พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อวานนี้ ผมคุยกับน้องท่านนึง ที่เรียนหนังสือไม่ได้จบสูง

    แต่มีความคิดที่มากด้วยปัญญา มากกว่าคนที่เรียนจบสูงบางคนอีก

    น้องครับ

    ทำไปเถอะครับ สำหรับความดี และมีความเคารพในครูบาอาจารย์ มีความกตัญญูกตเวที สิ่งนี้จะเป็นเกราะคุ้มครองตนเองไปอีกนานเท่านานครับ

    สิ่งหนึ่งที่น้องท่านนี้คุยกับผมก็คือ บางเรื่องที่เป็นสิ่งที่สำคัญ ต้องดูว่า จะบอกใครได้บ้าง สมัยโบราณ ผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ยังต้องคัดเลือกลูกศิษย์ แต่ในสมัยโบราณ จริยธรรมของมนุษย์มีสูงกว่าในปัจจุบันมากมายนัก

    ดังนั้น หลังจากนี้ไป การจะบอกอะไรก็ตาม คงต้องดูกันไปเป็นกรณี หรือการให้อะไรใคร หรือการบอกบุญต่างๆ ต้องดูกันเป็นกรณี

    ที่ผมเชื่อว่า ยากมากก็คือ เรื่องของการสมัครชมรมใหม่ที่จะตั้งขึ้น ต้องยากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน ชมรมใหม่ที่จะตั้งขึ้น ไม่เป็นห่วงเรื่องของสมาชิก ไม่เอาปริมาณ เน้นคุณภาพ ผมตั้งใจให้สมาชิกชมรมใหม่ที่จะตั้งขึ้น มีคุณภาพที่คับแก้วให้ได้

    ผมแจ้งไว้ในวันนี้เลยว่า หลังจากการเปิดรับสมาชิกทั่วๆไปแล้ว การที่จะสมัครได้ต้องมีการเข้ามาพูดคุยกันในกระทู้พระวังหน้าฯ อย่างสม่ำเสมอ มีการร่วมทำบุญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง และ งานบุญอื่นๆที่มีการแจ้งในกระทู้พระวังหน้าฯอย่างสม่ำเสมอ

    ซึ่งหากจะสมัครโดยผ่านประธานชมรมฯ หรือ รองประธานชมรมฯ หรือ เลขานุการชมรมฯ โดยไม่มีการร่วมทำบุญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง และ งานบุญอื่นๆที่มีการแจ้งในกระทู้พระวังหน้าฯอย่างสม่ำเสมอแล้ว

    ผมจะใช้สิทธิของผมคัดค้านการรับสมัครของบุคคลท่านนั้นอย่างแน่นอน





    .


    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สงครามเงินตรา การเงินระลอกใหม่ของอเมริกา


    โดย เกษียร เตชะพีระ


    <style>p { margin: 0px; }</style>
    <table align="left" border="0" cellpadding="1" cellspacing="5" width="20%"> <tbody> <tr bgcolor="#400040"> <td>[​IMG]
    โจเซฟ สติ๊กลิทซ์ และ ไมเคิล ฮัดสัน

    </td></tr></tbody></table>นับ แต่ธนาคารกลางสหรัฐ (The Federal Reserve - FED) ดำเนินมาตรการ Quantitative Easing (QE) 1 หรือการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบแรกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอเมริกันให้ฟื้นหลัง วิกฤตซับไพรม์และภาวะเศรษฐกิจถดถอยใหญ่ (กล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงคือคณะกรรมการตลาดการเงินแห่งธนาคารกลางสหรัฐ หรือ the Federal Open Market Committee - FOMC เป็นผู้ดำเนินโครงการซื้อสินทรัพย์ขนานใหญ่ หรือ Large Scale Asset Purchase Program) ระหว่าง 25 พฤศจิกายน ค.ศ.2008 ถึงเดือนมีนาคมศกนี้ เฟดได้กว้านซื้อพันธบัตรกระทรวงการคลังสหรัฐและหลักทรัพย์คุณภาพสูงอื่นๆ จากตลาดไปรวมทั้งสิ้นประมาณ 1.75 ล้านล้านดอลลาร์ แล้ว

    ("Fed Gets Ready to Pump $600 Billion More Into US Economy", VOANews.com, 4 November 2010, www.voanews.com/learningenglish/home/Fed-Gets-Ready-to-Pump-600-Billion-Into-Economy-106730573.html)

    แบ่ง คร่าวๆ เป็นพันธบัตรของกระทรวงการคลังสหรัฐ 3 แสนล้านดอลลาร์+ตราสารหนี้ของ Fannie Mae และ Freddie Mac (บรรษัทสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่รัฐบาลอเมริกันถือหุ้นใหญ่) 1.5 แสนล้านดอลลาร์+ตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อจำนองที่อยู่อาศัยหนุนหลัง (MBS) ซึ่งให้อัตราดอกเบี้ยคงที่และค้ำประกันโดย Fannie Mae, Freddie Mac และ Ginnie Mae (บรรษัทของรัฐทำหน้าที่บริหารจัดการ MBS เพื่อช่วยเหลือผู้ซื้อ-ผู้เช่าที่อยู่อาศัยรายได้ต่ำ-ปานกลาง) อีก 1.1 ล้านล้านดอลลาร์+อื่นๆ

    เหล่านี้ทำให้ยอดสินทรัพย์ของเฟดเพิ่มขึ้น เป็นราว 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ ในนี้รวมทั้งราว 1/5 ถึง 1/4 ของยอด MBS ค้างชำระที่ค้ำประกันโดยกระทรวงการคลังและหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐอื่นๆ ทั้งหมด

    ส่ง ผลให้ฐานเงินของเศรษฐกิจอเมริกัน (monetary base หมายถึงยอดรวมสินทรัพย์การเงินที่เป็นสภาพคล่องของประเทศ ประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญที่ชาวบ้านจับจ่ายใช้สอยหมุนเวียนอยู่ในระบบ, และที่เก็บไว้ตามตู้นิรภัยของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ, รวมทั้งเงินสดสำรองที่ธนาคารพาณิชย์ถูกกำหนดให้ต้องฝากไว้กับธนาคารกลาง ด้วย) ขยายตัวจาก 8.3 แสนล้านดอลลาร์ เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ.2007 -> ราว 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ ในปีปัจจุบัน ซึ่งในจำนวนนี้ ยอดเงินฝากที่สถาบันเงินฝากทั้งหลายฝากไว้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ ก็เพิ่มขึ้นจาก 1-1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อ ธันวาคม 2007 -> ราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ด้วยเช่นกัน (James Bullard, "Quantitative Easing : Uncharted Waters for Monetary Policy", The Regional Economist, January 2010, www.stlouisfed.org)

    แล้ว มาตรการ QE2 ล่าสุดของเฟดที่ประกาศจะปั๊มเงินเข้าสู่เศรษฐกิจสหรัฐเพิ่มอีก 6 แสนล้านดอลลาร์ เมื่อ 3 พฤศจิกายนศกนี้ จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐที่ชักแผ่วลงให้กระเตื้องขึ้นจริงหรือ?

    เกี่ยวกับเรื่องนี้ โจเซฟ สติ๊กลิทซ์ นักเศรษฐศาสตร์อเมริกันผู้ได้รางวัลโนเบลเศรษฐศาสตร์ปี ค.ศ.2001 และวิพากษ์วิจารณ์แนวนโยบายโลกาภิวัตน์เสรีนิยมใหม่ของอเมริกามาตั้งแต่ ครั้งวิกฤตต้มยำกุ้ง ค.ศ.1997 เคยวิเคราะห์ไว้เมื่อหนึ่งเดือนก่อนว่า : -

    ดัง นั้น เงินที่อัดฉีดมันจะไม่เข้าไปสู่เศรษฐกิจอเมริกันหรอกครับ เอาเข้าจริงระดับการปล่อยกู้ในอเมริกาตอนนี้ต่ำกว่าเมื่อปี ค.ศ.2007 ด้วยซ้ำไป ในเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์น่ะ เงินจะมองหาที่ๆ ดีที่สุดที่จะไป แล้วมันเจอที่ดีที่สุดตรงไหนล่ะ? ก็ในประเทศตลาดเกิดใหม่น่ะซี ดังนั้น เรื่องตลกร้ายก็คือเงินที่ตั้งใจไว้ว่ามันจะจุดเศรษฐกิจอเมริกันให้ลุกติด พรึ่บขึ้นมาใหม่กลับไปก่อความฉิบหายวายป่วงขึ้นทั่วโลก คนที่อื่นในโลกเขาพากันพูดว่าสิ่งที่สหรัฐกำลังพยายามทำนั้นเป็นนโยบาย "สูบเพื่อนบ้านให้จนกรอบ" ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของเหตุเศรษฐกิจตกต่ำใหญ่ทั่วโลก (เมื่อคริสต์ทศวรรษที่ 1930) แล้วเอามาปรับโฉมใหม่ในแบบคริสต์ศตวรรษที่ 21 กล่าวคือ คุณเสริมตัวเองให้แข็งแกร่งโดยทำร้ายคนอื่น ทุกวันนี้คุณดำเนินนโยบายคุ้มครองเศรษฐกิจการค้า (protectionism) แบบเก่าโดยขึ้นพิกัดอัตราภาษีไม่ได้แล้ว แต่ที่คุณทำได้ก็คือลดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของคุณลง และนั่นแหละคือสิ่งที่อัตราดอกเบี้ยต่ำกำลังพยายามทำ คือทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง สภาพคล่องที่ไหลท่วมทะลักออกไปต่างประเทศกำลังพยายามผลักดันอัตราแลกเปลี่ยน เงินตราในต่างประเทศให้สูงขึ้น และพวกชาวต่างประเทศเขากำลังพูดว่า "เราปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นไม่ได้"

    ("Nobel Laureate Joseph Stiglitz : Foreclosure Moratorium, Government Stimulus Needed to Revive US Economy", Democracy Now!, 20 October 2010)

    ผู้นำประเด็นของสติ๊กลิทซ์ไปอธิบายขยายความได้ตรง-คม-แรง-และชัดได้แก่ ไมเคิล ฮัดสัน อดีตนักเศรษฐศาสตร์วอลล์สตรีท ที่ผันตัวเองมาเป็นศาสตราจารย์วิจัยดีเด่นด้านเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย มิสซูรี ณ แคนซัสซิตี้ สหรัฐอเมริกา และประธานสถาบันเพื่อการศึกษาแนวโน้มเศรษฐกิจระยะยาว ผู้เขียนหนังสือ Super Imperialism : The Economic Strategy of American Empire (ค.ศ.1972, พิมพ์ครั้งที่สอง ค.ศ.2003) เขาได้ให้สัมภาษณ์รายการทีวี Democracy Now! เรื่องนี้เมื่อ 5 พฤศจิกายน ศกนี้ (ดู www.democracynow.org/2010/11/5/new_600b_fed_stimulus_fuels_fears) ว่า : -

    ผู้สัมภาษณ์ 1 : ทำไมถึงเรียกว่าสงครามล่ะคะ?

    ไมเคิล ฮัดสัน : เป้า หมายของสงครามก็เพื่อยึดแผ่นดิน, วัตถุดิบและสินทรัพย์ของประเทศหนึ่ง แล้วรวบมันไว้ในกำมือ ในอดีต เขาทำกันด้วยการรุกรานทางทหาร แต่ทุกวันนี้ คุณทำได้ด้วยการเงินโดยแค่สร้างเครดิตขึ้นมาซึ่งก็คือสิ่งที่ธนาคารกลาง สหรัฐทำนั่นเอง เฟดสร้างเครดิตขึ้นมา 6 แสนล้านดอลลาร์ แต่เงินก้อนนี้ไม่ได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหรอกนะ ประธานเฟดมีสมญานามว่า "เฮลิคอปเตอร์ เบ็น" เพราะเขาพูดเรื่องโปรยเงินใส่ระบบเศรษฐกิจ แต่ถ้าคุณเห็นเฮลิคอปเตอร์เข้าละก็ มันคงไม่ใช่เป็นเพื่อนคุณหรอก อย่าเสียเวลาออกไปรอมันโปรยเงินให้เลย เพราะเงินนั่นมันตรงรี่ไปเข้าธนาคารต่างๆ ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดนั่นแหละ

    เฟดบอกว่าเรา ต้องการทุ่มเงินให้ธนาคารมากมายมหาศาลเสียจนกระทั่งธนาคารพวกนั้นยอมปล่อย กู้เพื่อที่พวกคุณจะได้เริ่มประมูลอสังหาริมทรัพย์กันใหม่ให้ราคามันขึ้นไป อีกและดึงธนาคารทั้งหลายให้พ้นจากหล่มหุ้นอสังหาฯติดลบที่มันจมปลักอยู่ตอน นี้ ฉะนั้น เป้าประสงค์ตามที่เฟดบอกก็คือ ขึ้นราคาอสังหาริมทรัพย์ ให้ราคาสินทรัพย์มันเฟ้อขึ้น

    แต่เป้าที่ว่าน่ะมันไม่ยักจะ บังเกิด เอาเข้าจริงธนาคารทั้งหลายปล่อยกู้ทุกวันนี้น้อยกว่าที่เคยปล่อยกู้เมื่อปี ค.ศ.2007 เสียอีก เงินจึงไหลออกไปต่างประเทศ และที่มันไหลออกไปต่างประเทศน่ะเอาเข้าจริงก็ไม่ใช่เพื่อไปซื้อบริษัทต่าง ชาติหรอก แต่เพื่อเก็งกำไรเงินตราสกุลต่างๆ ต่างหาก

    คราว นี้เมื่อสองสัปดาห์ก่อน เฟดกับสภาคองเกรสก็บอกว่า "เราต้องการให้จีนขึ้นค่าเงินหยวน 20%" การทำแบบนี้จะสร้างขุมทรัพย์นับหมื่นนับแสนล้านดอลลาร์ให้พวกธนาคารวอลล์สต รีท และจะช่วยให้พวกนั้นสามารถหาเงินมาปลดหนี้ได้ด้วยวิธีการที่โดยเนื้อแท้แล้ว ก็คือการปล้นธนาคารกลางจีน, ธนาคารกลางบราซิล, ธนาคารกลางตุรกี, และธนาคารกลางประเทศอื่นๆ นั่นเอง เพราะตอนนี้คุณยืมเงินในอเมริกาได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยแค่ 1% ดังนั้น คุณก็วางเงินทุนของตัวเองลงมาเอาเป็นว่าสัก 1 ล้านดอลลาร์ แล้วคุณก็ยืมเงินธนาคารอีก 99 ล้านดอลลาร์ รวมเป็น 100 ล้านดอลลาร์ แล้วคุณก็เอาเงิน 100 ล้านดอลลาร์นั้นไปแลกซื้อเงินตราสกุลเหรินหมินปี้ของจีนมาถือไว้ จากนั้นคุณก็บอกว่า "เฮ้ย ขึ้นค่าเงินตราสกุลของลื้อ 20% ซีวะ" ซึ่งก็คือสิ่งที่เฟดขอให้จีนทำ

    นั่นหมายความว่าเงิน 1 ล้านดอลลาร์ของคุณกลายเป็นทำกำไรได้ 20 ล้านดอลลาร์ แล้วตอนนี้ เพราะเงิน 100 ล้านดอลลาร์ ที่คุณไปแลกเป็นเหรินหมินปี้ไว้นั้นจะมีค่าสูงขึ้นเป็น 120 ล้านดอลลาร์ เมื่อแลกกลับมา นั่นแปลว่าคุณทำกำไรได้ถึง 200% และสำหรับพวกวอลล์สตรีทนั้น เขาค้าขายกันทีละเป็นพันๆ ล้านนะครับ ไม่ใช่แค่ไม่กี่ล้าน ดังนั้น นี่ก็จะช่วยให้ธนาคารเหล่านั้นหาเงินมาโปะคืนได้โดยเนื้อแท้แล้วก็ด้วยการ กว้านซื้อเงินตราต่างประเทศนั่นแหละ พวกเขากำลังทำอย่างเดียวกันในออสเตรเลีย มันเป็นการพนันเงินตราธรรมดาๆ นี่เอง.....

    ผู้สัมภาษณ์ 2 : แต่ความจริงก็มีอยู่ว่าเดี๋ยวนี้โลกได้เปลี่ยนอย่างหน้ามือเป็นหลังมือไป แล้วในรอบ 30 หรือ 40 ปีหลัง และตอนนี้คุณก็มีพลังอิสระใหม่ๆ ในเวทีโลกกระทั่งในวงการการเงิน ซึ่งก็ได้แก่ประเทศอย่างจีน, บราซิลและประเทศโลกที่สามอื่นๆ ซึ่งยืนกรานไม่อ่อนข้อให้ในประเด็นเหล่านี้บางประการ พวกเขามีปฏิกิริยาต่อสงครามเงินตรา-การเงินของอเมริกาอย่างไรบ้างครับ?

    ฮัดสัน : โลก กำลังแบ่งออกเป็นกลุ่มเงินตราสกุลใหญ่ๆ 2 กลุ่มครับ และในช่วงไม่กี่เดือนหลังนี้ จีนก็ตระเวนเยือนตุรกี, มาเลเซีย, ประเทศไทย แล้วบอกว่า "เราต้องการหลีกเลี่ยงไม่ไปใช้จ่ายข้องแวะกับเงินดอลลาร์เลย" พวกเขากำลังปฏิบัติต่อดอลลาร์เหมือนเงินตราหัวเน่า

    พวกเขาบอกว่า "เอางี้ดีกว่า เรามาแลกเงินตรากันเอง เราจะให้เงินสกุลเหรินหมินปี้ของเราแก่คุณ คุณก็เอาเงินสกุลบาทของคุณมาให้เรา แล้วเรามาค้าขายกันด้วยเงินตราสกุลของเราเอง เรากำลังโดดเดี่ยวเงินดอลลาร์ เพื่อที่ชาวบ้านเขาจะไม่ใช้เงินดอลลาร์อีกต่อไป"

    นั่นคือสาเหตุที่ ทำไมค่าเงินดอลลาร์ถึงได้ตกดิ่งในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราของโลก โลกตลาดเปิดทั้งใบที่อเมริกาได้สร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองกำลังหุบ ปิดลง และความจริงแล้วมันหุบปิดลงก็เพราะสหรัฐกำลังพยายามกอบกู้ตลาดอสังหาริม ทรัพย์ให้ฟื้นคืนจากบรรดาหนี้จำนองบ้านเน่าๆ, สินเชื่อขี้โกง, และเล่ห์กลฉ้อฉลทางการเงินทั้งปวง แทนที่จะปล่อยเล่ห์กลฉ้อฉลเหล่านั้นไปตามเรื่องของมันและจับไอ้พวกขี้โกงขัง คุกเสียอย่างที่นักเศรษฐศาสตร์คนอื่นเขาเสนอแนะ

    .....วันเสาร์ที่ แล้ว ผมประชุมเรื่องเศรษฐกิจอยู่ที่เยอรมนี...และสิ่งที่พวกเขาชี้ให้เห็นก็คือใน ยุโรป ในเยอรมนีและทั่วทั้งยุโรปนั้น มันผิดกฎหมายที่ธนาคารกลางจะจัดหาเงินมาใช้หนี้ให้รัฐบาล ทั่วทั้งยุโรปกำลังถูกกะเกณฑ์ให้ต้องรัดเข็มขัดอยู่ตอนนี้ก็เพราะรัฐธรรมนูญ ของพวกเขาตราไว้แบบนั้น ฉะนั้น พวกเขาก็เลยบอกว่า "ช้าก่อน เวลาเราขาดดุลงบประมาณ เราต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยและบังคับให้รัดเข็มขัด แต่ในสหรัฐ พวกเขากลับทำตรงกันข้ามเป๊ะ พวกเขากำลังลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อกว้านซื้อพวกเรา"

    .....ดังนั้น ในยุโรปพวกเขาก็เลยพูดกันว่า "อเมริกาจะมีปัญญาจ่ายหนี้ดอลลาร์ที่กำลังเที่ยวกู้พอกพูนสูงขึ้นเรื่อยๆ เหล่านี้ได้อย่างไร?" อเมริกาย่อมไม่มีปัญญาจ่าย และนั่นคือเหตุผลที่ทำไมเงินสกุลยูโรจึงแข็งค่าขึ้นกว่าเงินอเมริกา นั่นคือเหตุผลที่ทำไมพวกเขาจึงพูดว่า "ตอนนี้เราอยากคุยกับกลุ่มประเทศบริค (BRIC countries มาจากพยัญชนะตัวแรกของชื่อประเทศตลาดเกิดใหม่ที่กำลังรุ่งเรือง 4 ประเทศได้แก่ Brazil, Russia, India, China - ผู้แปล) อยากคุยกับจีน กับโลกที่สาม แล้วเคลื่อนเข้าสู่เขตเงินตราเดียวกันกับพวกเขาและโดดเดี่ยวเงินดอลลาร์มัน ซะเลย อเมริกาจะได้ไม่มีปัญญาดำเนินสงครามการเงินแบบที่เคยทำเรื่อยมา

    ผู้สัมภาษณ์ 2 : ในแง่ที่ว่าประเทศต่างๆ จะตอบโต้รับมือได้อย่างไรบ้างนั้น อย่างหนึ่งที่เห็นชัดว่าหลายประเทศเอเชียทำกันระหว่างเกิดวิกฤตการเงินปลาย คริสต์ทศวรรษที่ 1990 ก็คือ ออกมาตรการควบคุมเงินตรา - ซึ่งโดยแก่นแท้ก็คือพยายามป้องกันไม่ให้ทุนต่างชาติเข้าหรือออกจากประเทศ นั่นเอง นั่นใช่สิ่งที่คุณเล็งเห็นว่าประเทศเหล่านี้จะทำหรือเปล่าครับ?

    ฮัดสัน : ใช่ ครับ ตอนนั้นมีประเทศเดียวที่ทำ นั่นคือมาเลเซียภายใต้นายกรัฐมนตรีตุน โมฮาหมัด มหาธีร์ เขาไม่ยอมขายเงินตราสกุลในประเทศให้พวกนักเก็งกำไรต่างชาติ ดังนั้น จอร์จ โซรอส กับคนอื่นๆ ที่ขายเงินตราสกุลริงกิตมาเลเซียล่วงหน้าโดยเก็งว่าค่ามันจะตก ด้วยความหวังว่าธนาคารกลางมาเลเซียจะทุ่มสุดตัวเพื่อปกป้องค่าเงินริงกิตจน เงินหมดคลัง ปรากฏว่าพวกเขาไม่มีปัญญาหาเงินริงกิตมาขายตามสัญญา ก็เลยถูกบีบจนหน้าเขียว

    แต่ประเทศอื่นๆ อย่างเกาหลีใต้-ซึ่งได้เป็นเจ้าภาพการประชุม G20 สัปดาห์นี้นั้น- สมัยที่เกิดวิกฤตการเงิน ไอเอ็มเอฟก็เข้าไปหาและบอกว่า "คุณติดเงินแล้วไม่มีปัญญาจ่าย จอร์จ โซรอส เขาโจมตีคุณ คุณต้องขายพวกบริษัทไฟฟ้าให้อเมริกัน คุณต้องขายบริษัทรถยนต์ของคุณให้อเมริกัน"


    และนี่ เป็นการเข้ารวบยึดที่สมัยก่อน ในศตวรรษก่อนๆ ต้องยกกำลังทหารเข้ารุกรานถึงจะยึดได้ และตอนนี้พวกเขากำลังทำมันด้วยวิธีการทางการเงิน ชาวบ้านที่นั่นเขาจึงโกรธแค้น.....


    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1290767421&grpid=&catid=02&subcatid=0207



    .




    .




    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมเหลือไตข้างเดียว ....เหยื่อรถโดยสาร ชีวิตที่ไม่อยากให้ใครต้องเป็น


    ปัจจุบันมีเหยื่อจากอุบัติเหตุรถโดยสารธารณะ เป็นจำนวนมากที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจาก กรมธรรม์ประกันภัย ตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 เนื่องจากไม่ได้รับค่าชดเชยตามความเสียหายที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง


    มูลนิธิ เพื่อผู้บริโภคได้รายงานผลการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุด้านคดี ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552-ตุลาคม 2553 มีผู้ขอรับความช่วยเหลือจำนวน 112 คดี

    ในจำนวนนั้นมีคดีของ ธงชัย สร้างแก้ว ชายหนุ่มจากจังหวัดอุบลราชธานี วัย 32 ปี ช่างซ่อมบำรุงของบริษัทแห่งหนึ่ง ย่านนิคมอุตสาหกรรมบางปู ได้รับบาดเจ็บจากรถบัสรับส่งพนักงานนิคมฯบางปูประสบอุบัติเหตุจนพลิกคว่ำ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2552 มีผู้เสียชีวิต 2 รายและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก

    ธงชัยได้รับบาดเจ็บสาหัสขาซ้าย มีบาดแผลโดนกระจกรถบาดศีรษะข้างซ้ายแตก หูฉีก ที่หนักที่สุดคือไตข้างซ้ายแตกและต้องถูกตัดทิ้งในเวลาต่อมา

    “วันนั้นหลังจากเลิกทำโอทีตอนห้าทุ่มก็ขึ้นรถบัสรับส่งพนักงาน เขาก็ขับย้อนมาทางหลังโรงงาน เพื่ออกสู่ถนนเส้นหลัก คนขับเขาขับรถเร็วมาก ไม่ชะลอความเร็วเลยเวลาเลี้ยว ถ้าเขาชะลอซักหน่อยก็คงไม่เกิดเหตุขึ้น” ธงชัยย้อนเล่าเหตุการณ์จุดเปลี่ยนของชีวิตในคราวนั้น

    ผมนั่งอยู่ตรงเกือบประตูหลัง นั่งถัดออกมาสักสองถึงสามช่องหน้าต่างแล้วรถก็ชนเข้าตรงนั้นพอดี พอถูกชนรถก็พลิกตะแคง รู้สึกตัวอีกทีก็เจ็บที่ชายโครงด้านซ้ายมาก แล้วก็พยายามปีน ออกมาทางหน้าต่างรถอีกด้าน พอออกมาได้รู้สึกเจ็บมาก เพราะขาซ้ายโดนกระจกบาด หัวข้างซ้ายแตก หูฉีกและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล

    แต่พอเช้ายังรู้สึกปวดที่ชายโครงมาก รอดูอาการถึงวันที่ 4 ก็ยังไม่หาย เลยส่งไปทำทีซีสแกน พอหมอดูฟิล์มก็บอกว่าไตข้างซ้ายแตก ทางเดียวที่จะรักษาคือต้องผ่าตัดเอาออกให้หมด เหลือเพียงไตอีกข้างเดียวไว้ทำงาน ค่ารักษาพยาบาล รวม 11 วันในโรงพยาบาลจำนวน 107,204 บาท ซึ่งบริษัทประกันภัยรถรับส่งเป็นผู้จ่ายให้


    หลังจากออกจากโรงพยาบาล ธงชัยได้กลับไปพักฟื้นร่างกายที่บ้านอีก 44 วัน แต่ทางบริษัทประกันรถเสนอค่าสินไหม 27,000 บาท ตามจำนวนวันที่หยุดงาน ที่ได้ค่าแรงวันละ 600 บาท แต่เขาไม่ยอม เพราะสิ่งที่สูญเสียไปมันมากกว่านั้น ตอนนี้ผมเหลือ ไตข้างเดียว จึงเสนอ 1,200,000 บาท โดยใช้ฐานการคิด ตามที่กรมประธรรม์ ระบุไว้ จากนั้นบริษัทเสนอเพิ่มให้ เป็น 150,000 บาท แต่เขายังยืนยันตามที่เสนอไป และ ต่อมาบริษัทเพิ่มให้อีก 20,000 บาทเป็น 170,000 บาท เขาจึงหยุดเจรจา และตัดสินใจฟ้องศาลโดยความช่วยเหลือของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และตอนนี้ก็กลับมาทำงานที่บริษัทเหมือนเดิมแล้ว


    ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้เรื่องสิทธิอะไรเลย แต่พอได้ปรึกษากับทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคแล้ว ก็เอาความรู้ตรงนั้นมาเป็นแรงในการลุกขึ้นต่อสู้กับความไม่ยุติธรรม เพราะผมก็รู้ตัวเองว่าไม่เหมือนเดิม ทำงานให้ได้ไม่เต็มที่ ไม่รู้วันไหนบริษัทจะให้ออก หรือถ้าจ้างต่อ แต่รายได้ไม่เท่าเดิมขณะที่รายจ่ายเพิ่มมากขึ้น ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ยังไง


    ธงชัยบอกว่าตอนฟังบริษัทประกันรถประเมินค่าสินไหมแล้วรู้สึกใจหาย ตัวแทนบริษัทประกันเขาบอกว่าคนอื่นเขามีไตข้างเดียวเขายังอยู่ได้แล้วทำไมผม จะอยู่ไม่ได้ เป็นสิ่งที่ตนรับไม่ได้


    “ทุกอย่างในชีวิตผมมันเปลี่ยนไปหมด ต้องเสียอวัยวะทั้งที่ไม่ควรจะเสีย อนาคตข้างหน้าก็ไม่รู้จะเกิดอะไรที่ส่งผลต่อร่างกายเรา” ธงชัยบอกถึงความกังวลที่ติดค้างในใจมาตลอดเวลาหลังเกิดอุบัติเหตุ

    การแก้ปัญหาดังกล่าว มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเรียกร้องให้รัฐบาลมีมาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการรถ โดยสารสาธารณะและการได้รับค่าชดเชยอย่างเป็นธรรมกรณีเกิดอุบัติเหตุ เพื่อลดปัญหาการฟ้องร้องคดีโดยให้ 1.ให้กระทรวงคมนาคมออกประกาศรับรองสิทธิของผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะรวม ทั้งบทกำหนดโทษหากมีการละเมิดสิทธิ


    2.ให้มีการจัดตั้งกองทุนคุ้มครองสิทธิผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะขึ้น ทำหน้าที่สนับสนุนส่งเสริมการประกอบการรถโดยสารสาธารณะให้มีมาตรฐานความ ปลอดภัยมากขึ้น และเยียวยาความเสียหายให้กับผู้ใช้บริการที่ถูกละเมิดสิทธิเพิ่มเติมจากความ คุ้มครองที่ผู้ประสบภัยได้รับตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 โดยเน้นเยียวยาความเสียหายที่รวดเร็ว ไม่ต้องมีการรอพิสูจน์ถูกผิด

    ทั้งนี้แหล่งที่มาของกองทุนฯ สามารถพิจารณาจากเงินรายได้ที่ได้รับจากภาษีรถยนต์ส่วนบุคคล ค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตขับรถ เงินค่าปรับ หรือเงินสนับสนุนจากรัฐบาลโดยตรง เพื่อแก้ไขปัญหาการผลักภาระระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริโภค รวมทั้งไม่ให้เป็นภาระกับรัฐบาลมากเกินไป.-
    ( เรื่อง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค )


    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1290767110&grpid=&catid=02&subcatid=0200
    .



    .



    .
     
  4. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    sithiphong+, มูริญโญ่ สวัสดียามบ่ายนะครับพี่ท่านทั้ง2 วันเสาร์สบายๆ
     
  5. มูริญโญ่

    มูริญโญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +583
    ครับสว้สดีครับ
    วันนี้สบายครับไม่เหนื่อยเท่าไหร่
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 16 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 13 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, ปฐม+, มูริญโญ่</td></tr></tbody></table>

    สวัสดีครับ วันเสาร์สุขสันต์ครับ

    อ่า คืนนี้ขอขึ้นนำเป็นจ่าฝูงชั่วคราวก่อนนะครับคุณมูริญโญ่ เพราะว่าเชลซีแข่งวันพรุ่งนี้ครับ



    -------------

    ที่มาเดลินิวส์

    ศึกพรีเมียร์ลีก นัดประจำวันเสาร์ที่ 27 พ.ย. ไฮไลต์อยู่ที่เกมระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แชมป์เก่า 11 สมัย กับ แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส ที่สังเวียน โอลด์ แทรฟฟอร์ด โดย “ปิศาจแดง” จะทำแต้มขยับแซง เชลชี ขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูง 24 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย หากเปิดบ้านเด็ดกลีบ “กุหลาบไฟ” ได้สำเร็จ ซึ่งดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นงานที่เหลือบ่ากว่าแรงขุนพล “เรด เดวิลส์” ซึ่งได้ขุนพลตัวหลักอย่าง เวย์น รูนีย์ รวมทั้ง ไรอัน กิกส์ กลับมาสู่ทีมเรียบร้อยแล้วนั้น แต่อย่างใด ส่วนเกมที่ อัพตัน ปาร์ค ระหว่าง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด กับ วีแกน แอธเลติก ก็มีความหมายไม่แพ้กันเพราะมันมีสิทธิจะกลายเป็นตัวตัดสินว่า ทีมใดจะอยู่รอดในลีกสูงสุดได้เลยทีเดียว...

    แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (2) - แบล็กเบิร์น (11)
    สนาม : โอลด์ แทรฟฟอร์ด
    เวลา : 22.00 น.
    ถ่ายทอดสด : ทรูสปอร์ต 1
    เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะหมดสิทธิใช้งาน โอเวน ฮาร์กรีฟส์, ไมเคิล โอเวน และอันโตนิโอ วาเลนเซีย ที่เจ็บยาว แถมยังต้องลุ้นความฟิตของ ดาร์เรน เฟลทเชอร์ ที่มีปัญหา บาดเจ็บเล็กน้อยอีกด้วย ส่วนกำลังสำคัญคนอื่นยังคงลงสนามได้ไม่มี ปัญหา โดยเฉพาะตัวทีเด็ดอย่าง หลุยส์ นานี, พอล สโคลส์, ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ, เวย์น รูนีย์ รวมทั้ง ฮาเวียร์ “ชิชาริโต” เอร์นานเดซ ยังพร้อม ลงสนามทุกคน
    ด้าน แซม อัลลาร์ไดซ์ ผู้จัดการทีม แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส จะไม่มี เบรต เอเมอร์ตัน, มาร์ติน โอลส์สัน และคีธ แอนดรูว์ส ที่ยังมีปัญหาบาดเจ็บรบกวนทั้งหมด รวมทั้ง มาเม บิรัม ดิยุฟ ที่หมดสิทธิลงเล่นตามเงื่อนไขในสัญญายืมตัวจาก แมนฯ ยูไนเต็ด แต่มีลุ้นได้ วินซ์ เกรลลา ฟิตกลับมาช่วยทีมอีกครั้ง ส่วนกำลังสำคัญคนอื่นไม่ว่าจะเป็น พอล โรบินสัน, ไรอัน เนลเซน, มอร์เทน กัมส์ท พีเดอร์เซน และเอล ฮัดจิ ดิยุฟ ยังฟิตสมบูรณ์ดีทุกคน
    ผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม
    แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (4-4-2): เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ - ราฟาเอล ดา ซิลวา, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เนมานยา วิดิช, ปาทริซ เอฟรา - หลุยส์ นานี, พอล สโคลส์, ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์, ปาร์ค จี ซอง - ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ, เวย์น รูนีย์
    แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส (4-4-1-1): พอล โรบินสัน - มิเชล ซัลกาโด, คริสโตเฟอร์ แซมบา, ไรอัน เนลเซน, กาแอล ชิเวต์ - เอล ฮัดจิ ดิยุฟ, ฟิล โจนส์, มอร์เทน กัมส์ท พีเดอร์เซน, เดวิด ฮอยเลตต์ - เดวิด ดันน์ - เจสัน โรเบิร์ตส์
    ความน่าจะเป็นของเกม : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เกมนี้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน น่าจะสั่งให้ลูกทีมเน้นเต็มที่แน่นอนเนื่องจากต้องการจะทำแต้มแซงขึ้นไปเป็น จ่าฝูงเพื่อสร้างความกดดันให้ เชลซี ที่มีคิวจะลงเตะในวันอาทิตย์ โดยถึงแม้ฤดูกาลนี้ แบล็กเบิร์น จะทำผลงานได้ดีเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์แล้วยังเป็นรอง “ผีแดง” อยู่พอสมควร และไม่น่าจะมีแต้มกลับออกไปจาก โอลด์ แทรฟ ฟอร์ด อย่างแน่นอน
    ผลที่คาด : แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 2-0

    .

    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=308&contentId=106557

    .
     
  7. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอบพระคุณพี่หนุ่มสำหรับความรู้ดีๆที่นำมาบอกกล่าวให้ทราบในเรื่องของหลวงปู่แสง ดีใจจริงๆที่ได้มาเจอกระทู้ดีๆเช่นนี้ ที่ได้มอบแต่สิ่งดีๆให้เสมอมา ไม่ว่าจะเป็นความรู้รวมถึงสิ่งที่ผมสงสัยใคร่รู้พี่ๆทุกท่านได้เมตตาบอกกล่าวให้กระจ่างแจ้งเรื่อยมา ขอขอบพระคุณอย่างสูงครับผม
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ข้อควรระวัง เกี่ยวกับคลินิค ผิวหนัง รักษาสิว

    แพทย์ผิวหนัง ที่เป็นแพทย์ที่จบจากการรักษาโรคผิวหนังโดยตรง มีไม่มากนักในประเทศไทย แต่เราจะพบว่า แพทย์ทั่วไป หรือแพทย์สาขาอื่นๆ มักผันตนเองมาทำเกี่ยวกับเรื่องสิว ฝ้า ความสวยความงาม เราจะพบคลินิคเหล่านี้มากมาย หลายร้อยหลายพันแห่ง เรามีวิธีใดในการเลือกคลินิคเหล่านี้

    จากประสบการณ์ตรงพบว่า

    1. แพทย์ที่จบจากทางผิวหนังโดยตรง มักชอบการรักษาโรค มากกว่า รักษา การไม่มีโรค นั่นคือ มักไม่เชียร์ให้ทำโน่น ทำนี่ เข้าคอร์สมากมายนัก อาจมีข้อยกเว้นบ้าง มักรักษาตามที่จำเป็น หายก็ไม่นัด ไม่หายก็นัด
    2. คลินิคที่มีสาขาทั่วไปหลายๆที่ การคัดเลือกแพทย์ คงต้องเอาแพทย์ที่ไม่ใช่เจ้าของเป็นคนทำเวชปฏิบัติ แน่นอน ย่อมไม่ใช่เจ้าของคลินิคเป็นคนทำ ต้องระวังในคุณภาพของแพทย์ ซึ่งส่วนใหญ่ จะเป็นแพทย์ที่ไม่ได้จบทางผิวหนัง (แพทย์จบทางผิวหนังปีหนึ่งไม่กี่คน ไม่ถึง 20 คน) ที่สำคัญคือ การไม่ได้อบรมตามความเหมาะสม แต่สอนกันเองระหว่างรุ่นพี่ รุ่นน้องตามสาขาต่างๆ หลายๆแห่ง มีแต่พยาบาลคอยรับหน้า ควรพิจารณาดูแพทย์ ใบประกอบโรคศิลป์ และชื่อที่ติดหน้าร้านของแพทย์ ว่าตรงกันหรือไม่
    3. บางแห่ง ที่เป็นการพาณิชย์มากๆ สังเกตุดูจะเชียร์ให้ทำนั่น ทำนี่ เป็นคอร์ส
    4. บางแห่งไม่ได้เน้นหาย เน้นหาหมอ
    5. เลเซอร์ หลายๆอย่าง ถ้าไม่เชี่ยวชาญโอกาสเกิดปัญหาสูง เช่น ไอพีแอล IPL บางแห่งแก้ปัญหาโดยการยิงเบาๆ ซึ่งก็ไม่ได้ผลอีก
    จริงๆไม่ได้เป็นการแฉกันเอง แต่ต้องการให้มาตรฐานของคลินิครักษา สิ่งที่เจ้าของหวงแหน ซึ่งบางที ก็ไม่ได้เป็นโรค แต่มีคนเชียร์ให้ทำ ตัดสินใจเอาเองนะครับ ระหว่างคนทำ คนถูกทำ


     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    10 เปลี่ยนที่ผู้ชายควรเปลี่ยนความคิดเพื่อผู้หญิง

    “ความรุนแรงต่อสตรี” ตามความหมายจากปฏิญญาสากลว่าด้วยการขจัดความรุนแรงต่อสตรี โดยองค์การสหประชาชาติ ระบุไว้ว่า ความ รุนแรงต่อสตรี หมายถึง การกระทำใด ๆ ที่เป็นความรุนแรงที่เกิดจากอคติทางเพศ ซึ่งเป็นผลให้เกิดความทุกข์ทรมานแก่สตรี รวมทั้งการขู่เข็ญ คุกคาม กีดกันเสรีภาพ ทั้งในที่สาธารณะและในชีวิตส่วนตัว


    [​IMG]


    สำหรับ ปีนี้วันยุติความรุนแรงสตรี ปี 2553 ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน 2553 ที่เวียนมาบรรจบอีกครั้งเพื่อร่วมยุติความรุนแรงที่มีต่อสตรี จากข้อมูลของมูลนิธิเพื่อนหญิงระบุไว้ว่า ตัวอย่างรูปแบบของความรุนแรงต่อผู้หญิงนั้น ประกอบด้วย ความรุนแรงทางเพศมี ตั้งแต่การแทะโลมด้วยสายตาและวาจา การอนาจาร ลวนลาม คุกคามทางเพศ การข่มขืน (รวมถึงสามีข่มขืนภรรยาซึ่งปัจจุบันกฎหมายไทยถือว่ามีความผิด) การรุมโทรม และการข่มขืนแล้วฆ่า

    ความรุนแรงในครอบครัว มี ตั้งแต่การแทะโลมด้วยสายตาและวาจา การอนาจาร ลวนลาม คุกคามทางเพศ การข่มขืน (รวมถึงสามีข่มขืนภรรยาซึ่งปัจจุบันกฎหมายไทยถือว่ามีความผิด) การรุมโทรม และการข่มขืนแล้วฆ่า

    ความรุนแรงในครอบครัว เป็นพฤติกรรมล่วงละเมิด บังคับ ขู่เข็ญ ทำร้ายคนในครอบครัว โดยมีผู้กระทำเป็นบุคคลในครอบครัว ซึ่งมีการกระทำความรุนแรงหลายรูปแบบ เช่น ใช้กำลังทำร้ายทุบตีภรรยา ทำร้ายจิตใจ เช่น การนอกใจภรรยา ด่าทอ ดูถูกเหยียดหยาม ทำให้อับอาย เศร้า เสียใจ มึนตึงไม่พูดด้วย ตลอดจนปิดกั้นโอกาสทางสังคม ไม่ให้ติดต่อกับเพื่อน ญาติพี่น้อง หรือ สังคมภายนอก รวมถึงการไม่รับผิดชอบครอบครัว ควบคุมทางการเงินเพื่อให้ต้องพึ่งพิงทางเศรษฐกิจจากอีกฝ่ายหนึ่ง มีการล่วงละเมิดทางเพศในรูปแบบต่างๆ เช่น การข่มขืนบังคับใจภรรยาให้มีเพศสัมพันธ์ การขายลูกสาว เป็นต้น

    การนำเสนอผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศเป็นการที่ผู้หญิงถูกนำมาใช้เป็นสื่อในรูปแบบต่างๆ เช่น ในสื่อลามก การนำเสนอภาพลักษณ์ผู้หญิงส่อไปในทางเพศในการโฆษณาสินค้า

    นอก จากนี้ การกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิง ยังรวมถึงการล่อลวงมาบังคับค้าประเวณี การใช้แรงงานเยี่ยงทาส การเลือกปฏิบัติทางด้านต่างๆ เช่น ทำให้ขาดโอกาสทางการศึกษา การประกอบอาชีพ รวมถึงการได้รับผลตอบแทนจากการทำงานต่ำกว่าผู้ชายเมื่อเปรียบเทียบกับงานใน ลักษณะเดียวกัน เป็นต้น


    [​IMG]

    นายจะเด็จ เชาว์วิไล ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนหญิง
    กล่าว ว่า สถานการณ์การขอรับคำปรึกษาจากความรุนแรงของผู้หญิงและเด็กในศูนย์ช่วยเหลือ ผู้หญิงและเด็กใน 10 ชุมชนพบว่า มีผู้ขอรับคำปรึกษา 1,500 ราย ลดลงจากปีที่แล้ว โดยเป็นความรุนแรงทางในครอบครัว 70% ความรุนแรงทางเพศ 10% นอกนั้นเป็นเรื่องของการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมและอื่นๆ โดยความรุนแรงที่เกิดในครอบครัวจะเป็นเรื่องของทางจิตใจและทางกาย โดยทางจิตใจ จะเป็นเรื่องของสามีชอบว่ากล่าวภรรยา ใช้อำนาจในความเป็นผู้ชายที่คิดว่าเป็นผู้นำในบ้านออกคำสั่งผู้เป็นภรรยา หรือสามีขาดความรับผิดชอบในครอบครัว ดื่มเหล้า ไม่ดูแลลูก ส่วนทางกายนั้นชัดเจนอยู่แล้วคือการทุบตีทำร้ายร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่จะพบว่าเหตุเกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก่อนทำให้ขาด สติ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ เช่น ยาเสพติด ติดพนัน เป็นต้น แต่ปัจจัยหลักของการก่อเหตุนั้นคือความคิดของผู้ชายที่คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ มีอำนาจเหนือผู้หญิง
    “อย่าง การดื่มเหล้า ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบคิดว่าหากไม่กินเหล้าก็ไม่แมน ดังนั้นก็เลยเข้าใจไปว่าจะต้องไปกินเหล้า ยิ่งเมื่อกินเหล้า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมันก็ชัดเจนขึ้น และปัญหาที่เกิดขึ้นก็เห็นได้เกือบทุกอาชีพ ทุกระดับการศึกษา เพราะที่ผ่านมาก็พบว่าคนที่เรียนจบปริญญาตรีโทรศัพท์เข้ามาปรึกษาปัญหากับ เราก็มีมาก ไม่ว่าจะในตัวเมืองหรือต่างจังหวัดก็พอๆ กัน” นายจะเด็จ กล่าว
    ผู้ จัดการมูลนิธิเพื่อนหญิง บอกอีกว่า ความจริงแล้วเหตุความรุนแรงทางเพศนั้นมีอยู่มาก เพียงแต่ผู้หญิงที่ประสบปัญหามักไม่กล้าเข้าร้องเรียน เพราะความอาย หรือเพราะกลัวถูกข่มขู่จากผู้บังคับบัญชา เป็นต้น ซึ่งต่างกับความรุนแรงที่เกิดจากครอบครัวที่มีกฎหมายอย่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว เป็นกลไกหนึ่งที่รองรับ ประกอบกับการมีศูนย์พึ่งได้ตามโรงพยาบาลต่างๆ และหน่วยงานที่ให้การช่วยเหลือในเรื่องเหล่านี้จำนวนมาก ทำให้มีผู้ที่จะกล้าเข้าร้องเรียนและสถิติเพิ่มตาม ขณะที่กลุ่มที่ได้รับความรุนแรงทางเพศนั้น ยังไม่มีกฎหมายที่มารองรับที่ชัดเจน ดังนั้นหากมีกลไกในส่วนนี้เข้ามาเป็นตัวช่วยเสริม เชื่อว่าน่าจะทำให้ผู้หญิงกล้าที่จะออกมาเรียกร้องมากขึ้น
    ส่วน เรื่องของการแก้ไข นายจะเด็จ เห็นว่า สิ่งสำคัญคือความคิดของผู้ชาย ที่จะต้องเปลี่ยนความคิดเรื่องความเป็นใหญ่ของผู้ชาย ให้การยอมรับเกียรติของผู้หญิงเป็นสำคัญ ขณะที่ตัวสื่อเองก็ควรมีการปฏิรูปสื่อในเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากจะเห็นการที่ผู้ชายตบตีฝ่ายหญิงผ่านสื่อเป็นประจำ หากเปลี่ยนเป็นการนำเสนอให้เห็นว่าผู้ชายให้การดูแลผู้หญิง ให้เกียรติ คอยช่วยเหลือผู้หญิงบ้าง เพื่อเป็นต้นแบบที่ดีกับเด็กก็จะเป็นสิ่งที่ดี นอกจากนี้ควรมีการปรับหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการที่สอนให้ผู้ชายเห็นว่า ผู้ชายและผู้หญิงมีบทบาทที่ไม่ต่างกัน ไม่ใช่ผู้ชายจะต้องเป็นผู้นำผู้หญิงเพียงอย่างเดียว
    นายจะเด็จ ยังได้นำเสนอ 10 ประเด็น ที่ผู้ชายควรเปลี่ยนความคิดไว้ว่า เปลี่ยนแรก จากเคยคิดว่า การดื่มเหล้า เป็นวิถีของลูกผู้ชาย เป็นลด ละ เลิกเหล้า หันกลับมารักตัวเอง รักครอบครัว ดูแลรับผิดชอบครอบครัว เปลี่ยนที่สอง จากที่คิดว่า ผู้ชายเท่านั้นที่เป็นใหญ่ในบ้าน เป็นเปิดรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น ผู้ชายเป็นได้ทั้งผู้นำและผู้ตาม เปลี่ยนความคิดที่สาม จากเคยเห็นว่า งานบ้านเป็นงานของผู้หญิง ให้ถือว่าเป็นงานของครอบครัว ควรช่วยกันทำ เปลี่ยนที่สี่ จากเคยคิดว่า ชายมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องน่ายกย่อง เป็นรักเดียวใจเดียว เห็นว่าการมีหญิงอื่น เป็นการไม่ซื่อสัตย์ต่อภรรยา ทำให้ครอบครัวแตกแยก เปลี่ยนที่ห้า เปลี่ยนจากความคิดว่า ภรรยาเป็นสมบัติของสามี เป็นให้เกียรติ ไม่ดุด่า ทำร้าย ทุบตี บังคับหลับนอน

    ส่วนเปลี่ยนที่หก ให้เปลี่ยนความคิด จากที่เคยคิดว่า การเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่ของแม่ เป็นพ่อก็เลี้ยงลูกได้ และต้องเข้ามามีส่วนในการช่วยเลี้ยงดูลูกด้วย เปลี่ยนที่เจ็ด คือ จากที่เห็นว่า ผู้ชายมีความสามารถมากกว่าผู้หญิง เป็นยอมรับว่า ผู้หญิงก็มีความสามารถไม่น้อยกว่าผู้ชาย ความสามารถไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศ เปลี่ยนที่แปด ผู้ชายควรเคารพสิทธิเนื้อตัวร่างกายของผู้อื่น ไม่ล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้หญิง แม้ว่ามีโอกาสก็ตาม การมีเพศสัมพันธ์กันต้องเกิดจากความยินยอมพร้อมใจ เปลี่ยนความคิดที่เก้า คือ ความรุนแรงที่เกิดกับผู้หญิง ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เมื่อพบเห็นไม่ควรเพิกเฉย เพราะถือเป็นหน้าที่ต้องแจ้งเหตุหรือช่วยเหลือ เช่น แจ้ง 1300 ศูนย์ประชาบดี เมื่อพบเห็นเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัว ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว เป็นแบบอย่างที่ดี ให้เกียรติ ไม่ทำร้ายผู้หญิง ไม่เสพสื่อลามก และสิ่งมึนเมา ประเด็นสุดท้าย เปลี่ยนจากที่เคยคิดว่า การคุมกำเนิดเป็นหน้าที่ของผู้หญิงเป็นการคุมกำเนิดถือเป็นหน้าที่ทั้งของ ผู้หญิงและผู้ชาย ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน

    [​IMG]

    10 เปลี่ยนที่ผู้ชายควรเปลี่ยนความคิด | ThaiHealth.or.th
    .



    .



    .



    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • choog.JPG
      choog.JPG
      ขนาดไฟล์:
      40.4 KB
      เปิดดู:
      243
  11. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    ขอความรู้ด้วยครับพี่หนุ่ม
    ขอบคุณครับ
    อ๊อด
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 16 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 13 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, ปฐม+</td></tr></tbody></table>

    สวัสดีตอนค่ำๆในวันเสาร์สุขสันต์ครับ



    .
     
  14. prawangna

    prawangna Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +33
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 15 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 13 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    prawangna*, ปฐม
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คำวัด - พระ กับ ปาง

    [​IMG]


    [​IMG]

    พระพุทธเอกนพรัตน์ ประดิษฐานอยู่ที่วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ เขาโคกเผ่น ต.ทำนบ อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ มีพระพุทธรูป ๓ องค์ ๓ สมัย ๔ อิริยาบถ ๑๐ ปาง โดยมีราย





    คมชัดลึก :ปาง พระพุทธรูป คือ ลักษณะของพระพุทธรูป (ท่าทางต่างๆ) ทำตามพระมหาปุริสลักษณะ ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา โดยชาวกรีกเป็นพวกแรกที่กำหนดรูปแบบปางพระพุทธรูป ประมาณ พ.ศ.๘๖๓-๑๐๒๓ ต่อมาช่างชาวอินเดียฝ่ายใต้ (ชาวกลิงคราฐข้างฝ่ายใต้) รวมทั้งในยุคสมัยต่างๆ ในภายหลังได้คิดปางพระพุทธรูปเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก แบ่งได้ตามแหล่งและยุคในประวัติศาสตร์ ดังนี้



    แคว้นคันธาระ มี ๙ ปาง ประเทศอินเดีย มี ๗ ปาง ประเทศศรีลังกา มี ๕ ปาง สมัยทวาราวดี มี ๑๐ ปาง สมัยศรีวิชัย มี ๖ ปาง สมัยลพบุรี มี ๗ ปาง สมัยเชียงแสน มี ๑๐ ปาง สมัยสุโขทัย มี ๘ ปาง สมัยอยุธยา มี ๗ ปาง สมัยรัตนโกสินทร์ มี ๕ ปาง ปัจจุบันมีพระพุทธรูปต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกรวมแล้วมากกว่า ๗๒ ปาง
    พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม ได้อธิบายความหมายของคำว่า "พระ" ไว้ว่า ตามรูปศัพท์มาจากคำว่า "วร" ที่แปลว่า "ประเสริฐ เลิศ วิเศษ" ก่อนที่จะแผลงมาเป็น "พระ"
    พระ ในวงการศาสนา หมายถึง พระพุทธเจ้า เช่น เมืองพระ คำพระ พระมาตรัส รวมทั้งหมายถึง นักพรต นักบวช เช่น พระไทย พระจีน พระญวน
    นอกจากนี้ยังหมายถึงสมณศักดิ์ระดับพระราชาคณะ หรือเจ้าคุณ เช่น พระศรีสุทธิวงศ์ พระราชเวที พระเทพเวที
    ขณะเดียวกันคำว่า พระ ยังใช้นำถาวรวัตถุที่สำคัญเกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธเจ้า เช่น พระอุโบสถ พระวิหาร พระมณฑป

    นอกจากนี้แล้วยังใช้นำหน้าสิ่งสำคัญ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บุคคลสำคัญ และบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวเนื่องด้วยความยกย่อง เช่น พระธาตุ พระแท่น พระภูมิ พระเจ้า พระสงฆ์ พระภิกษุ พระอิศวร พระมหากษัตริย์ พระทัย เป็นต้น
    ส่วนคำว่า "ปาง" ปกติมีความหมายว่า เมื่อ คราว ครั้ง จวนเจียน ที่พักชั่วคราวกลางป่า เช่น ปางเมื่อ ปางก่อน ปางหลัง ปางตาย ปางไม้
    ส่วนความหมายในคำวัด "ปาง" หมายความว่า "รูป แบบ ลักษณะ" โดยใช้เรียกพระพุทธรูปที่มีแบบต่างๆ กัน เช่น
    ปางสมาธิ หมายถึง พระพุทธรูปแบบนั่งสมาธิ
    ปางอุ้มบาตร หมายถึง พระพุทธรูปแบบอุ้มบาตร
    ปางนาคปรก หมายถึง พระพุทธรูปแบบนาคปรก



    "พระธรรมกิตติวงศ์ "


    .

    http://www.komchadluek.net/detail/20101126/80790/คำวัดพระกับปาง.html
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • eknopparat.jpg
      eknopparat.jpg
      ขนาดไฟล์:
      27.3 KB
      เปิดดู:
      246
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โรคนอนกัดฟัน


    [FONT=&quot]ฝันร้ายจากความเครียด[FONT=&quot][/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] คุณ หลายๆ คนเคยไหมที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดขากรรไกร หรือปวดศีรษะ นั่นแสดงว่าคุณเข้าข่ายมีอาการนอนกัดฟันเสียแล้ว เพราะการนอนกัดฟันสามารถทำให้เกิดการปวดฟันและฟันโยก หรือบางส่วนของฟันสึกกร่อนไปในที่สุด อีกทั้งการนอนกัดฟันอาจทำลายเนื้อเยื่อกระดูกและเหงือกในบริเวณที่เกี่ยว ข้อง และอาจส่งผลต่อความผิดปกติของข้อต่อขากรรไกรได้อีกด้วย [/FONT]

    [FONT=&quot] โดย น.พ.วรวุฒิ เจริญศิริ ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ บอกว่า การนอนกัดฟัน (
    [FONT=&quot]Bruxism) เป็น การขบเคี้ยวฟันที่ไม่ใช่การทำงานตามหน้าที่ที่ถูกต้อง อาจเกิดขึ้นในขณะนอนหลับ หรืออาจเกิดขึ้นได้ในเวลากลางวัน ขณะที่นั่งทำงานเผลอๆ หรือในขณะที่มีความเครียด การนอนกัดฟันมักจะเกิดขณะที่นอนหลับไม่ลึก หรือหลับไม่สนิท การใช้ฟันขบเขี้ยวเคี้ยวกันในเวลาที่ไม่ได้กินอาหาร เชื่อว่าเป็นการทำงานที่ไม่ถูกต้องทั้งสิ้น และไม่เกิดผลดีใดๆ มีแต่ผลเสียต่างๆ ดังนี้ [/FONT][/FONT] [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] “การ นอนกัดฟัน ทำให้ฟันในปากสึกกร่อน เร็วกว่าปกติมีอาการเสียวฟัน และอาจจะทำให้ฟันแตกได้ บางรายทำให้เกิดการเจ็บบริเวณหู เจ็บข้อต่อขากรรไกร และถ้าฟันสึกมากๆ อาจจะทำให้ใบหน้าสั้นกว่าปกติ และสิ่งสำคัญที่สุด คือ ก่อให้เกิดความรำคาญ และเสียสุขภาพจิตแก่คนนอนร่วมห้องเดียวกัน” [/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] สำหรับ อาการนอนกัดฟันที่เกิดขึ้นมานั้น อาจจะไม่มีผลเสียใดๆ ต่อโครงสร้างต่างๆ ภายในช่องปากเลย หรืออาจจะทำให้เกิดอาการต่างๆ ขึ้นได้มากมายเลยก็ได้ อาการ ที่มักจะเกิดเมื่อมีอาการนอนกัดฟัน คือ ฟันสึกอย่างรุนแรง เกิดอาการปวด ตึง หรืออ่อนแรงของกล้ามเนื้อ เกิดความผิดปกติที่ข้อต่อขากรรไกร อาการปวดศีรษะ อาจพบว่าในผู้ที่ใส่ฟันปลอมแบบติดแน่นอยู่ ฟันปลอมที่ใส่อาจจะถูกทำลายลงในระยะเวลาเพียง [FONT=&quot]6-9 เดือน อ้าปากไม่ขึ้น มีเสียงดังที่ข้อต่อขากรรไกรขณะอ้าหรือหุบปาก ซึ่งอาการต่างๆ เหล่านี้อาจเกิดขึ้นเพียงอาการใดอาการหนึ่ง หรือเกิดพร้อมๆ กันทุกอาการเลยก็ได้ [/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] “การ นอนกัดฟันนั้นอาจมีแนวโน้มที่จะสัมพันธ์กับความเครียดในชีวิตประจำวัน เช่น การหย่าร้าง การตกงาน หรือช่วงการสอบคัดเลือก เป็นต้น หรือเกิดในช่วงชีวิตของผู้ป่วยที่มีปัญหาทางด้านร่างกาย หรือจิตใจ ในผู้ป่วยบางรายจะมีอาการนอนกัดฟัน ในช่วงสัปดาห์ที่มีปัญหาเรื่องงาน ในสตรีที่กำลังมีรอบเดือน หรือในผู้ป่วยบางคนก็อาจจะไม่มีระยะเวลา หรือวงจรที่แน่นอนของการนอนกัดฟันก็ได้ [/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] และมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากที่ไม่ทราบ ว่าตัวเองมีอาการนอนกัดฟันอยู่ พบว่ามีเพียง [FONT=&quot]10% ของผู้ใหญ่ และ 5% ของเด็กที่นอนกัดฟันเท่านั้นที่ทราบว่าตัวเองมีอาการนอนกัดฟัน ซึ่งคนเหล่านั้นมักจะทราบว่าตัวเองนอนกัดฟันจากการได้ยินเสียงนอนกัดฟันของ ตัวเอง หรือจากเพื่อน หรือคนที่นอนใกล้ๆ ได้บอกให้รู้[/FONT][FONT=&quot]” [/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] ส่วน สาเหตุของโรคนี้นั้นเกิดจากมีสิ่งกีดขวางการทำงาน ของฟันในขณะบดเคี้ยว สิ่งกีดขวางเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการกัดฟันหรือขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ขึ้น หรืออาจเกิดจากโรคปริทันต์ที่มีการเจ็บปวดพื้นผิวของริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม เป็นต้น อีกทั้ง อาจมีสาเหตุมาจากยาที่รับประทานก็ได้ ยาที่เคยมีรายงานว่าทำให้เกิดอาการนอนกัดฟันได้ คือ แอมเฟตามีนที่ใช้ร่วมกับ [FONT=&quot]Ldopa, ยา fenfluramine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของแอมเฟตามีน และมีรายงานว่า พบการนอนกัดฟันในผู้ป่วยที่เป็นโรค Tardive Dyskinesia ซึ่งเชื่อว่าเป็นผลมาจากการใช้ยา phenothiazine เป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ จะสามารถทำให้เกิดอาการนอนกัดฟันได้ [/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] อย่าง ไรก็ตาม การรักษาโรคนี้นั้นทันตแพทย์จะทำการปรับการสบของฟันให้ถูกต้อง การนอนกัดฟันอาจจะลดน้อยลงหรือหายไป หรือทันตแพทย์จะต้องแก้ไขโรคปริทันต์ พื้นผิวของริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม ที่มีการระคายเคืองออกให้หมดจะช่วยลดการนอนกัดฟันได้ อีกทั้งแพทย์จะบอกให้ผู้ป่วยแก้ไขสาเหตุของความเครียด แต่ในขณะที่ยังแก้สาเหตุความเครียดไม่ได้ ให้พบทันตแพทย์เพื่อทำเครื่องมือไปใช้ใส่ขณะนอน เพื่อป้องกันไม่ให้กัดลงบนฟันแต่ให้กัดลงบนเครื่องมือแทน ฟันจะได้ไม่สึก การใส่เครื่องมือนี้จะช่วยเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยหรือความเคยชินในการขบเขี้ยว เคี้ยวลักษณะเดิมได้ ซึ่งต่อไปสักระยะหนึ่งจะทำให้เลิกนอนกัดฟันได้ นอกจากนี้ การทำสมาธิเพื่อให้นอนหลับสนิท รวมถึงการกินยานอนหลับและยาคลายกล้าม เนื้อก่อนนอนคงทำให้อาการลดน้อยลงได้เช่นกัน[FONT=&quot][/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ที่มา[FONT=&quot]: หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ[/FONT][/FONT]


    โรคนอนกัดฟัน | ThaiHealth.or.th

    .



    .



    .
     
  17. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    ขอบพระคุณมากครับพี่หนุ่ม
    อ๊อด
     
  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    มาปูเสื่อนั่งรอฟังข้อมูลปู่แสงด้วยคนครับ...s6s6
     
  19. มูริญโญ่

    มูริญโญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +583
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 16 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 11 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>มูริญโญ่, sithiphong, :::เพชร:::, nongnooo, somlatri </TD></TR></TBODY></TABLE>สวัสดีตอนดึกครับ อิอิอิอิ
    วันนี้ท่านสามทหารเสือกองทัพธรรมมากันครบเลยนะครับ
    ดีครับดี อิอิอิอิ
    เดี๋ยวคืนนี้ผมช่วยให้กำลังใจทีมคุณหนุ่มครับ แต่ผมกลัวว่าทีมผมพรุ่งนี้มีแค่แต้มเดียวครับ
    เพราะช่วงนี้ไม่ค่อยแรงแล้วครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...