ขอคำแนะนำครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ศักยิ์กมล, 26 ตุลาคม 2011.

  1. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +1,316
    ผมกำลังฝึกเพ่งกสิณไฟจากแสงเทียน เป็นวัน ที่ 4 แล้วครับ เวลาเพ่งแล้วใช้หลักกำหนดลมหายใจเข้า "เตโช" หายใจออก "กสิณัง" แต่ไม่รู้เป็นไรเผลอกำหนดหายใจเข้าเป็น "พุทธ" หายใจออกเป็น "โธ" อยู่รำไป อีกทั้งง่วงจนสุดประมาณ และวันแรก ๆ เปลวไฟจากแสงเทียนก็ดูนิ่งดี แต่เช้านี้เปลวไฟเอนไปเอนมา ทั้งที่อยู่ในห้องปิดประตูหน้าต่างมิดชิด จึงเรียนท่านผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยครับ จักขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
     
  2. Darkever

    Darkever เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2011
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +333
    ถ้าพูดถึงกสิน อย่าไปสนใจคำภาวณา
    จะภาวณาแบบไหน อย่างไหน ได้เหมือนกันหมด
    เพราะเมื่อสงบลงไปเป็นฌาน มันจะไปรวมกันที่เดียวกันหมด ไม่ไช่ปัญหา

    จิตจำภาพเอาไว้ ภาพที่จำจะต้องเป็นภาพแนวเดิม มุมเดิม ลักษณะเดิมๆ
    วันนี้ถ้าจำภาพนี้ วันหน้าจำภาพนู่น วันนั้นจำแบบมุมอื่น มันจะไม่ได้อะไรเลย

    อย่าลืมนะ กสิน คือ การจำภาพ ไม่ไช่เพ่งภาพ
    จิงๆแล้ว แค่เรามองนิดเดียว คนเราก็จำได้อยู่แล้วละ แค่ภาพไฟเนีย
    บางที ไม่ต้องมอง นั่งนึกเอาเฉยๆยังได้เลย ภาพไฟเนีย

    จำภาพ ตอนแรกๆ ภาพจะไม่มีภาพที่ตา แต่จะรู้อยู่ในใจ
    จำไว้นะ ภาพจะต้องรู้ที่ใจ ไม่ไช่ที่ตา
    แรกๆมันจะไม่มีภาพ แต่จะจิณตนาการนึกเอาเอง
    หนักๆเข้า นึกไปนึกมา ภาพจะเริ่มเสมือนมีตัวตนขึ้นมาจิงๆในใจ เริ่มเป็นนิมิตรขึ้นมาละ
     
  3. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +1,316
    ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ ทุกถ้อยคำแนะนำผมขอบันทึกไว้ในคอม ฯ และพริ้นไว้อ่านทบทวนครับ

    ศักยิ์กมล
     
  4. อินทร์ธนู

    อินทร์ธนู สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +2
    เล่นเพื่ออะไรครับ แล้วพ้นทุกข์ได้เหรอ ทำไมไม่ปฏิบัติธรรมล่ะเดี๋ยวสอนให้เอาไหม ยิ่งกว่า ญาณ4 ซะอีก ไม่แน่อาจได้ ตาทิพย์หูทิพย์ หรือเจโต แต่สิ่งเหล่านี้น่ะเป็นแค่ของเล่นเองครับ ขึ้นอยู่กับว่าปัญญาคุณมีมากน้อยแค่ไหนครับ ไม่แน่อาจจะถึงนิพพานก็ได้นะครับ
     
  5. Darkever

    Darkever เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2011
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +333

    การศึกษาในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
    เอาแค่ สมาธิ ที่พระพุทธเจ้าสอน ก็ปรากฏว่า 40 แบบ
    10แบบใน40แบบ ที่พระพุทธเจ้าสอนปรากฏว่า เป็นกสิน
    เพราะฉะนั้น จะดูถูกกสินไม่ได้เลย เพราะกสิน เป็นกรรมฐาน
    นี้คือ 1 ในองค์สาม คือศีล สมาธิ ปัญญา
    ถ้าจะคว้าเอาแต่ปัญญาอย่างเดียวนั้นไม่ได้ ปัญญาจะต้องอบรมได้จากสมาธิ
    และอีกอย่าง ตาทิพ หูทิพ เข้าไม่ได้มีไว้เล่น คุณเข้าใจผิดแล้ว
    ตาทิพ หูทิพ เข้ามีไว้ส่องตัวเอง ว่าภายในกายมันเน่าหนอนป่าช้าแค่ไหน
    เอาต่ทิพย์เข้าไปส่อง คนสวยคนงาม มันป่าช้าแค่ไหน เอาตาทิพย์เข้าไปส่อง
    ตัวเองดีแค่ไหน ร้ายแค่ไหน กิเลศตัวไหน เอาเจโตเข้าไปส่อง
    ทั้งหลายทั้งปวง ฤทธิ์ที่เกิดขึ้น มีไว้แก้กิเลศทั้งหมด ไม่ได้มีไว้เล่น
    อย่าที่เราได้ยินกันว่า "รู้แจ้ง เห็นจริง" นอกจากจะรู้แล้ว จะต้องเห็นจริงด้วย
     
  6. tOR_automotive

    tOR_automotive เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +184
    บทเริ่ม: ผมกำลังฝึกเพ่งกสิณไฟจากแสงเทียน เป็นวัน ที่ 4 แล้วครับ
    ตอบ: สาธุ

    ความว่า: เวลาเพ่งแล้วใช้หลักกำหนดลมหายใจเข้า "เตโช" หายใจออก "กสิณัง"
    ตอบ: ทำกสินไฟ ไม่มีการนำลมหายใจเข้าร่วมกำหนด

    ความว่า: แต่ไม่รู้เป็นไรเผลอกำหนดหายใจเข้าเป็น "พุทธ" หายใจออกเป็น "โธ" อยู่รำไป
    ตอบ: สตินทรีย์อ่อน

    ความว่า: อีกทั้งง่วงจนสุดประมาณ
    ตอบ: นิวรณ์แทรก

    ความว่า: และวันแรก ๆ เปลวไฟจากแสงเทียนก็ดูนิ่งดี แต่เช้านี้เปลวไฟเอนไปเอนมา ทั้งที่อยู่ในห้องปิดประตูหน้าต่างมิดชิด จึงเรียนท่านผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยครับ จักขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
    ตอบ: เตโชกสิณ วงกลมทำด้วยไฟ วิธีทำก่อกองไฟด้วยฟืนไม้แก่นให้ลุกโชนเป็นเปลวสีเหลือง เหลืองแก่ (ปนส้ม) เอาแผ่นหนังหรือเสื่อลำแพนมาเจาะเป็นรูวงกลมขนาดกว้าง 1 คืบ 4 นิ้ว ตั้งบังกองไฟให้มองเห็นได้โดยช่องวงกลมเท่านั้น การใช้เทียนก็น่าสนใจ ถ้าได้อุคนิมิตก็เล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ
     
  7. tOR_automotive

    tOR_automotive เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +184
    อารมณ์ที่กำหนดคือ เตโชกสิน
    1. ตาดูที่ดวงกสิน
    2. ใจบริกรรมว่า เตโช เตโช เตโช อย่าเพิ่งบริกรรมยาวแบบที่คุณทำอยู่ กันหลุด ที่ต้องการคืออุคนิมิตเป็นเป้าหมาย

    ทริก ตอนที่ตาดูดวงกสิน รู้ว่าเห็นทีนึง ก็ว่าเตโชทีหนึ่ง บริกรรมจบ ก็กำหนดที่รูปกสินทีหนึ่ง แล้วก็ว่าเตโชทีหนึ่ง จนกว่าจะได้อุคนิมิต

    **งดการเอาลมหายใจมาร่วมกับการบริกรรม
    สำหรับลมหายใจ คุณหายใจเข้า แล้วคุณก็ภาวนาว่าพุทธ
    สำหรับเตโชกสิน คุณเพ่งที่กสินไฟทีนึง แล้วก็ภาวนาว่าเตโช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2011
  8. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    จริงๆนี่เป็นไปได้ไม่แนะนำให้ฝึกกับเทียนนะครับ...เพราะว่าตัวที่จะนำมาทำเป็นนิมิตกสิณนั้นไหวได้ง่ายมาก.....เมื่อนิมิตกสิณไม่มีความเสธียร จะเป็นกสิณโทษ....คือเทียนนี้เป็นกสิณโทษได้ง่าย....ตามแบบแผนจริงๆแล้ว....เขาไม่ได้ฝึกกับเทียนนะครับ....

    ถ้าเป็นไปได้ลองฝึกตามแบบของ คัมภีร์วิสุทธิมรรค แต่อาจหาอ่านได้ยากสักหน่อย...ไม่งั้นลองหาพระธรรมเทศนาของพลวงพ่อฤาษีลิงดำ หมวดกสิณ มาฟังก่อน จะดีมากเลยครับ...
     
  9. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +1,316
    กราบขอบพระคุณทุก ๆ คำแนะนำครับ
     
  10. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    กสิณ หมายถึง หรือ พฤติกรรม "การเอาใจเข้าไปผูกอยู่กับ วัตถุสิ่งของเพื่อให้เกิดสมาธิ
    สมาธิ หมายถึง หรือ พฤติกรรมทางกาย,ใจ ที่ไม่คิดอะไร ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เพ้อเจ้อ ไม่วิตก,วิจาร,ปีติ,สุข,มีแต่อุเบกขาคือความวางเฉย
    เขาเพ่งกสิณ เพื่อฝึกสมาธิ ทำสมาธิ แล้วคุณฝึกกสิณเพื่ออะไรหรือขอรับ
     
  11. งูเกา

    งูเกา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +13

    จะไปขัดเขาทำไมอ่ะครับ มีตาทิพย์ก็ดีนะครับ จะได้รู้ว่าใครอยู่นิกายไหนอะไรยังไงจะได้ระวัง
     
  12. แอ๊บแบ้ว

    แอ๊บแบ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,335
    ค่าพลัง:
    +2,544
    ผมกำลังฝึกเพ่งกสิณไฟจากแสงเทียน เป็นวัน ที่ 4 แล้วครับ เวลาเพ่งแล้วใช้หลักกำหนดลมหายใจเข้า "เตโช" หายใจออก "กสิณัง" แต่ไม่รู้เป็นไรเผลอกำหนดหายใจเข้าเป็น "พุทธ" หายใจออกเป็น "โธ" อยู่รำไป ?
    ***สาเหตุ เป็นความเคยชินจากเดิมที่ ภาวนา พุท-โธ
    การแก้ไข เปลี่ยนมาใช้คำภาวนา เต-โช (น่าจะใกล้เคียงคำเดิม)
    แต่ต้องใช้ระยะเวลาสักพักจิตจึงจะชิน ....
    ข้อสังเกตุ หากใช้คำภาวนาใด เช่น เตโช-กสิณัง จิตมีอาการฟุ้ง-เหนื่อย แสดงว่า
    คำภาวนา ยาวเกินไปไม่เหมาะกับจริต
    ขั้นต่อไป เมื่อจิตสงบคำภาวนา "เต-โช" หรือ "พุท-โธ" จะมีผลเสมอกัน
    คือความสงบของจิต เมื่อถึงขั้นนี้บางครั้ง เราภาวนาพุท-โธ เมื่อ
    จิตตรึกนึกถึงเปลวเทียนที่เคยเพ่ง ก็พลันกสิณไฟ ก็ปรากฎก็มี เพราะฐานอารมณ์เดียวกัน
    ท่านให้เลือก เพียง อย่างเดียว เช่น เราภาวนา อานาปานสติ พิจารณาลมหายใจเข้าออกอยู่ แต่ภาพกสิณไฟ ปรากฎ เช่นนี้เรียกภาพไฟนี้ว่า กสิณโทษ การแก้ไข ก็ให้ทำความระลึกลมหายใจ และคำภาวนาเดิมและให้เพิกภาพนิมิตทิ้งไป หรือไม่ทำความสนใจ...ให้จิตจับลมหายใจตามหลักอานาปานสติให้ต่อเนื่องตลอดสาย ลม หนัก-เบา,ยาว-สั้น,หยาบ-ประณีต รู้ ...ให้จิตเข้าถึงความสงบตามหลักในอานาปานสติแต่เพียงอย่างเดียว
    ข้อแนะนำ ถือปฏิบัติเพียงอย่างเดียวให้ชำนาญก่อนเช่น อานาปานสติ ให้ใจมีความสงบก่อนเป็นพื้น...หากประสงค์จะ ฝึกกสิณ เมื่อจิตสงบแล้วจึงฝึก..กสิณจะเป็นได้โดยง่าย เพราะอานาปานสติท่านว่า มีอานิสงส์มาก และเป็นพื้นฐานของ กสิณทุกกอง
    ข้อแตกต่าง คำภาวนาว่า เต-โช เป็นความตั้งจิตจำเพาะเอาไว้ในเครื่อง
    ระลึก คือ เปลวไฟ "มีสี/รูปร่าง/ลักษณะ/อาการ/เหมือนกัน ทั้งตาในตานอก
    คำภาวนาว่า พุท-โธ เป็นความตั้งจิตจำเพาะเอาไว้ในเครื่อง
    ระลึก คือ พุทธคุณ
    เมื่อเบื้องต้นฝึก หากใช้คำภาวนา พุท-โธ อยู่ แต่ เพ่งกสิณ เช่น ไฟ ...จะทำให้ล่าช้า..เพราะตั้งใจอีกอย่างแต่ไปทำอีกอย่าง...ต้องรอจน อานาปานสติเข้าถูกส่วน เข้าฐานอารมณ์เดียวกัน จิตวางคำภาวนา (ตามที่กล่าวเบื้องต้น) แล้วตั้งจิตพิจารณา นิมิตเปลวไฟ กสิณจึงจะเดินต่อ...ฉะนั้นเลือกอย่างเดียว
    เปลวไฟจากแสงเทียนก็ดูนิ่งดี แต่เช้านี้เปลวไฟเอนไปเอนมา ทั้งที่อยู่ในห้องปิดประตูหน้าต่างมิดชิด?
    ***ไม่ควรทำความใส่ใจ เพราะการฝึกสมาธิ ผลคือความสงบ เป็นฐานให้พิจารณาสภาวะธรรม ให้รู้ชัดตามความเป็นจริง เกิดปัญญารู้เท่าทันและปลงวางลงได้ ...ผลคือกิเลสเบาบางลง...และสามารถตัดกิเลสทั้งหมดได้ ...อันเป็นจุดหมาย..._/|\_
    *****
    (อิทธิฤทธิ์ เป็นทางผ่าน เป็นเครื่องมือ... ไม่ควรทำความใส่ใจ เมื่อปฏิบัติถูกส่วน..เหตุปัจจัยถึงพร้อมเป็นเอง...)
    *****
    ปล.เป็นความเข้าใจส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณ....
    หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจักหาความรู้เพิ่มเติมใน หนังสือ กรรมฐาน ๔๐ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2011
  13. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +1,316
    ก็เรียนรู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ไม่เสียหายอะไร และก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นอะไร คิดแต่ว่าเราก็มนุษย์ธรรมดา ๆ นี่แหละครับ
     
  14. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +1,316
    ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ สำหรับคำแนะนำดี ๆ มีสาระในเหตุและผล
     
  15. อินทร์ธนู

    อินทร์ธนู สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +2
    ปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
    หากไปศึกษาในพระสูตรต่างๆในพระสุตันตปิฏกไล่เรียงตั้งแต่ธรรมจักรกัปปวัฏตนสูตร อนัตลักขณะสูตร อาทิตยสูตร เป็นต้น พระพุทธองค์ได้ตรัสลักษณะธรรมที่เหมือนกันไว้คือ "ขันธ์ 5 ไม่เที่ยงโดยสภาพมันเอง ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ และขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนโดยสภาพมันเอง" และผู้ที่มาฟังธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสไว้แบบนี้แล้วต่างก็บรรลุธรรมในระดับชั้นแตกต่างกันไปตามความเข้าใจในธรรมของตน



    การพิจารณาธรรมว่าขันธ์ 5 ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นการเรียนรู้เพื่อขจัดความไม่เข้าใจลังเลสงสัยในธรรมทั้งปวง เมื่อได้เรียนรู้ว่าอะไรคือทุกข์และจะดับทุกข์นั่นได้อย่างไร เมื่อเข้าใจว่าขันธ์ทั้ง5 เป็นทุกข์ เมื่อเข้าใจว่าขันธ์ทั้ง5 ไม่เที่ยงโดยตัวมันเองอยู่แล้วไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นไม่ควรเข้าเนื่องเข้าไปเนิ่นช้า ไม่ควรเข้าไปสาละวน เมื่อเข้าใจว่าขันธ์ทั้ง 5 ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้วโดยสภาพมันเอง ก็ถือว่าได้เข้าใจในกระบวนการแก้ไขปัญหาในกองทุกข์ได้ทั้งหมด



    เมื่อพิจารณาจนเกิดความเข้าใจชัดเจนแล้ว ก็จงปล่อยให้ขันธ์ทั้ง5 ดับไปทุกกรณี การดับของขันธ์ทั้ง 5 เป็นการดับโดยตัวมันเองสภาพมันเองอยู่แล้วโดยมีพื้นฐานแห่งความรู้ความเข้าใจในธรรมในการแก้ไขปัญหา เป็นวิธีการแบบที่ไม่มี "เรา" เข้าไปเกี่ยวข้องเข้าไปจัดการ มันเป็นวิธีการโดยตัวมันเองซึ่งเรียกว่า "วิธีแบบธรรมชาติ" เป็นธรรมชาติที่มันดับมันไม่เที่ยงโดยตัวมันเองอยู่แล้ว และเป็นธรรมชาติที่มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนโดยตัวมันเองอยู่แล้วเช่นกัน


    การปฏิบัติธรรมโดยการปล่อยให้มันเป็นไปตามกระบวนการ "ธรรมชาติแห่งขันธ์" ดังกล่าวนี้เป็นการปฏิบัติธรรมตามความหมายที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ในพระสูตรต่างๆ และข้อยืนยันในสัจจธรรมอันเป็นธรรมชาติแห่งขันธ์ 5 ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน โดยสภาพมันเองโดยตัวมันเองนี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในนิพพานสูตรว่า "นิพพานคือธรรมชาติอันปรุงแต่งไม่ได้แล้ว" ซึ่งหมายถึงพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมไว้ว่า เส้นทางแห่งพระนิพพานเป็นเส้นทางในกระบวนการ "ธรรมชาติ" เท่านั้น เป็นธรรมชาติที่ไม่เที่ยงอยู่แล้ว โดยตัวมันเองนั้นเท่ากับว่ามันเป็นธรรมชาติที่มันไม่ปรุงแต่งอยู่แล้วโดยสภาพมันเองอีกด้วยเช่นกัน เป็นความหมายโดยนัยยะ



    -การที่คิดว่าจะต้องเข้าไปทำอะไรสักอย่างหนึ่งกับอีกอย่างหนึ่งเพื่อให้พระนิพพานเกิดเช่น การคิดว่าเราจักต้องทำสติ สมาธิ ปัญญา เพื่อให้ไปสู่เส้นทางพระนิพพาน ความคิดเช่นนี้เป็นลักษณะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 โดยลืมนึกว่าความคิดแบบนี้ก็ล้วนไม่เที่ยงโดยตัวมันเองอยู่แล้ว ล้วนไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้วเช่นกัน การเข้าใจและการลงมือปฏิบัติด้วยความคิดแบบนี้อยู่ตลอดเวลาเป็นการเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เพราะมันไม่ใช่วิธีในการแก้ไขปัญหาในกองทุกข์แบบ "ธรรมชาติ" ตามที่พระพุทธองค์ตรัส วิธีแบบธรรมชาติมันเป็นวิธีของมันอยู่แล้วมันต้องอาศัยความมีเราเข้าไปจัดการเข้าไปปฏิบัติ



    -การที่คิดว่าจะต้องเข้าไปกำหนดว่าสิ่งนี้ไม่เที่ยง เข้าไปกำหนดว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เข้าไปกำหนดว่า สิ่งนี้คือเวทนาทั้งหลาย การเข้าไปสำรวมระวังแบบกำหนดสติไว้ในอริยบทต่างๆคือ ยืน นั่ง เดิน นอน เข้าไปกำหนดว่าอะไรคืออะไรในกระบวนการแห่งขันธ์ การกำหนดเช่นนี้เป็นลักษณะจิตปรุงแต่งซ้อนเข้าไปทำให้มีเรามีอัตตาขึ้นมาเป็นการขัดขวางธรรมชาติโดยสิ้นเชิง การรู้ชัดแบบมีสัมมาสตินี้เป็นการรู้แบบ "ธรรมชาติ"ในการรู้มีสติ เป็นการรู้มีสติบนพื้นฐานที่ขันธ์ 5 ไม่เที่ยงโดยตัวมันเองอยู่แล้วไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้ว เป็นการรู้มีสติแบบ "ไม่มีเรา ไม่มีอัตตา" แต่การกำหนดเป้นการปรุงแต่งยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 จนทำให้เกิดตัณหาอุปทานมีเราขึ้นมาซึ่งไม่ใช่ "ธรรมชาติ" แห่งขันธ์ซึ่งมันต้องดับไปเองอยู่แล้วโดยสภาพ



    -การเข้าไปจับกุมจับฉวย สภาวะธรรมใดสภาวะธรรมหนึ่งตลอดเวลาเพื่อทำให้พระนิพพานเกิด การจับกุมจับฉวยก็เป็นการกระทำที่ขัดขวางต่อกระบวนการธรรมชาติโดยสิ้นเชิงเช่นกัน



    การปฏิบัติธรรมโดยที่มี "เรา" เข้าไปคิดจัดการจัดแจงเข้าไปกำหนดเข้าไปจับกุมจับฉวย เพื่อที่จะมี "เรา" หรือ "อัตตา" เข้าไปปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลานั้นเป็นความเข้าใจผิดในธรรมเป็นความลังเลสงสัยไม่เข้าใจในเนื้อหาแห่งธรรมอยู่ เปรียบเสมือน เอา "เรา" หรือ "อัตตา" ไปแสวงหา "นิพพานอันเป็นธรรมชาติแห่งธรรมล้วนๆ" ซึ่งเป็น "อนัตตา" เอา "อัตตา" ไปทำเพื่อให้เกิด "อนัตตา" ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ นิพพานธรรมก็จักไม่เกิดขึ้นเพราะจิตยังติดปรุงแต่งในตัววิธีปฏิบัติธรรมนั่นเอง



    แต่การที่ปฏิบัติธรรมโดยอาศัยความเข้าใจในธรรมแล้วปล่อยให้ขันธ์ 5 ดำเนินไปสู่ "วิธีธรรมชาติ" ที่มันดับโดยสภาพมันเองที่มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนโดยสภาพมันเองอยู่แล้ว เป็นการ "ปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย" เป็นการปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่มีอัตตาไม่มีเราเข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นการปฏิบัติธรรมตรงต่อสัจธรรมตรงต่อที่พระพุทธองค์ประสงค์จะให้เรียนรู้และเข้าใจแบบนี้ เป็นการปฏิบัติธรรมแบบ "ธรรมชาติแห่งความไม่มีเรา ไม่มีอัตตาเข้าไปปฏิบัติ" "เป็นการปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่ต้องใช้จิตปรุงแต่งให้มีเราเข้าไปทำอะไรอีกเลย"




    ลองอ่านดูก่อนว่าคุณมีปัญญาที่เข้าใจได้มาน้อยแค่ไหนจะได้แนะนำให้ถูก......




    อย่าเอาความรู้และทิฐิมานะของตัวเองมาตัดสินคนอื่นเมื่อยังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร....



    ใจเย็นๆหน่อยสิครับ คุณเป็นคนใจร้อน หุ๋นหันพันแล่น อันนี้ก็ต้องวางนะครับ
     
  16. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +1,316
    ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับท่าน "อินทร์ธนู"
     
  17. อินทร์ธนู

    อินทร์ธนู สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +2



    จิตปุถุชนทั้งหลายมีรอบปัญญาไม่เท่ากันพระพุทธองค์ทรงตรัสธรรมใว้หลายๆลักษณะเพื่อให้เข้าใจตามรอบปัญญาของแต่ล่ะดวงจิต
     
  18. Darkever

    Darkever เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2011
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +333
    การศึกษาในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
    เอาแค่ สมาธิ ที่พระพุทธเจ้าสอน ก็ปรากฏว่า 40 แบบ
    10แบบใน40แบบ ที่พระพุทธเจ้าสอนปรากฏว่า เป็นกสิน
    เพราะฉะนั้น จะดูถูกกสินไม่ได้เลย เพราะกสิน เป็นกรรมฐาน
    นี้คือ 1 ในองค์สาม คือศีล สมาธิ ปัญญา

    ถ้าจะคว้าเอาแต่ปัญญาอย่างเดียวนั้นไม่ได้ ปัญญาจะต้องอบรมได้จากสมาธิ
    ถ้าหากไช้อารมณฺ์คิดพิจารณา แต่ไม่อาศัยสมาธิ ความคิดนั้น
    จะเป็นสังขาร คือการปรุงแต่ง ของ อวิชาทั้งหมด
    แต่หากมีสมาธิ มากดหัวตัวอวิชาเอาไว้ กิเลศไม่กำเริบ
    ปัญญาที่ได้ จะเป็นปัญญาธรรมล้วนๆ
    กิเลศจะขาดลงได้ จะต้องอาศัย ญานหย่งทราบในกิเลศตัวละเอียด
    ต้องทำจิตให้ละเอียดก่อน ถึงจะเห็นกิเลศส่วนละเอียด
    จิตหยาบไม่อาศัยสมาธิเลย จิตก็หยาบ จิตหยาบก็เห็นได้แต่กิเลศหยาบ
    ฆ่าได้แค่กิเลศหยาบ จิตละเอียดแค่ไหน ก็ฆ่ากิเลศส่วนละเอียดได้แค่นั้น
    อาศัยอารมณ์คิดพิจารณาหยาบๆ เข้าไม่ถึงอวิชาที่ละเอียดสุดยอดไม่ได้แน่นอน
    (โอวาทท่านพระอาจารย์มั่น)

    และอีกอย่าง ตาทิพ หูทิพ เข้าไม่ได้มีไว้เล่น คุณเข้าใจผิดแล้ว
    ตาทิพ หูทิพ เข้ามีไว้ส่องตัวเอง ว่าภายในกายมันเน่าหนอนป่าช้าแค่ไหน
    เอาต่ทิพย์เข้าไปส่อง คนสวยคนงาม มันป่าช้าแค่ไหน เอาตาทิพย์เข้าไปส่อง
    ตัวเองดีแค่ไหน ร้ายแค่ไหน กิเลศตัวไหน เอาเจโตเข้าไปส่อง
    ทั้งหลายทั้งปวง ฤทธิ์ที่เกิดขึ้น มีไว้แก้กิเลศทั้งหมด ไม่ได้มีไว้เล่น
    อย่าที่เราได้ยินกันว่า "รู้แจ้ง เห็นจริง" นอกจากจะรู้แล้ว จะต้องเห็นจริงด้วย
    (โอวาทท่านหลวงพ่อฤษีลิงดำ)


    ผมพูดตามพ่อแม่ครูอาจารย์สอนไว้ ไม่มีผิดเพี้ยน
    แต่ไม่ได้มีเจตนาจะเถียงโอวาทพระพุทธเจ้า
    แค่ยกคำพูดของผู้ที่เจริญแล้ว เคยปฏิบัติผ่านไปแล้วมาให้อ่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2011
  19. tOR_automotive

    tOR_automotive เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +184
    จะอภิปราย บัญญัติ หรือปรมัติกันแน่ครับ
     
  20. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    พี่ก็นั่งสมาธิแบบ พุท-โธ น่ะแล่ะแต่เปลี่ยนคำภาวนาเป็น เตโช-กสิณณังไปเลื่อยๆๆๆๆๆ จนฌาณถึงสาม-สี่แล้ว

    พี่ก็จะสามารถกำหนดอะไรก็ได้ที่พี่นึกได้สิ่งที่พี่นึกจะออกมาในรูปของนิมิตร แล้วก็นึกถึงไฟจนติดตา เนี่ยแล่ะง่ายๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...