พระบิณฑบาตร โยมถวายปัจจัยใส่บาตรพระด้วยเงินแล้วจะได้บุญไหม

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย เนตรอิศวร, 30 ตุลาคม 2012.

  1. เนตรอิศวร

    เนตรอิศวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2011
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +425
    *****พิจารณาก่อนเถิดท่านทั้งหลาย*****
    .....ในเรื่องของภิกษุรับถวายปัจจัยนั้น (ปัจจัยในที่นี้หมายถึงเงิน) อันเราขออธิบายความไว้อย่างนี้ว่า เป็นสิ่งที่ท่าน ddman นั้นได้กล่าวว่าแล้วที่กล่าวว่า องค์พระสัมมาสัมพุทะเจ้าพระองค์ทรงสั่งสอนภิกษุมิให้เป็นผู้รับเงินทองที่เขานำมาถวาย เพราะเป็นเหตุแห่งหนทางเสื่อม

    .....ขอพิจารณาก่อนเถิดท่าน ddman เมื่อมีผู้หนึ่งนั้นได้นำอาหารมาถวายใส่บาตรพระ พร้อมทั้งนำดอกไม้ที่มีซองแนบมา ภิกษุผู้รับจำต้องถามผู้ที่ตั้งใจถวายก่อนหรือไม่ว่าในซองที่ถวายมานั้นคือสิ่งใด หรือภิกษุต้องฉีกซองดูก่อนหรือไม่ว่าในซองที่ถวายมานั้นเป็นเงินหรือไม่ ด้วยหากเป็นเงินก็ให้ส่งคืนผู้ที่ตั้งใจถวายกลับคืนไป ภิกษุต้องทำอย่างนี้หรือไม่.
    .....พิจารณาก่อนเถิดท่าน ddman เมื่อมีผู้หนึ่งได้นำโภชนาอาหารมาถวายภิกษุด้วยอาหารนั้นถูกปรุงมาแล้วด้วยความปราณีต ภิกษุผู้รับจำต้องถามผู้ที่ตั้งใจนำมาถวายด้วยหรือไม่ว่าอาหารที่ปราณีตนั้นได้ทำมาจะสิ่งใด แล้วหากว่าอาหารที่ถูกทำอย่างปราณีตนั้นได้ทำมาจากเนื้อ๑๐อย่าง ภิกษุผู้รู้แล้วจำต้องส่งคืนไปแก่ผู้ถวายมาหรือไม่.

    *****ฉะนั้นขอพิจารณาก่อนเถิดท่าน ddman ธรรมในคำสั่งสอนในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเราทั้งหลายที่เป็นผู้ปฏิบัติตามย่อมเป็นผู้รู้ โดยท้ายสุดแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่จะรู้ไปมากหรือน้อยกว่ากันเมื่อศึกษาจบสิ้น เพราะก็คงจะไม่กลายเกิน๘๔๐๐๐พระธรรมขันธ์ที่ได้จารึกไว้ไปได้
    *****พิจารณาก่อนเถิดท่านผู้เจริญ ไม่ว่าจะเป็นโภชนาที่มีผู้ศรัทธาได้ตั้งใจถวายมาด้วยการปรุงอย่างปราณีตแล้ว ถึงแม้ภิกษุจะเป็นผู้รับถวายมา แต่หากภิกษุล่วงรู้แล้วว่าเป็นเนื้อที่เกิดจากเนื้อ๑๐อย่างที่องค์พระสัมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ ถึงแม้ว่าภิกษุจะรับถวายมาแล้วแต่ภิกษุก็จะเป็นผู้ไม่ฉันท์ในของที่รับถวายมานั้น.
    *****พิจารณาก่อนเถิดท่านผู้เจริญ ด้วยปัจจัยที่ผู้ตั้งใจถวายใส่ซองมาก็ดี ด้วยเหตุผู้ถวายได้ใส่ซองมาถึงแม้ว่าภิกษุจะเป็นผู้รับการถวายมาแล้ว เมื่อภิกษุล่วงรู้ว่าภายในซองนั้นคือเงินทอง ภิกษุนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะครอบครองหรือยึดถือในเงินทองนั้น(พิจารณาแบบเดียวกันกับอาหารที่รับถวายมาแล้วแต่อาหารนั้นกลายเป็นเนื้อต้องห้ามทั้ง๑๐อย่าง)
    .....ทีนี้ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าเมื่อภิกษุล่วงรู้แล้วว่าในซองที่มีผู้ตั้งใจถวายมาเป็นเงินภิกษุจะทำเช่นใด ท่าน ddman เห็นว่าภิกษุที่รับถวายมาแล้วจะทำเช่นใด? ในเมื่อภิกษุล่วงรู้แล้วว่าเป็นเงินทอง ด้วยภิกษุล่วงรู้อยู่แล้วว่าเงินทองนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ใช้ประโยชน์ของภิกษุ จะทำเอาไปทิ้ง ไปฝังดิน หรือนำไปเผาก็ย่อมไม่ใช่หนทาง ด้วยสิ่งที่เป็นหลักคำสอนในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ด้วยไม่ให้ภิกษุไปพัวพันในเงินทอง ด้วยเหตุนี้จึงมีไวยาวัชกร
    *****เมื่อครั้งหนึ่งในสมัยที่เรายังเป็นลูกศิษย์วัดอยู่ในวัดสายธรรมะยุติ ยามที่หลวงตาของเราจะต้องไปลงอุโบสถ ท่านก็จะบอกให้เราไปหยิบซองในตะกร้าเอามาฉีกดูว่าในซองมีเงินเท่าไหร่ เมื่อได้ครบตามจำนวนแล้วท่านก็ให้เราเอาเงินใส่ในหย้ามแล้วให้เราสะพายไว้แล้วตามหลวงตาไปลงอุโบสถ (ท่านคงจะไม่ให้ภิกษุเดินเท้าไปลงอุโบสถด้วยระยะทางเกือบ๒๐ กิโลหรอกนะท่าน) เราเป็นผู้จ่ายเงินค่ารถโดยหลวงตาท่านไม่แตะต้องเงินเลย เพียงแต่บอกว่าให้เราทำอย่างนั้นอย่างนี้ (จุดนี้ก็เหมือนกับที่เราบรรยายเปรียบว่าภิกษุคือจิตใจไวยาวัชกรที่ร่างกายมือเท้า) เราทำอย่างนี้มาจนหลวงตาท่านมรณะภาพไปแล้ว เราย่อมรู้เห็นถึงความเป็นไปความมั่นคงในกิจของหลวงตา เรานั้นมีความเลื่อมใสในหลวงตาของเรามาพระวินัยในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลวงตาของเราท่านปฏิบัติไม่บกพร่องเลยทีเดียว.
    *****ฉะนั้นเราจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ทุกสิ่งอย่างนั้นอยู่ที่จิตใจ ต่อให้มีไวยาวัชกรมาก็ไม่ใช่หนทางแห่งความสิ้นไปจากกิเลส หากภิกษุผู้ปฏิบัติยังหลงอยู่ในความอยากให้เป็นอย่างนั้นอยากให้เป็นอย่างนี้ ความต้องการให้เป็นอย่างนั้นต้องการให้เป็นอย่างนี้ ภิกษุผู้บำเพ็ญท่านล่วงรู้อยู่แล้วว่าจะต้องปฏิบัติตนเช่นไร หนทางใดที่เป็นหนทางแห่งความดับทุกข์ หนทางใดที่เป็นหนทางแห่งการเกิดทุกข์
    *****พิจารณาก่อนท่านผู้เจริญ ด้วยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยพระองค์ก็ทรงล่วงรู้อยู่แล้วว่า จะต้องมีผู้ที่ศรัทธาที่ศรัทธาด้วยการถวายเงินทอง หากภิกษุไม่รับก็อาจจะเป็นการขัดศรัทธาของผู้มีศรัทธา พระองค์ท่านจึงกล่าวให้เกิดมีไวยาวัชกร หากด้วยพระองค์ทรงเห็นที่จะตัดเรื่องผู้ที่ศรัทธาถวายเงินทองแก่ภิกษุตั้งแต่ตนแล้ว องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงจะไม่ทรงกล่าวถึงไวยาวัชกรตั้งแต่ต้น.

    *****พิจารณาก่อนเถิดท่านทั้งหลาย เราขอยุติอย่างนี้ว่า ไม่ว่าผู้ใดนั้นจะตั้งใจถวายสิ่งใดแล้วถึงแม้ว่าภิกษุท่านจะอนุโมทนาแล้ว แต่ก็อย่าได้หมายว่าภิกษุจะต้องนำสิ่งที่อนุโมทนานั้นไปใช้ทุกอย่างเสมอไป เพราะสิ่งที่อนุโมทนาแล้วบางสิ่งก็ไม่จำเป็นต่อการบำเพ็ญเพียรในวิถีของสมณะ
    .....ส่วนท่าน ddman ที่กล่าวถึงเรื่องอินเตอร์เน็ตของเรา เราขอกล่าวอย่างนี้ว่า นอกจากการที่พระเทศบนธรรมมาสต์แล้วนั้น ทุกวันนี้วิวัฒนาการของโลกนั้นพัฒนาไป ไม่ว่าจะทีวีหรือ อินเตอร์เน็ตนั้นก็เป็นช่องทางในการสนทนาธรรมได้ อันหนทางได้ที่เรานั้นพิจารณาแล้วเห็นสมควรว่าเป็นประโยชน์แล้วเราก็จะแสดงในทางนั้นเพื่อประโยชน์ื ส่วนเรื่องการได้มาในระบบสัญญาณนั้น ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องใช้ปัจจัยให้ได้มา ทุกวันนี้แม้แต่ภิกษุสอนธรรมะศึกษาแก่นักเรียนเขาก็ยังมีเงินเดือนพระ (แหมเดี๋ยวนี้พระก็มีเงินเดือน)จริงๆแล้วไม่อยากจะได้หรอก แต่เขาก็บังคับให้มา เมื่อให้มาก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ใครมาขอก็ให้ไป ซื้อสมุดปากกาดินสอให้เด็กที่มานั่งเรียนบ้าง คนไม่มีข้าวจะกินก็มาหาพระนะทุกวันนี้ ลูกไม่มีเงินกินนมบ้าง กุฎิก็พื้นเป็นมันพอสมควร อันเงินทองสำหรับเรามันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก แค่อาหารบิณฑบาตรได้มาก็เหลือเต็มบาตร สุดท้ายก็ต้องไปให้สัตว์ที่อยู่ในวัดได้อิ่มท้อง.
    ...ท่าน ddman และผู้ใฝ่ธรรมท่านอื่นๆ ด้วยหากคำบรรยายใดๆของเราที่ทำให้เกิดความขุ่นของหมองใจแก่ท่านทั้งหลายให้เกิดขึ้น อันเราก็ขอให้ท่านทั้งหลายโปรดจงละโทษกรรมอันนั้นแก่เราเถิด อันเรานั้นก็ขออนุโมทนามากับทุกท่าน ด้วยประการ ณ ฉะนี้.
     
  2. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    กราบนมัสการพระคุณเจ้า การที่ท่านเห็นซอง แต่มิได้เห็นสิ่งภายใน..หากท่านลังเลสงสัย อาจบอกกล่าวแก่สาธุชนในเรื่องที่ถูกควร และสละ"ซอง"นั้นเสีย หากเขาถามท่านว่า "ข้าพเจ้ายังประสงค์จะถวายอยู่..จะทำอย่างไร..?" ท่านพึงชี้แจงด้วยนัยแห่งพระวินัยให้ยิ่งขึ้น ปรารภถึงโทษภัยที่จะบังเกิดขึ้นแก่ผู้เกี่ยวข้องในการนี้ และเมื่อเขาทราบสิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำก็ย่อมเกิดปัญญาในการทำบุญที่ถูกด้วยความมีปัญญาประกอบอันเป็นเหตุแห่งอานิสงค์อันยิ่ง..แม้การส่งเสริมให้เขาทราบสิ่งที่ถูกต้องย่อมเป็นสิ่งหาโทษไรๆมิได้เลย ได้ประโยชน์ทั้ง2 ฝ่ายขอรับ

    ขอเรียนถามพระคุณเจ้าว่า ท่านเคยได้รับ"ซอง"ใส่สิ่งอื่นใดนอกจากเงินมาบ้างหรือไม่ขอรับ ถามด้วยความไม่ทราบจริงๆขอรับ..


    โทษแห่งความขุ่นข้องใดๆจากข้อเขียนของพระคุณเจ้าแ่ก่กระผมไม่มีเลย ..สิ่งใดอันกระผมได้เขียนไว้ ก็เพียงด้วยหวังประโยชน์ในการดำรงอยู่ของพระสัทธรรมให้ยาวนานเพื่อประโยชน์แก่ชนหมู่มากเท่านั้นขอรับ..

    ที่จริงก็พอทราบกระแสอยู่ แต่ไม่วายคิดจะทวนขอรับ..

    กราบขออโหสิกรรมในข้อความที่ทำให้พระคุณเจ้าขุ่นใจด้วยขอรับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2012
  3. เนตรอิศวร

    เนตรอิศวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2011
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +425
    *****พิจารณาก่อนท่านผู้เจริญ ด้วยเราเห็นว่าเราทั้งหลายมาในที่นี้ย่อมเกิดประโยชน์ เราทั้งหลายเกิดด้วยการถกในธรรมเพื่อปัญญา ย่อมไม่ถือว่าเป็นการเบียดเบียนกันให้ขุ่นข้องหมองใจ ในครั้งหนึ่งเรานั้นก็เคยถกธรรมในเรื่องการกินเนื้อสัตว์เป็นบาปหรือไม่ กับท่าน เพชรกร เราก็ถือว่าได้ประโยชน์ดี . ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน หากถามเราว่าเราได้เคยเห็นบทความที่ท่านได้ยกมาแสดงหรือไม่ ก็ขอตอบว่า เราไม่เคยได้อ่าน เพียงแต่เรานั้นก็ยึดตามที่มาในพระวินัยแล้วพิจารณาเหตุและผลว่าเหตุใดองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงออกบทพระวินัยเช่นนั้น.
    *****ส่วนธรรมทั้งหลายที่เราได้แสดงไปนั้น ก็เป็นสิ่งที่เราพิจารณาจากคำสอนทั้งในพุทธประวัติ เพราะเราบรรยายเรานั้นก็จะแสดงวิธีคิดด้วยเหตุและผล ซึ่งจริงๆแล้ว ด้วยท่านและเรานั้นก็กล่าวไม่แตกต่างกันในใจความหากพิจารณา ด้วยเหตุแห่งว่าเป็นธรรมบทเดียวกัน องค์พระสัมมาสัมพุทธะเจ้าก็พระองค์เดียวกัน จึงเปรียบเสมือนครูคนเดียวกัน ฉะนั้นการปฏิบัติจึงเป็นไปในทิศทางเดียวกันแล้วแต่กำลังศรัทธาในการปฏิบัติ เราจะให้ผู้ปฏิบัติทุกคนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เสียทุกสิ่งอันในคราเดียวคงจะเป็นไปไม่ได้ ซึ่งในสมัยพุทธกาลแม้จะได้ฟังพุทธโอวาทหรือเทศนาจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกันก็ยังไม่สามารถบรรลุธรรมพร้อมกันเลย.
    .....ส่วนในเรื่องซองปัจจัยที่ท่านกล่าวว่า เมื่อมีผู้ถวายแล้ว เมื่อภิกษุทราบก็ให้สละเสีย (สิ่งนั้นทุกวันนี้ก็สละอยู่ทั้งหนังสือเรียน ทุนการศึกษา สมุดปากกา ค่าข้าว ค่านม ผู้ใดมาขอก็หากเรามีอยู่ก็ไม่เคยขัด หรือแม้แต่ของสิ่งใดไตรจีวรหากเราล่วงรู้ภิกษุรูปใดขัดข้องเราก็จะนำไปถวายให้) แต่ในเรื่องที่บอกให้ผู้ตั้งใจถวายแล้วภิกษุไม่รับก็จะเป็นการขัดศรัทธาที่เขากำลังตั้งจิต.
    .....ในธรรมที่เราได้บรรยายมาในเว็ปธรรมนี้ เราเองก็เคยแสดงธรรมแล้วบนธรรมมาสต์ ไม่ว่าการกินเนื้อสัตว์เป็นบาปหรือไม่ การพรากชีวิตผู้อื่นมาทำบุญได้บุญหรือไม่ หรือแม้แต่การถวายเงินพระ ในเรื่องนี้เราก็เคยแสดงสาธยายธรรมมาแล้ว (ผู้ฟังเกิดเลื่อมใส ผลสุดท้ายก็ยังนำเงินมาใส่ในหย้ามทั้งที่เพิ่งเทศน์จบไป).
    *****ท่าน ddman เมื่อครั้งหนึ่งก่อนที่เราจะได้บรรพชา เรานั้นก็เคยเป็นผู้ศึกษาอยู่ใน อนุตรธรรม โดยไม่กินเนื้อสัตว์ เราก็สามารถรู้ว่าสิ่งนั้นก็เป็นการสร้างบุญบารมีได้ดี แต่พอเราได้บรรพชามาเดิมแรกเราก็ฉันท์น้ำต้มกับผักที่เขานำมาถวาย จนวันหนึ่งมีคุณโยมผู้ใหญ่บ้านท่านมาเลี้ยงเพลพระที่วัด ท่านก็ได้ทำข้าวเหนียว ลาบหมู เนื้อทอดมาถวายพระ เมื่อท่านเวลาฉันท์เราจึงฉันท์แต่ข้าวเหนียว แต่ก็สังเกตุเห็นว่าคุณโยมผู้ใหญ่ท่านก็นั่งมองเราด้วยสงสัย จนเรามารู้ภายหลังว่าได้ไปเกิดกระทำตนขัดศรัทธาต่อท่านแล้ว ด้วยการไปฉันท์อาหารที่เขาตั้งใจนำมาถวาย ด้วยเหตุนี้แต่นั้นเป็นต้นมาเราจึงจำต้องฉันท์ในสิ่งที่มีผู้ตั้งใจนำมาถวาย ด้วยเหตุนี้เราจึงตั้งใจว่าเราจะไม่เป็นผู้ขัดศรัทธาต่อผู้ตั้งใจผลบุญ.
    .....ส่วนเรื่องซองที่ไม่ใส่ปัจจัยมานั้นก็มี บางคนก็ใส่ยามาทำบุญ (ทิฟฟี่2ซอง)ก็เคยเจออยู่ บางคนใส่พระมา2องค์ แผ่นทองแล้วเหรียญเงินอีก2บาทก็ยังมี บางคนก็เอาซองวางบนฝาบาตร บางคนก็เอาซองม้วนกับกำดอกไม้ใส่ไปในหย้ามก็มี ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จะไปบอกว่าโยมอย่าทำ โยมห้ามทำคงจะไม่ได้ เพราะขัดศรัทธาอันแรงกล้าในขณะที่เขาตั้งใจทำ.

    *****สุดท้ายขอท่านทั้งหลายอย่าได้ขุ่นข้องหมองใจใดๆเลย เพราะการถกธรรมนี้ก็ประดุจการไตร่ถาม เรานั้นขออโหสิกรรมทั้งปวง ขอท่านทั้งหลายจงอย่าได้หมองใจใดๆ แต่ขอให้ท่านเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ชนทั้งหลายแล้วนั้นแล อันเราขออนุโมทนา.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2012
  4. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สาธุๆๆ กับทุกท่าน ที่ได้มาสนทนากันในกระทู้นี้

    ท่าน ddman เป็นผู้ที่น่าเคารพในเรื่องของการเป็นผู้มีเหตุผลในเรื่องต่างๆ และแสดงความเห็นได้อย่างชัดเจน

    ในเรื่องนี้ ผมมีข้อคิดเห็นอย่างนี้
    1. ภิกษุไม่รับเงินทอง ปฏิบัติตามสิกขาบทอย่างเคร่งครัด
    จะเป็นเนื้อนาบุญที่ดี สามารถรักษาศรัทธาของญาติโยมได้อย่างดี และความรู้เรื่องการเพียรเพื่อหลุดพ้น จะอยู่คู่กับพระสงฆ์ ไม่ถูกเจือปนด้วยการย่อหย่อนข้อปฏิบัติ ที่ทำให้พระสงฆ์ กลายเป็นเพียง พระสวด พระสร้าง พระสงฆ์ก็จะมีจำนวนน้อย แต่เน้นคุณภาพ

    ศาสนาพุทธ จะแข็งแกร่งจากภายใน เหมือนต้นไม้ต้นเล็กๆ ที่แก่นมีความหนาแน่นแข็งแรง... แต่ถ้าเราต้องเผชิญกับภัยภายนอกหละ???

    2. มีความย่อหย่อนของพระธรรมวินัย แต่มีความแพร่หลายของการสร้างวัตถุทาน ของการทำทาน เหมือนขยายฐานของปีระมิดให้กว้างขึ้น เมื่อชั้นทานกว้างขึ้น ชั้นศีลก็กว้างขึ้น แต่ชั้นภาวนาจะมีคุณภาพขนาดไหน? และในฐานที่กว้างขึ้นของปีระมิด ก็จะมีผู้แอบแฝงเข้ามาหากินด้วยการบวชพระมากขึ้นเช่นกัน

    เหมือนต้นไม้ขนาดใหญ่ แต่แก่นข้างในไม่แน่น อาจจะสู้กับภัยภายนอกได้ดีกว่าแบบแรกหรือไม่ และจะโดนกัดกินจากภายในหรือไม่

    จริงๆ แล้ว ผมก็ไม่อาจทราบได้ เพราะเกินวิสัยของผมไปแล้ว ก็ได้แต่เสนอความเห็น เท่านั้นเองครับ

    ขออภัยนะครับ ภาษาอาจจะแปลกๆ มั่วๆ หน่อย วันนี้เดินจงกรมหลายชั่วโมง ตอนนี้ตาใกล้ปิดแล้วครับ แต่ยินดี ที่ได้สนทนากับพระคุณเจ้า และท่าน ddman ครับ
     
  5. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    เดินจงกรม อย่าลืมตามดูใจตัวเองด้วยนะ ไม่งั้นก็ไม่สมคำพูดกับการที่มาบอกคนอื่น
     
  6. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    มีพระพรรษามาก กับ พรรษาน้อย สองรูป เดินทางไปด้วยกันจนกระทั่งทั้งคู่ต้องข้ามแม่น้ำขนาดใหญ่ จำเป็นต้องเดินข้ามเพราะสะพานข้ามแม่น้ำขาดเสียหาย

    พระทั้งสองรูปพบผู้หญิงผู้หนึ่งคนซึ่งไม่สามารถข้ามแม่น้ำไปได้เนื่องจากสะพานขาดนั้น

    พระพรรษามากจึงอาสาจะให้ผู้หญิงนั้นขี่หลังแล้วข้ามฟากไป

    พระพรรษาน้อยเห็นอย่างนั้นจึงรู้สึกขุ่นเคืองว่าทำไมพระพรรษามากจึงทำอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่เป็นพระไม่ควรจะสัมผัสหรือใกล้ชิดผู้หญิงขนาดนี้ แต่ก็คิดอยู่ในใจไม่ได้ถามพระพรรษามาก

    หลังจากที่ข้ามฟากเสร็จพระทั้งสองรูปและผู้หญิงต่างก็แยกย้ายไปตามทางของตน แต่ในใจของพระพรรษาน้อยยังคงคิดวนเวียน ตั้งคำถามในใจตลอดเวลาว่า การกระทำของพระพรรษามากนั้นไม่เป็นการสมควรกับนักบวช คิดวุ่นวายอยู่อย่างนั้นเก็บเงียบอยู่ในใจไม่ถามพระพรรษามาก

    ท่านคิดวนเวียนอยู่อย่างนั้น ทำให้ท่านแทบบ้าจนมาถึงจุดหยุดพัก พระพรรษาน้อยอดทนเก็บเรื่องในใจต่อไปอีกไม่ไหวจึงถามพระพรรษามากว่า ท่านทำไมไม่สำรวมถึงความเป็นพระเลย ทำไมถึงได้สัมผัสผู้หญิง และผู้หญิงคนนั้นเป็นคนสวยเสียด้วย ท่านเป็นคนบอกผมเองว่า ท่านเป็นพระที่บริสุทธิ์ไม่ใช่หรือ?

    พระพรรษามากประหลาดใจ แล้วย้อนกลับไปถามพระพรรษาน้อยว่า

    "ผมวางผู้หญิงสวยคนนั้นไปตั้งหลายชั่วโมงแล้ว เหตุใดท่านยังอุ้มผู้หญิงคนนั้นอยู่อีกเล่า"
     
  7. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    เป็นเรื่องที่ดีมากที่ผมอ่านมานานและชอบมากๆครับ ท่านอินทรบุตร ..ขอบพระคุณที่นำมาลงไว้ครับ..

    อาการปล่อยวางก็ต่างกับปล่อยเอาหรือปล่อยช่างมัน ..บางทีปล่อยวางมีหลายรูปแบบ..มีทั้งปล่อยเพราะไม่รู้ที่มาที่ไป ปล่อยเพราะถือไม่เป็นหรือเลือกปล่อยก็มีครับ ตรองเอาตามกำลังครับ

    แต่ผมไม่กล้าวางหรือปล่อยความศรัทธาในพระบัญญัติที่ำพระพุทธเจ้าตรัสไว้น่ะครับ ทั้งไม่หลับตาจงกรมไปกับความหลงว่าคำตรัสสอนบางอย่างของพระพุทธเจ้า ไม่ควรใส่ใจเพราะไม่ใช่สาระ... เพราะสิ่งที่ใครๆ"ปล่อยวาง"คือสิ่งไร้สาระทั้งสิ้น ..เมื่อไม่มีศรัทธาพระพุทธเจ้าเสียอย่าง ที่จะประพฤติพระธรรมที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว ย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นได้..

    แต่ใครจะทราบเองได้ล่ะครับ เว้นเสียแต่ได้เคยสดับพระธรรมที่ถูกแท้มา เพราะลำพังปัญญาปุถุชนย่อมวินิจฉัยไม่ได้เองอยู่แล้วนะครับ..
     
  8. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    พอตอบเสร็จก็เพิ่งเห็นpost ใหม่ของท่านอินทรบุตร..
    แสดงว่าเขียนเวลาใกล้เคียงกันแม้ห่างกันคนละมุมโลก..



    ท่านอินทรฯให้ความเห็นมีเหตุผลดีมากอย่างที่ผม มีศรัทธาจริงๆ..

    ผมไม่เห็นต่างจากท่านอินทรฯนัก แต่ใคร่ขออนุญาตทบทวนตรงข้อนี้คือ..

    ท่านอินทรฯคงเคยได้ทราบมา(ผมแน่ใจ)ว่า พระศาสนาจะเสื่อมเพราะบุคคลภายใน--มิใช่ภายนอกเลย..และแม้สิ่งนี้ก็มาจากพระดำรัสของพระพุทธเจ้า ..หากท่านอินทรบุตรยังมีศรัทธาในพระสัพพัญญุตญานของพระพุทธเจ้าว่าท่านย่อมทรง"ทราบดีกว่าใครๆ"แล้ว ท่านจะไม่กังวลภัยจากภายนอกเลย..สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าทรงตรัส สิ่งนั้นย่อมจริงเสมอครับ..

    ส่วนเรื่องปิรามิดนั้น ท่านอินทรฯคงเห็นตัวอย่างจากวัดจานบินแล้ว ดูเถิด พิจารณาเถิดว่า อำนาจของเงินตัวเดียวแท้ๆทำจานบินใหญ่โตกว่าปิรามิดอีก และสามารถแพร่ธรรมะกลายๆไปได้ทั่วโลก...ท่านอินทรฯไม่รักพระศาสนาที่ถูกแท้บ้างหรือครับ..

    แปลกมากที่ผมยังศรัทธาท่านอินทรบุตรอยู่จนบัดนี้ ด้วยความสัตย์!
     
  9. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    เอ้า อย่าลืมบอกคนอื่นด้วยละว่า อุตส่าห์ส่ง Private message มาเชิญชวนให้ผมมาตอบ

    ไม่ใช่ต่อหน้าอย่างหนึ่ง ลับหลังอย่างหนึ่ง คนเราทั้งต่อหน้าและลับหลังต้องเหมือนกันซิ

    แล้วที่ฟังดูแปลกๆก็คือ บอกว่าเดินจงกรมหลายชั่วโมง แต่ก็ขยันเข้าวนเวียนในกระทู้และเวบไซต์เหลือเกิน อย่าบอกอีกนะว่า เป็นเพราะอาชีพเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

    ปกติคนเราเปลี่ยนชื่อแล้ว ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองใช่มั้ย เดิมก็ได้รู้ว่า ปุณณพิธ เป็นยังไง พอเปลี่ยนชื่อใหม่ว่าเป็นอินทรบุตร ก็น่าจะดีขึ้นนะ

    ดูใจเข้าไว้ ดูใจเข้าไว้ ข่มใจไว้นะ ความโกรธนะ

    หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น
     
  10. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อย่าคิดว่าผู้อื่นจะต้องย่ำอยู่กับที่ ไม่สามารถพัฒนาตนเองได้เลย
    ความคิดนั้นเป็นอคติกับอดีต เมื่อสิ่งนั้นมันจบไปแล้ว จะเก็บเอาไว้อีกทำไม?

    แม้โจรองคุลิมาล เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็ยังสามารถบรรลุธรรม เป็นภิกษุที่น่าเลื่อมใสได้

    กายสังขารร่างนี้ มันไปทำอะไรใครไว้หรือ ไปเคยฆ่าแกงใครไว้หรือ ถึงสมควรจะต้องผูกใจเจ็บยาวนานขนาดนี้

    แต่มันก็เป็นเรื่องของท่าน ที่ท่านจะผูก หรือ ไม่ผูก จะเอาไฟสุมเรือนของท่านเอง หรือจะไม่เอาสุมเรือน มันก็เป็นเรือนของท่านเอง ส่วนตัวผมเองนั้น ผมรักษาไม่ให้ไฟไหม้เรือนของตัวเอง ก็เพียงพอแล้วที่จะไม่ทุกข์
     
  11. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ...
     
  12. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    กราบเรียนท่านที่เกี่ยวข้องด้วยความเคารพ ผมมิได้รู้จักท่านอินทรบุตรโดยส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวข้องไรๆกับท่านอินทรบุตร แต่มีศรัทธาจากการได้อ่านหลายความเห็นของท่าน..หากผมเป็นเหตุให้เกิดความแตกร้าวขุ่นใจกันระหว่างท่านอินทรบุตรและสหายธรรมใดๆหรืิอแม้การที่ท่านอินทรบุตรถูกตำหนิ ก็กราบขออภัยในสิ่งที่เกิดขึ้น..และใคร่ขอร้องให้ตำหนิด่าว่าที่ผมเพียงผู้เดียวเถิด แม้อาการนั้นก็จะไม่เป็นไปเพื่อการผูกเวรเลยเพราะผมวางใจยอมรับ..

    กราบมาด้วยความเคารพครับ..
     
  13. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับท่าน ddman หรอกครับ
    เป็นเรื่องสมัยก่อน ที่ผมไปทะเลาะกับเขาไว้ ผ่านมาหลายเดือนแล้ว เขาก็ยังมีอคติอยู่ครับผม
     
  14. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ;aa45 ;aa47 วันนี้วันดีน๊าาาาาา ... มองไปช้างนอกสิ ไปรับลมกันดีกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2012
  15. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สาธุ... ตัวผมเอง ไม่มีความยินดีในการติดข้องใดๆ กับอดีตที่ผ่านมาอีกแล้วครับ เรื่องที่มันผ่านไปแล้ว ไม่มีเหตุอะไรจะต้องรื้อมาให้ขุ่นใจกันอีกต่อไปครับ :)
     
  16. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ;aa45 ;aa47 ฝนตก/ไม่ตก แดดออก/ไม่ออก ใจเราร่มๆ......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2012
  17. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    คุณโกหก คุณจะรับมั้ยว่า ส่ง PM ถึงผม แล้วทำลิงค์ให้ผมเข้ามาตอบ แหม พอจับได้ไล่ทัน เอามาแฉ ก็นะ สตอเบอรี่ชีสเค้กแทบไม่ทันเลย 555
     
  18. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ช่วงนี้ต้องยืดเส้นยืดสายสักหน่อย เค้าคิดถึงผมนะครับ ผมก็ชักสนใจ อยากจะลองดูว่า เค้าเปลี่ยนชื่อใหม่แล้ว เปลี่ยนพฤติกรรมด้วยหรือเปล่า
     
  19. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    อย่าสร้างภาพเถอะครับ ขอร้อง เหอะๆๆๆ ไอ้เรื่อง PM นี่แหละ ชัดเจนเลย ยกเอาธรรมขึ้นมาอย่างโน้นอย่างนี้ แต่มีท้าทายลับหลัง ผมเลยต้องเอามาแฉ

    ปุณณพิธ ถึงแม้จะเปลี่ยนชื่อเป็นอินทรบุตร ยังไงก็ยังเป็น ปุณณพิธ
     
  20. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เจตนาในการส่ง pm ไม่ได้เพื่อจะให้รื้อฟื้นความแค้นอะไร แต่อย่างที่ผมกล่าวไปตอนต้นของกระทู้นี้ ว่าการติ ที่ไม่ใช่การติเพื่อก่อ การไม่เห็นด้วยเฉยๆ โดยไม่สามารถแนะนำอะไรได้ ไม่สามารถแสดงเหตุผลได้ เป็นการติที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้น ผมจึงอยากเห็นมุมมองของผู้ที่ไม่เห็นด้วย ก็เท่านั้นเอง

    การที่คุณมาบอกว่าผมโกหก ลองชั่งใจดูให้ดีๆ นะครับ อย่าตามกิเลสมารที่มันเข้ามาสะกิดในใจเลย มันจะส่งผลร้ายกับคุณมากกว่าที่เคยได้รับมาก่อนอีกนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...