คนที่บรรลุอรหัน

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Rutchasak La-ong, 28 ตุลาคม 2011.

  1. เนตรอิศวร

    เนตรอิศวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2011
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +425
    *****ผู้ใดที่สำเร็จอรหันต์แล้วยังไม่บวช ก็จะต้องตายคำนี้องค์พระสัมมาสัพุทธเจ้าเคยได้ตรัสไว้โดยมีใจความประมาณนี้ เมื่อครั้งที่ ยัสสะกุลบุตรได้ฟังอริยสัจ๔ครั้งที่๒ โดยการเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เทศนาให้บิดาของพระยัสสะฟัง....แล้วในครั้งนั้นเมื่อยัสสะกลุบุตรได้ฟังอริยะสัจ๔เป็นครั้งที่๒ก็บังเกิดสำเร็จเป็นอรหันต์ ส่วนบิดายัสสะกลุบุตรนั้นได้ดวงตาเห็นธรรม.
    *****ในครั้งนั้นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงกล่าวว่า ยัสสะกุลบุตรนั้นไม่สามารถกลับไปสู่เรือนได้อีกแล้ว.
    *****ฉะนั้น คำกล่าวแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงมีนัยอยู่ที่สื่อว่า ผู้ที่สำเร็จอรหันต์แล้วหากไม่บรรพชาก็จะต้องตาย....แต่เหตุแห่งการตายนั้นก็มีปัจจัยอยู่เช่นกันนั้นแล....หากใช้ปัญญาพิจารณาก็จะล่วงรู้ได้ไม่ยากเกิน....ขออนุโมทนา.
     
  2. เนตรอิศวร

    เนตรอิศวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2011
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +425
    ****ผู้เป็นเณร ก็สามารถสำเร็จเป็นพระอรหันได้ ดังเช่น พระราหุล ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่ยังครั้งเมื่อเป็นเณร.***(ขออภัยท่านทั้งหลายด้วยเรานั้นกล่าวผิด จึงขอทำการแก้ไขว่า องค์พระราหุลสำเร็จเป็นพระอรหันต์หลังจากได้บวชเป็ชเป็นภิกษุแล้วนั้นเอง ขอท่านทั้งหลายโปรดจงอภัยแก่เราด้วยเถิด)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2012
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ครับ แล้วท่านก็ดำรงธาตุขันธ์ต่อจนถึงเป็นพระได้ โดยถือศีล 10 ข้อใช่ไหมครับ?
     
  4. Nuthsunti

    Nuthsunti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +328
    ศีลทั้ง 227 ข้อ ถูกบัญญัตขึ้นเพราะมีเหตุให้ต้องบัญญัตขึ้น เพื่อเป็นแนวทางให้พระที่ยังไม่บันลุธรรม จึงไม่แน่ใจว่าสิ่งไหนต้องปฎิบัต สิ่งไหนต้องไม่ปฎิบัต ในช่วงพุทธกาลบัญญัตขึ้น227 ข้อ ซึ่งหากพระพุทธเจ้ายังมีพระชนชีพในปัจจุบัน รับรองว่าศีลจะถูก บัญญัตขึ้นอีกมากกว่า 227 ข้อมากนัก เพราะจะมีเหตุให้ต้องบัญญัตขึ้นอีกมากมาย
    สำหรับผู้บันลุพระอรหันต์แล้ว ท่านจะทราบดีว่าสิ่งไหนต้องปฎิบัต สิ่งไหนต้องไม่ปฎิบัต แม้จะเป็นสามเณรที่บันลุเป็นพระอรหันต์แล้ว แม้ศีลของสามเณรมี 10 ข้อก็จริง แต่หากมีใครไปถามท่านเกี่ยวกับศีลทั้ง 227 ข้อ ไล่ตั้งแต่ข้อ 1 ไปถึงข้อที่ 227 ก็น่าจะได้คำตอบว่าท่านรักษาได้บริสุทธิหมดจด ซึ่งจริงๆแล้ว ศีลาจารวัต ของ สามเณรที่บันลุเป็นพระอรหันต์แล้ว งดงามและมากกว่า 227 ข้อนั้นซะอีกมากนัก
     
  5. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ครับ ถ้าเช่นนั้นแล้ว พระอริยะทั้งหลาย ย่อมมีศีลบริสุทธิ์ เพราะใจไม่คิดทำความชั่วใดๆ อีกแล้ว แล้วอย่างนั้น จำเป็นต้องยึดถือในข้อศีลไหมครับ? ต้องยึดถือในข้อปฏิบัติใดๆ อีกไหม?
     
  6. Nuthsunti

    Nuthsunti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +328
    ผมขอยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ดังนี้

    มีเด็กเล็กที่ซุกซน คนหนึ่งเห็นอุจจาระก้อนหนึ่งก็จะเข้าไปจับไปขย้ำมันเล่น พ่อแม่ของเด็กเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าขวางและสอนลูกว่าอุจจาระ เป็นสิ่งสกปรก และออกคำสั่งห้ามว่า ห้ามไปจับไปขย้ำอุจาระ

    เด็กเล็ก เปรียบได้กับผู้ที่ยังไม่บันลุธรรม
    พ่อแม่ เปรียบได้กับพระอรหันต์
    คำสั่งห้ามว่า ห้ามไปจับไปขย้ำอุจาระ เปรียบได้กับ ศีลและข้อวัตรปฏิบัติ

    คุณคิดว่า พ่อแม่ (พระอรหันต์) จะเข้าไปจับไปขย้ำอุจจาระเล่น (ทำผิดศีล ผิดข้อวัตรปฏิบัติ ) ซะเองหรือ
    พระอริยะทั้งหลาย ท่านไม่ได้ยึดถือ แต่ท่านปฏิบัตในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติที่ถูกต้องด้วยความรู้แจ้งของท่านเอง
    สำหรับผู้ที่ยังไม่บันลุธรรม ก็จะต้องยึดถือปฏิบัตในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง ตามที่บัญญัตไว้

    หากมีใครอ้างว่าตัวเอง บันลุธรรมแล้วไม่ต้องยึดถือปฏิบัตในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ รับรองว่าของเก๊ จะพาล พาลงนรกเป็นแน่แท้
     
  7. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320

    ปกิณกะธรรม เรื่อง หลวงปู่มั่นรักษาศีลข้อเดียว

    ในธรรมคำสอนตอนหนึ่งเล่าถึงระหว่างหลวงปู่มั่นมาแวะพักที่วัดบรมนิวาสกรุงเทพฯ
    มีคนกรุงกราบถามหลวงปู่มั่นว่า "หลวงปู่รักษาศีลองค์เดียว ไม่ได้รักษาถึง ๒๒๗
    องค์ เหมือนพระทั้งหลายที่รักษากันใช่หรือไม่"?

    "ใช่ อาตมารักษาเพียงอันเดียว" หลวงปู่มั่นตอบ

    คนกรุงกราบถามท่านอีกว่า "ที่หลวงปู่รักษาเพียงอันเดียวนั้นคืออะไร"?

    หลวงปู่มั่นตอบสั้นๆ คือ "ใจ"!

    คนกรุงผู้ติดอยู่กับการเมืองการเลือกตั้งอุบาทว์ยังไม่แจ่มแจ้ง
    กราบถามหลวงปู่มั่นว่า..

    "แล้วศีล ๒๒๗ นั้น หลวงปู่ไม่ได้รักษาหรือ"?

    หลวงปู่มั่นตอบว่า... "อาตมารักษาใจไม่ให้คิดพูดทำในทางผิด
    อันเป็นการล่วงเกินข้อห้ามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ จะเป็น ๒๒๗
    หรือมากกว่านั้นก็ตาม บรรดาที่เป็นข้อบัญญัติห้าม อาตมาก็เย็นใจว่า
    ตนมิได้ทำผิดต่อพุทธบัญญัติ ส่วนท่านผู้ใดจะว่าอาตมารักษาศีล ๒๒๗ หรือไม่นั้น
    สุดแต่ผู้นั้นจะคิดจะพูดเอาตามความคิดของตน
    เฉพาะอาตมาได้รักษาใจอันเป็นประธานของกายวาจาอย่างเข้มงวดกวดขันตลอดมา
    นับแต่เริ่มอุปสมบท"
     
  8. Nuthsunti

    Nuthsunti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +328
    ขอกราบนอบน้อม หลวงปู่มั่น
    หากอ่านโดยใช้ปํญญาแล้ว ก็จะทราบว่า ท่านรู้ถึงต้นแหล่ง คือใจ อันเป็นต้นแหล่งของคำพูด และการกระทำ
    หากอ่านให้ดี จะเห็นว่า ท่านบอกเป็นนัยด้วยว่าท่าน รักษาได้มากกว่า 227 ข้อด้วยซ้ำไป ดังข้อความที่ว่า
    " อาตมารักษาใจไม่ให้คิดพูดทำในทางผิด
    อันเป็นการล่วงเกินข้อห้ามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ จะเป็น ๒๒๗
    หรือมากกว่านั้นก็ตาม บรรดาที่เป็นข้อบัญญัติห้าม อาตมาก็เย็นใจว่า
    ตนมิได้ทำผิดต่อพุทธบัญญัติ
    "

    ในส่วนที่เกิน 227 ข้อที่ผม พอยกตัวอย่างได้ เช่น การใบ้หวย ซึ่งไม่ได้กำหนดไว้ใน 227 ข้อ แต่ผมก็ไม่เคยได้ข้อมูลว่าท่านเคย ใบ้หวยเลย
    ในตอนท้าย ผมจะลงรายละเอียด ศีล 227 ข้อ หากท่านใดมีข้อมูลว่า หลวงปู่มั่น ทำผิดในข้อไหน โปรดช่วยให้ข้อมูลด้วย (โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า หลวงปู่มั่น ท่านรักษาศีลได้ บริสุทธิ ทั้ง 227 ข้อ และมากกว่า ที่บัญญัตไว้ด้วย )


    ปาราชิก มี ๔ ข้อได้แก่
    ๑. เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
    ๒. ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย)
    ๓. พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน)หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์
    ๔. กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)

    สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ ถือเป็นความผิดหากทำสิ่งใดต่อไปนี้ ๑.ปล่อยน้ำอสุจิด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝัน
    ๒.เคล้าคลึง จับมือ จับช้องผม ลูบคลำ จับต้องอวัยวะอันใดก็ตามของสตรีเพศ
    ๓.พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี
    ๔.การกล่าวถึงคุณในการบำเรอตนด้วยกาม หรือถอยคำพาดพิงเมถุน
    ๕.ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย แม้สามีกับภรรยา หรือแม้แต่หญิงขายบริการ
    ๖.สร้างกุฏิด้วยการขอ
    ๗.สร้างวิหารใหญ่ โดยพระสงฆ์มิได้กำหนดที่ รุกรานคนอื่น
    ๘.แกล้งใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
    ๙.แกล้งสมมุติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
    ๑๐.ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน
    ๑๑.เป็นพวกของผู้ที่ทำสงฆ์ให้แตกกัน
    ๑๒.เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง 3 ครั้ง
    ๑๓. ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ประจบคฤหัสถ์

    อนิยตกัณฑ์ มี ๒ ข้อได้แก่
    ๑. การนั่งในที่ลับตา มีอาสนะกำบังอยู่กับสตรีเพศ และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม
    ๒. ในสถานที่ที่ไม่เป็นที่ลับตาเสียทีเดียว แต่เป็นที่ที่จะพูดจาค่อนแคะสตรีเพศได้สองต่อสองกับภิกษุผู้เดียว และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม 2 ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว
    ๓ ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว

    นิสสัคคิยปาจิตตีย์ มี ๓๐ ข้อ ถือเป็นความผิดได้แก่
    ๑.เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
    ๒.อยู่โดยปราศจากจีวรแม้แต่คืนเดียว
    ๓.เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด ๑ เดือน
    ๔.ใช้ให้ภิกษุณีซักผ้า
    ๕.รับจีวรจากมือของภิกษุณี
    ๖.ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย
    ๗.รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป
    ๘.พูดทำนองขอจีวรดีๆ กว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิม
    ๙.พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย
    ๑๐.ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า ๓ ครั้ง
    ๑๑.หล่อเครื่องปูนั่งที่เจือด้วยไหม
    ๑๒.หล่อเครื่องปูนั่งด้วยขนเจียม (ขนแพะ แกะ) ดำล้วน
    ๑๓.ใช้ขนเจียมดำเกิน ๒ ส่วนใน ๔ ส่วน หล่อเครื่องปูนั่ง
    ๑๔.หล่อเครื่องปูนั่งใหม่ เมื่อของเดิมยังใช้ไม่ถึง ๖ ปี
    ๑๕.เมื่อหล่อเครื่องปูนั่งใหม่ ให้เอาของเก่าเจือปนลงไปด้วย
    ๑๖.นำขนเจียมไปด้วยตนเองเกิน ๓ โยชน์ เว้นแต่มีผู้นำไปให้
    ๑๗.ใช้ภิกษุณีที่ไม่ใช้ญาติทำความสะอาดขนเจียม
    ๑๘.รับเงินทอง
    ๑๙.ซื้อขายด้วยเงินทอง
    ๒๐.ซื้อขายโดยใช้ของแลก
    ๒๑.เก็บบาตรที่มีใช้เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
    ๒๒.ขอบาตร เมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน ๕ แห่ง
    ๒๓.เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย)ไว้เกิน ๗ วัน
    ๒๔.แสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด ๑ เดือนก่อนหน้าฝน
    ๒๕.ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วชิงคืนในภายหลัง
    ๒๖.ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร
    ๒๗.กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น
    ๒๘.เก็บผ้าจำนำพรรษา (ผ้าที่ถวายภิกษุเพื่ออยู่พรรษา) เกินกำหนด
    ๒๙.อยู่ป่าแล้วเก็บจีวรไว้ในบ้านเกิน ๖ คืน
    ๓๐.น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน


    มีต่อ
     
  9. Nuthsunti

    Nuthsunti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +328
    ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อได้แก่
    ๑.ห้ามพูดปด
    ๒.ห้ามด่า
    ๓.ห้ามพูดส่อเสียด
    ๔.ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับผู้ไม่ได้บวชในขณะสอน
    ๕.ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช้ภิกษุ)เกิน ๓ คืน
    ๖.ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง
    ๗.ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง
    ๘.ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ผู้มิได้บวช
    ๙.ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช
    ๑๐.ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด
    ๑๑.ห้ามทำลายต้นไม้
    ๑๒.ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน
    ๑๓.ห้ามติเตียนภิกษุผู้ทำการสงฆ์โดยชอบ
    ๑๔.ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง
    ๑๕.ห้ามปล่อยที่นอนไว้ ไม่เก็บงำ
    ๑๖.ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน
    ๑๗.ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์
    ๑๘.ห้ามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยู่ชั้นบน
    ๑๙.ห้ามพอกหลังคาวิหารเกิน ๓ ชั้น
    ๒๐.ห้ามเอาน้ำมีสัตว์รดหญ้าหรือดิน
    ๒๑.ห้ามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิได้รับมอบหมาย
    ๒๒.ห้ามสอนนางภิกษุณีตั้งแต่อาทิ ตย์ตกแล้ว
    ๒๓.ห้ามไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่
    ๒๔.ห้ามติเตียนภิกษุอื่นว่าสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ
    ๒๕.ห้ามให้จีวรแก่นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
    ๒๖.ห้ามเย็บจีวรให้นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
    ๒๗.ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี
    ๒๘.ห้ามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือร่วมกัน
    ๒๙.ห้ามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะให้เขาถวาย
    ๓๐.ห้ามนั่งในที่ลับสองต่อสองกับภิกษุณี
    ๓๑.ห้ามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน ๓ มื้อ
    ๓๒.ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม
    ๓๓.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปฉันอาหารที่อื่น
    ๓๔.ห้ามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร
    ๓๕.ห้ามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนต์เสร็จแล้ว
    ๓๖.ห้ามพูดให้ภิกษุที่ฉันแล้วฉันอีกเพื่อจับผิด
    ๓๗.ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล
    ๓๘.ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน
    ๓๙.ห้ามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง
    ๔๐.ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน
    ๔๑.ห้ามยื่นอาหารด้วยมือให้ชีเปลือยและนักบวชอื่นๆ
    ๔๒.ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ
    ๔๓.ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลที่มีคน ๒ คน
    ๔๔.ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับมาตุคาม (ผู้หญิง)
    ๔๕.ห้ามนั่งในที่ลับ (หู) สองต่อสองกับมาตุคาม
    ๔๖.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลา
    ๔๗.ห้ามขอของเกินกำหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว้
    ๔๘.ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป
    ๔๙.ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน ๓ คืน
    ๕๐.ห้ามดูเขารบกันเป็นต้น เมื่อไปในกองทัพ
    ๕๑.ห้ามดื่มสุราเมรัย
    ๕๒.ห้ามจี้ภิกษุ
    ๕๓.ห้ามว่ายน้ำเล่น
    ๕๔.ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย
    ๕๕.ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว
    ๕๖.ห้ามติดไฟเพื่อผิง
    ๕๗.ห้ามอาบน้ำบ่อยๆเว้นแต่มีเหตุ
    ๕๘.ให้ทำเครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม
    ๕๙.วิกัปจีวรไว้แล้ว (ทำให้เป็นสองเจ้าของ-ให้ยืมใช้) จะใช้ต้องถอนก่อน
    ๖๐.ห้ามเล่นซ่อนบริขารของภิกษุอื่น
    ๖๑.ห้ามฆ่าสัตว์
    ๖๒.ห้ามใช้น้ำมีตัวสัตว์
    ๖๓.ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์(คดีความ-ข้อโต้เถียง)ที่ชำระเป็นธรรมแล้ว
    ๖๔.ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น
    ๖๕.ห้ามบวชบุคคลอายุไม่ถึง ๒๐ ปี
    ๖๖.ห้ามชวนพ่อค้าผู้หนีภาษีเดินทางร่วมกัน
    ๖๗.ห้ามชวนผู้หญิงเดินทางร่วมกัน
    ๖๘.ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย (ภิกษุอื่นห้ามและสวดประกาศเกิน ๓ ครั้ง)
    ๖๙.ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
    ๗๐.ห้ามคบสามเณรผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
    ๗๑.ห้ามพูดไถลเมื่อทำผิดแล้ว
    ๗๒.ห้ามกล่าวติเตียนสิกขาบท
    ๗๓.ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์
    ๗๔.ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ
    ๗๕.ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ
    ๗๖.ห้ามโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไม่มีมูล
    ๗๗.ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่น
    ๗๘.ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน
    ๗๙.ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน
    ๘๐.ขณะกำลังประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ
    ๘๑.ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้ามติเตียนภายหลัง
    ๘๒.ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล
    ๘๓.ห้ามเข้าไปในตำหนักของพระราชา
    ๘๔.ห้ามเก็บของมีค่าที่ตกอยู่
    ๘๕.เมื่อจะเข้าบ้านในเวลาวิกาล ต้องบอกลาภิกษุก่อน
    ๘๖.ห้ามทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์
    ๘๗.ห้ามทำเตียง ตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ
    ๘๘.ห้ามทำเตียง ตั่งที่หุ้มด้วยนุ่น
    ๘๙.ห้ามทำผ้าปูนั่งมีขนาดเกินประมาณ
    ๙๐.ห้ามทำผ้าปิดฝีมีขนาดเกินประมาณ
    ๙๑.ห้ามทำผ้าอาบน้ำฝนมีขนาดเกินประมาณ
    ๙๒.ห้ามทำจีวรมีขนาดเกินประมาณ
     
  10. Nuthsunti

    Nuthsunti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +328
    ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อได้แก่
    ๑. ห้ามรับของคบเคี้ยว ของฉันจากมือภิกษุณีมาฉัน
    ๒. ให้ไล่นางภิกษุณีที่มายุ่งให้เขาถวายอาหาร
    ๓. ห้ามรับอาหารในสกุลที่สงฆ์สมมุติว่าเป็นเสขะ (อริยบุคคล แต่ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันต์)
    ๔. ห้ามรับอาหารที่เขาไม่ได้จัดเตรียมไว้ก่อนมาฉันเมื่ออยู่ป่า

    เสขิยะ
    สารูป มี ๒๖ ข้อได้แก่
    ๑.นุ่งให้เป็นปริมณฑล (ล่างปิดเข่า บนปิดสะดือไม่ห้อยหน้าห้อยหลัง)
    ๒.ห่มให้เป็นนปริมณฑล (ให้ชายผ้าเสมอกัน)
    ๓.ปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน
    ๔.ปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน
    ๕.สำรวมด้วยดีไปในบ้าน
    ๖.สำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน
    ๗.มีสายตาทอดลงไปในบ้าน (ตาไม่มองโน่นมองนี่)
    ๘.มีสายตาทอดลงนั่งในบ้าน
    ๙.ไม่เวิกผ้าไปในบ้าน
    ๑๐.ไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน
    ๑๑.ไม่หัวเราะดังไปในบ้าน
    ๑๒.ไม่หัวเราะดังนั่งในบ้าน
    ๑๓.ไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน
    ๑๔.ไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน
    ๑๕.ไม่โคลงกายไปในบ้าน
    ๑๖.ไม่โคลงกายนั่งในบ้าน
    ๑๗.ไม่ไกวแขนไปในบ้าน
    ๑๘.ไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน
    ๑๙.ไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน
    ๒๐.ไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน
    ๒๑.ไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน
    ๒๒.ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน
    ๒๓.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน
    ๒๔.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน
    ๒๕.ไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในบ้าน
    ๒๖.ไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน

    โภชนปฏิสังยุตต์มี ๓๐ ข้อคือหลักในการฉันอาหารได้แก่
    ๑.รับบิณฑบาตด้วยความเคารพ
    ๒.ในขณะบิณฑบาต จะแลดูแต่ในบาตร
    ๓.รับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง (ไม่รับแกงมากเกินไป)
    ๔.รับบิณฑบาตแค่พอเสมอขอบปากบาตร
    ๕.ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ
    ๖.ในขณะฉันบิณฑบาต และดูแต่ในบาตร
    ๗.ฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ (ไม่ขุดให้แหว่ง)
    ๘.ฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง ไม่ฉันแกงมากเกินไป
    ๙.ฉันบิณฑบาตไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป
    ๑๐.ไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยหวังจะได้มาก
    ๑๑.ไม่ขอเอาแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน หากไม่เจ็บไข้
    ๑๒.ไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ
    ๑๓.ไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป
    ๑๔.ทำคำข้าวให้กลมกล่อม
    ๑๕.ไม่อ้าปากเมื่อคำข้าวยังมาไม่ถึง
    ๑๖.ไม่เอามือทั้งมือใส่ปากในขณะฉัน
    ๑๗.ไม่พูดในขณะที่มีคำข้าวอยู่ในปาก
    ๑๘.ไม่ฉันโดยการโยนคำข้าวเข้าปาก
    ๑๙.ไม่ฉันกัดคำข้าว
    ๒๐.ไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย
    ๒๑.ไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง
    ๒๒.ไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว
    ๒๓.ไม่ฉันแลบลิ้น
    ๒๔.ไม่ฉันดังจับๆ
    ๒๕.ไม่ฉันดังซูดๆ
    ๒๖.ไม่ฉันเลียมือ
    ๒๗.ไม่ฉันเลียบาตร
    ๒๘.ไม่ฉันเลียริมฝีปาก
    ๒๙.ไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ
    ๓๐.ไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน

    ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี ๑๖ ข้อคือ
    ๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ
    ๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ
    ๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีของมีคมในมือ
    ๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ
    ๕.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท่า (รองเท้าไม้) ๑
    ๖.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า
    ๗.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน
    ๘.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน
    ๙.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า
    ๑๐.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ
    ๑๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ
    ๑๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนอาสนะ (หรือเครื่องปูนั่ง) โดยภิกษุอยู่บนแผ่นดิน
    ๑๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูงกว่าภิกษุ
    ๑๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ แต่ภิกษุยืน
    ๑๕.ภิกษุเดินไปข้างหลังไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า
    ๑๖.ภิกษุเดินไปนอกทางไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง

    ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ
    ๑. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
    ๒. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว (พันธุ์ไม้ใบหญ้าต่างๆ)
    ๓. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในน้ำ อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อได้แก่
    ๑. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ในที่พร้อมหน้า (บุคคล วัตถุ ธรรม)
    ๒. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการยกให้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติ
    ๓. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยยกประโยชน์ให้ในขณะเป็นบ้า
    ๔. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือตามคำรับของจำเลย
    ๕. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ
    ๖. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการลงโทษแก่ผู้ผิด
    ๗. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยให้ประนีประนอมหรือเลิกแล้วกันไป
     
  11. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ถูกต้องครับ ศีลจะมีกี่ข้อ หลวงปู่มั่นท่านก็รักษาได้หมด
    เพราะท่านไม่ได้ตั้งใจจะรักษาข้อศีลทั้งหลายเหล่านั้น แต่ท่านรักษาใจอย่างเดียวครับ

    ในเมื่อรักษาข้อเดียว ก็รักษาได้หมดทุกข้อ แล้วจะเพ่งรักษาทั้งหมดทุกข้อ แต่ไม่เห็นในข้อเดียวสักที ไปทำไม? :)
     

แชร์หน้านี้

Loading...