เรื่องเด่น มนุษย์ต่างดาวติดต่อเราหรือยัง-ควรบอกว่า เมื่อไหร่จะไป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย chandayot, 18 เมษายน 2012.

  1. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ทักทายกับเจ้าแม่สนธยา เอ๊ย คุณสายฝนฉ่ำใจ (เป็นหวัดเลยครับวันนี้) อยากจะให้ตามมาดูชีวิต เสี่ยรินทร์ของเรา ว่า มาจากไหน เป็นใคร อาจารย์ของเขาคือใคร
    ---ที่ ต.ป่าละอู ประจวบ มีผู้ปล่อยข่าวสายแร่ทอง มีคนระดับนักธุรกิจ มากับเลขาสาว มาช่วยกันคุ้ย หาทอง นั่นและ เค้าละ
    --เติบโตมาในครอบครัวคนจีน ต้องขยัน อดทน แม่ของเค้านับเป็นผู้หญิงเหล็กที่แกร่ง พ่อ เป็นคนขี้เกียจมั่กๆ แต่เสียเค้ายอมทุ่มทรัพย์ให้แก่อาจารย์ เพื่อให้วิชาตาทิพย์ให้แก่อาเตี่ยเป้นการตอบแทน พระคุณ ตระกูลเค้ามีพี่น้องหลายคน หญิงสาวสวย ชายก็หล่อ ขยันเอาการงาน มีเสี่ยรินทร์ี่ออกแนวเพลย์บอย (ธุรกิจเริ่มรุ่งเรื่อง ยิ่งใหญ่ตามนามสกุล "วงศ์วานแห่งดวงอาทิตย์") เขียนเล่นๆนะ ตอนไข้ขึ้น ถ้าเขียนดี ก็รีบซื้อไปออกอากาศหลังข่าวซะ

    --มันเป็นสัจจธรรมจากฟ้า หรือว่าตั้งแต่ยุคสร้างโลก (เทพธิดา นี-ฮา) ที่ว่า พี่น้องคนจีน ชอบด่ากัน ทะเลาะกัน เกลียดกัน ด่าทีผู้ชายโตๆ เป้นหัวหน้าครอบครัว -เจ้าของบริษัท ยังร้องไห้ แต่พี่น้องคนไทยรักกันดียิ่ง อ๊ะ ผิดๆ มันไม่ใช่สิ่งที่คุณเห็น ด่าจริง เจ็บจริง ร้องไห้จริง ว่าลื๊อค้าขายไง กินเหล้าหมด เจ๊งหมด ด่าแล้ว เซ็นเช็คให้ล้านนึง พี่น้องคนไทย สายเลือดเดียวกัน ด่าเสร็จ ซ้ำเติม ไม่มีคำแนะนำ ไม่ช่วยเหลือ ปล่อยให้ทั้งตระกูลนี้อดตายไป..แปลว่า..แปลว่า คนเชื้อสายจีน ที่เค้าดีๆ พูดไม่เพราะ แต่จริงใจสุดๆ

    เช่น นิมนต์พระก็ไม่เป็น "อาหลวงตา อั๊วขอเชิญลื้อไปกินข้าวบ้านอั๊วะน่อ แต่ลื้อต้องร้องเพลงให้อั๊วฟังเพราะๆนะ"หลวงตาท่านเห็นว่าเป็น คำพูดที่แสนจะซื่อตรง ทั้งจริงใจ ท่านจึงได้ยอมไปสวดขึ้นบ้านใหม่ให้

    --ลืมบอก คนที่ด่าน่ะคือเสี่ยกอ น้องชายเค้า เพราะเสี่ยกอ ทำธุรกิจแบบตรงๆ รูปแบบธรรมดาของคนจีนยุคเก่า แต่นรินทร์น่ะออกแนว ประยุกต์-แอ๊พพลายด์ --ศรีธนนชัยกว่าเยอะ พูดง่ายๆ ว่า เสี่ยรินทร์เค้าคือ วิญญาณคนไทยที่มาสิงอยู่เละตุ้มเป๊ะในความประพฤติ เมาแอ๋ แต่ว่า เขาก็คือ นักปฏิบัติธรรม เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าผมแกล้งพูด ผมยังงงๆอยู่ แม้แต่กรรมกรชาวอีสานของ บ.เราเอง ก็บอกว่า "พี่ๆ ช่วยบอกพี่รินทร์ให้เลิกยกแก้วเหล้า พูดธรรมมะ แล้วยกแก้วเหล้าข้ามหัวพระสักทีเถอะครับ คนบ้านผมเขาถือ"
    แน่นอน หนุ่มใหม่ ไฟแรงจากรั้วมหาลัยอย่างผม ไม่ได้ชอบเลย เพราะไม่ใช่อุดมการสร้างชาติตามอุดมคติเรา แต่ก้อยากรู้ --คนจีนเค้าสร้างธุรกิจกันยังไงให้รวยๆ เริ่มที่นี่แหละวะ เจ้าของบริษัทมันบ้าดี เลขาเค้าก็อดีตชาติเป็นนางยักษ์ แสนจะตัวโตและก็เซ็กซี่ (คลับบาหลีไฟใหม้ เลยมา)( จำเราจะต้องอยู่กะคนบ้าไปก่อน เผื่อจะได้ดี..เต๊งเตร็ง เตร่ง เตร๊ง..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2012
  2. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ณ งานผ้าป่าแห่งหนึ่ง เพื่นเขาบอกกับพระท่านว่า "ท่านครับ นายนรินทร์เพื่อนผมคนนี้ ชอบกินเหล้า เมา เที่ยวกลางคืน เหล้าบุหรี่ สุรานารีรอบกาย แต่เค้าว่า เค้ากำลังปฏิบัติธรรม" พระหนุ่มท่านมองหน้าคุณนรินทร์แว็บนึง ท่านก็บอกว่า "เขาปฏิบัติธรรมจริงๆน่ะ" "ยังไงหรือครับ ""เขาทำหน้าที่ของนักธุรกิจประเภทนึง"

    --จากเด็กเรียนภาคค่ำ เซลส์ขายอะไหล่รถ ใช้มอเตอร์ไซค์ เก็บเงินทองส่งให้เด็กหนุ่มอีกคนเรียนด้วย แต่คนนี้ แม้อายุเท่าเค้าเอง แต่เป็นอาจารย์--เค้าคืออดีตเจ้าของฉายา "เณรล่องหน" ที่ล่องหนเอาอดีต ณบ้านป่า ไว้เป็นตำนาน แต่สลายร่างมาเป็นเด็กใน กทม.--ปัจจุบันใครๆในวงการมวยจีนก็รู้จัก แต่ท่านคือปูชนียบุคคลในวงการมวยจีน ที่กรรมการมวยจีนระดับเส้าหลินจะต้องไม่พลาดทีี่จะเชิญไปร่วมการตัดสิน อย่างเพชรน้ำหนึ่งที่คัดกรองออกมาประดับฟ้าฮอลลีวู้ด เจ๊ท ลี เหรือ หลี่เหลียนเจี๋ย แค่ลูกศิษย์ของท่านคนนึงสามารถรำกระบอง เดินบนแก้วน้ำเรียงเป็นแนวโค้ง แต่ก็ยังปิดตาด้วย ต่อให้พวกเราห้าคน เอาดาบยาวไล่ฟันท่าน ยังไงก็ไม่ถูก เพราะท่านคือผู้บรรลุทั้งธรรมและศิลปะการต่อสู้ ชนิดที่ดาราฮอลลีวู้ด ก็ยังต้องมาเรียนกับท่าน
    --นรินทร์ ศิษย์ปลายแถว ได้แต่นั่งดูเค้าฝึกกัน- แต่สมองเค้าสามารถเก็บหลักวิชาได้หมด ดูมวยแปดทิศ กลับกลายเป็น เพลงดาบแปดทิศ จิตมนุษย์นี้ไซร้แสนช่างวิเศษ พวกเจ้าได้ครอบครองของวิเศษดั่งไข่มุกมังกรอยู่กับตัวแล้ว ใยจะต้องดิ้นรนหาสิ่งนอกตัว---นใจไร้จิต ใต้จิตกลับไร้ใจ-บ่อซิม นี่ก็เป็นคำสอนจริงๆ ของอจ.ท่านนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ผมก้ยังตีความไม่ออก เพราะเป็นเคล็ดวิขา ไท้เก้ก พวกจุดพลังที่ฝังเข็ม-ลมปราณอะครับ
    (โอ้..พี่เจษเขียนจากเรื่องจริงหรือนี่) ครับ จริงๆ พวกเขาตั้งท่าส่งหมัด(ท่าหมัดอาชา)กันบนปลายเสาเข็ม พลาดท่าตกมาก็คางเหลือง คนจีนเป้นคนที่มุ่งมั่นจริงจังเหลือเกิน-ทำอะไรเป็นจริงเป้นจังเพราะต้องสู้กับธรรมชาติอันโหดร้าย หน้าหนาว หนาวขนาดหิมะตก นอนงอมืองอเท้าก็หนาวตายสิ ศักยภาพทางจิตจึงเปล่งออกได้ถึงขีดสุด
    --ด้วย"พลังแห่งจิต แห่งปัจเจก -The Power of-One นี้จึงประสพความสำเร็จได้ทั้งธุรกิจ การงาน การสืบต่อสายธารประชากร-
    เป็นวัฒนธรรมประเพณีที่แพร่ไปทั่วโลก ด้วยความแข็งแกร่ง แต่งดงามยิ่งนัก

    -----------------
    มีผุ้ถามอาจารย์ จางซานฟง "นี่คือมวยอะไร ช่างน่าดูนัก" "ไร้ชื่อ ไร้ราก เกิดจากธรรมชาติ--ไท้เก็ก"
    ---------------------
    พลังกาย มีจำกัด-- พลังใจ ไร้ขอบเขต(ขออธิบายว่า "ถ้าเชื่อมั่นว่า พลังใจ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน มันก็ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แต่ถ้าให้มันไร้ขอบเขต แล้วอะไรจะตามมา)
    -มันคือ การนำเอาธรรมมะแบบ เต๋า หรือ ธยาน (เซ็น) นำมารวมเข้ากับเคล็ดวิชามวยจีน ก่อให้เกิดเป็นสาขาวิชาสองหมื่นกว่าสาขาที่เส้าหลิน-(กษัตริย์สั่งเผา เข่นฆ่าพระไปเกิอบหมด) ไม่นับ บู๊ตึ๊งและที่อื่นๆ
    ------------------------
    --หากจะคิดว่า มันคงไม่ใช่ ไม่จริงมั้ง ให้ลองไปหาดูคลิป และอ่านเรื่องวิชาลม ปราณ หรือ ชี่ ญี่ปุ่นเรียก คิ ( อาจจะมีคลิป )มีฝรั่งอเมริกันตัวใหญ่ยักษ์เล่าว่า บรู๊ซลีสาธิตพลัง โดยการต่อยมากลางอากาศช้าๆ ห่างตัวเค้าราว สิบเมตร ตัวเขาลอยกระเด็นลงไปในบ่อน้ำพุ บอกว่า "ไม่เคยเจออะไรที่แรงแบบนี้มาก่อน-
    มันคืออะไร "(มีภาพคลิปในหนังประวัติบรู๊ซลี) เขาว่า "มันคือพลัง ชี่ ซึ่งทุกคนมี ยิ่งเด็กเล็กๆจะใช้มันเป็น คุณอุ้มเด้ก ถ้าเด็กดิ้น คุณจะอุ้มไม่อยู่ สุนัข หรือสัตว์ต่างๆก้รู้จักใช้มัน" (เขาว่าเด็กเล็กจะจับปลาไหลได้ นิ้วล็อคหมับ เพราะไม่รู้ว่าจับไม่อยู่-จึงจับได้ ส่วนผุ้ใหญ่ รู้มากไป ก็จับไม่ได้--คล้ายๆหลักธรรมมะมั้ย--อยากบรรลุธรรม- นั่งเท่าไหร่ก็ไม่บรรลุ พอเลิกนั่ง จะนอนแล้ว -กลับบรรลุเฉยเลย

    -ผมเองพอรู้มาว่า อนุภาคปราณเล็กกว่าอะตอม พอๆกับที่อะตอมเล็กกว่ากาแลกซี่ อาจเป็นสนามของจิต-- ปราณเท่านั้นที่ได้สร้างสรรพสิ่งขึ้นมา เรื่องลึกๆ แบบนี้ผมมีเยอะ เอาเป็นว่า ลองฟัง ลำนำของคนบ้า ไปเรื่อยๆละกัน
    ------------------
    แต่งกระวี-กระวาด
    ได้บทนึง
    *---วันนี้พระสุรีย์ไม่ส่งแสง พระพิรุณแกล้ง โปรยปรายมา จนเฉี่อยแฉะ
    -ร้องแหะๆ แล้วฉัน วิ่งหนีฝน... จขกท.
    ---
    (สงวนลิขสิทธิ์เพราะเขียนยากมากช่วงๆนี้ แก้ไขกว่าครึ่ง ชม.แล้ว)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2012
  3. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ชีวิตของหนุ่มรินทร์ ก็เจริญไปได้ดี ด้วยร่างท้วม ใบหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์ แววตา ท่าทาง คำพูดนั้นสุดยอดแห่งความเจ้าปัญญา แแฝงปรัชญาสอนใจคน--แม้คนจีนเก่าๆ ก็ยอมรับว่า โหวงเฮ้งเค้าสุดยอด ไม่แพ้นักธรุกิจหมื่นล้าน" วิกรม กรมดิษฐ์"
    --จากกิจการรับซื้อบ้านเก่า ไม้เก่าของตระกูล ก็เจริญได้ดี เถ้าแก่ย่านเยาราช ปทุม อยุธยา ก็ทึ่งที่เค้าสามรถประมูลงานราชการได้ถี่มาก ถึงกับต้องมายกน้ำชาให้ พลังปัญญาบารมีเริ่มฉายแสง เขาหลงรักสาวพยาบาลบ้านใกล้กันอย่างสุดดวงใจ ในที่สุดเธอก้ยอมมาเลี้ยงลูกให้เค้า(คู่เวร-คู่กรรม แบบผม) "พี่หม่อม" บุคคลิกของเธอผมได้เล่าไปแล้ว --น้องฝน เป็นเด็กฉลาด ตอนนี้น่าจะเป็นนักธุรกิจสาวสวยเลยละ เพราะตอนเป้นเด็ก ป.2 ฝนก็ยังสวยเลยครับ(ชื่อดีก็มีชัยไปครึ่งนึง)

    -แค่เล่าก็ตลกแล้ว.. ผมเคยถามเธอ "ถามจริ๊ง เจอกันได้ไง ละนี่""เฮ้ย..คือมันบ้านใกล้กันว่ะ เค้าก็จีบเราว่ะ" ตอบไปยิ้มไป ด้วยวาจานักเลง (ใบหน้าพี่เค้าก้กลม ไม่แตกต่างกับเนื้อคู่ของเธอเลย)
    ------------------------------------------------
    --ที่พยายามเล่านั้น เพราะ เรื่องพลังญาณ พลังจิต กรรม ชีวิต คนไทยกับจีนอธิบายไปแนวทางเดียวกัน ไม่ได้ต่างกันเลย บันทึก(กรรม)ไว้สอนใจ(ธรรม) ว่าคนแบบนี้ก็เคยมีอยู่ในโลก ชีวิตของบางคนมันยิ่งกว่านิยายแนวอภินิหาร --พระยูไลปราบเห้งเจีย
    --คืนก่อนพระยูไล พระพุทธเจ้าโบราณท่านลอยมาในอากาศ ภรรยาผม ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นท่าน ถามว่า "หลวงพ่อ ..เส้นผม ทำไมจึงกลายเป็นหอยหินล่ะ ท่านว่า "อืม.. มันเป็นแล้วนะ ไม่เคยเห็นเหรอ" พอตื่นมาต้องถามกันให้วุ่น ปรากฏว่า น่าจะเป็นพระยูไล บันทึกไว้ เพราะญาณขององค์หญิงอ้วนของผมมิเคยมีความผิดพลาดนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2012
  4. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    คุณฝนอ่านตามสบายนะครับ แต่ผมเกร็งยังไงก็ไม่รู้กลัวเขียนไม่ดี แบบว่า เคยรัก ชากิร่านักร้องในดวงใจ และเธอเผอิญมาเยี่ยมบ้านผม--แนวนี้อะครับ จิตสัมผัสอะไรอย่างนึง เหมือนมีอะไรอยู่กับคุณ หรือคุณมีสองวิญญาณ รู้สึกว่าเป็นผู้หญิงด้วย เป็นเจ้าแม่นะครับ ผมอาจผิดก็ได้
    -พอดีห้องผมอยู่ใกล้คนมีญาณ นังตัวเล็ก มันยังมีเลย ฝันหวยก็แม่น แต่เจ้าเด็กโค่ง องค์หญิงอ้วน ญาณก็เก่งพอกับฝีปากกล้าของเธอ จนเบื้องบนท่านให้ฉายา "อีปากกระโถน"นะครับ
    คือเรียกอย่างเอ็นดูน่ะครับ พวกกุมารยังโดนด่ากันหมดเพราะจะทะโมน ซนมากๆ เทพบอกว่า "ก่อนที่พวกมันจะหัวเราะและวิ่งหนีไป มันยังแหกตูดก้นให้ดูอีก" "ไม่มีกุมารก็ขาดความขบขันและเสียงหัวเราะนะ" ที่นี่ไม่ต้องมีก็ได้ ภรรยาผมก็นิสัยเป็นกุมารแยู่แล้ว ร้องอ้อนโยเย กินขนม ดูหนังฟังเพลง--แล้วหลับปุ๋ยยังกะโดนยิง
     
  5. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    งานสัมมนา เตือนภัยพิบัติ ๕ ภูมิภาค "๓ ต. ต่อชีวิต เพิ่มทางรอดจากภัยพิบัติ" - ภาคเหนือ ที่วัดพระธาตุห้าดวง อ.ลี้ จ.ลำพูน (๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕) - ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา (นักปฏิบัติธรรม นักคิด นักวิทยาศาสตร์), คุณมนัส ทรงแสง (ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ) และ ว่าที่ ร.ต.ธีระศักดิ์ วังศรี (สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.ลำพูน) ๘

    ---ดูท่าทางข่าวล่า เริ่มมาแรงแล้วครับ สัมมนาครั้งสุดท้ายแปลว่า เตรียมอะไรจะไม่ทันแล้ว ขณะนี้ห้องวอร์รูมภัยพิบัติคึกคักตื่นเต้นเกือบสุดๆแล้วครับ พระพุทธองค์ทรงเตือนไว้ก่อนท่านปรินิพพาน "จงอย่าประมาท"

     
  6. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    คงต้องหยุดการโพสท์ คืนนี้ เพราะจะต้องกินยา อบไอน้ำที่ปลายประสาท กินยาละลายไขมันในเลือด แล้วนอน ยิงข้อมูลไปไว้ที่เว็ปญาณทิพย์อีก
    --บันทึกไว้ก่อน
    คุณนรินทร์ มีความสามารถห้ามพายุฝนได้
    ความประพฤติบางอย่างส่วนตัว ไม่ดีเลย เช่น ปีนเข้าหาพี่เลี้ยงของลูกสาว
    พาเด็กสาวฝึกงานไปมั่วกามที่ ตจว.
    บางอย่างไม่ได้เกิดตอนที่ข้าพเจ้าทำงานที่ตรงนั้น แต่ก็น่าสงสารพี่หม่อมแกก็อดทนเสียเหลือเกิน

    -บางครั้ง เราเองก้ไม่ทราบว่าทำไมเค้าจึงมีญาณที่นำมาโชว์เพาเว่อร์ นำมาอวดอ้างได้ ในเมื่อศีลห้าขาดกระจายขนาดนั้น ใครเลยจะรู้ถึงในใจคนที่มีญาณถึงระดับเจโต

    แต่เทพท่านบอกว่า "มันเคยมีองค์ เป็นร่างทรงของ ร.5" ซึ่งเป็นสิ่งที่ผม แม้สัมผัสเค้ามาเป็น10 ปี แต่ก้ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
    แม้เรื่องการทำไสยศาตร์ให้ผัวเมียหย่ากัน หรือมุ่งหมายเอาชีวิตของผม ผมก้ไม่เคยคิดว่า เขาจะทำได้ และกล้าที่จะทำก็ บอกแล้วว่า ถึงแม้จะมีองค์เทพคุ้มครอง แต่ศัตรูคนนี้ก็มีศักยภาพ ที่เหนือกว่าคนธรรมดา
    --ข้อสังเกต คนส่วนใหญ่ที่เขามาทำงานที่นี่ จะโกรธแค้น ลาออกไปทำงานกับ บ.คู่แข่ง หรือตั้ง บ.ขึ้นมาสู้กัน
    --คนส่วนใหญ่จะเกลียดเค้ามาก หรือยอมรับในแง่ความใจดี ชอบเลี้ยงเหล้า ถ้ารุ้ลึกๆก็คงจะเกลียด
    --หรืออำนาจกรรม จะเลือกแสดงออกได้ละเอียดแบบน็บเป็นผ้าไหมทอมือ สลักลายทอง โดยไม่ต้องแยกหมวด เหมือนหนังสือในห้องสมุด นำมาปนๆกัน แต่ก็ยังอ่านได้ในแต่ละเล่ม
    ------------------------------------------
    บางครั้งผมคนเดียว ต้องผจญกับเทพถึงสามฝ่าย แต่ละฝ่ายระดับ พระพรหม หรือพระผู้บรรลุ ระดับเกจิ

    แต่ละฝ่ายให้ผมทำในสิ่งที่ผมไม่อยากทำ เพราะผมเคยจุดธูปสาบานกับเทพทื่เป็นพ่อแม่ของภรรยาผม ซึ่งสูงกว่าเทพสี่กรเสียอีก(ท่านก็ลงมาคุยเหมือนกัน) อันนี้ยอมรับว่า ยากที่สุดในโลก แม้หลวงปู่ทวด ท่านก็ลงมาคุยกับผมแล้ว ให้บวชตลอดชีวิต แต่ทำได้เยอะสุด ก้แค่บวชให้ท่าน 15 วัน สัจจะของลูกผู้ชาย นั้นยิ่งใหญ่กว่าขุนเขา ในขณะนั้น ผมไม่มีจุดหมาย ไม่มีบ้าน ไม่มีอนาคต แยกทางกับภรรยา ใช้ความอดทนยิ่งที่จะประคองชีวิต คุมสติไว้โดยไม่โดดตึก 12ชั้น ณ ที่ทำงานลงมา หรือจิตแตกสลายกลายเป็นคนบ้า
     
  7. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เกือบลืม และหล่นหายวับไปในอากาศอากาศ
    ---นายนรินทร์ เอาพลังญาณสู้กับญาณหลวงปู่ฤาษี
    ---ห้ามพายุท่ามกลางสายตาพระป่า สายหลวงพ่อชา หลวงพ่อท่านก็เห็น
    ---นายนรินทร์ โดนแม่ชีด่าแบบเหน็บแนม เล่นเอาถึงกับหน้าชา เพราะไม่รุ้ว่าแม่ชีมีญาณเจโต นึกว่าเป็นหญิงชาวบ้านนอกธรรมดาๆ
    --นายนรินทร์ ด่าพระ--สอนพระอีกด้วย โดยที่พระท่านก็ไม่ได้มีความผิดอะไร
    --อ.เจษ ฝึกพลังบังคับ มหาภูตรูป4
    ติดตามวันพรุ่งนี้ คือตอนบ่ายๆ
    --------------------------------------
    ผมให้น้องหมู กับวี เช็คสัญญาณมือถือ กับเน็ตจากพื้นที่ต่างๆ ว่าจะมีสัญญาณชีวิตส่งมาอีกมั้ย พร้อมสั่งให้เตรียมพื้นที่รับการมาของผู้อพยพ กลุ่มต่างๆ กำชับว่า "อย่าให้สีต่างๆ มาฟัดกันได้ "ทั้งสองคนหันมามองผม ตีหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่น้ำตานั้นรินมาเป็นสายๆแล้ว พูดเหมือนจะสะอื้น "ไม่ต้องแล้วมั้งพี่ ไม่นับชาวต่างชาติที่ลงค็อปเต้อร์มาเมื่อวาน ทั้งประเทศไทยเรา ก็เหลือไม่ถึงร้อยคน"
    (เรื่องแต่งจากจินตนาการ อย่าได้ตกใจ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2012
  8. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ขอเป็นบ่ายสาม---------------

    <TABLE id=pid1034372 cellSpacing=0 summary=pid1034372 cellPadding=0><TBODY><TR><TD class=postcontent><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_1034372 class=t_msgfont>ชาวนาตะลึงแผ่นดินยุบ
    วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน 2555 เวลา 15:47 น.
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]


    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    ชาวบ้านผวาทุ่งนายุบลึก 6 เมตร กว้าง 1 เมตร ยันอดีตไม่เคยเป็นบ่อน้ำมาก่อน เพิ่งเจอครั้งแรกในชีวิต แจ้งผู้เกี่ยวข้องตรวจสอบด่วน






    เมื่อเวลา 12.00 น. วันนี้ (30 ก.ย.) นายสวัสดิ์ ปรากุล กำนันตำบลหัวทุ่ง อำเภอลอง จังหวัดแพร่ พาสื่อมวลชนเดินทางไปตรวจสอบหลุมประหลาดที่เกิดขึ้นกลางทุ่งนาบ้านหัวทุ่งหมู่ที่ 4 ต.หัวทุ่ง อ.ลอง จ.แพร่ ซึ่งมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งกำลังพากันไปมุงดู หลุมดังกล่าวมีความกว้างประมาณ 1 เมตร ลึก ประมาณ 6 เมตร แต่ด้านล่างเป็นโพลงขยายวงกว่าหลายเมตร มีน้ำใสจนเป็นสีเขียว ห่างจากถนนในหมู่บ้านประมาณ 500 เมตร เป็นท้องทุ่งนาที่ต้นข้าวเขียวขจี

    นายหลิด รินเยาว์ อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 83/6 หมู่ที่ 4 ต.หัวทุ่ง อ.ลอง จ.แพร่ เจ้าของนาข้าวผืนดังกล่าวก็เผยว่า เมื่อสองวันที่ผ่านมา ตนได้มาดูนาข้าวและเอาน้ำเข้านา ก็พบว่าน้ำในนาข้าวที่ปล่อยเข้าไปก็หายไปหมด นำน้ำเข้านาเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเต็ม แปลกใจจึงเดินตรวจสอบก็พบมีหลุมขนาดใหญ่นี้อยู่กลางนาข้าวและน้ำได้ไหลลงหลุมไปหมด ก็จึงได้ไปบอกให้กำนันทราบ และเช้าวันนี้ก็พากันมาดูอีกก็พบว่าหลุมดังกล่าวกลับขยายวงกว้างออกไปอีกเกือบเมตรชาวบ้านที่ทราบต่างก็ไหลมาดูตั้งแต่เช้า จากนั้นชาวบ้านต่างก็กล่าวขานกันต่างๆนานา บ้างก็ว่าเป็นอุกาบาต หล่นลงมา บ้างก็ว่า เกิดบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็ว่า ดินยุบตัว ซึ่งตนเจ้าของที่นาก็ยืนยันว่า ที่นาดังกล่าวไม่เคยมีบ่อน้ำ ปกติจะแห้งแล้งมาก เดิมเมื่อ 50 ปี ก่อน พ่อแม่ได้บุกเบิกเพราะเป็นที่ป่าทั้งนั้น และเอาเป็นที่ทำนามากว่า 50 ปีแล้วก็ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน

    ด้านกำนันสวัสดิ์ เผยว่า ได้รายงานให้ทางนายอำเภอ และกรมทรัพยากรธรณีไปแล้ว เมื่อสายวันนี้ และในวันพรุ่งนี้เจ้าหน้าที่จะเดินทางเข้ามาตรวจสอบ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าน่าจะเป็นเรื่องของดินยุบตัว แต่ต้องหาสาเหตุว่าทำไมถึงยุบและที่นาดังกล่าวมีแร่ธาตุอะไรหรือเปล่า ตอนนี้ก็ต้อง ล้อมบริเวณไว้และเตือนประชาชนอย่าเข้าใกล้เพราะว่าใต้น้ำเป็นโพลงกว้างออกไปอีกหลายเมตรเพราะใช้ไม้หยั่งลึกลงไปอีกน่ากลัวมากและเกรงว่าหากเดินรอบก็จะเกิดดินยุบลงได้.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    --50ปียังไม่เคยยุบ แสดงว่า สภาพชั้นหิน และแมกม่า-หินเหลวใต้โลก ในปัจจุบันมีอาการเปลี่ยนไป อย่างน้อย สองท่านหละที่ยืนยันว่า มีเสียงสะเทือนอยู้ใต้ดิน


    </TD></TR><TR><TD class=postcontent vAlign=bottom>

    </TD></TR><TR><TD class=postauthor></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2012
  9. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เรื่องของคุณนรินทร์ไม่ได้จะเขียนให้มันส์ แต่อยากจะให้แยกเอาแก่นแท้ของธรรมมะ ออกจากกาก--กระพี้ ซึ่งสังคมเองคนส่วนใหญ่ก้ยังชอบด้านอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ แม้ จขกท. ก็เป็นโรควูบกะกิเลสตัวนี้บ่อยๆ ทั้ง 24 ชม.

    --ชื่อ นรินทร์ เป็นนามสมมุตินะครับ แต่ตัวตนมีจริงครับ-- บ.ทำน้ำร้อนจากแสงอาทิตย์เมืองไทยที่ดังๆ-มีแค่ไม่เกินจำนวนนิ้วมือเพียงหนึ่งข้าง และขอกราบขอขมาในวจีกรรม มโนกรรมกับบุคคลผู้นี้ ดวงวิญญาณท่านคงทราบดีว่า ที่ผมยกกรณีนี้ขึ้นมาถก ก็ทำเพื่อพุทธศาสนานะครับ
    -ไปจ่ายตลาด ทำกับข้าวกัน แล้วผมก็จะขึ้นมาเขียนต่อ แต่กับแป้นพิมพ์ที่ห่างเพียงศอก ผมก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง คอมพ์ก็ดาวน์ ระบบวิน7เสีย--พริบตาเดียวผมกลับสลบสไล ไร้เรี่ยวแรง อ่อนเพลีย ง่วงจับใจ แบบว่า "อาการแบตต์หมด--พลังชีวิตหมดจากร่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2012
  10. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    จิต ความคิด กิเลส นิพพาน--เปลือยอารมณ์
    ---ในห้วงของตาใน (ไม่รู้จะใช้อะไรมาพูดออกมา) คุณกำลัง อยู่เบื้องหน้ามหาสมุทรสุดกว่้างใหญ่ แม้ว่าจะเป็นน้ำใสๆ ที่กว้างใหญ่เกินคะเน แต่คุณก้ไม่สามารถจะเห็นในก้นบึ้งของมัน แม้จะเป็นความว่าง ความสว่าง สดใส มันก็คือ "ความมืดสีขาว" (ผู้เขียนกำลังทดสอบความคิด แนวคิด ตั้งแต่เริ่ม อาจไม่ตรงกับ ปรัชญา หรือจิตวิทยาแบบใดเพราะสภาพตอนนี้ จิตวิยายังไม่อุแว้-เป็นแค่คนโรคประสาท หรือยามเฝ้าคอนโดที่กำลังลองเขียนหนังสือทางปรัชญา)

    --อะไรคือ "ตัวคุณ"ณ ตอนนี้ "คุณอยู่ที่ไหน" "ผม" อยู่ตรงไหน ถ้าคนคิดคำว่า "ผม " ตอนนี้ก็คือตัวตนของคุณ ส่วนทางนี้ เป็นเพียงกระจกที่กำลังมอง และบรรยายความคิดของคุณ
    ---มองเล็งอย่างระวัง ให้เร็วด้วยนะ คุณต้องแอบคิด เมื่อคุณคิดปุ๊บ คุณจะมีตัวตนในทันที สิ่งนี้นักปราชญ์ก็พยายามพูดว่า "เพราะฉันคิด ฉันจึงมีตัวตน และชีวิต" I Think, Therefore I exist. ตัวตนแรกที่โผล่ออกมาเหรือพรายน้ำปุดๆ จากทะเลแห่งความว่างไร้ มันไม่ใช่กิเลสร้ายอะไร แต่ก็คือจิตของคุณเอง บริสุทธิ์ดั่งทารกน้อย มาในรอยยิ้มแรกที่โผล่พ้นครรภ์มารดา

    --หรือว่า "ตัวคุณ" คือผลผลิตทางชีวเคมีของระบบร่างกาย ไม่ใช่นะ จิตคุณแท้ๆที่ได้จัดสรร ระบบร่างกายให้เหมาะสมมาเอง คุณก็ทั้งเลือก ตัดแต่งจัดรูปแบบออกมาจนได้บุคคลิกที่ชอบ เพราะจิตเป็นใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว

    --มันก้ไม่ใช่ง่าย เพราะตอนนั้นคุณเป็นเหมือนสภาพดวงวิญญาณ มันมีระบบจัดสรร ระบบกรรมที่มองไม่เห้น แต่มั่นคงยิ่ีงกว่าขุนเขา แข็งแกร่งกว่าผนังทองแดงกำแพงเหล็ก คุณอาจถูกจัดมาจากเอกภพดาวอื่น หรือ จากทะเลแห่งชีวิตอันมโหราฬ คุณอาจเป็นช้างแมมม็อธ หรือปลาวาฬ มาก่อน เป็น-คนเร่ร่อนยิปซี เป็นพ่อค้าตลาดกลางแจ้งที่แบกแดด คุณเคยป็นเจ้าชายเปอร์เซีย เป็นเจ้าหญิงยุโรป เป็นนางโสเภณีและเป็นภิกษุณีในศาสนาลึกลับ ในยุคเมโสโปตาเมีย อาจเป็นเช่นนั้น หรือว่า คุณเคยเป็นมาหมดแล้ว ทั้งผีเสื้อ และใส้เดือน กิ้งกือ จากระบบการเวียนว่ายตายเกิดอันลี้ลับ มีหัตถ์ที่สุดทรงพลัง ที่จับกุม-จองจำเอาสรรพชีวิตไว้ มิให้อาจหลุดพ้นได้ หรืออาจเป็นเพราะจิต เป็นความรักความผูกพัน ของพระแม่ไกอา -มารดาแห่งธรณีโลก กับคุณ ที่ไม่อยากจะจากกันไป หรือว่า พัวพันกับจิตของทุกคนผู้เป็นที่รัก ที่คุณได้พบผ่านเป็นอนันตชาติ บางครั้งพวกเขาเกิดมาเป็นพี่น้อง บางครั้งก็เป็นศัตรู คุณเหนื่อย - อ่อนล้า ไม่อยากจะรับรู้เรื่องพวกนี้แล้ว แต่ในก้นบึ้งใจอันลี้ลับ มันกำลังใช้ผลักไสคุณต่อไป -อะไรคือ ความลับที่อยู่ใต้รอยยิ้มของหญิงสาวสุดโสภา สวยตะการตา ที่คุณพบที่ท่าน้ำในเช้านี้
    --- คุณเองไม่ได้เป็น และไม่เคยคิดจะเป็นฆาตกรที่ฆ่าทุกคน ทุกอย่างที่เป็นสิ่งสวยงามของโลกใบนี้ "ฉันอยากรู้ แต่ฉันก็อยากหลุดพ้น มันจะผิดได้ยังไง" ใช่ คุณไม่ผิด เพียงแต่คุณ "ไม่รู้"

    (จงสังเกตว่า ในแต่ละบท จะไม่เหมือนกันเลยในเนื้อหาและรูปแบบหรือ สำนวน เกิดจาก การทดลองระบบ "สวิทชิ่ง ปิดเปิดความคิด" หรือการพยายามเข้าไปรู้ เข้าไปสิง ในวิญญาณของคนอื่น
    --ตรงนี้มาจากหนังสือเบาๆ สองคำ เช่นการมองดูความคิด ผู้เขียนก็เลยเอามารวมกับศัพท์ทางพุทธศาสนาดู ก็ผ่านการประยุกต์ หุงผัดต้มแกงแล้ว พร้อมเสพ แต่ก็ขอสงวนเรื่องข้อเขียน แต่ไม่สงวนแนวคิด ตามเดิม)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2012
  11. มังกรน้อย101

    มังกรน้อย101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,376
    ค่าพลัง:
    +4,390
    สวัสดีครับมารายงานตัวครับพี่เจษ ผมยังไม่ได้หายไปไหนน่ะครับก็แว็บๆอ่านกะทู้พี่เรื่อยๆอยู่น่ะครับ แต่เผอิญช่วงนี้เน็ตที่โรงงานเค้าห้ามใช้ แต่ที่ใช้ได้ตอนนี้ก็เพราะเค้ามีโอทีผมเลยแอบมาน่ะครับ (เหมือนคนมีความผิดเนอะ) แต่ยังไงผมก็ติดตามอ่านอยู่ และเป็นกำลังใจเสมอน่ะครับ และบางครั้งผผมยังย้อนกลับไปอ่านใหม่เลยก็มี (ตำบักหุ่งรสนัว แต่กะทู้พี่รสแซ่บหลายเด้อ) ด้วยความเคารพครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เอาหละ คงอยากฟังเรื่องห้ามพายุกันแย่แล้ว

    --ณ วัดหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง ในขณะที่กลุ่มสงฆ์กำลังกึ่งมุง กึ่งมีระเบียบ เพื่อรอ การจากไปของหลวงพ่อ ทันใดนั้นฝั่งเบื้องตะวันออกของศาลา เริ่มมีลมพัด เห็นได้ชัดว่า กลุ่มเมฆสีดำ กำลังดิ่งตรงเข้ามาที่นี่อย่างรวดเร็ว
    --ด้วยความฉับไว น่ารัก ไร้เดียงสา(แปลว่า "เสือก") นายนรินทร์ของเราก็วิ่งจู๊ดลงไปที่ระเบียง โบกไม้โบกมือ ตะโกนด้วยเสียงแหลม แต่ก็มีพลังเหมือนจะแหวกฟ้าไป "ยู๊ด.. หยุด กลับไป เลี้ยวกลับไป เดี๋ยวนี้"สรรพสิ่งและทุกคนเงียบงันไปเหมือนฟิล์มค้าง-หยุดเวลาเอาไว้ แม้แต่ในใจผู้ทรงศีลไม่น้อยก็มีคำผุดขัึ้นมาว่า "เฮ้ย ไอ้คนนี้ มันบ้าป่าววะ" พายุลูกมหึมาพลันสะดุดกึกเหมือนโดนผลักด้วยมือมหายักษ์ที่มองไม่เห็น มันค่อยๆหมุนคว้างเลี้ยวกลับไป เหมือนเวลาผู้หญิงงอนสะบัดหน้าอย่างนั้นทีเดียว
    --พระผู้อ่อนพรรษา ถึงกับตกตะลึงในอิทธิฤทธิ์ของคนผู้นี้ ไม่วายแอบคิดในใจ"คนแบบนี้เป็นผู้วิเศษหรือ หรือว่ามันบังเอิญ"

    --แม้ว่าประสาทสัมผัสของหลวงพ่อจะเหลือน้อย เช่นเดียวกับความแผ่วเบาในลมหายใจ แต่พลังญาณท่านก็ไวเหมือนกับมีทิพยจักษุ ท่านขยับกาย ขยับริมฝีปากเบาๆ แสดงอาการอยากสื่อสาร -พระที่อุปัฏฏากใกล้ชิดก็รีบก้มลงไปฟัง ท่านพูดว่า "บอกเค้า ว่าอย่าทำอย่างนี้อีก"

    ในความหมายนั้น ท่านบอกว่า "จงปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามธรรมชาติ อิทธิฤทธิปาฎิหารย์นั้น ไม่ใช่แนวทางแห่งพุทธศาสนา"
    ------------------------
    ธรรมมะที่แท้นั้นมัน นอกเหตุ--เหนือผล (ผู้เขียนไม่ได้ดึงข้อความมาจากที่ใด เพียงเรียบเรียมางจากปากคำผู้อยู่ในเหตุการณ์ และตัวคุณนนรินร์เอง ลูกต้องกราบขมาหลวงพ่อที่ได้นำชื่อหลวงพ่อมาอ้าง แต่เป็นด้วนความคารวะ และ เพื่อเทอดพทธศาสนา)

    (เขียนแรงประมาณนี้ ชอบมั้ยๆ ถ้าจะมันส์กันยาวๆ ก็หาถั่วลิสงคั่วเตรียมไว้เลย แล้วเกาะหน้าจอกันต่อ หลอกคนให้มาหาธรรมมะนี่มัน..มันส์จริงว่ะ เอ้วๆ 555)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2012
  13. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    โอเจ้ามังกรน้อย เจ้ากลับมาแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้มาแอบอ่าน แต่พี่ว่ารู้สึกด้วยจิตว่า เธอหายไปจากหน้าจอคอมพิวเตอร์แน่นอน แล้วก้เป้นจริงด้วย ดีๆ กำลังอยากได้คอมเม้นท์พอดีเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2012
  14. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ประวัติหลวงพ่อชา
    [​IMG]
    พระโพธิญาณเถร นามเดิมว่า ชา ช่วงโชติ เกิดเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๑ ณ บ้านจิกก่อ หมู่ที่ ๙ ตำบลธาตุ อำเภอ วารินชำราบ จังหวัด อุบลราชธานี ตามประวัติท่านมีจิตฝักใฝ่ธรรมมาแต่เด็กบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อเดือนมีนาคม ๒๔๗๔ ได้ ๓ พรรษา แล้วก็ลาสิกขาอุปสมบทเป็นภิกษุเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ออกศึกษาปริยัติต่างถิ่นโดยเริ่มที่วัดสวนสวรรค์ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี การที่ท่านบวชแต่เยาว์วัยยังผลให้ท่านมีโอกาสศึกษาเล่าเรียนทางโลกเพียงแค่ชั้นประถมปีที่ ๑
    หลวงพ่อชาเป็นผู้สนใจธรรมมาก ท่านมีความปรารถนาอยากรู้แจ้งเห็นจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์ จึงเริ่มศึกษาธรรมจากสำนักต่าง ๆ หลายสำนักระยะแรกในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๘๕-๒๔๘๖ ศึกษาปริยัติธรรมกับพระมหาแจ้ง วัดเค็งใหญ่ อ.อำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี และพระครูอรรถธรรมวิจารณ์ วัดหนองหลัก อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี ปี ๒๔๘๖ เมื่อโยมบิดาถึงแก่กรรม หลวงพ่อชาสิ้นภาระห่วงใย มองเห็นความเป็นอนิจจังของชีวิต หลังจากสอบนักธรรมเอกได้เกิดเบื่อหน่ายด้านปริยัติ พิจารณาว่าไม่ใช้ทางพ้นทุกข์ ประสงค์จะศึกษาด้านวิปัสสนาธุระบ้าง จึงออกธุดงค์ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๙ เพื่อค้นหาอาจารย์ที่จะสอนด้านวิปัสสนาธุระ โดยระยะแรกมุ่งหน้าไปจังหวัดสระบุรี-ลพบุรี ที่ลพบุรีมุ่งตรงมาที่สำนักวัดป่าของหลวงพ่อเภา แต่น่าเสียดายที่หลวงพ่อเภามรณภาพเหลือแต่อาจารย์วันลูกศิษย์ จึงได้แต่ศึกษาระเบียบข้อปฏิบัติที่หลวงพ่อเภาวางไว้ และจากอาจารย์วัน อาจารย์ที่สำคัญอีกองค์หนึ่ง คืออาจารย์ชาวเขมร (ซึ่งธุดงค์จากเขมรมาไทย และมุ่งไปพม่า) เป็นผู้วางหลักแนวทางปฏิบัติโดยใช้หนังสือ บุพพสิกขาวรรณนาวินัยกถา ซึ่งแต่งโดยพระอมรมภิรักขิต (เกิด) ในคณะธรรมยุตินิกาย หลวงพ่อชาจึงได้ใช้หนังสือบุพพสิกขาวรรณนาวินัยกถา เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ในวัดหนองป่าพงและสาขามาจนทุกวันนี้
    ปี ๒๔๙๐ หลังจากจำพรรษาที่เขาวงกต อยู่ได้หนึ่งพรรษา ได้ทราบข่าวว่าท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) เป็นผู้มีคุณธรรมสูงทั้งเชี่ยวชาญด้านวิปัสสนาธุระ มีประชาชนเคารพเลื่อมใสมาก จึงเดินทางมาที่วัดหนองผือนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนครวันแรกย่างเหยียบเข้าสำนัก เห็นบริเวณร่มรื่น ปฏิปทาของพระภิกษุเคร่งครัดเป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธา หลวงปู่มั่นได้เทศนาสั่งสอนเกี่ยวกับหลักธรรม อาทิศีลนิเทศ ปัญญานิเทศ พละ ๕ อิทธิบาท ๔ ให้แก่หลวงพ่อชาและศิษย์จนเป็นที่พอหายสงสัย สิ่งที่น่าสังเกตคือหลวงปู่มั่นไม่มีความคิดที่จะให้หลวงพ่อชาแปลงนิกายเป็นธรรมยุติกาย ท่านให้ข้อชี้แจ้งเป็นปรัชญาคมคายว่าในความเป็นภิกษุที่แท้จริงไม่ได้มีนิกาย ทั้งหมดคือพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ ดังคำกล่าวของหลวงปู่มั่นต่อหลวงพ่อชาว่า “ ไม่ต้องสงสัยนิกายทั้งสอง ” หลังจากฟังเทศน์จากหลวงปู่มั่น หลวงพ่อชามีจิตอิ่มเอิบ เป็นสมาธิ และได้ยึดคำสอนปฏิปทาของท่านไว้เป็นแนวปฏิบัติต่อไปองค์ที่ตรัสว่า “ ทำตนให้ตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อน แล้วจึงสอนคนอื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตสกปรก ” ดังนั้นไม่ว่าจะทำกิจวัตรอันใด เช่น กวาดวัด จัดที่ฉันล้างบาตร นั่งสมาธิ ตักน้ำ ทำวัตร สวดมนต์ เดินจงกรม ในระหว่างวันพระถือเนสัชชิไม่นอนตลอดคืน หลวงพ่อชาลงมือทำเป็นตัวอย่างของศิษย์โดยถือหลักว่า “ สอนคนด้วยการทำให้ดู ทำเหมือนพูด พูดเหมือนทำ ” ดังนั้นศิษย์และญาติโยมจึงเกิดความเลื่อมใสเคารพยำเกรงในปฏิปทาที่หลวงพ่อดำเนินอยู่
    ในระยะแรกของการมาอยู่ป่าพงค่อนข้างลำบาก ชาวบ้าน ญาติโยมผู้ศรัทธาเข้ามาสร้างวัดเป็นกระท่อมเล็ก ๆ ให้ได้อาศัย ไข้ป่าชุกชุม เพราะเป็นป่าทึบ เมื่อเจ็บป่วยยารักษาก็หายาก โยมอุปัฏฐากยังน้อย อาหารการกินฝืดเคือง แต่กระนั้นหลวงพ่อก็ไม่เคยออกปากของญาติโยม แม้จะเลียบเคียงก็ยังไม่ยอมทำ ปล่อยให้ผู้พบเห็นพิจารณาด้วยตนเอง เดือนต่อมาเกิดสำนักชีขึ้นที่วัดเพื่อสนองคุณต่อโยมมารดาให้ได้ปฏิบัติธรรม โยมแม่พิมพ์จึงเป็นแม่ชีคนแรกของวัดหนองป่าพง และมีแม่ชีติดต่อกันมาถึงปัจจุบันเป็นจำนวนมากและทางวัดมีการแบ่งเขตสงฆ์เขตชีไว้เรียบร้อยไม่ก้าวกายปะปนกัน
    วัดหนองป่าพงได้รับอนุญาตให้สร้างในปี ๒๕๑๓ ปี ๒๕๑๖ หลวงพ่อได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพงและได้รับสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ “ พระโพธิญาณเถร ” ปี ๒๕๑๙ สิ้นเงิน ๕ ล้านบาท ปี ๒๕๒๐ ได้เดินทางไปประกาศสัจธรรมในภาคพื้นยุโรปเป็นครั้งแรกปี ๒๕๒๒ ได้เดินทางไปอังกฤษ อเมริกา คานาดา เพื่อประกาศสัจธรรม เป็นครั้งที่ ๒
    ปี ๒๕๒๕ หลวงพ่อชาอาพาธ เป็นโรคเกี่ยวกับสมอง มีอาการเวียนศีรษะความจำเสื่อม จนต้องผ่าตัดสมอง หลังจากการผ่าตัด ท่านไม่สามารถพูดได้เคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องอาศัยพระภิกษุในวัดช่วยปรนนิบัติเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด การบริหารวัดทั้งหมดมอบให้อาจารย์เหลื่อมเป็นผู้รักษาการแทน
    หลวงพ่อชาถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๓๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๓๖

    วัดหนองป่าพง
    [​IMG] [​IMG]
    วัดหนองป่าพง เป็นวัดป่าฝ่ายอรัญวาสี ตั้งอยู่ที่ตำบลโนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เป็นสำนักปฎิบัติธรรมที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติอันสงบเงียบ มีบรรยากาศอันร่มรื่น เหมาะแก่การปฎิบัติธรรม สร้างโดยหลวงพ่อชา สุภทโท หรือ พระโพธิญาณเถระ

    ประวัติความเป็นมา
    ระหว่างที่มาอยู่วัดหนองป่าพง หลวงพ่อได้ยึดหลักคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสว่า " ทำตนให้ตั้งอยู่ในคุณธรรมสมควรเสียก่อน แล้วจึงสอนคนอื่นที่หลัง จึงจะไม่เป็นบัณฑิตสกปรก" ฉะนั้นไม่ว่าจะทำกิจวัตรอันใด เช่น การกวาดลานวัด จัดที่ฉัน ล้างบาตร นั่งสมาธิ ตักน้ำ ทำวัตร หลวงพ่อจะลงมือทำเป็นตัวอย่างของศิษย์โดยยึดหลักว่า "สอนคนด้วยการทำให้ดู ทำเหมือนพูดพูดเหมือนทำ" ดังนั้นศิษย์ และญาติโยมจึงเกิดความเคารพเลื่อมใสในปฏิปทาที่หลวงพ่อดำเนินอยู่

    ศิลปสถาปัตยกรรม
    นอกจากจะเป็นที่บำเพ็ญสมณธรรมของพระธุดงค์กรรมฐานสายพระอาจาย์มั่น ภูริทตโต แล้ววัดหนองป่าพงยังเป็นที่สำคัญด้านสถาปัตยกรรม ผสมผสานระหว่างศิลปะอีสานกับศิลปะร่วมสมัย อาทิ การก่อสร้างโบสถ์ วิหาร พิพิธภัณฑ์ และเจดีย์ที่บรรจุอัฐิหลวงพ่อชา
    โบสถ์วัดหนองป่าพง
    เป็นอุโบสถอเนกประสงค์สมัยใหม่ที่เอื้อต่อประโยชน์ใช้สอย พื้นอุโบสถยกลอยจากพื้นดิน เบื้องล่างเป็นถังเก็บน้ำฝนตัดสิ่งประดับฟุ่งเฟื่อย อาทิ ช่อฟ้า ใบระกา ไม่มีผนังประตูหน้าต่าง สามารถจุคนได้จำนวนประมาณ 200 กว่าคน เสาอาคารและผนังประดับด้วยเครื่องปั้นดินเผา อีสานจากบ้านด่านเกวียนวิหาร เป็นลักษณะศิลปแบบอีสานเรียบง่ายแต่เน้นประโยชน์ใช้สอย สามารถจุประชาชนได้ เป็นนับพันคน
    เจดีย์บรรจุอัฐิหลวงพ่อชา
    มีรูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมอีสานกับ ล้านช้าง
    ความสำคัญต่อชุมชน
    วัดหนองป่าพงเป็นต้นแบบของวัดป่ากว่า 100 แห่งในประเทศไทย และอีกหลายแห่งในยุโรป ออสเตรเลีย และแคนาดา หลวงพ่อชาเป็นตัวอย่าง ของพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้จะมีศาสนิกชนมากมายแต่ก็ไม่สร้างความแตกแยกให้เกิดนิกายหรือเข้าไปพัวพันกับการเมืองจนเป็นเรื่อง แตกแยก วัดเน้นความเรียบง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ ไม่ฟุ่งเฟือยหรือสะสม คงความเป็นพุทธ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อย่างแท้จริง หน้าที่หลักของ พระสงฆ์ คือ เป็นที่พึ่งทางจิตใจ อบรมสั่งสอนให้ศาสนิกชนปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา
    วัดหนองป่าพงมีเนื้อที่ประมาณ 300 ไร่ ประกอบด้วย โบสถ์ วิหาร พิพิธภัณฑ์พระโพธิญาณเถระ กุฏิพยาบาลหลวงพ่อชา กุฎิพระ กุฎิแม่ชี กุฎิหลวงพ่อชา


    [​IMG]
    หลวงปู่มั่น อาจารย์หลวงพ่อชา

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]
    หลวงพ่อชา กับ พระฝรั่ง พระฝรั่งรูปแรก ท่านอาจารย์สุเมโท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2012
  15. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    เด็กแว๊นสองคนมานั่งคุยกัน
    "กรูอยากจะเก่งว่ะ อยากจะเสก-เนรมิตของจากกลางอากาศได้แบบท่านไสบาบา"
    "งั้นโน่นเลย ไปเรียนกสิณที่ เขาสากเหล็ก"(ไม่มีอยู่จริง เป้นการสมมุติ แต่ที่สอนแบบนี้นะมี)

    -"อยากจะเก่งทางวิปัสสนาเหมือนกัน" "ก็ไปฝึกสิ ทางสายวัดป่า สายหลวงพ่อชาก้เจ๋งน่ะ แบบเทอร์โบ8สูบ 16วาวล์ จัดเต็ม" "จะไปวัดไหนดีอ้ะ จาไปเที่ยวทางเกาะเสม็ดพอดี" "ไอก็ ขอเร็คคอมเม็นด์-แนะนำ-- นี่เลยวัดมาบจันทร์ ระยอง สายหลวงพ่อชา พระปฎิบัติมีเพียบ-ภูมิใจเสนอ"
    --"สอบอารมร์เค้าทำกันอย่างไรเหรอ" "คือ พระท่่านจะถามทีละคนว่าเราเห็นไรมั่ง จะได้แก้ไขทัน"
    "แก้ทันยังไง" "ก็ให้แบบว่าทันความจำเป็นเร่งด่วน" "ยังไง""ก็ด่วนแบบก่อนที่มึงจะเป็นบ้าก่อนเรียนจบคอร์ส"

    ญาณ
    "เคยเรียนญาณมายัง เล่าหน่อยสิ" อืม เรากำนดจิต เข้าญาณหนึ่ง ผลึ่ง..เข้าญาณสอง ถอง..เข้าญาณสาม แล้วเชนเกียร์ทะยาน ตาม..เข้าญาณสี่" "ปรี่..เข้าญาณญาณ5ล่ะ" " ไม่มีอะ อีกทีก็ญาณอรูปแล้ว" "เหรอ ดีมะ" "ก็ดีอยู่นะ แต่ตอนตายไปจาไม่มีรูปร่าง จาเป็นพรหมกลมเหมือนลูกฟัก มีแต่แสง" "แล้วทำไงต่อล่ะ" "ญาณสูงไปก้เช้นจ์-Change-ลงมาต่ำ เรียกว่าเดินญาณโดยอนุโลม ปฏิโลม เดินไปเดินกลับงี้ จนชำนาญ เข้าใจไหมล่ะ "

    --"แล้วจะดับยังไง ไม่ให้เหลือ" "ท่านว่า ให้ดับในระหว่างกลางญาณแบบมีรูป และไม่มีรูป"
    -แล้ววิชชาธรรมกายดีไหมล่ะ ของแท้ทอง24เคป่าว" "ก็เห็นว่าพระป่าท่านยังไปพบในจิตว่า ธรรมกายก็เป็นวิชาของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน--สรุปแล้วดีหมดง่ะ"

    --"แล้วพี่ว่า คิดว่าในชีวิตพี่จะไปแนวไหนละนี่" คนใจร้อนอย่างข้า แนวมโนยิทธิหลวงปูฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง คือคำตอบสุดท้าย ฟันธงงง"
    --เมื่อไหร่วันรุ่นไทยจะสนทนากันแบบนี้บ้าง
    -----------------------------------
    หมายเหตุ ผู้เขียนและพี่สาวและ อจ.วิกรม ได้ไปนั่งสมาธิ 9 วัน ที่วัดมาบจันทร์ จ.ระยองได้ไปพบหนังสือเล่มเล็กเกี่ยวกับมโนมยิทธิ จึงนำมาศึกษา ปรากฏว่า ในขณะที่ เรานั่งฝึกกันเองที่ต้นโพธิ์ มีดวงวิญญาณเทพท่านได้มาสอน วิชชามโนยิทธิให้ น่าจะเป็นหลวงปู่มาเองด้วย ซึ่งท่านรู้ชื่อข้าพเจ้าด้วย เราก็ไปกันถึงเจดีย์จุฬามณี ชั้นที่สี่ แต่กำลังจิต และการเห็นแสงสว่างของผู้เขียนไม่ดีพอ ก็นับว่าเป็นบุญที่ได้สัมผัสกับท่าน

    --(มะโนมัย+ อิทธิ) มะโน คือ ใจ มะโนมัย สำเร็จด้วยใจ อิทธิ คือฤทธิ
    -ถ้าเป็นสิ่งชั้นสูงในพุทธศาสนาขอเรียกว่า วิชชา แต่ของทั่วไปจะเรียกแค่ "วิชา"
    -เทพ ข้าพเข้าใช้เรียก เทพสี่กร ผู้ทรงพรหมวิหาร4 เจ้า หมายถึง เจ้า -วิญญาณที่เข้าทรง เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา
    จึงเรียนมาเพื่อทราบให้ตรงกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2012
  16. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center><TBODY><TR><TD>


    เรื่องของญาณ 4




    -ปฐมฌานนี่เป็นฌานที่หนึ่ง ที่บรรดาพวกเราเหล่าพุทธบริษัทต้องทำให้ได้ เพราะเป็นฌานโลกีย์ อาการที่ทรงฌานที่หนึ่งนี้ไม่มีอะไรยาก เราใช้คำภาวนาและพิจารณาในขันธ์ 5 ก็ดี ภาวนาบทใดบทหนึ่งก็ดี หรือว่าจะพิจารณาลมหายใจเข้าออกก็ดี ให้จิตมันทรงอยู่อย่างนี้เป็นปกติ นี่หมายความว่าไม่ยอมให้ใจของเราเคลื่อนจากอารมณ์ที่เราต้องการ อย่างเราอยากจะกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เมื่อว่างจากกิจอื่น จิตมันจะมีความรู้สึกไปโดยอัตโนมัติ รู้ลมเข้าลมออก หรือภาวนาว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ อะไรก็ช่าง จะพิจารษายังไงก็ช่างให้จิตมันทรงตัว แล้วทรงจนกระทั่งให้อารมณ์จิตนี่แม้แต่ได้ยินเสียงภายนอกเข้ามาจิตก็ไม่รำคาญ สามารถใช้คำภาวนาและพิจารณาได้ตามอัธยาศัย อย่างนี้ชื่อว่าปฐมฌาน

    -พอจิตเข้าถึงฌานที่สอง คำภาวนาหายไปเฉย ๆ หยุดไปเอง เมื่อคำภาวนาหยุดไปเอง เราก็มีใจสบายชุ่มชื่นดีกว่า เพราะว่าไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติ พอเริ่มก็มีความชุ่มชื่นสบายแล้วก็สุข เอกัคตารมณ์ทรงตัวดีก่าฌานที่หนึ่ง ตอนนี้เราจะรู้สึกว่าลมหายใจเบาลงไปหน่อยกว่าเดิม กว่าฌานที่หนึ่ง ตอนนี้ก็มีหลาย ๆ ท่าน เมื่อจิตถอยลงมาถึงปฐมฌาน คือ ทรงฌานที่ 2 ได้ไม่นานรู้สึกตัวว่า ตายจริง นี่เราลืมภาวนาไปเสียแล้วรึ หรือเราหลับไป แต่ความจริงนั้นไม่ใช่หลับ มันก็โงก อาการจะโงกไปข้างหน้าหรือข้างหลัง ทั้งนี้ไม่ใช่หลับ คือจิตเข้าถึงปฐมฌาน เราทิ้งภาวนาไปเอง ถ้าเข้าถึงฌานที่ 2 คือ ทุติยฌาน จะทิ้งภาวนาไปเอง

    -สำหรับฌานที่สามนี้จะรู้สึกว่าลมหายในเบามาก ร่างกายเราจะตัด ความอิ่มเอิบจะหายไป เหลือแต่ความสุขเยือกเย็น มีความสบาย ๆ ขาดความอิ่ม แต่จิตจะทรงตัวมาก อารมณ์จะไม่เคลื่อนไหว หูจะไม่ได้ยินเสียงภายนอก เบาลงไปมาก เสียงที่ดังมาก ๆ เราได้ยินเหมือนกันแต่เบามาก มีการทรงตัวแบบแน่นสนิท มีความรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของเราเกร็งไปทั้งตัว แต่ความจริงนั้นเป็นเรื่องอาการของจิตไม่ใช่เรื่องอาการของกาย

    -แล้วตอนนี้ถ้าคนทั้งหลายเข้าถึงฌานที่สาม แล้วก็ทรงฌานที่สามได้ดี สมมติว่าเช้ามืดท่านตื่นขึ้นมานอนอยู่หรือนั่งอยู่ก็ตาม จิตทรงสมาธิถึงฌานที่สามได้ดี วันทั้งวันนั้นรู้สึกว่าเราไม่ต้องการอยากจะพูดกับใคร อาการพูดมันจะน้อยทั้งวัน เพราะว่าจิตมันทรงตัวได้ดี ถ้าอาการมีอย่างนี้กับท่าน ก็ขอให้ท่านภูมิใจว่า เราทรงฌานได้ดีมาก แต่ทว่าเลิกแล้วก็อยากจะพูดอยากจะคุย อยากจะสนทนาปราศรัย อยากจะพูดมาก

    -นั่นก็แสดงว่า สำหรับอารมณ์ที่เป็นฌานของท่าน มันได้แต่เวลาที่นั่งอยู่หรือปฏิบัติอยู่เท่านั้น พอเวลาเลิกแล้ว กำลังฌานนั้นไม่ได้ตามจิตของท่านไปด้วย อย่างนี้ไม่ดี ควรจะพยายามรักษาให้มันทรงอยู่ได้ทั้งวัน ถ้าทรงไม่มากก็ทรงน้อย อย่างน้อยที่สุดก็ให้จิตมันอยู่ในอุปจารสมาธิในวันทั้งวันนี่ละ สามารถจะทรงได้ถ้าจิตตั้งอยู่ในอุปจารสมาธิ ในวันทั้งวันนี่ละสามารถจะทรงได้ ถ้าจิตตั้งอยู่ในอุปจารสมาธินี่เราก็คุยกับชาวบ้านได้ แต่ว่าคุยน้อยไปหน่อย ถ้าจะพูดก็พูดในเรื่องที่เป็นสาระจริง ๆ เรื่องที่เป็นอกุศลทุกอย่างจะไม่ยอมพูด ใจจะไม่ยอมคิดในเรื่องของอกุศล

    -ฌานที่สี่ท่านกล่าวว่าตัดสุขเสียได้ มีองค์สองเหมือนกัน ตัดสุขออกไปเหลือแต่เอกัคตา แล้วเพิ่มอุเบกขาเข้ามา เอกัคตานี่แปลว่ามีอารมณ์เป็นอันเดียว มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ฉะนั้น เมื่อมันตัดสุขออกไปได้ ไม่สัมผัส การกระทบกระทั่งจิตไม่รับการสัมผัส เสียงจะมาจากภายนอกดังเท่าไรก็ตามที หูจะไม่ได้ยินเสียงภายนอก การสัมผัสจากลมแรงก็ดี เหลือบยุงจะเข้ามาเกาะตัวก็ดี ไม่มีความรู้สึก แต่ว่าอาการทางจิตไม่ใช่หลับ มีความรู้สึก มีสติสัมปชัญญะทรงตัวเป็นคนมีสติสัมปชัญญะดีมาก มีความสว่างไสวในจิต จงอย่าลืมคำว่าฌานนี้ไม่ใช่นั่งหลับ จิตจะทรงตัวสมาธิดี สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ นี้เป็นการฝึกอารมณ์จิตของเราให้มีการทรงตัวเพื่อเตรียมรับสภานการณ์ที่จะเจริญวิปัสสนาญาณ

    -จิตของฌาน 4 มีเอกัคตากับอุเบกขาเป็นปกติ จิตดวงนี้ต้องจำเอาไว้ว่า ต้องให้มันทรงอยู่ตลอดเวลา ถ้ามันทรงตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วเรื่องทิพจักขุญาณมันง่ายเหลือเกิน ยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก แต่ถ้าว่า ถ้าจิตเข้าถึงจุดนี้แล้ว ท่านที่มีความรู้ในขั้นนี้จริง ๆ ท่านบอกว่า ถ้ายังใช้อารมณ์จิตของตนรู้อยู่ ท่านบอกว่าใช้ไม่ได้ ต้องหาทางเข้าถามถึงพระ ถามพระสอนกันตอนไหน จับภาพนิมิตพระองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นเป็นบรรทัดฐาน เรียกว่าภาพพระพุทธนิมิต จับแล้วเวลาที่ต้องการอยากจะทราบอะไรก็ถามพระ พระบัญชาการมาอย่างไรเป็นคำตอบที่เราได้ปรากฎรับเอง แล้วก็ถูกต้องตามความเป็นจริง ต้องจำไว้เลยทีเดียวว่า พระลักษณะนี้ที่เราเห็น เราถามแล้ว ทรงพยากรณ์ตรงตามความเป็นจริงทุกประการ จำภาพพระไว้ ถ้าทำอย่างนี้จนชำนาญก็เลิก ฝึกวิธีอื่น ต้องการอะไรก็ถามพระ

    -ถ้าทำใจสบาย จิตเข้าถึงฌาน 4 หรือฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ก็ตาม เวลาที่จิตสงัด ปัญญามันจะเกิดเอง มันจะบอกชัด มันจะมีความเบื่อหน่ายในร่างกายขึ้นมาเอง มีความรู้สึกว่าร่างกายนี่มันไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสาร ไม่มีการทรงตัว เพราะอะไร เพราะเมื่อมีความเกิดขึ้น แล้วก็มีความป่วย ความตาย ในขณะที่ทรงกายอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขไม่ได้ เราจะบริหารร่างกายสักเพียงใดก็ตามที ร่างกายก็เต็มไปด้วยความทรุดโทรมอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในขันธ์ 5 คือร่างกายเสีย นี่ตัวปัญญามันจะเห็น ปัญญามันจะสอนต่อไปว่า ถ้าหากว่าเราไม่ต้องการเกิดต่อไปแล้ว ก็ตัดรากเหง้าของกิเลสทั้ง 3 ประการทิ้งเสียให้หมด คือตัดอำนาจของความโลภด้วยการให้ทาน ตัดรากเหง้าของความโกรธ ด้วยการเจริญเมตตาบารมี และตัดรากเหง้าของความหลงด้วยการพิจารณาหาความจริงของขันธ์ 5 ปัญญามันจะเห็นชัดว่า ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ 4 ไม่มีการทรงตัว มีการเปลี่ยนแปลง ภายในเต็มไปด้วยความสกปรก นี่มันจะบอกชัด ปัญญามันดีกว่านี้มาก ถ้ามันได้ถึงจริง ๆ

    -คำว่าเอกัคตารมณ์ ก็คืออารมณ์เป็นหนึ่ง อารมณ์เป็นหนึ่งในที่นี้เรานิยมเรียกว่า ฌาน อารมณ์มันจะทรงตัว ก็มีหลายคนเคยถามว่า อารมณ์เป็นหนึ่งดิ่งอย่างนี้จะทำอย่างไรต่อไป ก็ขอตอบว่า เวลานั้นไม่ใช่เวลาที่ทำอย่างอื่น ถ้าจิตเป็นฌานมีอารมณ์ทรงตัวเป็นเอกัคตารมณ์ อารมณ์เป็นหนึ่งอย่างนั้นต้องปล่อยไปตามนั้น เพราะอะไรจึงปล่อย เพราะเราต้องการให้อารมณ์ว่างจากกิเลส เวลานั้นถ้าจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งในลมหายใจเข้าออกก็ดี ในคำภาวนาก็ดี ในนิมิตก็ดี ถ้าจิตจับเฉพาะอย่างนั้น กิเลสจะเข้ากวนใจไม่ได้ มันจึงเป็นหนึ่ง มีอารมณ์ดิ่งก็ควรจะพอใจว่า เวลานี้จิตเราว่างจากกิเลส เราต้องการจุดนี้

    -ขณะใดที่เรารู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก รู้คำภาวนาว่า พุทโธ ขณะนั้นเชื่อว่าจิตของเราเป็นสมาธิตามความต้องการ ถ้าหากว่าภาวนาไป ๆ ใจมันเกิดความสบาย คำภาวนาหยุดไปเฉย ๆ เป็นความสุขที่ยิ่งกว่า อย่างนี้ก็จงอย่าตกใจ อย่างนี้เป็นอาการของฌานที่ 2 ซึ่งเป็นอารมณ์ดีขึ้น หากว่าทำไปความชุ่มชื่นหายไป มีอาการเครียด ลมหายใจเบาลง หูได้ยินเสียงภายนอกเบามากจิตใจทรงตัวแนบสนิทอย่างนี้ เป็นอาการของฌานที่ 3 ถ้าบังเอิญภาวนาไปกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ปรากฎว่า ไม่รู้ว่าลมหายใจเข้าออกมีหรือเปล่า มันมีอาการเฉย ๆ มีอาการจิตใจสบาย ๆ อยางนี้เป็นอาการของฌานที่ 4 จัดว่าเป็นอารมณ์ฌานที่มีความสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา




    </TD></TR><TR><TD align=right>โดย kancht958</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอขอบคุณเจ้าของข้อเขียน และเว็ปโอเคเนชั่น ซึ่งจะได้บุญมากมาย-จขกท.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2012
  17. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    กำลังรวมพลัง ตั้งจิตเขียน เรื่องนายนรินทร์สู้กับญาณบารมีหลวงปู่ฤาษีลิงดำ --ในขณะที่ตาก็มัว ปากก็เบี้ยว กินข้าวเคี้ยวข้าวได้ช้า น้ำลายก็ย้อยลงตามมุมปาก น่าทุเรศพอๆกับขอทานข้างถนน แต่ก็พอให้ได้ปลงอนิจจังวัตตะสังขารา-อุปปาทะวะธัมมิโน.. โน่ว No- สู้ๆ แหะๆ แผ่วๆ.. ปรบมือเชียร์กันหน่อยเด้อเจ่า

    http://www.chiangraifocus.com/forum...1d2e97b61b09c82abe5b6e50dc4e9b&topic=308473.0 ปลูกข้าวหนีน้ำท่วม
    http://www.chiangraifocus.com/forum...1d2e97b61b09c82abe5b6e50dc4e9b&topic=301090.0

    หนูดรีม -ขี้เหล้าน้อย จะเป็นชาวนาเว้ยเฮ้ย
    http://www.chiangraifocus.com/forum...1d2e97b61b09c82abe5b6e50dc4e9b&topic=130702.0
    โรงเรียนชาวนา วิทยาการเกษตร เพื่อคนจน
    http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=272929.0 ต้นกระดาษหรือต้นไม้ปีศาจ
    ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า ยูคาลิปตัสจะดูดน้ำใต้ดินมาก จะทำให้ดินแล้ง โดยที่มันอยู่ที่ประเทศเดิมไม่มีผลร้ายมากนัก เพราะจะแย่งน้ำกับพวกเดียวกันอีก30กว่าสายพันธุ์ เรายังไม่ได้วิจัยมากนัก พอที่จะสรุปได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2012
  18. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    --สุดยอดของคำสอนแบบเซ็น--ลพ.ชา
    วันหนึ่งหลวงพ่อนำคณะสงฆ์ทำ<WBR>งานวัด มีวัยรุ่นมาเดินชมวัด ถามท่านเชิงตำหนิ

    "ทำไมท่านไม่นำพระเณรนั่งสม<WBR>าธิ ชอบพาพระเณรทำงานไม่หยุด"
    ...

    "นั่งมากขี้ไม่ออกว่ะ" หลวงพ่อสวนกลับ ยกไม้เท้าชี้หน้าคนถาม

    "ที่ถูกนั้น นั่งอย่างเดียวก็ไม่ใช่ เดินอย่างเดียวก็ไม่ใช่ ต้องนั่งบ้าง ทำประโยชน์บ้าง ทำความรู้ความเห็น ให้ถูกต้องไปทุกเวลานาที อย่างนี้จึงถูก

    กลับไปเรียนใหม่ ยังงี้ยังอ่อนอยู่มาก เรื่องการปฏิบัตินี้ ถ้าไม่รู้จริงอย่าพูด มันขายขี้หน้าตนเอง"

    --------------
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2012
  19. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    คำสอนมาในอากาศ
    จขกท. กำลังกินข้าวไปบ่นไป คำสอนมาในอากาศอีกแล้ว ที่หน้าเว็ปพลังจิตไป เล่นไปเรื่อย ดดนเต็มๆ จากหลวงปู่ฤาษีลิงดำส่งอีเมล์พิเศษมา เราก็คลิกๆ ความทุกข์เกิดมีเพราะเราได้ ชาติ -(การเกิด) จึงมีความแก่ การเจ็บป่วย(โดน- วัยรุ่นโดนเต็มๆ)และความตาย "ทำไงล่ะที่จะแก้ได้ล่ะปู่" "ก็ไม่ต้องแก้ มันเป็นของธรรมชาติธรรมดา พระพุทธองค์ให้ใช้ขันติความอดทน ทนอยู่กับความทุกข์มันไป"--เว็ปพลังจิตนี่ขลังจริงๆ คอนเฟิร์มเลย
     
  20. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    .... ^ ^ ... เมื่อเห็นหลวงปู่ชา และ พระอาจารย์สุเมโท ... ทำให้นึกถึงช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ... ที่ได้มีโอกาสไปวัดหนองป่าพงแบบ ธรรมะจัดสรร ... ช่วง 2 วันแรกที่ไป ใจไม่นิ่งเลย ... แต่เมื่อวันสุดท้าย คือ วันที่ 16 ซึ่งเป็นวันสำคัญ ... อ้อนั่งสมาธิหันหน้าสู่พระเจดีย์ ... โดยมีเสียงของพระอาจารย์สุเมโทท่านแสดงธรรม ... ใจกลับนิ่ง สงบ เย็น ... อิ่มเอม และ ซาบซึ้งใจ ... ตั้งแต่เริ่มฟังจนท่านเทศนาธรรมจบ ... พร้อมกับน้ำตาที่ซึมออกหางตาทั้งสอง ... นี่กระมัง ... ผลของต้นไม้ใหญ่ ที่แผ่กิ่งก้านใบ ปกคลุม ... กระทั่งผลยังแข็งแรงและ .... งดงาม ... (แอบนึกในใจ ขอเป็นเพียงมดแดงที่ได้ชื่นชมผลของต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น...ก็เป็นบุญแล้ว) ^ ^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...