** ฉันทะ ** วัตถุมงคล หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา **

งานกฐินสามัคคี วัดกลางชูศรีเจริญสุข ตำบลกลางชูศรีเจริญสุข
อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ​

ขอเริ่มส่งซองกฐินวัดกลางชูศรีเจริญสุข ตั้งแต่วันจันทร์ที่6 นี้นะครับ

SKTC ขอรับซองกฐินวัดกลางชูศรีเจริญสุข จำนวน 8 ซอง
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->meomania ขอรับซองกฐินวัดกลางชูศรีเจริญสุข จำนวน 5 ซอง
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Chart 123<!-- google_ad_section_end --> ขอรับซองกฐินวัดกลางชูศรีเจริญสุข จำนวน 2 ซอง
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ก ฯลฯ ฮ<!-- google_ad_section_end --> ขอรับซองกฐินวัดกลางชูศรีเจริญสุข จำนวน 3 ซอง
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ส่างปา<!-- google_ad_section_end --> ขอรับซองกฐินวัดกลางชูศรีเจริญสุข จำนวน 2 ซอง
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->9mm<!-- google_ad_section_end --> ขอรับซองกฐินวัดกลางชูศรีเจริญสุข จำนวน 10 ซอง
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->phongporn ขอรับซองกฐินวัดกลางชูศรีเจริญสุข จำนวน 10 ซอง
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->jsp ขอรับซองกฐินวัดกลางชูศรีเจริญสุข จำนวน 5 ซอง
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->diamondtee ขอรับซองกฐินวัดกลางชูศรีเจริญสุข จำนวน 3 ซอง
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->hmg ขอรับซองกฐินวัดกลางชูศรีเจริญสุข จำนวน 2 ซอง
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->อูฐ<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6749485", true); </SCRIPT> ขอรับซองกฐินวัดกลางชูศรีเจริญสุข จำนวน 3 ซอง
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->hydroxy<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6749485", true); </SCRIPT> ขอรับซองกฐินวัดกลางชูศรีเจริญสุข จำนวน 3 ซอง
bangramardขอรับซองกฐินวัดกลางชูศรีเจริญสุข จำนวน 5 ซอง
peerasitg ขอรับซองกฐินวัดกลางชูศรีเจริญสุข จำนวน 2 ซอง
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->khanngoen ขอรับซองกฐินวัดกลางชูศรีเจริญสุข จำนวน 2 ซอง
cnsya ขอรับซองกฐินวัดกลางชูศรีเจริญสุข จำนวน 2 ซอง
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->KonnoK ขอรับซองกฐินวัดกลางชูศรีเจริญสุข จำนวน 2 ซอง


* ต้องขอโทษด้วยนะครับ หากขาดท่านใดไป กรุณาแจ้งชื่อที่อยู่เพิ่มเติมทาง PMด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ<!-- google_ad_section_end -->

(f)(f)(f)(f)(f)(f)(f)(f)(f)(f)(f)(f)(f)

 

พอดี เมื่อเช้าผมส่งพัสดุไปแล้ว ...
ยังขอยืนยัน ที่จะร่วมทำบุญต่อไปครับ
ส่วนตัวคิดว่า อยู่ที่เจตนาในการทำมากกว่า
พระสมเด็จ 92-93 ก็มีพระสมเด็จวัดระฆังเป็นมวลสาร
การแบ่งปันของส่วนตัว ไปเป็นของสาธารณะ แล้วมีประโยชน์ ไม่มีใครเสียหาย เป็นเรื่องดี
ถ้าทำแล้วสบายใจ ผมถือว่า เป็นบุญแล้วครับ

ขอบคุณครับ

 

ให้กำลังใจพี่โจนะค๊ะ ล้มก็ล้มว่าจะทำร่วมทำซะ 2 แผ่น
งั้นทำ 6 แผ่นดีกว่า ชิล ๆ นะพี่โจไปฟังเพลงกำลังใจ
กันดีกว่า..

 

นำภาพพระบูชาหลวงปู่ทวด เนื้อเก่าๆ ปีลึกๆ มาฝากกันครับ

 

แวะมาอ่านเรื่องดี ๆ ย้อนหลังครับ สงสัยอ่านกันตาบวมแน่ เพราะไม่ได้เข้ามาหลายวันแล้ว พี่ ๆ ทุกคนสบายดีกันนะครับ...

 

มาเป็นกำลังใจให้พี่โจครับ.....

 

สวัสดีครับศิษหลวงปู่ดู่

 

จ๊าก..กก..น้องลีจ๋า..

เดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่..

พอดีวันนี้ไปเขาใหญ่ตั้งแต่เช้า เพิ่งกลับถึงบ้านเดี่ยวนี้..เลยเพิ่งเข้ามาในบอร์ดจ้ะ..

ไม่มีอะไรเลย..ไม่มีอะไรในจิตใจจริงๆ..

โธ่..อายุปูนนี้แล้ว ผ่านอะไรมาก็ตั้งเยอะแยะ จะไปคิดบ้าอะไรเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนี้..

การที่เลิกโครงการ...อยากขอกราบเรียนว่า...จริงๆไม่มีอะไรเลย

เพียงแต่เห็นว่า..เรื่องของธรรมะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนลึกซึ้ง..อยู่ที่มุมมองของแต่บุคคล ดังนั้นจึงไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งใดๆทางความคิด และความเชื่อมั่นของแต่ละบุคคล

ซึ่งแน่นอน..ขึ้นชื่อว่าผู้สนใจมองธรรมะ พิจารณาธรรมะ คนจำพวกนี้..ยิ่งมีน้อยๆกันอยู่แล้วในสังคมปัจจุบัน ดังนั้นการคิดพิจารณาอะไรที่อยู่ในกรอบแห่งธรรม ไม่ได้คิดไปในเรื่องอกุศล คนเช่นนี้ย่อมได้ชื่อว่าเป็นคนดี อยู่ในศีลในธรรม จึงสมควรแก่การอนุโมทนา

อย่างไรก็ดี..เรื่องของธรรมะ เป็นเรื่องที่อาจมีความเห็นต่างกันได้ ซึ่งแน่นอนย่อมไม่ใช่เรื่องผิดและเสียหายใดๆ..จุดสำคัญจึงอยู่ที่ว่า..อย่าได้คิดชนะคละคลานกัน เพราะเมื่อพิจารณาจากเหตุปัจจัยแห่งความเห็นแย้ง ก็จะเห็นได้ว่า..ทุกฝ่ายทำไปก็เพื่อวัตถุประสงค์เดียว ซึ่งก็คือ ความเป็นห่วงเป็นใยกัน

การที่ยกเลิกโครงการ เนื่องจากพี่เห็นว่าอะไรก็แล้วแต่..ที่เป็นไปเพื่อการกุศล เพื่อการมงคล ซึ่งหากมีเรื่องของความไม่สบายใจเข้ามาเกี่ยข้อง..นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่

ดังนั้นจึงห่วงไปถึงน้องๆ ด้วยสำนึกว่าการใดที่เราทำลงไปโดยที่จิตเกิดความไม่สบายใจ ไม่แน่ใจ หรือกล้าๆกลัวๆ ขาดเสียซึ่งความมั่น เช่นนี้แล้วผลบุญย่อมไม่บังเกิดผลตามเจตนาที่มุ่งหวังไว้ และจะกลายเป็นเอาความทุกข์มาให้น้องๆเข้ามาแทนที่

พิจารณาเห็นเช่นนี้แล้ว จึงได้ตัดสินใจยกเลิกโครงการ

ซึ่งก็แค่นี้เองครับ...สรุปคือ..ไม่มีอะไรในกอเผือกจริงๆ ครับ

ไม่ได้น้อยอกน้อยใจอะไรเลยสักนิด เพียงแต่เป็นห่วงจิตใจของเพื่อนๆมากกว่า และก็นึกขอบใจน้องๆบางท่านที่ส่งข้อความมาเตือนหรือแสดงความคิดเห็น ทั้งนี้ทั้งนั้น พี่เข้าใจดีครับว่า ทั้งหมดเป็นไป ก็เพื่อความเป็นห่วงเป็นใยในหมู่คณะเท่านั้น

จึงขออนุญาตกราบเรียนเหตุผลมา ณ ที่นี้ และขอขอบพระคุณทุกๆท่านครับ

ธรรมะสวัสดี..

 

วันนี้ "วันพระ" มาพร้อมกับสายฝน ตลอดวัน บรรยากาศเย็นๆ ขอให้ทุกคนเริ่มต้นกับวันแรกของสัปดาห์ ด้วยความสุขกันทุกคนนะคร๊าบ

เอาพระถอดพิมพ์หลวงพ่อเต๋ กับเกศาหลวงปู่(แบบกองทัพ)มาให้ชมกันครับผม



ขยายๆๆๆ

 

ของผมส่งแล้วละครับ เดี๋ยวรายละเอียดจะแจ้งทาง pm ครับ
ส่วนตัวผมก็ว่าอยู่ที่เจตนาครับ
บางทีเห็นงานใหญ่ ๆ ก็แบบนี้เหมือนกัน มีทั้งคนค้านและสนับสนุนครับ
สรุปว่าผมร่วมทำครับพี่โจ

 

ถ้ามีหลายกองทัพก็แบ่งมาสักหนึ่งกองร้อยก็ได้นะครับ^^

 

สอบถามพี่ๆครับตอนนีเเหรียญ กระโดษบาตร บล๊อกธรรมดา ราคาอยู่ที่เท่าไหลครับ

 

แจ้งส่งพัสดุ EMS ครับ 08 / 10 / 2012 เวลา 09:24:18
คุณกำธร EJ 1645 1479 1 TH ขอบคุณมากครับ
คุณชุมพร EJ 1645 1480 5 TH ขอบคุณมากครับ
คุณศักรินทร์ EJ 1645 1481 4 TH ขอบคุณมากครับ


<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

.
.
* วันนี้ลงรายการนิดหน่อยครับผม :z16

 

ตอบเหรียญกระโดดบาตร บล๊อกธรรมดา ให้ทางPM แล้วครับ

 

หูยๆๆๆๆๆท่านพี่ ผมว่าที่บ้านพี่มีหลายกองทัพแล้วล่ะม้างงงงง:z7

 

<CENTER>เจตนาใดในพระพุทธรูป ?

</CENTER>



ปัจจุบัน ความเคารพนับถือในพระ “ พุทธรัตนะ” ดูเหมือนจะแปรเปลี่ยนไปในคนบางกลุ่ม พระพุทธรูปซึ่งควรเป็นรูปเคารพที่สื่อให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธคุณ กลับถูกเคารพในฐานะรูปศักดิ์สิทธิ์ที่มีฤทธิ์สามารถบันดาลให้ผู้คนสมหวังในสิ่งที่ร้องขอ

ดังเช่นคุณแม่ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า สอนให้ลูกกราบพระพุทธรูป เพราะกราบแล้วได้เงิน แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ลูกยังไม่มีเงินใช้อยู่เลย พอกราบพระเท่านั้น อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมามีคนเอาเงินมาให้ถึงบ้านทั้งแม่ทั้งลูกกลับมองความบังเอิญว่าเป็นเพราะพุทธคุณบันดาล

หรือในบทความบางแห่งปรากฏข้อความที่ระบุง่า “ เป็นคำตรัสของพระพุทธองค์ ” ใจความว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การทำความดี หรือความชั่วอะไรส่งผลดีหรือร้ายให้บังเกิดแก่ผู้ทำอย่างไร เช่น พระพุทธองค์ตรัสว่าในชาตินี้มีคนนับหน้าถือตาเพราะชาติที่แล้วบูชาพระพุทธรูปด้วยดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม ชาตินี้เกิดมาสวยงามเพราะชาติที่แล้วหมั่นบูชาพระพุทธรูป เป็นต้น

คำกล่าวเช่นนี้น่าจะเป็นการรจนาของอาจารย์ท่านใดมากกว่าเป็นพุทธพจน์ เพราะในสมัยพระพุทธองค์ยังไม่มีการสร้างรูปเคารพของพระศาสดา

การสร้างพระพุทธรูปเพื่อเป็นการระลึกถึงพระพุทธองค์เกิดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๔ หรือก็คือหลังจากพุทธปรินิพพานประมาณ ๕00 ปี ในรัชสมัยพระเจ้าเมนันเดอร์ รัชทายาทของอาณาจักรบากเตรีย ( ครองราชย์ปีพ.ศ. ๓๘๔ – ๔0๙ แต่บางตำราว่าปี ๕00 ) พระองค์เกี่ยวข้องกับพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชคือ เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์บุกมาพิชิตตะวันออก ทรงตีได้เมืองใด ก็แต่งตั้งขุนพล หรือพระญาติของพระองค์ปกครองเมืองนั้น พระเจ้าเมนันเดอร์ หรือมินันเดอร์ทรงเป็นทายาทของผู้ที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้แต่งตั้งไว้ในตอนนั้น

เมื่อพระเจ้าเมนันเดอร์ ขึ้นครองราชย์ ทรงกรีฑาทัพบุกอาฟกานิสถาน อินเดีย เข้าตีแคว้นปัญจาบ กาศมีระ คันธาระ ไปตลอดลุ่มแม่น้ำคงคาตอนเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วตั้งเมืองสาคละนครเป็นเมืองหลวง

ความที่ทรงปราดเปรื่องทั้งพิชัยสงครามและปรัชญา เมื่อทรงมีอำนาจเหนือภูมิภาคแถบนี้แล้ว โปรดให้เชิญบรรดาคณาจารย์ นักบวชในลัทธิ หรือศาสนาต่างๆเข้าเฝ้าเพื่อโต้ตอบปัญหากันมิได้ขาด วันหนึ่งได้เชิญพระนาคเสนซึ่งเป็นภิกษุในพุทธศาสนาผู้ทรงปัญญาแตกฉานในพระไตรปิฏกและอรรถกถาไปโต้ตอบปัญหาศาสนาและปรัชญากัน คำปุจฉาวิสัชนาของทั้งสองได้ถูกจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร จนเป็นที่รู้จักกันดีในนาม “ มิลินทปัญหา ” ( ชาวอินเดียเรียกพระนามพระเจ้ามินันเดอร์เพี้ยนไปเป็น มิลินทะ ส่วนชาวไทยเรียกตามอินเดียอีกที )

หลังการโต้ปัญหา พระเจ้ามินันเดอร์ทรงซาบซึ้งในศาสนาพุทธ จนเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาแทนการนับถือศาสนาแบบพหุเทวนิยม นั่นคือมีเทพเจ้าหลายองค์ เช่น เทพเจ้าแห่งขุนเขา เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ เทพเจ้าแห่งสุริยะ เป็นต้น เมื่อเคารพเทพองค์ใดก็สร้างรูปเคารพของเทพองค์นั้นไว้กราบไหว้ บวงสรวง พระเจ้ามินันเดอร์ ได้โปรดให้ช่าง หรือศิลปินชาวคันธาระ สร้างพระพุทธรูปขึ้นโดยอาศัยรูปปั้นของเทพเจ้าเปาโลเป็นเค้าต้นแบบ ดังนั้นพระพุทธรูปในยุคแรกๆ จึงมีพระพักตร์แบบฝรั่ง เรียกว่าพระพุทธรูปแบบคันธาระ และนั่นจึงเป็นการริเริ่มพุทธประติมากรรมสืบมาจนปัจจุบัน

จึงเห็นว่าในสมัยพุทธกาล ไม่มีพระพุทธรูปให้คนทั่วไปกราบไหว้ ดังนั้นการที่บอกว่า พระพุทธองค์ตรัสถึงการบูชาพระพุทธรูปว่าจะนำลาภสักการะใดๆมาสู่ผู้บูชา จึงน่าจะเป็นคำกล่าวของผู้เลื่อมใสพระศาสนาในยุคหลังๆที่กล่าวขึ้นเพื่อเป็นอุบายให้คนไหว้พระ ให้ทำความดีมากกว่า

เจตนาดี ผลลัพธ์อาจออกมาดี แต่บางครั้งกลับเปลี่ยนไปเป็นตรงข้าม

ศาสตราจารย์แสง จันทร์งาม ได้ให้ความเห็นไว้ในหนังสือประทีปธรรมถึงการมีพระพุทธรูป ผลดี และผลเสียของการมีพระพุทธรูปไว้ว่า

“ การสร้างรูปเคารพของพระศาสดาตนนั้น มีประโยชน์หลายประการ เช่น

๑. ทำให้พุทธศาสนิกชนรู้สึกว่าตนได้อยู่ใกล้ชิดพระศาสดา เกิดความอบอุ่นใจ ไม่ว้าเหว่เกินไป แม้พระพุทธองค์จะปรินิพพานไปนานแล้ว

๒. พระพุทธปฏิมาจะทำหน้าที่เป็นอนุสาวรีย์เตือนใจให้ระลึกถึงพระบรมครูและคุณความดีต่างๆของพระองค์ ทำให้เกิดกำลังใจในการทำความดี ทำให้เกิดความละอายใจในการทำชั่ว

๓. ตามปกติ ชาวพุทธจะทุ่มเทศรัทธา แรงงาน ทุนทรัพย์ เวลา และความสามารถทางศิลปกรรมอันสูงส่งให้แก่การสร้างพระพุทธปฏิมา ทำให้พระพุทธรูปกลายเป็นศิลปวัตถุอันล้ำค่า มีความสวยงาม น่าเคารพเลื่อมใส สามารถชักนำจิตใจของผู้ได้พบเห็นให้เกิดศรัทธาปสาทะในพระพุทธศาสนาได้

๔. พระพุทธปฏิมาย่อมเป็นโบราณวัตถุอันคงทนถาวร เป็นพยานส่องให้เห็นสภาพการณ์ต่างๆในอดีต นักโบราณคดีจึงได้อาศัยพระพุทธปฏิมาเป็นเครื่องศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติได้เป็นอย่างดี

ข้อเสียในการมีพระพุทธปฏิมา

อย่างไรก็ตาม การมีพระพุทธปฏิมาก็มีข้อเสียอยู่บ้าง เพราะคนผู้มีศรัทธามาก มีปัญญาน้อย เมื่อเห็นพระพุทธปฏิมาเข้า แทนที่จะถือว่าเป็นเพียงอนุสาวรีย์ เป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธองค์ กลับถือว่าเป็นพระพุทธองค์เสียเอง เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็กราบไหว้บูชา บวงสรวงพระพุทธปฏิมานั้นโดยตรง ถ้านับถืออย่างนี้ พระพุทธปฏิมาแทนที่จะเป็นอนุสาวรีย์เตือนใจให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า กลับเป็นเครื่องขัดขวางไม่ให้เห็นพระพุทธเจ้า เป็นกำแพงมิให้เข้าถึงพระพุทธรัตนะอันแท้จริงที่อยู่เบื้องหลัง”

การกราบไหว้พระพุทธรูป จึงมีทั้งข้อดีและข้อเสียดังที่ได้เล่ามา

เมื่ออ่านบทความนี้จบแล้ว อยากให้ลองถามตัวเองดูนะ

ว่าเราควรจะเลือกเคารพพระพุทธรูปในรูปแบบไหน ?

........................................................................

อ้างอิง

ศาสตราจารย์แสง จันทร์งาม ประทีปธรรม สร้างสรรค์บุ๊คส์ ๒๑๗ ซอยสุขุมวิท ๒0 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพ

นวองคุลี เหตุเกิดหลังพุทธปรินิพพาน วัดสุวรรณประสิทธิ์ คลองกุ่ม บึงกุ่ม กรุงเทพ

 

ขอรบกวนถามเพื่อนๆ หน่อยนะครับ

พอดีได้มีโอกาสสนทนากับ เพื่อนๆพี่ๆหลายท่านมา ก็ทำให้เกิดความสงสัยอยู่ไม่น้อย เลยอยากจะฟังความคิดเห็นจากหลายๆด้านหลายๆความคิด เนื่องจากเห็นว่า สมาชิกในเวปนี้ก็ล้วนแต่ มีความรู้มีความรักดี ในพระพุทธ ในธรรมะ ในพระสงฆ์ กันอยู่มิใช่น้อยเลย


เรื่องมีอยู่ว่าทำไมในยุคปัจจุบันนี้ เราเกิดอยู่ในศาสนาของ พระพุทธเจ้า "พระสมณโคดม" แท้ๆ แต่เหตุใด ปัจจุบันถึงได้มีการสร้างพระ หรือหล่อพระ เป็นพระสมเด็จองค์ปฐม หรือไม่ก็ พระศรีอริยะฯ(องค์พระพุทธเจ้าในอนาคตกาล) หรือไม่ก็พระทรงเครื่องจักรพรรดิ์ กันมากมาย แล้วพระพุทธโคดม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนั้น หายไปไหน? แล้วพระพุทธรูปที่เป็นสื่อถึงความสงบความร่มเย็น ความเรียบง่าย ความเป็นสมถะ ความอบอุ่น ความเมตตา อย่างเช่นพระพุทธรูปสุโขทัย ที่เคยมีมาหายไปไหนกัน?

ไม่รู้ว่าเพื่อนสมาชิกมีความรู้สึกเหมือนกันหรือเปล่าเวลาเรากราบพระพุทธรูป ที่ท่านห่มจีวรธรรมดา พระพักต์ธรรมดา พระเนตรหลบต่ำ พระโอษฐ์แย้มน้อยๆ เราจะสัมผัสได้ถึงกระแสความอบอุ่น ความเมตตา จากพระองค์เหนือคณานับ แต่อีกมุมนึงพระพุทธรูปที่ทรงเครื่องฯ ผมรู้สึกเหมือนว่าเราเข้าไม่ถึงพระองค์ เราอยู่ห่างจากพระองค์มากเหลือเกิน (หรือว่าผมจะไม่มีบุญไม่มีวาสนาก็ไม่รู้) ร


ซึ่งโดยความเห็นเป็นส่วนตัว(มากๆๆๆ)นะครับ ผมเห็นว่า
ชาวพุทธเราเดินมาถูกทางกันหรือเปล่า?
เราติดในความเป็นวัตถุ มากไปหรือเปล่า?
เราสร้างโน่นสร้างนี่กันแล้ว เราได้สร้างใจเราหรือยัง?
เราเห็นธรรมะของพระพุทธเจ้ากันหรือยัง?
เราเห็นธรรมะกันมากน้อยแค่ไหน?

การสร้างพระก็เป็นการสืบทอดพระศาสนาวิธีนึ่งซึ่ง ผมก็เห็นด้วยแต่ก็ควรอยู่บนพื้นฐานของความพอดี เห็นบางที่สร้างกันใหญ่โต สร้างแล้วสร้างอีก ต้องสร้างเป็นทองคำนะจะได้บุญเย๊อะ ต้องสร้างต่อเนื่องนะ ไม่มีเงินก็ผ่อนได้นะ ไม่ทำตอนนี้ระวังจะตกบุญนะ เดี๊ยวจะตามหมู่คณะไม่ทันนะ บริจาคเงินเย๊อะๆจะได้บุญมาก(แต่ที่เห็นมาเบื้องหลังบางครอบครัวต้องแตกแยก มีที่ขายที่ มีทรัพย์สินขายทรัพย์สิน ครอบครัวแทบไม่มีกิน ขายหมดเพื่อเอาเงินมาทำบุญมาบริจาค) ถ้าทำบุญบริจาคแบบนี้จะได้บุญจริงๆหรือ? ต้องสวดบทนี้นะแล้วจะรวย ต้องภาวนาแบบนี้นะถูกต้อง แบบอื่นที่ไม่ใช่ตามนี้ไม่มี แบบอื่นที่ไม่ใช่ตามนี้ไม่ถูก .........

บางสำนัก ก็เล่ากันไปฝันกันไป ลูกคู่ก็คอย อืมๆๆๆ โอ้ๆๆๆๆๆ ......นะจ๊ะ
บางสำนัก ก็สวดเข้าไว้บทนี้สวดแล้วรวย สวดเย๊อะๆ สวดกันวันละ 108 จบเลยนะ
บางสำนักก็ สว่างหรือยัง เห็นหรือยัง......ใครไม่เห็นแสดงว่าไม่ใช่พวก
น้อยที่นัก ที่จะสอนให้ดูจิตของตัวเอง ให้มองหาทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ และการดับทุกข์

แต่ก็ นานาจิตตัง อีกนั่นล่ะ "หรือว่านี่ถึงจุดแห่งพุทธทำนายแล้ว ถึงแล้วซึ่งกึ่งพุทธกาล"

แล้วธรรมะ ของพระพุทธองค์อยู่ตรงไหน พระพุทธเจ้าท่านให้มองตัวเอง ให้มองภายในของตัวเอง ให้ระลึกรู้จิตของเราเอง มิใช่หรือ?

ทั้งนี้ก็มิได้มีเจตตนาใดๆแอบแฝงนะครับ เพียงแค่เกิดความสงสัยขึ้นมาในจิตใจเป็นเนืองๆ

ต้องขออภัยด้วยนะครับหากเป็นการรบกวน เพื่อนสมาชิก _/I\_

 

<CENTER>พระพุทธทำนาย หลังกึ่งพุทธกาล

</CENTER>


สาธุอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระสัพพัญญูรู้แจ้งโลกทั้งในอดีตและอนาคต ทรงมีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกเป็นล้นพ้นเมื่อครั้งพระองค์ดำรงพระชนมายุอยู่ ได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า

ดูกรอานนท์เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาลสัตว์โลกทั้งหลาย ที่เกิดในยุคนั้นจะพบแต่ความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลกที่หมุนไปใกล้ความแตกทำลายแผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟมนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ

คนในสมัยนั้น (คือปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิตจะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคตก็จะระงับร้อนไม่รุนแรงบ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดาเหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎแห่งธรรมชาติไม่พ้น
เริ่มแต่พระพุทธศาสนาล่วงเลย ๒,๕๐๐ ปีเป็นต้นไปไฟจะลุกลามมาทางทิศตะวันออกไหม้วัดวาอาราม สมณะชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงเผาผลาญเหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำมหาสมุทรจะชอกช้ำสงครามจะทั่วทิศศึกจะติดเมืองข้าวจะขาดแคลนทั่วแคว้นจะอดอยากผีโขมดป่าจะเข้าเมืองพระเสื้อเมืองทรงเมือง จะหนีเข้าไพรผู้เป็นใหญ่มีอำนาจจะเรียกแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัวมาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับมาเป็นเวลานานจะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลกดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพังแผ่นดินจะล่มเป็นทะเลโลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ ในระยะนั้นศาสนาของตาคตเสื่อมลงมากเพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรมเชื่อคำของคนโกงกล่าวคำเท็จไม่เคารพหลักธรรมนิยมคนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติปฏิบัติดีกลับไม่มีใครเคารพยำเกรง

พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่งก็ต่อเมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้นอยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ทั้งสองพระองค์สถิตย์อยู่ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศจะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตาคตให้รุ่งเรืองสืบไปถึง๕,๐๐๐พระวรรษา

ดู่ก่อนอานนท์เวลานั้นพลโลกเหลือน้อยคำทำนายของตถาคตนี้ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน

ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติให้รักษาศีล๕ ประการเจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพมีใจสันโดษรู้จักพอไม่โป้ปดคดโกง ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตาคตให้มั่นคง จึงพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล

ท่านผู้อ่านที่เคารพ พระพุทธทำนาย หรือพุทธฏีกาพยากรณ์ดังว่านี้พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสแก่พระอานนท์ พระพุทธอนุชา ซึ่งปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดจวบจนเสด็จสู่ปรินิพพานอันพระอานนท์นั้นนับได้ว่าเป็นผู้ที่ฟังธรรมของพระพุทธองค์มากที่สุด เป็นบุคคลสำคัญในการสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งที่๑ ท่านเป็นผู้ที่มีความจำเป็นเลิศ ท่านได้ถ่ายทอดหลักธรรมของพระพุทธองค์ที่ได้ยินได้ฟังมาแก่ที่ประชุมสงฆ์ และได้ใช้เป็นหลักคำสอนในพระพุทธศาสนามาจนทุกวันนี้

เมื่อพระพุทธองค์ทรงประกาศพระศาสนา ได้ทรงมีพุทธดำรัสว่าศาสนาของพระพุทธองค์นั้น จะมีอายุเพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น ต่อจากนั้นโลกก็จะว่างจากศาสนา อยู่ในช่วงกลียุคจวบจนถึงวาระอันควร โลกก็จะอุบัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาใหม่อีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า"พระศรีอาริยเมตไตรย์"เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่๕นับเป็นองค์สุดท้ายในภัทรกัปป์นี้
ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ท่านได้ตรัสถามแก่พระอานนท์ว่าในศาสนาของตถาคตรวม ๕,๐๐๐ ปี นี้ใครจะขออะไรบ้าง

พระอานนท์ก็ทูลขอให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณรภิกษุณี ชี พราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกา เป็นผู้ดูแลและบำรุงพระศาสนาเป็นเวลา ๒,๕๐๐ปี
พระพุทธองค์ก็ตรัสถามต่อไปว่า ใครจะขออะไรอีก
เหล่าเทพยดาทั้งหลาย ทั้งพระอินทร์ พระพรหมจึงทูลขอให้เหล่าทวยเทพทั้งหลาย ได้ปรนนิบัติบำรุงพระศาสนา เพียงครึ่งหนึ่งของพระอานนท์ คือ ๑,๒๕๐ ปี พระองค์ก็ทรงอนุญาต
และก็ได้ตรัสถามต่อไปอีกว่า ยังเหลืออยู่ ๑,๒๕๐ ปี นั้นเล่าใครจะขอต่อไป
บรรดาเหล่าครุฑาวาสุกรี คนธรรม์นาฏกุเวร นาคราช กินนร กินรี และภูติผีปีศาจจึงทูลขอคุ้มครองดูแลและปรนนิบัติบำรุงต่อไปอีก ๑,๒๕๐ ปี

โดยร่วมแรงร่วมใจกันผนึกกำลังกันไปจนกว่าศาสนาจะค่อย ๆ เรียวลงไป มนุษย์ก็จะเล็กลงๆ ไปตามลำดับ

ขอบคุณที่มา : http://www.pantown.com/board.php?id=14437&area=1&name=board1&topic=50&action=view

ขออนุโมทนาสาธุกาลเป็นอย่างสูงที่เอื้อเฟื้อข้อมูล

 

สวดยวดเลยลวกเพี่ย _/\_
มาเป็นกองทัพจิงๆด้วยครับพี่อิฐ ตระการตาเลยครับผม

 

เห็นคุณ" คนมีของ " โพสต์ข้อความต่างๆลงในกระทู้แล้ว..

ทำให้คิดถึงบทความหนึ่ง..ที่จริงๆก็เขียนมานานหลายอาทิตย์แล้ว

เก็บไว้ใน word แต่ไม่กล้านำมาลง

เห็นมีบทความเกริ่นนำแล้ว จึงใคร่อยากเสนอแนวความคิดเห็นโดยส่วนตัวบ้างครับ

หัวข้อ : ศิลปะพระพุทธรูปที่เปลี่ยนแปรไปตามยุคสมัย..<O</O
<O</O
จั่วขึ้นหัวไว้อย่างนี้..เพื่อนๆอาจ..งง..ว่าพูดถึงเรื่องอะไร<O</O
<O</O
ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เพียงแต่ช่วงนี้ผมออกจะได้มีโอกาสออกไปเยี่ยมเยียนดูโรงงานหล่อพระมากหลายแห่งอยู่สักหน่อย<O</O
<O</O
สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นถึงความผิดปกติก็ดี คือ..<O</O

รูปแบบหรือศิลปะค่าความนิยมแห่งการสร้างรูปพระพุทธรูปได้เริ่มมีการเปลี่ยนไป<O</O
<O</O
กล่าวคือ ถ้าพูดตรงๆก็คือ เห็นภายในโรงงานที่กำลังลงมือทำ ปั้นแบบ ,หรือหล่อรูปพระพุทธแบบต่างๆอยู่<O</O
<O</O
เดี่ยวนี้รูปพระพุทธเจ้าปกติๆ ที่เราเห็นจนคุ้นตาเริ่มมีน้อยลง ที่เห็นก็จะมีแต่องค์ที่หล่อเดิมตั้งโชว์ไว้ที่หน้าร้าน

แต่ที่ทำใหม่ๆตอนนี้ ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของโรงงาน เท่าที่สอบถามดูหลายๆแห่งข้อมูลก็จะสอดคล้องกัน

คือ.. งานหล่อหลักที่มีออเดอร์เข้ามาทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรูปเทพแบบต่างๆ อันนี้มากมายเป็นพิเศษ

รองลงมาก็พระพุทธรูป แต่พระพุทธรูปปกติๆเดี๋ยวนี้ คนเขาไม่ค่อยนิยมกันแล้ว เขาจะนิยมที่เห็นชัดๆก็จะมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบที่เรียกว่าพระพุทธเจ้าองค์แรก (สมเด็จองค์ปฐม) กับ แบบพระมหาจักรพรรดิ

คือ รูปแบบแห่งศิลปะจะเปลี่ยนไป จากความเรียบง่าย สงบ เย็น ก็จะเปลี่ยนเป็นทรงเครื่องแบบเทวดา ใส่ชฏา อุดมด้วยแก้วแหวนเงินทอง คือ มีความใกล้เคียงกับความเป็นมนุษย์มากขึ้น พระยังอุดมด้วยเครื่องเคลาแห่งกิเลสครบถ้วน นัยยะว่าเครื่องทรงเยอะๆ แสดงถึงความร่ำรวยและบารมีแห่งพระองค์

กาลปัจจุบันเรื่องอันเกี่ยวกับวัตถุมงคลทั้งหลายแหล่ สมัยนี้ถ้าอะไรๆที่ไม่เกี่ยวกับความร่ำรวย อย่าหวังว่าจะได้เป็นที่นิยม อะไรๆก็ต้องร่ำรวยไว้ก่อน เรียกว่าวัตถุมงคลเพื่อประชานิยมก็ได้

ท้าวจตุคามรามเทพโด่งดังทั่วประเทศ ทำให้พระทุกวัดผู้ได้ชื่อว่าศิษย์คถาคต ต่างละทิ้งองค์พระพุทธเจ้า สวามิภักดิเข้ากราบไหว้เทพ กราบไหว้ยักษ์ราหูหมด เรียกว่าเปลี่ยนนิกายจากพุทธะ เป็นสาวกยักษ์ สาวกเทพหมด เหตุผลเดียวก็คือ“...ไหว้ได้....ขอรับ.. “ ตามคอนเซ็บที่ผู้ทำตลาดคนแรกบูมขึ้น พูดง่ายๆก็คือ “รวย” นั่นเอง “เขาว่าแขวนแล้วรวย ขออะไรก็ได้ “ เมื่อรวยก็ต้องนิยม และก็ทำให้ผู้นิยมความรวยที่สุดต้องจนไปตามๆกัน เพราะเช่าไว้เยอะ แต่ผู้คิดคอนเซ็บช่องทางการตลาดนี้ ต้องถือว่าเยี่ยมยอด ร่ำรวยไปตามๆกัน ทั้งทีมงานผู้สร้าง ทั้งวัด ทั้งเจ้าอาวาส ทั้งกรรมการวัด ทั้งพระเพี้ยนรำดาบ ทั้งร่างทรงคนปลอม ฯลฯ (น่าสงสารจริงหนอ...น่าสงสารจริงหนอ..ทำไมคิดสั้นกันเช่นนี้..ร่ำรวยได้เพียงชาติเดียวนี้เองหนอ..)

เรื่องราวดังกล่าวหาใช่เพียงรูปแบบแห่งเทพไม่. .แม้รูปพระพุทธเจ้าเอง..ก็หาได้มีข้อยกเว้น..

เดี่ยวนี้คนไหว้พระเข้าไม่เอาธรรม เอาความสงบ ความอารมณ์แห่งความเยือกเย็นบนใบหน้าท่าน มาเป็นอนุสติเตือนตนให้ซาบซึ้งถึงอารมณ์ความสงบ ละซึ่งกิเลสต่างๆกันแล้ว

คนเขาไหว้พระ ก็หวังแต่ความร่ำรวยกัน ครูบาอาจารย์ท่านสอน ท่านก็จะสอนแต่ความร่ำความรวย ไม่สอนเรื่องละกิเลสกัน

รูปแบบแห่งพระพุทธโคดม สมเด็จพระพุทธเจ้าในกาลปัจจุบัน ชักถูกลบเลือนมากขึ้นทุกๆวัน

คนเริ่มละทิ้ง “พุทธะ” เข้าหา “เทพ”

คนเริ่มทิ้งพระสมณโคดม เอาเป็นองค์นู้นองค์นี้..หรือองค์อนาคตนู้น...

<O</O
พระพุทธเจ้าเคยมีหน้าเดียว จิตเดียว คนบ้าๆ ก็อุตริไปเพิ่มเศียรให้ท่านรอบทิศ เลียนแบบตามลัทธิเทพ

พระพุทธรูปที่เคยสงบนิ่ง เดี่ยวนี้ก็เลยต้องอุ้มเอากิเลสของมนุษย์มาไว้ในอาภรณ์เครื่องประดับท่านด้วย

อืม..นี่ก็เลยกึ่งพุทธกาลมาแล้วน่ะ...อะไรๆมันก็ต้องเป็นอย่างนี้ล่ะ...

“ ลูกขอสัตย์ซื่อต่อองค์สมเด็จพระสมณโคดม จนถึงซึ่งนิพพานในพุทธกาลแห่งพระองค์เทอญ..”



.........ทุกสรรพสิ่งล้วนตกภายใต้กฏแห่งไตรลักษณ์
.........เกิดขึ้น..ตั้งอยู่...ดับไป...
.........เข้าใจโลก เข้าใจสภาวะธรรม..เข้าใจความเป็นไป...สบายใจแล






ความงดงาม..เรียบง่าย..สงบ..เย็น..แห่ง....พุทธะ

พระอาจารย์ชยสาโร..




<O</O<O</O