เวรกรรมมีจริง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปุณฑ์, 20 มีนาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...............เอาความเห็นท่านพุทธทาส ดีกว่านะครับ---------------(ข้อนี้อธิบายว่า เมื่อมีการตามเห้นกาย ตามเห้นเวทนา ตามเห็นจิต ตามเห็นธรรม อยู่โดยนัยแห่ง จตุกกะทั้งสี่แล้ว ก้ย่อมมีการกำหนดสติในสิ่งเหล่านั้นอยู่ สติที่เป็นการกำหนดนั้นเอง ชื่อว่าสติสัมโพชฌงค์ในที่นี้ สรุปความสั้นสั้นว่า เมื่อมีการเจริญอานาปานสติมีวัตถุ16อยู่ก็ย่อมมีสติสัมโพชฌงค์หรือเป็นสติสัมโพชฌงคือยู่ในตัว ถ้าการเจริญอานาปานสติถึงที่สุดการเจริญสัมโพชฌงค์ก้ถือว่าถึงที่สุดด้วยนี้อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเมื่อสติสัมโพชฌงค์อยู่ด้วยอาการเช่นนี้ ย่อมชื่อว่ามีการเลือกเฟ้นใคร่ครวญธรรมด้วยปัญญา ดังจะเห็นได้ชัดในการพิจารณาองค์ฌานขั้นปิติ และสุขเป็นต้น หรือพิจารณาในฐานะที่เป็นเวทนาก้ตาม โดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยที่เวทนานั้นมีเหตุปัจจัยอะไรปรุงแต่งก็ดี หรือโดยที่เวทนานั้นปรุงแต่งสิ่งอื่นสืบไปก็ดี หรือแม้ที่สุดแต่การสโมธานมาวึ่งธรรม การรู้โคจรแห่งธรรมนั้นนั้น และการแทงตลอดแห่งสมัตถะแห่งธรรมนั้นนั้นก็ดี มีรายละเอียดดังที่กล่าวแล้วในอานาปานสติ ขั้นที่5(ดูหนังสือ อานาปานสติภาวนา ชุดธรรมโฆษณ์ของพุทธทาสหน้าที่ 240ไป) นั้นแหละคือการเลือกเฟ้นธรรม ใคร่ครวญธรรม ซึ่งเป็นสิ่งมีอยู่โดยสมบูรณ์แล้ว ในการเจริญอานาปานสติก้ดี หรือ ในขณะที่มีสติสัมโพชฌงคืดังที่กล่าว สรุปความว่า เมื่อมีสติสัมโพชฌงค์โดยอาการของอานาปานสติ ก็ย่อมมีการใคร่ครวญธรรม เพราะสติที่สมบูรณ์ย่อมทำการกำหนดในเบื้องต้น แล้วทำการพิจารณาในฐานะเป็นอนุปัสนาญานในลำดับถัดมา อย่างที่เรียกว่าเนื่องกันไปในตัว การกำหนดชื่อว่าสติ การพิจารณาชื่อว่าการเลือกเฟ้นใคร่ครวญ ในที่นี้ เพราะฉนั้นผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ภิกษุนั้น เมื่อเป้นผู้มีสติอยู่เช่นนั้น ย่อมทำการเลือก ย่อมทำการเฟ้น ย่อมทำการใคร่ครวญอยู่ซึ่งธรรมด้วยปัญญา"ดังที่กล่าวแล้ว)---อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส หน้าที่1202-1203.:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  2. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692

    ขอบคุณค่ะ

    แต่บางทีก็รีบค่ะ
    ถ้าเป็นเรื่องไม่ตามมาก่อน ไม่ได้ทบทวนความเดิมของเขา ไม่รู้ที่มา
    ตอบบางคนไป ก็อาจจะงงไปหมด
    คนมารยาทดี เขาก็อวยกับเราไปเข้าเรื่องจนได้ .. น่ารัก
    คนที่คิดว่าได้ที ก็ซัดกันไปเนาะ
     
  3. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ฟังพระอาจารย์รูปนึง
    ท่านว่า ถ้าเราสวดมนต์หรือทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้ใคร
    หากเราสมาธิไม่ดีพอ ถ้าเทวดาได้ยินจะช่วยนำบุญไปส่งต่อๆให้
    ถ้าเขาคนนั้นอยู่ในภพภูมิที่ดีแล้ว ไม่ต้องรับบุญของเรา
    บุญนั้นก็จะรอกลับมาเป็นของเจ้าของ (ไม่แน่ใจท่านเรียกบุพการีกรรมอะไรหรือเปล่า)
    ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะส่งบุญให้ใครแล้วเขาจะได้หรือไม่

    บางคราว เทวดาก็ไม่อาจไปช่วยคนดีได้
    แต่ถ้าในสถานที่ท่านดูแลอยู่ ท่านก็จะช่วยได้
    ดังนั้น ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ มีเทพเทวาดูแล
    ใครเข้าไปทำชั่วจึงเห็นผลทันตา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  4. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    ตรงนี้พี่เป็นคนพูดค่ะ พี่ต้องเป็นผู้บรรยาย


    ปล เมื่อกี้ง่วงมาก ต้องมานั่งทำงานดึกๆ เลยต้องไปงีบสักพัก
    ตอนนี้ ok แระ
     
  5. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นาอินจัง [​IMG]
    ตรงนี้คัดค้านอย่างแร๊ง ค่ะ คนที่ฟังธรรมจนบรรลุธรรม
    ในขณะที่จะบรรลุ พี่ว่าฌานไม่เกิดจริงๆ เหรอ
    ประมาทเกินไปไหมพี่

    ก็ไม่ใช่อย่างที่นาอินจังเข้าใจ แต่เป็นการทำจิตให้แยบคาย
    หรือโยนิโส ใช้โลกียปัญญาทำความเข้าใจ ถึงสมมุติหรือโลกนี้
    ว่าเป็นไปตามแรงกรรม ผลของกรรม ไม่มีวันจบ
    จนกว่าจะดับเหตุปัจจัยได้ คือปฏิบัติตามทางดับทุกข์ คือการเจริญสติปัฏฐานสี่หรือเจริญอริยมรรค

    ฝ่ายสุขวิปัสโก สมาธิสมังคีตัวสุดท้าย อาจไม่ได้อภิญญาอะไร
    ส่วนผู้คล่องฌาน ปัญญาสมังคีตัวสุดท้าย อาจได้อภิญญาตามระดับกำลัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  6. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องกรรมเลยพี่
    หนูขอถามพี่อีกครั้ง ในการที่จะบรรลุธรมจากการฟัง
    นั้น ตามที่หนูเข้าใจตามที่พี่เขียนมา คือ ไม่ต้องใช้ฌาน ก็ได้ ใช่ หรือไม่ใช่คะ พี่
     
  7. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เข้าใจแบบนั้น ก็ช่วยไม่ได้
    อธิบายหลายรอบแล้ว
     
  8. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    พี่บ่ายเบี่ยงไม่ตอบใช่ไหม เพราะหนูถามกลับ
    ที่พี่ยกมา ไม่ได้เพิ่มเติม หรือตัดตอนเลย
    ไม่ตอบก็ok ค่ะพี่
     
  9. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    <TABLE id=post5890985 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->นาอินจัง<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_5890985", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Sep 2009
    ข้อความ: 313
    พลังการให้คะแนน: 196 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]







    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_5890985 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปุณฑ์ [​IMG]
    คนไม่ได้ฌาน มีปัญญา
    ฟังธรรมของสัตปุรุษ มีศรัทธา เข้าใจบาปบุญ แจ้งในสมมุติ
    เข้าใจว่าเรื่องเหนือบาปบุญมี เจริญสติปัฏฐานหรืออริยมรรค

    คนได้ฌาน สำคัญว่าโลกเที่ยง จิตเที่ยง
    จิตนี้ไปเป็นนั่นนี่ ไม่มีวันตาย แต่เปลี่ยนภพภูมิไปเรื่อยๆ ไม่สามารถแยกจากโลกได้





    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ตรงนี้คัดค้านอย่างแร๊ง ค่ะ คนที่ฟังธรรมจนบรรลุธรรม
    ในขณะที่จะบรรลุ พี่ว่าฌานไม่เกิดจริงๆ เหรอ
    ประมาทเกินไปไหมพี่





    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ยกมาอีกรอบ

    ทำไมมาว่าคนอื่นพูดว่าฟังธรรมบรรลุโดยไม่เกิดฌาน
    ทำไมมาว่าคนอื่นประมาท คิดเองเออเอง..

    คราวก่อนก็ไปเรื่องตัดกรรม โดยไม่เห็นมีใครเขาพูดถึง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อ้างถึง
    ปฐมฌาน เป็นฌานที่หนึ่ง ในรูปฌาน ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา


    พี่เค เข้าใจว่า ในพระสูตรเป็นบทสอนต่อเนื่องนะ
    อย่างได้ปฐมฌาณแล้ว มีจิตผู้รู้ มีสติ เห็นอาการสมาธิ เห็นวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา

    จิตผู้รู้ที่ตั้งมั่นขึ้นมาได้ ก็มีสมาธิระดับปฐมฌาณด้วย

    พอจิตเดินหน้าต่อไปขึ้นสู่ทุติยฌาณ จิตผู้รู้ที่ตั้งมั่นขึ้นในสมาธิระดับทุติยฌาณนั้น
    จะมีสมาธินิ่งดิ่งลึกขึ้น ละวิตกวิจารได้แล้ว ก็เห็นปิติสุขเอกัคคตา
    เห็นความดับไปของวิตกวิจาร ก็เกิดปัญญารู้ว่าทำฌาณอยู่ในขั้นทุติยฌาณ
    เห็นลักษณะรู้อยู่ที่ทุติยฌาณ ก็เข้าใจแจ่มแจ้งในปฐมฌาณและทุติยฌาณ

    ทุติยฌาน ฌานที่ ๒ มีองค์ ๓ คือ ปีติ สุข เอกัคคตา

    ปล. เป็นจินตมยปัญญา อยู่ นะ ฟังพอเป็นนานาทัศนะได้แต่อย่ายึดว่าต้องถูกเสมอ
    เพราะทิฏฐิไม่เที่ยง แต่ถ้าเป็นภาวนามยปัญญาถึงจะรู้ชัดรู้สัจธรรมตามจริง โปรดใช้วิจารณญาณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  11. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
     
  12. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    ที่หนูถามพี่ เพราะหนูอยากถามคนที่ไม่ทำสมถะกรรมฐาน
    เขารู้รด ทุติยฌาน ได้ไง ขอบคุณค่ะพี่
    ความละเอียด ในการสภาวะจริงต่างกัน
    มีคนบอกว่าทำสติปัฏฐาน 4 อย่างเดียว ก็บรรลุธรรม
    จริงๆ หนูก็อยากได้ ตัวอย่างของพระอรหันต์ที่บรรลุธรรมที่ทำสติปัฏฐาน 4
    ไม่ทราบตรงนี้พี่ขวัญพอจะมีข้อมูลไหม ขอบคุณคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  13. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ให้กรรมเขาตัดสินนะ

    .............
     
  14. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    ได้เลยพี่ ให้กรรมตัดสิน
     
  15. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เอากรรมการตัดสินแทนก็แล้วกันครับ
    กรรมเหมือนกันแต่เป็นกรรมการ

    ฌาณมีสองอย่าง คือ
    อารัมณูปนิชฌาณ ฌาณที่มีสมถะเป็นอารมณ์
    กับ ลักขณูปนิชฌาณ ฌาณที่มีวิปัสสนาเป็นอารมณ์

    จะรู้ธรรมได้ต้องผ่านวิปัสสนาญาณ
    เมื่อมีวิปัสสนาญาณก็ต้องมีฌาณ
    คือ ลักขณูปนิชฌาณ

    ดังนั้นการบรรลุธรรมต้องมีฌาณครับ
    ยังไม่บรรลุได้วิปัสสนาญาณยังมีฌาณเลยครับ
    ถึงขนาดบรรลุแล้วก็ต้องมีฌาณครับ

    เอากรรมการตัดสินก็แล้วกันนะครับ
    ด้วยเหตุด้วยผลด้วยความเป็นธรรมครับ
     
  16. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เขาว่ากันว่า คนจะเข้าถึงโลกุตตระ(หรือโลกุตตรฌาน)ได้
    ต้องแจ้งในสมมุติ

    การเข้าใจสมมุติเป็นปัญญาอย่างหนึ่ง ที่รู้โลกเข้าใจโลกขึ้นมา
    รู้กรรม รู้วิบากกรรม รู้นรกโลกสวรรค์ ขึ้นมา
    แม้นไม่ไปเห็นจริง ก็เห็นสวรรค์ในอกนรกในใจทันทีทันใด(กิเลส) ตามภูมิจิต

    คนไม่แจ้งในสมมุติ เอาแต่พูดปรมัตถ์ๆ
    ก็ไม่เห็นเหตุว่า สัมมัปธานสี่ นั้นสำคัญอย่างไร
    การดำเนินตามอริยมรรคองค์แปด สำคัญอย่างไร

    ไม่ระวังในอกุศลกรรม เพียรในกุศลกรรม
    เอาแต่สร้างเวรสร้างกรรมที่ฝ่ายอกุศล<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อัชฌาสัยในการปฏิบัติมี 4 อย่างด้วยกัน คือ

    1. อัชฌาสัย สุกขวิปัสสโก
    2. อัชฌาสัย เตวิชโช
    3. อัชฌาสัย ฉฬภิญโญ
    4. อัชฌาสัย ปฏิสัมภิทัปปัตโต
    …………………………..

    อัชฌาสัยสุกขวิปัสสโก

    ท่านไม่เอาดีทางฌานสมาบัติ พอมีสมาธิเล็กน้อย ก็เจริญวิปัสสนาญาณควบกันไปเลย
    คุมสมาธิบ้าง เจริญวิปัสสนาบ้าง เมื่อสมาธิเข้าถึงปฐมฌาน วิปัสสนาก็จะมีกำลังตัดกิเลสได้ สามารถจะได้มรรคผลแล้วเมื่อตอนที่สมาธิเข้าถึงปฐมฌาน ท่านก็เริ่มวิปัสสนาเลย (หากสมาธิยังไม่ถึงปฐมฌาน จะบรรลุมรรคผลไม่ได้)

    อัชฌาสัยสุกขวิปัสสโก ท่านไม่ใส่ใจที่จะทำสมาธิให้สูง หรือทำสมถะให้สูง เพื่อให้ได้คุณวิเศษที่จะได้ ฤทธิ์ ของฌาน ซึ่งต้องได้ฌาน 4 ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้ พอท่านมีกำลังจิตในปฐมฌาน ท่านสามารถเริ่มต้นขบวนการวิปัสสนาตัดหรือละกิเลสได้แล้ว ท่านก็เริ่มวิปัสสนาเลย

    ดังนั้น พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก ท่านจึงไม่มีความรู้จริงในเรื่องนรก-สวรรค์ของจริง และไม่รู้ ไม่เห็น เรื่องผี โอปาติกะ เทพ พรหม เปรต ฯลฯ จึงไม่สามารถถอดจิตออกไปตรวจสอบสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนได้

    ในครั้งพุทธกาล พระโมคลานะ พระอานนท์ และพระอรหันต์อื่นๆ รวมทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกท่านฝึกสมาธิ หรือทำสมถะจนได้ฌาน 4-8 มาแล้วทั้งนั้น พอได้รับคำชี้แนะจากพระพุทธเจ้า ไม่นานนักท่านก็บรรลุอรหันต์ อรหันต์ในครั้งนั้นจึงเป็นอรหันต์เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต จำนวนมาก

    ในปฐมสังคายนา ก็กำหนดกฎให้อรหันต์ฉฬภิญโญและปฏิสัมภิทัปปัตโต ที่มีอภิญญาครบ 6 อย่างเข้าร่วมเท่านั้น ซึ่งยังหาได้มากถึง 500 รูปเพื่อทำสังคายนาพระไตรปิฎก

    เหตุที่ห้ามพระอรหันต์สุกขวิปัสสโก เข้าร่วมในปฐมสังคายนา เพราะอรหันต์สุกขวิปัสสโก เป็นอรหันต์แห้งแล้งจากโลกีย์อภิญญาใดๆทั้งสิ้น เพราะท่านได้แค่ปฐมฌาน ในขณะที่ผู้จะได้อภิญญา 5 จะต้องเข้าถึงอย่างน้อย จตุตถฌาน หรือ ฌานที่ ๔ (the Fourth Absorption ) จิตจะมีองค์ฌานเดียว คือ เอกัคคตา จึงมีพลังจิตรู้เห็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนในพระไตรปิฎกว่าเป็นความจริง

    แสดงกระทู้ - พระอรหันต์ สุขขวิปัสสโก ไม่ต้องมี สมาธิเลยหรือ? &bull; ลานธรรมจักร
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <CENTER>ฟังเพลง บรรลุธรรม

    </CENTER>


    เอนทรี่ก่อนได้พูดถึงแนวทางของการบรรลุธรรมไว้ ๓ แนวทางตามแนวที่ปรากฏในคัมภีร์ คือ

    ๑.บรรลุธรรมเพราะได้ฟัง

    ๒.บรรลุธรรมเพราะได้คิด

    ๓.บรรลุธรรมเพราะได้ปฏิบัติ

    ตัดข้อ ๒ และข้อ ๓ ออกก่อน คงกล่าวเฉพาะประเด็นแรกก่อน เพื่อไม่ให้เนื้อความยาวเกินไป

    คราวก่อนได้ยกตัวอย่างพระอัครสาวกทั้ง ๒ ว่า ได้บรรลุธรรมขั้นโสดาบันเพราะการฟัง

    เป็นที่น่าสังเกตว่า เฉพาะการฟังอย่างเดียวสามารถส่งผลให้ผู้ฟังได้บรรลุธรรมถึงขั้นอรหัตผลนั้น มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย เอาที่เราคุ้นเคยมากที่สุดก็เห็นจะเป็นปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้บรรลุอรหัตต์เพราะฟังธรรมเทศนาชื่ออนัตตลักขณสูตรจากพระพุทธเจ้า

    การบรรลุธรรมที่เกิดขึ้นจากการฟังนี้ หากจะพิจารณากรณีตัวอย่างโดยละเอียดจะเห็นว่า จะบรรลุธรรมขั้นใดขึ้นอยู่กับพื้นเพอุปนิสัยเดิมของผู้นั้นเป็นสำคัญ บางท่านฟังแล้วบรรลุขั้นโสดาบัน บางท่านได้สกทาคามี อนาคามี หรือบางท่านก็ก้าวกระโดดบรรลุขั้นพระอรหันต์เลยก็มี

    การได้ฟังธรรม แล้วได้บรรลุธรรมในระดับต่าง ๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก

    ในอรรถกถามังคลัตถทีปนีจึงกล่าวไว้ว่า “การฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วได้บรรลุอรหันต์ ไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์”

    ที่น่าอัศจรรย์คือ แม้แต่เสียงเพลง เสียงขับร้อง ถ้าผู้ฟังรู้จักพิจารณา ไตร่ตรองโดยอุบายอันแยบคายแล้ว ย่อมส่งผลให้ผู้ฟังได้บรรลุธรรมได้เช่นเดียวกัน

    ตัวอย่างในพระคัมภีร์มีให้เห็นมากมาย เช่น

    อุตตรมาณพ เดินทางไปประกวดร้องเพลงชิงรางวัล ระหว่างทางก็พบพระพุทธเจ้า ๆ จึงเรียกไปสอบถาม ทราบความแล้วก็ทรงถามว่า เพลงที่จะร้องเนื้อหาเป็นอย่างไร อุตตรมาณพจึงร้องเพลงให้พระพุทธเจ้าฟัง แต่พอฟังจบ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เพลงขับแบบนี้ ไม่ถูก ร้องไปไม่มีทางชนะแน่นอน

    คัมภีร์ธรรมบทได้พรรณนาไว้ว่า พระพุทธเจ้าได้แต่งเพลงขับให้อุตตรมาณพใหม่ พร้อมกับให้ท่องจำให้แม่น

    เนื้อหาเพลงที่เป็นโจกย์ให้ผู้ท้าชิงร้องแก้ท่านผูกเป็นปัฏฐยาวัตรฉันท์ แปลเป็นภาษาไทยได้ความหมายอย่างนี้

    “เป็นใหญ่อย่างไร จึงได้ชื่อว่าเป็นพระราชา

    เป็นพระราชาแบบไหน จึงได้ชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร

    แบบไหน ? จึงได้ชื่อว่าปราศจากธุล

    แบบไหน ? จึงได้ชื่อว่าเป็นคนพาล

    เพลงตอบโจทย์ที่พระพุทธเจ้าแต่งให้อุตตรมาณพว่าดังนี้

    “ผู้เป็นใหญ่ในทวารทั้ง ๖ ชื่อว่าเป็นพระราชา

    พระราชาผู้กำหนัด ชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร

    ผู้ไม่กำหนด ชื่อว่าปราศจากธุลี

    ผู้กำหนัดอยู่เรียกว่าเป็นคนพาล

    บทเพลง ๔ บรรทัดแค่นี้ ส่งผลให้อุตตรมาณพบรรลุโสดาบันทันที

    ว่ากันว่า หลังจากเรียนเพลงขับจากพระพุทธเจ้าจนคล่องปากแล้ว อุตตรมาณพก็ออกเดินทางไปท้าประลอง และในที่สุดก็ประสบชัยชนะ

    คัมภีร์มังคลัตถทีปนี ได้เล่าเรื่องพระติสสะเถระ ผู้ปรารภวิปัสสนา ท่านเดินทางผ่านสระปทุม เวลานั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งเก็บดอกบัวอยู่ นางคงจะมีอารมณ์สุนทรีย์ ขณะที่เก็บดอกบัวก็ร้องเพลงไปด้วย เนื้อเพลงผูกเป็นฉันทลักษณ์เช่นกัน แปลเป็นภาษาไทยได้ความหมายว่า

    “ดอกปทุมชื่อโกกนท บานแล้วแต่เช้าตรู่

    ถูกแสงพระอาทิตย์แผดเผาให้เหี่ยวแห้งไปฉันใด

    สัตว์ทั้งหลายผู้ถึงความเป็นมนุษย์

    ย่อมเหี่ยวแห้งไปด้วยกำลังแห่งชราฉันนั้น

    บทเพลงความยาวเพียงแค่ ๔ บรรทัดเท่านี้ ทำให้พระติสสะเถระถึงกับรรลุพระอรหันต์ทันที

    ถัดจากเรื่องนี้ไปนิดหน่อย ในคัมภีร์เดียวกันนี้ ได้เล่าถึงชายผู้หนึ่ง พร้อมด้วยบุตรชาย ๗ คนกลับจากป่า ระหว่างที่เดินทางกลับบ้าน ได้ยินเสียงสตรีนางหนึ่งกำลังร้องเพลงขณะตำข้าว เสียงเพลงไพเราะจับใจ โดยเฉพาะเนื้อเพลงฟังแล้วชวนให้พิจารณา

    “สรีระนี้อาศัยหนังมีผิวเหี่ยวแห้ง ถูกชราย่ำยีแล้ว

    สรีระนี้ถึงความเป็นอามิส คือเหยื่อแห่งมฤตยู ย่อมตกไปเพราะมรณะ

    สรีระนี้เป็นที่อยู่ของหมู่หนอน เต็มไปด้วยซากศพต่าง ๆ

    สรีระนี้เป็นภาชนะของไม่สะอาด

    สรีระนี้เสมอด้วยท่อนไม้

    สิ้นสุดเสียงเพลง ชายชราพร้อมลูกชายทั้ง ๗ คน บรรลุปัจเจกโพธิญาณทันที

    ที่สุดของเรื่องนี้ ท่านสรุปเป็นประเด็นทิ้งไว้อย่างนี้ว่า “แม้เทวาดาและมนุษย์เหล่าอื่น บรรลุอริยภูมิด้วยอุบายเช่นนี้”

    ทำให้เราได้ข้อสรุปเบื้องต้นอย่างหนึ่งว่า เสียงเพลง หรือเสียงเพลงขับ หากประกอบด้วยเนื้อหาที่สะท้อนสัจธรรมความจริงอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ย่อมทำให้ผู้ฟังได้เกิดปัญญาญาณถึงขั้นบรรลุธรรมได้เช่นเดียวกัน

    หากจะมีคำถามว่า แล้วเนื้อเพลงแบบไหนเข้าข่ายดังกล่าวข้างต้น

    ในคัมภีร์ท่านไม่ได้พรรณนารายละเอียด ท่านเพียงแต่ให้แนวกว้าง ๆ ไว้สำหรับพิจารณาดังนี้

    “เพลงขับที่ประกอบด้วยธรรมควร”

    “เมื่อบุคคลฟังเสียงแม้มีอักขระอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตรใด ราคะเป็นต้นย่อมเกิดขึ้น เสียงเห็นปานนั้นบุคคลไม่ควรฟัง แต่เมื่อบุคคลฟังเสียงที่อาศัยธรรม แม้เพลงขับของนางกุมภทาสี ความเลื่อมใสย่อมเกิดขึ้นได้ หรือความเบื่อหน่ายย่อมปรากฏ เสียงเห็นปานนั้นควร”

    จากตัวอย่างเบื้องต้นนี้ ทำให้มองเห็นว่า สิ่งที่เรียกว่าสัจธรรมนั้น แฝงตัวอยู่ในธรรมชาติรอบกายเรา ขอเพียงรู้จักไตร่ตรอง พินิจ และพิจารณาเราก็จะสามารถมองเห็นได้ แม้จะไม่มีใครแสดงให้เราฟังก็ตาม

    ตรงกันข้าม หากเราไม่รู้จักไตร่ตรองพิจารณา ต่อให้พระพุทธเจ้ามายืนต่อหน้าเรา ก็ทรงช่วยอะไรเราไม่ได้

    เพราะทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า “เราตถาคตเป็นแต่เพียงผู้ชี้บอกแนวทางเท่านั้น”

    http://www.oknation.net/blog/print.php?id=370333
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  19. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    ขอบคุณค่ะ พี่ขวัญ

    หนูเคยสนทนาธรรมกับหลวงพ่อ ที่เป็นพระวัดป่า นะ
    ท่านบอกว่า พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก ท่านไม่ทำฌาน ฌานแปลว่าเครื่องรู้
    แต่เวลาท่านบรรลุธรรม ต้องฌานประกอบ
    ที่ท่านไม่มีฤทธิ์เพราะท่านไม่มีฌานเป็นฐาน
    แต่หากท่านพระอรหันต์เล่านี้เคยทำมา เมื่อบรรลุธรรมแล้ว อภิญญาก็จะกลับมาดังเดิม
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ก็ประมาณนั้นแหละ นะนา
    ไม่ได้ทำฌาณมาก่อน

    แต่ตอนเกิดมรรคญาณ สมาธิจะเข้าระดับปฐมฌาณ ประชุมกันตอนนั้น
    แต่ไม่ได้ทำฌาณก่อนหน้าที่จะเกิดมรรคญาณ

    ส่วนของเก่าที่เคยทำมาหลายๆชาตินั้น พอได้มรรคญาณผลญาณ
    ของเก่ามันได้คืน เคยได้อภิญญามาก่อนในชาติก่อน ก็ได้คืนตอนบรรลุธรรม
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...