ท่านสุวานพาไปเที่ยวนรกอีกแล้ว

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย hatcheryorn, 5 กุมภาพันธ์ 2010.

แท็ก: แก้ไข
  1. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    เอาละถ้าจะให้ผมเขียนแล้วอ่านกันรู้เรื่องนั้นผมก็จะเขียนให้อ่านแบบที่คิดว่าง่ายที่สุดการที่ผมเขียนข้อความมานั้นมิได้มีเจตนาจะกล่าวเสียดสีใคร ผมเขียนหลายครั้งแล้วว่าการจะเดินตามแผนที่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นจะต้องประกอบไปด้วยศีล สมาธิ สติและปัญญาการที่จะเชื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ต้องเชื่อด้วยสติด้วยปัญญาแก่นแท้แห่งธรรมนั้นคืออะไร พระพุทธองค์ตรัสเสมอว่าสิ่งที่เรารู้นั้นเทียบเท่าใบไม้ทั้งป่าแต่สิ่งที่จะสอนและให้ปฏิบัติตามนั้นมีเพียงใบไม้หยิบมือเดียวถ้าทำได้ก็สำเร็จทำไม่ได้ก็ไม่สำเร็จ ใบไม้หยิบมือเดียวที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้คือการยึดมั่นถือมั่นในตัวเราของเรานั้นเอง พุทธวาจาสุดท้ายก่อนที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จสู่พระนิพานคือ ท่านทั้งหลายจงยังชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถอะ สิ่งที่ผมโพสก็แค่นั้น อีกสิ่งหนึ่งที่ผมสื่อคือเราต้องรู้จักตัวเราเองต้องยอมรับตนเองอย่าโกหกตนเอง คนเราสามารถโกหกคนอื่นๆได้แต่อยู่ที่คนที่ฟังจะเชื่อหรือไม่ถ้ามีคนเชื่อมากๆสามารถทำให้เราหลงคิดว่าสิ่งนั้นคือความจริงทั้งๆที่มันไม่ใช่แล้วใครจะรู้นอกจากตัวเราผมเรียกว่าจิตหลอกจิตหรือเราหลอกเราสิ่งนี้อันตรายที่สุดอาจถึงขั้นวิกลจริตได้ความจริงคือความจริงคือธรรมชาติพระพุทธองค์สอนให้เราอยู่กับธรรมชาติรู้จักธรรมชาติมีสติในการรับรู้มีปัญญาในการคิดและไตร่ตรองเราต้องรู้ตนเองตลอดเวลาเรามีศีลหรือไม่มีเรารู้เรา เราต้องรู้จักตนเองถึงเรียกว่ามนุษย์ถ้าไม่รู้จักตนเองไม่รู้ตนเองนั้นผมก็ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไรโลกนี้ทั้งโลกคือมายาสิ่งที่เห็นคือมายาไม่สามารถยึดได้ซักสิ่งเดียวมันเกิดเดียวก็ดับ ผมไม่รู้ว่าใครจะเข้าใจหรือเปล่าแต่ความจริงมันคืออย่างนั้น ท้ายนี้ขอกล่าวคำตรัสของพระพุทธองค์อีกครั้ง พระพุทธองค์ทรงยกอุปมาอุปมัยว่าไก่ถ้ายังอยู่ในไข่ก็จะพยายามเจาะเปลื่อกไข่ออกมาให้ได้บางตัวก็หลงอยู่แต่ในไข่ไม่แม้นแต่พยายามจะเจาะเปลือกไข่เลยเพราะคิดว่าอยู่ในไข่นี้ก็ดีแล้วสุดท้ายไข่ก็เน่าก็เสียต้องเวียนหาไข่ใบใหม่อยู่ตลอดเวลาเมื่อไก่เจาะเปลือกไข่ออกจากไข่แล้วจะไม่มีวันกลับเข้าไปในไข่อีกเลยแต่มีบางจำพวกยังไม่ออกจากไข่แค่เจาะเปลื่อกไข่ได้ก็ยกตนอวดอ้างว่าตนออกจากไข่แล้วนี้แหละที่อัตรายและน่ากลัวที่สุด เปรียบอีกอย่างก็ได้เสมือนเราตัดแขนตนเองขาดแล้วเราเท่านั้นที่รู้ว่าแขนเราขาดแล้วคนอื่นๆจะไม่รู้ไปกับเราด้วยเลยว่าบัดนี้แขนของเราได้ขาดแล้วมีแต่เราเท่านั้นที่รู้ผมถึงใช่คำว่าเราต้องรู้จักตนเองต้องอยู่กับตนเองต้องไม่โกหกตนเองถึงจะเป็นมนุษย์
     
  2. hatcheryorn

    hatcheryorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +2,144


    ขอบคุณ คุณ VERAJAK ค่ะ แบบนี้ น้อมรับคำแนะนำค่ะ ^_^

    ใช้คำพูดแบบนี้ น่าฟัง และทำให้ได้ข้อคิดค่ะ อยากให้เขียนข้อความ ลักษณะแบบนี้

    คนฟังก็สบายใจ เจ้าของคอมเม้นท์ ก็อิ่มบุญ ค่ะ

    คุณพระรักษา เทวดาคุ้มครอง

    ปล. เมื่อเราอยากให้ผู้อื่นให้เกียรติเรา เราต้องให้เกียรติผู้อื่นก่อน
     
  3. hatcheryorn

    hatcheryorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +2,144
    อู้ย ปล่อยให้รอได้ไงค่ะ อยากฟังแล้วงะ (T_T)

    แต่จะรออย่างใจจดใจจ่อนะค่ะ คุณ uthaimai (^_^)


    ตอนเด็ก อยากเป็นนักธรณีวิทยาค่ะ ทั้งแบบนักธรณีวิทยาใต้น้ำ (แบบศึกษาเผ่ามายา ที่จมน้ำมาหลายร้อยปี ) หรือ นักธรณีวิทยา ที่ศึกษา โบราณสถาน โบราณวัตถุต่างๆ ชอบมาตั้งแต่เด็กเลยค่ะ

    แต่ตอนนี้ เดี๋ยวไม่มีภาระแล้ว จะไปเป็นชาวไร่ ชาวสวนค่ะ เป็นความฝันในตอนนี้เลย

    เดี่ยวมีสวนเป็นของตัวเอง จะชวนไปเที่ยวนะค่ะ อิอิ

     
  4. uthaimai

    uthaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    550
    ค่าพลัง:
    +1,344
    ขอบคุณมากๆครับคุณอร สวนคุณอรคงจะน่าเที่ยวมากๆเลยครับ มีสวนของตัวเองอย่างนี้ต้องอายุยืนแน่ เพราะจะได้กินผักปอดสารพิษ ชีวิตยืนยาว
    ใหนๆก็มาแล้ว และได้ฟังคุณอรเล่ามาหลายเรื่อง ผมก็เล่าให้ฟังบ้างก็ได้ครับ
    แต่เป็นเมื่อตอนผมยังเป็นเด็กนะครับ ไม่บอกว่ากี่ขวบเพราะจำไม่ได้จริงๆ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังจำได้ดีเลยครับ เห็นผีบ้านผีเรือน ท่านมาเตือนแกลมหยอกเล่นครับ เรื่องมีอยู่ว่าบ้านผมเป็นครอบครัวใหญ่ คุณยายผมมีลูก 5 คนรวมแม่ผมด้วย บ้านหลังที่ผมอยู่อยู่หลังเดียวกับยายและน้าสาวและแม่ผม แม่และน้าสาวมีลูกคนละ3คนรวม 6คน แม่กะน้าเป็น8 รวมยายกะตาเป็น 10คน ส่วนคนอื่นๆ จะมีบ้านอยู่อีกต่างหากไม่ไกลมาก ป้าและน้าๆที่เหลือยังมีลูกอีกคนละ2-3คน เวลามารวมญาติแต่ละที บ้านแทบพังละครับ แต่ละคนอายุจะไล่ๆกันห่างกันไม่มาก ตรงที่อยู่รวมกันมากๆนี่ละครับมันเป็นที่มาของความคึกคะนองเล่นกันซุกซน เสียงดังบ้างวิ่งไล่กันบ้างทั่วบ้าน และมีแผงๆคือน้องชายผมคนรอง อายุห่างผม 2ปี ดันไปซุกซนอยากดูตุ๊กตาที่อยู่ในศาลพระภูมิ ด้วยว่าตัวก็ต่ำมองไม่ถึงจึงพยายามปีนขึ้นไปหวังจะเอาตุ๊กตามาเล่น จนพระภมูิหักโคนลงมา ทั้งยายทั้งแม่และน้าโกลาหลเป็นการใหญ่ ด้วยกลัวว่าเป็นรางไม่ดี ตกกลางคืน ลูกชายคนโตของน้าสาวผม ซึ่งแก่ก่วาผม 1ปี เกิดตัวร้อนจับไข้ขึ้นมากระทันหัน ร้อนมากๆเลยผู้ใหญ่ต่างไม่สงสัยเลยลงความเห็นเป็นอย่างเดียวกันหมด ยายผมจึงต้องจุดธูปและขอขมากับศาลพระภมูิ ว่าจะตั้งให้ใหม่โดยเร็วและขออภัยแทนหลานด้วย ไม่ทันเช้าก็ตัวเย็นลงและหายเป็นปกติ พี่คนที่ป่วยยังมาต่อว่าน้องผมเลยว่า เอ็งคนทำทำไมไม่เป็นเนาะ เขาดันมาเป็นแทน และคราวที่ผมเจอจังๆก็มีอยู่คืนหนึ่ง ผมเป็นคนที่กลัวเวลาตื่นตอนดึกๆมาก คืนนี้ก็เช่นกันดันปวดฉี่ขึ้นมากลางดึก ลืมตาขึ้นมาดึกสงัดเงียบเฉียบ เอาละซิ บ้านผมเป็นบ้านสองชั้น ผมจะนอนกันชั้นบน นอนรวมกันหลายคนมุ้งใหญ่ มีแม่ น้องชายน้องสาว และลูกน้าคนโต ผมมองดูแต่ละคนหลับสนิททีเดียว ก็ตัดใจค่อยๆเดินลงกระไดไปช้าๆ เพราะข้างล่างปิดไฟมืดหมด ตอนลงไปฉี่นี่ยังไม่ต้องลุ้นครับยังไม่เจอ มาเจอตอนขากลับครับ ขึ้นมาแล้วถึงมุ้งแล้ว เหอออ.....โล่งอกจังไม่มีอะไร ก็เปิดมุ้งเข้าไปนอนต่อ เอนตัวลงนอนที่เดิมแล้วหลับตาลง ออ..บ้านชั้นบนผมจะเปิดไฟไว้ดวงน้อยๆพอมีแสงสว่างครับ แต่พอผมลืมตามาอีกครั้งเหลือบมอง ที่หัวนอนตรงกับผม เจ้ากรรม!ผมเห็นคนยืนกางแขนขาข้างเดียวข้างขวาอีกข้าง"ขาด"เลือดเปลื้อนเสื้อผ้าและตามแขนขา ยืนตัวเอียงหน่อยๆไปทางด้านข้าง แต่ที่สำคัญ หัว!ไม่มีครับ ดันขาดอีก เหออออ.แค่ขาขาดก็เสียวแล้วนี่ดันไม่เอาหัวมาอีก อาการกลัวผีผมขึ้นทันทีครับ ผมขนหัวลุกไปทั่วกายเลย อาการที่สำคัญของคนเห็นผีคือ ต้นคอครับ ร้อนพร่าวไปหมด รีบหลับตาทันที แต่ยังไม่เข็ดครับค่อยๆลืมตาทีละน้อยแบบแอบมอง แต่ไม่ได้ลืมเต็มที่นะ ก็ยังเห็นอยู่ครับ ทีนีเอาอะไรมางัดก็ไม่ยอมลืมตาแน่นอนครับจนหลับไปอีก มาตื่นตอนเช้าก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังครับ จนนานแล้วจึงเล่าให้คนอื่นฟัง ที่ยังจำติดตาเพราะเห็นจะๆเต็มๆแบบตาเนื้อๆนี่เลยครับ ชัดเจน.......
    ผมคิว่าน่าจะเป็นผีบ้านผีเรือนนะ ท่านคงจะรำคาญเลยมาทำให้กลัวจะได้ไม่เล่นซนอีก และมีอีกวันเจ้าน้องชายผมครับ เล่นปิดตาคลำหน้าตาตามตัวแล้วให้ทายว่าเป็นใคร ถ้าทายถูกคนที่ถูกทายก็ปิดตาต่อ พอถึงตาน้องผมมัดตาน้องแล้วเราก็ให้สัญญาณให้น้องเริ่มคลำหาได้ เราเล่นกันอยู่ข้างบนครับผู้ใหญ่อยู่ข้างล่างกันหมด เราเลยร่วมกันแกล้งน้องครับ ปิดไฟและพวกเราก็แอบย่องลงมาข้างล่างกันหมด มานั่งคอยหัวเราะน้องที่ถูกแกล้ง น้องผมวิ่งหน้าตาตื่นลงมา แล้วถามว่าใครยังอยูข้างบนบ้าง พวกเราบอกไม่มีลงมาหมดแล้ว ก็เช็คกันอยู่ครบหมด น้องผมบอกว่าตอนที่คลำก็คลำหน้าใครไม่รู้ถามชื่อก็ไม่ตอบ พอเปิดผ้ามันมืดไปหมดเพราะพวกผมปิดไฟ เขามองไม่เห็นตกใจเลยวิ่งลงมาทันที พวกผมก็ถามว่าแน่ใจเหรอที่คลำเจอหน้าคน น้องผมยืนยันว่าคนแน่ มีจมูกปากหูครบหมดแต่ถามแล้วไม่พูด ผมมองหน้ากันแล้วขนลุกอยู่ในใจ เราก็ไม่เคยเล่นแบบนั้นอีกเลย ก็มีแค่นี้แหละครับ แล้วจะมาติดตามเรื่องของคุณอรต่อไปนะครับ ขอให้เจริญในธรรมครับ...สาธุ
     
  5. hatcheryorn

    hatcheryorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +2,144
    (*_*) เงอะ น่ากลัวจังค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ พอว่างจะเล่าเรื่องที่เจอผี ตอนเด็กประมาณ 7-8 ขวบ ให่ฟังค่ะ ตอนนี้ อ่านแล้วนึกภาพตามเลยงะ แงแง (T_T)
     
  6. hatcheryorn

    hatcheryorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +2,144
    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

    อันนี้น่ากลัวยิ่งกว่าเดิมอีกค่ะ จินตนาการว่าถ้าเป็นเราโดนปิดตาแบบนี้ แล้ว เพื่อนๆ หนีไปหมด แงแง ใจต้องตกลงมาที่ตาตุ่มแน่ๆ เลยงะ

    (*_*)

    กลัวมากๆเลย ทำไมวิญญานในความจริงหน้ากลัวกว่าในหนังอีกอะค่ะ

    แต่ก็สนุกดี ชอบอ่าน แหะแหะ (ชักงง ตัวเอง อิอิ)
    มีอีกเล่าอีกนะค่ะ

    อรขอติดไว้พรุ่งนี้จะเล่าเรื่อง วิญญาน ที่ตายไปยังไม่ครบ ๗ วันค่ะ ลืมไม่ลงจริงๆ จึงเข้าใจว่า ทำไม คุณ uthimai ถึงจำได้ไม่เคยลืม เนอะ

    คุณพระรักษา เทวดาคุ้มครองนะค่ะ
     
  7. hatcheryorn

    hatcheryorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +2,144
    ตอนเด็ก ประมาณ ๑๐ ขวบ ได้ ตอนนั้นครอบครัวอรยังอาศัยอยู่บ้านพักราชการของด่านกักกันสัตว์ เพชรบูรณ์ เพราะพ่อทำงานที่กรมปศุสัตว์

    ถนนเส้นเล็กระหว่างบ้านพักมาถึงถนน สายหลัก ประมาณ ๒๐๐ เมตร แต่ระหว่างทางจะเป็นป่าสัก ที่กรมปศุสัตว์ปลูกไว้เต็มทาง แบบใน music video ราวๆนั้นเลย

    แถวหน้าบ้านพักจะมีรั้วลวดหนาว สองฝากถนน จนถึงป่าสัก จึงไม่มีรั้วกั้นแล้ว ถัดจากป่าสัก จึงเป็นถนนสายหลัก


    สมัยนั้น แม่มีอาชีพขายดอกไม้ จำได้ว่า จะมีดอกไม้ทุกชนิด เต็มบ้านเลย เป็นเข่งๆ แม่ไปรับมาจากปากคลองตลาดโน้น เราจึงเข้าใจ คำว่า วันพระ วันโกนมาตั้งแต่เด็ก


    เราได้ยินเสียงเพลงธรณีกรรแสง ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าเพลงอะไร แต่มีเพลงนี้ดังขึ้นมาก็รับรู้ว่า มีงานศพ


    อรถามพ่อแม่ พ่อบอกว่า ลุงพงศ์ ตายแล้ว แกหัวใจวาย ตาย ซึ่งบ้านของลุงพงศ์ถัดจากบ้านเราไปไม่ไกลนัก เพราะลุงพงศ์ก็เป็นเพื่อนร่วมงานของพ่อ



    ช่วงนั้นเป็นฤดูหนาว หนาวแบบจัดๆ ทุกเช้ามืด อรจะพาน้องสาว (ห่างจากเรา ๕ ปี) ออกไปวิ่งด้วยกัน เพราะถนนหลักของเพชรบูรณ์สมัยก่อน มีทางจักรยาน ไว้เพื่อให้คนใช้วิ่งออกกำลังกาย และปั่นจักรยานออกกำลังกายได้

    อรวัย ๑๐ ขวบ เจ้าเอม ก็อายุเพียง ๕ ขวบ อรใส่ชุดหมีเหลือง เอมใส่ชุดหมีฟ้า (เป็นชุดประจำตอนจะออกไปวิ่งค่ะ )

    วันเกิดเหตุ

    อรตื่นตั้งแต่ ตี ๓ เดินออกมาข้างนอก ที่ชานบ้านก็เห็นแม่เตรียมดอกไม้ไปขายที่ตลาด เราตอนนั้น สูงกว่าเข่งดอกไม้นิดเดียว เข่งสูงประมาณเอวเราได้

    พอเราเห็นดอกไม้เต็มไปหมด ก็ถามแม่ว่า วันนี้วันพระหรือจ๊ะแม่ แม่จ๋า อรพาน้องออกไปวิ่งจ๊อกกิ่งนะ (ไปวิ่งถนนสายหลัก นั่นล่ะค่ะ)


    แม่บอกว่า เพิ่งตี ๓ เองลูกให้สว่างกว่านี้ค่อยไปนะ

    เราผิดหวังเล็กน้อย แต่แอบเจ้าเล่ห์รับปากแม่ว่า สว่างแล้วจะไป

    เพลงธรณีกรรแสง ยังดัง แผ่วๆ เป็นระยะ สมัยก่อน บ้านที่จัดงานศพจะเปิดเพลง ทั้งคืนเลย


    เรากลับเข้าไปนอนตามเดิม เอมยังหลับอยู่ เราเงี่ยหูฟัง พ่อกับแม่ ออกไปตลาด ราวๆ ตี ๔ แม่ก็ออกจากบ้านไปกะพ่อแล้ว

    ทุกอย่างเงียบสนิท เราค่อยย่องออกมาดูพ่อกะแม่ ปรากฏว่า พ่อกะแม่ไปตลาดแล้วจริงๆ เมื่อแน่ใจ ก็ปลุกน้องสาวทันที เอมยังงัวเงีย แต่ก็ตื่น ในวัยนั้น เอมเพิ่งหัดผูกเชือกรองเท้า เราเป็นคนสอนน้องเอง บ้างครั้งก็ช่วยน้องผูกบ้าง


    เช้านั้น ด้วยความอยากรีบไปวิ่ง รับอากาศหนาวๆ (คลั่งไคล้การวิ่งมาก) เรารีบผูกเชือกรองเท้าให้น้อง ซึ่งเราผูกแน่มากๆ ยืนยันค่ะ แน่นจริงๆ

    ในความมืด จากถนนในด่าน ถึงถนนหลัก จะมีไฟตามเสาไฟฟ้าให้แสงสว่าง ตามทางอยู่แล้ว เราจูงน้องเดินไปได้ครึ่งทางแล้ว อีกนิดเดียวจะเข้าเขต ป่าสักที่ด่านปลูกไว้

    เอม น้องสาวของเรา ที่จูงมือมากันสองคน ก็ เขย่ามือเรา และพูดว่า

    "พี่อร เอมกลัว.."

    แค่นี้เราก็รู้แล้วว่า เจ้าตัวแสบ จะพูดอะไรต่อ เราเบรคทันที บีบมือน้องแน่น

    "เอม! ไม่ต้องพูด เงียบเลย" ตวาดน้องซะงั้นเลย หุหุ

    แป้บเดียว เอมก็พูดขึ้นอีก "พี่อร เอมกลัว"

    เรา "บอกแล้วไงว่าอย่าพูด!"

    เอมก็เงียบจริงๆ เงียบได้ ซัก ๕ วินาที แล้วน้องตัวแสบ ก็โพล่งขึ้นมาทันทีว่า

    "พี่อร เอมกลัวผี! "

    เรามองหน้าเอม จะดุน้องอีก

    พอจะอ้าปากจะว่าเอม เอมก็ชิงพูดขึ้นว่าก่อนว่า "พี่อร เชือกรองเท้าของเอมหลุด"

    ด้วยโมโหน้องเป็นทุนเดิม เราเลยบอกว่า "หมัดเชือกรองเท้าเองเลย!" แต่ในใจก็งงว่า ทำไมหลุดนะ เราหมัดแน่นมากๆ

    ตอนนั้น เราเดินถึงป่าสัก พอดี ช่วงป่าสักจะไม่มีไฟให้แสงสว่างเลย มีแสงรำไร จากไฟที่ถนนหลัก สาดเข้ามาเล็กน้อย พอให้เห็นทาง

    เอมก้มลง หมัดเชือกรองเท้า เราไม่รู้ทำไม เราก็เอี้ยวตัวหันไปมองด้านหลัง และแล้ว..................................



    ภาพที่เห็นคือ ห่างออกไปประมาณ ช่วงเสาไฟฟ้าเดียว เสาไฟฟ้าที่ถนนในด่าน ก่อนถึงบ้านพักเรา มีคนยืนอยู่ใต้เสาไฟฟ้าต้นนั้น ที่เห็นเพราะแสงจากเสาไฟฟ้าส่องลงมาที่คนคนนั้น

    พอมองดีๆ คนคนนั้น คือ ลุงพงศ์ นั่นเอง


    เราเหมือนตกอยู่ในภวังค์เลย เพราะในหัวบอกเราว่า อรวิ่ง!แต่ขา มันก้าวไม่ออก พยายามขยับขามันก็ไม่ขยับ เราจำใจมองภาพที่เห็นต่อ


    ลุงพงศ์ใส่ชุดคลุมสีขาว สีรอยสีแดงเหมือนเลือดที่กลาง อก แกทำมือ กอด อก และ สะแหยะ ยิ้มให้เรา

    แล้วลุงพงศ์ก็หันตัวไปด้านข้างเดินทะลุรั้วลวดหนามเข้าไปในความมืดที่แสงจากเสาไฟฟ้าส่องไม่ถึง

    เราได้สติ ตะโกนบอกเอมว่า "เอมวิ่ง!"

    วิ่งนี้ วิ่งไปถนนหลักนะค่ะ เพราะไม่กล้าย้อนกลับบ้าน ซึ่งเห็นลุงพงศ์ ยืนอยู่ตรงนั้น

    เราพาน้องเตล็ดเตร่แถวถนนหลัก หน้าทางเข้าด่าน จนประมาณ ๖โมงกว่า เริ่มมีแดด พ่อก็กลับมา เจอเรากับน้อง ที่ทางเข้า พ่อบอก "ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอลูก มะมะ พ่อจะพาน้องเอมกลับบ้านกับพ่อนะ" พ่อพูดอย่างเอ็นดูน้องมากๆ


    เราล่ะ เรายืน งง อยู่ตรงนั้น พ่อคงคิดว่า เราชอบวิ่งมาก เลยคิดว่า คงอยากวิ่งกลับบ้านเหมือนทุกครั้ง

    เอาล่ะตรู แล้วจะเดินผ่านตรงที่เจอผีลุงพงศ์ได้ไง คิดแล้วก็สร้างความฮึกเหิมให้ตนเอง ไงก็เช้าแล้ว


    เราเดินไปเรื่อยๆ คนเดียว มีแสงแดดเป็นเพื่อน เราเดินผ่านป่าสักแล้ว ใกล้แล้ว จะถึงเสาไฟฟ้าที่เจอลุงพงศ์แล้ว ทำไงดีอร.............. ใจเต้นตึกๆๆๆๆๆๆๆ


    เราเอ่ยแก้สถานการณ์ด้วยการตะโกนร้องเพลงว่า

    "แดดส่องฟ้าเป็นสัญญาวันใหม่ พวกเราแจ่มใสเหมือนนกที่ออกจากรัง................"

    และแล้วเราก็ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพค่ะ อิอิ



    ณ วันที่โตขึ้น ผ้าคลุมที่เห็นลุงพงศ์ใส่ แท้จริงคือ ผ้าห่อศพค่ะ มือที่เห็นกอด อก ก็คือมือที่ถูกหมัดตราสังข์ไว้ ดีนะที่ตอนเด็กยังไม่รู้ ว่านั่นมันผ้าห่อศพ มือที่กอดอกคือ มือถูกหมัดตราสังข์ ไม่งั้น คงได้จับไข้หัวโกรนแน่ๆ

    แหะแหะ


    ปล. แต่เรื่องที่อรเจอผีเนี้ย ยังไม่หน้ากลัวเท่าที่ คุณ uthaimai เจอเลยค่ะ น่ากลัวมากๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2010
  8. marineboy51

    marineboy51 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2007
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +46
    พี่อร หวัดดีครับพี่ ไม่เจอพี่นานเลย ผมปกรณ์ มีนกร 51 มาีรีน KU 60 เฟรชชี่พี่นะครับ ผมก็เลี้ยงกุ้งซีพีมาเกือบ 7 ปีแล้ว กำลังคิดจะลาออกครับ ไม่รู้ว่าคิดผิดป่าว แต่คิดว่าไม่น่าผิดนะครับ เพราะอาชีพนี้มันบาป จับกุ้งทีตายเป็นหลายๆแสนตัว ในทุกกระบวนการทำงานต้องมีการฆ่าตลอด เลยคิดว่า ออกไปหาอย่างอื่นทำดีกว่า บอกเจ้านายว่าจะขอลาออก ท่านบอกว่าให้คิดยาวๆ ผมก็คิดว่าถ้าจะคิดให้ยาวจริงๆ ก็ต้องลาออกเลย เพราะเรายังต้องตายต้องเกิดอีกหลายชาตินัก ถ้ายังติดอยู่กับรายได้จากอาชีพนี้ อนาคตข้างหน้า(ทั้งชาตินี้และชาติหน้า)คงไม่ค่อยสวยเท่าไร ว่ามั๊ยครับพี่ ผมก็เคยไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันมาเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เต็มที่นัก เพราะมันพะวงเรื่องงาน เพราะงานฟาร์มมันทิ้งไม่ค่อยได้ กลับมาก็ทำ้บ้างไม่ได้ทำบ้างตามแต่โอกาสที่มี คราวหนึ่งหัวค่ำกำลังสวดมนต์ไหว้พระ ลูกน้องมาเรียกบอกว่ากุ้งลอยหัว เลยจบ สวดมนต์ได้ครึ่งนึง ต้องไปดูกุ้งในบ่อ ถึงเวลาแล้วที่ผมคิดว่าควรพอเสียที กับอาชีพนี้ หาอย่างอื่นทำดีกว่า ดีใจที่มาเจอพี่ในนี้นะครับ ไงก็ขอให้พี่เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะครับ ^_^
     
  9. magnagiled

    magnagiled เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    596
    ค่าพลัง:
    +1,444
    ขออนุโมทนาบุญกับคุณอรด้วยคนนะครับ

    ได้อ่านเรื่องกรรมทีไรก็กระตุ้นสติได้ทุกที

    พออ่าน คอมเม้นไปเรื่อยๆ ๆ อุ้ย เจอเรื่องผีซะอย่างนั้น อิอิ

    อ่านตอนกลางคืนเรื่อง คลำหน้า น่ากลัวมากก -*--- ไม่น่าอ่านเลย


    พออ่านคอมเม้น<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->VERAJAKผมว่า คุณวีรจักร เป็นคนที่มีความรู้เยอะมากเลยนะครับ
    น่าจะอ่านหนังสือมาเยอะมาก ประสบการณ์ก็เยอะ อ่านแล้วรู้สึกว่า เป๊ะ ได้ความรู้ เก่งมากเลย

    แต่ บางคำก็มีผลต่อจิตใจของคนในแบบที่เขาเรียกว่า ทำร้ายกันด้วยคำพูด
    คนธรรมดา โดนคำพูดบางคำ ก็เสียใจ นะครับ T-T
    แล้วก็ กด space bar กับ enter ตอนพิมพ์หน่อย
    ผมว่าผมคงอยากติดตามอ่านบทความของคุณวีรจักร มากๆเลย

    ถ้าคอมเม้นไม่เหมาะสมอะไรตรงไหนก็แล้วแต่ผมขออโหสิกรรมด้วยนะครับ ผมกลัว
     
  10. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    เราก็เคยเป็นอ่ะ .. เคยคิดว่าจะเปิดร้านอาหาร ..

    ปกติเป็นคนไม่ค่อยทานเนื้อสัตว์ล่ะค่ะ .. แต่ถ้าจะเปิดร้านอาหารมังสวิรัติ ก็กลัวจะขายไม่ได้อีก ...

    เราคิดหลายรอบมาก.. คิดไป คิดมา .. คิดหลายๆๆๆๆรอบ

    เราเลยตัดสินใจ ไม่เปิดดีกว่า..

    การทำงาน ได้เงิน .. แต่ต้องเบียดเบียนสัตว์เล็กสัตว์น้อย .. มันคงเป็นเงินบนความทุกข์ของผู้อื่นอ่ะ..

    อันนี้ อาจจะทำให้หลายคนรู้สึกไม่ดีนะคะ แต่เราคิดว่า .. ถ้าเงินที่เราต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ ได้มาจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต .. เราว่า.. อย่าเลยดีกว่า..

    ทำอาชีพที่ไม่เบียดเบียนสัตว์เล็กสัตว์น้อย ได้เงินน้อยหน่อย แต่เราสบายใจ .. ^^

    อย่าลืมนะคะ .. เวลาคุณตายไป แล้ววิญญาณออกจากร่าง .. สิ่งแรกที่วิญญาณเหล่านั้นคิดถึงก็คือ ... "ชาตินี้ ทำไมฉันทำความดีน้อยจัง T-T "

    ตอนเรามีชีวิตอยู่ เราอาจจะคิดเรื่อง เงินทอง หน้าที่การงาน ความสวยความงาม ... เก็บเงินซื้อรถ ซื้อบ้าน

    แต่พอตายไป.. สิ่งเหล่านี้ ไม่มีความหมายกับเราเลย .. มีแต่ความดีล้วนๆ ..

    ขอให้ทุกคนพึงระลึกสิ่งนี้ไว้เถอะค่ะ ^^
     
  11. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    เข้ามาอ่านค่ะ..............
     
  12. hatcheryorn

    hatcheryorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +2,144

    ขอบคุณนะค่ะ ที่ให้คำแนะนำ อยากมีทางเลือกเหมือนกันค่ะ สำหรับอรนะ เงินน่ะสำคัญ แต่ไม่ได้สำคัญมากที่สุด จะให้บอกว่า เงินมันไม่สำคัญ ไม่ได้หรอก ตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ใช้น้ำ ใช้ไฟ เดินทาง เลี้ยงดูพ่อแม่ ต่างต้องใช้เงิน เงินที่ต้องการไม่ต้องการมากจนโอเว่อร์ ขอเพียงพอดูแลตนเองได้ ไม่ลำบากพ่อแม่ ดูแลท่านได้ ก็พอใจแล้ว อรเรียกว่า "เพียงพอ อย่างพอเพียง"


    ในความเป็นจริง เอาจริงๆเลย จะทำงานอะไร ก็ต้องมี วุฒิการศึกษา อรจบประมงมา ถามว่า ไปสมัครงานด้านอื่นใครจะรับ? จริงหรือไม่? ประสบการณ์ด้านอื่นไม่มี ใครจะรับ จริงหรือไม่ ? งานที่พอจะรับเราทำได้ เงินเดือน ถึง 5000 บาทไหม ไม่ถึง นี้คือความจริง?


    กรรมฐาน สอนการใช้ชีวิตในความเป็นจริง ปรับใช้กับตนเอง


    อาทิเช่น คนรับจ้างต้มกุ้งเป็นๆ ที่ออสเตรเลีย เป็นตำแหน่งที่ให้เงินรายวันสูงกว่าคนงานตำแหน่งอื่นๆ คนงานคนนั้นยอมจำใจทำ เพราะเมียที่บ้าน เพิ่งคลอดลูก ไม่มีเงินซื้อนมให้ลูกกิน เขาเลยยอมทำงานนี้ เพราะงานมันมาอยู่ตรงหน้าแล้ว จะให้เดินหางานอีกหลายๆ ที่ แล้ว ลูก เมีย จะกินอะไร


    ปัจจุบัน ไม่กินกุ้งก้ามกราม เพราะเขามีบุญคุณกับเรา และทำให้เรามีเงินมาเลี้ยงดูบิดา มารดา อีกอย่างไม่เคยเอาเงินที่ได้ไปกินเหล้าเมายา เพราะเป็นคนไม่กินเหล้า แต่เอาไปบำรุงศาสนา เอาไปช่วยเหลือเด็กเป็นโรคมะเร็ง



    ในความจริง คนที่ทำงานไม่ต้องฆ่าสัตว์เลย อาชีพที่ดี เพราะมีบุญสะสมมาดี น่าดีใจด้วย แต่อรเห็นเยอะนะ เอาเงินที่ได้มาเนี้ย ไปกินเหล้า เมายา ไม่เคยบำรุงศาสนา ไม่เคยเผื่อแผ่คนอื่น ล่ะ


    บางครั้งคนเราน่าจะเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง ค่ะ คุณพูดได้เมื่อคุณยังไม่ได้ลงมาอยู่ในสถานะอย่างคนคนนั้น อรไม่ได้เป็นคนมีเงิน ร่ำรวยหรอกนะค่ะ ชีวิตในชาตินี้ ก็ยากจน แล้วจะให้ลาออกไป หางาน ไม่ต้องฆ่าสัตว์ 5 พัน 6 พันบาท แล้ว อรถามกลับนะ

    "พ่อแม่ อรจะกินอะไร" ถ้ามีโอกาส ซึ่งพยายามอยู่อย่างยิ่งยวดในอนาคต ก็วาดฝันว่า จะทำการเกษตร ไม่เบียดเบียนสัตว์ ขอเพียง เข้าใจกันบ้าง ว่าตอนนี้น่ะ ยังไม่ได้ ถ้าเรียนจบด้านอื่นคงไม่ต้องมาฆ่ากุ้งแบบนี้ คุณน่าจะเข้าใจ เรื่อง กรรม เพราะ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "ในโลกนี้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ" เราต้องเรียนรู้ ที่จะรับมือ
     
  13. hatcheryorn

    hatcheryorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +2,144
    ขอบคุณค่ะ
     
  14. hatcheryorn

    hatcheryorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +2,144
    เรื่องตายน่ะ เคยตายแล้วค่ะ เข้าใจดีว่า เรื่องความดีมันมีผลมาก ไม่เคยลืม อีกอย่าง อรไม่เคยบอกว่า เป็นคนเห็นแก่เงินนะค่ะ โปรดเข้าใจด้วย

    อย่าประเมินว่า ใครเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่รู้จักคนคนนั้นอย่างลึกซึ้ง เราต้องรู้จักการให้เกียรติผู้อื่น หากต้องการให้ผู้อื่นให้เกียรติเราค่ะ ^^
     
  15. gaiou419

    gaiou419 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +716
    คุณอรคะ คนที่อบรมมาดีมีธรรมะในใจ จะเกิดสติปัญญา พร้อมทั้งความเมตตา
    ไม่ปรารถนาจะเบียดเบียนผู้ใดแม้ทางคำพูด และการกระทำ ไม่ด่วนตัดสินคน เพราะ
    วางอุเบกขาได้ในระดับหนึ่ง เข้าใจว่าแต่ละคนนั้นก็มีกรรมเป็นของตนเอง
    ฉะนั้นเราก็จะรู้ได้ว่าคำพูด ที่เขียนมาของคนบางคนนั้น ไม่ได้มีตรงนี้เจือ
    ถึงจะยกคำพระพุทธเจ้ามาอย่างหรูหรา แต่ลืมสำรวจตัวว่าพูดจากระทบกระทั่ง
    เบียดเบียนผู้อื่น โดยไม่ได้ดูเจตนาอันบริสุทธิ์ของเขาว่าการมาเขียนเรื่องราว
    ตรงนี้ เขาต้องการอะไร คนที่เห็น ก็เห็นแต่ช่องที่จะเข้ามาจับผิด แล้วก็สอนสั่ง
    จำแนกคุณโทษ เทศน์โปรดคุณไปซะเลย ยิ่งที่ว่าอุปมาให้ได้คิดว่าหลอกลวง
    โกหกต่างๆ อ่านแล้วก็เศร้าใจค่ะ บางทีก็บอกว่า ไม่อยากให้คุณอรทำบาปมาก
    ไปกว่านี้ อย่างนั้นอย่างนี้บ้างไม่พยายามที่จะทำความเข้าใจสภาพ เหตุผล
    และความเป็นไป จ้องแต่จะเอาผิด ถือว่าตนยังทำได้ อะไรต่อมิอะไร
    ขอคุณอรอย่าท้อแท้ในการสร้างกำลังใจให้พวกเราที่ติดตามอ่านนะคะ
    ดิฉันเข้าใจเหตุผลคุณและเคารพในเหตุผล และความคิดส่วนตัวของคุณ
    ดิฉันเองก็ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันมา ถึงไปแค่ 7 วัน แต่ปาฏิหารยร์ก็เกิดให้ได้
    ประจักษ์ในความอัศจรรย์ของธรรมะ ดิฉันเชื่อในสิ่งที่คุณอรพูด และเจตนาที่คุณ
    ต้องการจะสื่อ ดิฉันเข้าใจค่ะ เพราะหากไม่ได้อ่านกระทู้แบบที่เคยอ่านจากคุณมาก่อน
    ดิฉนก็คงไม่คิดจะไปปฏิบัติ เพราะคิดว่าธรรมะเป็นเรื่องใกลตัว เพราะอ่านมากก็
    เกิดกำลังใจว่าหากเขาทำได้เราก็ต้องพยายามอย่างเขาบ้าง
    ดิฉันอยู่เมืองนอกมาตลอด ไม่มีโอกาสศึกษาธรรมะให้เข้าใจ อาศัยอ่านเอา
    ตามกระทู้แบบนี้ จนเกิดเป็นแรงผลักดันให้กลับเมืองไทยไปลองปฏิบัติบ้าง
    ไปวัดหลวงพ่อจรัญ เพราะอ่านหนังสือท่านเยอะ แล้วก็รักท่านมาก ตั้งใจเต็มที่
    แต่ไปก็ต้องพบกับความประหลาดใจ คนที่ไปส่วนใหญ่ไม่ได้คิดเหมือนๆกันทั้งหมด
    ในห้อง มี 2-3 คนที่สามี มีเมียน้อย มาเพราะกลุ้มใจ คิดว่ามาทำกรรมฐานแล้ว
    สามีจะกลับมา (แต่เวลาปฏิบัติ เขาจะหลบมานั่งคุยกันบ้าง นินทาสามีบ้าง ไม่ได้
    ตั้งใจทำจริงๆจังๆ) มีพี่อีกคนที่มาปฏิบัติได้ 8 ปีแล้ว (ฟังดูน่าทึ่งใช่ไหมคะ) แต่
    เขาบอกดิฉันว่าเขามาเพื่อสายสะพาย เขาอยากเป็นคุณหญิง อีกคนมาปฏิบัติ
    เพื่อให้ขอวีซ่าไปอเมริกาได้ บางคนมาเพราะพ่อ แม่จ้าง อีกคนมาแก้บน และอีก 2
    คนก็ชอบค่อนแคะกระแหนะกระแหนผู้ปฏิบัติคนอื่นว่า ทำผิดศีลข้อนี้ๆ ตนนั้นแล
    บริสุทธิ์ที่สุด
    เอาแค่นี้ดิฉันก็งงเป็นไก่ตาแตกแล้ว เพราะคิดว่าคนมาปฏิบัติได้ต้องมีบุญ
    มีความตั้งใจ มุ่งมั่นที่จะมาทำความดี ดิฉันมาโดยไม่มีความทุกข์ ไม่ได้อยากได้
    อะไร หรือโกรธใคร แล้วจึงมาปฏิบัติ แล้วก็อดทนต่อเวทนา เพราะถือคำครู
    บาอาจารย์เป็นหลัก ท่านให้นั่งเท่าไหร่ก็จะนั่งเท่านั้น ไม่ตัดไม่ทอน ไม่นอนกลางวัน
    แต่ไปล้างห้องน้ำวัด กวาดลานบ้าง ที่ทำแบบนี้ ก็เพราะอ่านมาจากกระทู้เหมือนของ
    คุณอรมาก่อนว่าเขาทำกันแบบนี้ เลยใช้เป็นมานะ ไม่อยากมาเสียโอกาส
    วันที่ 6 ก็ได้ของดีเลย จิตบอกว่าได้แล้ว (ไม่ใช่บรรลุนะคะ) แต่แยกการทำงาน
    จิตออกว่าทำงานอย่างไร คำว่า สติไปทำหน้าที่ควบคุมจิต ได้ยินมาเป็นร้อยครั้ง
    แต่ไม่เคยรู้ลึกซึ้ง น้ำตาอาบหน้าว่า "มันเป็นอย่างนี้นี่เอง" จากนั้นจิตก็สอนอีก
    ว่าทำไมต้องอาปาณสติ อธิบายละเอียดแจ่มแจ้ง รู้ลึกไปทุกรูขุมขน เป็นอุบายครู
    บาอาจารย์ ท่านต้องการให้เราทำอย่างนี้เพื่ออะไร ธรรมะคือธรรมชาติ และสิ่งที่
    เราทำก็คือเราไปรู้ธรรมชาติ ก่อนหน้านั้นดิฉันมีคำถามที่ฝังลึกในใจ และไม่เข้าใจ
    ว่าการมานั่งดูลมหายใจตัวเอง ทำไปเพื่ออะไร แต่มีศรัทธา แม้ไม่รู้ แต่เชื่อในคำ
    หลวงพ่อว่าไม่ผิดแน่นอน แต่พอจิตตอบแล้ว ก็ไม่มีข้อสงสัยอะไรอีกว่าปฏิบัติไปทำไม
    ภาวะที่เกิดขึ้น ได้ดับไปแล้ว ดิฉันเข้าใจว่า ไม่ควรยึดติดหวงแหนมัน
    แค่รับรู้ว่าเป็นอย่างไรก็ดีมากพอแล้ว ดิฉันยังอ่อนหัดมากๆ คืนนั้นที่จิตเปิด มันก็รับ
    เอาทุกอย่างเข้ามา ทั้งเปรต สัมภเวสี เทพฯ ดิฉันกลัวจนแทบสิ้นสติ ต้องขอให้
    หลวงพ่อท่านช่วยปิดให้ พูดไปใครไม่เชื่อก็ช่างเขา
    ที่มาเขียนนี้ อยากเป็นกำลังใจให้คุณอร ต้องมีใครสักคนที่อ่านกระทู้คุณแล้ว
    เกิดประกายความคิดอยากรู้ อยากปฏิบัติบ้าง เป็นบุญของคุณแล้วค่ะ เหมือนกัน
    ที่ดิฉันเคยอ่านของคนอื่น แล้วเกิดจุดประกายเช่นเดียวกัน
    ดิฉันกลับมาเมืองนอกแล้ว ก็พยายามปฏิบัติต่อ เท่าที่โอกาสอำนวย
    บางทีก็เกิดอาการขี้เกียจ แต่มาอ่านเรื่องคุณอรก็เลยเกิดกำลังใจใหม่อีกครั้ง
    (เห็นไหมคะ คุณอรได้บุญแล้ว) ดิฉันยังอ่อนหัดอยู่ค่ะ ไม่รู้อะไรมากเท่าไหร่
    แต่ก็รู้สึกเสียใจที่คนบางคนมาตีเจตนาคุณอรผิดๆ บ้าง เพราะถึงเขาอ่านแล้ว
    ได้อะไรลบลบ ดิฉันได้ประโยชน์ ได้แต่บวก บวกค่ะ
    เป็นอีกหนึ่งกำลังใจ อย่าท้อนะคะ ดิฉันท้อก็มาอ่านเรื่องคุณอร คุณอร
    ท้อก็ช่วยอ่านคำของดิฉันบ้าง คนเรามีกรรมไม่เหมือนกัน เรื่องอาชีพคุณอร
    คุณมีสติ รู้ตัว และก็รู้ว่าไม่ดี แต่ดิฉันมาอ่านเรื่องการปฏิบัติของคุณ ไม่ใช่
    เรื่องอาชีพส่วนตัวของคุณค่ะ ชื่นชมที่คุณมีจิตคิดให้ธรรมะเป็นทาน คุณสำรวจ
    และรู้ตัวเอง แม้เรื่องอาชีพ การปฏิบัติตัวกับผู้อื่น ขณะที่อีกหลายคนยังทำไม่ได้
    อย่างคุณนะคะ
     
  16. hatcheryorn

    hatcheryorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +2,144
    สวัสดีค่ะ คุณgaiou419

    อรขอขอบคุณมากนะค่ะ อ่านแล้ว มีกำลังขึ้นเยอะเลย แบบจุกที่คอพูดไม่ออก เพราะคุณเข้าใจ ว่าอรพูดถึงอะไรได้ครบถ้วนมากค่ะ สมที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเหมือนกันเลยค่ะ


    อรเองเข้าใจ ที่คุณเล่าเรื่อง คนที่ไปวัดอัมพวัน อรเจอเจอะค่ะ สร้างความขุ่นใจให้อร พอประมาณ เพราะ ทุกครั้งที่ไปทำกรรมฐานที่วัด ทุกครั้ง จะมีเด็กใหม่มาเยอะๆ เสมอ กี่ครั้งก็ยังมีเด็กใหม่เยอะมาก

    เขามาเขาก็ทำตามใจตัวเอง ไม่สนใจกฏการอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก สงสารหลวงพ่อที่เป็นเจ้าภาพ ดูแล ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ให้คนเหล่านั้น


    แต่หลวงพ่อ ก็เคยพูดเรื่องนี้มานานแล้ว ว่ามาเป็นพัน จะมีดีก็เพียงไม่กี่คน เท่านั้น นอกนั้นไม่ตั้งใจกันเลย

    สมัยเมื่อปี 2541 อรเป็นนิสิต ม.เกษตรไปปฏิบัติครั้งแรกน่ะค่ะ สมัยป้าสุ่ม ทองยิ่ง ยังไม่ละสังขาร ป้าสุ่ม ขึ้นมาที่ศาลา บอกกับพวกอรว่่า " ป้าจะยอมเป็นป้าใจร้ายเพื่อให้หนูๆ ได้ดีกลับไป ไม่เสียเวลาที่ได้มาที่นี้"


    ถึงวันนี้ต้องขอบคุณท่านมาก และ แม่ครู พรรณทิพย์ ค่ะ ไม่มีท่านๆ อรคงไม่ได้ หัวใจพระกรรมฐาน แน่นอน มีครั้งนึง อยู่วัด 8 วัน วันที่ 8 ก็ยังไม่กลับตอนเช้าแบบคนอื่น ยังปฏิบัติถึงเที่ยงค่ะ จนแม่ครู ท่านว่าให้ค่ะ ว่า " กลับๆ ไปกันได้แล้ว เบื่อหน้าแล้วล่ะ" แต่ท่านพูดแบบ อมยิ้มนะค่ะ

    เพราะท่านรู้ว่าเราทำได้แล้ว เข้าใจที่ท่านสอนแล้ว มีหลายครั้งที่คุยกับท่านแบบ อรคิดในใจ แต่ท่านก็ตอบออกมา ด้วยคำพูดในตอนนั้นเลย

    เช่น ไม่อยากออกไปเดินลานดิน ท่านก็ตอบออกมาเลยว่า หัดไปเดินลานดินบ้าง ให้เท้าสัมผัสดิน เลยเหลือบตามองหน้าท่าน แล้วลุกไปลานดินเลยค่ะ หุหุ

    อีกครั้ง อรก้มหน้าลงมาก มองเท้าเวลาเดินจงกรม เลยพูดในใจว่า แม่ครูค่ะ อรเดินก้มหน้าขนาดนี้ ถูกไหมอะค่ะ แล้วท่านก็พูดเบาๆขึ้นมา (เพราะคนอื่นกำลังปฏิบัติอยู่เช่นกัน) ท่านก็เดินมาใกล้ๆ แล้วบอกว่า "อย่าก้มมากลูก เดี๋ยวจะปวดหลัง"

    บางครั้ง อรฟ้องหลวงพ่อ ด้วยค่ะ วันนั้น เป็นหลวงพี่มาคุมการปฏิบัติธรรม แต่หลวงพี่ไม่เอานาฬิกาจับเวลามา ท่านบอกว่า เดิน เท่านี้ นั่งเท่านี้ แต่ไม่มีนาฬิกาบอกเวลา เวลาเราจะเปลี่ยนเดิน มานั่ง อะค่ะ อรเลยฟ้องหลวงพ่อในใจเลย "หลวงพ่อเจ้าค่ะ หลวงพี่ ลืมเอานาฬิกามาเจ้าค่ะ จะเดินนั่ง อาศัยฟังเสียงนาฬิกาที่ดังทุก 15 นาทีเอาเอง" แฮะๆๆๆ แบบว่าที่ฟ้อง เพราะหลวงพ่อเคยบอกว่า ฟ้องได้ ถึงจะพูดในใจ แต่ท่านได้ยินไปถึงกุฏิท่านเลยค่ะ เลยขอฟ้องนิดนึง -_-


    ช่วงบ่าย หลวงพี่ ถือนาฬิกา จับเวลามาจริงๆ ค่ะ เราเลยปฏิบัติกันได้ สะดวกตามปกติ





    แล้วช่วงบ่าย
     
  17. hatcheryorn

    hatcheryorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +2,144

    ถูกต้องแล้วค่ะ เย้เย้ ดีใจด้วยนะค่ะ คุณ gaiou419 เข้าใจถูกแล้วค่ะ ร่างกายเราจะสอนเราเอง จะทำให้เข้าใจ ว่านี้ล่ะ วันนี้ทำกรรมฐานได้ วันนี้ทำไม่ได้

    ครั้งแรกที่อรทำได้ อรมีความสุขมาก ยังพูดกับตัวเองว่า นี้ล่ะ ความสุขที่แท้จริง มันสงบ โล่งใจ สบายใจ อธิบายยากเนอะ อิอิ


    ของคุณ เป็นไปตามหลักของการฝึก ถูกต้องเลยค่ะ ต้องมา 7 วันถึงจะชัดเจน สำหรับคนไม่เคยปฏิบัติมาก่อน เพราะ การฝึกฝนต้องใช้เวลา อรดีใจที่คุณไปไม่เสียเที่ยวค่ะ

    ตอนที่อร ทำได้ ครั้งแรก เป็นวันที่ 3 ค่ะ ใช้กรรมสัตว์ แต่เหมือนแม่ชี ท่านจะรู้ล่วงหน้าแล้ว ว่าโดนแน่ ท่านเลยพูด เตือนไว้ว่า วันนี้ วันที่ 3 จะเหมือนนรกมากๆ แต่ผ่านไปได้จะเป็นสวรรค์เลย พยายามผ่านไปให้ได้ เจ้ากรรมนายเวร เขาจะมาพิสูจน์จิตใจเรานะ ว่าตั้งใจจริง หรือไม่ ที่จะชดใช้กรรม

    ก็ได้ใช้กรรม ณ วันนั้น ได้เจรจากับ มดดำที่อรเผาตอนเด็กๆ วันที่ 4-8 ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทำกรรมฐานตลอดเวลาค่ะ คือพูดน้อย เพราะในใจกำหนด ตลอดเวลา เดิน นั่ง ดื่มน้ำ ขึ้นบันได อาบน้ำ นอน ทุกอย่าง เป็นการคุมจิตอีกอย่าง อย่างน้อยจิตก็ไม่วิ่งหนีไปไกล ยังคงวิ่งเหยาะๆ รอบตัวเรา
     
  18. hatcheryorn

    hatcheryorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +2,144
    ตอนนั้น คุณอาจจะยัง รับมือกับสิ่งเหล่านี้ ได้ ไม่ดีนัก แต่แท้จริงแล้ว คุณปฏิบัติได้แล้ว บุญจากการทำกรรมฐาน เป็นบุญใหญ่ที่สุด อันดับ 1 เมื่อคุณปฏิบัติได้ สัมพเวสี เปรต ก็อยากจะขอแบ่งบุญกุศลให้เขาบ้าง เพราะ คนที่จะเจอ คือคนที่มีบุญ ถ้าไม่มีบุญ ไม่มีใครมาขอ หลวงพ่อ บอกว่า ให้ดีใจเพราะเรามีบุญพอที่จะช่วยผู้อื่นได้


    เทวดา ที่มา ท่านคงมาอนุโมทนาบุญให้ค่ะ


    อรอ่านแล้วดีใจด้วยจริงๆ ใครเชื่อหรือไม่เชื่อ ต้องแล้วแต่คนนั้นค่ะ เพราะถ้าปฏิบัติได้ พิสูจน์ด้วยตนเองแล้ว จะเข้าใจ แต่อรเชื่อ 100 % เพราะพิสูจน์แล้วค่ะ

    หลวงพ่อ ท่านสอนดีมาก อย่านะโยม อย่าเพิ่งเชื่อ ลองไปทำดูก่อน อรเลยลองทุกอย่าง ค่ะ ตามเรื่องต่างๆที่เขียนไว้
     
  19. hatcheryorn

    hatcheryorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +2,144


    ปลื้มใจมากค่ะ ขอบคุณมากนะค่ะ มีกำลัใจขึ้นเยอะเลยค่ะ
     
  20. gaiou419

    gaiou419 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +716
    ค่ะ แม่ชีพรรณทิพย์ก็บอกลอยๆ ว่า ให้ไปปฏิบัติที่ลานดินเสียบ้าง เหมือนอะไรมาดลใจ
    ลุกไปเดี๋ยวนั้นเลยค่ะ แล้วที่ได้ ก็ได้จากลานดิน ใต้ต้นหูกวาง ได้เสร็จ ความกตัญญูมา
    เอง ดลใจให้เห็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่มหาศาลของครูบาอาจารย์ แม้กระทั่งรุกขเทวดา
    ก็สำนึกบุญคุณที่ท่านช่วยกันแมลงวัน หมาขี้เรื้อน อีกทั้งลมที่พัดอย่างเป็นใจ เลยแขวน
    มาลัยไปพวงหนึ่ง เพื่อนร่วมห้องมาเห็น นึกว่าขอหวยค่ะ
    คุณอรคะ ดิฉันน่าจะเป็นรุ่นสุดท้ายที่แม่ชีพรรณทิพย์เมตตาสอน รู้สึกจะมี
    การเปลี่ยนแปลงให้พระ เป็นอาจารย์สอนแทน ดิฉันก็เสียดาย เพราะแม่ชีเป็นผู้ได้รับ
    มอบหมายโดยตรงจากหลวงพ่อ (น่าจะเพราะแม่ชีทราบวาระจิตแต่ละคน และสอบ
    อารมณ์ได้) อันนี้เท็จ จริงอย่างไร คุณอรพอจะทราบไหมคะ
    ดิฉันรู้สึกอนุโมทนาที่คุณอรได้มาไกลขนาดนี้ เริ่มมีความรับรู้รับเห็นที่เป็นทิพย์
    ดิฉันเองเป็นคนกลัวผีตั้งแต่เด็ก เพราะเคยได้เจอหลายครา ถึงจะรู้ว่าเขาก็เหมือนกับ
    เราๆ เราก็เคยและจะเป็นเหมือนเขา และเขามาไม่ได้มุ่งร้าย ส่วนใหญ่ก็มาขอบุญ
    แต่ก็ยังทำใจไม่ได้ค่ะ เลยขอแบบไม่รู้ไม่เห็นดีกว่า คุณอรคะ ดิฉันเป็นผู้หญิงแกร่ง
    และไม่ค่อยจะเจ็บกับใคร โดยเฉพาะเรื่องความรัก ดิฉันมีจิตใจหนักแน่นเหมือนชาย
    ไม่กลัวอะไร และใคร ยกเว้นเรื่องผีๆ กับการอยู่คนเดียวในที่มืดๆ มีคำแนะนำให้
    บรรเทาลงบ้างใหมคะ คงไม่หายขาด แต่เบาๆ ลงก็คงจะดีไม่น้อย ขอบคุณล่วง
    หน้าค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...