ดิน น้ำ ลม ไฟ หรืออื่นๆ ธาตุใดทรงพลังมากที่สุด เพราะ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สุรีย์บุตร, 22 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณด้วยก็ได้ คุณคิดว่า ธาตุใด ทรงพลังที่สุด เพราะเหตุใด? . . .
     
  2. ปาติหารย์

    ปาติหารย์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +10
    ความมืดดูดกลืนทุกสิ่งธาตุใดแกร่งกล้าจักไร้พลังสิ้นแต่กระนั้นก็ยังแพ้
    "แสงสว่าง"
     
  3. *44*

    *44* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    528
    ค่าพลัง:
    +1,808
    เมื่อก่อนเคยคิดว่าเป็นไฟนะ แต่เดี๋ยวนี้ อาจจะเป็นธาตุน้ำก็ได้

    เพราะน้ำทำลายโลกได้เกือบหมดเลยทีเดียว
     
  4. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,786
    ค่าพลัง:
    +7,482
    ดีมาก ที่ตั้งกระทู้อย่างนี้

    นะ คือธาตุน้ำ อันเกิดมาจากแม่
    โม คือธาตุดิน อันเกิตมาจากพ่อ

    ส่วนอีกสามธาตุ เราจะมาเฉลยในเร็วๆ นี้ เพราะสิ่งใดๆ ในจักรวาฬโลกประกอบด้วยธาตุทั้งห้า เช่นนี้ฯ

    ใบ้ใหอีกนิดส์ .... ว่าธาตุที่ประกอบถูกส่วนมีเพียงจักรวาฬโลกนี้เท่านั้น ส่วนจักรวาฬโลกอื่นอาจจะหนักไปทางใดทางหนึ่ง

    ฮี่ๆๆ
     
  5. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122

    อะไรทำไห้น้ำ ทำลายโลกได้เกือบหมดครับ
    (verygood)
     
  6. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    แสงสว่างที่ว่านี้ คงหมายถึงธาตุไฟใช่ไหมครับ . . .
    ถ้าใช่ ถ้าไช่ สิ่งใด ทำไห้ไฟติดครับ
    (verygood)
     
  7. *44*

    *44* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    528
    ค่าพลัง:
    +1,808
    ซูนามิไงพี่ น่ากลัวจ๊ะ
     
  8. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ซูนามิ อาจไม่น่ากลัวถ้าไม่มี . . .
    ผู้ที่น่าจะมาตอบได้ดีที่สุด น่าจะเป็น ท่าน หนุมารผู้นำสารนะ
    เพราะจำได้ว่าท่านรู้จัก ความน่ากลัวของน้ำเป็นอย่างดี

    ขออภัยที่กล่าวพาดพิง . . .
    (verygood)
     
  9. siritach

    siritach เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2005
    โพสต์:
    243
    ค่าพลัง:
    +555
    ทุกธาตุ ต่างเกื้อหนุน กัน หากขาดธาตุหนึ่งธาตุใด ไป ก็จะเกิดการเสีย สมดุลย์
    เช่น ไฟ ต้มน้ำ จนเดือด และเดือด จนระเหยไปจนหมด เช่นกัน น้ำก็ สามารถ ที่ จะดับไฟ ได้เช่นกัน
    มันคือธรรมชาติ
    -- ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับมนุษย์ ผู้มีความสามารถที่จะใช้มันได้ --
     
  10. อืม

    อืม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +91
    ผมต้องถูกแน่เลย ธาตุดินแน่ๆครับ เพราะธาตุที่มากที่สุดในโลกนี้ก็คือดิน น้ำมันอยู่แค่ผิวโลก แต่ดินคือทั้งโลก ดินเสียสมดุลย์ทำให้เกิดแผ่นดินไหวใต้ทะเล ทำให้เกิดสินามิ
     
  11. Homealond

    Homealond เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +476

    เห็นด้วยค่ะ ถ้าหากขาดซึ่งธาตุใดธาตุหนึ่งย่อมเกิดภัยพิบัติ

    ในทางกลับกัน ถ้าธาตุใดธาตุหนึ่งแข็งแกร่งเกินไป ก็อาจทำให้เสียความสมดุลย์ได้อีกเช่นกัน เช่น

    อย่างเช่น ธาตุไฟมาก อากาศร้อนแล้ง น้ำจึงต้องมาดับ แต่ถ้าขาดไฟ น้ำก็ท่วม

    ประมาณนี้
     
  12. siritach

    siritach เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2005
    โพสต์:
    243
    ค่าพลัง:
    +555
    ไม่มีดิน มนุษย์ ก็อยู่ไม่ได้ เพราะ เราไม่ใช่ปลา
    ไม่มีน้ำ มนุษย์ ก็อยู่ไม่ได้ เพราะ ไม่มีน้ำกิน น้ำใช้
    ไม่มีไฟ มนุษย์ก็อยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีแสงสว่าง และพลังงาน
    ไม่มีลม มนุษย์ก็อยู่ไม่ได้ เพราะ ขาดอากาศ

    มีน้ำมากไป ก็ท่วม/คลืนยักษ์
    มีไฟมากไป ก็แห้งแล้ง /ภูเขาไฟระเบิด
    มีดินมากไป ก็แผ่นดินไหว
    มีลมมากไฟ ก็เกิดพายุ
     
  13. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ขอบคุณทุกความคิดเห็น แต่เราก็ไม่รู้คำตอบหรอกว่าธาตุอะไรน่าจะมีพลังมากที่สุด
    ท่านทั้งหลายลองคิดดูเถอะว่าแต่ละธาตุ มันมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง
    เช่นคุณสมบัติของดินคืออะไร ดินมีสัมผัสแบบไหน แข็ง นิ่ม หรืออ่อนนุ่ม
    อะไรมีผลไห้ดินแข็ง นิ่ม หรืออ่อน

    ไฟเป็นอย่างไร อะไรคือคุณสมบัติของไฟ
    เช่นไฟนั้น ร้อน ให้แสงสว่าง หรือเผาผลาญ ทำลาย หรืออะไรทำไห้ไฟติด
    ถ้าไม่มีอะไรจะไม่มีไฟ

    นับว่าน่าจะถูกต้อง ที่ธาตุต่างๆ ต่างเกื้อหนุนกัน
    แต่ . . . มีบางธาตุไหม ที่ไม่ต้องการการเกื้อหนุนจากธาตุอื่นๆ
     
  14. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ต่อไห้มีน้ำมัน ก็ไม่มีไฟถ้าไม่มี. . .
    ถ้าโลก หรือจักรวาล ไม่เคลื่อนไหว สิ่งต่างๆจะเกิดขึ้นอย่างทุกวันนี้หรือไม่
     
  15. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    หมายถึงลม (อากาศ)?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2007
  16. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,035
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ผมเป็นคนธาตุลมที่มีความพริ้วไหวจับต้องมิได้ไล่มิทัน / แต่พลังแฝงที่ซ่อนอยู่คือพลังแห่งธาตุไฟที่พร้อมที่จะสร้างสรรค์และทำลายล้างได้ทุกขณะจิต จึงต้องใช้พลังความเย็นจากธาตุน้ำเข้ามากำกับดูแลและควบคุมไว้ แต่พลังแห่งธาตุดินนั้นคือความอดทนและสงบนิ่งไม่ไหวติงดั่งหินผา คือที่กำบังภัยแห่งจิตทั้งมวล อากาศธาตุ แม้นมองไม่เห็นด้วยตาแต่จิตสัมผัสเห็น ถ้าไม่มีอากาศก็ไม่อาจมีไฟ ถ้าไม่มีอากาศ น้ำก็จะคงอยุ่มิได้ ถ้าไม่มีอากาศ ลมจะมีได้อย่างไร ไม่มีอากาศ ดินยังอยู่ได้ / ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นกาย / กาย ใจ จิต ปราณ สติปัญญา ผสานกันเป็นหนึ่งเดียว คือความสมบูรณ์พร้อมของสัจธรรมแห่งพุทธบุตร / ถ้าควบคุมพลังธาตุเหล่านี้ไว้ได้ ก็จะเป็นการรักษาสมดุลทางกายได้ / เมื่อควบคุมกายได้ พลังปราณก่อเกิด / เมื่อพลังปราณก่อกำเนิด ใจย่อมพร้อมรับทุกสิ่ง / เมื่อใจพร้อมรับทุกสิ่ง จิตจึงมีพลังแห่งความป็นเอกอุ / เมื่อจิตมีความเป็นเอกอุ จะเป็นเช่นเดียวกับกระจก ที่สะท้อนภาพทุกสิ่งออกมาได้ แต่ไม่ให้อำนาจกับสิ่งใด จึงไม่มีสิ่งใดมีอำนาจเหนือจิตนี้ / เมื่อจิตไม่ให้อำนาจกับสิ่งใด ปัญญาจึงมาแทนที่/ เมื่อบังเกิดปัญญาก็ย่อมคิดพิจารณามองเห็นธรรมแห่งพระพุทธองค์ / นี่คือพลังแห่งธาตุกายสิทธิ์ธาตุทิพย์ในตัวเรา / น้ำที่สงบนิ่งจึงมองเห็นพระจันทร์เต็มดวง / แต่เห็นพระจันทร์เต็มดวงแล้ว อย่าเป็น มะนุดหมูป่า ก็แล้วกันครับ / 1.ศึกษาเรียนรุ้ให้แจกฉานปัญญาพร 2. ปฏิบัติในสิ่งที่เรียนรู้มาให้รู้จริงทำได้จริง 3.เมื่อเรีบนก็แล้วปฏิบัติก็แล้ว ก็พิจารณาด้วยปัญญา พิจารณาให้หลุดพ้น / เมื่อรวมได้ก็ต้องแยกได้และละทิ้งได้ /

    ผู้เขียน / พ่อมดโลจิ แห่งจีเอ็มซิตี้ดอทคอม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 กุมภาพันธ์ 2007
  17. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    <CENTER></CENTER><CENTER>๑๐. พาหิยสูตร
    </CENTER> [๔๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่าน
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล กุลบุตรชื่อพาหิยทารุจีริยะ
    อาศัยอยู่ที่ท่าสุปปารกะ ใกล้ฝั่งสมุทร เป็นผู้อันมหาชนสักการะ เคารพ นับถือ
    บูชา ยำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ครั้ง
    นั้นแล พาหิยทารุจีริยะหลีกเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความปริวิตกแห่งใจอย่างนี้ว่า
    เราเป็นคนหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์หรือผู้ถึงอรหัตตมรรคในโลก ลำดับนั้นแล
    เทวดาผู้เป็นสายโลหิตในกาลก่อนของพาหิยทารุจีริยะ เป็นผู้อนุเคราะห์ หวัง
    ประโยชน์ ได้ทราบความปริวิตกแห่งใจของพาหิยทารุจีริยะด้วยใจ แล้วเข้าไปหา
    พาหิยทารุจีริยะ ครั้นแล้วได้กล่าวว่า ดูกรพาหิยะ ท่านไม่เป็นพระอรหันต์หรือไม่
    เป็นผู้ถึงอรหัตตมรรคอย่างแน่นอน ท่านไม่มีปฏิปทาเครื่องให้เป็นพระอรหันต์หรือ
    เครื่องเป็นผู้ถึงอรหัตตมรรค พาหิยทารุจีริยะถามว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น บัดนี้
    ใครเล่าเป็นพระอรหันต์ หรือเป็นผู้ถึงอรหัตตมรรคในโลกกับเทวโลก เทวดาตอบ
    ว่า ดูกรพาหิยะ ในชนบททางเหนือ มีพระนครชื่อว่าสาวัตถี บัดนี้ พระผู้มี
    พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ประทับอยู่ในพระนครนั้น ดูกร-
    *พาหิยะ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแลเป็นพระอรหันต์อย่างแน่นอน ทั้งทรง
    แสดงธรรมเพื่อความเป็นพระอรหันต์ด้วย ลำดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะผู้อันเทวดา
    นั้นให้สลดใจแล้ว หลีกไปจากท่าสุปปารกะในทันใดนั้นเอง ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มี
    พระภาคผู้ประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีใกล้
    พระนครสาวัตถี โดยการพักแรมสิ้นราตรีหนึ่งในที่ทั้งปวง ฯ
    [๔๘] ก็สมัยนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันจงกรมอยู่ในที่แจ้ง พาหิยทารุจีริยะ
    เข้าไปหาภิกษุทั้งหลายถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้ถามภิกษุเหล่านั้นว่า ข้าแต่ท่านทั้งหลาย
    ผู้เจริญ บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ
    ข้าพเจ้าประสงค์จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ภิกษุ
    เหล่านั้นตอบว่า ดูกรพาหิยะ พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปสู่ละแวกบ้านเพื่อ
    บิณฑบาต ลำดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะรีบด่วนออกจากพระวิหารเชตวัน เข้าไป
    ยังพระนครสาวัตถี ได้เห็นพระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนคร
    สาวัตถี น่าเลื่อมใส ควรเลื่อมใส มีอินทรีย์สงบ มีพระทัยสงบ ถึงความฝึก
    และความสงบอันสูงสุด มีตนอันฝึกแล้ว คุ้มครองแล้ว มีอินทรีย์สำรวมแล้ว
    ผู้ประเสริฐ แล้วได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มี-
    *พระภาคด้วยเศียรเกล้าแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดทรงแสดง
    ธรรมที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาล
    นานเถิด ฯ
    [๔๙] เมื่อพาหิยทารุจีริยะกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
    ดูกรพาหิยะ เวลานี้ยังไม่สมควรก่อน เพราะเรายังเข้าไปสู่ละแวกบ้านเพื่อ
    บิณฑบาตอยู่ แม้ครั้งที่ ๒ พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่
    พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี ความ
    เป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยากแล ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดทรงแสดง
    ธรรมที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ตลอด
    กาลนานเถิด ฯ
    แม้ครั้งที่ ๒...แม้ครั้งที่ ๓ พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี
    ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยากแล ข้าแต่พระองค์
    ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรด
    ทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาล
    นานเถิด ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษา
    อย่างนี้ว่า เมื่อเห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็น
    สักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล ดูกร
    พาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อ
    ทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี
    ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า
    ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
    ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยะ กุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ
    ทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มี-
    *พระภาค ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสสอนพาหิยทารุจีริยะกุลบุตรด้วย
    พระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว เสด็จหลีกไป ฯ
    [๕๐] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน แม่โค
    ลูกอ่อนขวิดพาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงปลงเสียจากชีวิต ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จ
    เที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีเสด็จกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต เสด็จ
    ออกจากพระนครพร้อมกับภิกษุเป็นอันมาก ได้ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะ
    ทำกาละแล้ว จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจง
    ช่วยกันจับสรีระของพาหิยทารุจีริยะยกขึ้นสู่เตียงแล้ว จงนำไปเผาเสีย แล้วจงทำ
    สถูปไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรมอันประเสริฐเสมอ
    กับท่านทั้งหลาย ทำกาละแล้ว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ช่วยกัน
    ยกสรีระของพระพาหิยทารุจีริยะขึ้นสู่เตียง แล้วนำไปเผา และทำสถูปไว้แล้ว
    เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้
    ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สรีระของพาหิยทารุจีริยะข้าพระองค์
    ทั้งหลายเผาแล้ว และสถูปของพาหิยทารุจีริยะนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายทำไว้แล้ว
    คติของพาหิยทารุจีริยะนั้นเป็นอย่างไร ภพเบื้องหน้าของเขาเป็นอย่างไร ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะเป็นบัณฑิต
    ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งไม่ทำเราให้ลำบาก เพราะเหตุแห่งการแสดงธรรม
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะปรินิพพานแล้ว ฯ
    ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทาน
    นี้ในเวลานั้นว่า
    ดิน น้ำ ไฟ และลม ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด
    ในนิพพานธาตุนั้น ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง พระอาทิตย์
    ย่อมไม่ปรากฏ พระจันทร์ย่อมไม่สว่าง ความมืดย่อมไม่มี
    ก็เมื่อใดพราหมณ์ชื่อว่าเป็นมุนีเพราะรู้ (สัจจะ ๔) รู้แล้ว
    ด้วยตน เมื่อนั้น พราหมณ์ย่อมหลุดพ้นจากรูปและอรูป
    จากสุขและทุกข์ ฯ

    <CENTER>จบสูตรที่ ๑๐
    </CENTER><CENTER>จบโพธิวรรคที่ ๑
    </CENTER><CENTER>ที่มาจาก</CENTER><CENTER>http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=25&A=1607</CENTER>
     
  18. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ดิน น้ำ ไฟ และลม ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด
    ในนิพพานธาตุนั้น ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง พระอาทิตย์
    ย่อมไม่ปรากฏ พระจันทร์ย่อมไม่สว่าง ความมืดย่อมไม่มี
    ก็เมื่อใดพราหมณ์ชื่อว่าเป็นมุนีเพราะรู้ (สัจจะ ๔) รู้แล้ว
    ด้วยตน เมื่อนั้น พราหมณ์ย่อมหลุดพ้นจากรูปและอรูป
    จากสุขและทุกข์ ฯ

    ---------------------------------------------------------------
    - -ผมปัญญาน้อย ไม่เข้าใจ รบกวนช่วยแปลให้เข้าใจง่ายกว่านี้สักนิด
    ให้คนอย่างผมได้เข้าใจมากกว่านี้หน่อยครับ
     
  19. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    <CENTER></CENTER><CENTER>พระสูตรนี้มีรายละเอียดขึ้นมาหน่อยนะครับ</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>สัญญาสูตร
    </CENTER> [๒๑๔] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่-
    *ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
    ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พึงมีหรือหนอแล การ
    ที่ภิกษุได้สมาธิโดยประการที่ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็น
    อารมณ์ไม่พึงมีความสำคัญในอาโปธาตุว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความ
    สำคัญในเตโชธาตุว่าเป็นเตโชธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในวาโยธาตุ
    ว่าเป็นวาโยธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในอากาสานัญจายตนะว่าเป็น
    อากาสานัญจายตนะเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในวิญญาณัญจายตนะ ว่าเป็น
    วิญญาณัญจายตนะเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในอากิญจัญญายตนะว่าเป็น
    อากิญจัญญายตนะเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในเนวสัญญานาสัญญายตนะว่า
    เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในโลกนี้ว่าเป็นโลก
    นี้เป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ไม่พึง
    มีความสำคัญในรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ทราบ ธรรมที่รู้แจ้ง ที่ถึง
    แล้ว ที่แสวงหาแล้ว ที่ตรองตามแล้วด้วยใจ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า พึงมีได้อานนท์ การที่ภิกษุได้สมาธิโดย
    ประการที่ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ... ที่ตรอง
    ตามแล้วด้วยใจ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา ฯ
    อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พึงมีได้อย่างไรเล่า การที่ภิกษุได้สมาธิ
    โดยประการที่ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ... ที่
    ตรองตามแล้วด้วยใจ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา ฯ
    พ. ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้มีสัญญาอย่างนี้ว่า
    ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั้นประณีต คือ ความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความ
    สละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสิ้นกำหนัด ความดับ นิพพาน
    ดูกรอานนท์ พึงมีได้อย่างนี้แล การที่ภิกษุได้สมาธิโดยประการที่ตนไม่พึงมี-
    *ความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในอาโป-
    *ธาตุว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในเตโชธาตุว่าเป็นเตโชธาตุ
    เป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในวาโยธาตุว่าเป็นวาโยธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึง
    มีความสำคัญในอากาสานัญจายตนะว่าเป็นอากาสนัญจายตนะเป็นอารมณ์ ไม่พึง
    มีความสำคัญในวิญญาณัญจายตนะว่าเป็นวิญญาณัญจายตนะเป็นอารมณ์ ไม่พึง
    มีความสำคัญในอากิญจัญญายตนะว่าเป็นอากิญจัญญายตนะเป็นอารมณ์ ไม่พึง
    มีความสำคัญในเนวสัญญานาสัญญายตนะ ว่าเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะเป็น
    อารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในโลกนี้ว่าเป็นโลกนี้เป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความ
    สำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในรูปที่ได้เห็น
    เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ทราบ ธรรมที่รู้แจ้ง ที่ถึงแล้ว ที่แสวงหาแล้ว ที่ตรอง
    ตามแล้วด้วยใจ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา ฯ
    ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาค
    แล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้ว เข้าไป
    หาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้น
    ผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
    ได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูกรท่านสารีบุตรผู้มีอายุ พึงมีได้หรือหนอแล การ
    ที่ภิกษุได้สมาธิโดยประการที่ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็น-
    *อารมณ์ ฯลฯ ไม่พึงมีความสำคัญในรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ทราบ
    ธรรมที่รู้แจ้ง ที่ถึงแล้ว ที่แสวงหาแล้ว ที่ตรองตามแล้วด้วยใจ ก็แต่ว่าพึงเป็น
    ผู้มีสัญญา ฯ
    ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูกรท่านอานนท์ผู้มีอายุ พึงมีได้ การที่ภิกษุ
    ได้สมาธิ โดยประการที่ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุ ว่าเป็นปฐวีธาตุ
    เป็นอารมณ์ ฯลฯ ไม่พึงมีความสำคัญในรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ทราบ
    ธรรมที่รู้แจ้ง ที่ถึงแล้ว ที่แสวงหาแล้ว ที่ตรองตามแล้วด้วยใจ ก็แต่ว่าพึง
    เป็นผู้มีสัญญา ฯ
    อา. ดูกรท่านสารีบุตรผู้มีอายุ พึงมีได้อย่างไรเล่า การที่ภิกษุได้สมาธิ
    โดยประการที่ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ฯลฯ
    ไม่พึงมีความสำคัญในรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ทราบ ธรรมที่รู้แจ้ง
    ที่ถึงแล้ว ที่แสวงหาแล้ว ที่ตรองตามแล้วด้วยใจ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา ฯ
    สา. ดูกรท่านอานนท์ผู้มีอายุ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้มีสัญญา
    อย่างนี้ว่า ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต คือ ความสงบสังขารทั้งปวง
    ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสิ้นกำหนัด ความดับ นิพพาน
    ดูกรท่านอานนท์ผู้มีอายุ พึงมีได้อย่างนี้แล การที่ภิกษุได้สมาธิโดยประการที่ตน
    ไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ฯลฯ ไม่พึงมีความสำคัญ
    ในรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ทราบ ธรรมที่รู้แจ้ง ที่ถึงแล้ว ที่แสวง
    หาแล้ว ที่ตรองตามแล้วด้วยใจ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา ฯ
    อา. ดูกรท่านสารีบุตรผู้มีอายุ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว การที่อรรถ
    กับอรรถ พยัญชนะกับพยัญชนะ ของพระศาสดาและของสาวก เปรียบเทียบ
    ได้กัน เสมอกัน ไม่ผิดกัน ในบทที่เลิศ ดูกรท่านสารีบุตรผู้มีอายุ เมื่อกี้นี้
    กระผมเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ได้ทูลถามเนื้อความอันนี้ แม้พระผู้มีพระภาค
    ก็ทรงพยากรณ์เนื้อความอันนี้ ด้วยบทเหล่านี้ ด้วยพยัญชนะเหล่านี้ แก่กระผม
    เหมือนที่ท่านพระสารีบุตรพยากรณ์ ดูกรท่านสารีบุตรผู้มีอายุ น่าอัศจรรย์ ไม่เคย
    มีมาแล้ว การที่อรรถกับอรรถ พยัญชนะกับพยัญชนะ ของพระศาสดาและของ
    พระสาวก เปรียบเทียบกันได้ เสมอกัน ไม่ผิดกัน ในบทที่เลิศนี้ ฯ

    <CENTER>จบสูตรที่ ๗
    </CENTER>
    ที่มาจาก
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=24&A=7704
     
  20. คนโกหก

    คนโกหก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    481
    ค่าพลัง:
    +1,413
    ดิน ก็ อนิจจัง
    น้ำ ก็ อนิจจัง
    ลม ก็ อนิจจัง
    ไฟ ก็ อนิจจัง

    พลัง ก็ อนิจจัง
    อะไรมีพลังมากกว่า นั้น ไม่ใช่สาระธรรม
    "อนิจจัง" ต่างหาก "สาระธรรม"
     

แชร์หน้านี้

Loading...