พระไม่สามารถสำเร็จความใคร่ได้แต่...

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย เล่นกรรม, 21 กรกฎาคม 2011.

  1. เล่นกรรม

    เล่นกรรม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2011
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +6
    อย่างนี้วัยรุ่นที่จะบวช ให้พ่อแม่ คงจะต้องคิดให้หนัก เพราะถ้าอยากให้ท่านได้บุญเยอะต้องบวชนานๆ สักพรรษา เพื่อให้เขาชื่นใจ แต่ถ้าทนไม่ไหว สำเร็จความใคร่ขึ้นมาก็ลำบาก แต่ถ้าไม่อยากผิดวินัยก็บวชน้อยวัน ไม่น่าล่ะคนรุ่นใหม่ถึงบวชกันแค่เป็นพิธี 3-7-15 วันเท่านั้นเอง
     
  2. dangsticker

    dangsticker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +1,590
    สมัยผมบวชผมยังเคยฝันเปียก 1 ครั้งเลยครับ แต่ตอนนอนฝันว่ารถ 10 ล้อวิ่งมาชน แล้วสะดุ้งตื่นก็ฝันเปียกเลย ยังมานั่งงงตัวเองว่า บ้าหรือเปล่า ฝันว่ารถ 10 ล้อชนแล้วฝันเปียก แถมไม่มีความรู้สึกใดๆเลย ยกเว้น ตกใจที่ 10 ล้อชนครับ
     
  3. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ผมว่า "ฉี่แตก" มากกว่า หุหุ
     
  4. dangsticker

    dangsticker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +1,590
    dangsticker

    ตอนแรกก็คิดเหมือนกันคับ 555+ พอสำรวจดูตกใจ ต้องรีบตื่นมาซักผ้า 555+ แต่ก็ปลงอาบัติไว้ด้วยกันไว้ครับ
     
  5. xmen123

    xmen123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    431
    ค่าพลัง:
    +152
    ขอ ขอบคุณ มาก ๆ และขอ โมทนาบุญ ด้วยครับ +++ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ...
     
  6. พระดนัย

    พระดนัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +1,478
    เจริญพร

    เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ถ้านอนแล้วน้ำอสุจิเคลื่อนเฉยๆ จะไม่ต้องสังฆาทิเสส

    แต่ถ้าขณะที่เราฝันนั้น เกิดเอามือไปจับองคชาตพอดี พระอาจารย์ท่านว่าต้องสังฆาแล้ว

    พอใจ ยินดี ที่น้ำอสุจิเคลื่อน ก็สังฆาทิเสส เช่นกัน
     
  7. phloiwang

    phloiwang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +244
    ขอขอบคุณในธรรมที่ท่านแสดง อนุโมทนาสาธุครับ
     
  8. pom25

    pom25 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2007
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +409
    บวชใจ กายยังไม่ต้องบวชก็ได้
     
  9. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    เรื่องเหล่านี้ไม่ควรจะนำมาโพส มาเผยแพร่นะ เหมาะหรือไม่เหมาะก็คิดดูกันเอง..
     
  10. Sunthorn2493

    Sunthorn2493 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +180
    ขอถามนะครับ..ผู้ถาม (คุณเล่นกรรม) เป็นพระหรือเป็นฆราวาสครับ หากท่านเป็นพระ ท่านควรจะศึกษา นวโกวาท ให้ดี หากต้องการศึกษาให้ละเอียดให้ดูหนังสือ วินัยมุข เพิ่มเติมครับ แต่หากท่าน (คุณเล่นกรรม) เป็นฆราวาส ก็ไม่ต้องไปพะวงแทนพระท่านหรอกครับ เพราะหากพระท่านทำผิดโดยเจตนาท่านก็มีโทษ 2 เท่าหรือมากกว่าฆราวาสอยู่แล้ว หากท่านไม่อยู่ปริวาส อาบัติ ก็จะอยู่ติดตัวท่าน (ปลงอาบัติไม่ตก) เมื่อลงมือปฏิบัติธรรม ก็จะไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ลองอ่านและศึกษาดูก่อนนะครับ แต่ถ้าท่านเป็นพระแล้วถามว่า สังฆาทิเสส คืออะไร น่าำตำหนิมากครับ..
    ขอแสดงความนับถือครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2011
  11. เล่นกรรม

    เล่นกรรม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2011
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +6
    เป็นฆราวาส ที่ถามเพราะสงสัย เนื่องจากจะบวชครับ ตอนแรกกะว่าจะบวชเป็นเดือน แต่กลัวจะทำผิดเลยต้องถามรายละเอียดก่อน (กลัวว่าบุญที่จะสร้างจะกลายเป็นบาปติดตัวโดยไม่ทันตั้งตัว หรือเป็นบาปโดยไม่รู้ตัวนะครับ) ส่วนใครที่เห็นว่าไม่น่าโพสต์ กรุณาดูที่เจตนาด้วยนะครับ เพราะว่าไม่ได้มีเจตนาอย่างที่คุณคิดอยู่ เพราะทุกคนไม่ได้คิดอย่างที่คุณคิดหรอกครับ ผมกลับคิดว่าเป็นความรู้ที่ดีอีกต่างหาก เพราะหลายคนอยากรู้แต่ไม่กล้าที่จะถามหรือมองข้ามตรงนี้ไปซะด้วยซ้ำ
     
  12. โชเต

    โชเต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +331
    ถ้าคุณ จขทก. มีเวลา หล่ะก็ ลองเข้าไปอ่านในพระไตรปิฏก สิครับ
    จะได้คลายความสงสัย ลงได้บ้าง เรื่องบางเรื่อง ต้องศึกษาด้วยตัวเองครับ
    ถึงจะเข้าใจ ตอนผมบวชได้สัก พรรษากว่าๆ จนเกือบๆ 2 พรรษา (ตอนนั้นยังไม่มีฤกษ์สึก) ผมใช้เวลาอ่าน ใช้เวลาศึกษา พอสมควร แต่ก็ไม่มากนักสักเท่าไหร่ เน้นศึกษาในเรื่องพระวินัยเป็นหลักๆ
    ที่เหลือนอกนั้น พักหลังๆ หลวงปู่ที่วัดฯ ท่านอาพาธ เลยต้องไปปรนนิบัติท่าน ส่วนที่เป็น
    พระสุตันตปิฏก กับ พระอภิธรรม ไม่ค่อยได้เปิดอ่านสักเท่าไร อาศัยฟังจากหลวงปู่ท่านฯ ซะมากว่า ควบคู่ไปกับหลักปฏิบัติฯ บ้าง ตามแบบฉบับของ พระบวชใหม่
    ก็ได้ความรู้ดีนะครับ ลองไปศึกษาดู จะดีกว่า...ได้อะไรเยอะกว่า...แล้วมาฟังจากคนอื่นๆ เขาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ก็จะได้สิ่งใหม่ๆ ในองความรู้ อะไรต่อมิอะไรเยอะครับ...
     
  13. โชเต

    โชเต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +331
    ถ้าผิดพลาดประการใด ก็ต้องขออภัยด้วย เพราะเคยไป"ปาริวาสกรรม" เหมือนกัน
    แต่หลายต่อหลายปีแล้ว เกือบๆ 6 ปีแล้ว ผมเล่าจากประสบการณ์จริงๆ เลย

    สังฆาทิเสส คือ การอยู่กรรม ที่เป็นกรรม ซึ่งเป็นกรรมอย่างกลาง ที่ไม่ถึงขั้นปาราชิก ครับ

    ใครที่เคยไป "ปาริวาสกรรม" ก็คือการไปอยู่กรรม เพื่อใช้กรรมที่เราได้ทำอาบัติ ที่เรียกว่า

    "อาบัติสังฆาทิเสส" อนึ่ง ในการทำอาบัติต่างๆ ตั้งแต่ อาบัติอย่างกลาง(สังฆาทิเสส ไปจนถึงอาบัติ ต่างๆ เช่น อาบัติทุกกฏ อาบัติปาจิตตีย์ ฯลฯ) พูดง่ายๆ ก็คือ อาบัติอย่างกลางไปจนถึงอาบัติอย่างน้อยๆ ยกเว้น อาบัติ"ปาราชิก" ไม่ต้องไปอยู่กรรม เพราะอาบัติชนิดนี้ขาดจากความเป็นพระ เรียบร้อยแล้ว

    เปรียบเทียบกับ การปลงอาบัติ ไม่ได้เป็นการใช้กรรมที่เราก่อ เเต่เป็นเพียงข้อตกลงที่เรารู้ตัวว่าทำผิด (จะจงใจ ปกปิดอาบัติที่เราแอบทำไม่ดีลงไป โดยที่รู้หรือไม่รู้ก็ตาม ยิ่งปกปิด มากเท่าไร ก็คือ 1 ราตรี ก็จะมีผลต่อ ศีลของเรามากเท่านั้น ดังนั้นแล้ว หากภิกษุใด ร่วมกันปกปิดอาบัติ ดังกล่าวให้ ก็จะพลอยไดรับผลของ "รู้เห็นเป็นใจไปด้วย" ภิกษุผู้นั้นก็จะอาบัติ เท่ากับภิกษุที่มีอาบัติมาก่อนแล้ว ด้วยข้อหา รู้เห็นเป็นใจแต่ยังจงใจร่วมกันปกปิด นี่เท่ากับว่า ภิกษุทั้งสองรูปนี้ จะต้องไปอยู่กรรม หรือที่เรียกว่า "ไปปาริวาศ" นั่นเอง)
    แม้ว่าการปลงอาบัติ เป็นการแสดงอาบัติก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า อาบัติที่เราได้ทำเอาไว้ จะหายไป โดยที่รู้หรือไม่รู้ จะจงใจหรือไม่ตาม กรรมที่เราทำเอาไว้ ไม่ได้หายไป ดังนั้นแล้วหากภิกษุ รูปไหน รู้ตัวเองดี ยินดีเข้าปาริวาศ หรือที่เรียกว่า อยู่กรรม ก็ได้
    หากรูปไหนไม่ไป แต่จะสึกก่อนก็ได้ ก็ไม่เป็นไร เพราะสมัยนี้ ดูจะห่างหายเรื่องปาริวาสไปเสียแล้ว

    ภิกษุใด จงใจปกปิด อาบัติ 1 ราตรี ก็นับจำนวนวันที่จะต้องเข้า"ปาริวาศ" เพื่อใช้กรรมที่ตนเองก่อ เข้าไปอีก

    ซึ่งในการปาริวาศกรรม ในทุกๆ ครั้ง จะต้องทำตามที่พระอาจารย์กรรมที่ท่านได้กำหนดเอวไว้ทั้งหมด ซึ่งไม่จำกัดเรื่องพรรษา ต่อ หน้าอาจารย์กรรมด้วย เพราะบางครั้งอาจารย์กรรมบางท่าน พรรษาน้อยกว่า ภิกษุที่เข้าร่วมปาริวาศกรรม ในครั้งนี้ด้วย

    เพราะในการปาริวาศกรรม ในครั้งนี้ อนึ่ง หมายถึงการลด"ทิฐฐิ มานะ" ในตัวภิกษุผู้นั้นด้วย
    ก็คือ ลดการถือตัว อวดตัวเอง ว่า พรรษาน้อยกว่าทำไมมาเป็นอาจารย์กรรมได้ เป็นต้น

    ส่วนพิธีในการปาริวาศกรรมนั้น จะเข้าอุโบสถใหญ่ เพื่อให้มีประธานของสงฆ์ ก็คือ พระพุทธเจ้า เป็นพระประธาน และหมู่สงฆ์ ที่เข้าร่วม"ปาริวาศกรรม" เพื่อให้การณ์ อันที่ภิกษุทั้งหลายที่จะมาอยู่กรรมในครั้งนี้ อยู่ร่วมกันโดยพึงปฏิบัติ ในกฏของสงฆ์ หลังจากนั้น ก็จะสวดฯลฯ เพื่อขออยู่กรรม (รายละเอียด มีในหนังสือมนต์พิธี ให้สวดต่อหน้าหมู่สงฆ์ แต่ไม่ใช่ว่า จะนำหนังสือมาท่องได้ ต้องจำเอา ก็หลายหน้าเหมือนกันนะ...) ต่อจากนั้น อีกไม่กี่วัน อาจารย์กรรม จะนัดหมู่สงฆ์ ให้มีการเก็บมานัส จะกี่วันก็แล้วแต่ ในระหว่างการเก็บมานัสนี่เอง อาจารย์กรรม ท่านฯก็จะ ให้ทำอะไร ก็ต้องทำตามนั้น เป็นต้นว่า "สวดมนต์ เดินจงกลม นั่งสมาธิ เป็นหลักๆ แต่ส่วนใหญ่นั้น จะทำกันในวัดที่เป็นป่าๆ กันทั้งนั้น ทั้งนี้ก็แล้วแต่วัดนั้นๆ ว่าจะจัดขึ้นมายังไง คือไม่ใช่ว่า จะให้ภิกษุไปไหนต่อไหน ดังกล่าวตามชอบใจ แต่ทางอาจารย์กรรมจะมีขอบเขต ในระยะที่อยู่ในแต่หมู่สงฆ์ จากนั้นก็จะมีพิธีที่ว่า
    "ขออัพพาน" จะทำหลังจากอยู่กรรมให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน...ซึ่งการขออัพพาน นี้ ก็จะ
    เข้าพระอุโบสถ เป็นครั้งสุดท้าย แต่ในวันสุดท้ายนี้ จะเป็นการสวดอีกครั้ง ต่อหน้าพระประธานและก็หมู่สงฆ์อีก...(นี่ก็เหมือนกัน ถึงแม้จะมีในหนังสือ แต่พอเข้าพระอุโบสถ ต้องท่องจำให้ได้ เพราะต้องสวดต่อหน้าหมู่สงฆ์) และก็รอจนถึงรุ่งเช้า (ไม่ใช่เลยเที่ยงคืน แบบสากลเขานะ...)ก็เป็นอันเสร็จพิธี...สมาทานศีล แล้วก็ลากลับวัดได้เลย

    กรรมสังฆาทิเสส ที่ภิกษุใดได้เคยทำเอาไว้ ก็จะหายไปเอง
     
  14. โชเต

    โชเต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +331
    ในคำบาลี เรื่องการปลงอาบัติ

    แปลได้ง่าย สั้นๆ ได้ใจความก็คือ "รู้แล้วว่าทำ(อาบัติ)ผิดลงไป และจะไม่ทำอีก"

    แต่สมัยนี้กาลเวลาก็เปลี่ยนไป บางรูป(บางคน) ก็ไม่ได้สนใจ หรือใส่ใจในรายละเอียด

    ในตรงนั้นสักเท่าไรนัก เห็นเพียงแค่ว่า อาบัติหายไปแล้ว แต่แท้ที่จริงแล้ว ไม่ใช่...

    เพราะนั่น เป็นกุศโลบาย ที่ต้องการเพื่อให้ภิกษุดังกล่าว นั้น มีความละอายต่อบาปที่ได้ทำ

    หรือที่เรียกว่า "หิริ โอตับปะ" แล้วหยุดการกระทำ อกุศลกรรม เอาไว้แค่นั้น

    และไม่ให้ทำอีก เหมือนกับประโยค บาลีในการปลงอาบัติที่ว่า

    "รู้ตัวว่า ผิดไปแล้ว ก็จะไม่ทำอีก(ไม่ทำบาปเพิ่มอีก)"

    แต่ก็อีกแหละ บางรูป ที่"รู้มาก" มักจะบอกว่า "ไม่เป็นไร เดี๋ยวปลงอาบัติได้"

    นี่แสดงให้เห็นว่า "คนเสื่อม กว่า" ส่วนพระศาสนานั้น "ไม่ได้เสื่อมตาม"
     
  15. กินนอน

    กินนอน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ตามนั้น

    ผมเป็นคนธรรมดาไม่ใช้พระ
    ผมสำเร็จความใคร่ตั้งหลายครั้งแต่ว่าในบางครั้งแค่เล่นเจ้ามังกรน้อยลูบหัวมัน เท่านั้นไม่ได้คิดอะไรแบบอย่างว่า แต่มันก็แตก จะเป็นบาปไหมครับ
    แต่ที่แน่ๆตอนนี้คิดอะไรที่เป็นการเป็นงานช้าถึงขั้นคิดไม่ออกเลยครับพูดง่ายๆ โง่ลง
    แล้วมีวิธีแก้จิตที่จมอยู่กับราคะและเรียกสติ ปัญญากลับคืนมาได้หรือไม่ครับ

    ขอบคุณครับสำหรับทุกคำตอบอันมีค่า
     
  16. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    ลองปฎิบัติธรรม แบบต่อเนื่องดูทุกวัน
    ทั้งสมถะ เจริญสติจนชิน
    ลองมองทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์บ่อยๆ
    มากๆเข้า จะเกิดอารมณ์ ที่เรียกว่า เบื่อ (ความเบื่อ ไม่ใช่แบบที่เรียกว่า ขี้เกึยจนะค่ะ) จะรู้สึกสุขทางธรรมมากกว่า

    ส่วนการลดเนื้อสัตว์ไม่ยืนยันค่ะ บ้างก็ว่า ได้ผล /ไม่ได้ผล (อยู่ที่เจ้าตัวมากกว่า ) การติดในรสชาติอาหาร ก็ถือว่า เป็นราคะจริตอย่างนึง
     
  17. mngo

    mngo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +1,335
    ดีแล้วที่ผมยังไม่คิดบวชนะเนี่ย
     

แชร์หน้านี้

Loading...