<VSN><<<มาใหม่ สายเขาอ้อ อ.ชุม,อ.ปาล,อ.คง, สรุปรายการหน้า๑๐๓>>><NSV>

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย momotaro67, 25 ธันวาคม 2010.

  1. THANAT BOON

    THANAT BOON Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    488
    ค่าพลัง:
    +48
    ไม่ย๊อม..ไม่ยอม โมลำเอียง น้อยใจแล้ว...ฮิฮิ
     
  2. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    อยากได้ก็บูชาพระที่ผมเพิ่มสิครับ เฉพาะเดือนนี้ผมจัดโปรโมชั่น แจกอยู่อะครับ
     
  3. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458

    รับทราบคร้าบบบบบบบบบบบ
     
  4. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    รูปเหมือนปั๊มรุ่นแรก กริ่งเหล็กไหล หลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ ปี 2528 นครศรีธรรมราช

    หลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ จ.นครศรีธรรมราช ปี2528 ปลุกเสกฯนานถึง 3 ไตรมาศ เนื้อทองแดงรมดำเดิมๆ
    หลวงปู่จันทร์ ท่านเป็นพระที่เปี่ยมด้วยเมตตาและเป็นที่เคารพรักแก่ลูกศิษย์ลูกหามากมายทั้งไกล้และไกลพระเครื่องของท่านแต่ละรุ่นล้วนมีประสพการณ์ รุ่นนี้พิเศษที่ข้างในบรรจุกริ่งเหล็กไหล พุทธคุณไม่ต้องพูดถึง มหาอุตม์ คงกระพัน นักเลงเมืองคอนต่างรู้ดีครับ

    [​IMG][​IMG]

    [​IMG]






    องค์ที่2*ปิดรายการนี้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2011
  5. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    รูปเหมือนปั๊มรุ่นแรก กริ่งเหล็กไหล หลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ ปี 2528 นครศรีธรรมราช

    หลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ จ.นครศรีธรรมราช ปี2528 ปลุกเสกฯนานถึง 3 ไตรมาศ เนื้อทองแดงรมดำเดิมๆ
    หลวงปู่จันทร์ ท่านเป็นพระที่เปี่ยมด้วยเมตตาและเป็นที่เคารพรักแก่ลูกศิษย์ลูกหามากมายทั้งไกล้และไกลพระเครื่องของท่านแต่ละรุ่นล้วนมีประสพการณ์ รุ่นนี้พิเศษที่ข้างในบรรจุกริ่งเหล็กไหล พุทธคุณไม่ต้องพูดถึง มหาอุตม์ คงกระพัน นักเลงเมืองคอนต่างรู้ดีครับ

    [​IMG]


    [​IMG]




    องค์ที่3*ปิดรายการนี้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 75155-4.jpg
      75155-4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      92.4 KB
      เปิดดู:
      134
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2011
  6. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    รูปเหมือนปั๊มรุ่นแรก กริ่งเหล็กไหล หลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ ปี 2528 นครศรีธรรมราช

    หลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ จ.นครศรีธรรมราช ปี2528 ปลุกเสกฯนานถึง 3 ไตรมาศ เนื้อทองแดงรมดำเดิมๆ
    หลวงปู่จันทร์ ท่านเป็นพระที่เปี่ยมด้วยเมตตาและเป็นที่เคารพรักแก่ลูกศิษย์ลูกหามากมายทั้งไกล้และไกลพระเครื่องของท่านแต่ละรุ่นล้วนมีประสพการณ์ รุ่นนี้พิเศษที่ข้างในบรรจุกริ่งเหล็กไหล พุทธคุณไม่ต้องพูดถึง มหาอุตม์ คงกระพัน นักเลงเมืองคอนต่างรู้ดีครับ


    [​IMG]



    องค์ที่4*ปิดรายการนี้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2011
  7. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
  8. พุทธนิรันดร์

    พุทธนิรันดร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,641
    ค่าพลัง:
    +5,039
    จององค์นี้อีกองค์ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2011
  9. THANAT BOON

    THANAT BOON Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    488
    ค่าพลัง:
    +48
    นั่นแน่....จะให้พี่ใจแตกอีกแล้ว กำลังเมียงมองอยู่ครับ อ้อ...เมื่อคืนโทรหาพี่รับแล้วทำไมตัดสายทิ้งล่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2011
  10. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    ใจแตกกับพระ ก็ยังดีกว่าไปใจแตกกับสาวนะพี่ 555
     
  11. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    [​IMG]


    ประวัติหลวงพ่อท้วม เขมจาโร อายุ ๘๒ ปี พรรษา ๕๕ ชื่อเดิม เขียน อักษรสม เกิดวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๔๖๕ ณ ต.สมอทอง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี บิดาชื่อ เชื่อม มารดาชื่อ ทา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งหมด ๗ คน พี่ชายคนโต เป็นพระราชวีระมุณี (สีหนาทภิกขุ) อดีตเจ้าคณะ จ.เลย น้องชาย คือพระครูสิริรัตนโสภณ หรือหลวงพ่อแดง เจ้าคณะตำบลเสี้ยว วัดกอไร่ใหญ่ อ.เมือง จ.เลย พี่สาวชื่อ เลี้ยง ทุกวันนี้เข้าวัดปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดศรีสุวรรณ ส่วนพี่และน้องอีก ๓ คน ได้เสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นเด็ก หลวงพ่อท้วม จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๗ เมื่อปี ๒๔๗๙ เคยเป็นครูสอนหนังสือ โรงเรียนประชาบาล อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี

    เมื่ออายุครบเกณฑ์ทหารได้สมัครใจเป็นทหารรับใช้ชาติ หลังจากปลดประจำการ ท่านได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๔๙๒ ณ วัดศรีสุวรรณ โดยมีพระครูประสงค์สารการ (หลวงพ่อเทศน์ โยธารักษ์) เจ้าคณะอำเภอท่าชนะ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า "เขมจาโร" อันหมายถึง ผู้มีความประพฤติเรียบร้อยดีงาม

    ระหว่างบวชได้ศึกษาธรรมจนจบชั้น นักธรรมเอก เมื่อแก่พรรษามากขึ้นก็ได้รับตำแหน่งหน้าที่และ สมณศักดิ์เป็นลำดับ ดังนี้
    พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นพระครูชั้นโท ที่ "พระครูพิเศษเขมาจาร"
    พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีสุวรรณจนถึงปัจจุบัน
    พ.ศ. ๒๕๑๙ เลื่อนเป็นพระครูชั้นพิเศษที่ พระครูพิเศษเขมาจาร
    พ.ศ. ๒๕๒๔ ได้รับตำแหน่งเป็นพระอุปัชฌาย์

    เหรียญรุ่น๑ หลวงพ่อท้วม (เหรียญแปดเหลี่ยม) จัดสร้างปีพ.ศ. ๒๕๒๕




    องค์ที่1*ปิดรายการนี้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • op1.jpg
      op1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.2 KB
      เปิดดู:
      115
    • op2.jpg
      op2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.3 KB
      เปิดดู:
      99
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2011
  12. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    เหรียญรุ่น๑ หลวงพ่อท้วม (เหรียญแปดเหลี่ยม) จัดสร้างปีพ.ศ. ๒๕๒๕




    องค์ที่2*ปิดรายการนี้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • op3.jpg
      op3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.8 KB
      เปิดดู:
      109
    • op4.jpg
      op4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.2 KB
      เปิดดู:
      108
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2011
  13. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ "ตำนาน 5 พระพี่น้อง"

    เล่าขานตำนานไทย : พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ (ตอนที่ 1)

    มีตำนานกล่าวว่า กาลครั้งหนึ่งมีพี่น้องชาวเมืองเหนือ 5 คน บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน มีฤทธิ์อำนาจทางจิตมาก ได้พร้อมใจกันตั้งสัจจะอธิษฐานว่า

    "เกิดมาชาตินี้จะขอบำเพ็ญบารมีช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ แม้ตายไปแล้ว ก็จะสร้างบารมีช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ต่อไป จนกว่าจะถึงซึ่งนิพพาน"
    ครั้นพระอริยบุคคลทั้งห้าองค์นี้ดับขันธ์ไปแล้ว ก็เข้าสถิตอยู่ในพระพุทธรูปทั้งห้าองค์ มีความปรารถนาจะช่วยปลดเปลื้องทุกข์ให้คนทางเมืองใต้ จึงพากันแสดงฤทธิ์ให้พระพุทธรูปทั้งห้าองค์ลอยน้ำมาทางใต้ตามแม่น้ำทั้ง 5 สาย
    ชาวบ้านชาวเมืองตามริมฝั่งแม่น้ำเห็นพระพุทธรูปทั้งห้าองค์ลอยน้ำมาก็พากันเลื่อมใส จึงพากันอาราธนาให้ขึ้นสถิตอยู่ตามวัดต่างๆ โดยพระพุทธรูปองค์แรกลอยมาตามแม่น้ำบางปะกง แล้วขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกว่า "หลวงพ่อโสธร" พระพุทธรูปองค์ที่สองลอยมาตามแม่น้ำนครชัยศรี ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดไร่ขิง จ.นครปฐม เรียกว่า "หลวงพ่อวัดไร่ขิง" พระพุทธรูปองค์ที่สาม ลอยมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เรียกว่า "หลวงพ่อบางพลี" พระพุทธรูปองค์ที่สี่ ลอยมาตามแม่น้ำแม่กลอง ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม เรียกว่า "หลวงพ่อบ้านแหลม" และพระพุทธรูปองค์ที่ห้า ลอยมาตามแม่น้ำเพชรบุรี ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดเขาตะเครา จังหวัดเพชรบุรี เรียกว่า "หลวงพ่อวัดเขาตะเครา"
    พระพุทธรูปทั้ง 5 องค์นี้ ถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัด ที่มีผู้คนทั้งชาวไทยและต่างประเทศหลั่งไหลมาเคารพสักการะมิได้ขาด


    [​IMG]
    เล่าขานตำนานไทย : พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ (ตอนที่ 2) หลวงพ่อพุทธโสธร

    เมื่อตอนที่แล้วได้พูดถึงตำนานของพระพุทธรูป 5 องค์ ที่ลอยน้ำมาด้วยกันแล้ว ฉบับนี้ ขอเริ่มด้วยตำนานของหลวงพ่อพุทธโสธร หรือหลวงพ่อโสธร แห่งวัดโสธรวรารามวรวิหาร อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา

    ประวัติความเป็นมา
    ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อโสธรนี้ มีผู้เล่าสืบกันมาหลายกระแส บ้างว่า ท่านมีพี่น้องที่ลอยน้ำมาพร้อมกัน 3 องค์ คือ หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อโตบางพลี และหลวงพ่อโสธร ส่วนอีกตำนานหนึ่งบอกว่า ท่านเป็นพี่น้องกับหลวงพ่อบ้านแหลมและหลวงพ่อวัดไร่ขิง และก็ยังมีนิยายปรัมปราที่เล่าสืบมาว่า ท่านลอยน้ำมาพร้อมกับหลวงพ่อบ้านแหลม และหลวงพ่อวัดเขาตะเครา

    อย่างไรก็ตาม ตำนานที่เล่าขานกันมานี้ก็มีความคล้ายคลึงกันว่า พระพุทธรูป 3 องค์พี่น้องลอยน้ำมาจากทางเมืองเหนือ จนกระทั่งมาถึงแม่น้ำเจ้าพระยาตรงบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่า"สามเสน" จึงได้แสดงอภินิหารลอยให้ชาวเมืองเห็น ชาวบ้านจึงได้ทำการฉุดพระพุทธรูปทั้งสามองค์ โดยใช้เวลา 3 วัน 3 คืนก็ฉุดไม่ขึ้น กล่าวกันว่าครั้งนั้นใช้ผู้คนเป็นแสนๆ ก็ไม่สำเร็จ ตำบลนั้นจึงได้ชื่อว่า "สามแสน" ต่อมาจึงเพี้ยนเป็น"สามเสน" พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ก็จมน้ำลง

    จากนั้นก็ลอยล่องเข้าสู่คลองพระโขนงลัดเลาะไปสู่แม่น้ำบางปะกง และได้ลอยผ่านคลอง ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า คลองชักพระ พระพุทธรูปได้แสดงอภินิหารลอยขึ้นให้ชาวบ้านเห็น ชาวบ้านจึงพากันมาชักพระขึ้นจากน้ำ แต่ไม่สำเร็จ จึงเรียกคลองนี้ว่า "คลองชักพระ" แล้วทั้งสามองค์ก็ได้ลอยทวนน้ำขึ้นไปทางหัววัดอีก สถานที่นั้นจึงเรียกว่า "วัดสามพระทวน" และเรียกเพี้ยนเป็น "วัดสัมปทวน" ทั้งสามองค์ได้ลอยตามแม่น้ำบางปะกงเลยผ่านหน้าวัดโสธรไปถึงคุ้งน้ำใต้วัดโสธร และแสดงอภินิหารให้ชาวบ้านเห็นอีก ชาวบ้านได้ช่วยกันฉุดแต่ไม่ขึ้น จึงเรียกหมู่บ้านและคลองนั้นว่า "บางพระ" มาจนทุกวันนี้ พระพุทธรูปทั้งสามได้ลอยทวนน้ำวนอยู่ที่หัวเลี้ยวตรงกับกองพันทหารช่างที่ 2 ณ สถานที่ลอยวนอยู่นั้นเรียกว่า "แหลมหัววน"

    อัญเชิญหลวงพ่อโสธรขึ้นจากน้ำ
    หลังจากนั้นพระพุทธรูปองค์หนึ่ง คือ หลวงพ่อโสธรได้แสดงอภินิหารลอยมาขึ้นที่หน้าวัดโสธร ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า วัดหงษ์ ชาวบ้านช่วยกันยกและฉุดขึ้นจากน้ำ แต่ไม่สามารถนำขึ้นได้ จนมีอาจารย์ผู้หนึ่งรู้วิธีอัญเชิญ โดยตั้งพิธีบวงสรวงใช้สายสิญจน์คล้องกับพระหัตถ์ จนสามารถอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานในวิหารได้สำเร็จ ในราว พ.ศ.2313

    ในการนี้จึงจัดให้มีการสมโภชฉลององค์หลวงพ่อ หลังจากท่านได้ประทับที่วัดหงส์เรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านยังไม่รู้ว่าจะขนานนามชื่อของหลวงพ่อว่าอย่างไร แต่เข้าใจว่าท่านคงต้องการชื่อเดิมของท่าน คือ "พระศรี" เพราะเป็นชื่อดั้งเดิมขณะประทับที่วัดศรีเมือง ทางภาคเหนือ ประกอบกับมีเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้ชาวบ้านเข้าใจว่าหลวงพ่อมีความประสงค์จะใช้นามว่า "หลวงพ่อพุทธศรีโสธร" เพราะได้เกิดพายุพัดเอาหงษ์ที่ตั้งอยู่บนยอดเสาหักลงมา ชาวบ้านจึงเปลี่ยนหงษ์เป็นเสาธง แล้วเรียกชื่อวัดหงษ์เป็นวัดเสาธง ต่อมาไม่นานก็เกิดพายุพัดเสาธงหักทอนลงอีก ชาวบ้านจึงเรียกวัดเสาธง ว่า"วัดเสาธงทอน" ภายหลังเห็นว่าไม่ไพเราะ จึงได้พร้อมใจกันเปลี่ยนชื่อวัดเป็น "วัดโสธร" และเรียกนามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อโสธร" ต่อมาวัดโสธรได้รับการเสนอแต่งตั้งให้เป็นวัดหลวง ได้ชื่อว่า "วัดโสธรวรารามวรวิหาร" และขนานนามหลวงพ่ออย่างเป็นทางการว่า "หลวงพ่อพุทธโสธร"

    ปกปิดองค์จริง
    องค์เดิมเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ปางสมาธิ หน้าตักกว้างเพียงศอกเศษ มีพุทธลักษณะที่งดงามมาก สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยลานช้าง เพราะดูจากพุทธลักษณะซึ่งเป็นที่นิยมสร้างกันมากในสมัยนั้น แต่เนื่องจากพระสงฆ์ในวัดขณะนั้นพิจารณาเห็นว่าอาจจะไม่ปลอดภัยในภายภาคหน้า จึงได้พอกปูนเสริมให้ใหญ่เพื่อหุ้มองค์จริงไว้ภายใน จนมีหน้าตักกว้างประมาณสามศอกครึ่ง อย่างที่เห็นในปัจจุบัน แล้วจึงลงรักปิดทอง ให้สวยงาม และเป็นพระพุทธรูปสำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทรา

    ความศักดิ์สิทธิ์
    ความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อโสธร เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนมากมาย ที่มีจิตศรัทธา และเชื่อมั่นในบุญกุศลที่หลั่งไหลมากราบไหว้สักการบูชา และขอพรบารมีจากหลวงพ่อ จนเป็นที่กล่าวขานบอกเล่าต่อๆกันมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางค้าขาย ทางคงกระพัน ทางแคล้วคลาด ทางรักษาโรค โดยใช้ขี้ธูป ดอกไม้บูชาที่แห้งเหี่ยวแล้ว และอธิษฐานหยดเทียน ขอน้ำมนต์จากหลวงพ่อ มาทำยา ดังมีเรื่องเล่าว่า สมัยหนึ่งชาวบ้านโสธรเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพง ฝนก็แล้ง จนเกิดโรคระบาด ทั้งคนและสัตว์ล้มตายไปมาก มีครอบครัวหนึ่งป่วยเป็นไข้ทรพิษ เมื่อหมดทางรักษาก็ไปนมัสการอธิษฐานขอความคุ้มครองจากหลวงพ่อและนำเอาขี้ธูปและดอกไม้แห้งที่บูชาหลวงพ่อ และหยดน้ำตาเทียนที่ขอน้ำมนต์ แล้วเอามาต้มกิน ปรากฏว่าโรคหาย กิตติศัพท์หลวงพ่อจึงได้โด่งดังไปทั่ว ถึงกับมีการสมโภชและแก้บนกันตราบทุกวันนี้ แม้กระทั่งชาวต่างประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ ก็มากราบไหว้บูชาบนบานไม่ขาดสาย และบางรายมาแก้บนเช่นเดียวกับคนไทย การแก้บนหลวงพ่อโสธรที่นิยมกันคือ ละครชาตรี ไข่ต้ม ผลไม้ และพวงมาลัย

    เรื่องที่ห้ามบนบาน
    มีเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่สืบมาว่า เรื่องที่ห้ามบนบานกับหลวงพ่อโสธรคือ เรื่องขอไม่ให้เป็นทหาร กับเรื่องขอบุตร ทั้งนี้เพราะหลวงพ่อท่านชอบให้คนเป็นทหารเพื่อจะได้ปกปักรักษาบ้านเมือง และคนที่เป็นทหารก็เป็นเสมือนลูกหลานของท่าน ดังนั้นใครที่มาขอไม่ให้โดนเกณฑ์ทหาร เป็นต้องถูกเกณฑ์ทุกราย! และคนที่มาขอบุตร ก็มักจะได้บุตรที่มีอาการไม่ครบ 32 เนื่องจากว่าท่านได้ส่งลูกหลานซึ่งเป็นทหารที่บาดเจ็บล้มตายมาให้นั่นเอง! เรื่องนี้เท็จจริงประการใดคงต้องพิจารณากันเอาเอง

    งานนมัสการหลวงพ่อโสธร
    ในแต่ละวันจะมีผู้คนหลั่งไหลไปนมัสการกันอย่างเนืองแน่น โดยเฉพาะในงานนมัสการประจำปีหลวงพ่อโสธร ซึ่งมีปีละ 3 ครั้ง คือ ครั้งแรก ในกลางเดือนห้า ซึ่งถือเป็นงานวันเกิดหลวงพ่อโสธร มีงานฉลอง 3 วัน 3 คืน ครั้งที่สอง งานกลางเดือน 12 มีงาน 5 วัน 5 คืน และครั้งที่สาม ในเทศกาลตรุษจีน มีงาน 5 วัน 5 คืน


    [​IMG]
    เล่าขานตำนานไทย : พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ (ตอนที่ 3) หลวงพ่อบ้านแหลม

    พระพุทธรูป 5 องค์ที่ลอยน้ำมาด้วยกันจากทางเหนือนั้น มีเพียงองค์เดียวที่ป็นพระพุทธรูปยืน คือองค์ที่ลอยไปตามแม่น้ำแม่กลอง แล้วขึ้นสถิตอยู่ที่วัดบ้านแหลม อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม ก็คือ หลวงพ่อวัดบ้านแหลม หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่าหลวงพ่อบ้านแหลมนั่นเอง

    ประวัติความเป็นมา
    สำหรับหลวงพ่อบ้านแหลม มีตำนานอีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า ชาวบ้านแหลมซึ่งอยู่ปากอ่าวจังหวัดเพชรบุรี ได้พากันมาจับปลาในทะเล ขณะที่ลากอวนอยู่นั้นได้ลากพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัยติดอวนขึ้นมาองค์หนึ่ง ทุกคนต่างดีใจมาก จึงอาราธนาพระพุทธรูปขึ้นบนเรือ แล้วพากันล่องกลับเข้าฝั่ง แต่ระหว่างทางคนในเรือได้แลเห็นพระเกศของพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งลอยปริ่มๆน้ำอยู่ไม่ไกลนัก จึงร้องบอกให้ทุกคนทราบ แล้วเทียบเรือเข้าไป จึงได้พบพระพุทธรูปยืน ทุกคนต่างอัศจรรย์ใจเป็นที่สุดที่พระพุทธรูปหล่อด้วยทองเหลืองแต่ลอยอยู่ในน้ำได้ จึงพากันกราบนมัสการด้วยความเลื่อมใสในอภินิหารและอิทธิฤทธิ์ที่ได้พบเห็น แล้วอาราธนาขึ้นบนเรืออีกลำหนึ่ง

    พอเรือแล่นมาถึงแม่น้ำแม่กลองตอนหน้าวัดศรีจำปา ได้เกิดอาเพทคล้ายกับว่า พระพุทธรูปยืนท่านประสงค์ที่จะอยู่วัดนี้ จึงทำให้ฝนตกหนัก ลมพายุพัดจัด จนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น เรือลำที่พระพุทธรูปยืนประดิษฐานอยู่นั้น ทนคลื่นลมไม่ไหว จึงเอียงวูบไป พระพุทธรูปที่อยู่บนเรือจึงเคลื่อนตกจมหายไปในแม่น้ำ ชาวบ้านแหลมพากันตกใจและเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ต่างช่วยกันดำน้ำค้นหาอยู่หลายวัน แต่ก็ไม่พบ จึงตกลงว่าไม่ค้นหากันต่อไปอีก จึงนำพระพุทธรูปองค์นั่งองค์ที่เหลืออยู่ไปยังถิ่นของตนและนำพระพุทธรูปองค์นั้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดเขาตะเครา จังหวัดเพชรบุรี

    กาลต่อมาชาวบ้านศรีจำปาต่างช่วยกันลงดำน้ำค้นหาพระพุทธรูปที่จมอยู่นั้น และอาจเป็นด้วยเพราะอภินิหารของหลวงพ่อที่จะอยู่เป็นมิ่งขวัญของชาวบ้านศรีจำปา จึงทำให้ชาวบ้านศรีจำปาดำน้ำจนพบและอาราธนาไปประดิษฐานไว้ที่วัดศรีจำปา

    ครั้นชาวประมงบ้านแหลมครั้นรู้ข่าวว่าชาวบ้านศรีจำปาพบพระพุทธรูปของตนที่จมน้ำ จึงยกขบวนกันมาทวงพระคืน แต่ชาวบ้านศรีจำปาไม่ยอมให้ จนเกือบจะเกิดศึกกลางวัดขึ้น แต่ด้วยอภินิหารของหลวงพ่อและการมีเหตุผลด้วยกันทั้งสองฝ่าย ก็สามารถประสานสามัคคีตกลงปรองดองกันได้ ฝ่ายชาวประมงบ้านแหลมจึงยินยอมยกพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตรให้ชาวบ้านศรีจำปาไป แต่มีข้อแม้ว่าต้องเปลี่ยนชื่อวัดเสียใหม่ เป็น"วัดบ้านแหลม" เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ชาวบ้านแหลมได้พระพุทธรูปมาแต่แรก ตั้งแต่นั้นมาวัดศรีจำปา จึงได้นามว่า วัดบ้านแหลมมาจนทุกวันนี้ และขนานนามพระพุทธรูปยืนว่า "หลวงพ่อวัดบ้านแหลม" ต่อมาวัดบ้านแหลมได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชั้นวรวิหาร และได้รับพระราชทานนามว่า วัดเพชรสมุทวรวิหาร

    พุทธลักษณะ
    หลวงพ่อบ้านแหลมเป็นพระพุทธรูปยืน ปางอุ้มบาตร หล่อด้วยทองเหลืองแบบสมัยสุโขทัยตอนปลาย ภายในโปร่ง ส่วนสูงประมาณ 170 เซนติเมตร (บ้างว่าสูงประมาณ 2 เมตร 80 เซนติเมตร) แต่บาตรเดิมนั้นได้สูญหายไปในทะเลก่อนที่ชาวประมงจะได้จากทะเลปากอ่าวแม่กลอง สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช ได้เสด็จมานมัสการและได้ถวายบาตรแก้วสีเงินแก่หลวงพ่อบ้านแหลมดังปรากฏอยู่ทุกวันนี้

    ความศักดิ์สิทธิ์
    ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อบ้านแหลมนั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ไม่ว่าเป็นทางก้าวหน้าเจริญรุ่งเรือง ทางแคล้วคลาด ทางรักษาโรค และเรื่องอื่นๆอีกมาก แม้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ก็ทรงทราบ อีกทั้งสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 5 ก็ทรงเลื่อมใส ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขา ของรัชกาลที่ 6 ที่พระราชทานมายังพระครูมหาสิทธิการ(แดง) ความว่า

    "ปีกลายนี้ สมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เสด็จไปยังเมืองสมุทรสงคราม ในกระบวนหลวง ได้รับสั่งให้คนนำเครื่องสักการะไปถวายหลวงพ่อบ้านแหลม และได้รับสั่งไว้แต่ครั้งนั้นว่า ขอผลอานิสงส์ความทรงเลื่อมใส จงบันดาลให้หายประชววร ครั้นเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯได้ไม่นานก็หายประชวร จึงทรงระลึกถึงที่ได้ทรงตั้งสัตยาธิษฐานไว้สมพระประสงค์ โปรดพระราชทานปัจจัยเป็นมูลค่า 800 บาท มาเพื่อช่วยในการปฏิสังขรณ์วัดบ้านแหลม ข้าพเจ้าได้ส่งมาให้ท่านพระครูทางกระทรวงธรรมการแล้ว"

    อีกประสบการณ์หนึ่งจากผู้ที่รอดชีวิตเพราะบุญญาบารมีของหลวงพ่อคุ้มครอง คือ นายชิต เข้มขัน อดีตนายด่านศุลการกร สมุทรสงคราม ได้ประกอบอาชีพเป็นกัปตันเรือเดินทะเลระหว่างกรุงเทพฯ-สิงคโปร์ คราวหนึ่งเรือถูกพายุอัปปางลง เขาต้องลอยอยู่ในทะเลหลายชั่วโมง จวนหมดกำลังจมน้ำอยู่แล้ว ก็นึกถึงหลวงพ่อบ้านแหลมขึ้นมาได้ จึงขอให้หลวงพ่อช่วย ขณะนั้นเรือที่เดินอยู่ในทะเลได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วยจึงหันหัวเรือตามหา แต่เดือนมืดมองไม่เห็น เรือแล่นวนเวียนอยู่สักครู่ก็จะหันหัวเรือกลับ แต่ก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียกให้ช่วยอยู่เรื่อย จึงค้นหาอีกจนพบนายชิตลอยคออยู่จวนจะจมน้ำ เมื่อเอาตัวขึ้นมาบนเรือนั้นนายชิตสลบไม่ได้สติ ต้องแก้ไขอยู่นาน พอฟื้นจึงพากันซักถามว่าตะโกนให้ช่วยหรือเปล่า นายชิตบอกว่าไม่ได้เรียกให้ช่วย เป็นแต่คำนึงถึงหลวงพ่ออยู่ในใจ ขอให้หลวงพ่อช่วย เท่านั้นเอง

    บนบานศาลกล่าว
    เรื่องการบนบานขอให้หลวงพ่อบ้านแหลมช่วยเหลือนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่เล่ากันมาว่า ท่านช่วยทุกเรื่องที่คนเข้ามาขอความเมตตา ยกเว้นเรื่องทหาร หากมาขอให้ไม่ถูกเกณฑ์ทหาร คนนั้นเป็นต้องถูกเกณฑ์อย่างแน่นอน เพราะกล่าวกันว่าท่านชอบทหารนั่นเอง และเมื่อสิ่งที่บนบานไว้ได้ดังประสงค์ มักจะนิยมแก้บนกันด้วยพวงมาลัยเป็นส่วนใหญ่ จะมีประทัดบ้างก็ประปราย

    ที่พึ่งของชาวประมง
    ทุกวันนี้ก่อนออกเรือหาปลา ชาวประมง สมุทรสงคราม จะกราบไหว้และขอพรหลวงพ่อบ้านแหลมให้คุ้มครองพวกตนพ้นจากภยันตราย และกลับมาโดยสวัสดิภาพ และได้ปฏิบัติเช่นนี้ต่อๆกันมาตราบจนทุกวันนี้

    [​IMG]
    เล่าขานตำนานไทย : พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ (ตอนที่ 4) หลวงพ่อ (ทอง)เขาตะเครา

    กว่า 200 ปี มาแล้วที่พระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัยองค์เล็กขนาดหน้าตักกว้างเพียง 21 นิ้ว ซึ่งลอยน้ำมาจากทางเหนือ (พร้อมพระพี่น้องอีก 4 องค์)ได้ขึ้นประดิษฐานอยู่ ณ วัดเขาตะเครา อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี เป็นพระพุทธรูปองค์เดียวในจำนวน 5 องค์พี่น้อง ที่มีแผ่นทองคำเปลวปิดหุ้มอยู่หนามากจนแลไม่เห็นความงามตามพุทธลักษณะเดิม

    ประวัติความเป็นมา
    ตามที่ได้กล่าวไว้แล้วในประวัติของหลวงพ่อบ้านแหลม(ธรรมลีลา ฉ.9 ส.ค.44) ว่า ชาวบ้านแหลมซึ่งอยู่ปากอ่าวจังหวัดเพชรบุรี ได้พากันมาจับปลาในทะเล ขณะที่ลากอวนอยู่นั้นได้ลากพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัยติดอวนขึ้นมาองค์หนึ่ง ในระหว่างทางกลับ ก็ได้พบพระพุทธรูปยืน(หลวงพ่อบ้านแหลม) ลอยปริ่มๆน้ำอยู่ไม่ไกลนัก จึงอาราธนาขึ้นบนเรืออีกลำหนึ่ง แต่เกิดอาเพทฝนตกหนัก ลมพายุพัดจัด เรือลำที่พระพุทธรูปยืนประดิษฐานอยู่นั้น ทนคลื่นลมไม่ไหว จึงเอียงวูบไป พระพุทธรูปที่อยู่บนเรือจึงเคลื่อนตกจมหายไปในแม่น้ำ ชาวบ้านแหลมพากันตกใจและเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ต่างช่วยกันดำน้ำค้นหาอยู่หลายวัน แต่ก็ไม่พบ จึงตกลงว่าไม่ค้นหากันต่อไปอีก จึงนำพระพุทธรูปองค์นั่งที่เหลืออยู่บนเรืออีกลำหนึ่งไปยังถิ่นของตน และนำพระพุทธรูปองค์นั้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดเขาตะเครา อ.บ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ตั้งแต่พ.ศ.2302 เป็นต้นมา และเรียกขานกันว่าหลวงพ่อเขาตะเครา

    ชื่อใหม่ของหลวงพ่อ
    หลวงพ่อเขาตะเครา ได้รับการเรียกขานนามใหม่คือ "หลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา" สาเหตุมาจากมีช่างภาพคนหนึ่งต้องการถ่ายภาพหลวงพ่อ แต่ความที่องค์หลวงพ่อมีทองปิดทับอยู่หนามากจนแลไม่เห็นพุทธลักษณะเดิม ช่างภาพคนนี้จึงไปแกะทองที่ตาหลวงพ่อออกโดยมิได้บอกล่าวและขออนุญาต หลังจากนั้นไม่กี่วันช่างภาพคนนี้ก็มีอาการหูตาบวมเป่ง จึงต้องมากราบขอขมาหลวงพ่อ อาการจึงหายไป

    จากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงไม่มีใครกล้าไปแตะต้องหลวงพ่อ จนกระทั่งทองปิดองค์ท่านทับถมกันมากขึ้นทุกวันๆ ชาวบ้านที่มานมัสการจึงเติมคำว่า"ทอง" ไปในการเรียกขาน จึงกลายมาเป็นหลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา

    พุทธลักษณะ
    หลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา เป็นพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัย สูง 29 นิ้ว หน้าตักกว้าง 21 นิ้ว แต่เนื่องจากทองที่ปิดองค์พระพุทธรูปนั้นหนามาก จนทำให้ไม่เห็นองค์เดิมว่าเป็นพระพุทธรูปหล่อหรือปูนปั้น แต่จากหลักฐานที่"สุนทรภู่" กวีเอกของไทย ได้เขียนไว้ในนิราศเมืองเพชร คราวที่ได้ไปแวะไหว้หลวงพ่อ(ทอง)วัดเขาตะเครา ก็พอจะสันนิษฐานได้ว่า หลวงพ่อฯเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยสัมฤทธิ์ ดังความว่า

    "ไปครู่หนึ่งถึงเขาตะคริวสวาท
    มีอาวาสวัดวามหาเถร
    มะพร้าวรอบขอบที่บริเวณ
    พอจวนเพลพักร้อนผ่อนสำราญ
    กับหนูพัดจัดธูปเทียนดอกไม้
    จะขึ้นไหว้พระสัมฤทธิ์อธิษฐาน
    เขานับถือลืออยู่แต่บูราณ
    ใครบนบานพระรับช่วยดับร้อน"

    ความศักดิ์สิทธิ์
    ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อนั้น เป็นที่โจษขานกันมาแต่โบราณ แม้กระทั่งตอนที่หลวงพ่อจะประทานทองที่องค์ท่านให้นั้น มีผู้เล่าว่า ได้เห็นไฟลุกท่วมองค์ท่านเป็นประกายรัศมีออกมา ทองที่หุ้มองค์ท่านค่อยๆไหลหลุดลอกออกบางส่วน ดูน่าอัศจรรย์ และเมื่อนำทองที่ไหลลอกมาไปชั่งน้ำหนัก ปรากฎว่าได้ถึง 9.9 กิโลกรัม! ทำให้ได้แลเห็นพระพักตร์ชัดเจนขึ้นมาบ้าง ซึ่งก่อนหน้านั้นมีทองปิดหนามากจนองค์ท่านกลมทีเดียว!

    นอกจากนั้นยังมีผู้เล่าว่า มีหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวบ้านแหลม ทำไร่ทำนาจนหมดเนื้อหมดตัว จึงคิดจะไปทำมาค้าขายทางใต้ ได้มาไหว้หลวงพ่ออธิษฐานขอให้ช่วยค้าขายร่ำรวยแล้วจะกลับมาบวชชีแก้บน 15 วัน ปรากฏว่าหญิงคนนั้นค้าขายจนร่ำรวย แต่มิได้กลับมาแก้บนตามที่อธิษฐานไว้ ทำให้มีอาการป่วยหนัก จนกระทั่งผลสุดท้ายต้องกลับมาบวชชีที่วัดเขาตะเครา จึงหายป่วย

    อีกเรื่องหนึ่งคือมีเรือประมงลำหนึ่งถูกมรสุมอัปปางลง ลูกเรือ 11 คนเสียชีวิต รอดมาเพียง 2 คน เพราะมีพระกริ่งและแหวนจำลองของหลวงพ่อฯ ทั้งสองคนนี้จึงบนตัวบวชให้หลวงพ่อตั้งแต่นั้นมา

    และมีอยู่ครั้งหนึ่งขบวนทอดผ้าป่ามาทำบุญที่วัดเขาตะเครา ตอนกลับจากวัดเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำกลางทาง คนโดยสารทั้ง70กว่าคนเพียงแค่ฟกช้ำดำเขียวเท่านั้น และมีอยู่คนหนึ่งที่เช่าพระพุทธรูปจำลองหลวงพ่อฯแล้วอุ้มองค์ท่านอยู่ คนนี้ไม่ได้รับอันตรายใดๆแม้แต่นิดเดียว!

    บนบานศาลกล่าว
    การบนบานศาลกล่าวเพื่อขอพรหลวงพ่อให้ช่วยดลบันดาลในเรื่องราวต่างๆนั้นมักจะสมปรารถนาเสมอ สุนทรภู่เองก็ทราบกิตติศัพท์นี้จึงได้อธิษฐานขอพรจากหลวงพ่อ ดังนี้

    "ได้สรงน้ำชำระพระสัมฤทธิ์
    ถวายธูปเทียนอุทิศพิษฐาน
    ขอเดชะพระสัมฤทธิ์พิสดาร
    ท่านเชี่ยวชาญเชิญช่วยด้วยสักครั้ง"

    สิ่งที่ห้ามบนก็คือ ขอให้ไม่ถูกเกณฑ์ทหาร เช่นเดียวกับหลวงพ่อโสธรและหลวงพ่อบ้านแหลมนั่นเอง เพราะถ้าบนอย่างนี้ จะต้องเป็นทหารทุกราย!
    ส่วนการแก้บนนั้น สิ่งของที่นิยมนำมาแก้บนที่ทำกันต่อๆมานั้น ถ้าดูในสมัยก่อนจากคำอธิษฐานดังกล่าวของสุนทรภู่ ว่าถ้าสมหวังในเรื่องที่ขอไว้ สุนทรภู่จะถวายละคร พร้อมทั้งเทียนเงินทองและของเสวยตามที่มีผู้กระทำกันมา

    "แม้นได้ของสองสิ่งเห็นจริงจัง
    จะแต่งตั้งบายศรีมีละคร
    ทั้งเทียนเงินเทียนทองของเสวย
    เหมือนเขาเคยบูชาหน้าสิงขร"

    จากคำบอกเล่าของผู้คนที่วัดเขาตะเคราบอกว่า การแก้บนก็แล้วแต่สิ่งของที่บนไว้ ซึ่งก็มีทั้งละคร ข่าวปลาอาหาร ประทัด เป็นต้น แต่หากต้องการให้ได้ผลสมปรารถนาเร็ว ต้องบนตัวบวช ไม่ว่าจะเป็นบวชพระ บวชเณร บวชชี บวชชีพราหมณ์ บวชเนกขัมมะ ผู้ที่บนตัวบวชนี้จะได้ผลสมหวังทุกราย

    ทุกวันนี้หลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครายังคงเป็นที่พึ่งทางใจให้กับชาวเมืองเพชรและผู้คนมากมายที่เดินทางมากราบไหว้หรือแม้แต่ระลึกถึงท่านอยู่เสมอๆ


    [​IMG]
    เล่าขานตำนานไทย : พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ (ตอนที่ 5) หลวงพ่อโต

    หนึ่งในพระห้าพี่น้อง ที่พร้อมใจกันลอยน้ำมาจากทางเหนือนั้น มีอยู่องค์เดียวที่มิได้มีพระนามตามชื่อวัด หรือตามชื่อของหมู่บ้านที่ชาวบ้านเป็นผู้พบเห็นครั้งแรก แต่พระนามของท่านนั้น ชาวบ้านขนานนามตามพุทธลักษณะของท่านที่มีองค์ใหญ่โตว่า "หลวงพ่อโต" ประดิษฐานอยู่ ณ วัดบางพลีใหญ่ใน อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

    ประวัติความเป็นมา
    หลวงพ่อโตได้ล่องลอยเรื่อยมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วลอยเข้ามาในลำคลองสำโรง ผู้พบเห็นต่างโจษจันกันไปทั่วถึงปาฏิหาริย์ในครั้งนี้ จึงพากันอาราธนาหลวงพ่อขึ้นที่ปากคลองสำโรง แต่ฉุดดึงเท่าไรก็ไม่สำเร็จ ท่านไม่ยอมขึ้น มีผู้มีปัญญาดีคนหนึ่ง ได้ให้ความเห็นว่า คงเป็นเพราะบุญญาอภินิหารของท่าน แม้จะใช้จำนวนผู้คนสักเท่าไรอาราธนาฉุดท่านขึ้นบนฝั่งคงไม่สำเร็จเป็นแน่ ควรจะเสี่ยงทายต่อแพผูกชะลอกับองค์ท่าน แล้วใช้เรือพายฉุดท่านให้ลอยมาตามลำน้ำสำโรง และอธิษฐานว่า "หากท่านประสงค์จะขึ้นโปรดที่ใด ก็ขอแสดงอภินิหารให้แพที่ลอยมาจงหยุด ณ ที่นั้นเถิด" เมื่อประชาชนทั้งหลายได้เห็นพ้องต้องกันดังนั้นแล้วก็พร้อมใจกันทำแพผูกชะลอกับองค์ท่าน แล้วใช้เรือพายช่วยกันจ้ำพายจูงแพลอยเรื่อยมาตามลำคลอง

    ครั้นแพลอยมาถึงบริเวณหน้าวัดพลับพลาชัยชนะสงคราม หรือ ปัจจุบันนี้คือ วัดบางพลีใหญ่ใน แพที่ผูกชะลอองค์ท่านก็เกิดหยุดนิ่ง ฝีพายพยายามจ้ำและพายกันอย่างเต็มที่เต็มกำลัง แพนั้นก็หาได้ขยับเขยื้อนไม่ ชาวบางพลีถึงกับขนลุกซู่เห็นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก ต่างก้มลงกราบนมัสการด้วยความเคารพสักการะ แล้วพร้อมใจกันอาราธนาตั้งจิตอธิษฐานว่า "ถ้าหลวงพ่อจะโปรดคุ้มครองชาวบางพลีให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขแล้ว ก็ขออาราธนาอัญเชิญองค์ท่านให้ขึ้นจากน้ำได้โดยง่ายเถิด" และก็เป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก เพียงใช้คนไม่มากนัก ก็สามารถอาราธนาท่านขึ้นจากน้ำได้โดยง่าย ทำให้ประชาชนต่างแซ่ซ้องในอภินิหารของท่าน และได้อาราธนาท่านขึ้นไปประดิษฐานในพระวิหาร ซึ่งต้องชะลอท่านขึ้นข้ามฝาผนังวิหาร เพราะขณะนั้นหลังคาพระวิหารยังไม่มี และประตูวิหารก็เล็กมาก ต่อจากนั้นท่านจึงได้ประดิษฐานอยู่ในวิหารนั้นเรื่อยมา ครั้นต่อมาได้รื้อวิหารนั้นเพื่อสร้างเป็นพระอุโบสถที่ถาวร จึงต้องชะลออาราธนาองค์ท่านมาพักไว้ยังศาลาชั่วคราว จนกระทั่งได้สร้างพระอุโบสถสำเร็จแล้ว จึงได้อาราธนาท่านไปประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ เพื่อเป็นประธานของวัดบางพลีใหญ่ใน

    พุทธลักษณะ
    หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย(สะดุ้งมาร) หน้าตักกว้าง 3 ศอก 1คืบ ลืมพระเนตร เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย เนื้อเป็นทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์
    ความที่องค์ของท่านใหญ่โตมาก เพราะหน้าตักกว้างถึง 3 ศอก 1 คืบ ชาวบ้านจึงขนานนามท่านว่า"หลวงพ่อโต"
    หลวงพ่อโตแปลงร่าง?

    เมื่อครั้งที่ท่านยังประดิษฐานอยู่ในพระวิหารเก่าบางวันที่เป็นวันพระขึ้น 15 ค่ำ กลางคืนผู้คนจะได้ยินเสียงพึมพำอยู่ในวิหารคล้ายเสียงสวดมนต์ ครั้นเมื่อเข้าไปดูก็ไม่เห็นมีใครอยู่ในนั้นเลยนอกจากหลวงพ่อโต บางคราวพระภิกษุสามเณรในวัดจะเห็นพระภิกษุชราห่มจีวรสีคร่ำคร่า ถือไม้เท้าเดินออกมายืนสงบนิ่งอยู่หน้าวิหาร ผู้ที่พบเห็นต่างก็เรียกกันมาดู เมื่อทุกคนเห็นพร้อมกันดีแล้ว ภิกษุชรารูปนั้นก็เดินหายเข้าไปในวิหารตรงองค์ของหลวงพ่อ เป็นดังนี้หลายครั้งหลายหน บางครั้งจะมีผู้เห็นเป็นชายชรารูปร่างสง่างาม มีรัศมีเปล่งปลั่ง นุ่งขาวห่มขาวเข้ามาหาหลวงพ่อแล้วก็หายไปตรงพระพักตร์ของท่าน

    แสดงปาฏิหาริย์!!
    เมื่อสร้างพระอุโบสถเสร็จใหม่ๆ ก่อนจะอาราธนาหลวงพ่อเข้าไปประดิษฐานภายในพระอุโบสถ ได้วัดองค์ท่านกับช่องประตูพระอุโบสถ ช่องประตูใหญ่กว่าองค์ท่านประมาณ 5 นิ้ว ซึ่งสามารถนำท่านชะลอผ่านประตูเข้าไปได้สบายมาก ครั้นเวลาอาราธนาหลวงพ่อเข้าสู่พระอุโบสถจริงๆ กลับปรากฏว่า องค์หลวงพ่อใหญ่กว่าช่องประตูมาก จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถนำท่านผ่านประตูเข้าไปได้ คณะกรรมการและประชาชนทั้งหลายเห็นเช่นนั้นก็พากันตกใจ ให้ความเห็นว่าต้องทุบช่องประตูออกเสียให้กว้าง เมื่อนำหลวงพ่อเข้าไปแล้วค่อยทำประตูกันใหม่ แต่บางท่านให้ความเห็นว่าหลวงพ่อโตคงจะแสดงอภินิหารให้ทุกคนได้เห็นเป็นอัศจรรย์ก็ได้ ดังนั้นจึงพร้อมใจกันจุดธูปเทียนบูชาอธิษฐานขอให้หลวงพ่อผ่านเข้าประตูพระอุโบสถได้ เพื่อเป็นมิ่งขวัญคุ้มครองชาวบางพลีสืบต่อไป เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้ว ก็อาราธนาหลวงพ่อเข้าสู่ประตูพระอุโบสถใหม่ คราวนี้ทุกคนก็ต้องแปลกใจที่องค์หลวงพ่อผ่านเข้าประตูพระอุโบสถได้อย่างง่ายดาย โดยมีช่องว่างระหว่างองค์หลวงพ่อกับประตูพระอุโบสถเสียอีก นับว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์ในอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อโตยิ่งนัก

    เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2520 หลวงพ่อได้กระทำให้เกิดปาฏิหาริย์ที่องค์ท่านซึ่งเป็นทองสัมฤทธิ์ เกิดนุ่มนิ่มไปหมดทั้งองค์ดังเนื้อมนุษย์ และในปี 2522 ก็เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้อีกครั้งหนึ่ง

    บนบานศาลกล่าว
    ผู้คนที่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจต่างๆนานา มักจะมากราบไหว้บนบานศาลกล่าวอธิษฐานขอให้หลวงพ่อโตช่วยให้สมปรารถนา เมื่อสำเร็จผลแล้ว มักจะนำใบลานที่สานเป็นปลาตะเพียนเงินปลาตะเพียนทองมาถวายเป็นการแก้บน สาเหตุที่ใช้ปลาตะเพียนนั้น เพราะเชื่อกันว่าเป็นปลาคู่บารมีของหลวงพ่อ มีเรื่องเล่าว่า ในอดีตที่ข้างวิหารมีสระน้ำย่อมๆอยู่สระหนึ่ง บางคราวจะมีปลาเงินปลาทอง หรือปลาตะเพียนเงิน ปลาตะเพียนทองขนาดใหญ่ 2 ตัว ปรากฏให้เห็นลอยเล่นน้ำอยู่คู่กันในสระ ซึ่งในสระนั้นไม่เคยมีปลาตะเพียนเงินตะเพียนทองมาก่อนเลย!!

    ส่วนเรื่องที่ห้ามบนบานเด็ดขาดก็คือ การขอให้ไม่ถูกเกณฑ์ทหาร เช่นเดียวกับหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อ(ทอง)วัดเขาตะเครา เพราะผู้ที่บนในเรื่องดังกล่าว จะต้องถูกเกณฑ์ทหารทุกราย

    งานนมัสการหลวงพ่อโต
    ทางวัดได้จัดให้มีงานสมโภชปีละ 3 ครั้ง คือ
    - งานปิดทองฝ่าพระพุทธบาทและนมัสการหลวงพ่อโต ระหว่างวันขึ้น 15 ค่ำ ถึง วันแรม 2 ค่ำ เดือน 3
    - งานนมัสการและปิดทองหลวงพ่อโต ระหว่างวันขึ้น 15 ค่ำ ถึง วันแรม 2 ค่ำ เดือน 4
    - งานประเพณีรับบัวและนมัสการหลวงพ่อโต ระหว่างวันขึ้น 11 ค่ำ ถึง วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 มีการจัดขบวนเรือแห่แหนหลวงพ่อโต(จำลอง)ไปตามลำคลองสำโรง เพื่อรับดอกบัวที่ผู้คนถวายเป็นพุทธบูชา

    นอกจากนี้ในวันวิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปีจะมีงานทำบุญฉลองที่หลวงพ่อโตแสดงปาฏิหาริย์ให้องค์หลวงพ่อนิ่มเหมือนเนื้อของมนุษย์
    หลวงพ่อโตเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไปและชาวบางพลี รวมทั้งเป็นมิ่งขวัญของวัดบางพลีใหญ่ใน มาจนตราบเท่าทุกวันนี้

    [​IMG]
    เล่าขานตำนานไทย : พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ (ตอนที่ 6) หลวงพ่อวัดไร่ขิง

    เรื่องราวของพระพุทธรูป 5 พี่น้อง ที่เล่าสืบกันมาว่าทุกองค์พร้อมใจลอยน้ำมาจากทางเหนือ เพื่อจะช่วยปลดเปลื้องทุกข์ให้คนเมืองใต้ ซึ่งคอลัมน์'เล่าขานตำนานไทย' ได้เสนอมาเป็นลำดับนั้น บัดนี้เรื่องราวได้ดำเนินมาจนถึง พระพุทธรูปองค์สุดท้ายที่ลอยมาตามแม่น้ำนครชัยศรี และขึ้นประดิษฐานที่วัดไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม ชาวบ้านขนานนามท่านว่า 'หลวงพ่อวัดไร่ขิง'

    ประวัติความเป็นมา
    ความเป็นมาของหลวงพ่อวัดไร่ขิงนั้น มีตำนานเรื่องหนึ่งที่เล่าสืบกันมา พอเป็นเค้า แต่ยังไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดนักว่า
    ในสมัยที่สมเด็จพระพุฒาจารย์(พุก) ดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมราชานุวัตร ในปี 2394 นั้น ท่านได้รับโปรดเกล้าฯให้ขึ้นไปครองวัดศาลาปูนวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นเจ้าคณะใหญ่กรุงเก่า วันหนึ่งท่านได้ลงไปที่วัดไร่ขิง เมื่อท่านเข้าไปในพระอุโบสถกราบพระประธานแล้ว ท่านก็ได้สนทนากับเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงว่า โบสถ์ใหญ่โต แต่พระประธานเล็กไปหน่อย เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงกราบเรียนท่านว่า วัดไร่ขิงเป็นวัดจนๆ ไม่สามารถสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆได้ เมื่อทราบดังนั้นท่านจึงบอกว่าที่วัดของท่านมีอยู่องค์หนึ่งให้เจ้าอาวาสไปอัญเชิญมาได้

    เมื่อสมเด็จฯกลับไปแล้วไม่นาน เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงพร้อมทั้งกรรมการวัดได้เดินทางไปยังวัดศาลาปูน และอัญเชิญพระพุทธรูปดังกล่าวลงแพที่ใช้ไม้ไผ่มัดล่องลงมาตามลำน้ำเจ้าพระยา เข้าแม่น้ำนครชัยศรี จนกระทั่งถึงวัดไร่ขิง ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันทำพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นมาประดิษฐานเป็นพระประธานในอุโบสถแทนองค์เดิมตั้งแต่นั้นมา และขนานนามพระพุทธรูปองค์ใหม่นี้ตามนามของวัดว่า'หลวงพ่อวัดไร่ขิง'

    พุทธลักษณะ
    หลวงพ่อวัดไร่ขิงเป็นพระพุทธรูปเนื้อทองสัมฤทธิ์ประทับนั่งปางมารวิชัยแบบประยุกต์ พระรูปมีลักษณะผึ่งผายคล้ายเชียงแสน พระหัตถ์เรียวงามตามแบบสุโขทัย แต่เฉพาะพระพักตร์ดูคล้ายรัตนโกสินทร์ ประดิษฐานเหนือฐานชุกชี มีขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก 2 นิ้ว สูง 4 ศอก 16 นิ้วเศษ

    เหตุอัศจรรย์
    ในวันที่ชาวบ้านทำพิธีอัญเชิญหลวงพ่อขึ้นจากแพไม้ไผ่ ตรงกับวันพระขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ซึ่งเป็นวันสงกรานต์พอดี จึงมีชาวบ้านมาร่วมเป็นจำนวนมาก ขณะที่กำลังอัญเชิญหลวงพ่อขึ้นจากแพสู่ปะรำพิธีนั้น ได้เกิดเหตุการณ์เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก เพราะแสงแดดที่แผดจ้าพลันหายไป บังเกิดเป็นเมฆดำทะมึน ลมปั่นป่วน ฟ้าคะนองกึกก้อง ฝนโปรยปรายลงมา ยังความฉ่ำเย็นกันทั่วหน้า ทุกคนในที่นั้นเกิดความปีติโสมนัส ยิ่งนัก พากันอธิษฐานเป็นเสียเดียวกันว่า"หลวงพ่อจักทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ดับความร้อนคลายความทุกข์ให้หมดไป ดุจสายฝนที่เมทนีดลให้ชุ่มฉ่ำ เจริญงอกงามด้วยธัญญาหาร ฉะนั้น"

    และนับตั้งแต่ที่หลวงพ่อมาประดิษฐานที่วัดไร่ขิง ก็มีประชาชนพากันมาเคารพสักการะมิได้ขาด โดยเฉพาะวันหยุดและวันนักขัตฤกษ์ อุโบสถของหลวงพ่อจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจากทุกสารทิศ ที่ได้ยินได้ฟังและได้ประสบในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ

    ความศักดิ์สิทธิ์
    เรื่องราวเกี่ยวกับอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อวัดไร่ขิง มีผู้คนเล่าไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางด้านแคล้วคลาด ทางด้านเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ เช่น เรื่องของหญิงวัยกลางคนซึ่งถูกฟ้าผ่ากลางท้องนา แต่ไม่ตาย ทั้งๆที่หมอที่รับรักษาบอกว่าถ้าโดนอย่างนี้ไม่เคยมีรอดสักรายเดียว ทั้งนี้เพราะห้อยเหรียญรูปหลวงพ่อนั่นเอง หรือเรื่องของสุภาพสตรีท่านหนึ่งอยู่ที่อเมริกา มีอาการชาที่ริมฝีปาก รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย ญาติพี่น้องทางเมืองไทย ซึ่งนับถือหลวงพ่อวัดไร่ขิง จึงได้ส่งพระรูปจำลององค์เล็กๆไปให้ บอกว่าให้อธิษฐานจิตขอให้หลวงพ่อ ช่วย สุภาพสตรีท่านนี้ก็ทำตาม คืนหนึ่งเธอฝันเห็นหลวงพ่อ คิดว่าท่านได้มาช่วยแล้ว ในที่สุดก็หายจากโรคดังกล่าว และได้ส่งเงินมาถวายร่วมสร้างโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์(วัดไร่ขิง)เป็นจำนวนมาก และยังมีเรื่องของชายคนหนึ่งที่รอดชีวิตจากโจรปล้นรถ เพราะขณะที่กำลังอยู่ในนาทีวิกฤตนั้นเขานึกถึงหลวงพ่อวัดไร่ขิง อธิษฐานว่าหากรอดตายจะบวชถวายหลวงพ่อหนึ่งพรรษา แล้วเขาก็รอดตายจริงๆ สุดท้ายก็มาบวชถวายที่วัดไร่ขิง ตามที่ได้บนบานไว้

    ส่วนเรื่องน้ำมนต์ของหลวงพ่อฯ เป็นที่น่าเชื่อถือมานานแล้วว่ารักษาโรคภัยไข้เจ็บปวดหัวตัวร้อนได้ชงัดนัก แม้แต่วัวควายเป็นไข้ก็รักษาให้หายได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ที่มากราบหลวงพ่อ นิยมนำน้ำมนต์กลับบ้านทุกราย เดิมที่วัดจัดเป็นถุงพลาสติกใบเล็กๆให้ใส่ แต่เมื่อมีผู้คนต้องการมากขึ้น และการใส่ถุงพลาสติกก็อาจแตกกลางทางได้ ้ทางวัดจึงบรรจุน้ำมนต์ใส่ในขวดพลาสติก เพื่ออำนวยสะดวกแก่ผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งจะหลั่งไหลมากราบไหว้หลวงพ่อเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน

    บนบานศาลกล่าว
    ทุกวันจะมีประชาชนจากทั่วสารทิศมากราบไหว้หลวงพ่อ บนบานขอพรให้ท่านช่วย โดยเฉพาะในวันเสาร์ อาทิตย์ ซึ่งผู้คนมากันอย่างล้นหลาม เสียงประทัดจะดังกึกก้องไปทั่วบริเวณพระอุโบสถ อย่างต่อเนื่องยาวนานในแต่ละวัน ซึ่งบอกให้รู้ว่า คนที่ได้รับพรจากหลวงพ่อแล้วสมปรารถนานั้น พากันมาแก้บนนั่นเอง และนอกจากประทัดแล้ว สิ่งที่ผู้คนบอกต่อๆมาว่าเป็นของโปรดของหลวงพ่ออีกอย่างหนึ่งก็คือ ว่าว และเมื่อแก้บนขอพรเสร็จแล้ว ก่อนกลับทุกรายจะไปรับน้ำมนต์ ซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่ง

    แต่เรื่องที่ห้ามบนบานศาลกล่าวก็คือเรื่องขอให้ไม่ถูกเกณฑ์ทหาร เหมือนกับพระพี่น้องที่ลอยน้ำมานั่นเอง

    งานนมัสการหลวงพ่อวัดไร่ขิง
    ทางวัดได้จัดให้มีงานนมัสการหลวงพ่อปีละ 3 ครั้ง คือ
    - ในเทศกาลวันออกพรรษา วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งทางวัดได้จัดงานตักบาตรเทโว และฟังเทศน์ จึงถือเป็นโอกาสให้มีการปิดทองนมัสการหลวงพ่อด้วย
    - ในเทศกาลตรุษจีน เพื่อให้ชาวจีนที่เคารพบูชาหลวงพ่อ ได้มีโอกาสกราบไหว้ปิดทองถวายเป็นพุทธบูชา
    - ในงานเทศกาลนมัสการปิดทองรูปหลวงพ่อ ประจำปี ซึ่งจัดขึ้นในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 5 จนถึง แรม 3 ค่ำ เดือน 5

    งานเทศกาลนมัสการหลวงพ่อวัดไร่ขิงทุกงาน จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนจากใกล้ไกลที่มีจิตศรัทธาอย่างแรงกล้าเพื่อมากราบไหว้องค์หลวงพ่ออย่างแท้จริง เพราะทุกคนเชื่อว่า หลวงพ่อไม่ได้เป็นแค่พระอิฐพระปูนธรรมดาๆเท่านั้น

    [​IMG]


    จบเรื่องราวของพระห้าพี่น้อง คือ หลวงพ่อโสธร จ.ฉะเชิงเทรา หลวงพ่อบ้านแหลม จ.สมุทรสงคราม หลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา จ.เพชรบุรี หลวงพ่อโต จ.สมุทรปราการ และหลวงพ่อวัดไร่ขิง จ.นครปฐม ในชุดพุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ แต่เพียงเท่านี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2011
  14. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    <center>[​IMG]</center>
    วัดเขาตะเครา

    ตั้งอยู่ตำบลบางครก อำเภอบ้านแหลม สามารถไปได้สองทาง ทางแรกก่อนจะเข้าตัวเมืองเล็กน้อย มีถนนแยกซ้ายมือเข้าสู่วัดเขาตะเครา ระยะทาง 15 กิโลเมตร อีกเส้นทางหนึ่งคือ เดินทางจากเมืองเพชรไปบ้านแหลม แล้วขับรถต่อไปอีก 6 กิโลเมตร ก็ถึงวัดเขาตะเครา

    ...วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย สูง 29 นิ้ว หน้าตักกว้าง 21 นิ้ว เรียกกันว่า หลวงพ่อเขาตะเครา

    มีชาวเมืองและนักท่องเที่ยวไปกราบไหว้ปิดทองเป็นอันมาก จนกระทั่งบัดนี้แลไม่เห็นพุทธลักษณะเดิม

    ...มีประวัติเล่าถึงหลวงพ่อองค์นี้ว่าเป็นพระพี่พระน้อง 3 องค์กับหลวงพ่อโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา หลวงพ่อบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม บางตำราว่าเป็นพี่น้องกันถึง 5 องค์คือ หลวงพ่อบางพลีใหญ่ และหลวงพ่อวัดไร่ขิงที่นครปฐมด้วย

    ที่มาของพระพุทธรูปนี้เมื่อปลายสมัยอยุธยา ตอนที่ชาวบ้านแหลมเมืองเพชรหนีพม่า ไปตั้งหลักแหล่งอยู่ที่ปากน้ำแม่กลอง จนกระทั่งกลายเป็นบรรพบุรุษของชาวสมุทรสงครามในทุกวันนี้นั้น วันหนึ่งชาวประมงบ้านแหลมไปตีอวนที่ปากอ่าว ได้พระพุทธรูปขึ้นมา 2 องค์ องค์หนึ่งเป็นพระยืนปางอุ้มบาตร อีกองค์หนึ่งเป็นพระปางมารวิชัย ชาวบ้านแหลมนำพระยืนไปประดิษฐานที่วัดบ้านแหลมเดี๋ยวนี้ คือ วัดเพชรสมุทรวิหาร กลางเมืองสมุทรสงคราม ส่วนอีกองค์มอบให้ญาติชาวบางตะบูนนำมาประดิษฐานที่ วัดเขาตะเครา อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี

    พระกริ่ง หลวงพ่อวัดเขาตะเครา จ.เพชรบุรี พิธีใหญ่ ปี ๒๕๑๖




    *ปิดรายการนี้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • rk1.jpg
      rk1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.3 KB
      เปิดดู:
      118
    • rk2.jpg
      rk2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65 KB
      เปิดดู:
      111
    • rk3.jpg
      rk3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50 KB
      เปิดดู:
      92
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2011
  15. THANAT BOON

    THANAT BOON Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    488
    ค่าพลัง:
    +48
    ทุกวันนี้ไม่เคยแม้แต่จะคิดครับ พยายามทำใจให้เป็นพระมากที่สุดครับน้อง
     
  16. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    [​IMG]
    โมทนาสาธุ
     
  17. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    คนไทยติดอันดับ สุดยอดคนใจบุญ นิตยสารฟอร์บส์

    [​IMG]

    คนไทยติดอันดับสุดยอดคนใจบุญของนิตยสารฟอร์บส์ (สำนักข่าวไทย)

    นิตยสารฟอร์บส์ จัดอันดับสุดยอดบุคคลใจบุญในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งมีมหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวไทยรวมอยู่ด้วย

    นิตยสารฟอร์บส์ ฉบับเอเชีย จัดอันดับ 48 สุดยอดคนใจบุญจาก 12 ประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เป็นครั้งที่ 3 โดยมีผู้ได้รับเลือกประเทศละ 4 คน ซึ่งครั้งนี้มีผู้ได้รับเลือกจากไทย คือ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ นายวิลเลียม ไฮเน็คกี้ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทไมเนอร์ นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการ บริษัท อมตะ โฮลดิ้ง จำกัด และนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด

    ส่วนสุดยอดคนใจบุญจากประเทศอื่น ๆ อาทิ นางเฉิน ซู-ชู แม่ค้าขายผักในไต้หวัน วัย 59 ปี ที่บริจาคเงินจำนวนมากเพื่อการกุศล นางเอลิซาเบธ เมอร์ด็อก มารดาวัย 101 ปี ของนายรูเพิร์ต เมอร์ด็อก เจ้าพ่อสื่อบริษัทนิวส์กรุ๊ป นายแอนดรูว์ ฟอร์เรสต์ บุคคลร่ำรวยที่สุดในออสเตรเลีย ผู้ก่อตั้งบริษัท ฟอร์เทสคิว เมทัล นอกจากนี้ พระเอกนักบู๊ เฉินหลง ก็ถูกจัดให้เป็นสุดยอดคนใจบุญ เช่นเดียวกับ เหยา หมิง นักบาสเกตบอลชื่อดังชาวจีน

    นายจอห์น คอปพิสช์ บรรณาธิการนิตยสารฟอร์บส์ ฉบับเอเชีย กล่าวว่า แม้กลุ่มผู้ได้รับเลือกเหล่านี้ไม่ใช่ผู้บริจาคเงินรายใหญ่ที่สุด แต่ฟอร์บส์ต้องการเน้นให้เห็นถึงผู้ใจบุญจากกลุ่มต่าง ๆ การจัดอันดับครั้งนี้ แม้มีผู้เคยถูกจัดอันดับครั้งก่อนรวมอยู่ด้วย แต่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนหน้าใหม่ผู้สมควรได้รับการยอมรับ ฟอร์บส์หวังว่าจะช่วยกระตุ้นผู้คนให้และเผื่อแผ่มากขึ้น


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
     
  18. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    10 สุดยอดเทคโนโลยี อุปกรณ์ขำๆ
    10.USB BBQ (เครื่องย่าง BBQ แบบ USB)
    [​IMG]
    เดี๋ยวนี้เอะอะอะไรก็ใช้ USB...และนี่ก็คือเครื่องย่างบาร์บีคิวที่ใช้พลังงานสาย USB เช่นกัน โดยใช้สายยูเอสบีจำนวนนับไม่ถ้วน เสียบผ่านการ์ด PCI USB ทั้ง 6 ช่องในเครื่องคอมพิวเตอร์...โห! กว่าเนื้อจะสุกจะต้องใช้เวลานานมั้ยเนี่ย


    9.Tie With Built-in Wallet/Organizer (เนคไทกระเป๋าตังค์&ออแกไนเซอร์)
    [​IMG]
    นี่เป็นเนคไทที่แปลกที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้! ภายใต้เนคไทเส้นนี้มันเต็มไปด้วยช่องสำหรับใส่ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น นามบัตร บัตรเครดิต กรรไกร พาสปอร์ต ฯลฯ แถมยังมีออแกไนเซอร์ให้อีกด้วย...แล้วมันจะหนักคอรึเปล่าน้อ


    8.USB-Powered Butt Cooler (เครื่องเย็นก้น)
    [​IMG]
    นี่เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์สุดแปลกของญี่ปุ่น เจ้าเครื่องทำความเย็นแบบ USB นี้ ใช้สำหรับให้ความเย็นกับก้นของคุณที่ต้องนั่งติดอยู่กับ เก้าอี้ตลอดเวลา วิธีการทำงานของมันก็แค่เป่าอากาศเย็นไปที่ก้นด้วยพัดลมขนาดเล็กที่ฝังติดกับเครื่อง โดยใช้พลังงานจากคอมพิวเตอร์ ผ่านทางสาย USB


    7.360-Degree Camera (สุดยอดกล้อง 360 องศา)
    [​IMG]
    สำหรับคนที่ต้องการถ่ายรูปแบบพาโนราม่าอย่างแท้จริงล่ะก็..เจ้ากล้อง 360 องศาตัวนี้ช่วยได้แน่นอน เพียงแค่สวมมันบนศีรษะแล้วก็ ใส่กล้องแบบใช้แล้วทิ้งลงไปให้รอบก็ใช้ได้แล้ว...ว่าแต่มันจะลำบากไปมั้ยเนี้ย!


    6.Nap Alarm (เครื่องกันงีบ)
    [​IMG]
    มาแล้วกับอุปกรณ์ที่(น่าจะ)ถูกใจบรรดาคนชอบง่วงทั้งหลายไม่ว่าจะในชั้นเรียน,ขับรถ หรือที่ทำงาน นั่นคือ Nap Alarm หรือ เครื่องเตือนอาการ (แอบ)งีบ นั่นเอง โดยเจ้าอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ นี้จะเตือนคุณโดยคำนวณจากค่าความเร็วการเคลื่อนไหวของศีรษะ...ขอซักอันตอนนี้ได้มั้ย


    5.Bra That Doubles As Shopping Bag (บรา 2 in 1)
    [​IMG]
    ชุดชั้นใน Triumph ประเทศญี่ปุ่นได้สร้างสรรค์บราแบบ 2 in ที่เป็นได้ทั้งชุดชั้นในและถุงช้อปปิ้ง ภายใต้ชื่อว่า “Kawaii Bag” วิธีแปลงกาย ของมันก็คือ เมื่อเราสวมเป็นบรา ส่วนที่ทำหน้าที่เป็นถุงจะถูกพับอยู่ในคัพ และเมื่อนำส่วนนั้นออกมาจากคัพและเกี่ยวเข้ากับตะขอ มันก็จะ กลายร่างเป็นถุงช้อปปิ้งทันที...ไอเดียเก๋จริงๆ คิดได้ไงเนี้ย


    4.Toilet Paper Dispenser with iPod Dock
    [​IMG]
    แม้อยู่ในห้องน้ำ คุณก็ไม่ควรปล่อยโอกาสในการฟังเพลงให้หลุดลอยไป...iLounge คือสิ่งประดิษฐ์ที่ตอบสนองคนบ้าเพลง(แม้แต่ตอน ปล่อยทุกข์)ได้เป็นอย่างดี เจ้าอุปกรณ์ตัวนี้สามารถรองรับไอพอดได้ทุกรุ่นที่มีคอนเนคเตอร์หรือ USB ส่วนลำโพงจะติดอยู่ที่แกน สำหรับใส่ทิชชูทั้งสองด้าน


    3.Head Bath Cap (หมวกชำระศีรษะ)
    [​IMG]
    หากคุณต้องการให้ศีรษะหรือเส้นผมได้รับการชำระล้างอย่างถูกต้องล่ะก็..เจ้าหมวก Head Bath” หรือหมวกชำระศีรษะ ชิ้นนี้ช่วยได้แน่นอน วิธีใช้ง่ายๆ เพียงแค่สวมไว้บนศีรษะและปล่อยให้น้ำจากฝักบัวไหลลงไป นอกจากนั้นเค้ายังบอกว่ามันช่วยให้เส้นผมงอกเร็วขึ้นและหนาขึ้น ด้วยนะ


    2.Driv-e-mocion (อุปกรณ์ดิสเพลย์ข้อความติดรถ)
    [​IMG]
    ในที่สุดเจ้า Driv-e-mocion ที่ใครหลายคน(โดยเฉพาะคนมีรถ) รอคอยก็มาถึง มันคือ อุปกรณ์สุดเก๋ไก๋ที่ใช้ติดกระจกหลังรถซึ่งเราสามารถตั้ง โปรแกรมให้มันแสดงข้อความได้หลากหลาย รวมทั้งรูปหน้ายิ้มหรือบึ้ง เพียงแค่นี้คุณก็สามารถสื่อถึงอารมณ์ของคุณกับรถคันหลังได้แล้ว.. ส่วนราคาของมันก็ไม่ถูกไม่แพง $20 จ้า


    1.DVD Rewinder (เครื่องกรอ DVD)
    [​IMG]
    DVD Rewinder ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามันคือเครื่องกรอดีวีดี ซึ่งจุดเด่นของมันก็คือระหว่างที่เรารีไวด์ก็จะมีเสียงออกมาให้เพลิดเพลินอีกด้วย แถมเรายังสามารถอัดเสียงกรอได้ตามใจชอบอีกต่างหาก ส่วนราคาเจ้าเครื่อง DVD Rewinder ก็ตกอยู่ที่ $16.49 เท่านั้นเอง!


    ขอบคุณที่มาโดย กะปุกดอทคอม
     
  19. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    เหรียญพระนาคปรกเทพนิมิตร เนื้อสัมฤทธิ์ อ.ชุม ไชยคีรี

    เหรียญพระนาคปรกเทพนิมิตร เนื้อสัมฤทธิ์ ของ อ.ชุม ไชยคีรี สร้างเพื่อจัดหาทุนบูรณะเจดีย์พระบรมธาตุ และบริเวณโดยรอบ วัดไชยมงคล จังหวัดสงขลา เมื่อปี พ.ศ.2499 เป็นเหรียญเล็กแบบปรกใบมะขาม พิมพ์หน้าเล็ก พระเทพนิมิตรเนื้อสัมฤทธิ์ เนื้อเงิน เนื้อทองคำ สร้างขึ้นตามตำราเมืองพัทลุงและตำราอาจารย์คง อาจารย์ขุนแผน เข้าประทับทรง กรุณาบอกให้ไว้ครั้งสร้างพระผงเทพนิมิตร เมื่อปี พ.ศ.2496


    ครั้งนี้นำเอายันต์ของท่านลงในแผ่นโลหะ แผ่นเงิน แผ่นทองคำ (ยันต์ 108 ดวงๆละ 108 ครั้ง) สร้างพระแบบนาคปรกตามแบบพระผงเทพนิมิตรเดิม ณ วิหารพระพุทธนาคน้อย วัดประยุรวงศาวาส ธนบุรี เป็นเวลา 48 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2498 ถึงวันที่ 14 มกราคม 2499

    นั่งบริกรรมด้วยนักพุทธนุสสติภาวนาคืนละ 8 คน นั่งปรกด้วยอาจารย์ผู้เฒ่า และสวดพุทธาภิเศกทุกคืน แบ่งการบริกรรมออกเป็น 4 ระยะๆ 7 วัน ทางคงกระพัน กันปืน 7 วัน เมตตามหานิยม 7 วัน และทางโชคลาภ 7 วัน ทางแคล้วคลาด 7 วัน ทุกๆ 7 วัน

    มีการทดลองต่อหน้าท่านผู้รู้ทั้งหลาย ครั้งละมากๆคน จากการพิสูจน์ เป็นที่รับรองว่าถ้าใครเชื่อและเข้าถึงแล้ว เป็นที่พึ่งที่ระลึก กำจัดภัยได้จริงให้แก่ผู้นั้น ตามความปรารถนา

    หายใจเข้านึกว่า "พุท" หายใจออกนึกว่า "โธ" มีคุณวิเศษสูงสุดได้ทั้งคงกระพัน กันปืน เมตตามหานิยม โชคลาภ และแคล้วคลาดจากภัยอันตราย วิเศษตามตำราทุกประการ

    ยิ่งไปกว่านั้นเด็กที่เกิดมาแล้วพ่อแม่ เลี้ยงยาก เมื่อนำพระไปแขวนคอให้ กลายเป็นเด็กเลี้ยงง่าย เจริญรุ่งเรือง กันอุบัติเหตุพลัดตกจากที่สูงไม่เป็นอันตราย ตกน้ำไม่จมเด็กลอยน้ำได้ ฯลฯ

    [​IMG]

    รายการนี้โชว์ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2011
  20. chattrg

    chattrg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4,337
    ค่าพลัง:
    +13,239
    มี
    หลวงปู่เอื้อม แบบ เบาๆ ไหมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...