พระศรีอาริย์จะมาปรากฎพระองค์ในเมืองไทยระหว่างวันที26 พ.ย.นี้

เรียนท่านชยุต

พระพุทธองค์ ก็ทรงบำเพ็ญเพียรหลายชาติ แปลกไหม ที่จะมาโปรดสัตว์ก่อน
ส่วนพระโพธิสัตว์ท่านมีวิญญาณใหญ่ แบ่งภาคได้ ก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน


จากไร้

 

จากสิ่งไร้
เป็นสิ่งมีหนึ่ง
จากมีหนึ่ง แยกเป็นหยิน-หยาง
หยิน-หยาง รวมตัวกัน กำเนิดสรรพสิ่ง



สิ่งไร้ คือ แม่ผู้ก่อเกิด พระพุทธองค์ และพระโพธิสัตว์

พระพุทธองค์เป็นผู้ให้ มีพลังหยาง คือ จุดเริ่มแห่งชาย
พระโพธิสัตว์เป็นผู้คืนกลับ มีพลังหยิน คือ จุดเริ่มแห่งหญิง

ผู้หนึ่งคือมวลสสาร ไม่มีวิญญาณ เมื่อนิพพานชาติสุดท้าย
ก็ย่อมไม่มีวิญญาณ เรียกว่า ดับก่อนดับ
ผู้หนึ่งคือวิญญาณ ไม่มีมวลสาร เมื่อนิพพานชาติสุดท้าย
ก็ย่อมไม่เหลือวิญญาณ จึงจักไม่เกิดใหม่อีก

นี่ละ ทำไมพระพุทธองค์นิพพานแล้วไม่เกิดใหม่
แต่ทำไมพระโพธิสัตว์เกิดหลายครั้ง

พระพุทธองค์เป็นมวลสสาร สสารของท่านคือสรรพสิ่ง
ดั่งพระเยซูกล่าวว่าพระเจ้าอยู่ทุกสรรพสิ่ง และทรงสร้าง
ทุกสรรพสิ่ง นี่ละ คือ ต้นขั้นที่มาของพระพุทธองค์

ส่วนพระเยซู ก็คือ โพธิสัตว์ ท่านจะดึงวิญญาณทั้งหมด
คืนกลับดังที่พระเยซูกล่าว ย่อมไม่ผิดเลย นี่คือ พระโพธิสัตว์
ท่านจะลงมาเกิดบ่อย จนทุกสิ่งหลุดพ้น นี่ก็คือกรรมของพระองค์


เริ่ม มวลสสารพุ่งเข้าสู่วิญญาณ นั่นคือ หลุดดำ
เมื่อหลุมดำอันเป็นแหล่งวิญญาณของพระโพธิสัตว์
กลืนทุกสิ่งเข้าไปหมด ก็ระเบิดร่างของตนเอง
ก่อเกิดสรรพสิ่ง นี่ละ จุดกำเนิดจักรวาล


ดังนี้ พระพุทธองค์ จึงต้องให้ๆๆ ร่างแทบไม่เหลือกว่าจะบรรลุธรรม
ส่วนพระโพธิสัตว์ต้องรับสิ่งเลวๆๆ เข้าไปในตัวก่อนบรรลุธรรม

1. พระเยซูก็ดึงวิญญาณบาป เข้าไปชำระบาปให้ นี่ก็คือ
ลักษณะดึงสิ่งเลวแบบหยิน ของพระโพธิสัตว์
2. ท่านมีกรรม หากไม่ถูกลูกฆ่า ก็ต้องฆ่าตัวตาย เสมือน
ที่มวลสสารเข้าหลุมดำจนระเบิดเป็นบิ๊กแบ้งค์นั่นแหละ
3. พระอานนท์ ท่านระเบิดตัวตายกลางอากาศ แยกพระธาตุ
เพื่อยั้งสงคราม นั่นก็ภาคหนึ่งของพระโพธิสัตว์
4. พระศรีอาร์ฯ ฆ่าตัวตายหลังฟังธรรม จากพระพุทธเจ้า
ท่านก็เป็นดวงวิญาณหลักของพระโพธิสัตว์มาสะสมบารมี
5. ท่านจะไม่มาดวงเดียว จะแบ่งภาคมาด้วย

เช่น

แบ่งเป็นพระแม่มารี ก่อน แล้วจุติในท้องพระแม่มารี
อันเป็นหญิงบริสุทธิ์ จึงได้วิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซู

แบ่งเป็นพระโพธิสัตว์อีกมากมาย ในยุคนี้ เพื่อช่วยกัน
ส่งเสริมพระศาสนาของพระพุทธองค์

 

เรียนท่านบำรุง


ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นเราเอง

1. บุคคลผู้ตามืดบอดมองไม่เห็นธรรม ต่อให้เราแสดงอภิญญาใดๆ
ก็ได้แต่ยึดติด มิได้พึ่งพาตน เช่นนี้ ไม่พูดเสียดีกว่า

2. เรานี้คือคนโกหก อันเรื่องต่างๆ ในโลกนี้ หากพิจารณาจริงเท็จ
จะมีสี่ประการ เราจักแสดงธรรมให้ท่านฟัง

- เหตุจริง ก่อผลจริง
- เหตุจริง ก่อผลเท็จ
- เหตุเท็จ ก่อผลจริง
- เหตุเท็จ ก่อผลเท็จ

ธรรมกาย แม้นมีนิทาน อันคนมองว่าเท็จ
แต่หากเป็นไปเพื่อแสวงหาความจริง
นี่เรียกว่า จริงหรือเท็จ?

บุคคลผู้มองแต่ว่าธรรมกายโกหก จึงไม่ทำบุญ
ย่อมเห็นสัจธรรมด้านเดียว คือ เหตุเท็จ
แต่ย่อมไม่เข้าใจ ผลจริง คือ มรรคไปสู่ความหลุดพ้น
ที่ธรรมกายได้วางไว้เพื่อสรรพสัตว์
นี่เรียกว่าเห็นจริงหรือเห็นเท็จ?

อันจริงเท็จนี้ พิจารณา ตามกุศลได้ดังนี้

- เรื่องจริง ก่อกุศลกรรม
- เรื่องจริง ก่ออกุศลกรรม
- เรื่องเท็จ ก่อกุศลกรรม
- เรื่องเท็จ ก่ออกุศลกรรม

หากมีคนโกหกให้ท่านทำดี ท่านจะทำหรือไม่?
นี่ละเรียกว่ากุศโลบาย

บุคคลผู้ยึดติด ย่อมต้องยึดติดความดีงามตามจริตตน
ไว้เป็นเบื้องต้นก่อน นี่เรียกว่า กุศลกรรม
บุคคลที่ยึดว่าต้องไม่ยึด เลยไม่ทำดี ไม่มีศาสนา
เรียกว่ายึดในอกุศลกรรม

ท่านนี้ยึดสิ่งใด?


3. สิ่งใดเป็นสัจธรรม ท่านจงฟัง

สัจธรรม ย่อมมีหนึ่งเดียว กว่าอย่างไร ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน
เรื่องโกหก นี่เป็นสัจธรรมก็ต่อเมื่อ ผู้นั้นนำไปปฏิบัติจนเห็นธรรม
แต่เรื่องจริง ที่ดูทางทีวี แล้วรีบไปซื้อนั่นนี่ แล้วมากล่าวว่า
นี่แหละเรื่องจริง ว่าแล้วก็เสพสนองตัญหาไป
เสพเท่าไรก็ไม่สุขจริงตามโฆษณาเสียที ต้องไปหาใหม่อยู่ร่ำไป
นี่เรียกว่า จริงหรือเท็จ?

วิทยาศาสตร์บอกว่าตนพิสูจน์ความจริง
แล้วก็มีข้อสมมุติไว้ พอสร้างอะไรได้ ก็บอกว่านี่คือจริง
ใช้ไปใช้มา ไม่เคยหยุด ทุกข์ก็ยังไม่คลาย
แล้วก็บอกวิทยาศาสตร์สนองความสุขได้จริง
นี่เรื่องจริงหรือเท็จ

ตอบหน่อยสิท่าน...

 

น่าเบื่อจัง

 

ท่านเจโช

ท่านได้ขอขมา ด้วยเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
พระโพธิสัตว์มิใช่ผู้อยู่เหนือธรรมชาติ ท่านย่อมไม่ถือสาลูกของตน
ดั่งพระเยซูคริสตร์ท่านย่อมเมตตาและไม่โกรธทั้งสิ้น

แต่กรรมนี้ แม้นแต่พระพุทธองค์และพระโพธิสัตว์ก็ไม่สามารถฝืนได้
ท่านยังต้องได้รับกรรม



จงระวัง

หากผู้ใดกล่าวสิ่งอันเป็นไปเบื่อการปล่อยวางหลุดพ้น แม้นเป็นนิทาน
โกหก อย่าได้ปรามาส

ธรรมะนั้นคืออะไร?

คือ อักษรบาลีสันสกฤติในพระไตรปิฏกหรือไม่?
สิ่งใดที่เรียกว่าธรรม?

สรรพสิ่งนี้เป็นธรรมหรือไม่?

หากมองไม่เห็นธรรม ก็ไม่เรียกว่าธรรม
มองเห็นเรื่องปล่อยวางเป็นเรื่องน่าเบื่อ
ก็เรียกว่าไม่เห็นธรรม

แต่หากไม่สงสัลในธรรม เมื่อได้ยินคนด่า
แม้นเราถูก เขาด่าเรา ใส่ร้ายเรา เราไม่ผิด
เขาผิด

จงให้อภัยเขาด้วยเมตตา

แล้วพิจารณาธรรมจากคำด่าเขา ท่านก็เห็นธรรมจาก
คำด่าอันเป็นเท็จนั้นได้ ว่า "ข้าเตือนท่าน อย่าได้โกรธตอบ"
นี่คือ สัจธรรม ที่ซ่อนอยู่ในคำด่าอันเป็นเท็จ ที่ท่านอาจได้
อยู่รอบกายท่าน แต่ท่านมักโมโห ตอบกลับ

นี่เรียกว่าไม่เห็นธรรม เพราะมัวท่องแต่ตำรา



ต่อไปนี้ท่านจงพึ่งตนเอง พิจารณาธรรม จากสรรพสิ่ง
อย่าได้พึ่งพิงตำรา ธรรมะนั้น เกิดจากกาย สมองไปอ่านไปจำ
ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น หากจิตไม่รู้ธรรม จิตก็กระทำต่อกาย
ก่อกรรมต่อไปไม่สิ้น


นี่ละเหตุใดอ่านธรรม แล้วไม่บรรลุธรรม

 

...(ลบ)

 

เรียนท่านข้างบน

พระธรรมมิได้มีไว้เพื่อถกเถียงให้เป็นเรื่องบาดหมางกัน
ความรู้ของท่านหากใช้ด้วยเมตตา จงใช้เพื่อเตือนสติ
อย่าได้ใช้เพื่อพิจารณาความถูกผิด หากท่านเห็นผู้ใดผิด

1. จงเตือนสติเขาด้วยเมตตา
2. แต่อย่าว่ากล่าวเขาว่าผิด

การจับผิดผู้อื่น มิได้ทำให้ตนบรรลุธรรมได้ การจับผิดจิตตนนั้น
คือทางแห่งความหลุดพ้น อย่าได้เป็นดั่งเช่น "ใบลานเปล่า"



พระธรรมมีอยู่ทุกที่ หากท่านพิจารณาย่อมเห็นธรรม หากท่านเข้าถึงธรรม
แม้นแต่คนพูดเท็จ ท่านก็เห็นธรรมในความเท็จนั้นได้ เพราะทุกอย่างล้วน
เป็นธรรม




ท่านกล่าวว่า

๓.พูดแล้วได้อะไรคิดบ้างหรือเปล่าครับ

แสดงว่า ท่านคิดไม่ออก ท่านจึงคิดว่า พูดแล้วได้อะไรคิดบ้างหรือเปล่า
เรานี้จักขยายความให้เล็กน้อยเท่านั้น

เรากล่าวว่า...

....แต่หากไม่สงสัยในธรรม เมื่อได้ยินคนด่า
แม้นเราถูก เขาด่าเรา ใส่ร้ายเรา เราไม่ผิด
เขาผิด

จงให้อภัยเขาด้วยเมตตา

แล้วพิจารณาธรรมจากคำด่าเขา ท่านก็เห็นธรรมจาก
คำด่าอันเป็นเท็จนั้นได้ ว่า "ข้าเตือนท่าน อย่าได้โกรธตอบ"
นี่คือ สัจธรรม ที่ซ่อนอยู่ในคำด่าอันเป็นเท็จ ที่ท่านอาจได้
อยู่รอบกายท่าน แต่ท่านมักโมโห ตอบกลับ


นี่คือการพิจารณาธรรมจากทุกสิ่ง

1. หากท่านไม่เห็นธรรม ท่านย่อมมองคำด่าว่าไม่ใช่ธรรม
เป็นคำกล่าวเท็จบ้าง เป็นคำหยาบบ้าง นี่ก็จริงแค่ระดับสมมุติบัญญัติ

แต่ถ้าท่านปล่อยวางความ "ถูก-ผิด" แล้วพิจารณาจิตตนแทน
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ ท่านจงพิจารณาจิตตนว่าคิดเช่นไร
หากท่านโกรธตอบ แสดงว่าไม่เห็นธรรม

หากท่านคิดได้ว่า เขานี้เตือนสติเราให้เราตั้งสติให้มั่น ไม่โกรธตอบ
ท่านก็ย่อมได้ธรรมจากคำด่านั้น





เราแนะท่านเท่านี้ ที่เหลือแล้วแต่บุญวาสนาของท่าน

 

vFsllbdii,
mefuwfhfu me=yj;wfh=yj;
d6L]kTii, vd6L]kTii,k

xitlbmTbNl,s;y' 0',udy[mjkoz^hcv[vhk' I" [yfouh

 

.8ivjkowfhw,j9hv'cx] griktz^hxitdkLgxHoritLuivkipNpjv,i^hfu

 

dfdkfjdfjd;fdjfkjdflksdjflkdjflkdfjdslkfjdlkfjdslkfj as well.

 

สุดยอดครับ

 

xitgfHomuj;jkritLiudy[ritgp:^oyho z,8bf;jk,u8;k,gxHowxwfh .o[k'lj;o8iy[ c9jw,jd]hkclf'8;k,gsHoc[[9i'q 555 g]p9hv'gxHovucv[c[[ouh

 

เรียนท่านสาธุชน

เรานี้ได้ธรรมจากพระอาจารย์ผู้เป็นเลิศผู้หนึ่ง ซึ่งท่านมิอนุญาติให้เอ่ย
นาม เมื่อเราได้ทำหน้าที่ตามมอบหมายของพระอาจารย์แล้วจักหายไปเอง

ท่านได้กล่าวว่า

ผู้ใดแอบอ้างเป็นพระศรีอาริยเมตไตรย์ ท่านมิได้ถือโกรธ เพราะก่อน
ท่านจุติ ท่านได้แยกวิญญาณออกมากมาย แบ่งไปยังคนทุกเชื้อชาติ
ทุกศาสนา ทุกเพศ ทุกวัย คนเหล่านั้น จะรู้สึกได้ถึงพระศรีอาร์ฯ



แม้นว่าเขาเหล่านั้น จะกระทำการใด อันจริงหรือเท็จ อย่าได้ยึดมั่น
อย่าได้จับผิด ท่านให้สนับสนุนทั้งหมด พร้อมทั้งให้กล่าวเรื่องราว
ของพระศรีอาริยเมตไตรย์ออกไป เขาเหล่านั้น จะค่อยๆ สัมผัสได้
ถึงวิญญาณที่ได้รับการแบ่งมา และเดินทางถูกได้เอง



วิญญาณนั้นเป็นส่วนน้อย อาจยังไม่เรียกว่าแบ่งภาคได้ แต่หากเขา
เหล่านั้น พากเพียรพยายาม และส่งเสริมพระศาสนาพุทธ ไม่ดูถูก
ทำลายศาสนาอื่น ไม่ยุให้แตกต่างแบ่งเชื้อชาติศาสนาเพศวัย
เมตตาสรรพสัตว์ มิได้เพื่อรับ แต่เพื่อให้ ก็สามารถบรรลุธรรม
และช่วยเหลือสรรพสัตว์ได้แน่นอน


เรานี้ยังมีงานอีกเล็กน้อยเท่านั้น หากทำกิจสำเร็จ
พระอาจารย์ก็จะใช้ผู้อื่นแทนเราต่อไป





เมตตาธรรมค้ำจุนโลก...
สาธุ......................

 

อยากถามคุณคนโกหกครับ
- ว่าจิตเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าเกิดเองแปลว่าไม่มีสิ้นสุดเพราะคงต้องมีจิตเกิดขึ้นใหม่เรื่อยๆ ถ้ามีผู้สร้างจิต แล้วผู้สร้างเกิดมาได้อย่างไร

- แล้วจิตผมเปนไงบ้างครับ มิได้ทดสอบคุณเลย เพราะเท่าที่อ่านกระทู้นี้มาก็เปิดใจอ่านมิได้อะไรทั้งสิ้น

- แล้วยุควัตถุนิยมอย่างทุกวันนี้มานจาเปลี่ยนได้อย่างไร

 

ใครอยากจะพบ พระศรีอารย์ ไม่เห็นมีวิธียุ่งยากเลย ขอแค่ให้ท่านทุกคน มีฐานของจิตที่มั่นคง ฐานของจิตที่มั่นคงหมายความว่า คุณต้องมีศีล 5 ที่ มั่นคงระลึกอยู่ ไม่ต้องมีคุณวิเศษใดๆก็ได้ เพียงแค่เรารักษาศีล 5 ไม่ให้บกพร่อง แล้วจิตของเราก็จะมีฐานแข็งแรงพอที่จะได้เห็นยุค ผู้มีศีล

 

พระศรีอารย์อีกแล้วเหรอ ??

สติ ปัญญา ของผมคงไม่คู่ควรที่จะเข้าใจธรรมของท่านในตอนนี้หรอกกระมังครับ

เพราะอ่านแล้วไม่เข้าใจเลย ขอบำเพ็ญตนต่อไปอีกสักระยะหนึ่งก่อนนะครับ ถึงเวลานั้นคงแจ่มแจ้งอะไรๆได้มากกว่านี้

ตอนนี้ก็ขอลาจากกระทู้นี้ก่อนก็แล้วกันนะครับ

 

ผมว่าไม่ดีเลยนะครับที่จะต้องมาถกเถียงกัน ถ้าพระศรีท่านจะมาโปรดใคร คนนั้นก็จะต้องมีเหตุให้ได้พบเองแหละครับ ปล่อยให้เป็นเรื่องของกฏแห่งกรรมเป็นผู้ทำงานเองดีกว่า อย่าลืมนะครับว่าเราเป็นทายาทของกรรม เรามีกรรมเป็นที่ไปครับ ถ้าเราได้ผูกพันธ์และต้องได้พบพระศรีเราก็จะได้พบท่านเองไม่ว่าจะสมาธิหรือด้วยกายพิเศษก็ตามครับ ขอใหทุกท่าน ตั้งใจปฏิบัติธรรมให้ถึงพร้อมด้วยกาย วาจาและใจกันเถอะครับ พระนิพพานอยู่ไม่ไกลครับถ้าเราตั้งใจ

 

--ถูกต้อง--

 

จิตเดิมไม่มีผู้สร้าง เป็นสภาวะตถตา คือไม่มีผู้สร้าง ส่วนการเกิดดับของจิตเป็นเพียงภาพมายา หรืออุปาทานที่จิตไปอาศัยและยึดถือเอา รูปนามที่มีสภาวะเกิดดับ จิตจึงปรุงแต่งไปตามนั้น เพราะอวิชชาครอบงำ เมื่อจิตรู้แจ้งแล้วแม้อาศัยรูปนามอีกก็จะไม่เกิดการปรุงแต่งอีกต่อไป เป็นวิสุทธิจิต
ส่วนสรรพสิ่ง รูปนาม พลังงานต่างๆนั้น มีผู้สร้างนะครับ ไม่ได้เกิดเอง

 

เรียนท่าน "ตกยุคอะ"

เราจะไม่ตอบคำถามของผู้ที่ไม่นำคำตอบเราไปใช้เพื่อการตัดกิเลสอย่างมุ่งมั่น

- ว่าจิตเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าเกิดเองแปลว่าไม่มีสิ้นสุดเพราะคงต้องมีจิตเกิดขึ้นใหม่เรื่อยๆ ถ้ามีผู้สร้างจิต แล้วผู้สร้างเกิดมาได้อย่างไร

อย่าได้สนใจจิตเกิดอย่างไร จงสนใจว่าจะดับอย่างไร
คำตอบมีแล้วในพระไตรปิฏก เราไม่จำเป็นต้องบอกท่าน
หากผู้ใดมุ่งมั่นตัดกิเลสจริง เราจะบอกความธรรม
ธรรมะ มิใช่มีเพื่อถกเถียง หรือพิสูจน์ถูกผิด

- แล้วจิตผมเปนไงบ้างครับ มิได้ทดสอบคุณเลย เพราะเท่าที่อ่านกระทู้นี้มาก็เปิดใจอ่านมิได้อะไรทั้งสิ้น

จิตที่มี "ความลังเลสงสัย" ไม่สามารถเข้าใจธรรมได้ แม้นพระพุทธองค์มา
โปรด ก็ได้แค่เป็น "กามนิต" ผู้ไม่รู้ความธรรมจากพระพทธองค์

- แล้วยุควัตถุนิยมอย่างทุกวันนี้มานจาเปลี่ยนได้อย่างไร

จงเปลี่ยนที่ใจท่าน อย่าได้สนใจเรื่องนอกตัว