หลวงปู่โต๊ะกับวัยเบญจเพสของข้าพเจ้า

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย nahpee, 15 สิงหาคม 2011.

  1. คนกันเอง

    คนกันเอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    7,441
    ค่าพลัง:
    +8,975
    สำคัญๆ ครับ น้าพี่ข้อคิดนี้ ขอบคุณครับ:cool:
     
  2. KT_PK

    KT_PK เชิญบูชาพญาแมงภู่คำ เพื่อสร้างโรงเรียนเชื้อชาติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +873
    ชอบเทคนิคนี้ครับ แนวอสุภกรรมฐานนี้ทำให้ปลงและปล่อยวางได้มากจริงๆ
    แต่ดูวิดีโอแล้วรู้สึกหวาดเสียว ถ้าจินตนาการกับตัวเองแล้วคงกลัวน้อยกว่า
    ถ้าเพิกตัวตนได้ คงทำให้สงบได้เร็วอย่างที่พี่พีว่าจริงๆ
     
  3. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...วันนี้น้องสาว ที่เป็นกัลยาณมิตรกันเขาส่ง หนังสือ "กายคตาสติ" มาให้
    ...ของท่านหลวงตามหาบัวฯ มี อสุภะ แทบทุกรูปแบบ แต่ยังไม่ได้อ่านครับ
    ...เพิ่งเปิดดูรูปสักพักใหญ่ๆนี่เองใครมีความกลัวก็หลอนได้เหมือนกันนะ
    ...เพราะเป็นรูปภาพที่มีอาการตายจากลักษณะต่างๆมากมาย
    ...อ่านจบแล้วจะนำมาเล่าให้ฟังครับ

    ...เมื่อช่วงบ่ายไปเยี่ยม แม่ชี หลานสาวเธอไปบวชชี (โกนหัว)เพื่อขัดเกลาจิตใจ 1 พรรษาเต็ม
    ...น้าพี เลยมีโอกาสได้สนทนาธรรมกับแม่ชีใหญ่ที่นั่น ลักษณะภายนอกของท่านดูออกว่าเป็นผู้มีบุญอยู่แล้ว
    ...พอดี แม่ชีน้อย(หลาน) มาเล่าว่าระหว่างอยู่ที่นี่นอกจากปฏิบัติธรรมประจำวันแล้วยังต้องไปช่วยกิจกรรมภายนอกด้วย
    ...บอกว่าสนุกดี มีเรื่องขันๆ และเรื่องของ ทรงม้าเทพเจ้าของจีนด้วย
    ...แต่ที่น่าสนใจก็คือประเพณีวันคล้ายวันเกิดเจ้าแม่กวนอิม ที่ผ่านมา แม่ชีน้อย เขาแปลกใจระหว่างพิธีทำบุญ
    ...แม่ชีใหญ่มีอาการเปลี่ยนไปแบบว่า จิตรับเจ้าแม่กวนอิม เข้ามาในกาย
    ...น้าพี จัดให้ซะเลย รีบสนทนาแบบเจาะลึกแบบเป็นกันเอง แม่ชีไม่ใช่ร่างทรงหรือเจ้าเข้าทรง
    ...มีที่มาที่ไปค่อนข้างละเอียดซับซ้อนเหมือนหลายคนที่มีประสบการณ์แบบนี้ตอนจิตดับวูบ คือตายทางวิทยาศาสตร์
    ...ไปท่องเที่ยวเบื้องบนเจอ เจ้าแม่กวนอิม เจอเทพกวนอู เจอเซียน แบบความเชื่อของคนจีนมีจริงๆ
    ...แถมแม่ชีใหญ่ บอกบนนั้นสบายๆมากๆไม่อยากกลับลงมาอีกเลย ภาษาเทพข้างบนสื่อสารภาษาเดียว ไม่ว่า คริสต์ อิสลาม พุทธ ฯลฯ
    ...และได้เห็นและสนทนากับเจ้าแม่กวนอิมด้วย สั่งว่าเจ้ายังจะต้องไปช่วยเหลือความทุกข์ของมนุษย์ก่อนยังไม่ถึงเวลาตาย
    ...จากนั้นก็วูบลงมาคล้ายกับลงลิฟท์จากอาคารสูงๆเร็วๆ ผ่านความว่างมาจนมาถึงห้องผ่าตัดคนไข้ใน ร.พ. เห็นหมอ พยาบาล ญาติ และร่างตัวเองนอนอยู่บนเตียง
    ...พอเข้าร่างรู้สึกร่างกายอ่อนเพลียตื่นขึ้นมาอีกทีก็อยู่ในห้องพักผู้ป่วย หลังจากหายดีก็ออกมาทำงานเหมือนเดิม
    ...เป็นสาวออฟฟิสดูแลด้านการเงิน เงินเดือนเหยียบแสน ถือว่าเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่มั่นใจในสมัยนั้น (ตอนนี้ประมาณ ๖๐ ต้นๆ)
    ...แต่ผิวพรรณ รูปร่าง หน้าตาดูมีราศีแสดงถึงความมีบุญมาก
    ...แม่ชีบอกตอนเป็นฆราวาสไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้เลยไม่สนใจด้วยแต่อยู่ๆมันเบื่องานเบื่อสังคมไปหมด
    ...เห็นผู้หญิงทาคิ้ว ทาปาก เพศเดียวกันก็ยังรู้สึกเวทนาแทนทำไมถึงต้องใส่หน้ากากแสดงความสวยงามกันขนาดนี้
    ...แล้วก็มีโอกาสให้ต้องรับปากกับ เจ้าแม่กวนอิม ให้มาช่วยเหลืองานช่วยเหลือมนุษย์ที่มีทุกข์
    ...ต้องสละชีวิตครอบครัวออกมาบวชชีปฏิบัติธรรม ฉันอาหารเจ ตลอดชีวิต ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยยังมีอีกมากมายกว่าที่จะได้บวชเป็นแม่ชีตลอดชีวิต
    ...แต่ครอบครัวไม่ได้มีปัญหาใดๆไปมาหาสู่กันแต่นานๆเจอ ลูกก็ดีหมดประสบความสำเร็จอาชีพการงาน สามีเป็นคนดีก็เข้าใจ
    ...เป็นที่เข้าใจก็แล้วกันเดี๋ยวจะยาวมาก แต่สิ่งที่อยากมาบอกกล่าวกับท่านทั้งหลายที่กำลังไม่แน่ใจเกี่ยวกับ นรก สวรรค์ จะมีจริงหรือไม่??????
    ...ก็แล้วแต่วิจารณญานส่วนบุคคล แต่น้าพีเชื่อและได้ถามคำถามที่ข้องใจที่สงสัยมากๆ

    ...การสวดมนต์ข้างบนได้ยินรับรู้มั๊ย???? หากตั้งใจด้วยความศรัทธามีสมาธิเบื้องบนรับรู้ได้ยินแน่นอน
    ...เจ้าแม่กวนอิม ทานเจ เพื่ออะไรแล้วมนุษย์อย่างเราถ้าจะระลึกถึงท่านจำเป็นต้องเลิกทานเนื้อสัตว์มั๊ย?????
    ...สัตว์ทุกชนิดก็มีดวงจิตเหมือนมนุษย์ อาจจะเล็กพลังน้อยตามโครงสร้างโดนฆ่าทำร้ายเพื่อนำมาเป็นอาหารสำหรับมนุษย์เขาก็มีความโกรธความพยาบาทเช่นเดียวกัน
    ...โอกาสที่จะเป็นโรคนั่นโรคนี่ก็เป็นไปตามกรรมและโอกาสที่เขาสามารถเอาคืนได้เป็นกรรมผูกพัน
    ...ฉนั้นการเลี่ยงไปทานผัก ผลไม้ หรืออาหารตามธรรมชาติจึงเป็นสิ่งที่ดีไม่มีการเบียดเบียนชีวิตซึ่งกันและกัน
    ...แต่ด้วยพลังความพยาบาทของสัตว์เล็กสัตว์น้อยมีดวงจิตไม่แข็งแกร่งจึงดูเหมือนว่าไม่มีผลกับมนุษย์ชัดเจน นอกจากเป็นช่วงถึงเวลานาทีทองจริงๆของเขา
    ...จะเห็นผลชัดเจนเช่น บางคนแพ้กุ้ง หอย ปู ปลา อาจมีอาการบวมขึ้นมาทันที แพทย์วิทยาศาสตร์วินิจฉัยแพ้อาหารทะเล แต่ส่วนหนึ่งคือกรรมด้วย
    ...ยิ่งสัตว์ใหญ่คงไม่ต้องพูดถึงมะเร็งมีให้เห็น บ่อยๆ เขาก็จะบอกว่าไม่สะอาด ไม่ถูกสุขลักษณะ ปิ้ง ย่าง คาว สด ไม่ควรทาน
    ...ก็คงจะมีคำถามติดอยู่ในใจงั้นทุกคนในโลกนี้ที่บริโภคเนื้อสัตว์ประจำก็คงเป็นโรคกันหมดสิ
    ...ตรงนี้ไม่ได้ถามแต่พอจะเดาๆได้ สำหรับคนทำบุญมามาก กรรมยังคงตามมาไม่ถึงสักทีมั๊ง???เพราะไม่ได้ลงมือฆ่าเขาโดยตรง
    ...ส่วนพวกบุญก็ไม่ทำ บาปก็ล้น โรคภัยคงมาเยือนกันง่ายๆแบบไม่รู้สาเหตุที่ชัดเจนว่าเกิดจากโรคอะไรบ้างที่เรียกว่า ขี้โรค นั่นแหละ???
    ...แล้วเราควรจะทำอย่างไรดีล่ะครับ???
    ...ขั้นต้นตั้งสัจจะ จะของดทานเนื้อสัตว์ทุกวันพระ นั่งสมาธิ ถือศีล แผ่เมตตา ใครเป็นโรคแปลกๆตรงไหนรักษาไม่หายสักทีเขาเรียกว่าโรคน่าลำคาญ เช่น ผิวหนังอักเสบบ่อยๆ
    ...เป็นๆ หายๆ อยู่อย่างนั้น อธิษฐานจิตไปเลยขอบุญที่ได้ทำวันนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้ข้าพเจ้ามีอาการเช่นนี้ (ตรงไหนเจ็บป่วยก็กำหนดจิตตรงนั้น)
    ...ต่อมาก็ลองงดช่วงเทศกาลกินเจ ตั้งสัจจะแน่นอนเหมือนวันพระ ด้วยความรู้สึกสำนึกผิดที่เบียดเบียนชีวิตเขานะ ไม่ใช่ไปตามกระแสแฟชั่น ตามๆกันไป
    ...สุดท้ายงดทานตลอดชีวิต สุขภาพ ผิวพรรณดีขึ้น โรคภัยไม่เบียดเบียน บุญจะเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
    ...แม่ชีเลิกทานเนื้อสัตว์ทุกชนิดมา 20 กว่าปีแล้วและสุขภาพดูดีมากๆไม่ต้องแต่งหน้าอะไรเลยก็รู้ว่างดงาม(ไม่ใช่สวยแบบกิเลสโลกนะ)
    ...ก็เลยนำมาเล่าให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านพิจารณากันไว้เป็นข้อคิดก็แล้วกัน
    ...ที่เหลือก็นานาจิตตัง ตัวใครตัวมันกันอีกเช่นเคย มันเป็นปัจจัตตัง
    ...น้าพีคงต้อง ทดสอบอย่างตั้งใจซะที สำหรับวันพระหน้า และเทศกาลเจ ที่กำลังจะมาถึง
    ...และไม่แน่ถ้าสามารถ ก็จะไม่เบียดเบียนชีวิตทุกชีวิตซะเลยก็น่าจะเป็นบุญสำหรับตนเอง ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2011
  4. SpringDove

    SpringDove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,488
    ค่าพลัง:
    +4,807
    สวัสดีค่ะคุณนอร์ สบายดีนะคะ พี่สบายดีค่ะ ยังติดตามอ่านและชมภาพสวยๆ ของคุณนอร์เสมอค่ะ


    สวัสดีค่ะน้าพี อ่านประสบการณ์จากผู้ใหญ่เพื่อเป็นแนวทาง และ ให้แง่คิดดีค่ะ..โลกเราสมัยนี้หายากแล้วที่จะนั่งล้อมวงกันแล้วมีผู้ใหญ่เล่าเรื่องความหลังให้ฟัง..เมื่อก่อนมีโอกาสกลับรำคาญไม่อยากฟังซะงั้นเพราะห่วงเล่น ห่วงเพื่อน..ตอนนี้พออยากจะฟังก็แทบจะไม่มีใครอยู่เล่่าให้ฟังแล้ว :)
     
  5. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...สวัสดีครับ คุณ springdove และทุกๆท่าน
    ...ผู้ใหญ่ยุคนี้ผิดกับผู้ใหญ่ยุครุ่น คุณพ่อ คุณแม่น้าพี แบบหน้ามือเป็นหลังมือครับ
    ...เอาเป็นว่ารุ่นน้าพี อายุปูนนี้ ต้องถือว่าควรเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กรุ่นหลังกันได้แล้ว
    ...แต่พอเข้าไปดูความจริงในสังคมไทย ไม่ปล่อย ไม่วาง ดิ้นรนกันสุดฤทธิ์สุดเดชยังไม่คิดจะเลิกลา
    ...ไม่ว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ ติดกันอยู่ตรงนั้นไปไหนไม่รอด แทนที่จะทบทวนสิ่งที่ผิดพลาดเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขและปล่อยวาง
    ...กลับมองไม่เห็นความผิดของตัวเอง พองเหมือนอึ่งอ่างจนกว่าท้องจะแตกตายเท่านั้นทุกอย่างถึงจะสิ้นสุด
    ...วันนี้ต้องยอมรับคนดีจริงๆเริ่มเหลือน้อยลงเต็มที ถ้าเทียบตามสถิติจากผู้ที่โดดเด่นอยู่ในสังคมยุคก่อนๆ
    ...บุคคลที่น่าเคารพนับถือในสังคมไทยที่มีคุณธรรม ความดีเป็นประจักษ์ชัดเจนที่เคยทำให้สังคมไทยหยุดคิดก็น้อยลงไปเรื่อยๆ
    ...กลายเป็นผู้สูงอายุ ที่รอวันเวลาที่จะกลับลงสู่ธรรมชาติ เป็นธาตุที่หายไปอย่างไม่กลับคืน
    ...แล้วเราจะหวังอะไรกับสังคมไทยในวันนี้ พื้นที่แห่งความดีในสังคมมันเหลือน้อยเต็มที
    ...สังคมไทยเริ่มติดกิเลสทางโลก ค่อนข้างรุนแรงทั้งที่ความพร้อมทางด้านทรัพยากรความคิดแบบองค์รวมอย่างมีเหตุมีผลยังไม่ไปไหน
    ...hardware ทั้งหลายเป็นกิเลสที่คนไทยผลิตเองไม่ได้เลยสักอย่างแต่มีความฟุ้งเฟ้อกระหายที่จะแข่งขันกันมีอยู่ตลอดเวลาเดี๋ยวไม่ intrend
    ...เพียงเพื่อต้องการให้คนในสังคมยอมรับกันฉันนี่ไม่ใช่ธรรมดาเธอมีได้ฉันก็มีได้โดยลืมพิจารณาสมการที่สำคัญคือ อัตภาพที่มีอยู่ของตนเอง
    ...น้าพีเห็นมาหมดแล้ว เพราะสังคมไทยวันนี้เอาความรวยเป็นตัวตั้ง ตัวหารความดี หรือความเลวไม่เกี่ยว ขออย่างเดียว ข้าพเจ้าต้องขอเอี่ยวรวยๆๆๆๆๆๆๆด้วย
    ...เขียนสมการได้ดังนี้ rich people = good people = bad people = my money
    ...เรื่องคุณธรรมไม่ต้องพูดถึงเป็นนามธรรมไปแล้ว กินไม่ได้ เลี้ยงปากเลี้ยงท้องไม่ได้
    ...นี่คือวัฏจักรโลกสมมุติ ที่เวียนไปเวียนมา เกิดขึ้น ดับไป เกิดๆดับๆอย่างนี้มานานแล้ว
    ...ถ้าศึกษาคำทำนายของพระพุทธเจ้าที่กล่าวไว้ล่วงหน้ากว่า ๒๕๐๐ ปีมาแล้วมีหลักฐานอ้างอิงอยู่ในพระไตรปิฎก ไปค้นหาอ่านกันได้
    ...มนุษย์ก็เป็นของเขาอย่างนี้มานานแล้ว ตามกาลเวลาแต่ละยุค ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องของกิเลส ความไม่เที่ยง เรื่องของความดีกับความชั่ว ฯลฯ
    ...ดี+ดี = ดีจริงๆ / ดีมาก+ชั่วน้อย = ยังถือว่าดี / ดี+ชั่ว = เริ่มน่าเป็นห่วง / แต่พอ
    ...สมการ ชั่วมาก+ดีน้อย = พญามารยิ้มมุมปาก /เมื่อไหร่ชั่วเสมอกันหมดx2 = พญามารหัวเราะชอบใจ มนุษย์ผู้แสนโง่เขลากันจริงๆ555
    ...ชอบกันแบบไหนมนุษย์ในสังคมเป็นผู้เลือกกันเองทั้งนั้นไม่มีใครบังคับใครได้
    ...ก็เอวังละฉะนี้ ใครจะเลือกเป็นมนุษย์แบบไหนก็ใช้สิทธิประชาธิปไตยก็แล้วกัน
    ...แต่เลือกแล้ว กฎกติกามารยาทมีอยู่ว่ารางวัลที่จะได้รับคือ นรก สวรรค์ นิพพาน เท่านั้นเองตามสิ่งที่ใจอยาก
    ...บิดพริ้วกันไม่ได้แล้วเพราะเบื้องบน กฎก็คือกฎ กฎแห่งกรรมไง ล่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2011
  6. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...ไปอ่าน หนังสือ "กายคตาสติ" ของท่านหลวงตามหาบัว มาเรียบร้อยแล้วครับ
    ...เป็นหนังสือที่ดีมากสำหรับผู้ที่ยังติดกับ ความสวยความงามสมมุติบนเรือนร่างตนเองและเพศตรงข้าม
    ...ใครรู้ตัวว่า มีความรู้สึกแบบนี้เป็นกรณีพิเศษขาดไม่ได้เลย เปิดปุ๊บติดปั๊บ
    ...กลัวจะไปวุ่นวายกับผู้ที่ไม่ใช่ภรรยาของตนเอง จนติดงอมแงมเป็นนิสัย ขาดศีลข้อ๓
    ...หนังสือเล่มนี้ช่วยได้เลยขอบอก รีบไปหามาซะภาพชัดๆ เต็มๆ ทุกซอกทุกมุม
    ...ตั้งแต่ผม ลงมาจนถึงเท้า แต่ละส่วนของเนื้อหนังที่ลอกออกมาเป็นอย่างไร โอ้เห็นภาพเลยครับ
    ....อสุภะ หรือ อสุภ แปลว่า ไม่สวย ไม่งาม (มีแต่ความโสโครกน่าสะอิดสะเอียน)
    ...แต่อย่าพิจารณาไปเพื่อดูภรรยาแทนนะ มันจะผิดวัตถุประสงค์ (ล้อเล่น555)
    ...ให้ดูคนที่คิดว่าสวยงามกว่าภรรยาที่บ้านไว้ ซึ่งจริงๆภรรยาสวยที่สุดไม่เช่นนั้นจะแต่งงานไปทำไม???จริงมั๊ยเนอะ
    ...เห็นเรือนร่างเธอปั๊บรู้เลย ปอด ม้าม หัวใจ ตับไต ไส้ ปลิ้นอยู่หลังเสื้อผ้าอาภรณ์สวยๆที่รัดติ้ว
    ...จะโพสท่าไหน วางท่าทางยั่วยวนชวนให้เคลิ้มอย่างไร ก็เห็นเป็นโครงกระดูกเต้นรำ งอไปงอมา เหมือนของที่ระลึกที่เขาขายกันแขวนเล่นหน้ารถ
    ...ฝึกบ่อยๆ ดูหนังสือเล่มนี้บ่อยๆ ถ้ายังแบบว่าเหมือนเดิม ก็ตัวใครตัวเธอแล้วจ้าเห็นผีก็ยังสวย555
    ...แต่สำหรับผู้ที่มีชีวิตครอบครัวปกติ ก็เพียงให้รู้เฉยๆก็ได้ ว่าร่างกายคนเราก็แค่นี้เองที่สุดเป็นธาตุปลิวไปในอากาศ
    ...ส่วนวิธีพิจารณาเพื่อการปฏิบัติ "อสุภกรรมฐาน" แบบจริงจัง ท่านอธิบายไว้ดีมากๆพร้อมภาพประกอบชัดเจนเห็นผลแน่นอน ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2011
  7. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...ถามทุกท่านที่เข้ามาอ่านอยากให้อธิบายไว้มั๊ยครับ
    ...อสุภกรรมฐาน ๑๐ อย่างพิจารณาอย่างไร???
    ...ถ้าสนใจจริงๆ เดี๋ยวจัดให้ครับ
     
  8. Puthapower

    Puthapower เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +1,001
    ขอบคุณครับ ผมเพิ่งมาใส่ใจการปฎิบัติจริงๆได้สัก 1 ปีแต่ก่อนก็สวดมนต์เฉยๆ ศีลก็ยังง่อนแง่น อิจฉาคุณที่ยังมีพ่อแม่ให้กราบ ของผมท่านเสียหมดแล้วครับ ก็พยายามทำบุญและนั่งสมาธิอุทิศให้ท่าน คงมีโอกาศทำได้ดีที่สุดแค่นี้ละครับ ผมจะอายุครบ 57 ปีเดือนพฤศจิกายนนี้ อาจจะอาวุโสกว่าคุณด้านอายุแต่ขอเป็นศิษย์ทางธรรมของคุณ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับคำแนะนำดีๆ
    ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ
     
  9. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...ถือเป็น กัลยาณมิตร ญาติธรรม ที่มีความสนใจธรรมะ คล้ายๆกันก็แล้วกันครับ
    ...แค่มาเล่าประสบการณ์ที่ผ่านมา กว่าจะมายอมแพ้ศีล๕ ว่ามีประโยชน์กับการดำเนินชีวิตให้เป็นปกติสุข
    ...ก็เสียเวลาเพลินไปกับกิเลสที่มาล่อมาชนซะพอสมควรดีว่ายังพอกลับตัว คิดได้ คิดเป็น จากคำสอนของพระพุทธเจ้า และครูบาอาจารย์
    ...อย่าถือว่าเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กันเลยครับ เป็นเพียงมุมชีวิตที่อาจแตกต่างกันไปบ้าง
    ...มาแลกเปลี่ยนสิ่งที่แตกต่างเพื่อช่วยกันให้เกิดปัญญาทางธรรมกันดีกว่าในรูปแบบคนธรรมดาๆ ที่มีทั้งชั่ว มีทั้งดีคละเคล้ากันมา บังเอิญมาคิดได้อย่าชั่วดีกว่า
    ...สำหรับคุณพ่อคุณแม่ของคุณ puthapower ท่านละสังขารพ้นทุกข์ไปสู่ความสุขแล้ว
    ...ยิ่งถ้าคุณเองพยายาม ปฏิบัติธรรมด้วยแล้ว คงมีแต่รอยยิ้มชื่นใจที่เห็นลูกชายเดินชีวิตที่ถูกต้องพ้นอบายภูมิแน่นอน
    ...แม้ท่านจะจากไปแล้วแต่ก็คงยังมองลงมาด้วยความรักและความห่วงใยเหมือนเดิม ผมเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นนะ
    ...พระพุทธเจ้าจึงสอนไว้ให้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ถ้าปัจจุบันดีซะอย่าง อะไรก็มาห้ามไม่อยู่โดยเฉพาะกิเลสมารทั้งหลาย
    ...ยินดีที่เห็นว่าสิ่งที่ผมเล่ามีประโยชน์นี่ก็เป็นบุญอย่างหนึ่งเหมือนกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2011
  10. SpringDove

    SpringDove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,488
    ค่าพลัง:
    +4,807
    สวัสดีค่ะน้าพี น้าพีพูดถูกมากเลย นกก็รู้สึกอย่างนั้น แต่จะพูดออกมาดังๆ ก็ลำบากเพราะนกอยู่ในวัยสามปลายๆ บางทีก็โดนเพื่อนว่าหัวรุนแรง 555
    แต่เวลาก็ทำให้พายุกลายเป็นสายลมอ่อนๆ ค่ะ พยายามทำตัวให้เหมือนน้ำอย่างที่ครูบาอาจารย์สอนไว้ ทุกวันนี้ก็เป็นตัวของตัวเองพยายามไม่ตกเป็นทาสของวัตถุนิยม ..ก็อิสระีดีและสบายใจไปอีกแบบค่ะ

    สมัยนี้ขนาดหนังสือดีๆ ที่มีคุณภาพยังหาอ่านยากเลยค่ะ เค้าเน้นหนังสือตามสมัย อ่านครั้งเดียวแล้วโยนทิ้ง สมัยที่นกเป็นวััยรุ่นนกอ่านหนังสือของท่านคึกฤทธิ์ ปราโมท หลวงวิจิตรวาทการ ท่านมหาตมคานที(สมัยนนั้นไม่มีตังค์ที่จะซื้ออะไรตามใจเท่าไหร่..อ่านตามลุงซึ่งเป็นครูใหญ่) อ่านแล้วต้องเก็บขึ้นหิ้งอย่างดี แล้วสามารถกลับไปอ่านได้หลายๆ รอบก็ยังเพลินอยู่เหมือนเดิม

    จะติดตามอ่านงานเขียนของน้าพีค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2011
  11. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาดังๆก็ได้ครับ แค่คิดให้ดังกังวาลอยู่ภายในใจของเราเสมอๆตลอดเวลา
    ...เพราะบางครั้งการพูดออกมาดังๆมีทั้งผลดีและผลเสีย ยิ่งคนรุ่นใหม่อาจทำให้เรากลายเป็นคนที่คิดต่างสุดโต่งจนดูช่างแปลกซะเหลือเกิน
    ...ดีใจด้วยอายุแค่ตัวเลข3ยัง เริ่มรู้จักคิดแล้วมองเห็นอะไรคือเหตุแห่งทุกข์ ลูกสาวน้าพีก็ 31 แล้วอยู่ san-francisco
    ...เขาเป็นคนดี หัวอ่อน ว่าง่ายสอนง่าย ตอนนี้มัวแต่ทำมาหากินอยู่กับแฟนเก็บตังค์ไม่เที่ยว ไม่ดื่ม ไม่แต่งตัว ขยันกันทั้งคู่
    ...อยู่ต่างประเทศก็ดีไปอย่างเพราะคนไทยถือเป็นคนกลุ่มเล็กๆของประเทศเขา ไม่มีผลอะไรกับปัญหาความรู้สึกเมืองนี้เหยียดผิวไม่ค่อยมี ต่างคนต่างพึ่งตัวเองไม่มีเวลาว่าง
    ...น้าพีผ่านมาแล้ว วัตถุสะสมพอนานเข้าก็เป็นขยะไร้ความหมายก็ไม่เที่ยงเช่นเดียวกันผุพังไปตามกาลเวลา
    ...เดินชีวิตสายกลางพอดีพอดี แบบพระราชดำรัสในหลวง "เศรษฐกิจพอเพียง" เพื่อตัวเราเองและครอบครัวไม่ใช่เพื่ออวดคนนอกบ้าน
    ...ก็ไม่มีคำว่าจน ไม่เป็นหนี้เป็นสินใคร ไม่ต้องแบมือหรือตกอยู่ในกิเลสที่พญามารต่างๆเขาล่อมาให้เรา
    ...วันนี้เริ่มเห็นความจริงว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องโลกสมมุติขึ้นมาทั้งนั้น เพื่อให้เราพิจารณาถ้ามองเห็นความจริงก็หลุดพ้น
    ...แต่ถ้าติดกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ แบบเดินคลำเหมือนคนตาบอดทั้งๆที่เห็น ก็ช่วยไม่ได้ที่สุดก็ ตัวใครตัวมันอยู่แล้ว
    ...ถ้าศึกษาธรรมลงไปให้ลึกๆจนเข้าใจแจ่มชัด "ดวงจิต" ของเราเท่านั้นที่ไม่เคยสูญ จะสว่างมากสว่างน้อยอยู่ที่ตัวกิเลสสมมุติทางโลกนี่แหละ
    ...และถ้าศึกษาลึกลงไปแบบจริงจัง ดวงจิตทุกดวง ใน3โลก นรกโลก มนุษย์โลก เทวพรหมโลก เท่ากันขึ้นอยู่กับผลของการกระทำ
    ...ทำชั่วก็ชัดเจนรอต้อนรับเพียบจนล้นแล้ว ทำดีก็ชัดเจนทดสอบใจบนโลกใบนี้ ทำดีมากๆก็ชัดเจนสุขสบายแบบกายทิพย์แต่อาจหมุนเวียนลงมาได้อีกเช่นกัน
    ...เป็นวัฏจักรอยู่แบบนี้ไม่มีวันจบสิ้นหรอกสลับหมุนเวียนกันไปตามกรรมเป็นแสนกัปป์จะเอาอีกมั๊ยล่ะ
    ...ฉนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้เรามุ่งมั่นพยายามไม่เกิดอีกดีที่สุด หรือตายแบบนิรันดร ไม่ต้องเกิดมาเจอกับทุกข์กับสุขปลอมๆ
    ...นั่นคือหนทางหลุดพ้นถาวร สถานที่ๆ ไม่มีการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกต่อไป คือ พระนิพพาน
    ...ซึ่ง"ดวงจิต"ของเราเท่านั้นที่ยังคงเป็นอมตะเข้าไปเสวยสุขในแดนแห่งพระนิพพานนั้นแบบไร้กาลเวลา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2011
  12. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...วิธีพิสูจน์ดวงจิต ว่ามีชีวิตหรือเปล่าต้องหัดพิจารณาจิตภายใน(ตัดร่างกายออกไปให้หมดด้วยล่ะ ธาตุ๔ ขันธ์๕ เป็นความว่างเปล่าไม่มีตัวตน)
    ...เวลาเราสบายๆใจ ลองนั่งแบบสมาธิพิจารณาเหมือนดวงจิตมันสว่างวาบๆโล่งแจ้งไม่อึดอัดอาจจะสัมผัสว่าดวงจิตเป็นสีเหลืองนวลๆไปจนถึงสีขาว
    ...แต่พอเรามีทุกข์เมื่อไร ลองพิจารณาดู รู้สึกอึดอัด ทึบๆเหมือนแสงสว่างมันริบหรี่ๆอาจจะสัมผัสได้ว่าสีดวงจิตมันขุ่นมัว เทาๆจนไปถึงสีดำที่ไร้แสงสว่างไปเลย
    ...ฉนั้นอยากให้ดวงจิตเราสว่างๆ จนแสบตา ต้องตัดกิเลสให้เกลี้ยงเกลาไม่เหลือหรอ ครับ
    (ผู้เขียนพยายามอยู่ พอจะเห็นแสงสว่างรำไรๆแล้วยังไม่สว่างมากมายแต่ไม่มืดหรือริบหรี่ๆแน่นอนครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2011
  13. comeon

    comeon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +149
    เห็นด้วยค่ะ

    <TABLE class=tborder style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px" cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR title="Post 5046721" vAlign=top><TD class=alt2 align=middle width=125>
    SpringDove
    </TD><TD class=alt1>สวัสดีค่ะน้าพี น้าพีพูดถูกมากเลย นกก็รู้สึกอย่างนั้น แต่จะพูดออกมาดังๆ ก็ลำบากเพราะนกอยู่ในวัยสามปลายๆ บางทีก็โดนเพื่อนว่าหัวรุนแรง 555
    แต่เวลาก็ทำให้พายุกลายเป็นสายลมอ่อนๆ ค่ะ พยายามทำตัวให้เหมือนน้ำอย่างที่ครูบาอาจารย์สอนไว้ ทุกวันนี้ก็เป็นตัวของตัวเองพยายามไม่ตกเป็นทาสของวัตถุนิยม ..ก็อิสระีดีและสบายใจไปอีกแบบค่ะ

    สมัยนี้ขนาดหนังสือดีๆ ที่มีคุณภาพยังหาอ่านยากเลยค่ะ เค้าเน้นหนังสือตามสมัย อ่านครั้งเดียวแล้วโยนทิ้ง สมัยที่นกเป็นวััยรุ่นนกอ่านหนังสือของท่านคึกฤทธิ์ ปราโมท หลวงวิจิตรวาทการ ท่านมหาตมคานที(สมัยนนั้นไม่มีตังค์ที่จะซื้ออะไรตามใจเท่าไหร่..อ่านตามลุงซึ่งเป็นครูใหญ่) อ่านแล้วต้องเก็บขึ้นหิ้งอย่างดี แล้วสามารถกลับไปอ่านได้หลายๆ รอบก็ยังเพลินอยู่เหมือนเดิม

    จะติดตามอ่านงานเขียนของน้าพีค่ะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. comeon

    comeon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +149
    มาติดตามหลวงปู่โต๊ะด้วยคนค่ะ
     
  15. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    มรรคผลพิพพานอยู่ที่ตนเอง
    คัดข้อความบางส่วนจาก หนังสือ "ภาสุรธรรม" ฉบับประกาศเกียรติคุณ หลวงปู่โต๊ะ ๑๐๘ ปี
    วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพมหานคร
    ...ครูบาอาจารย์ทั้งหมดก็เพียงแนะนำให้เท่านั้น ท่านจะยื่นมรรคผลนิพพานให้ไม่ได้ ไม่ได้อย่างเด็ดขาด ผู้ปฏิบัติต้องปฏิบัติเอง
    ...มันไม่ยาก มันไม่ได้อยู่ที่ครูบาอาจารย์หรอก แต่อยู่ที่ใจของเราที่จะกระตุ้น มรรคผลก็อยู่ที่ใจเรานี่เอง
    ...ผลก็อยู่ที่นี่ นิพพานก็อยู่ที่นี่ ไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่ตนเองของตนเอง ศีลก็ของตน สมาธิก็ของตน ปัญญาก็ของตน

    พระพุทธองค์ทรงชี้สิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่พุทธสาวก ประทานให้จนไม่มีวิชชาจะให้ ให้หมด
    ศีลก็ให้หมด สมาธิก็ให้หมด ปัญญาก็ให้หมด เพราะฉนั้นเราต้องพึงน้อมนำมาใส่ใจ น้อมนำมาปฏิบัติ
    เพียรเจริญวิปัสสนาจนเกิดปัญญา ปัญญาเห็นชอบก็ได้บุญ บุญก็แปลว่า สะอาดกาย สะอาดวาจา สะอาดใจ
    เราเคยสังเกตุเห็นไหม ยืน เดิน นั่ง นอน ความสะอาดของเราในอิริยาบถทั้ง๔ มีหรือยัง สิ่งใดที่บกพร่อง หรือไม่บกพร่องให้กำหนดระลึกรู้ได้

    พระราชสังวราภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี

    ***ป.ล. เวลาที่น้าพี เกิดความลังเล สับสน สงสัยอยากจะออกไปแสวงหาคำตอบจากภายนอกพอกลับมาอ่านคำสอนหลวงปู่ทีไรเมื่อพิจารณาทบทวนมักมีคำตอบอยู่แล้วเสมอๆ
     
  16. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ถ้ายังไม่สะอาดล่ะจะทำอย่างไร
    คัดข้อความบางส่วนจาก หนังสือ "ภาสุรธรรม" ฉบับประกาศเกียรติคุณ หลวงปู่โต๊ะ ๑๐๘ ปี
    วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพมหานคร

    ...ก็ขัดเกลา ขัดศีล ขัดสมาธิ ขัดปัญญา ให้ถึงความหลุดพ้นให้ได้ มันก็เป็นกำไรของคนที่ฉลาด เรียกว่าอะไร
    ...เรียกว่า วิชชา หรือกล่าวเต็มๆได้ว่า "วิชชาจะระณะสัมปันโน"

    พระราชสังวราภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี
     
  17. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    วิชชา
    คัดข้อความบางส่วนจาก หนังสือ "ภาสุรธรรม" ฉบับประกาศเกียรติคุณ หลวงปู่โต๊ะ ๑๐๘ ปี
    วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพมหานคร

    ...ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ เป็นวิชชาทั้งนั้น
    พระธรรมไม่ให้ผู้ประพฤติธรรมแล้วตกไปในทางที่ชั่ว ถึงที่สุดที่ไหน รู้ด้วยตนของตนเอง ใครเขาจะมาสอนอะไรให้
    ถึงตอนนั้นก็ไม่จำเป็นแล้ว เพราะตนสอนของตนเอง สอนเสร็จความบริสุทธิ์หมดจด
    ...ผู้ที่เป็นคนฉลาดเอาตัวรอดได้ เป็นบุญอันแท้จริง ส่วนที่มาวัดกันนี่ก็เพื่อตรวจดูบาปของเราให้เห็น
    ...อนิจจตา ทุกขตา อนัตตตา แล้วเราก็ตั้งอกตั้งใจน้อมไปปฏิบัติกันให้ได้

    พระราชสังวราภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี<!-- google_ad_section_end -->
     
  18. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ใจเป็นของกายสิทธิ์
    คัดข้อความบางส่วนจาก หนังสือ "ภาสุรธรรม" ฉบับประกาศเกียรติคุณ หลวงปู่โต๊ะ ๑๐๘ ปี
    วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพมหานคร


    ...สิ่งที่เสกได้หลายอย่าง คือ ใจ เสกได้ร้อยแปดพันเก้า ประเดี๋ยวเดียวไปได้ เพราะเป็นของกายสิทธิ์ ไปได้ไกลๆ ไปไหนๆไม่รู้ เข้าดงเข้าป่าไปที่ไหนไม่รู้
    ...จิตก็เป็นอย่างนี้ จะทำอะไรต้องอาศัยอย่างนี้มาช่วยบ้าง อย่างโน้นมาช่วยบ้าง กว่าจะเห็นว่าการปฏิบัติเช่นไรดี เพราะยังไม่ได้พยายามเคี่ยวเข็ญ
    ...ทำไปเถอะ ได้บุญตามฐานะที่เราจะพึงกระทำได้ เราก็ลงทุนลงแรงมาลำบากยากเข็ญใจบุกป่าฝ่าดง ไม่ปราถนากิจการอะไร
    ...มุ่งแต่โพธิญาณเรื่อยไป ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่ต้องรีบร้อนอะไร เมื่อถึงคราวถึงสมัย ถึงกาล มาเองๆ เห็นเอง ได้เอง รู้เอง ด้วยตนของตนเองทั้งนั้น.

    พระราชสังวราภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

     
  19. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    รสพระสัทธรรม
    คัดข้อความบางส่วนจาก หนังสือ "ภาสุรธรรม" ฉบับประกาศเกียรติคุณ หลวงปู่โต๊ะ ๑๐๘ ปี
    วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพมหานคร

    ...รักษาศีล ทำสมาธิ ทำปัญญา ให้แก่กล้าเป็นลำดับ เล็งเห็นรสทางโลกก็แค่นั้น
    เราต้องอาศัยพระธรรม รักษาศีล ทำภาวนาให้แจ่ม ทำปัญญาให้แจ่มแจ้งขึ้นกับตน ตนของตนก็จะรู้ว่า ตนของตนเองได้อย่างนั้น
    ถึงอย่างนี้เราก็ไม่เชื่อตามโลกเขา ต้องได้ด้วยตนเองจึงจะใช้ได้

    ...พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามีเยอะ แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ต่างคนก็ต่างหา ต่างคนต่างก็ปฏิบัติไม่เหมือนกัน
    แม้ตัวบริกรรมที่เรียกว่า สมถกัมมัฏฐาน อาจารย์หนึ่งก็เป็นไปอีกอย่างหนึ่ง อีกอาจารย์หนึ่งก็เป็นไปอีกอย่างหนึ่ง
    ยิ่งหลายอาจารย์เหมือนกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้าง ที่นี้ผู้ปฏิบัติยุ่ง ท่านสอนให้ว่า พุทโธ อาจารย์หนึ่ง สัมมาอรหัง
    บางอาจารย์ก็ว่า ยุบหนอ พองหนอ บางอาจารย์ก็ว่า อรหัง เราจะเอาอย่างไร นั่งตรึกนั่งตรองว่าจะเอาบทไหนดี ว่าจะภาวนาบทไหนดีจึงจะขลัง
    ...ความสงสัยของเราไปครึ่งเดือนแล้ว มัวเลือก สัมมาอรหังดีไหม พุทโธดีไหม อรหังดีไหม ยุบหนอ พองหนอดีไหม
    ความสงสัยนึกว่าจะไปละอะไร ก็ไปติดความสงสัยเข้ามาแซงอยู่ในจิตใจ
    ...มาวัดจิตใจของเราดูว่า ท่านทำอย่างไร มาทดลองดูว่า ท่านทำอย่างไร ความสงสัยเกิดขึ้นกับท่านแล้วหรือยัง
    ท่านรู้ไหม วันนี้ภาวนาอย่างหนึ่ง พรุ่งนี้ภาวนาอย่างหนึ่ง แล้วเมื่อไรมันจะถึงท่าซักทีล่ะ มัวแต่เลือกอยู่นั่น

    พระราชสังวราภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    ***ป.ล. น้าพีก็เป็นนะครับเวลาอยากลองแนวแปลกใหม่ แต่พอกลับมาอ่านคำสอนหลวงปู่ทีไรก็ขำตัวเองทุกที555
     
  20. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    รสเสมอกันด้วยความดี
    คัดข้อความบางส่วนจาก หนังสือ "ภาสุรธรรม" ฉบับประกาศเกียรติคุณ หลวงปู่โต๊ะ ๑๐๘ ปี
    วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพมหานคร


    ...พระธรรมบทอะไรก็ตาม อาจารย์ไหนก็ตาม รสเสมอกันด้วยความจืด จืดสนิท ไม่มีข้องแวะอะไรที่ไหน จะว่าดับหรืออะไรก็ตาม
    ดับที่โน้นไปโผล่ที่นี่ ดับที่นี่ไปโผล่ที่โน้น ดับไม่สนิท มันยังมีอะไรมาปรุง มันก็เป็นอย่างนั้น ถ้าไม่มีอะไรมาปรุง
    ดับเลยสิ้นเชื้อหมดเชื้อ ไม่มีอะไรอีกต่อไป
    ...ทีนี้ก็ดู แล้วว่าทุกข์เหล่านี้ไม่จริงเท่าไร ถ้าเรารู้ทันนะ เราดับได้ ที่เรายังดับไม่ได้เพราะ ความโลภ โกรธ ความหลง
    เพราะเรายังเข้าไม่ถึงสิ่งเหล่านั้น และก็ไม่รู้ว่า เราได้เป็นไปตามอำนาจความชักจูงของเขา เราจึงเสียท่าทุกที เพราะเราไม่รู้วิธี ทีท่าของเขาว่ามาสายไหน ไม่รู้
    ...ความไม่รู้นั่นแหละเป็นตัวอวิชชา อวิชชาระคนจิตใจให้ปั่นป่วนไปตามอำนาจของ อกุศล ทุกคราวที่เราคิดถึง จิตจึงตกไปในทางที่จะทำให้เกิดทุกข์
    เลิกกลัวไปอย่างนี้ซิ ทุกครั้งๆไป บ่นว่าเป็นทุกข์ๆ ก็หารู้ไม่ว่าทุกข์นั้นมันเกิดที่ไหน ก็ไม่เจอทุกข์ซิ ก็มีทุกข์กันเรื่อยไป
    แล้วเมื่อไหร่จะพ้นทุกข์กับเขาเสียที มันไม่เจอ

    พระราชสังวราภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

     

แชร์หน้านี้

Loading...