ปิดรับบริจาค ได้เจ้าภาพถวายพระอุปคุต 5" (ลป.ญาท่านสวน อุบลฯ) ครบ 40 องค์แล้ว (ชมภาพ น.21)

กลับมาเถิด ศีลธรรม กลับมาเถิด

กลับมาเถิด ศีลธรรม กลับมาเถิด
กำลังเกิด ภัยร้าย อันใหญ่หลวง
แก่สัตว์โลก ทั่วถิ่น จักรวาลปวง
น่าเป็นห่วง ความพินาศ ฉกาจเกิน

กลับมาเถิด ศีลธรรม กลับมาเถิด
ในโลกเกิด กลียุค อย่างฉุกเฉิน
หลงวัตถุ บ้าคลั่ง เกินบังเอิญ
มัวเพลิดเพลิน สิ่งกาลี มีกำลัง

กลับมาเถิด ศีลธรรม กลับมาเถิด
ความเลวร้าย ลามเตลิด จวนหมดหวัง
รีบกลับมา ทันเวลา พาพลัง
มายับยั้ง โลกไว้ ให้ทันกาลฯ

ร้อยกรองโดย : ท่านพุทธทาสภิกขุ​

 

เรียนคุณหนูที่นับถือ


มีเรื่องจะขอรบกวนคุณหนูช่วยประชาสัมพันธ์..หากมีผู้ประสงค์จะร่วมเดินทางไปทอดกฐินวัดนาอุดม..เนื่องจากตอนนี้รถยังว่างอยู่ครับ..(รถตู้)

กำหนดการคร่าวๆนะครับ....ออกเดินทางวันศุกร์ตอนกลางคืน ไปเช้ามืดที่อุบลฯ ...ทอดกฐิน.....ค้างคืนที่วัดหรืออาจจะบ้านคุณชัยวิทย์ในเมือง..สำหรับรายการนำไปกราบพระกำลังปรึกษากันอยู่กับคุณชัยวิทย์หรือแล้วแต่เสียงส่วนใหญ่

เช้าวันอาทิตย์..ซื้อของฝาก....เดินทางกลับถึงกรุงเทพฯวันอาทิตย์ตอนค่ำๆไม่ดึกครับ ( กิจกรรมอาจมีการเปลี่ยนแปลง..แล้วแต่สมาชิกจะตกลงกัน ชิวๆครับ )


วิทยา เพียรประสพ เบอร์ติดต่อ 081-401-9592

******************************************************

ขอแจ้งให้ทราบค่ะ

"พี่วิทยา เพียรประสพ" ได้ฝากแจ้งประชาสัมพันธ์มาทางเมลล์... จึงเรียนมาเพื่อทราบกันโดยทั่วถึงค่ะ

ท่านใดสนใจสามารถติดต่อได้ที่พี่วิทยาโดยตรงเลยนะคะ

 

พี่ธรรมประทีปได้แจ้งเพิ่มเติมไว้ในอีกกระทู้นึงค่ะ

ท่านใดสนใจจะร่วมเดินทางด้วยสามารถติดต่อกับ "พี่วิทยา เพียรประสพ" ได้โดยตรงตามเบอร์นี้เลยนะคะ 081-401-9592

 

พี่วิทยาได้แจ้งมาว่าตอนนี้รถตู้เต็มแล้วค่ะ... งานกฐินปีนี้ "พี่ธรรมประทีปและน้อง big_tool" จะเดินทางไปร่วมงานที่วัดด้วย... คงมีรูปภาพสวยๆในวันงานมาฝากกัน... ใครที่ไม่ได้ไปก็รอชมรูปภาพกันนะคะ ^^

 

ปีนี้หนูไม่มีโอกาสได้ไปร่วมงานกฐินเพื่อหลวงปู่ญาท่านสวนด้วย
คิดถึงวันเก่าๆที่ได้มีโอกาสไปร่วมงานกับศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายที่วัดนาอุดม

ถ่ายคู่กับศิษย์พี่รุ่นใหญ่

ซ้ายคนแรก... พี่ศักดิ์สิทธิ์ ทรัพย์คูณ
ซ้ายคนที่ 2... พี่วิวัฒน์ มิ่งไชย
คนกลาง... Noo Norway
ขวาคนที่ 2 ... พี่วิทยา เพียรประสพ
ขวาคนแรก... พี่ชัยวิทย์ มาลาคำ



ถ่ายรูปหมู่กับพระสรีระหลวงปู่ก่อนกลับ

 

วันนี้ 17.11.55 เป็นอันเสร็จโครงการงานบุญกฐินเพื่อหลวงปู่ญาท่านสวนเรียบร้อยแล้ว... พรุ่งนี้หนูจะเปิดโครงการงานบุญใหม่ซึ่งเป็นงานบุญพิเศษเฉพาะกิจเพื่อ "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์" ขอให้พี่ๆน้องเพื่อนๆญาติธรรมทั้งหลายรอติดตามข่าวและร่วมบุญกันนะคะ

 

เมื่อวานนี้หนูได้รับแจ้งจาก "พี่วิทยา เพียรประสพ" ว่ายอดกฐินอย่างไม่เป็นทางการได้ประมาณเกือบ 2,500,000 บาทค่ะ เดี๋ยวน้องๆที่ได้ไปร่วมงานจะนำภาพมาให้ชมกันนะคะ

 

น้องสองหัดส่องได้ลงรูปภาพเอาไว้ในอีกกระทู้นึงค่ะ

ขอเชิญทุกท่านร่วมอนุโมทนาบุญกับผู้มีส่วนร่วมทั้งหมดนะคะ

 

เมื่อวานนี้หนูได้เปิดกระทู้โครงการใหม่แล้วค่ะ... ขอเรียนเชิญพี่ๆน้องๆทุกท่านร่วมบุญกันนะคะ

http://palungjit.org/threads/คนรักช...็นเจ้าภาพงานเพื่อ-ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์.379981/

 

เดี๋ยวหนูจะมาแจ้งยอดปัจจัยทั้งหมดของงานกฐินปีนี้นะคะ

 

สรุปยอดปัจจัยในสายบุญต่างๆสำหรับงานกฐินปีนี้มีดังนี้ค่ะ

คุณนพดล เลิศนิมานรดี และคณะ 121,170 บาท
คุณอุกฤษ เนาวสัยศรี และคณะ 115,000 บาท
คุณชัยวิทย์ มาลาคำ และคณะ 172,563 บาท
ผอ.กรศิริ มิ่งไชย และคณะ 54,190 บาท
คุณสุวรรณา ศศิกานต์ และคณะ 68,003 บาท
คุณพฤฒชน พิมพบุตร และคณะ 126,300 บาท
คุณทรงพล วงษ์เสนา และคณะ 27,310 บาท
คุณธีระวุฒิ เพียรประสพ และคณะ 25,000 บาท
คุณสุวัฒน์ พิมพ์กิติเดช และคณะ 15,480 บาท
คุณวิทยา เพียรประสพ และคณะ 227,229.54 บาท
Noo Norway และคณะญาติธรรมผ่านเว็บพลังจิต 229,813.65 บาท
คณะศิษย์ Devotees of Luangpoo Suan "Malaysia, Singapore, Hong Kong, China & Taiwan" 533,000 บาท
คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ ธ.ธนชาต จำกัด (มหาชน) 620,000 บาท
คณะกองกฐินฯคุณแม่เลี่ยม พันธุ์เพ็ง 72,129 บาท
กองอำนวยการวัดนาอุดม 37,325 บาท

รวมยอดปัจจัยทั้งสิ้น 2,444,513.19 บาท

ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มีส่วนร่วมในครั้งนี้ด้วยค่ะ... สาธุ...

 

วันนี้หนูมีข่าวดีมากๆมาบอกกล่าวเล่าสู่กันฟังค่ะ คือเมื่อวานนี้หนูได้รับทราบจากญาติธรรมผู้ใหญ่ที่หนูเคารพนับถือท่านหนึ่ง ท่านเล่าให้ฟังว่าเมื่อวันพระคืนวันลอยกระทงที่ผ่านมาที่มีการประชุมที่เทวสภาและมีการประกาศดังนี้ "คนไทยหลายส่วนได้อธิษฐานขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีอายุยืน ดังนั้นพระองค์จะอยู่อีกหลายปี (แต่ไม่รู้ว่ากี่ปี)" หลังจากจบการประกาศก็เป็นการเทศน์ที่เทวสภาเนื่องในวันพระตามปกติ

เมื่อหนูได้ยินก็ปลื้มปิติเป็นที่สุดเลยค่ะ เพราะหนูเองก็เป็น 1 ในบรรดาคนไทยที่ได้ร่วมอธิษฐานจิตขอให้พระองค์ท่านทรงมีอายุยืนด้วย พร้อมทั้งได้อธิษฐานจิตขอให้ประเทศไทยรอดพ้นจากอันตรายจากภัยพิบัติธรรมชาติอันรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้านี้ด้วยเช่นกัน หนูได้ตามคำบอกกล่าวของ "พี่ธรรมประทีป" ซึ่งได้รับฟังการบอกกล่าวมาจาก "หลวงพ่อสิริ" อีกที ซึ่งท่านได้เมตตาพูดย้ำถึงเรื่องนี้ถึง 3 ครั้งด้วยกัน หนูทำมาได้ 3 เดือนเต็มๆพอดิบพอดีเลยในวันนี้ ทำติดต่อกัน 3 เดือนเต็มโดยขาดไปเพียงวันเดียวเท่านั้น (วันนั้นง่วงมากเลยลืมสวด ตื่นเช้ามานึกขึ้นได้ก็อดโมโหตัวเองไม่ได้ แต่ก็คิดว่าเราไม่ได้ตั้งใจ ต่อจากนี้ไปเราต้องยิ่งตั้งมั่นและตั้งใจกับภารกิจนี้ให้มากกว่านี้)

อยากบอกว่าคำอธิษฐานจิตนั้นมีกำลังจริงๆค่ะ จึงอยากให้คนไทยที่รักในหลวงทุกท่านร่วมกันอธิษฐานจิตเพื่อ "พ่อหลวง" ของพวกเรานะคะ

"รักมากที่สุดคือในหลวง หวงมากที่สุดคือแผ่นดิน"

 

เป็นจริงตามนั้นทุกประการ... ไม่มีพระราชาองค์ใดในโลกนี้อีกแล้วที่ประเสริฐกว่าพระองค์ท่าน... พระราชดำรัสต่างๆของพระองค์ท่านนี่แหละคือหนทางนำความสว่างสดใสความเจริญอย่างยั่งยืนมาสู่ปวงชนชาวไทยและชาวโลกตลอดไป

 

tags : ในหลวง, โรคพระหทัย, สาเหตุ, ในหลวงของฉัน,

"ฉันขึ้น-ลงสะเมิงอยู่หลายปี จนได้รับเชื้อไมโครพลาสม่า ซึ่งในที่สุดทำให้ฉันเป็นโรคหัวใจเต้นไม่ปกติ จนเกือบต้องเสียชีวิต" เป็นถ้อยรับสั่งที่แสนจะเรียบง่าย ราวกับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยธรรมดาเสียเหลือเกิน!

สาเหตุโรคพระหทัยของในหลวง(อ่านแล้วคุณจะรักในหลวงยิ่งกว่าเดิม)

เพื่อนๆลองอ่านดูนะ

สาเหตุโรคพระหทัยของในหลวง...จนเกือบพระประชวรหนัก!! ทุกคนคงทราบกันดีว่าในหลวงทรงมีพระอาการประชวรเรื้อรังในส่วนของพระหทัย หากจำกันได้ ในหลวงเคยต้องทรงรับการผ่าตัดใหญ่มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2538 ครั้งนั้น พสกนิกรทั้งแผ่นดินแทบไม่เป็นอันทำอะไร ใครๆ ก็รู้ว่าโรคหัวใจไม่ใช่โรคล้อกันเล่นๆ ได้ ทั้งสมัยนั้นการผ่าตัดหัวใจก็เสี่ยงพอดู แต่ทุกอย่างก็เป็นไปโดยเรียบร้อย

แต่ทราบกันหรือไม่ว่าสาเหตุของโรคพระหทัยเต้นผิดปกตินี้ มาจากอะไร?

ราวปี 2530 ในหลวงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนที่อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ทรงพบว่า ชาวบ้านจำนวนมากเป็นโรคคอพอก ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทูลว่า มีการเอาเกลือเสริมไอโอดีนมาแจกประจำ แต่ชาวบ้านไม่ยอมใช้ เพราะไม่รู้จักก็กลัวจะเป็นอันตราย ในหลวงจึงรับสั่งให้นำเกลือเสริมไอโอดีนมาแจกประชาชนด้วยพระหัตถ์ ชาวบ้านได้รับเกลือพระราชทาน จึงยอมเชื่อว่าเกลือชนิดนี้กินได้ จนแพร่หลายต่อๆมา ปัจจุบันไม่มีคนป่วยโรคคอพอกที่สะเมิงแล้ว นอกจากนี้ยังทรงเสด็จขึ้น-ลงสะเมิงอีกหลายครั้ง เพื่อติดตามแก้ปัญหาเรื่องน้ำและถนน จนชาวบ้านทำกินกันได้เป็นปกติสุข มีรายได้เลี้ยงชีพได้พอเพียง หากกลับเป็นพระองค์เองที่ทรงพระประชวร! ในหลวงทรงได้รับเชื้อไมโครพลาสม่าจากการเสด็จไปที่สะเมิงนี้เอง อันเป็นสาเหตุของโรคพระหทัยเต้นผิดปกติเรื้อรังมาถึงปัจจุบัน แม้คณะแพทย์จะพยายามเท่าใด ก็ไม่อาจถวายการรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงถวายพระโอสถประคองพระอาการมาตลอด จนกระทั่งต้องทรงรับการผ่าตัดใหญ่เมื่อปี 2538 ดังเล่ามาแล้ว ในหลวงเคยมีพระราชกระแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า...

"ฉันขึ้น-ลงสะเมิงอยู่หลายปี จนได้รับเชื้อไมโครพลาสม่า ซึ่งในที่สุดทำให้ฉันเป็นโรคหัวใจเต้นไม่ปกติ จนเกือบต้องเสียชีวิต" เป็นถ้อยรับสั่งที่แสนจะเรียบง่าย ราวกับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยธรรมดาเสียเหลือเกิน!

อ่านแล้ว...อย่าแค่ผ่านเลยไป ช่วยกันจดกันจำเอาไว้ มีเพื่อนบอกเพื่อน มีครอบครัวขยายต่อให้ทราบทั่วกัน อีกหน่อยมีลูกมีหลาน อย่าลืมเล่าให้พวกเขาฟังด้วยว่า... "การรักผู้อื่นยิ่งกว่าชีวิตของตนเองนั้น...ยิ่งใหญ่อย่างไรและเพียงไหน

ขอขอบคุณเรื่องราวดีๆในสังคมเฟซบุ๊ค

 

<object width="560" height="315"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/HJBR76tVilc?version=3&amp;hl=en_US&amp;rel=0"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/HJBR76tVilc?version=3&amp;hl=en_US&amp;rel=0" type="application/x-shockwave-flash" width="560" height="315" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed></object>

วันนี้หนูได้ไปเจอคลิปนี้ซึ่งเป็นคลิปที่ดีมากๆ ดูแล้วน้ำตาไหลหลายรอบเลยทีเดียว เลยอยากนำมาให้พี่ๆน้องๆเพื่อนๆและทุกท่านได้ดูกันด้วยค่ะ (คิดว่าหลายท่านอาจจะยังไม่เคยดูมาก่อน) เชื่อว่าหลายท่านเมื่อได้ดูแล้วคงจะได้แง่คิดดีๆหลายเรื่องเลยทีเดียวค่ะ หากมีเวลาอยากให้ทุกท่านดูตั้งแต่ต้นจนจบเพราะเนื้อหาสาระดีทั้งคลิป แต่หากท่านใดไม่มีเวลาจะดูให้จบได้ก็สามารถเลือกดูตามเวลาที่หนูได้คัดแยกเฉพาะ "เนื้อหาสาระคำพูดที่โดนใจมากๆ" เป็นช่วงตามนี้นะคะ

03.45-03.52... เป็นคติเตือนใจว่าลูกที่ปฏิบัติตนไม่ดีต่อพ่อแม่จะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เจริญ รวมทั้งลูกคนไทยที่ปฏิบัติตนไม่ดีต่อ "พ่อหลวง-แม่หลวง" ของแผ่นดินไทยด้วยเช่นกัน เนรคุณแผ่นดินเกิดย่อมหนีไม่พ้นความฉิบหายในที่สุด ถึงตอนนี้จะสุขสบายดีด้วยทรัพย์สินเงินทองและอำนาจก็ตาม จงพึงสังวรณ์ไว้ให้ขึ้นใจว่าไม่มีใครใหญ่เกินกรรม

05.50-08.12... สังคมไทยทุกวันนี้ชอบมองคนเพียงแค่เปลือก (ภายนอก) แต่โดยสัจธรรมแล้วคนแล้วจะดีหรือเลว จะสูงหรือต่ำนั้นอยู่ที่ใจต่างหาก ใจคิดยังงัยการกระทำก็จะออกมาอย่างงั้น อย่างที่เรียกกันว่า "ใจเป็นนาย... กายเป็นบ่าว" ทุกวันนี้มีให้เห็นเป็นตัวอย่างอย่างชัดเจนว่าคนบางคนบางกลุ่มพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างภาพให้ดูดี ไม่ว่าจะด้วยการกระทำและวาทกรรม (ที่มีความชั่วร้ายแอบแฝง) แต่เมื่อฟ้ามีตาทำให้ความจริงปรากฏในแต่ละเรื่องสุดท้ายก็หนีความจริงไม่ได้ว่าแท้จริงแล้ว "ใจ" (กมลสันดาน) ของคนเลวให้ปกปิดยังงัยก็ไม่มิด

ในเมื่อเราอยู่ในกาลียุคเราก็ต้องฝึกใจเราให้เป็นดั่ง "กระจก" ตามที่น้าเขียวว่าจริงๆ ไม่งั้นเราคงจิตตกได้ง่ายและทำอะไรผิดพลาดได้อย่างง่ายดายด้วยเนื่องจากสถานการณ์มันพาไป

13.10-14.47... คนไทยหลายคนหลายกลุ่มดีแต่รักในหลวงแต่ปาก คำพูดใครก็พูดได้ทั้งนั้น เป็นแค่เพียงลมปาก แต่การกระทำนี่สิเป็นเครื่องตัดสิน หากไม่มีความศรัทธาแล้วจะไม่ทำในสิ่งที่เป็นการเทิดทูนบูชาในรูปแบบต่างๆนั้น อยากให้คนไทยทุกคนลองหันมาดูตัวเองและถามตัวเองกันบ้างว่าเรารักมในหลวงจริงอย่างที่ปากเราพูดหรือป่าว เรารักในหลวงเฉพาะต่อหน้าพระองค์ท่านหรือรักตลอดเวลา เมื่อรักแล้วเราได้ทำอะไรเพื่อพระองค์ท่านบ้างหรือป่าว แต่ละคนมีความสามารถและมีโอกาสไม่เท่าเทียมกัน เราไม่จำเป็นต้องทำตามคนอื่นเขาที่มันยิ่งใหญ่และเกินตัวเรา เราก็ทำในสิ่งที่เราพอจะพึงกระทำได้ ขอให้ทำออกมาจากใจที่เคารพเทิดทูนจริงแค่นั้นก็ดียิ่งแล้ว พระราชดำรัสต่างๆที่พระองค์ท่านได้บอกเป็นแนวทางให้พวกเราทั้งหลายรับรู้นั้นมันต้องมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้ หากทุกคนเริ่มที่จุดเล็กๆที่ตัวเองก่อน 1 คน 1 ใจ 60 กว่าล้านคน 60 กว่าล้านใจ มันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน

20.12-21.25... ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง "รูปร่างหน้าตา - ทรัพย์สินเงินทอง - ฐานะหน้าที่การงาน" ไม่สามารถชี้วัดความซื่อสัตย์ของแต่ละคนได้เลย บุคคลใดไม่มีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ต่อสังคม ต่อชาติ บุคคลนั้นระยำคนสิ้นดี

23.17-25.10... ทุกคนไม่ควรจะที่กลัวในการแสดงออกถึงความจงรักภักดีที่มีต่อ "ชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย" ความสามัคคีก่อให้เกิดพลัง อะไรที่ว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่เกินพลังแห่งความสามัคคี หากพลังแห่งความดีถดถอย พลังแห่งความชั่วร้ายจะยิ่งแข็งแกร่งเหิมเกริมมากขึ้นเรื่อยๆ

27.10-30.22... คนเราควรรู้ว่าอะไรสูงอะไรต่ำ อะไรควรทิ้งอะไรควรกราบไหว้บูชา ปีหลังๆมานี้ได้ยินข่าวบางข่าวแล้วสะเทือนใจเป็นที่สุด นั่นก็คือได้ยินว่าคนบางกลุ่มขาดสติปัญญาที่จะไตร่ตรองว่าอะไรสูงอะไรต่ำ โดยการปลดพระบรมฉายาลักษณ์ของพ่อหลวงออกจากบ้าน แล้วนำเอารูปของทรราชแผ่นดินขึ้นบูชากราบไหว้แทน วิญญูชนเขาไม่ทำเยี่ยงนั้นแน่นอน เคารพศรัทธากราบไหว้ผู้ประเสริฐสิ่งเป็นมงคลย่อมเกิดกับชีวิต ส่วนคนใดที่เคารพศรัทธากราบไหว้คนอัปรีย์จัญไรความฉิบหายย่อมเกิดกับชีวิตเช่นกัน "ขอเตือนคนที่ไร้สติปัญญาทั้งหลายว่าอย่าทะลึ่งดึงฟ้าลงมาต่ำ... ความระยำให้มันน้อยกว่านี้หน่อย"

30.34-31.05... "รักที่สุดคือในหลวง... หวงที่สุดคือแผ่นดิน" ใจที่ประเสริฐเปี่ยมล้นไปด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในบุญคุณแผ่นดินเกิดของน้าเขียวนี้ต่อให้เงินหมื่นล้านแสนล้านก็ซื้อไม่ได้

32.08-37.05... พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านนั้นหาค่าประมาณมิได้เลย พระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านนั้นมีให้เห็นเป็นรูปธรรมนับไม่ถ้วน พระราชดำรัสและพระราชโครงการที่พระองค์ท่านทรงเมตตาประทานให้แก่พสกนิกรชาวไทยนั้นทรงคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างมหาศาล พระองค์ท่านมีแต่ให้กับให้ ให้มาตลอเป็นเวลา 60 กว่าปี ซึ่งผิดจากนักการเมืองเลวๆหลายคนที่มีแต่เข้ามาเพื่อกอบโกยหวังผลประโยชน์จากแผ่นดิน "นักการเมือง (เลว) ให้ปลา (ประชานิยม)... พระราชาให้เบ็ด (แนวทางในการดำรงชีวิตให้มีความสุขอย่างยั่งยืน)"

นักการเมือง (เลว) ทั้งหลายจงฟังคำน้าเขียวไว้ให้ดีว่า
"ตระบัดสัตย์นิดเดียวก็มีอันเป็นไปแล้วหล่ะชีวิต"

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

 

ในหลวงท่านได้เคยพระราชทานพระราชดำรัสแก่คณะกรรมการบริษัทสยามกลกาล จำกัด ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2522 ที่มีความหมายครอบคลุมในคำว่า "ศีล" ไว้ดังนี้

"...การที่จะช่วยชาติบ้านเมืองนั้นมีหลายทาง แต่ทางที่ดีที่สุดโดยแต่ละคนต่างทำ หน้าที่ของตนโดยความซื่อสัตย์ สุจริต อดทน ทำให้กิจการต่างๆทุกด้านดำเนินไปด้วยดีนี้เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับประเทศชาติ..."

และอีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันพระราชดำรัสของพระองค์ท่านที่ทรงแสดงให้เห็นถึงความเป็นห่วงเป็นใยถึงประเทศชาติ ถึงการเป็นอยู่ที่ดีของพสกนิกรของท่านทุกชีวิต แต่จะมีสักกี่คนที่นำแนวความคิดตามพระราชดำรัสของพระองค์ท่านมาปฏิบัติอย่างจริงจังให้เกิดผล ในยุคนี้ทุกคนย่อมมองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปในทางลบของประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็นด้านความสามัคคีของคนในชาติที่แตกแยกกันอย่างน่ากลัว ด้านการเมืองที่โกงกินกันแบบชั่วช้าสามานย์ ด้านคุณธรรมและจริยธรรมที่เสื่อมทรามจนน่าอนาถใจ ด้านทรัพยากรที่เสื่อมโทรมและลดน้อยลงจนน่าวิตกกังวล ด้านเศรษฐกิจที่ตกต่ำจนเดือดร้อนกันทั่วหน้า และด้านภัยธรรมชาติที่โหดร้ายและรุนแรงขึ้นทุกที เราๆท่านๆอาจจะเพิ่งคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้เมื่อไม่นานมานี้เมื่อสถานการณืทุกอย่างมันปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมอย่างเด่นชัด แต่ในหลวงท่านทรงเล็งเห็นปัญหาเหล่านี้มานานหลาย 10 ปีแล้ว ด้วยพระเนตรอันยาวไกลของพระองค์ท่าน ท่านได้ทรงเมตตาชี้แนะแนวทางไว้ให้พวกเราทั้งหลายมากมายหลายโครงการหลายแนวทางด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการปลูกป่า การสร้างฝาย การทำที่กักเก็บน้ำแบบแก้มลิง การบำบัดน้ำเสีย การอนุรักษ์พืชพันธุ์ทั้งหลาย การทำการเกษตรแบบปลอดสารพิษ และการดำเนินชีวิตแบบพอเพียง แต่ก็ยังมีจำนวนน้อยมากที่มองข้ามทฤษฎีดีๆเหล่านี้ไป และยังคงใช้ชีวิตอย่างประมาทฟุ่มเฟือยและไม่อยู่ในศีลธรรมซึ่งเป็นเหตุแห่งความหายนะทั้งปวง



ขอขอบคุณท่านเจ้าของภาพไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ

 

<iframe width="853" height="480" src="http://www.youtube.com/embed/6w8WjKIRaUA" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

ในหลวงทรงตรัสกับพสกนิกร ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม
วันที่ 5 ธ.ค. 2555

*** ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน *** ​

 

"คำสอนประโยคเดียวจากในหลวง"

เมื่อนิตยสาร "สไตล์" ฉบับปี 2530 ได้ตั้งคำถามกับ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล
ถึง "คำสอน" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ประทับอยู่ในหัวใจ
ดร.สุเมธ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการ กปร. ตอบว่า
คำสอน ประโยคเดียวก็เกินพอนั้นคือพระราชดำรัสที่ว่า

"มาอยู่กับฉันนั้น ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากความสุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น"

ตอนนั้นผมกำลังทำงานอยู่ในสภาพจิตใจที่แย่มาก มันไม่มีกำลังใจจะทำอะไร ท้อแท้กับงานมาก
ไม่มีใครเข้าใจ เหมือนทำดีแต่ไม่ได้ดี ในหลวงท่านทรงเสด็จมาพอดีและท่านได้เห็นสีหน้าผมไม่สู้จะดี
ท่านได้สอบถามจนได้ความว่าผมกำลังท้อแท้กับงาน ท่านจึงตั้งคำถามและรับสั่งว่า...

"ท่านสุเมธเคยขายเศษเหล็กไหม ?
เศษเหล็กเหล่านั้น เวลาขาย คุณค่ามันต่ำมากใช่ไหม คงได้เงินมาไม่กี่บาทใช่ไหม ?
แล้วถ้าเราเอาเศษเหล็กเหล่านั้นมาหลอมรวมกันเป็นแท่งเวลาหลอมนี่เหล็กมันคงรู้สึกร้อนมากใช่ไหม ?
พอหลอมเสร็จเรานำมาทำเป็นดาบคงต้องนำมาตีให้แบนอีกใช่ไหม ?
เวลาตีก็ต้องคอยเอาไปเผาไปด้วย ต้องตีไป เผาไปอยู่หลายรอบจนกว่าเป็นรูปเป็นร่างดาบอย่างที่เราต้องการ
ต้องผ่านความเจ็บปวดร้อนอยู่นาน แถมเมื่อเสร็จแล้วถ้าจะให้สวยงามดังใจก็ต้องนำไปแกะลวดลายอีกใช่ไหม?
เวลาที่แกะลวดลายก็คงต้องใช้ของแข็งมีคมมาตีให้เป็นลวดลายอีก แต่เมื่อเสร็จเป็นดาบที่งดงามก็จะมีคุณค่าที่สูงมาก
เทียบกับเศษเหล็กคงจะต่างกันลิบลับ...

จะเห็นว่ากว่าที่เศษเหล็กไม่มีคุณค่ามากนัก จะกลายเป็นดาบอันงดงามนั้นต้องผ่านอุปสรรคมามากมาย
ทั้งความเจ็บปวดต่างๆกว่าจะประสบความสำเร็จ ดังนั้นขอให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า

" ใครไม่เคยถูกตีถูกทุบ เจอเรื่องเลวร้ายในชีวิตมาเลยนั้น จงอย่าได้คิดทำการใหญ่ "

 

หนูเพิ่งได้รับใบอนุโมทนาบัตรสายเว็บพลังจิตมาทางเมลล์เมื่อวานนี้
ขอเชิญทุกท่านร่วมอนุโมทนาบุญในครั้งนี้นะคะ