เรียนโหราศาสตร์และปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ฟรี

จะกลับไปเรียนสัตตาภิธรรมใหม่แล้วเรียนสมัครเรียนกรรมจักรต่อด้วยทีเดียวเลยได้ไหมครับ????

 

จะหาข้อมูลให้นะครับ แล้วจะแจ้งให้ทราบครับ

 

[ame="http://www.youtube.com/watch?v=1gkHUgEg_gU&feature=player_embedded"]YouTube - ‪พยากรณ์ศาสตร์แนวพุทธ‬‏[/ame]

 

ขอเชิญบูชา “ชุดตำราสุวรรณโคมคำต้นตำรับ ภาคพยากรณ์”


ข่าวใหม่ ข่าวดี สำหรับเพื่อนที่เคยเรียนมานะครับ

 

ได้นะครับ แต่คุณต้องรีบไปแต่ก่อนงานเริ่มนะครับ ได้ยินว่าวันอังคารล้นแล้วนะครับ คนเก่าๆเขาบอกกันต่อๆเน้อ



คงไม่มาลงเรื่องการชวนไปเรียนแล้วละครับ เดี๋ยวไม่มีที่พอให้คนอื่นเขานั่งเรียนครับ


ต่อไปมาคุยกันเรื่องโหราศาสตร์หรือธรรมะกันดีกว่านะ

 

อืม;20;20น่าสนใจขอรายละเอียดเริ่มต้นหน่อยค่ะ

 

ไปด้วยคนนะ ถ้าไปเรียนก็ง่ายๆครับ แค่พยายามทำความเข้าใจ ไม่ต้องจดมาก สงสัยอะไรก็ถามอาจารย์เลยครับ แล้วค่อยกลับมาจด หรือหาเครื่องอัดไปอัดก็ได้นะครับ ผมก็ไม่เคยไปเลยตั้งนานแล้ว คิดถึงอ.ชาย ท่านสอนเก่ง ชอบท่านๆใจดีครับ ถามอะไรก็ตอบได้หมด

 

เช็คข่าวแล้ว ไปลงเรียนวันอังคารน่าจะเยอะนะคุณจะไปก็ ไปแต่เนิ่นๆนะครับ

 

ในรูปมีคุณเสขบุคคลอยู่ตรงไหนครับ

 

กราบเรียนถามคุณเสขบุคคล

ข้าพเจ้าสนใจวิชาพุทธาคม : อานุภาพแห่งพระไตรรัตน์

แต่ด้วยเหตุที่ข้าพเจ้ามิได้บวชแต่ประการใด แต่มีเขียนไว้ท้ายคุณสมบัติของคนที่จะเรียนวิชาพุทธาคมด้วยว่า เฉพาะบุคคล

จึงเรียนถามมาเพื่อที่ต้องการทราบว่า

ความหมายของคำว่าเฉพาะบุคคลนั้นมีเกณฑ์อย่างไร

คำถามถัดมาคือ เนื้อหาของวิชานี้แบ่งเป็นภาคต้น ภาคกลาง และภาคปลาย

ความเข้าใจของข้าพเจ้าคือ ต้องเรียนถึงสามครอส์ ใช่หรือไม่ หรือว่าเรียนครอส์เดียว

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

 

คุณเสขบุคคลได้สอบถามข้อมูลให้แล้ว พระอาจารย์ท่านจะถวายความรู้ให้กับพระภิกษุ สามเณร ก่อน ส่วนฆราวาสจะเปิดอบรมในคราวต่อ ๆ ไปค่ะ รอฟังข่าวจากคุณเสขบุคคลหรือมูลนิธิสุวรรณโคมคำ

 

ขอกราบเรียนถามเพิ่มเติม

ข้าพเจ้าเล็งเห็นว่าหลักสูตรพุทธาคม มีำความสำคัญในด้านการนำผลจากการปฎิบัติไปใช้

ซึ่งหาเรียนได้ยากยิ่งในปัจจุบันนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า

พระอาจารย์จะอนุโลมให้บุคคลธรรมดา

ที่พระอาจารย์เห็นว่าสามารถเข้าเรียนได้มีคุณสมบัติพอ

ได้เริ่มเรียนได้ตั้งแต่ครั้งแรกในการเรียนวิชาพุทธาคม

ข้าพเจ้าจะไม่ฝึนคำสั่งแต่อย่างใดถ้าท่านเห็นว่ายังไม่สมควร

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

 

สวัสดีครับท่าน sniperer กระผมได้เรียนถามคณาจารย์ดูแล้ว เห็นว่าท่านจะถวายความรู้แก่นักบวชคือพระ เณร แม่ชี ก่อนนะครับ หากอย่างไรแล้วผมจะให้อาจารย์อีกท่านไปสอบถามพระอาจารย์ดูอีกที หากมีพระมาไม่มาก หากมีสถานที่พอ ก็น่าจะรับฆราวาสด้วย รอฟังผลการประชุมก่อนนะขอรับท่าน

 

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

 

เหตุที่ทำให้เกิดทิฏฐุปาทาน และสีลัพพตุปาทาน

กาลเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา ณ.ชมพูทวีป
มหาชนและคนทั้งหลาย ผู้อาศัยอยู่ในโลกใบนี้
ต่างคนต่างก็มีความปริวิตก หวาดกลัวต่อความทุกข์ยากเดือดร้อนจากภัย
ที่จักเป็นอันตรายต่อตน และคน ทั้งทรัพย์สินในครอบครัว
ด้วยอาศัยอำนาจแห่งความกลัวนี้(อันเป็นธรรมชาติที่ย่อมแฝงอยู่ในทุกสรรพสัตว์ และย่อมต้องประกอบด้วยอวิชชาอยู่)
ชนทั้งหลายได้พากันขวนขวายแสวงหาที่พึ่งพาอาศัย ที่ตนเชื่อว่าประเสริฐ
และทรงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อจักได้คุ้มครองปกปักรักษาชีวิตและทรัพย์สินของตนๆ
ให้อยู่รอดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงที่จักอุบัติขึ้น (ก็ด้วยเหตุเพราะความกลัวดังกล่าวเป็นปัจจัย)
บางขณะก็ใช้ที่พึ่งนั้น ให้ช่วยปัดเป่า รักษาอาการเจ็บไข้และโรคร้ายทั้งปวง
บางทีก็ใช้ที่พึ่งนั้นดลบันดาลให้พืชผลทางเกษตรของตนเจริญงอกงาม
หรือไม่ก็ใช้ที่พึ่งนั้นช่วยปกป้องภัยพิบัติอันจักพึงมีแก่พืชผลทางเกษตรทรัพย์สินและชีวิตตน
ซึ่งบางครั้งก็ดูเหมือนว่าที่พึ่งเหล่านั้นได้ดลบันดาลให้สำเร็จประโยชน์ตามที่ขอได้จริง

<TABLE border=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=bottom width=335>

​

</TD><TD vAlign=bottom width=308>

​

</TD><TD vAlign=bottom width=313>

​

</TD></TR><TR><TD height=22 width=335>ความเชื่อของมนุษย์สมัยโบราณ นับถือเทพเจ้า และสัตว์ต่างๆ

​

</TD><TD height=22 width=308>ความเชื่อเรื่องบูชายัญ

​

</TD><TD height=22 width=313>การแห่นางแมวขอฝน

</TD></TR><TR><TD width=335></TD><TD width=308></TD><TD width=313></TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=335>

​

​

</TD><TD vAlign=bottom width=308>

​

</TD><TD vAlign=bottom width=313>

​

</TD></TR><TR><TD width=335>ความเชื่อเรื่องน้ำศักสิทธิ์

​

</TD><TD width=308>ขอหวยที่ต้นไม้

​

</TD><TD width=313>รักษาโรคด้วยหมอผี

</TD></TR></TBODY></TABLE>​

แต่ก็บ่อยครั้งหรือหลายครั้งที่ที่พึ่งเหล่านั้นมิได้ช่วยให้สำเร็จประโยชน์ตามที่ขอได้เลย
แถมยังเป็นตัวทำลายชีวิตทรัพย์สินของผู้เคารพยอมรับบูชาเสียอีก
และชนิดของที่พึ่งเหล่านั้นก็มีมากมายหลายชนิดหลายประเภท
มีชีวิตบ้าง ไม่มีชีวิตบ้าง ตัวอย่างเช่น
ผู้คนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้แม่น้ำลำคลองก็พากันเคารพบูชา
แม่พระคงคา บูชาเจ้าสมุทร บูชาผีน้ำ พรายภูติน้ำ หรือที่สุดก็บูชาสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำนั้น
พวกที่อยู่ในป่าเขาต่างก็พากันบูชาเจ้าป่า เจ้าเขา รุกขเทวดา นางไม้ เจ้าที่ จอมปลวก
แม้ในที่สุด ก็เคารพบูชาสัตว์น้อยใหญ่ที่อิงอาศัยอยู่ในป่านั้น ว่าเป็นที่พึ่งอันศักดิ์สิทธิ์ประเสริฐ
พวกที่อาศัยอยู่ในเมืองก็พากันเคารพบูชาดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า
บางพวกก็บูชาลม ฝน ไฟ
บางพวกก็บูชาทาง ๓ แพร่งและทางแยกต่างๆ
บางพวกก็บูชาสัตว์เลี้ยงในบ้าน และนอกบ้าน ได้แก่ วัว งู นก ไก่ ปลา
และบางพวกก็บูชามนุษย์ที่ประพฤติพรต บำเพ็ญตบะ

เมื่อมหาชนและผู้คนทั้งหลายพากันบูชาสิ่งเคารพของตนๆ ดังได้กล่าวมาแล้ว
ต่างก็พากันบูชาด้วยของบูชาอันเลิศ พร้อมกระนั้นก็ขอความคุ้มครองรักษา
บำบัดปัดเป่าขจัดทุกข์ภัยจากสิ่งเคารพของตน ซึ่งผลที่ตอบรับบางทีก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง
จนทำให้เป็นที่โจษจัน เคลือบแคลงระแวงสงสัยแก่มหาชนคนทั้งหลายว่า
สิ่งเคารพอันใดกันแน่ ที่จัดว่าเป็นสิ่งเคารพที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ดีมีมงคล
มหาชนทั้งหลายต่างฝ่ายต่างพากันถกเถียงกันอยู่เกลื่อนกล่นอลหม่าน
ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ ว่าอะไรคือสิ่งเคารพที่เป็นมงคลสูงสุด

 

เหตุการณ์หรือเหตุปัจจัยดังแสดงข้างต้นเหล่านี้นี่เอง ที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดทิฏฐุปาทานและสีลัพพตุปาทานในอุปาทาน ๔ เพราะการสืบทอดเป็นตำนานเล่าขานกันต่อๆมาอย่างช้านาน จนปลูกฝังลงสู่รากลึกของจิตใจตั้งแต่รู้ความของปุถุชนทั้งหลายโดยไม่รู้ตัว, เหมือนดั่งการเกิดขึ้นแห่งอัตตวาทุปาทาน ที่เกิดขึ้นจากการที่เป็นเพียงแต่คำพูดคำจาเพื่อการสื่อสารสัมพันธ์เพื่อการเข้าใจกันในการอยู่ร่วมกันในหมู่คณะว่า เป็นเรา,เป็นของเรา แต่เกิดการซึมซาบไปย้อมจิตเสียจนยึดมั่นด้วยกิเลสคืออุปาทานไปว่า เป็นเรา,เป็นของเรา อย่างจริงจังโดยไม่รู้ตัว, และทั้งยังให้เกิดวิจิกิจฉาและสีลัพพตปรามาสอันเป็นสังโยชน์สิ่งที่ร้อยรัดสรรพสัตว์หรือผูกติดมัดสัตว์ไว้ติดกับความทุกข์ เป็นผลตามมาอีกด้วย

การปล่อยวางในสิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริงนั้น พึงต้องเกิดแต่ปัญญา ดังเช่นว่า เข้าใจหลักอิทัปปัจจยตา หรือปฏิจจสมุปบันธรรมคือความมีเหตุปัจจัยกัน จึงเกิดขึ้น ฯ.​

​

จนบังเกิดมีพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง มหาบุรุษผู้ค้นพบกฏแห่งธรรมชาติ ที่ไม่เคยมีใคร มองเห็นมาก่อน เป็นการค้นพบสัจจธรรมความจริงของชีวิต ที่ไม่ประกอบด้วยทิฏฐุปาทานและสีลัพพตุปาทาน ที่มิต้องร้องขอบนบานต่อเทพเจ้าทั้งหลายอีกต่อไป.​

 

เขมาเขมสรณทีปิกคาถา

<TABLE style="FONT-FAMILY: Tahoma; FONT-SIZE: 12pt" border=0 width=838 align=center><TBODY><TR height=35><TD width=385>พาหุง เว สะระนัง ยันติ ปัพพะตานิ วะนานิ จะ

​

</TD><TD width=443>มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อเกิดภัยคุกคามแล้ว, ก็ถือเอาภูเขาบ้าง

​

</TD></TR><TR height=35><TD width=385>อารามะทุกรุกขะเจต์ยานิ มะนุสสา ภะยะตัชชิตา,

</TD><TD width=443>ป่าไม้บ้าง, อาราม และรุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ;

</TD></TR><TR height=35><TD width=385>เนตัง โข สะระณัง เขมัง เนตัง สะระณะมุตตะมัง,

</TD><TD width=443>นั่นไม่ใช่สรณะอันเกษมเลย, นั่น มิใช่สรณะอันสูงสุด;

</TD></TR><TR height=35><TD width=385>เนตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ.

</TD><TD width=443>เขาอาศัยสรณะ นั่นแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

</TD></TR><TR height=35><TD width=385>โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระนัง คะโต,

</TD><TD width=443>ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว;

</TD></TR><TR height=35><TD width=385>จัตตาริ อะริยะสัจจาริ สัมมัปปัญญายะ ปัสสะติ,

</TD><TD width=443>เห็นอริยสัจจ์ ความจริงอันประเสริฐสี่ ด้วยปัญญาอันชอบ;

</TD></TR><TR height=35><TD width=385>ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทัง ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง

</TD><TD width=443>คือเห็นความทุกข์, เหตุให้เกิดทุกข์, ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้,

</TD></TR><TR height=35><TD width=385>อะริยัญจัฏฐังคิกัง มัคคัง ทุกขูปะสะมะคามินัง

</TD><TD width=443>และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐ เครื่องถึงความระงับทุกข์;

</TD></TR><TR height=35><TD width=385>เอตัง โข สะระณัง เขมัง เอตัง สะระณะมุตตะมัง

</TD><TD width=443>นั่นแหละเป็นสรณะอันเกษม, นั่นเป็นสรณะอันสูงสุด

</TD></TR><TR height=35><TD width=385>เอตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ.

</TD><TD width=443>เขาอาศัยสรณะ นั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

</TD></TR></TBODY></TABLE>​

 

พระสูตรชื่อ อัคคัญญสูตร ได้ทรงแสดงความเป็นมาของสังคมมนุษย์เป็นลำดับ โดยเริ่มแต่เกิดมีสัตว์ขึ้นในโลกแล้วเปลี่ยนแปลงตามลำดับ ตามวิวัฒนาการ จนเกิดมีมนุษย์ที่อยู่รวมกันเป็นหมู่เป็นพวกพ้วง จึงเกิดความจำเป็นต้องมีการปกครอง และต้องมีการประกอบอาชีพ การงานต่างๆกัน วรรณะทั้งสี่ก็เกิดจากความเปลี่ยนแปลง ทรงแสดงว่าสิ่งเหล่านี้ มิใช่เป็นเรื่องของพรหมสร้างสรรค์ แต่ทรงแสดงว่าเกิดจากธรรม (ธรรมดา, กฎธรรมชาติ)หรือเป็นไปตามกฏปฏิจจสมุปบันธรรม ทุกวรรณะประพฤติชั่วก็ไปอบายได้ ปฏิบัติธรรมก็บรรลุนิพพานได้.

 

พระองค์ท่าน เปรียบเหมือนผู้หงายของที่คว่ำปิดอยู่, เปิดของที่ปิด, บอกทางแก่คนหลงทาง, หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยประสงค์ว่าผู้มีจักษุคือปัญญาจักขุจักเห็นรูปหรือเข้าใจได้นั่นเอง

คัดลอกจาก

 

ขอร่วมแชร์ประสพการณ์ด้วยคนนะคะ...เป็นผู้หนึ่งที่ได้มีโอกาศไปศึกษากับพระอาจารย์นับว่าเป็นบุญของเรามากๆ...ท่านเป็นพระที่มีความเมตตามาก ดูผิวเผินจะเหมือนท่านเป็นคนดุ(ความจริงก็ดุน่ะล่ะ) แต่คนที่ดุๆ..ลึกๆแล้วมักจะใจดี คำพูดของท่านทุกๆคำทำไมถึงสะกดใจเรา ทำให้เราอยากฟังทุกๆคำเหมือนท่านเข้ามานั่งอยู่ในใจของพวกเราทุกๆคน..ทำไมรู้มั้ย...ก็เพราะท่านพูดออกมาจากใจแล้วคำพูดเหล่านั้นก็เข้ามาในใจของเราน่ะซิ แรกๆก็ไม่รู้หรอกว่าเรามาทำไมกัน แต่ตอนนี้รู้แล้ว ถ้าเพื่อนอยากรู้ก็ขอแนะนำว่าให้หาโอกาศไปให้ได้ในช่วงเข้าพรรษานี้ ท่านจะอยู่สอนเรา3เดือนเต็ม ถ้าพลาดจากนี้ไปจะหาโอกาศเจอท่านยากมากค่ะ...วันหน้าจะเอาสิ่งที่ได้รับมา มาเล่าสู่กันฟังค่ะ