ได้รับการเสวยสุข ปลดเปลื้องจากสภาพทุกข์ เหตุเภพภัย อุปสรรค ตลอดจนหมู่มารที่กำลังประสบ เผชิญอยู่สู่ความสุข สงบร่มเย็น ทั้งกายใจ ตลอดธาตุขันธ์ ทุกทิพาราตรีกาล โดยขอให้วาระจากนี้ไปเป็นวาระแห่งก่อเกื้อกูลหนุนส่งสภาวะธรรม ซึ่งกันและตลอดไป ตราบสู่กระแสพระนิพานอันอมตธรรม นะคะ สาธุค่ะ

    **********************************************
     
  5. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ขออนุญาตขยายอีกหน่อยนะครัย
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ขอให้ทุกๆท่านลองดูนะคะ เมื่อคืนลองเองแล้วแปลกใจ คือ หายใจเข้าลึกๆแล้วท่อง"พุทโธ" ๆๆๆๆๆๆเสียงดังๆ ไม่ใช่ตะโกนนะ พอหมดลมที่หายใจเวลาพุทโธแล้วก็เริ่มหายใจเข้าลึกๆอีกทีจะรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนในอกถึงกลางท้องเลย สาธุธรรมค่ะ
     
  7. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +1,316
    นำเสนอทางครอบครัวนี้หรือเปล่าครับ หรือว่าเปิดบ้านเลขที่ใหม่ครับ จะติดตามด้วยคน แต่ผมว่าเปิดที่ครอบครัวนี้ดีกว่าอบอุ่นดี ไม่มีพวกมาก่อกวนเนอะ
     
  8. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    wel lcome_mokey
    บ้านหลังนี้เจ้าบ้านออกตัวแล้วว่า..ออกจะบ้าเพี้ยนๆหน่อย

    แต่ก็ไม่เคยคิดมีจิตทำร้ายใคร ..ก็ทำด้วยใจบริสุทธิ์

    เลยไม่ค่อยมีใคร เค๊าอยากมาถือสาหาความอะไรมากนัก..

    สำนวนว่า.. "อย่าถือคนบ้า..อย่าว่าคนเมา" คงใช้ได้ผลดี

    พวกเราก็อย่าแตกกลุ่มกันเชียวหนา...เค๊ากลัววว!

    ยินดีต้อนรับเพื่อนใหม่ในครอบครัวเสมอจ้า..
    มีอะไรดีๆก็ค่อยแนะนำพูดคุยกันไป...กระหนุง กระหนิง ตามประสาบ้านของเราไป

    ขอไม่เด่นดัง...อยู่แบบสมถะเรื่อยๆของเราดีกว่าเนอะ;aa13
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2012
  9. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +1,316
    ผมขออนุญาติ Copy เพื่อส่งต่อให้น้อง ๆ เพื่อนฝูงได้อ่านกันเผื่อเขาสนใจหันมาสวดมนต์กันมากขึ้น ไม่หวังมากครับ ส่ง 10 คน หันมาสวดสัก 1 คนก็ภูมิใจแล้วครับ
     
  10. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    การทำสมาธิอาจจะทำให้สมองเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร
    ( โดย เจนนิเฟอร์ วอร์นเนอร์ )
    รายงานจากศูนย์ข่าวทางการแพทย์ เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2004



    ที่เมือง นิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ข่าวล่าสุดรายงานมาว่าการทำสมาธินั้นไม่เพียงแต่จะสร้างความสงบให้แก่จิตใจเท่านั้น ผลการวิจัยชิ้นใหม่ที่ศึกษาเกี่ยวกับการฝึกทำสมาธิในแบบของพุทธศาสนิกชนนั้นอาจจะทำให้สมองเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างถาวรอีกด้วย นักวิจัยได้ค้นพบว่า พระสงฆ์หลายรูปผู้ซึ่งฝึกสมาธิมาเป็นเวลาหลายปีนั้น สมองส่วนที่ควบคุมเกี่ยวกับการเรียนรู้ และส่วนรับความรู้สึก มีกระบวนการทำงานที่ดีกว่าหลายๆคนที่ไม่เคยทำสมาธิมาก่อน ผลการวิจัยยังบอกอีกว่า การฝึกการทำสมาธิ เช่น การฝึกทำสมาธิในแบบของพุทธศาสนิกชนนั้นสามารถเปลี่ยนการทำงานของสมองได้ทั้งในการฝึกระยะยาวหรือระยะสั้น

    ผลการวิจัยต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ได้ถูกเผยแพร่ทางอินเตอร์เนต ซึ่งเป็นผลงานของสถาบันวิทยาศาสตร์การศึกษาแห่งชาติ นักวิจัยหลายๆคนได้ศึกษาและเปรียบเทียบกระบวนการทำงานของสมองระหว่างพระสงฆ์จำนวน 8 รูปผู้ฝึกสมาธิมาเป็นเวลานานกว่า 10,000 ถึง 50,000 ชั่วโมงและมีอายุอยู่ในช่วง 49 ปี และ นักเรียนที่มีสุขภาพที่ดีจำนวน 10 คน มีอายุอยู่ในช่วง 21 ปี ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำสมาธิมาก่อน และเพิ่งได้รับการฝึกสมาธิมาเพียง 1 สัปดาห์ ก่อนที่จะมีการศึกษา ทั้งสองกลุ่มจะต้องฝึกการทำสมาธิและเรียนรู้เรื่องความเมตตาไปพร้อมๆกัน การฝึกนี้ไม่ต้องการผลสัมฤษธิ์เรื่องความรู้ที่ได้รับมากมาย เพียงแต่ต้องการให้ทุกคนได้เรียนรู้ถึงการก่อกำเนิดความรักความเมตตาเท่านั้นเอง

    นักวิจัยหลายๆคนซึ่งได้ทำการตรวจกระบวนการทำงานของสมองทั้ง ก่อน ระหว่าง และ หลังการฝึกดังกล่าวโดยใช้การตรวจด้วยภาพคลื่นกระแสไฟฟ้าของสมอง และแล้วเหล่านักวิจัยก็ได้พบความแตกต่างที่น่าทึ่งของผลการตรวจระหว่างกลุ่มพระสงฆ์ และ กลุ่มของนักเรียนในเรื่องของกระบวนการทำงานของสมองที่เรียนว่า " gamma wave activity "

    ซึ่งภาพคลื่นดังกล่าวแสดงผลรวมไปถึงการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมด้านความรู้สึก และ จิตใจ ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องการงาน และ การเรียนรู้การเข้าใจ จากการสำรวจพบการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มของพระสงฆ์ และสามารถเห็นความแตกต่างซึ่งมีแนวโน้มไปในทางที่ดีอย่างน่าทึ่งระหว่างการฝึก ซึ่งนักวิจัยได้เปิดเผยความจริงว่าระดับคลื่นสมองที่สำรวจพบในกลุ่มของพระสงฆ์ดังกล่าวนั้นเป็นคลื่นระดับที่สูงที่สุดตั้งแต่เคยมีการสำรวจคลื่นสมองมา ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มดังกล่าวต่อมาก็ยังมีการพัฒนาอยู่เรื่อยๆเช่นพัฒนาด้านความรู้สึกที่เป็นสุข

    ท้ายสุดนักวิจัยกล่าวว่าความจริงแล้วกระบวนการทำงานของสมองของพระสงฆ์นั้นมีการพัฒนามาก่อนการฝึกครั้งนี้แล้ว ซึ่งก็สรุปได้ว่าการฝึกสมาธิที่ฝึกมาเป็นเวลานานสามารถเปลี่ยนกระบวนการทำงานของสมองได้ ถึงแม้ว่าอายุจะแตกต่างกัน แต่ สิ่งที่เป็นตัวแปรสำคัญคือ ระยะเวลาที่ใช้ในการฝึก และปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ต้องทำการศึกษาโดยผ่านภาพคลื่นกระแสไฟฟ้าของสมอง กันต่อไปก็คือ กระบวนการทำงานของสมองที่ได้เปลี่ยนแปลงไปนั้นเป็นเพราะการฝึกสมาธิมาเป็นเวลานาน หรือ เป็นความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละคนก่อนที่จะได้รับการฝึก

    --------------------------------------------------------------------------------

    http://www.budpage.com/bn191.shtml
    แปล โดย ปิยนุช (อาสาเยาวชนชาวพุทธ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2012
  11. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    คุณประโยชน์ของการปฏิบัตินั่งสมาธิ

    1. ทางร่างกาย
    1.1 อัตราการหายใจลดลง คาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง เป็นผลดีต่อปอด
    1.2 อัตราเต้นของหัวใจน้อยลงเป็นผลดีต่อหัวใจ
    1.3 ปริมาณ กรดแลคเตท ในเลือด ซึ่งเกี่ยวกับความคิด ความวิตกกังวล จะลดลงเป็นลำดับทำให้คิดรอบคอบมากขึ้นก่อนที่จะทำอะไรลงไป
    1.4 เลือดจะมีความเป็นกรดสูงขึ้นเล็กน้อย แสดงถึงสุขภาพที่ดี
    1.5 คลื่นสมองของผู้นั่งสมาธิ จะมีความราบเรียบ และทิ้งช่วงห่างมากกว่าผู้ที่นอนหลับปกติ
    1.6 ความต้านทานของผิวหนังสูงขึ้นทันทีที่เริ่มมีสมาธิ
    1.7 อายุยืน

    2. ทางจิตใจ
    2.1 ทำให้ลดทิฐิ ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตนเอง
    2.2 ทำให้จิตใจได้ผ่อนคลายความตึงเครียด ผ่องใส เกิดความสงบเยือกเย็น
    2.3 ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการศึกษาเล่าเรียนและในการทำงานต่าง ๆ
    2.4 ทำให้เป็นผู้มีความเมตตากรุณา และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
    2.5 เป็นผู้ที่มีสติ ไม่หลงลืม มีความรู้สึกตัวอยู่เสมอว่า กำลังทำอะไรอยู่
    2.6 เป็นผู้มีศีล คือทำดี ไม่ทำชั่ว
    2.7 ทำให้เป็นผู้ที่มีจิตใจมั่นคง
    2.8 ทำให้เป็นผู้มีปัญญา คือ รอบรู้ในสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่เป็นประโยชน์และโทษภัยต่าง ๆ
    2.9 เป็นกุศล นำไปสู่สุคติ ไม่ตกไปสู่อบาย

    -จบ -

    http://www.dhammajak.net/smati/13.html]การทำสมาธิ อาจจะทำให้สมองเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2012
  12. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ธรรมประยุกต์ (ปฏิเวธ) การฝึกอภิญญาตามแนวทางลมปราณอานาปานสติ

    การบำบัดด้วยลมปราณ (ออร่าบำบัด) ดนตรีและอัญมณีบำบัด


    ที่มาของศาสตร์ความรู้ด้าน “ออร่าบำบัด” (พลังชีวิต)

    ก่อนเข้าสู่เนื้อหาบทความ ต้องขอทำความเข้าใจเบื้องต้นก่อน คือ บทความนี้เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีพลังอยู่ เสมือนกับการแตกตัวของอตอมย่อมได้เป็นพลังงานตามหลักการของไอสไตน์ คือ E = MC2 และเชื่อว่าพลังงานในสิ่งมีชีวิตเป็นพลังงานที่มีเอกลักษณะเฉพาะ เช่น พลังงานที่เกิดจากการย่อยอาหาร, เผาผลาญอาหารในร่างกาย, พลังงานที่เป็นประจุไฟฟ้าเคมีที่สื่อสารในสมอง, พลังงานเหล่านี้เรียกว่า “พลังชีวิต” ซึ่งจะมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตที่ยังมีชีวิต เมื่อตายลงพลังงานเหล่านี้ไม่สูญหายไปไหน ตามหลักของพลังงานและสสารที่ไม่สูญหายไปไหน แต่จะก่อให้เกิดสิ่งอื่นๆ หรือกลับคืนสู่ธรรมชาตินั่นเอง ทำให้ในธรรมชาติมีพลังชีวิตเหล่านี้มากมาย และเป็นพลังงานที่เกื้อกูลสิ่งมีชีวิตที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น ดวงอาทิตย์ยามเช้า และดวงจันทร์เต็มดวง เชื่อว่ามีพลังงานที่มีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตอยู่ ดังนั้น จึงได้ศึกษาค้นคว้าพลังงานที่เกื้อกู,ชีวิตนี้ที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น อยู่ในอากาศ, ในหิน, ในน้ำ ฯลฯ และกลายเป็นศาสตร์ “หินบำบัด”

    อนึ่ง ความร้อนถ่ายเทสู่วัตถุต่างชนิดได้แตกต่างกันฉันใด หินบำบัดเหล่านี้ก็ซึมซับพลังชีวิตได้แตกต่างกันฉันนั้น ในขณะที่วัตถุบางชนิดนำความร้อน แต่บางชนิดไม่นำความร้อน, วัตถุบางชนิดนำแสง, บางชนิดไม่นำแสง, วัตถุบางชนิดรวมแสง, บางชนิดกระจายแสง, วัตถุบางชนิดนำไฟฟ้า, บางชนิดไม่นำไฟฟ้า ฯลฯ จึงเห็นได้ว่าวัตถุชนิดต่างๆ มีความสามารถในการดูดซับและนำพลังชนิดต่างๆ ที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้คือ

    ดูดซับพลังได้ต่างกัน

    ส่งผ่านพลังได้ต่างกัน

    เหนี่ยวนำพลังได้ต่างกัน

    ปกป้องและผลักพลังได้ต่างกัน

    ในการรักษาด้วยปราณ หรือรักษาโรคโดยรักษาที่พลังชีวิต เมื่อมีการถ่ายลมปราณที่ดีหรือบริสุทธิ์เพื่อขับถ่ายไล่ปราณเสียออกไปแล้ว บางครั้งเกิดปัญหาว่าปราณเสียอยู่ในบรรยากาศรอบๆ ส่งผลเสียต่อท่านอื่นให้ได้รับผลกระทบไปด้วย การใช้วัตถุบางชนิดดูดซับปราณเสียที่ถูกขับออกมาขณะรักษาด้วยลมปราณ จึงช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานี้ นอกจากนี้ ยังมีวัตถุบางชนิดช่วยในการเหนี่ยวนำและส่งผ่านพลังในการรักษาโรคที่แตกต่างกันอีกด้วย ดังนั้น หากมีความชำนาญ ก็สามารถเลือกใช้ได้อย่างถูกต้อง

    อนึ่ง ต้องเข้าใจว่าเป็นธรรมชาติของวัตถุที่ซึมซับพลังได้แตกต่างกัน แต่วัตถุนั้นจะไม่เจ็บป่วยเหมือนคน ดังนั้น การถ่ายปราณเสียลงในธาตุวัตถุเฉพาะอย่างจึงไม่เป็นการทำลายวัตถุนั้น แต่เป็นการช่วยคนและป้องกันปราณเสียรั่วไหลไปที่ไม่ควรรั่วไหล ทั้งนี้ เมื่อวัตถุดูดซับปราณเสียมากๆ จนล้นก็จะไหลออกตามธรรมชาติ ผู้ใช้วัตถุนั้นจำต้องนำวัตถุไปล้างน้ำลงดิน ให้ธาตุดินดูดซับปราณเสียนั้นเก็บไว้ หรือให้ดูดซับพลังธรรมชาติ ก็จะไม่เป็นอันตรายแก่คน (ธาตุดินมีคุณสมบัติพิเศษในการเก็บและดูดของเสียได้) โดยมีหลักการเคลื่อนผ่านของพลังงานผ่านวัตถุตัวนำต่างๆ ว่า วัตถุตัวนำต่างๆ มีความสามารถในการหักเหพลังงาน ฯลฯ โดยขึ้นอยู่กับรูปทรงของวัตถุที่เป็นตัวกลางของพลังงานนั้นๆ ยกตัวอย่างง่ายๆ ในทางวิทยาศาสตร์ เช่น เลนส์นูนรวมพลังงานแสง (ส่ง) , เลนส์เว้ากระจายพลังงานแสง (รับ) ฐานพีรามิด (ส่ง) กระจายพลัง, ยอดพีรามิด (รับ) รวมพลัง

    ทั้งนี้วัตถุที่เป็นตัวนำพลังงาน มีสองประเภท คือ ประเภทที่ไม่เป็นตัวนำพลังงานชีวิต (ปราณ) แต่เป็นตัวนำพลังงานอื่นๆ เช่น เหล็ก, ทองแดง, แก้ว และประเภทที่เป็นตัวนำพลังงานชีวิต เช่น เหล็กไหล, แก้วโป่งขาม, ไหลน้ำพี้, ข้าวตอกพระร่วง, เทอร์ควอยซ์, แก้วมณีโชติ ฯลฯ นอกจากจะขึ้นกับชนิดแล้วยังขึ้นอยู่กับรูปทรงของวัตถุชนิดนั้นๆ ด้วย

    จำแนกชนิดของหินหรืออัญมณีและคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับปราณมนุษย์

    ในศาสตร์ของหินบำบัดของชาวตะวันตกโบราณซึ่งมีความเป็นมายาวนาน ได้บันทึกประโยชน์และการใช้หินบำบัดที่แตกต่างกัน สามารถจำแนกเป็นประเภทได้ดังต่อไปนี้

    หนึ่ง ประเภทดูดซับพลังปราณมนุษย์
    กลุ่มดูดซับพลังงานทั่วไป (เป็นสูตรลับ)

    สอง ประเภทส่งผ่านพลังปราณมนุษย์
    กลุ่มส่งผ่านพลังงานทั่วไป (เป็นสูตรลับ)
    กลุ่ม ลาปิส, อความารีน ช่วยขับพิษ, ร้อนใน ขับความร้อน
    กลุ่ม เทอร์ควอยซ์ ช่วยขับโรคหวัด, หอบหืด
    กลุ่ม โรสควอทซ์ ช่วยขับโรคผิวหนังชั้นนอก
    กลุ่ม ซิทริน, อำพัน, บุษราคัม ช่วยบรรเทาท้องอืดอาหารไม่ย่อย
    กลุ่ม คาร์นีเลียน, โรสควอทซ์ ช่วยขับรอบเดือน, สตรีปวดรอบเดือน
    กลุ่ม โกเมน, ทับทิม ช่วยแก้ความดันต่ำ, หมดเรี่ยวแรง
    กลุ่ม ปรอท ส่งพลังร้อนเข้าร่างกาย, สัมพันธ์กับพิษ

    อย่าลืมว่านักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า สสารทุกสิ่งมีพลังงานอยู่ภายใน ไม่เว้นแม้นแต่ร่างกายมนุษย์ นอกจากนี้ พลังงานยังสามารถถ่ายเทถึงกันได้ เช่น ไอความร้อนจากร่างกายคนผู้หนึ่งก็สามารถถ่ายทอดให้คนอีกผู้หนึ่งได้ นอกจากนี้ วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์แล้วด้วยว่าในบรรยากาศมีพลังงานมากมาย พลังเหล่านี้อยู่ในรูปคลื่น แม้แต่ในร่างกายมนุษย์ก็มีพลังงานคลื่นเหล่านี้ด้วย และยังค้นพบอีกว่าการที่มนุษย์คิดและรู้สึกต่างกัน จะส่งคลื่นพลังที่แตกต่างกันออกมา สามารถจำแนกเป็นประเภทต่างๆ ได้ ดังนั้น การที่จะมีการถ่ายพลังภายในรักษาหรือขับไล่พลังเสียๆ ออกไป จึงไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีการอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด จัดเป็นแพทย์ทางเลือกที่ได้รับการพิสูจน์แล้วและมีหลักการทั้งทางฟิสิกส์และชีวิวิทยาในการยืนยันและรับรองถึงที่มาของวิชาการเหล่านี้

    อนึ่ง การรักษาโรคในแพทย์แผนปัจจุบัน จะมุ่งเน้นที่จะใช้ “สารเคมี” เช่น ยา ในการบำบัดรักษาโรค มากกว่าที่จะใช้ “พลังงาน” หรือแนวคิดด้านฟิสิกส์ แต่สารเคมีนั้น มีผลกระทบมากมายต่อระบบต่างๆ ในร่างกายมนุษย์ ดังนั้น การใช้ยารักษาโรคจึงต้องมีการกลั่นตัวยา, สกัดตัวยา มีการใช้สารอื่นๆ ประกอบช่วยในการรักษา และมีขีดจำกัดในการรักษามากมาย เพราะหากตัวยามากเกินไป ตกค้างในร่างกาย ก็กลายเป็นพิษได้ ในขณะที่การรักษาโดยใช้พลังงาน หรือปราณนั้น จะมีความละเอียดอ่อนมากกว่าเสมือนการสกัดซ้ำซ้อนจนสสารไม่มี จึงไม่มีการตกค้างแต่อย่างใด และพลังงานนั้นยังถ่ายเทเข้าออกได้ หากมีการขับลมปราณที่ถูกวิธี และนอกจากนี้ เชื้อโรคต่างๆ ต่างก็มีพลังงานในตัวเอง และตายได้หมดทั้งสิ้นหากได้รับพลังงานที่ไม่เหมาะสม เช่น กรณีเป็นไข้ พลังธาตุไฟในร่างสูงขึ้น เพื่อฆ่าเชื้อโรคแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย การใช้พลังปราณรักษาโรคจึงเป็นการฆ่าเชื้อโรคโดยพลังงาน ที่ไม่มีสารเคมีตกค้างในร่างกายโดยอาศัยหลักกลไกป้องกันโรคตามธรรมชาติของร่างกายนี่เอง ทั้งนี้ ผู้เขียนได้เคยพบผู้บำบัดด้วยลมปราณท่านหนึ่งเล่าถึงคนไข้โรคเอดส์ ที่กำลังใกล้ตายเข้ามารับการรักษา แล้วปฏิบัติสมาธิหมุน (ลมปราณธรรมจักร) ทั้งๆ ที่ใกล้ตายและไม่มียาต้ายไวรัส ทว่า คนไข้รายนี้กลับเข้าสมาธิหมุนจนน้ำหนองไหลกระเด็นออก และแผลเริ่มตกสะเก็ดภายในเจ็ดวันแผลหนองก็หายและลุกขึ้นเดินได้ตามปกติ นี่คือตัวอย่าง การใช้พลังงานภายใน (ปราณ) กำจัดเชื้อโรคที่การแพทย์แผนปัจจุบันยังรักษาให้หายขาดไม่ได้ ดังนั้น จึงถือว่าการรักษาโรคด้วยลมปราณและหินบำบัดนี้ เป็นการแพทย์ทางเลือกอีกแผนหนึ่ง


    วิธีการบำบัดรักษาด้วยลมปราณและอัญมณีบำบัด
    สำหรับผู้ที่ฝึกลมปราณมาได้ดีแล้ว และมีพลังวัตร (พลังชีวิตสะสมอยู่ภายใน) ที่บริสุทธิ์เพียงพอในการบำบัดรักษาโรคเท่านั้น จึงจะเป็นผู้ให้การบำบัดผู้อื่น เพราะหากตนเองมีสุขภาพไม่ดี มีปราณที่ไม่ดี การถ่ายปราณให้ผู้อื่นนั้น จะกลายเป็นโทษทั้งต่อตนเองและผู้อื่นอีกด้วย เมื่อฝึกฝนการบำบัดและพร้อมดีแล้ว จึงเข้าสู่วิถีของการเป็นนักบำบัดโรคด้วยออร่าบำบัด หรือปราณและอัญมณีบำบัดได้อย่างแท้จริง ด้วยวิธีดังนี้

    หนึ่ง ได้รับการตรวจวินิจฉัยอาการและรู้แน่ชัดแล้วถึงโรคนั้นๆ และวิธีการรักษาโรค อย่างถูกต้องชัดเจน อันอาจต้องอาศัยการแพทย์แผนปัจจุบัน หรือการถ่ายภาพออร่าเมื่อประเมินสุขภาพและทำนายโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และสามารถวินิจฉัยโรคได้

    สอง เข้าสมาธิกระตุ้นลมปราณภายในคุณก่อน ให้ลมปราณเพียงพอและเป็นปราณดี ก่อนที่จะทำการถ่ายเทลมปราณเพื่อบำบัดรักษาโรคให้แก่ผู้อื่น เดินลมปราณตามหลักของตน จนรู้สึกว่าลมปราณตื่นตัวมีปริมาณที่มากพอ พร้อมที่จะให้การรักษา

    สาม วางอัญมณี (วัตถุตัวนำปราณ) ที่เหมาะสมกับการใช้งานในตำแหน่งที่เกิดโรค ซึ่งจะคอยดูดซับปราณเสียออกมาไว้ในนั้น ไม่กระจายย้อนกลับไปเข้าร่าง หรือฟุ้งในบรรยากาศอีก โดยผู้รับการบำบัดนอนคว่ำหรือหงายตามสะดวกในการวางอัญมณี

    สี่ ถ่ายปราณไปยังฝ่ามือแล้ว “วนตามเข็มนาฬิกา” เมื่อต้องการส่งปราณดี (สีทอง) ขับไล่ปราณเสีย และ “วนทวนเข็มนาฬิกา” เมื่อต้องการดูดพลังปราณเสียออกมา ทั้งนี้ เวลาส่งหรือดูดพลังอาจใช้อัญมณีช่วยเหนี่ยวนำ โดยใช้หัวแม่มือหนีบไว้ในฝ่ามือ เลือกชนิดอัญมณีที่เหมาะสมกับการรักษาและการดูดหรือส่งถ่ายพลัง

    ห้า นำอัญมณีที่ใช้ดูดซับพลังไปขับปราณเสียออกให้ถูกที่ โดยล้างลงยังพื้นดิน และใช้พลังปราณขับถ่ายออกไปด้วย ส่วนอัญมณีที่ใช้ส่งพลังให้เก็บไว้ตามธรรมชาติที่เหมาะแก่การดูดซับพลังคืนกลับ เช่น บางชนิดตากแดดอ่อนๆ บางชนิดตากแสงจันทร์ บางชนิดอยู่ในร่มไม้ บางชนิดแช่ผ่านธารน้ำไหล ฯลฯ เสร็จแล้วเก็บเข้าที่

    อนึ่ง การหมุนวนถ่ายลมปราณหากไม่ชำนาญก็ไม่เกิดผล ผู้ที่จะเป็นนักบำบัดด้วยลมปราณควรฝึกฝนลมปราณที่หมุนวนให้ชำนาญ เช่น ลมปราณธรรมจักร และเก็บพลังวัตรที่บริสุทธิ์ไว้ด้วยการฝึกเข้าฌานนั่งสมาธิ แผ่เมตตา และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสไร้ความหม่นหมองอยู่เสมอจะทำให้มีความสามารถในการบำบัดรักษาโรคให้ผู้อื่นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถรักษาโรคผู้อื่นได้ แม้นแต่ผู้ที่มีความสามารถในการรักษาโรคให้ผู้อื่น ยังต้องประเมินตนเองอยู่ตลอดเวลาว่าอยู่ในฐานะที่จะให้การรักษาผู้อื่นได้หรือไม่ในขณะนั้นๆ ดังนั้น การดูแลสุขภาพ การเตรียมความพร้อมให้ตัวเอง การหมั่นฝึกฝนและการไม่รักษาผู้อื่นมากจนเกินไป จึงจะสามารถทำให้การรักษาแต่ละครั้งได้ผลมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การบำบัดด้วยลมปราณ เป็นการบำบัดแบบ “ฟื้นฟูบำบัด” จึงต้องใช้การรักษาที่ต่อเนื่อง การถ่ายเทลมปราณให้อย่างต่อเนื่องตลอดระยะที่ทำการรักษาจนกว่าจะหายขาดได้ในที่สุด ซึ่งปกติจะทำการบำบัดหลังการรักษาด้วยยาชนิดอื่นๆ แล้วมากกว่าที่จะใช้พลังชีวิต (ปราณ) รักษาให้โดยตรง เนื่องจากพลังชีวิตมีคุณสมบัติในการปกป้องคุ้มครองก่อนการเกิดโรค, รักษาสมดุลหมุนเวียนของระบบร่างกาย และการฟื้นฟูขับถ่ายของเสียออกไป ดังนั้น โดยหน้าที่โดยตรงแล้ว จึงไมได้มีหน้าที่ในการรักษาโดยตรง จัดเป็นเพียงการ “ฟื้นฟูบำบัด” เท่านั้น ซึ่งการแพทย์ปัจจุบันไม่เน้นการบำบัด

    ในทางการรักษาโรคโดยตรงนั้น สามารถใช้ยาสมุนไพรที่มีสารเคมีตกค้างน้อยกว่ายาแผนปัจจุบันก็ได้ ผสานกับการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรเพื่อให้ละเว้นและอโหสิกรรมไม่ผูกอาฆาตให้เกิดโรค หรือสามารถใช้การรักษาตามแผนปกติก็ได้

    การฝึกปราณธรรมจักรเพื่อการบำบัดโรค

    วิชชาธรรมจักรคนไทยรู้จักกันในนาม “สมาธิหมุน” เนื่องจากมีอาการตัวหมุนเมื่อเข้าสมาธิ แท้แล้วนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิชชาธรรมจักรเท่านั้นเอง วิชชาธรรมจักรสายพระอาจารย์รัตน์ นับเป็นสายแรกแห่งเมืองไทย ส่วนวิชชาฝ่าหลุนของอาจารย์หลี่หงจื๊อ นับเป็นวิชชาธรรมจักรสายแรกของโลกในยุคปัจจุบัน ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั้งสิ้น ทั้งในชาวต่างชาติและในชาวไทย วิชชาธรรมจักรเป็นทั้งสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ ทั้งนี้ หากเป็นสมถะจัดเป็นการเดินลมปราณชนิดหนึ่ง สามารถพัฒนาไปสู่การใช้ “ออร่าบำบัด” ได้ โดยมีหลักการฝึกต่างกันดังนี้

    ธรรมจักรสายฝ่าหลุน
    วิชชาธรรมจักรแบบฝ่าหลุนของอาจารย์หลี่หงจื๊อ จะหมุนธรรมจักรอย่างพอดี เหมาะสม และมีกระบวนท่าหมุนจักรที่ไม่เป็นอันตราย จึงสามารถฝึกได้อย่างปลอดภัย หากฝึกอย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้สุขภาพดีขึ้นทั้งกายและใจ แต่หากจะเปรียบพลังวัตรแล้ว สายธรรมจักรฝ่าหลุน จะเป็นสายที่ฝึกปราณในระดับที่ไม่มากเกินไป และจะค่อยเป็นค่อยไป เน้นความเรียบง่ายสม่ำเสมอ แต่พลังปราณจะไม่มากไม่รุนแรงมากพอ

    ธรรมจักรสายพระอาจารย์รัตน์
    วิชชาธรรมจักรสายพระอาจารย์รัตน์ จะรวบรัดเร็วกว่าสายธรรมจักรของฝ่าหลุน เนื่องจากหมุนค่อนข้างแรงและรวดเร็ว จนหลายท่านที่นั่งสมาธิต้องมีอาการตัวหมุน จึงได้ยินชื่อเรียกกันว่าสมาธิหมุน ซึ่งเกิดจากปราณที่ได้รับการกระตุ้นตื่นตัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน ถึงระดับที่รักษาอาการของโรคร้ายบางอย่างได้อย่างฉับพลันทันทีเช่นกัน จึงได้ยินกันว่าสมาธิหมุนรักษาอาการโรคเอดส์ (หมายถึงรักษาอาการ แต่อาจยังไม่สามารถรักษาโรคได้หายขาด) นี่คือ อานุภาพที่รุนแรงขึ้น นอกจากนี้ พลังธรรมจักรสายนี้ยังเชื่อมโยงกับพลังจักรวาล คือ พลังงานต่างๆ ในธรรมชาติรอบตัวได้อีกด้วย

    ธรรมจักรสายอายตนะวิปัสสนา
    วิชชาธรรมจักรอีกสายหนึ่งในไทย คือ สายพ่อครูบัญชา ซึ่งได้เคยมีลูกน้องชวนไปนั่งสมาธิหมุนกับพระอาจารย์รัตน์แต่ได้ปฏิเสธ แล้วท้าทายพระพุทธเจ้า จนกระทั่งเกิดอาการตัวหมุนขณะเข้าสมาธิขึ้นเองอย่างฉับพลัน จนถึงขั้นลมปราณทะลวงขึ้นกลางกระหม่อม เจ็บเหมือนเข็มพันๆ เล่มทิ่มศีรษะ พ่อครูบัญชาไม่เลิกละความอยากรู้ในที่สุดของวิชชา จึงได้ตั้งจิตยอมตาย แล้วก็รอดตาย ปราณทะลวงออกศีรษะ รู้สึกเหมือนมีควันพวยพุ่งออกมา แล้วก็โล่งคลายหายสิ้น จากนั้นพ่อครูจึงได้ละทิ้งทางโลกมาสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมที่อุบลราชธานี ทว่าวิชชาธรรมจักรสายนี้นับว่าอันตราย จำต้องมีผู้ดูแล

    ธรรมจักรสายวัชระตันตระ
    เป็น วิชชาธรรมจักรสายอารยะมิตร วิชชาธรรมจักรนี้ ได้ศึกษาโดยตรงจากพ่อครูบัญชา และศึกษาเพิ่มเติมจากธรรมจักรทั้งสายฝ่าหลุนของอาจารย์หลี่หงจื้อซึ่งชำนาญด้านลมปราณ และพระอาจารย์รัตน์ที่ชำนาญด้านวัตถุสื่อพลัง เช่น พีรามิด และได้ผสานวิชชาจากอาจารย์อีกหลายท่านทางด้านออร่าด้วยเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ การบำบัดด้วยซ่อมเสียง ฯลฯ เพื่อผสมผสานเป็นแบบเฉพาะตัว มีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง เพราะผ่านการกลั่นกรองจากการเรียนรู้ประสบการณ์พลังธรรมจักรมาหลายที่แล้ว

    บทความต่อไปนี้ขอนำเสนอ การฝึกลมปราณธรรมจักรแบบเร่งลัดและปลอดภัยและได้ผลมากที่สุดแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของศูนย์ปฏิบัติธรรมอารยะมิตร ซึ่งจะมีหลักการฝึกคล้ายคลึงกับวิชชาธรรมจักรสายอื่นๆ ดังจะกล่าวต่อไปนี้


    วิชชาลมปราณธรรมจักรสายอารยะมิตร

    เป็นวิชชาธรรมจักรที่พัฒนาจากผู้เขียนได้ปฏิบัติเองโดยเฉพาะ โดยมีขั้นตอนดังนี้

    1. การระเบิดลมปราณ

    ให้นั่งสมาธิในท่าโยคะ เพราะจะสะดวกสบายสำหรับการไหลเวียนของลมปราณมากกว่าการนั่งท่าปกติที่ใช้ในการรวมปราณหรือรวมจิต โดยวางฝ่ามือทั้งสองหงายฝ่ามือขึ้นวางไว้บนเข่า แล้วเปิดบทสวดมนต์หรือดนตรีธรรมชาติบำบัดที่ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลายร่างกายจิตใจ เป็น “รูป” (เสียง) ในการนำจิตเข้าสู่รูปฌาน ก่อนเข้าสู่ภาวะไร้รูปต่อไป จากนั้น ให้รู้สึกเคลิ้มมีความสุขเพลิดเพลินไปกับบทเพลง ให้อารมณ์ปีติเป็นกำลังส่งจิตให้แรงกล้า แล้วหมุนร่างกายโดยให้ท้องน้อยเป็นจุดศูนย์กลาง (พลังวัตรที่สะสมอยู่ที่ตันเถียนจะถูกกระตุ้น) ให้หมุนเพื่อบดกระตุ้นบีบเอาพลังวัตรที่จุดนี้ให้ออกมาในรูปลมปราณ โยหมุนเวียนขวาเท่านั้น คือ ซีกซ้ายไปหน้า ซีกขวาไปหลัง วนเป็นเกลียว เสมือนกับว่าท้องน้อยที่บ่อพลังจุดกำเนิดพลัง แล้วส่งพลังนั้นพุ่งขึ้นไปเหนือหัว ร่างกายทั้งร่างราวกับเชือกที่ไร้กระดูก อ่อนพลิ้วไหวไปกับเสียงเพลงอย่างเพลิดเพลิน ให้ลืมทุกสิ่ง ทิ้งทุกอย่าง อะไรก็ไม่อยากได้ ไม่อยากเอาทั้งสิ้น ชั่วขณะที่ฝึก อย่าให้ความคิดอื่นหรือจิตที่ไม่ดีเข้ามาปน ต้องการเพียงความอิสระเบาสบายแห่งจิตเท่านั้น จนเริ่มรู้สึกถึงพลังที่มีปราณมากขึ้นโดยลำดับได้อย่างชัดเจนขึ้นทีละน้อย เหมือนกับเรานั่งอยู่กลางกระแสน้ำวน มีแรงบางอย่างพัดพาร่างเราให้วนไป โดยที่เราแทบไม่ได้ออกแรงกายเลย

    2. การเปิดทะลวงจักระทั้งเจ็ด

    ให้กำหนดจิตว่ามีพลังจากท้องน้อยพุ่งผ่านลำตัวขึ้นไปทะลุศีรษะทุกครั้งที่หมุนวน ก็มีพลังพุ่งออกไป ราวกับมีผู้บีบเอาน้ำออกจากผ้าที่เปียกทำให้น้ำไหลออกจากผ้า (ผ้าอุปมาคือร่างกาย ส่วนน้ำอุปมาคือลมปราณ) โดยมีทิศทางการไหลทะลวงขึ้นศีรษะโดยตลอด เมื่อรู้สึกถึงความโปร่งโล่งทั้งร่างกายท่อนบนได้จากการทะลวงลมปราณขึ้นด้านบนแล้ว ให้กลับทิศลงทางด้านล่าง คือ ใต้พื้นที่นั่งทับอยู่ ราวกับนั่งทับจักรที่หมุนอยู่ จากนั้นให้ย้อนขึ้น จากพื้นทะลวงเลยขึ้นไปเหนือศีรษะ การจะเปิดด่านเพื่อทะลวงลมปราณได้โดยไม่เจ็บปวดนั้น ผู้ฝึกจะต้องมีจิตใจผ่องใสเพลิดเพลิน ไม่ฝืน ไม่กลัว ไม่ระแวง ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เสียสมาธิ ไม่หวั่นไหว และปล่อยจิตเดิมแท้ที่ลึกอยู่ข้างใน ให้ได้รับการกระตุ้นออกมา ปล่อยให้มันแสดงอาการเต็มที่ ถึงจุดนี้ บางท่านจะถูกแรงหมุนพัดร่างให้ล้มลงกลิ้งกับพื้นไปมาหลายรอบ ไม่อาจหยุดได้ ทั้งบางรายยังมีอาการอาเจียนอีก นับว่าเป็นด่านที่ผ่านยาก และหลายท่านท้อถอยและเลิกฝึกจนพลาดโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย จำต้องรู้จักเคล็ดลับ ที่มีเฉพาะที่อายระมิตรเท่านั้น คือ การกำหนดจิตให้แรงที่ไหลวนในร่างนั้น ทะลวงออกจากร่างทางศีรษะ หากลมปราณไม่ถูกขับออก จะถูกกักในร่าง เมื่อออกจากสมาธิ จะมีอาการดิ้นออก อยากปลดปล่อย จู่ๆ เดินไปดีๆ ก็จะมีอาการหมุนวนอยู่ร่ำไป เหมือนควบคุมลมปราณในร่างไม่ได้ อาการเช่นนี้ ทั้งพระอาจารย์รัตน์ และพ่อครูบัญชาก็ล้วนผ่านมาแล้วทั้งสิ้น แม้นผู้เขียนยังถูกแรงปราณในร่างให้เข้าป่าไปฝึกวิชชากับเถาวัลย์และต้นไม้ในป่า ด่านนี้นับเป็นด่านที่ต้องอดทน

    3. การเปิดทะลวงชีพจรทั่วร่าง

    เมื่อลมปราณทะลวงจักระทั้งเจ็ดได้แล้ว อย่าเพิ่งเลิกการฝึกกลางคันโดยทันที ให้ถ่ายลมปราณที่มีแรงมากมายมหาศาลที่พัดพาร่างกายเรา ราวกับเราไม่ได้ออกแรงกายเลยนั้น ไปยังส่วนต่างๆ ที่เหลือของร่างกาย คือ แขนทั้งสองข้าง และขาทั้งสองข้าง ถึงจุดนี้ แขนและขาจะร่ายรำหรือแสดงบทบาทที่จิตเดิมแท้ต้องการสื่อสารกับใจ กับสมองของเรา มันจะแสดงออกมาเป็นการกระทำ ให้เห็นอดีตชาติ บ้างได้รื้อฟื้นอภิญญาเก่า บ้างได้กระบวนท่ามวยจีนโดยที่ไม่เคยจดจำที่ใดมาก่อน หากอดทนฝึกถึงที่สุดแล้ว จะได้ถึงขั้นฝ่ามือล่องลอย คือ ร่ายรำราวกับฝ่ามือล่องลอยได้อย่างอิสรเสรี เป็นกระบวนท่าที่ต่อเนื่องสัมพันธ์กันนับไม่ถ้วนและไม่จบสิ้น จนไม่อาจจดบันทึกหรือจดจำได้ทัน ในขั้นนี้ จะมีด่านที่ต้องผ่านไปขั้นสูงสุดของวิชชาไร้ลักษณ์เป็นด่านย่อยๆ อีกสองด่าน คือ

    § บดเนื้อเปลี่ยนเส้นเอ็น

    คือ การร่ายรำกระบวนท่าแล้วให้ลมปราณพัดเพเอาร่างกายไป จนกระทั่งเกิดความเจ็บปวดเมื่อยล้ากล้ามเนื้อและเส้นเอ็นอย่างมาก จนถึงจุดหนึ่ง ความเจ็บปวดเมื่อล้าพลันมลายหายไปสิ้น ราวกับร่างกายไม่เหลือเนื้อและเส้นเอ็นเลย หากเคยนั่งสมาธินิ่งๆ เมื่อด่านเส้นเอ็นคลายตัวจะรู้สึกเหมือนเส้นเชือกที่ตึงอยู่ๆ ก็ขาดผึง แต่ไม่เจ็บปวด กลับมีแต่ความเบาสบายผ่อนคลายยิ่งขึ้นไปอีก หากสำเร็จขั้นนี้ ร่างกายจะเบาสบายมาราวกับคนไม่มีร่างกายเนื้อ เบาหวิวทั้งตัว

    § บดกระดูกฟอกไข
    คือ การร่ายรำกระบวนท่าต่อจากขั้นบดเนื้อเปลี่ยนเส้นเอ็น โดยปล่อยให้ลมปราณที่ถูกกระตุ้นทีมีอยู่มากมายนั้น ให้พัดเพเอาร่างกายร่ายรำต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนรู้สึกราวกับกระดูกกำลังถูกบดหักกรอบแตก ทีละส่วนๆ ถึงจุดนี้ จะได้ยินเสียงเหมือนกระดูกกรอบแตก แต่ไม่ได้แตกจริง และกลับไม่มีความเจ็บปวดใดๆ มีแต่ความเบาสบายผ่อนคลายอย่างยิ่งยวดเข้ามาแทนที่ จนรู้สึกราวกับกระดูกทั้งร่างแตกกรอบสลายไปไม่เหลือกระดูกอีกเลย ร่างกายราวกับเป็นมวลพลัง เป็นน้ำที่ไหลวนไปมา จิตล่องลอยในกระแสน้ำอย่างร่าเริงมีความสุขความสบาย ทิ้งกายทั้งหมดไปสิ้น และสัมผัสจิตวิญญาณที่มีพลังได้อย่างเต็มเปี่ยม ระหว่างที่รู้สึกกระดูกแตกนั้น จะรู้สึกราวกับกระดูกมีมากมายเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วถูกบดให้เล็กลงไปอีก ในบางส่วนเช่น มือ แต่บางส่วนอาจมีความรู้สึกเพียงเล็กน้อย


    ทั้งนี้ ท่วงท่าต่างๆ ที่เคลื่อนไหวไปนั้น ไม่มีการจดจำหรือทำท่าตามแบบใดๆ ทั้งสิ้น จะต้องปล่อยให้จิตเดิมแท้ที่อยู่ข้างในถูกกระตุ้นเต็มที่ จนแสดงอาการออกมาเอง ยกเว้นกรณีอดีตชาติของผู้ฝึกผู้นั้นไม่มีวิชชานี้เลย และมีความสามารถหรือความพร้อม ก็จะถ่ายทอดกระบวนท่าให้ฝึกใหม่ แต่โดยปกติแล้ว จะใช้หลักการปล่อยให้จิตเดิมแท้แสดงอาการร่ายรำออกมาเอง โดยจิตจะสอดสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับบทเพลงสวดมนต์ต่างๆ และเคลื่อนไหวไปเองอย่างกลมกลืน เป็นลักษณะหนึ่งของดนตรีบำบัด ซึ่งส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวร่างกายเป็นแนววิถีโค้งเป็นวงกลมวนไปมา เมื่อเพียงพอ ดีแล้วก็จะเปลี่ยนท่าต่อไปเรื่อยๆ จนสามารถถ่ายเทลมปราณได้ครอบคลุมหมดทุกส่วนในร่างกาย

    4. ระบายปราณควบคุมพลัง
    ขั้นนี้ให้ระบายลมปราณที่ได้รับการกระตุ้นมากมายนั้นให้ออกไปให้หมด อย่าให้เหลือค้างไว้ เพราะจะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยเหมือนนักกีฬาที่มีกรดแลกติคเหลืออยู่ และยังทำให้ไม่เกิดอาการหมุนนอกเวลาทำสมาธิอีกด้วย ในบางท่านหลังฝึกสมาธิหมุน แล้วทำกิจวัตรประจำวันจู่ๆ ก็เกิดอาการหมุนขึ้นมาเฉยๆ ด้วยสาเหตุนี้นั่นเอง จึงต้องมีการระบายลมปราณให้หมด ลมปราณเสียจะออกไป ลมปราณบริสุทธิ์จากจักรวาลจะเข้ามาแทนที่ (หลังทะลวงทั้งเจ็ดจักระแล้ว) นับเป็นการจบการฝึกในทุกครั้งที่ใช้ปราณธรรมจักร หรือหากมีเศษลมปราณเหลือ จะต้องฝึกเก็บลมปราณเข้าที่ให้เป็น ให้ถูกวิธี ลมปราณธรรมจักรจึงจะไม่ตื่นออกมานอกเวลานั่งสมาธิ สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ


    เมื่อฝึกลมปราณธรรมจักรอย่างต่อเนื่องดีแล้ว สามารถเรียกลมปราณขึ้นมาใช้ และขับเคลื่อนร่างกาย เรียกว่า “กำลังภายใน” ผู้ใช้กำลังภายในจะรู้สึกได้ชัดเจนว่ามีการใช้พลังภายนอกหรือพลังจากร่างกายน้อยมากในขณะที่เคลื่อนไหว เช่น รู้สึกว่าร่างกายเคลื่อนไปโดยไม่ค่อยได้ออกแรง หรืออกแรงเพียงนิดเดียวแต่ได้ผลมากผิดปกติ เมื่อฝึกมากขึ้นก็สามารถเรียกใช้ลมปราณธรรมจักร เพื่อการบำบัดรักษาโรคให้ตนเองได้ ทั้งยังสามารถเรียกลมปราณออกมาใช้ในขณะต่อสู้, การทำงาน, การรักษาโรคให้ผู้อื่นด้วยการถ่ายลมปราณให้เป็นต้น อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ฝึกธรรมจักรใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้รับการรับรองในความสามารถด้านการบำบัดด้วยลมปราณ กรุณาอย่าเพิ่งรีบถ่ายลมปราณรักษาผู้อื่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2012
  13. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ต่อธรรมประยุกต์ (ปฏิเวธ) การฝึกอภิญญาตามแนวทางลมปราณอานาปานสติ

    ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพลังชีวิตและกำลังภายใน
    การเคลื่อนไหวของมนุษย์มีการใช้พลังงานโดยรวมสามแหล่งด้วยกัน
    คือ กำลังภายนอก (พลังจักรวาล), กำลังภายใน (พลังจิตวิญญาณ) และกำลังกาย (พลังทางชีวภาพ) เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายขึ้น ขออธิบายกำลังทั้งสองแหล่งก่อนที่จะอธิบายการประสานกำลังทั้งสามแหล่งร่วมกันในการเกิดการทำงานหนึ่งๆ ดังต่อไปนี้

    ๑.๑) กำลังภายนอก (พลังจักรวาล)
    หมายถึงพลังงานทุกชนิดที่อยู่ภายนอกร่างกายและจิตใจ เช่น พลังแสงอาทิตย์, พลังเส้นแรงแม่เหล็กโลก, พลังดึงดูดจากดวงจันทร์, พลังจากบุคคลอื่นที่กระทำต่อเรา, พลังไฟฟ้าภายนอก, พลังประจุเคมี ฯลฯ พลังจักรวาลเหล่านี้ หากเทียบเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้ในการทำงานหนึ่งๆ ของมนุษย์แล้ว จัดเป็น “กำลังภายนอก” ในหลักการใช้พลังขั้นสูงหลายชนิดได้นำพลังเหล่านี้มาช่วยมนุษย์ เช่น คานงัด, เครื่องจักรกล ฯลฯ ในหลักการฝึกจิตในสมัยโบราณ มีการใช้พลังภายนอก เช่น ไอคิโด ศิลปะการต่อสู้ที่ใช้แรงของคู่ต่อสู้จัดการคู่ต่อสู้, ยูโด ศิลปะการต่อสู้ที่ใช้หลักแรงโน้มถ่วง ศิลปะการต่อสู้เหล่านี้ใช้พลังภายในตนเองแต่น้อย ใช้พลังภายนอกร่างกายมากกว่า ในศาสตร์การฝึกจิตโบราณยิ่งกว่านั้น ได้ฝึกการดูดซับพลังภายนอกหรือพลังจักรวาลเหล่านี้ด้วย โดยใช้หลักการเลือกเฉพาะพลังจักรวาลที่มีผลดีต่อชีวิตมนุษย์ แล้วขับถ่ายพลังที่ไม่ดีภายในร่างกายออกไป เสมือนการหายใจเข้าออกเพื่อขับถ่ายอากาศนั่นเอง

    พลังจักรวาลที่อยู่นอกร่างกายมนุษย์นี้ มีทั้งที่เป็นพลังหล่อเลี้ยงจิต ที่เรียกว่าปราณหรือออร่า และประเภทที่มีดวงจิตร่วมอยู่ด้วย เช่น ผี, วิญญาณ, จิตวิญญาณต่างๆ ที่ล่องลอยอยู่ในจักรวาล วิธีการนำเอาพลังงานเหล่านี้มาใช้ประโยชน์นั้นมีมากมาย บ้างนำมาใช้ในการหล่อเลี้ยงหรือรักษาตนเอง บ้างนำมาใช้งาน เช่น สั่งให้ผีหรือเทวดาไปทำงานให้ตน เป็นต้น

    ๑.๒) กำลังภายใน (พลังจิตวิญญาณ)
    เป็นพลังชีวิตที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ซึ่งไม่ได้เกิดจากกระบวนการทางร่างกาย แต่เป็นผลลัพธ์จากกระบวนการทางจิตวิญญาณ ที่เรียกว่า “พลังชีวิต, ลมปราณ หรือออร่า” นั่นเอง พลังชีวิตหรือพลังจิตวิญญาณหรือลมปราณนี้ มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตที่ยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆ ตายลงจะสลายจากร่างกายเดิม แล้วเกิดการรวมตัวกันใหม่ของกลุ่มก้อนพลังงานจากพลังจักรวาลโดยรอบ กลายเป็นการมีอยู่ของจิตวิญญาณในอีกลักษณะหนึ่ง หรือเกิดในชาติภพใหม่นั่นเอง เช่น เกิดเป็นสัมภเวสี (ผี) เกิดเป็นเทวดา, เกิดเป็นเปรตในนรก เป็นต้น กำลังภายในนี้ จะมีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามหลักอนิจจัง ไม่ได้มีอยู่ในปริมาณและคุณภาพคงที่หรือแน่นอนไปตลอด บางครั้งก็ยังสมดุลหมุนเวียนดี บางครั้งก็เสียสมดุล เช่น ในเวลาเจ็บป่วยก็เสียสมดุลได้ กำลังภายในเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับร่างกายและจิตใจอย่างสูง โดยเฉพาะเรื่องของจิตวิญญาณ หากจิตใจบริสุทธิ์พลังชีวิตจะมีคุณภาพดี มีสีขาวบริสุทธิ์ ถึงแม้ร่างกายจะไม่เปลี่ยนแปลงไปก็ตาม เนื่องจากพลังภายในนี้จะเปลี่ยนแปลงตามภาวะจิตใจ มากกว่าความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เพียงอารมณ์เปลี่ยนแปลงพลังภายในเหล่านี้ก็มีสีสันเปลี่ยนแปลงไปทันที โดยสามารถถ่ายภาพออร่าเพื่อพิสูจน์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ พลังภายในนี้จะช่วยในการทำงานของจิต เพื่อให้จิตสามารถทำงานร่วมกับร่างกายได้ดี และยังทำหน้าที่ปกป้องร่างกายจากพลังจักรวาลด้านลบอื่นๆ ช่วยฟื้นฟูรักษาบำบัดหลังร่างกายมีอาการป่วย เป็นต้น นอกจากนี้พลังภายในเหล่านี้ ยังเป็นเครื่องควบคุมกระบวนการทำงานต่างๆ ของร่างกาย โดยมีจิตเป็นผู้สั่งการ

    ดังนั้น การฝึกจิตและลมปราณ จึงสามารถควบคุมกระบวนการต่างๆ ของร่างกายได้ เช่น การเผาผลาญอาหาร, การหลั่งฮอร์โมน, การแบ่งเซลใหม่ในร่างกาย ฯลฯ พลังภายในเหล่านี้มี ๗ แหล่งใหญ่ๆ ด้วยกัน เรียกกันว่าจักระ ซึ่งมีอยู่ตามตำแหน่งของร่างกายทั้งหมด ๗ จักระ ทำหน้าที่ควบคุมร่างกายส่วนต่างๆ แตกต่างกันไป เช่น จักระตาที่สาม ช่วยด้านปัญญา, จักระหัวใจควบคุมหัวใจ เป็นต้น

    ๑.๓) กำลังกายเนื้อ (พลังทางชีวภาพ)
    ได้แก่ พลังงานที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารของร่างกายตามปกติ ซึ่งได้จาก คาร์โบไฮเดรต, น้ำ, ออกซิเจน ทำปฏิกิริยาร่วมกัน จึงเกิดพลังงานขึ้นมา พลังงานจากกายเนื้อนี้แตกต่างจากพลังงานภายใน (พลังชีวิต) ตรงที่ กำลังจากกายเนื้อจะขึ้นอยู่กับร่างกาย แต่กำลังภายในจะขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณมากกว่า แต่ทั้งสองส่วนก็ประสานงานร่วมกันในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ โดยกำลังกายเนื้อนี้จะเกิดจากการหายใจแบบใช้ออกซิเจนและไม่ใช่ออกซิเจนของเซลในร่างกาย ส่วนกำลังภายในเกิดจากจิตสั่งการให้ช่วยหนุนกำลังให้กายเนื้อ เช่น กรณียกน้ำหนักมากๆ สังเกตว่าผู้ยกน้ำหนักจะกลั้นหายใจช่วงหนึ่ง ช่วงที่ไม่หายใจนี่เอง ปริมาณกรดแลกติคจะเพิ่มสูงขึ้น และกระตุ้นให้จิตเกิดความตึงเครียด และขับดันให้ใช้ “กำลังภายใน” มาหนุนร่วมด้วย ดังนั้น นักยกน้ำหนักส่วนใหญ่จะมีการยกน้ำหนักโดยกลั้นหายใจช่วงหนึ่ง ช่วงนั้นเอง จิตจะดึงกำลังภายในมาช่วยยกน้ำหนักด้วย ในขณะที่เมื่อหายใจแบบใช้ออกซิเจน การกระตุ้นกำลังภายในจะลดลง เพราะปริมาณกรดแลกติคมีน้อย ความตึงเครียดมีน้อย การกระตุ้นให้กำลังภายในออกมาจะน้อยกว่าช่วงที่หายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน แต่อย่างไรก็ตาม การหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจนก่อให้เกิดกรดแลกติค ซึ่งเป็นสารพิษตกค้างในเซลร่างกาย ไม่เป็นผลดีต่อร่างกายนัก ดังนั้น ในศาสตร์การฝึกจิตโบราณ จึงมีการฝึกใช้จิตควบคุมกำลังภายในโดยให้สามารถกระตุ้นใช้ได้พร้อมการหายใจแบบใช้ออกซิเจน ซึ่งจะมีผลดีต่อร่างกายมากกว่าการกระตุ้นกำลังภายในด้วยการกลั้นหายใจ การฝึกจิตแบบนี้เรียกว่า อานาปานสติ หรือ การฝึกเดินลมปราณ ซึ่งไม่ใช่แค่การดูลมหายใจเข้าและออกเท่านั้น แต่หมายรวมถึงการรวมจิตใจและร่างกายเป็นหนึ่ง ขณะหายใจเข้าและออกอีกด้วย

    ปัจจัยที่กระตุ้นกำลังภายในให้ตื่นขึ้น

    กำลังภายในที่ถูกเก็บอยู่ในจักระทั้ง ๗ ของร่างกาย เรียกว่า “พลังวัตร” เมื่อมีการเคลื่อนที่ไหลเวียนก็จะเรียกว่า “ลมปราณ” ปกติกำลังภายในเหล่านี้จะอยู่อย่างสมดุลและทำงานควบคุมร่างกายในปริมาณที่สมดุลพอดี ไม่มากเกินไป แต่ก็มีบางขณะที่ร่างกายต้องใช้พลังมากเป็นพิเศษ เช่น ไฟไหม้, ถูกปล้น ฯลฯ ปัจจัยเหล่านี้ เป็นสิ่งกระตุ้นพลังวัตรที่เก็บไว้ในจักระต่างๆ ให้ตื่นขึ้นมาทำงานได้ ปัจจัยดังกล่าวมีดังนี้

    ๑. ปริมาณกรดแลกติคที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น
    ๒. อารมณ์เพศและการกลั้นการหลั่งน้ำกาม ซึ่งเกิดได้โดยทั่วไป
    ๓. ความกลัวและการตกใจสุดขีด เช่น ในขณะที่ไฟไหม้บ้าน
    ๔. ความหนาวเย็นโดยรอบร่างกาย เช่น ในขณะนั่งสมาธิบนหิมะ
    ๕. คลื่นเสียงที่มีความถี่คงที่ในจังหวะที่ต่อเนื่อง เช่น เสียงระฆัง
    ๖. แสงสีวูบวาบบางชนิด เช่น แสงสีที่ใช้ในการเพ่งกสิณ เป็นต้น
    ๗. พลังจักรวาลภายนอกที่ไหลเวียนเข้ามาในร่างกายแบบฉับพลัน

    ปัจจัยดังกล่าวเหล่านี้ สามารถกระตุ้นพลังวัตรที่เก็บไว้ในจักระต่างๆ ให้ตื่นขึ้นได้แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าจิตในตอนนั้นใช้พลังงานใดอยู่ หรืออยู่ในภาวะใด เช่น ขณะกลั้นการหลั่งน้ำกาม พลังวัตรกุณฑาลิณีจากจักระที่หนึ่งจะตื่นตัวขึ้น, ขณะยกของหนักโดยกลั้นหายใจ พลังวัตรตานเถียนจากจักระที่สองจะตื่นตัวขึ้น, ขณะฟังเสียงระฆังพร้อมเดิมลมปราณธรรมจักร พลังวัตรที่ธรรมจักรในจักระนั้นๆ ก็จะเคลื่อนไหวตื่นขึ้น เมื่อกำลังภายในเหล่านี้ตื่นขึ้นแล้ว ก็ต้องมีการระบายออกและใช้ประโยชน์ หาไม่แล้วจะทำให้เกิดการคั่งค้างของพลังงานส่วนเกินในกล้ามเนื้อร่างกาย มีผลเสียต่อร่างกายได้ไม่ต่างกับนักกีฬาที่ออกกำลังกายโดยไม่ใช้ออกซิเจน ดังนั้น จำต้องมีความเข้าใจถึงกำลังภายในเหล่านี้ และสามารถวัดระดับกำลังภายในที่ไหลเวียนอยู่ว่าสมดุลหรือไม่ มีส่วนใดขาดหรือเกินไป หากขาดก็ต้องเพิ่มพูนให้สมดุล หากเกินก็ต้องระบายออกให้หมด เป็นต้น

    โดย physigmund_foid


    ธรรมประยุกต์ (ปฏิเวธ) การฝึกอภิญญาตามแนวทางลมปราณอานาปานสติ จากบล็อก โอเคเนชั่น oknation.net
     
  14. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154


    มาทักทายคนเมา มีกับแกล้มมาฝากเจ้าบ้านครับ
    ไม่รู้ว่าจะถูกรสหรือป่าว ลองชิมดูครับ แต่ต้องค่อยๆชิม ค่อยๆลิ้มแกะทุกเม็ด



    สติปัฏฐานสี่นี่ต้องฝึกหรือไม่

    คุณอ่านในพระสูตร “มหาสติปัฏฐาน” ดีๆ นะ มีไหมที่เขาบอกว่าให้ไปฝึกสติ มีแต่ว่าให้ทำให้มันแจ้งด้วยปัญญาเสีย ขนาดเปรียบเปรยว่า “คนทอผ้าเห็นด้ายหดไปเป็นอนิจจัง ก็บรรลุธรรมได้เลย” ถามหน่อยสิ แล้วคนทอผ้าไปเดินจงกลมเจริญสติยกหนอ, ย่างหนอ, เหยียบหนอ กินไก่ย่างหนอที่ไหน ไม่มี พระที่ได้ฟังสติปัฏฐานสูตรนั้นเล่า เพียรไปก็ไม่ถึงธรรม พอถูกเสือคาบไปกิน งาบมาถึงขาแล้ว เห็นอนิจจังก็บรรลุธรรมได้ทันที แล้วเขาบอกหรือว่าพระพวกนั้นไปฝึก, ไปเจริญ, ไปเดินจงกลมอะไรกันนั่นน่ะ ไม่มีนะ อ่านดูดีๆ หรือยัง การเจริญสติอะไรนี่ เรามาคิดสร้างสรรค์กันเองในภายหลังทั้งนั้น สมัยพุทธกาล ไม่ต้องฝึกเลย ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจได้สุตมยปัญญาแล้ว ก็ไปจินตนาการกันเองยังไม่ถูกหรอก ทำกันมั่วๆ ไป ได้จินตมยปัญญา พอโดนจริงเข้ากับตัว เช่น โดนเสืองาบไปกิน ก็มีสติตื่นขึ้นฉับพลันเห็นอนิจจัง เลยบรรลุธรรมได้ นี่เขาอุปมา เรื่องจริงไม่มี แต่สามารถเป็นจริงได้นะ ภาวนามยปัญญา ไม่ได้เกิดจากการฝึกจิตให้เป็นอะไร ไปฝึกก็ยิ่งไปปรุงแต่งจิต ให้จิตเป็นแบบนั้นแบบนี้ ยิ่งฝึกเก่ง นี่ไงฉันฝึกให้กลางได้แล้ว ไม่มีการกำหนด ไม่มีมโนกรรมด้วย ได้แต่ดู อะไรนี่ ก็กลายเป็นอัตตา เพราะความเก่งนั้นที่สร้างอัตตาให้ผู้ฝึกและผู้สอน ภาวนามยปัญญา เกิดจากจิตเห็นธรรมเกิดขึ้นเอง ดับลงเองตามจริง เหมือนเธอเห็นคนตายต่อหน้าต่อตาเธอจริงๆ ไม่ได้เกิดจากคนเอามาเล่า ถ่ายรูปมาลงหนังสือพิมพ์ให้ดู แต่เกิดขึ้นจริงต่อเธอเอง เป็นปัจจัตตัง แล้วเห็นตามจริงนั้น ไม่มีปรุงแต่งใดๆ เท่านั้น นี่คือ “ภาวนามยปัญญา” ไม่ต้องไปทำบริกรรมภาวนาอะไร ก็ได้ หรือจะทำแล้วลัดตัดตรงเห็นความไม่เที่ยงของการกระทำ, การฝึก, การเจริญ ทำให้สิ้นเสีย ทำพรหมจรรย์ให้มันจบ ให้มันดับลงไปเอง ไม่วนอยู่ ไม่แช่อยู่ ไม่ดองอยู่ นี่ถึงจะได้ภาวนามยปัญญาจริง ส่วนที่ไปเดินจงกลมอะไรกันนั่น เป็นงานของพราหมณ์เขา

    ที่หลวงปู่มั่นเห็นในนิมิตมีพระพุทธเจ้าและพระสาวกมาแสดงละ

    ตามความเห็นคิดว่าคือ ร่างแปลงของพญามาราธิราชซึ่งแปลงร่างได้เหมือนพระพุทธเจ้าและพระสาวก พระอุปคุตเคยเจอมาแล้วถึงขนาดยกมือไหว้เลย นี่คือด่านมารด่านสุดท้ายจะบรรลุธรรม เคยได้ยินไหม พระสังฆราชไปถามหลวงปู่มั่นว่า “พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว จะเห็นได้อีกได้อย่างไร” ท่านตอบไม่ชัด เห็นน่ะ เห็นจริง แต่ที่เห็นน่ะมันไม่จริง แต่ท่านก็บรรลุธรรมได้ด้วยการจบกิจ จบพรหมจรรย์ คือ โดนพญามาราธิราชมาหลอกเอา แล้วก็เลยหยุดปฏิบัติธรรม หยุดปฏิบัติจิตเสียเพราะคิดว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต” ท่านเลยคิดว่าอ้อ คงบรรลุอรหันต์แล้วละ เลยหยุด ซึ่งกลายเป็นการเอาชนะ “กิเลสมาร” ที่หลอกให้หลงไปตัดอยู่ได้ ซึ่งถ้าหลวงปู่มั่นผ่านด่านพญามาราธิราชนี้ได้ ก็จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าตรงนั้นเลย เพราะรู้ทันมารแล้ว แต่นี่ไม่ใช่กาลที่จะมีพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง ท่านจึงตรัสรู้พุทธะ หรือบรรลุยูไลนั่นเอง ยังไม่นิพพานหรอกนะ ไปจุติที่สุขาวดี แล้วจึงนิพพานบนนั้น ความสมถะนั้นท่านกลับอุปทานไปเองว่าเป็นนิกายธรรมยุติจะต้องมีความสมถะ แท้แล้วท่านสร้างบารมีมามาก มีบุญเก่ามากแต่ไม่ยอมเสวยให้หมด จึงไม่นิพพานต้องไปเสวยบุญต่อให้หมดที่สุขาวดีอีกภพชาติหนึ่งจึงหมดได้ อนึ่ง พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว ขันธ์ห้านิพพานหมด จะเห็นรูปท่านได้อย่างไร ในเมื่อ “รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร ก็นิพพานหมด” แล้วที่หลวงปู่มั่นเห็นนั้น มันเป็นอะไรเล่า ถ้าไม่ใช่ รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ ที่ยังไม่นิพพาน จึงปรากฏให้เห็นได้ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าหรอก เป็นสิ่งอื่นที่กล้าปลอมตัวมาเป็นพระพุทธเจ้าได้เหมือนมากๆ ซึ่งก็มีได้อยู่ท่านเดียว คือ “พญามาราธิราช” เท่านั้น ไม่มีใครในโลกมารทำได้ขนาดนี้อีก จริงอยู่ว่านิพพานแปลว่าสูญ แต่ไม่ใช่ว่านิพพานแล้วสูญหายไป ไม่มีอีก หรือมีแต่ความว่างก็หาไม่ นิพพานคือสัจธรรม, เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดและทุกข์แล้ว ไม่อาจอธิบายได้ด้วยสมมุติบัญญัติอื่นได้ เป็นเช่นนั้นเอง ดังนี้ กรรมฐานที่หลวงปู่มั่นเห็นทั้งการเดินจงกลม, ทำสมาธิ ก็โดนมารหลอกทั้งนั้น แท้แล้ว ไม่ต้องฝึกอะไรเลยก็บรรลุธรรมได้

    หลวงตามหาบัวที่หลวงปู่มั่นให้คำทำนายว่าจะบรรลุธรรมละ

    เป็นคำทำนายที่ถูกต้อง แต่ขาดรายละเอียดไป จึงทำให้เกิดปัญหาได้ คือ ท่านบรรลุได้แบบพระอานนท์ด้วยการทำกิจต่างๆ มากมาย จนเมื่อสิ้นแล้วซึ่งกิจใดๆ เหมือนดังที่พระอานนท์เป็น แล้วก็หากิจอันใดทำไม่ได้อีก เพราะสิ้นแล้ว ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว หมดแล้ว หมดสิ้นไปหมดแล้ว โธ่ ทุกข์เกิดขึ้นแล้วทุกข์ก็ดับไป ก็จะบรรลุธรรมได้ง่ายๆ ไม่ต้องฝึกอะไรเลย แต่ถ้ายังไม่ถึงตอนนั้น ก็ยังไม่บรรลุนะ จะต้องทำกิจให้จบก่อน กิจของท่านคือ ช่วยงานชาติบ้านเมือง รักษาความมั่นคงของประเทศ คนไหนยังมีกิจอยู่ ยังวางกิจไม่ลง ทำนั่นทำนี่อยู่จะบรรลุอรหันต์ได้อย่างไรในเมื่อกิจยังไม่จบพรหมจรรย์ยังไม่สิ้น ลองคิดดู

    แล้วถ้าไม่ฝึกแล้วมโนมยิทธินี่ จะได้มโนมยิทธิได้ไหม?

    มันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้น, ตั้งอยู่, ดับไป เองตามเหตุปัจจัยนั้น เราไม่ต้องไปสร้างเหตุปัจจัยให้มันมีก็ได้ ถ้ามันควรจะมี มันก็มีของมันเอง เช่น คนที่ตายแล้วฟื้น ถามว่าเขาฝึกมโนมยิทธิไหม ตอบว่าเขาไม่ได้ฝึกเลย แต่จิตวิญญาณของเขาหลุดออกจากร่างแล้วจุติลงไปในภพอื่น ได้เหมือนคนที่ฝึก จากนั้นก็กลับเข้าร่างจึงฟื้นคืนชีพ อนึ่ง เราเองก็ไม่ต้องถึงขนาดตายแล้วฟื้นหรอก แค่เราตกใจอย่างรุนแรง จิตวิญญาณบางดวงก็หลุดออกจากร่างได้แล้ว แต่ถ้าจิตวิญญาณไม่ได้ออกจากร่างทั้งหมด เหลือบางดวงอยู่ครองร่างไว้ ร่างนั้น จะมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ตายแล้วฟื้น แต่จะอยู่เหมือนคน “ขวัญหาย” คือ ดูไม่เต็มบาตร, เลื่อนลอย, สติหลุด ฯลฯ นี่คือเขาได้มโนมยิทธิระดับอ่อนๆ อยู่ แต่ตาทิพย์ไม่ได้เปิด จึงมองไม่เห็นว่าจิตวิญญาณของเขาได้หลุดออกจากร่างไปบางดวงแล้ว ดังนี้ ไม่ต้องฝึกก็ได้มโนมยิทธิได้ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ตามวิบากกรรมเถิด แล้วมันจะง่าย, สั้น, เร็ว ถ้าเราไม่กระทำกรรมใหม่ เรารับแต่วิบากกรรม วิบากกรรมนั่นแหละที่เป็น “เหตุปัจจัย” ปรุงแต่งให้เราได้หรือไม่ได้อะไร เกิดหรือดับไปของอะไร เราไม่กระทำ เราก็ไม่มีกรรมสืบชาติต่อภพ ยิ่งเราไปกระทำยิ่งมีกรรมสืบชาติต่อภพไม่ได้นิพพานเสียที ยิ่งไปฝึกจิต ยิ่งก่อชาติสืบภพใหม่

    พญามาราธิราช
    พญามาราธิราช ไม่ได้ทำบุญเพื่อให้มีกายทิพย์เหมือนพระพุทธเจ้าแบบมารพุทธะ จึงไม่มีกายทิพย์แบบนั้นแต่แรกแต่เพราะมีฤทธิ์มาก จึงสามารถจำแลงแปลงกายให้เหมือนกับพระพุทธเจ้าได้ยิ่งกว่ามารพุทธะเสียอีก กล่าวคือ ร่างแปลงของพญามาราธิราช ไม่มีรัศมีดำ จับไม่ได้ด้วยตาทิพย์ว่าเป็นมารแปลง แม้แต่พระอุปคุตผู้มีฤทธิ์มากมาย ก็ยังจับไม่ได้ เผลอยกมือขึ้นไหว้ร่างแปลงนั้น ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจว่าถ้าหลวงปู่มั่นเจอแล้วจะจับไม่ ได้ และเชื่อทันทีว่าคือพระพุทธเจ้า มารที่มักแปลงกายเป็นพระพุทธเจ้ามาหลอกคนมีตาทิพย์ก็คือพญามาราธิราชตนนี้นี่เอง (ในขณะที่มารพุทธะ ไม่ใช้ร่างแปลงหลอก แต่จะทำตัวเลียนแบบพระพุทธเจ้าแทรกเข้ามาหรือครอบงำจิตใจคนแทน) สิ่งที่ทำให้เราหลุดพ้นจากมารตนนี้ได้คือ “ปัญญา” ที่แจ้งถึงที่สุดว่า “พระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว” อะไรบ้างที่เราจะเห็นได้อีก อะไรบ้างที่ไม่น่าจะเหลือให้เห็น (ขันธ์ห้านิพพาน รูปก็ต้องไม่มีให้เห็นด้วยสิ) ดังคำถามของพระสังฆราชยุค ร. ๙ ที่ถามหลวงปู่มั่นว่า “พระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานแล้วยังจะเห็นได้อย่างไร” นั่นแหละ ปกติพญามาราธิราชจะไม่ทดสอบคนที่มีจิตมั่นตรงเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า (หน้าที่นี้เป็นของมารพุทธะ) แต่จะทำหน้าที่ “ขวาง” (ไม่ใช่ทดสอบ) การทำกิจต่างๆ ของผู้บรรลุพุทธะ โดยร่วมมือกับ “มารเทวทัต” ที่มักเกิดมาเป็นบิดาของพญามารอีกที โดยมารเทวทัตจะคอยยุยงให้เกิดความแตกแยก ส่วนพญามาราธิราชจะคอยขวางการทำกิจของผู้บรรลุพุทธะ(พระยูไล) สรุป มารพุทธะทดสอบสาวกที่กำลังจะตรงต่อพระพุทธเจ้า และผู้ใกล้สำเร็จพุทธะ, พญามาราธิราชจะขวางพระยูไล, ส่วนมารเทวทัตจะยุยงให้พระโพธิสัตว์สร้างลัทธินิกายใหม่ (สังฆเภท)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2012
  15. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    คนอื่นห้ามชิม หากใครชิมแล้ว ให้รีบคายทิ้ง

    เพราะว่า เอามาให้เฉพาะเจ้าบ้านชิม แต่ตอนนี้คงจะไม่อยู่บ้าน
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2012
  16. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    ท่านอาจารย์toplus99 เจ้าขา 2ธีมล่าสุดที่ลง ยังไม่ได้อนุโมทนานะเจ้าคะ

    เนื้อหาเยอะม๊ากมากกก.. อ่ะ

    ลูกเป็ดพุงกลมของพี่ต้อย.. ขอใช้เวลาเอาปัญญาน้อยนิดกระดุ๊กกระดิ๊กอ่านก่อนนะค๊า
     
  17. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    การเมา...มันก็มีหลายอย่างเน้อ..
    ไม่จำเป็นต้องมีกับแกลัมก็ได้ เช่น เมารถ,เมาเรือ ไปเหนือล่องใต้
    หรือเมาเห็ด เมาหมัด หรืออีกสารพัดเมา

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=JbWQnlUMcQg]มะปรางสารพัดเมา - YouTube[/ame]


    อ่านดูสาร์นของคุณโดนัท (ไม่รู้จะเรียกชื่ออะไรดี..เข้าใจตั้งจริงๆ)
    ก็เมาๆเซ่อๆไปเหมือนกัน อิ..อิ(tm-love)

    ทุกคนเกิดมาไม่มีใครเลย.. ที่จะไม่มีประโยชน์
     
  18. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ดีเลย ลองมาดูกันครับ


    พิจารณาได้เลยว่า ผู้เขียนบทความนี้ มั่วมาก
    ในสติปัฏฐาน เฉพาะแค่ในอิริยาบถบรรพ
    ความรู้ชัดในอิริยาบถ นั่นเป็นการฝึกสติทั้งนั้น

    และคงไม่เคยสดับเกี่ยวกับ "ชีวิตสมสีสี"
    พระอรหันต์ปากเสือ มีอยู่ด้วยกันประมาณ 30 รูป ในครั้งพุทธกาล
    สิ้นกิเลสไปพร้อมกับการสิ้นชีวิต กับการถูกเสือขย้ำ
    หรืออีกกรณี คือ ท่านพระโคธิกะ พระวักกลิ นี่คือ ชีวิตสมสีสี

    ตรงนี้ เอาเฉพาะในส่วนที่คนเขียนบทความนี้ ที่บอกว่า
    "เคยได้ยินไหม พระสังฆราชไปถามหลวงปู่มั่นว่า
    “พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว จะเห็นได้อีกได้อย่างไร” ท่านตอบไม่ชัด เห็นน่ะ เห็นจริง แต่ที่เห็นน่ะมันไม่จริง"


    นั่นคงจะหมายถึงพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน ในประวัติท่านไม่ปรากฏว่าได้มีการสอบถามกันเฉพาะหน้า
    หากใครเคยได้อ่าน "หลวงปู่มั่นพบพระพุทธเจ้าในพระนิพพาน โดย สมเด็จพระญาณสังวรฯ"

    ในเนื้อหา เกริ่นไว้แต่เพียงว่า "มีเรื่องเล่ากันนานปีมาแล้ว ว่าท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมาหาเถระ
    ท่านเคยเล่า...."

    ตรงนี้ ก็พอจับเนื้อหาได้แล้วว่า ไม่เป็นอย่างที่คนเขียนบทความ ที่กล่าวว่า
    "เคยได้ยินไหม พระสังฆราชไปถามหลวงปู่มั่นว่า “พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว จะเห็นได้อีกได้อย่างไร”

    และอ้างอิง อีกว่า "ท่านตอบไม่ชัด เห็นน่ะ เห็นจริง แต่ที่เห็นน่ะมันไม่จริง"

    ตรงนี้เป็นการยำรวม โดยการเอาโศลกธรรม ที่เป็นการรวมรวบคติธรรม
    ในหนังสือ ที่ชื่อว่า "หลวงปู่ฝากไว้"
    ท่านกล่าวไว้ว่า "ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง"
    ซึ่งเป็นคนละเรื่องกันเลย

    จึงว่าเป็นการยำรวม โขลกกรรม เสียมากกว่า

    ผู้เขียนบทความนี้ คงไม่เคยได้ยินได้พิจารณา กิริยาที่ไม่เป็นไปเพื่อภพภูมิ หรือเพื่อมรรคผลใดๆ
    เพราะเป็นแต่เพียงกิริยาภายนอก เพื่อประโยชน์สังคม

    ตรงนี้ ก็ต้องฝึก ฝึกเพื่อละ ไม่ได้ฝึกเพื่อยึด จะเห็นได้ว่าบทความนี้ ดูชอบกล

    ส่วนตัวอักษรสีเขียวนี่ เขากล่าวไว้ชัดเลย ว่า สมเด็จพระสังฆราชไปถามหลวงปู่มั่น จริงๆแล้วไม่ใช่อย่างที่เขาเขียน

    จะเห็นได้ว่าในงานเขียนต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในบล็อก ที่ใช้ชื่อว่า "physigmund_foid"
    พิจารณาดูแล้ว เป็นงานเขียน ที่เป็นการด้นเดา โดยจินตนาการ มากกว่า
    เท่านั้นยังไม่พอ ยังเป็นการเอา "มหายาน มายำรวมกับ เถรวาท"
    โดยที่ไม่ศึกษาข้อเท็จจริง

    ฉะนั้นแล้ว ท่านเจ้าบ้าน เอางานเขียนในบล็อกนั้น มาลงในกระทู้
    พิจารณาดีแล้วหรือยัง กับบทความงานเขียนชิ้นนี้ ว่าคนเขียนจะไม่มั่ว
    v
    ส่วนกับแกล้ม เอามาจากตรงนี้ครับ รวมบทความธรรมปฏิเวธ ชุด ไม่ปฏิบัติธรรมจะบรรลุธรรมได้จริงหรือ

    หากถามว่า ผมจะได้อะไร กับการที่เอากับแกล้มมาให้ท่าน ก็เพื่อว่าท่านจะได้ส่างไงครับ
    อีกทั้งไม่เป็นผลดีกับคนใกล้ชิดท่าน ที่จะได้รับพิษ เมากรรม ไปด้วย

    ลองพิจารณาดูครับ

    "ทุกคนเกิดมาไม่มีใครเลย.. ที่จะไม่ผิดพลาด แต่สามารถแก้ไขได้"

    หากผิดพลาดอย่างไรต้องขออภัย

    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2012
  19. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ต้องขอบคุณเช่นกันสำหรับความห่วงใยจาก...คุณห่วงยาง

    อ่านแรกๆ มึนตึบ...ว่าต้องการสื่อสารอะไร
    กำลังจะถามอยู่แล้วว่าคุณไปนำมาจากไหน/หรือวิเคราะห์คิดเอง?

    เพราะข้อความหลายตอน ที่นึกแย้งอยู่หลายประการ..เช่นกัน
    ที่แท้ไปตามงัด บทความของ "physigmund_foid" มานี้เอง

    เหรียญมีสองด้าน...บางทีถ้าเหรียญหล่นไปโดนขอบผนัง ตั้งตะแคง
    มันก็ไม่ออกทั้งหัวและก้อย

    ส่วนผมอ่านบทความเขาจากบล็อกเกอร์เฉพาะเรื่อง
    ธรรมประยุกต์ (ปฏิเวธ) การฝึกอภิญญาตามแนวทางลมปราณอานาปานสติเท่านั้น

    เห็นว่าน่าสนใจก็เลยลองนำเสนอกันดู เพราะพิจารณาดูแล้วว่าเป็นบทความเรื่องการฝึกพลังปราณของสำนักต่างๆ
    ที่ไม่ทำให้ศาสนาเราเสื่อมเสียหาย
    หากว่าคุณหรือใคร....ที่ตรวจสอบแล้วว่าเฉพาะเรื่องนี้ เขาเขียนผิดพลาดท่อนไหน....อย่างไร ?

    ก็ชี้แนะมาได้ครับเป็นวิทยาทาน

    ส่วนเรื่องเขียนหรือบทวิเคราะห์อื่นๆของเขา ยอมรับว่าไม่ได้ตามอ่าน
    หรือศึกษาเพิ่มเติม แต่ก็อ้างอิง แหล่งที่มาทุกครั้งที่นำบทความของผู้อื่นมาโพส
    เพื่อให้ผู้อ่านท่านอื่นๆ ได้มีโอกาสตามไปศึกษาวิเคราะห์เพิ่มเติม กันอีกที..
    เพราะกระผมก็อ่อนด๋อยมากเรื่องพระธรรมคำภีร์ คงไม่อาจชี้แนะอะไรได้มาก

    "กินทุเรียน เราก็เลือกกินเนื้อ เปลือกมันเราก็โยนทิ้ง"
    บางครั้งก็อาจเหมือนการแหล่งอ้างอิงที่มาจาก หนังสือพิมพ์บางฉบับ...ที่นำเอาบางบทความมานำเสนอ
    แต่ก็ใช่ว่าทุกบทความในหนังสือพิมพ์เล่มนั้นจะให้ข้อมูล ถูกหรือว่าผิดไปทั้งหมด...ก็หาใช่ไม่

    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆ และการนำเสนออย่างมีชั้นเชิง..ร้ายมาก
    ที่นำกับแกลัมมาฝาก

    ก็เป็นข้อคิดดีๆ สำหรับการพิจารณาแก่ท่านอื่นๆ
    ได้ทบทวนวิเคราะห์บทความจากบล็อเกอร์ สาธารณะกึ่งส่วนตัวทั้งหลาย
    ที่อาจนำเสนอข้อมูลที่ผิดเพี้ยนไปหลักธรรมเดิมตามทัศนะคติเฉพาะตนของเจ้าของบล็อกเอง

    ดังนั้นจึงต้องใคร่ครวญพิจารณาให้ถ่องแท้..ซะก่อน

    toplus99...และญาติธรรม จะได้ไม่มีใครเมากรรมอย่างที่คุณห่วงยาง..เขาห่วงใย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2012
  20. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    physigmund_foid เขียนเรื่องธรรมะพ่อแม่ครูอาจารย์แบบมั่วๆ ทำตัวเก่งกว่าครูบาอาจารย์ เรื่องอื่นๆที่เขียนก็อาจมั่วได้เช่นกัน ยิ่งเรื่องฝึกพลังยิ่งต้องระวังครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...