การทดลองจิตเร็วกว่าความเร็วของแสง

ในห้อง 'การทดลองทางจิต' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 16 สิงหาคม 2005.

  1. อัตตาหนึ่ง

    อัตตาหนึ่ง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2010
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +6
    จิตเห็นอนาคตได้

    ไม่รุว่าเร็วกว่าแสงหรือเปล่า
    คำอธิบายคงมีมาทีหลัง
    เอาผลของจิตก่อน
    อาจแผลงๆหน่อยที่ทดสอบกิเลสส่วนใหญ่กับตัวเลข
    future's jigsaw
     
  2. อัตตาหนึ่ง

    อัตตาหนึ่ง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2010
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +6
  3. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +9,766
    ในเรื่องของจิตนี้มีคำอธิบายที่ชัดอยู่แล้วในพระอภิธรรม การเกิดดับ การรับอารมณ์ต่างๆ

    ความเร็วของจิตในพระอภิธรรมท่านอธิบายว่าชั่วลัดนิ้วมือจิตเกิดดับหนึ่งแสนโกฏิขณะ เทียบเป็นตัวเลขมาตรวัดปัจจุบันแล้วเร็วกว่าแสงแน่นอน

    และในหนึ่งขณะนั้นจะเดิดดับอีก17 ขณะย่อยอีก
    แบ่งเป็นสองอย่างคือวิถีจิตที่เกิดจากปัญจทวารวิถีคือภาวะที่รับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย
    กับวิถีจิตที่เกิดจากใจ ของเราคือมโนทวารวิถี ซึ่งลักษณะการเกิดดับไม่เหมือนกัน
    ลองศึกษาเพิ่มใน
     
  4. sujid

    sujid สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2010
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +13
    เห็นด้วยครับ คุณKnowledeEarter
     
  5. Traveler6642

    Traveler6642 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +0
    ตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ของชาวจีนนั้น บ่งบอกว่า
    จิตประกอบไปด้วย2ส่วน ดังเช่นหยินกับหยาง คนเราเมื่อตายไปนั้น
    จิตทั้ง2ส่วนจะเเยกออกจากกัน ส่วนที่เป็นความนึกคิด ซึ่งเป็นสิ่งเราที่เราสามารถเรียนรู้
    ด้วยกายสัมผัสทั้ง5ได้ ส่่วนอีกส่วนเป็นสิ่งที่มีติดตัวของเรามา เกิดจากการใจซึ่งเป็นสิ่งที่ซับซ้อน
    เช่นการทำความดี หรือความชั่ว จะแฝงลึกอยู่ในจิตส่วนนี้ ฉะนั้น จิตส่วนนี้จะเป็นตัวกำกับว่า
    ชาติหน้าเราจะไปเกิด แล้วเจอสิ่งใด อย่างที่กล่าวไว้ว่าทำอย่างไรจะได้อย่างนั้นกลับมาเสมอ เพราะจิตส่วนนี้เป็นตัวแฝงนั่นเอง ผู้ที่สามารถถอดจิตได้ และกลับเข้าร่างได้
    คือผู้ที่ผสานจิตทั้ง2ส่วนก่อนออกจากกายเนื้อนั่นเอง จึงสามารถควบคุมจิตได้อย่าง
    มีสติและรับรู้ได้ และการที่จิตจะออกจากร่างอีกอย่างก็คือการตายนั้นเอง
    แต่จะเป็นการถอดจิตที่ไม่สามารถกลับเข้าร่างอีกได้ เพราะจิตทั้งสองได้แยกออกจากกัน
    ไร้ซึ่งความมีเหตุผล ยังคงมีความทรงจำที่ผูกผันกันเหลืออยู่เท่านั้น ซึ่งตรงนี้
    จะเป็นได้ทั้งจิตดี และจิตอาฆาต ฉะนั้นการละทิ่งซึ่งกิเลศ รัก โลภ โกรธ หลงจะเป็นการตัดผลของการกระทำจากวัฐจักรนี้ ซึ่งชาติหน้าอาจจะต้องเสียเวลาอีกเท่าไหร่กว่าจะเข้าถึง
    เข้าถึงพระธรรม และหนทางสู่พระนิพพาน ดังนั้นทุกท่านควรฝึกจิต หมั่นทำความดีสร้างกุศล เพื่อให้มีบุญกุศล เหล่านี้นำพาท่านให้ได้พบหนทางของการหลุดพ้น ไม่ในชาตินี้ก็ชาติหน้าด้วยเทอญ

    วิญญาณ ภูติผี พลังลึกลับ พวกนี้ล้วนเป็นเรื่อง อจิตไตย คือรู้ก็ไม่สามารถนำพาให้หลุดพ้นได้จากกิเลศและกองทุกข์ได้ แต่เราสามารถนำเรื่องนี้มาเป็นแบบเรียนเพื่อให้เรา
    มีความพยายามในการทำความดี และหลุดพ้นจากวัฐสงสารเหล่านี้ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2010
  6. นาราคุ

    นาราคุ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    เก่งกันทั้งนั้น ทุกคนแต่อยากทราบว่าที่พูดที่บอกมา แน่ใจเหรอว่ามาจากความจริงหรือปรุงแต่งกันเอง จิตนี่แหล่ะตัวร้ายกาจนัก
     
  7. อุ๋ยครับ

    อุ๋ยครับ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +1
    ถ้าอ้างตามหลักไอสไตน์แล้วเราเอาอะไรมาเป็นกรอบอ้างอิงความเฉื่อยครับระหว่างจิตกับแสง จากการทดลองวัดความเร็วแสงพบว่าเคลื่อนที่จากแหล่งกำเนิดด้วยอัตราเร็ว 300,000,000 เมตร/วินาที แม้ว่าแสงนั้นจะเป็นเเสงอาทิตย์หรือแสงกระพิบจากหิ่งห้อยก็มีอัตราเร็วเท่ากันเมื่อผู้สังเกตหยุดนิ่ง แต่จิตเราไม่สามารถวัดความเร็วได้ เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถเอาจิตมาเปรียบเทียบความเร็วกับแสงได้ ในทางวิทยาศาสตร์การเปรียบเที่ยบจะเกิดขึ้นเมื่อมีค่าทางวิทยาศาสตร์ท่าหนึ่งที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน เช่น น้ำหนักของก้อนหินเเละขนนกบนโลกนี้ ระยะทางจากกรุงเทพฯถึงเชียงใหม่และระยะทางจากกรุงเทพฯถึงยะลา ซึ่งในทางพุทธศาสนา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่าไม่ควรเชื่อสิ่งใดแม้จะเป็นพระพุทธองค์ก็ตาม ซึ่งเป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่อธิบายได้ ดังนั้นในการทดลองนี้แม้จะอ้างถึงการเคลื่อนที่ของจิตไปยังใจกลางกาเเลกซี่ เราไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่เราจึงไม่สามารถเชื่อได้ อาจจะเป็นไปได้ที่ภาวะที่ว่าจิตมีจริงแต่เราจะแยกระหว่างจิตกับระบบประสาทได้อย่างไร ในการทดลองใดๆ เราต้องมีสมมติฐานและทำการทดลองโดยอาศัยการวัด การบันทึก และการสังเกตุตลอดเวลา ถ้าไม่มีการวัดที่ดีแล้วคำว่าจิตก็เป็นแค่สิ่งที่เราสมมติขึ้นเอง ไม่เป็นไปตามธรรมชาติเลย
     
  8. อุ๋ยครับ

    อุ๋ยครับ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +1
    เห็นด้วยกับคุณ smutux เอาอย่างนี้ครับลองทำการทดสอบจิตก่อนจะทำการทดลอง ไม่ต้องยุงยากเลยครับ เตรียมลังมาหนึ่งใบภายในมีของอยู่สิ่งหนึ่งอยู่ห่างออกไปจากผู้ถอดจิตสองกิโลเมตร โดยผู้ถอดจิตต้องไม่รู้มาก่อน แล้วทำการถอดจิตออกไปดูว่าในกล่องมีอะไรจากนั้นกลับมาเข้าร่างและบอกว่าในกล่องคืออะไร โดยในการทดลองต้องตรวจวัดอัตราการหายใจ การเต้นของหัวใจและคลื่นสมองตลอดเวลา (สมมติฐานของผมคือจิตที่ออกจากร่างจะมีคลื่นสมองที่แปลกไป ดังผลการทดลองของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการวัดคลื่นสมองคนที่ฝึกสมมาธิเปรียบเทียบกับคนไม้ได้ฝึกสมาธิพบว่าคลื่นสมองต่างกัน) จากนันนำผลที่ได้มาวิเคราะโดยทำการทดลองอย่างน้อยยี่สิบครั้ง เพื่อให้เกิดนัยสำคัญทางสถิติ แล้วเปรียบเทียบกับผลการตอบคำถามของผู็ถอดจิต และที่สำคัญจะต้องมีการเปลี่ยนสิ่งที่อยู่ในกล่องไม่ให้ซ้ำกันแม่แต่ครั้งเดียว จากนั้นก็ตรวจสอบง่ายๆด้วยโปรแกรม SPSS แบบ test for different เพื่อหาค่าความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ระหว่างการเวลาที่ถอดจิต คลื่นสมอง สัญญาณชีพ ความถูกต้องในการตอบคำถาม เราอาจจะได้เห็นว่าภาวะที่เรียกว่าจิตเป็นอย่างไร ก่อนที่จะมีการถอดจิตแข่งกับความเร็วแสงนะครับ ขออนุญาตโพสต์ไว้ด้วยเพื่อให้ผู้อ่านกระทู้นี้ทุกท่านได้ข้อมูลในการตัดสินใจครับ
     
  9. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    จะไวกว่าหรือไม่ ถามสาวยาคูล์ดูสิครับ
     
  10. arjan_anon

    arjan_anon ตามรอยพุทธ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +39
    เรื่องนี้เป็นเรื่องของจิต
    และเรื่องของจิตไม่ใช่จะเอามาเล่นกัน
    มันเป็นศาสตร์ที่ลี้ลับยากในการพิสูตรได้
    นอกจากเจอกับตัวเองแบบจังๆ
     
  11. varsaroj

    varsaroj สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +16
    จากทฤษฎีสัมพันธภาพแล้ว ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่าความเร็วของแสงเป็นความเร็วต้องห้าม เพราะฉะนั้นวัตถุใดๆ ก็แล้วแต่
    จะไม่สามารถเคลื่อนที่เหนือความเร็วของแสงได้ เพราะถ้าวัตถุใดเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือแสงแล้ว มวลจะเป็นอนันต์และ
    เวลาจะหยุดนิ่ง แต่ความเร็วมันคือความสัมพัทธกันหว่างระยะทางกับเวลา เมื่อเวลาหยุดนิ่งมันจะเกิดความเร็วได้อย่างไรกัน
    แต่ไอน์สไตน์ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มีสิ่งๆ นั้น เพียงแต่บอกว่าสิ่งใดที่จะวัดได้ และอยู่ภายในมิติหรือจักรวาลแห่งนี้ต้องอยู่ภายใต้
    หลักทางฟิสิกส์อันเดียวกัน ถ้านอกเหนือไปจากนี้สิ่งๆ นั้นจะไม่สามารถดำรงสถานะอยู่ในจักรวาลนี้ได้ แต่ไอน์สไตน์ก็ไม่ได้ปฎิเสธ
    สิ่งที่อยู่นอกจักรวาล เพียงแต่ไม่สามารถอธิบายด้วยสามัญสำนึกของคนได้ เพราะอธิบายไปคนก็ไม่เข้าใจ เหมือนถ้าจะอธิบายเรื่อง
    รูปลักษ์ของช้างให้ปลาที่อยู่ในน้ำฟัง ไม่ว่าจะยกตัวอย่างอะไรขึ้นมาปลาก็จะไม่สามารถทำความเข้าใจได้ เพราะในน้ำมันไม่มี
    อะไรเทียบเคียงกับช้างได้เลย ดังนั้นการที่บอกว่าจิตนั้นเร็วกว่าแสงจึงเป็นเรื่องที่ผิดโดยสิ้นเชิง เพราะเท่ากับว่าเรากำลังจะเอาสิ่ง
    สองสิ่งที่มันอยู่กันคนละสถานะมาทำการเปรียบเทียบกัน ซึ่งมันไม่สามาถจะเทียบกันได้เลย ไม่ว่าจะกว้าง ยาว สูง เร็ว ช้า
    เพราะนั่นมันคือหน่วยวัดในจักรวาลแห่งนี้

    แล้วถ้าจิตมีจริงทำไมมันต้องไวกว่าแสง ในยุคสมัยของไอน์สไตน์ มีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องของมิติ แต่อธิบายแล้วคนส่วนใหญ่
    ฟังไม่เข้าใจ และดูจะเป็นเรื่องหลุดโลกไปเลย แต่ในปัจจุบันแนวคิดเรื่องของจักรวาลอื่น นอกเหนือจากจักรวาลของเราได้มีการ
    จำลองและเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายและกว้างขวางจากแบบจำลองของทฤษฎีสตริง มันจึงเป็นเรื่องที่ฟังดูมีน้ำหนักและ
    มีที่มาที่ไป มีโอกาสเป็นไปได้ว่า จักรวาลอื่นๆ ที่นอกเหนือจากจักรวาลของเรานั้นมีอยู่จริงและมีจำนวนนับเอนกอนันต์และแต่ละจักรวาล
    ก็จะมีกฏเกณฑ์ทางฟิสิกส์ที่แตกต่างกันออกไป (ซึ่งก็แน่ละครับ เพราะถ้ามันเหมือนกันมันก็ต้องรวมอยู่ในจักรวาลเดียวกับเรา) และมันก็อาจ
    จะไม่ได้อยู่ไกลสุดขอบจักรวาลอย่างที่เราเคยจินตนาการกัน จริงๆ มันอาจจะอยู่รอบๆ ตัวเรานี่เองแต่อยู่อีกมิติหนึ่ง ซึ่งอาจจะไม่กินพื้นที่
    กว้าง ยาว สูง ความเร็ว เวลา เลยแม้แต่อณูเดียว และก็อาจจะเป็นไปได้ว่าถ้าจิตของคนเรา ถ้าอยู่ในสภาพปกติมันมันจะดำรงอยู่ในสถานะ
    จักรวาลแห่งนี้ในรูปแบบและสถานะหนึ่ง เพราะว่ามันยังคงอยู่ภายใต้กฎทางฟิสิกส์ของจักรวาลแห่งนี้ มันเลยยังคงสถานะอยู่ได้ แต่ถ้าหาก
    เมื่อใดที่มันพัฒนาขึ้นไปได้อีกหรือพูดง่ายๆ ก็คือมันเปลี่ยนสถานะไป หรือบางคนอาจจะมองว่ามันเป็นสภาพเร็วกว่าแสงหรือยังไงก็แล้วแต่
    จะเรียกขานกัน จักรวาลแห่งนี้ก็จะไม่สามารถรองรับสถานะใหม่หรือสภาวะใหม่ของมันได้อีกต่อไป ซึ่งเท่ากับว่ามันจะต้องไปอาศัย
    หรือหลุดไปอยู่ยังสถานที่แห่งใหม่ที่เหมาะสมกับมันมากกว่า ทีที่ซึ่งกฎทางฟิสิกส์ของที่แห่งนั้นรองรับหรือเข้ากันได้กับมัน

    ซึ่งอาจจะแตกต่างไปจากจักวาลสี่มิติแห่งนี้ ที่แห่งใหม่นั้นอาจมีกฎทางฟิสิกส์อีกอย่างหนึ่งไปเลย เวลาอาจจะเป็นศูนย์คือไม่มีการเคลื่อนไหว
    ระยะทางและความเร็วอาจไม่สัมพัทธกัน แต่เป็นสภาวะที่เหมาะสมและรองรับสถานนะภาพใหม่ของสภาพจิตในขณะนั้นก็ได้

    ถ้าสภาพจิตเปรียบเหมือนน้ำ น้ำอยู่ได้หลากหลายสถานะ ทั้งของแข็ง ของเหลว และไอ พอมันเปลี่ยนสถานะไป
    มันก็จะย้ายสถานที่ให้เหมาะสมกับสภาพของมันในขณะนั้นด้วย แต่ถ้าจิตมีหลายระดับนั้นเท่ากับว่ามันสามรถที่จะ
    แปรสภาพตัวเองไปอยู่ได้ในหลายๆ จักรวาลที่เหมาะสมกับมันในสภาพนั้นๆ ด้วย ที่บางคนบอกว่าจิตไวกว่าแสง
    เพราะถ้าดูในแง่ดังกล่าวแล้วมันไม่มีเรื่องของความเร็วและเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องเลย แต่เป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนสถานะ
    และเปลี่ยนสถานที่ที่เหมาะสมกับสถานะนั้นๆ

    ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า เวลาเป็นสิ่งไม่เที่ยงตรงไม่สามารถเอาไปใช้เป็นตัววัดได้ เพราะแต่ละที่จะไม่เท่ากัน มีแค่ความเร็วแสงเท่านั้น
    ที่คงที่ในจักรวาล ถ้าจะวัดอะไรต้องใช้ความเร็วแสงเป็นตัววัด แต่ถ้าจิตมันคือการปรับเปลี่ยนสถานะมันไม่ใช่การเดินทาง
    ถ้าสถานะที่มันปรับไปมันคืออีกจักรวาลหนึ่งซึ่งปราศจากเวลา แล้วจะวัดความเร็วมันได้อย่างไรกัน และที่น่าทึ่งไปกว่านั้นก็คือ
    นักฟิสิกส์ส่วนหนึ่งค่อนข้างจะเชื่อและมีการพิสูจน์ทางทฤษฎีกันแล้วว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นสิ่งที่ เกิดขึ้นแล้วในหลายๆ จักรวาล
    นั้นเท่ากับว่าถ้าเรามีเครื่องมือที่สามารถข้ามมิติจักรวาลได้ เราอาจจะไปเจอตัวเราเองในอดีตหรืออนาคตได้ การที่มีคนบอกว่า
    ทดสอบโดยการให้เดาสิ่งของที่อยู่ห่างไกลแล้วจับเวลานั้น แท้ที่จริงจิตมันอาจจะไม่ได้เดินทางเลยเพียงแต่มันเปลี่ยนสภาพตัวเองไปอีกจักรวาล
    หนึ่งเท่านั้นเอง สมมุตว่าจักรวาลแห่งนั้นเป็นมิติที่ปราศจากกเวลา ระยะทางที่ได้จึงไม่ส่งผลกับความเร็วเลย เหมือนกับเดินไปเชียงใหม่แต่ไม่เสีย
    เวลาเลยแม้แต่วินาทีเดียวเลยทำให้ดูเหมือนกับว่าเดินทางเร็วมาก

    หมายเหตุ: ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น จะเอาไปเป็นบรรทัดฐานความรู้ไม่ได้ครับ
     
  12. JTpond

    JTpond Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +38
    น่าสนใจอ่ะครับ อยากรู้ว่าต้องทำไงอ่ะ
     
  13. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +1,088
    จิตใจไวกว่าแสง
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=iuOYxY1XvBM]YouTube - Rockestra - ไวกว่าแสง[/ame]
     
  14. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +1,088
    ทำแบบนี้ไง
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=V8FG9wI5ptg&feature=related]YouTube - สายล่อฟ้า : อัสนี วสันต์[/ame]
     
  15. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +1,088
    จิตไวกว่าแสงแต่ ธาตุสี่ไปด้วยไม่ได้จึงต้องละจากกายไปแต่ดวงจิต
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=7BS_6F_fW78&feature=related]YouTube - ร็อคเคสตร้า : โลง[/ame]
     
  16. kritza23za

    kritza23za สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +1
    ถ้าเวลารอบตัวหยุดนิ่ง ก็เหมือนเรากำลังเคลื่อนไหวอยู่ในห้วงเวลาที่หยุดนิ่งน่ะสิ แบบว่า ถ้าเร็วเท่าแสง แต่เราจาเคลื่อนที่เหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น แต่จาเหนเหตุการณ์รอบข้างหยุด ก็เท่ากับว่า ถ้าเหตุการณ์รอบข้างดำเนินไปอย่างปรกติ เมื่อเราเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง เขาคงเหนเราเปนอะไรก็ไม่รู้ เปนเงาแว็บไปแว็บมา - -" เราวาต้องเปนแบบนั้นแน่ แล้วถ้าเข้าใกล้ความเร็วแสง ก็หมายความว่า เวลารอบตัวช้าลง งันก็หมายความว่า สมมุติ มีคนทำหนังสือตก เขาก็เหนหนังสือตกอยุปรกติ แต่เรากลับเหนมันตกช้ามาก ช้าพอที่เราจะรอ ซัก 5 นาที แล้วมันจะถึงพื้น แล้วอยุดีๆ เราไปเก็บให้เขา เขาก็จะงง ว่าทำไมเราเคลื่อนที่ได้เร็วขนาดนั้น - - คิดเรื่อยเปื่อยล่ะเรา 5555+ (deejai):z2sleeping_rb
     
  17. daeng007

    daeng007 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2009
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +84
    เห็นด้วยกับความคิดนี้เป็นอย่างมากที่สุดๆๆๆๆๆ
     
  18. afseven

    afseven เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    782
    ค่าพลัง:
    +510
    ความรู้น้อยไม่มีcomment รู้แต่ว่า รูป นาม คืออะไรเท่านี้เองครับ
     
  19. พระมุนี

    พระมุนี สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +4
    มันเป็นเช่นนั้นเอง
    เจริญพร
    พระมุนี
     
  20. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +80
    ในทางฟิสิกส์ พบว่าจักรวาลที่เราสังเกตุเห็น และประมวลผลได้ ประกอบไปด้วย สสารและพลังงาน ดังนี้
    - สสารที่ใช้สร้างกลุ่มดวงดาวต่างๆ (ธาตุทั้งหลาย) มีมวลร้อยละ สิบ
    - พลังงานต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างสสาร (แรงทั้งสี่) มีร้อยละยี่สิบ
    จะเห็นว่าทั้งสองรวมแรงกันได้แค่ร้อยละสามสิบเท่านั้น แต่ด้วยร้อยละสามสิบนี้เหตุใดจึงทำให้สามารถต้านแรงโน้มถ่วงของจักรวาลได้ แล้วพลังงานอีกร้อยละเจ็ดสิบอยู่ที่ไหน นักวิทย์ฯ จึงตั้งสมมุติบานว่า
    - มีสสารมืดและพลังงานมืด ซุกซ่อนตัวอยู่ในจักรวาลที่เราสังเกตุเห็นนี้ร้อยละเจ็ดสิบ
    ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดตรวจวัดและเสาะหาสสารและพลังงานมืดนี้ได้ อย่าลืมว่าทุกทฤษฎีในทางฟิสิกส์มันจะพิสูจน์และวัดค่าได้ก็เพียงจักรวาลร้อยละสามสิบที่สังเกตุได้เท่านั้นเอง
    และแสงที่ถือว่าเร็วที่สุดในจักรวาลนี้ก็จริงในระดับของจักรวาลที่เราสังเกตุได้ ร้อยละสามสิบนั่นเอง
    แต่ที่เหลืออีกร้อยละเจ็ดสิบ มันคือสสารและพลังงานรูปแบบใด มีคุณสมบัติเช่นไร เหตุใดจึงตรวจวัดไม่ได้ แต่มันก็แสดงตนทางอ้อม โดยช่วยเป็นแรงยึดเหนี่ยวสิ่งต่างๆในจักรวาลเข้าไว้ด้วยกันอย่างมีระบบ (เหมือนเรารู้ว่ามีลม แต่ไม่อาจเห็นลม)
    เป็นไปได้ไหมว่า พลังงานและสสารเหล่านี้อยู่เหนือกฏเกณฑ์จักรวาลแบบสี่มิติ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดตรวจพบได้เลย
    แต่ ในการปฏิบัติทางจิตของศาสนิกชนต่างๆ ทั่วโลก ต่างได้พบประสบการณ์มหัศจรรย์ที่ตัวเองได้ประสบมา โดยเฉพาะการถอดจิตไปในที่ต่างๆ ส่วนมากบอกไปในทางเดียวกันว่า เพียงนึกถึงสถานที่ ก็ถึงเสียแล้ว ความเร็วขนาดนี้ทิ้งห่างแสงไม่เห็นฝุ่นเลย หรือไม่อาจจะนับว่าเป็นความเร็วได้ เพราะอยู่นอกกฏการเคลื่อนที่ทางฟิสิกส์

    การที่จะมีอะไรไปได้เร็วขนาดนั้น ย่อมไม่สามารถอธิบายด้วยกฏฟิสิกส์ในโลกปัจจุบัน แบบสี่มิติได้เลยด้วยประการทั้งปวง แต่อาจเป็นไปได้ถ้าเพิ่มมิติของจัรวาลเข้าไป เป็น 5 6 7 8 9 ....... อนันต์ เพราะยิ่งมิติยิ่งเพิ่มขึ้น ระยะทาง ขนาด และเวลา ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญอีกแล้ว และผมเข้าใจว่า คุณสมบัติของจิต อาจครอบครองหรืออยู่ในมิติที่มากกว่ามิติที่สี่แน่นอน
    เช่นเดียวกับเรื่องของ ภพ ภูมิ ที่อยู่ของสัตว์ในสังสารวัฏ แท้จริงแล้วอาจอยู่ทับซ้อนกับเรา กับจักรวาลที่เราสังเกตุเห็น มีมิติที่แตกต่างกัน แต่มีพลังงานบางอย่างเป็นตัวเชื่อมโยงทุกระบบเข้าด้วยกัน อย่างสมดุลย์ (เป็นไปได้ไหมว่าเป็นสสารและพลังงานมืดในทางฟิสิกส์)

    เช่น ตัวเรานี้ไม่อาจชั่งน้ำหนัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือสาระพัดอารมย์ที่เกิดขึ้นกับเราได้เลย ก็แสดงว่าสเกลการวัดของโลกแบบสี่มิติใช้ไม่ได้ผล หรือไม่ถูกประเภทของการวัด

    ทำนองเดียวกันการจะวัดความเร็วของจิตตามแบบความเร็วแสง ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเปรียบเทียบกันได้ เพราะวัดกันคนละแบบคนละระดับมิติ แต่ถ้าดูตามสมมุติฐาน ถ้าแปลงความเร็วจิตออกมาในรูปแบบของ ระยะทาง/เวลา จะได้อัตราเร็ว = อนันต์กิโลเมตร/วินาที (ชั่วพริบตาหรือถึงทันทีเมื่อนึก) ซึ่งความเร็วแสงไม่อาจเทียบได้ด้วยประการทั้งปวง

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมของพระองค์ไม่ขึ้นกับสถานที่ และเวลา คือหมายถึงจริงทุกสถานที่ จริงทุกเวลา ในเมื่อไม่ขึ้นกับสถานที่(มิติ)และเวลา ดังนั้นย่อมไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเวลาเช่นกัน จึงไม่แปลกที่ความเร็วจิตเป็นอนันต์ (เวลาไม่มีความหมาย/เวลาเป็นศูนย์)

    แม้ระดับอนุภาค ไอน์สไตน์ยังกล่าวว่า วัตถุใดเคลื่อนที่เร็วขึ้น เวลาจะช้าลง แต่วัตถุหรืออนุภาคก็ไม่อาจผ่านความเร็วแสงได้ ถ้าผ่านได้เมื่อไหร่ จักรวาลอาจสับสน (เพราะใช้พลังานมาก และเวลาหยุด)

    มาช่วยดันครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...