จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ปุจฉา & วิสัชชนา

    สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน
    วันนี้เรามีปุจฉาธรรมมาฝากคือว่า
    ปกติยามตื่น - เวลามีปัจจัยกระทบเข้ามาหรือกิเลสต่างๆใดๆก็แล้วแต่เข้ามา เราก็อาศัย"สติ+จิตที่ฝึกมาดีแล้ว+ปัญญา" เป็นตัวตั้งรับแล้วก็จัดการกับกิเลสเหล่านั้นใช่ไหมครับ..
    แต่ยามหลับ - กิเลสมันจะมากับความฝัน (ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นจำพวก"อนุสัยกิเลส"ต่างๆ) คำถามคือว่า แล้วเราจะรับมือและจัดการกับกิเลสหรือปัจจัยกระทบเหล่านั้นอย่างไรในขณะที่เราเองนอนหลับอยู่?

    ขอเชิญท่านๆร่วมวิสัชชนาตามประสบการณ์และมุมมองของท่าน.. สาธุครับ
     
  2. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    วิสัชชนา ขอร่วมแจมด้วยคนค่ะ อิๆ แว๊ปแรกที่พออ่านปุจฉาจบ ก็ตอบได้ในทันทีว่า ก็ทำจิตเกาะพระซิจ๊ะ ซิจ๊ะ เกาะพระให้แนบแน่น จนจิตสามารถทรงฌาณได้แม้แต่ในยามหลับ ถ้าจิตทรงฌาณอยู่กิเลสต่างๆ ก็เข้ามาทำอะไรกับจิตไม่ได้ หรือมากกว่านั้น จิตที่ทรงฌาณอยู่อะไรๆ เข้ามาเค้าก็จะวิปัสสนาลงกฎไตรลักษณ์ให้สิ้นซาก แล้วอย่างนี้กิเลสมันจะเหลือเหรอะ อิๆ ไม่รู้ตอบไปแล้วจะเสียชื่ออาจารย์ เอ๊ย..จิตบุญรึเปล่า ข้าน้อยขอยอมรับในทุกกรณีจ้าาา
     
  3. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    โดยปรกติ จิตเราจะทรงฌาณ+วิปัสสนาอยู่เสมอทั้งยามหลับและตื่น ดังนั้นคำตอบน่าจะให้เราทรงฌาณ+วิปัสสนาให้ได้24ชั่วโมงครับ (ผิดถูกอย่างไรต้องขอคำแนะนำครูด้วยนะครับ)
    อ่ะ uplineเราตอบคล้ายกันเลย
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ภูธรรมาทาน...(ต่อ)
    (จิตบุญสบายดีกันหรือเปล่า? กิ๊ววววว)


    หัวใจในการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา คือ อริยมรรค ๘ ย่อแล้วเหลือ ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

    กรรมฐานเขาทำกันที่จิต การเดินมรรคเพื่อไปสู่ผลและไปสู่พระนิพพานเขาทำกันที่จิต ไม่จำเป็นต้องไปทำที่วัด

    อีกตอนหนึ่งทรงตรัสว่า ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต อีกตอนหนึ่งทรงตรัสว่า พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ต่างก็บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยอริยสัจด้วยกันทั้งสิ้น และพระสาวกของตถาคตต่างก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วยอริยสัจด้วยกันทุกองค์ มีทางนี้ทางเดียว ทางอื่นไม่มี

    จุดนี้เองที่มีผู้เข้าใจผิดกันมาก กลัวว่าพระพุทธศาสนาจะเสื่อม ความจริงพระธรรมไม่มีคำว่าเสื่อม เพราะเป็นสัจธรรมคือจริงอยู่ตลอดกาล ที่เสื่อมคือจิตของคนที่ยังหนาอยู่ด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมเท่านั้น ที่เสื่อมไปจากความดีในพระพุทธศาสนา

    อีกจุดหนึ่งก็คือ คนเข้าใจผิดคิดว่าในเมื่อร่างกายของพระองค์ถูกเผาไปหมดแล้ว แล้วเราจะพบพระพุทธเจ้าได้อย่างไร จุดนี้คนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ปฏิบัติเพียงแค่อ่านศึกษาคัมภีร์ตามปริยัติ แต่มิได้นำไปปฏิบัติให้เกิดผล ตัวจริงของพระพุทธศาสนาอยู่ที่ผล จริงที่ผลไม่ใช่จริงตามตำราหรือตัวหนังสือ ใครปฏิบัติได้ถึง ไหนก็หมดสงสัยได้ในจุดนั้น และรู้ได้ เห็นได้เฉพาะตน (ธรรมของตถาคตเป็นปัจจัตตัง) ดังนั้น คนใดรู้แค่ตำรา รู้แค่ตัวหนังสือจึงยังรู้ไม่จริง ข้าพเจ้าขออุปมาอุปไมยว่ารู้แค่ ก - ข เท่านั้น (ขั้นอนุบาลเท่านั้น)

    สรุปว่า เราจะสิ้นความสงสัยได้ในพระพุทธศาสนา ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งคำสอนของพระองค์เท่านั้น ถึงเมื่อไรก็จะสิ้นสงสัยเองในขณะจิตนั้น และจะรู้ได้ด้วยตนเองเฉพาะตน เรื่องของพระพุทธศาสนาจึงละเอียด ประณีต ยากยิ่งนักที่ปุถุชนคนธรรมดา ๆ จะพึงเข้าใจได้

    ความจริงจิตเป็นอมตะไม่มีคำว่าตาย ผู้ตาย คือ ขันธ์ ๕ หรือร่างกาย จิตสร้างกรรมอะไรไว้ ยึดสิ่งใดไว้ก็ไปตามนั้น คือ ไปตามกรรม พระองค์จึงใช้คำว่าจุติ คือ จิตหรือตัวเราจริงๆ ไม่เคยตาย พอร่างกายพังหรือตายหรืออนัตตา เราหรือจิตที่อาศัยอยู่ก็ต้องไปเกิดใหม่ตามกรรมที่ตนทำเอาไว้เอง ตามกฎของกรรม คือ ทำดีก็ได้ดี (สุคติ) ทำชั่วก็ไปไม่ดี (ทุคติ)

    บรรดาผู้สูงอายุทั้งหลายก็ไม่ควรประมาท ควรเร่งรัดตัวเองหันมาสนใจแต่ธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์กันเถิด อย่าไปอยากรู้ อยากเห็นอะไรที่อยู่นอกหรือโลกภายนอก ให้สนใจแต่ตัวของเราเอง ซึ่งประกอบด้วยกายกับจิต หรือโลกภายในดีกว่า หมายความว่า จงอย่าสนใจกายภายนอก หรือกายผู้อื่น และอย่าสนใจจิตของผู้อื่น หากต้องการผลหรือมรรคผลเร็ว ทรงแนะวิธีปฏิบัติสั้นๆ ไว้ ๕ ข้อ คือ จงอย่าสนใจเรื่องของผู้อื่นหรือจริยาของผู้อื่น จงอย่ายกตนข่มผู้อื่น จงอย่าคอยจับผิดผู้อื่น ให้คอยแต่จับผิดตนเองและแก้ไขตนเองตลอดเวลา จงอย่าหลงคิดว่าตนเองดีแล้ว เพราะกิเลสของเรายังมีอยู่มาก และจงอย่าไปเที่ยวแบกทุกข์ของชาวบ้าน เพราะทุกข์ที่ตัวเราที่จิตของเราชอบสร้างขึ้นก็มีอยู่มากพอแล้ว

    คำสอนทรงสอนไว้ ๘๔,๐๐๐ วิธี ย่อแล้วเหลือ ๑๐ ข้อ คือ สังโยชน์ ๑๐ (สังโยชน์ คือ กิเลสที่คอยร้อยรัดจิตเราไว้ไม่ให้พ้นทุกข์) ทรงตรัสว่าเป็นบันได ๑๐ ขั้น ที่เราใช้เป็นเครื่องวัดอารมณ์ของจิตไว้เสมอ (วัดกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม หรือวัดอารมณ์โลภ โกรธ หลง ของตัวเอง)

    หากเราตัดสังโยชน์ ๓ ข้อแรกได้ ก็จะเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต่ำ คือ พระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามี

    หากเราตัดสังโยชน์ ๕ ข้อแรกได้ ก็จะเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูง คือ พระอนาคามี

    หากเราตัดสังโยชน์ ๑๐ ข้อได้ ก็จะเป็นพระอรหันต์ (มีหลักฐานชัดในมหาปรินิพพานสูตร ซึ่งพระอานนท์เป็นผู้ถาม)

    โดย : พลตำรวจโท นายแพทย์ สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  5. taktay

    taktay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +338
    เคยมีใครสักคน ได้บอกฉันมา
    ว่าเวลาใคร..ทำกับเราให้เจ็บชำ้ใจ
    ลองไปเก็บก้อนหินขึ้นมาซักอัน
    ถือมันอยู่อย่างนั้นแล้วบีบมันไว้
    บีบให้แรงจนสุดแรง ให้มือทั้งมือมันเริ่มสั่น
    ใครคนนั้นยิ้มให้ฉัน ถามว่าเจ็บมือใช่ไหม

    ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ
    ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง
    ให้เธอคิดเอาเองว่าชีวิตของเธอ หรือของใคร
    ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ
    ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ ถูกเขาทำร้าย
    เพราะใจเธอแบกรับมันเอง
    <เพียงเธอจับมันโยนให้ไกลสายตา หรือเธอปรารถนาจะเก็บมันไว
    หากยังยอมยังแบกไปหัวใจของเธอก็ต้องสั่น
    หากยังทำตัวแบบนั้น ถามว่าปวดใจใช่ไหม...>
    เพลง(((ก้อนหินก้อนนั้น)))โรส
    วางก้อนหินลงนะคะ วางกิเลส
    ดับ โลภ โกรธ หลง
    มันมา เรารู้
    มันสู้ เราปราบ
    (เกาะองค์พระไปนะค่ะ เดี๋ยวเรารู้เอง)
    รักตัวเองมากๆ อย่าให้มันทำร้ายเราได้
    ด้วยรักและปรารถนาดีจาก(บ้านรากแก่น)
    หนึ่ง จบ53
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2012
  6. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    เห็นด้วยค่ะ เพราะการปฎิบัติ คือการทวนกระแส

    ทวนกระแสกิเลสของตนเอง และสิ่งแวดล้อมภายนอก

    อาศัยปัญญาบารมีนำ แล้วบารมีอี่นๆ ก็ตามมาหมด
    ตัวอย่าง เช่น ถ้าไม่มีปัญญาก็ให้ทานไม่ได้ ไม่มีปัญญาก็คงไม่ทำความเพียรหรือทำได้ไม่ต่อเนื่อง ฯลฯ


    จะเห็นได้ว่า มรรคมีองค์ 8 เริ่มต้นที่ สัมมาทิฎฐิ ความเห็นชอบ เป็นตัวปัญญา คือ การปฏิบัติอย่างเหมาะสมตามความเป็นจริงด้วยปัญญา (ความหมายจาก wikipedia) อ่านแล้วชอบคำแปลอันนี้ รู้สึกครอบคลุมดี


    เห็นด้วยอีกเหมีอนกันที่ว่า
    ในตอนแรกเราทำบางอย่างที่รู้ว่าผิด แต่พอทำๆไปมันกลายเป็นเรื่องปรกติไป

    ขอยกตัวอย่างเรื่องของตัวเอง ในอดีต

    เมื่อก่อนมีคนหนึ่งชอบว่าเรา เราก็ต้องไปเถียงทุกครั้ง ทั้งๆที่รู้ว่าที่เขาว่าไม่จริง แต่ก็ต้องไปเถียงทุกครั้ง

    มีวันนึง เขาว่ามาอีก ในลักษณะพุดลอยๆ คนอื่นที่บังเอิญอยู่ตรงนั้นพอดีก็ส่ายหน้า เป็นทำนองว่าเอาอีกแล้ว

    ในใจอยากรักษาศีลข้อ 4 วันนั้นรู้สึกต้องใช้ขันติ กำลังใจอย่างมาก ที่จะอยู่เฉยๆ ไม่โต้ตอบ แต่ก็ทำได้สำเร็จ หลังจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก

    มีอีกคนนึงชอบยั่วให้เราโกรธ

    เราก็ไม่รู้ตัวว่าเขาทำอย่างนี้เราจะโมโหทุกครั้ง มีวันนึงเขาทำอีก นึกถึงคำที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์เคยสอน "อย่าไปให้ความหมาย" ก็เลยเฉยๆ ไม่ให้ความหมาย หลังจากนั้นเขาก็เลิกทำไป

    ที่เล่ามานี้ จะสื่อว่า ความดี ถ้าจะทำให้เป็นเรื่องปกติ ก็จะเป็นปกติไปได้ในที่สุดค้าาาา yimm

    ปล. ขอบคุณนะ คุณ
    watjojoj พอเปิดประเด็น พี่ก็มีเรื่องพุดต่อไปได้ ;41
     
  7. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    จริงๆเรื่องนี้ผมพูดสอนน้องคนหนึ่งไป แต่ขอยกตัวอย่างของผมดีกว่าคือที่บ้านผมนี้ต้องฆ่าปล่าเกือบทุกวัน วันแรกๆที่ผมต้องทำก็ไม่อยากทำ แผ่กุศลให้ประจำ พอทำไปๆ มันก็ชิน เห็นว่าการฆ่าปลาเป็นเรื่องที่ไม่ผิดอะไรไปโดยแบบไม่มีความสำนึกว่าผิดเลยซักนิด จึงอยากขอพูดซะหน่อยน่ะครับ แม้ตอนนี้ตัวผมเองจะเลิกทำไปแล้วแต่ที่บ้านก็ยังทำอยู่ ก็ยังไม่ทราบว่าจะบอกเขายังไงดี ก็หมั่นแผ่ให้ที่บ้านประจำเรื่อยๆๆๆๆๆ ครับ บางครั้งตอนแผ่นี่ เงาดำเต็มบ้านไปหมด แต่ก็จะแผ่ให้บ่อยมากขึ้นและขอบารมีของพระพุทธเจ้าท่านช่วยด้วยนะครับ
     
  8. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คนที่ไม่รู้จักสุข ไม่รู้จักทุกข์นั้น

    ก็จะเห็นว่า สุขกับทุกข์นั้นมันคนละระดับ มันคนละราคากัน

    ถ้าผู้รู้ทั้งหลายแล้ว

    ท่านจะเห็นว่าสุขเวทนากับทุกขเวทนา มันมีราคาเท่าๆกัน


    หลวงพ่อชา สุภัทโท

    ที่มา fb เครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

    ขอน้อมกราบหลวงพ่อชา ด้วยเศียรเกล้า
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตบุญรุ่นพี่คุยกับจิตบุญรุ่นน้อง(คุณหมออุษาวดีกับคุณwajojoj)
    แลดูน่ารักดี เหมือนพี่กับน้อง มีแต่เห็นด้วย ไม่เห็นมีคำว่า ไม่เห็นด้วย
    แล้วจิตบุญจะมีคำว่า เบียดเบียน ขัดแย้ง ทะเลาะ ไม่สำรวมกันไหม๊?
    ไม่มีใช่ไหม? มันดีใช่ไหม? จิตบุญน่ารักทุกคน เห็นมีเห็นอกเห็นใจกัน รักเมตตาต่อกัน และให้ไม่มีประมาณ ไม่ว่าทั้งคน ทั้งสัตว์ หรือแม้นกระทั่งวิญญาณต่างๆ
    นี่แหล่ะ...คำว่า จิตบุญ นี่แหล่ะการเข้าถึงกระแสจิต กระแสธรรม ขอให้ผู้ปฎิบัติดูถึงผลของการปฎิบัติของตนเองเป็นหลัก ดูที่จิตตนเองเป็นหลัก คอยสอดส่องดูสิว่า กิเลสละเอียดมันยังมีอยู่ไหม๊? หรือเรียกกันง่ายๆก็คือ เรายังเลวอยู่ไหม๊? ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเขานะ เปรียบก่อนและหลังการปฎิบัติของเราเองนี่แหล่ะ ใครรักพระพุทธเจ้า ใครรักหลวงพ่อฤาษีลิงดำ นอกจากเราฟังเทศน์ฟังธรรมของท่านแล้ว จงน้อมจิตมาปฎิบัติตามด้วยนะ อันนี้ท่านพ่อและหลวงพ่อท่านปรารถนา รักและเคารพท่านพ่อจงเขี่ยกิเลสในจิตของตนออกให้หมด อย่าให้หลงเหลือซาก ตั้งหน้าปล่อยวาง ก้มหน้าปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้น หรือเพื่อพระนิพพานเพียงอย่างเดียว ขอขอบพระคุณพี่น้องจิตคู่นี้ อยากจะบอกว่าน่ารักเจงๆ
    เจริญในธรรม...สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กันยายน 2012
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ความสัมพันธ์ของ คำว่า "สติ ศีล สมาธิ และปัญญา"
    (หัวใจหลักการปฎิบัติของพระพุทธศาสนา)

    คำว่า "สติ" เป็นความรู้สึกตัวเกิดขึ้นโดยธรรมชาติด้วยกันทุกคน
    แต่ถ้าสติของนักภาวนา หรือผู้ปฎิบัติธรรมนั้น แค่มีสติธรรมดาๆไม่เพียงพอ
    และคำว่า "สติ" ของคนจะพัฒนากลายมาเป็นสติของ คำว่า มนุษย์นั้น คือว่า สติจะต้องทำให้เกิดมากกว่าคำว่าธรรมดา นั่นก็คือ การเจริญสติภาวนา หรือกรรมฐาฯทั้ง 40 กอง ที่พระองค์ทรงบัญญัติให้กับพวกเราชาวพุทธไว้เพื่อในการให้เข้าถึงกระแสจิตของตนเองและเข้าถึงกระแสธรรมไปในที่สุด สรุปแล้ว สติประเภทที่สองนี้นอกจากสติที่เกิดอยู่ตามธรรมชาติของคนเราแล้ว นักภาวนาหรือผู้ปฎิบัติจะต้องเจริญสติหรือสร้างสติให้มากถึงมากที่สุดเท่าที่จะทำกันได้ เพราะสติอันมากมายนี้จะไปช่วยส่งเสริมให้จิตมันนิ่งมันสงบก่อนเข้าสู่ขั้นที่สองของหัวใจของพระพุทธศาสนาก็คือ สมาธิต่อไป ส่วนสมาธิจะเข้มหรือเข้มจนกลายเป็นฌานสูงขึ้นไปตามลำดับนั้น เราก็ต้องอาศัยสติของเรานั่นเอง

    คำว่า "ศีล" เป็นรากฐาน เป็นมาตาราฐาน เป็นพื้นฐานของคำว่า "คนดี"
    แต่สำหรับศีลของนักนักภาวนาหรือผู้ปฎิบัติธรรมนั้น จะต้องเข้มหรือเคร่งครัดกว่าศีลผู้ที่ไม่ปฎิบัตินั้นย่อมเป็นธรรมดา เพราะศีลขาด ศีลทะลุ ศีลด่าง ศีลพร่อง หรือศีลพร้อยไม่ได้ เราผู้ปฎิบัติจะต้องหมั่นตราจตราศีลของตนเองอยู่สม่ำเสมอ ตามปรกจะไม่มีใครดูแลศีลให้กันและกัน เพราะฉะนั้นตัวเราจะต้องเคร่งครัด

    คำว่า "สมาธิ" สำหรับสมาธิของคนทำงานทางโลกทั่วๆไปแล้ว มีไม่มากเท่ากับสมาธิของนักภาวนา นักวิปัสสนา เพราะฉะนั้นคำว่า "ขณิกสมาธิ" หรือสมาธิเล็กน้อยนั้นจึงไม่เพียงพอสำหรับนักภาวนาหรือผู้ปฎิบัติธรรม เพราะจะต้องใช้สมาธิอย่างต่ำในการวิปัสสนา(พิจาณาธรรมหรือพิจารณาสิ่งที่มากระทบจิต) เราจึงจำเป็นจะต้องมีสมาธิเข้มกว่านี้ก็คือ อุปจารสมาธิ(เฉียดฌาน) หรือแต่ถ้าจิตใครทรงสมาธิมากกว่านี้ก็คือ อัปปนาสมาธิ(ฌาน ๑ ขึ้นไป) สรุปแล้วจิตที่จะมีคุณภาพในการวิปัสสนาหรือพิจารณาธรรมนั้น จิตยิ่งนิ่งมากเท่าไหร่ หรือจิตทรงฌานได้สูงเท่าไหร่ ปัญญาก็มากเท่านั้น สมาธิหรือฌานจึงเปรียบเสมือนได้กับเครื่องยต์ของรถยนต์ ที่ดูภายนอกเหมือนกันหมดทุกอย่าง แต่จะต่างกันเพียงเครื่องยนต์เท่านั้น นักภาวนาหรือผู้ปฎิบัติธรรมก็เหมือนกัน คือเราจะดูแค่รูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เราจะต้องดูให้ไปถึงข้างในนั้น ก็คือ สติ สมาธิ ปัญญาของผู้ปฎิบัตินั้น แต่ผู้ปฎิบัติหมั่นเจริญสติและหมั่นเจริญสมาธิและหมั่นเจริญปัญญาของตนอยู่เสมอๆเป็นเนื่องนิจ ผู้ปฎิบัติท่านนั้นก็จะมีอินทรีย์แก่กล้า หรือมีบุญบารมีมาก เพราะจิตมีสติสัมปชัญญะมากไปจนถึงฌานนั้น ก็ย่อมมีพลังจิตมากตามไปด้วย เพราะฉะนั้นทำให้จิตเข้าเขตความบริสุทธิ์ ความว่าง ความเป็นกลางมากยิ่งขึ้น จิตของผู้ปฎิบัติที่กล่าวมาข้างท้ายนี้ นักภาวนาหรือผู้ปฎิบัติทั่วไปปรารถนาเป็นยิ่งนัก

    คำว่า "ปัญญา" สำหรับคำว่าปัญญาทางโลกนั้นไม่มี แต่ปัญญาทางเปรียบได้แค่สัญญาในทางธรรมเท่านั้น ก็คือแค่ความจำของคนเราทั่วๆไปเท่านั้น แต่ปัญญาในทางธรรมที่จะมีกันได้นั้น จะต้องผ่านกระบวนการของ คำว่า เจริญสติภาวนา กล่าวคือจะต้องเจริญสติให้ผ่านขั้นที่สองของการเจริญสติภาวนา หรือที่เราเรียกกันว่า สมาธิ ปัญญาถึงจะเกิดขึ้นมาได้ แต่ถ้าจิตใครนิ่งน้อยหรือจิตเกิดสมาธิน้อยปัญญาก็น้อย หรือถ้าจิตใครนิ่งมากหรือสมาธิมากจนกลายเป็นระดับทรงฌาน ยิ่งทรงฌานสูงถึงฌาน๔ ก็ยิ่งจะดีใหญ่เพราะว่าปัญญาก็จะมากตามไปด้วย แลตรงนี้แหล่ะผ๓้ปฎิบัติเริ่มเข้าใจกันดีมากยิ่งๆขึ้นไปแล้ว เพราะตัวปัญญานี้ผู้ปฎิบัติจะนำไปใช้ในการวิปัสสนาต่อไป แต่ถ้าจิตใครทรงฌานสูงนานๆ หรือเรียกกันว่า จิตทรงฌานทั้งวันทั้งคืน อันนนี้จะถือว่าดีมากๆ เพราะอีกไม่นานนัก จิตจะเข้าสู่โหมดออโต้ของวิปัสสนา เมื่อจิตสามารถเข้าสู่โหมดออโต้ที่ว่านี้ได้ จิตก็จะเริ่มเข้าสู่ความว่างไปโดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไร เราก็แค่มีสติตามดูตามรู้จิตเฉยๆ คอยรายงานให้กับเราภายนอกเท่านั้น เพราะจิตจะเข้าสู่โหมดออโต้ที่ว่านี้ จิตเขาจะทำวิปัสสนาของเขาเองโดยธรรมชาติ และเมื่อนั้นอีกไม่นานนัก จิตก็จะกลายเป็นปัญญาญาณหรือวิปััสสญาณ คือจิตเป็นพุทธะ หรือจิตสามารถเข้าถึงกระแสธรรมแล้ว ด้วยจิตผ่านวิปัสสนาญาณนี้ เหมือนเราได้มีตัวรู้รู้ จิตมีหน้าที่รู้อย่างเดียว แต่ถ้าเรามีตัวรู้นี้มากและมากกว่าที่เราเรียกว่าปัญญา นั่นก็คือ ญาณ(การหยั่งรู้) บางท่านจิตยกจิตกลายเป็นจิตบุญแล้ว มักจะงงๆกันทุกท่าน อันนี้ปกติ ไม่ได้มีอะไรมาก และกว่าผู้ปฎิบัติจะปรับตัวกันได้อีกนาน บางคนนานมาก นานเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์ก็เคยมี เพราะเมื่อสติตามทันจิตเมื่อไหร่ ก็จะเลิกงงๆเมื่อนั้น ผู้ปฎิบัติจิตที่ยังไม่ได้ยก อ่านไว้เพื่อประดับความรู้ก็จะดีนะ เพราะเมื่อถึงตาจิตเราถึงคราวยกบ้าง ระบบประสาทสัมผัสระหว่างกายกับจิตจะได้ปรับตัวทันไวๆ

    ขอให้ผู้เจริญทั้งหลาย ขอให้หมั่นเจริญสติ+ภาวนาของตนให้อยู่เป็นเนืองนิจ โดยเฉพาะจิตบุญ ที่ชอบมักทำจิตหลุด(จิตตกฌาน) จะถือว่าจิตหลุดจากนิพพานไปชั่วคราวแล้ว จิตบุญใครเป็นอย่างนี้กัน ขอให้รีบๆนำจิตเข้าเขตบุญ(ฌาน)โดยด่วน นั่นพวกท่านกำลังตั้งอยู่บนแห่งความประมาทแล้ว คือใกล้เขตแดนอบายภูมิเข้าไปทุกทีแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กันยายน 2012
  11. kantinanna

    kantinanna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +1,819
    สวัสดีค่ะพี่ๆจิตบุญทุกๆคน หนูน้องใหม่ของกรทู้นี้ขอฝากตัวและขอคำแนะนำจากพี่ๆและเพื่อนทุกท่านด้วยนะคะ ตอนนี้หนูฝึกเองที่บ้านเพราะไม่มีโอกาศได้ไปฝึกที่ใหนเลยเหตุผลเพราะอยู่ไกลบ้าน แต่หนูมีความตั้งใจมากที่จะฝึกค่ะ ขอบคุณคุณพี่ Dhammanee ด้วยนะคะ ที่มีความเมตตา แนะนำกระทู้นี้ให้หนูได้รู้จักค่ะ
     
  12. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ยินดีต้อนรับครับ คุณเกษขยันหาdownlineจริงๆ คงต้องเอาบ้างแล้วมั้งครับนี่:cool:
    จริงๆแล้วเราก็ฝึกกันที่จิตเรานี่แหละครับ ไม่ต้องขับรถไปไหนไกลหรอก
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีและยินดีต้อนรับบ้านแสนจะอบอุ่นแห่งนี้นะครับ เดี๋ยวรอครูผู้จัดการจิตเกาะพระมาแนะนำเธออีกทีนะ นี่คุณwatjojojข้างล่างนี้ก็มาจากคุณDhammaneeนะ เธอเจอเพื่อนแล้วนะ คุณwajojojจะรับเองเลยมั๊ย?

    555...คุณwatjojojพูดโดนใจจริงๆ "Dhammane network corporation" แล้วครูเพ็ญกับครูวิทย์จะล้างสต๊อกกันตอนไหน๊ ฮ่าๆ คุณDhammaneeนะ คุณDhammanee ป่านนี้เธอคงนอนสะดุ้งเฮือกเพราะตีสามของเธอ ฮ่าๆ ทำไมหมู่นี้เราขำทั้งวัน พี่ภูไปนอนดีก่า เห็นครูดัชชี่ยืนถือไม้เรียวคู่กับครูเพ็ญแล้ว เห่อๆ
     
  14. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ขออภัยค่ะ ถ้าข้อความนี้จะขัดความประสงค์ของพี่ภูหรือจิตบุญ จิตบำเพ็ญ และจิตเกาะพระทุกท่าน

    พี่เพ็ญปิดรับลูกศิษย์อย่างเป็นทางการค่ะ คือว่าครูจิตบุญรุ่นใหม่มีแจ้งความประสงค์เข้ามาไม่กี่ท่าน ทำให้ไม่สามารถรับคนเพิ่มได้แล้วค่ะ เพราะพี่เพ็ญมีงานทั้งทางโลกและทางธรรมเต็มแล้ว ส่วนจิตบุญท่านใดจะรับไปสอนเป็นการเฉพาะก็ยินดีค่ะ ขอให้ท่านแจ้งอีเมลของท่านกับผู้ประสงค์จะเรียนจิตเกาะพระได้โดยตรงค่ะ แต่พี่เพ็ญปิดแน่นอนค่ะ ถ้าชุดเก่าสิบกว่าคนนี้ไม่ยกจิตออกไป พี่เพ็ญไม่รับสอนค่ะ เพราะพี่เพ็ญมีคติว่าต้องการคุณภาพไม่ต้องการปริมาณค่ะ ถ้าพี่เพ็ญเปิดรับสมัครรุ่นต่อไปจะแจ้งให้ทราบค่ะ ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ ^^
     
  15. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ยินดีนะครับ ยินดีเพื่อท่านพ่อ ยินดีเื่พื่อพาทุกท่านกลับบ้านครับ ยินดีเพื่อช่วยครูด้วยครับ ขอเมล์ไว้ที่หน้าบอร์ดทีครับผม
     
  16. kantinanna

    kantinanna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +1,819
    ขอบคุณมากค่ะ ช่วยแนะนำหนูด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
     
  17. kantinanna

    kantinanna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +1,819
    ขอบคุณค่ะพี่ภู ช่วยดึงหนูไปกราบหลวงพ่อ ข้างบนด้วยคนนะคะ ตอนนี้ยังไม่ไปใหนเลยค่ะ
     
  18. kantinanna

    kantinanna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +1,819
    เมล์หนูใช่มั๊ยค่ะ(กลัวเข้าใจผิดค่ะ) kantinan1979@hotmail.co.uk
     
  19. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ขอแสดงความยินดีและโมทนากับจิตบุญดวงที่ 63 น้องฟูจิและคุณวิทย์ด้วยนะค่ะ
     
  20. Plapersia

    Plapersia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +775
    ขอส่งบุญช่วยนะคะ ขอส่งให้เยอะๆเลยค่ะ อย่าท้อนะคะ เห็นเค้ายกกันทุกวัน
    เอ้ทำไมเรายังไม่ยกสักทีน้า อยากยกบ้าง

    อย่าไปอยากเลยนะคะ ความอยากคือความโลภตัวนึง
    อยากในทางที่ดี ก็ดีเหมือนกันค่ะ จะได้กระตุ้นความพยายาม
    แต่ถ้าอยากแล้วทุกข์ เมื่อไหร่จะยกสักทีน้า
    ยังทำได้ไม่ถึงไหนเลยน้า
    อันนี้ไม่ดีแน่ๆค่ะ ทำไปเรื่อยๆสบายๆนะคะ

    ปล.คนพิมยังไม่ยกเลยค่ะ แหะๆ ขอโทษนะคะ
    หากพี่ๆจิตบุญมีอะไรแย้ง ช่วยบอกด้วยนะคะ ยอมรับทุกอย่างค่ะ ><
     

แชร์หน้านี้

Loading...