ลูกศิษย์หลวงพ่อ ควรอ่าน " อิทธิฤทธิ์ บารมี หลวงพ่อ " ตอนใหม่ หน้า ๓

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย gatsby_ut, 9 มิถุนายน 2010.

  1. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    หลวงพ่อของเรา
    [​IMG]


    โดย ศาสตราจารย์ ดร. ปริญญา นุตาลัย
    จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๑

    ........เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ ผู้เขียนมีความประสงค์จะบันทึกคุณวิเศษบางส่วนของหลวงพ่อของเราให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายได้ชุ่มชื่นใจ ในคุณความดีอันยอดยิ่งของท่านที่คุ้มหัวพวกเราอยู่ ท่านที่ไม่ได้เป็นลูกศิษย์จะอ่านก็ได้ ผู้เขียนก็หวังว่าเรื่องนี้คงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านบ้าง

    ..........ส่วนคนพาลห้ามอ่านเด็ดขาด เพราะวิสัยของคนพาลก็ย่อมมีทุคติ เป็นเบื้องหน้าอยู่แล้ว อย่าได้มาหาโทษใส่ตนเพิ่มขึ้นอีกเลย หลายๆ เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังนี้ก็คงเป็นอจินไตย สำหรับผู้ยังไม่ได้ฌาน และไม่มีญาณที่เกิดจากอำนาจฌานก็ขอให้ฟังหูไว้หูไปพลางๆ ก่อน


    หลวงพ่อเป็นพระขนาดไหน
    .........ใครก็ตามที่ได้อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน และ หนังสือมโนมยิทธิและประวัติของฉัน ก็คงจะพอรู้ประวัติและปฏิปทาของหลวงพ่อแล้ว ทีนี้ลองมาฟังพระผู้ใหญ่บางท่านพูดถึงหลวงพ่อดูบ้าง หลวงปู่บุดดา ถาวโร เคยปรารภถึงหลวงพ่อของเราเมื่อเปรียบกับองค์ท่านเองไว้ดังนี้ “ หลวงปู่น่ะเหมือนหิ่งห้อย หลวงพ่อมหาวีระเหมือนพระอาทิตย์ ” เป็นไงครับ
    <O:p
    ท่านผู้อ่านพอรู้ขนาดตัวท่านบ้างหรือยัง ถ้าพระสุปฏิปันโนขนาดหลวงปู่บุดดา เปรียบได้แค่หิ่งห้อย เราท่านทั้งหลายก็คงเป็นแค่ไรน้ำที่ติดใจพระอาทิตย์กระมัง หลวงพ่อสิม พุทธาจาโร (พระครูสันติวรญาณ) บอกว่า “หลวงพ่อมหาวีระนั้น ท่านเป็นโลกวิทู แจ้งทั้งโลก แจ้งทั้งธรรม” ชัดเจนไหมครับ ครูบาคำแสนเล็ก ท่านบอกว่า “หลวงปู่ บวชมา 60 กว่าพรรษาเข้านี่แล้วยังไม่เคยพบพระองค์ไหนเหมือนหลวงพ่อ”

    <O:p
    เมื่อตอนปลายปี พ.ศ.2517 หลวงพ่อเข้ามาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจ ผู้เขียนได้มานอนเฝ้าท่านอยู่ ตอนกลางคืนท่านก็รับ แขกพวกญาติโยม หมอและพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ (สมัยนั้นพี่หมอสมศักดิ์ ดูเหมือนจะเป็นรองผู้อำนวยการ)


    [​IMG]

    <O:p
    หลวงพ่อท่านก็เล่าเรื่องหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา ให้ฟัง ท่านว่า หลวงพ่อกบนั้นเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณทรงสมาบัติแปดตลอด ท่านจึงไม่รู้ร้อนรู้หนาว ตัวผู้เขียนเองนั้นสงสัยหลวงพ่อมานานแล้วและก็ถกเถียงกับลูกศิษย์หลายๆท่านเรื่อยมา ท่านที่อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปานก็จะอ้างว่า หลวงพ่อทรงวิชชาสามแน่นอน
    <O:p
    แต่ผู้เขียนว่าไม่ใช่ เพราะหลวงพ่อทรงสมาบัติแปดตั้งแต่พรรษาแรก และผู้ที่ทรงสมาบัติแปดนั้น สามารถเป็นพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณได้ภายใน 7 วัน พอแขกกลับไปหมดแล้ว ผู้เขียนก็มานอนคิดเปรียบเทียบ หลวงพ่อกบนั้นท่านทรงสมาบัติแปด ท่านก็เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ

    <O:p
    หลวงพ่อของเรานั้นบารมีเดิมท่านเป็นพุทธภูมิวิริยาธิกะ อีก 7 ชาติ บารมีจะเต็ม และก็ทรงสมาบัติแปดตั้งแต่พรรษาแรกที่บวช เมื่อท่านลาพุทธภูมิ (เมื่อ พ.ศ. 2504) แล้ว ทุนเดิมมากมายเหลือเฟืออย่างนั้น ถ้าไม่ทรงปฏิสัมภิทาญาณแล้วจะเอาทุนเดิมไปซ่อนที่ไหน พอคิดออกก็แทบจะนอนไม่หลับ

    <O:p
    รุ่งเช้าหกโมงเช้าหลวงพ่อตื่นแล้ว ผู้เขียนก็รีบเข้าไปกราบๆๆ แล้วเรียนท่านว่า “ผมรู้แล้วครับ หลวงพ่อทรงปฏิสัมภิทาญาณแน่นอน” แล้วก็ให้เหตุผลกับท่าน ท่านบอกว่า “จับได้ไล่ทันก็แล้วไป จับไม่ได้ไล่ไม่ทันข้าก็ว่าของข้าไปเรื่อยๆ” แล้วท่านก็เมตตาเล่าให้ฟังว่า <O:p
    ท่านสงสัยมาตั้งแต่บวชแล้ว เมื่อได้อ่านพบว่า ท่านพระกิมพิละ สำเร็จอรหันต์ปฏิสัมภาทาญาณ ทรงพระไตรปิฎก เมื่อมีดโกนจรดหนังศีรษะเมื่อจะโกนผมบวช ท่านบอกว่า “ทรงพระไตร ปิฎกเข้าไปได้ยังไง ยังไม่ได้อ่านได้เรียนสักตัว” แต่เมื่อท่านสำเร็จเองแล้วถึงได้รู้ว่า “นึกจะรู้อะไรแล้วมันรู้ไปหมด ความรู้มัน เกิดขึ้นมาเอง นึกจะรู้ก็รู้” ตั้งแต่นั้นมาผู้เขียนก็ทำตนเป็นฆ้องปากแตก เที่ยวได้บอกเขาเรื่อยไป จนกระทั่งหลวงพ่อท่านบ่นว่า

    <O:p
    “ข้าปิดของข้ามาเป็นสิบกว่าปี ไอ้เบื๊อกนี่เอามาเปิดหมด” ดังนั้นผู้เขียนจึงไม่สงสัยเลย (แต่จับใจมาก) เมื่อได้ยินท่านพูดว่า “ขึ้นชื่อว่าพระ (หรือคนก็ตาม) อย่าให้ฉันได้ยินชื่อ...รู้หมด”


    [​IMG]

    <O:p
    ทีนี้ขอเล่าเรื่องที่ผู้เขียนได้ประสบมาแล้วก็ไม่เคยกล้าเล่า เมื่อผู้เขียนฝึกมโนยิทธิสำเร็จครั้งแรกเมื่อปลายปี 21 ขอออกนอก เรื่องหน่อยนะครับ เพราะฝึกว่าจะได้ใช้เวลาตั้ง 3 คืน มิหนำซ้ำยังขี้เกียจฝึกฝนซักซ้อมเสียอีก ท่านทั้งหลายที่มาฝึกปุ๊บได้ปั๊บนั้น

    <O:p
    ขอให้ภูมิใจได้ว่าจิตของท่านดีกว่าผู้เขียนหลายเท่านัก กลับเข้าเรื่องล่ะครับ เมื่อขึ้นไปถึงพระนิพพานได้แล้ว (ใครว่านิพพานสูญก็เชิญตามสบายนะครับเราไม่ว่ากันอยู่แล้ว) ความซนก็บังเกิด แอบไปดูวิมานหลวงพ่อ พอเห็นเข้าก็ตกใจทำไมถึงใหญ่โตอย่างนี้ ใหญ่กว่าวิมานของสมเด็จองค์ปัจจุบันมากเป็นไปได้ยังไง

    ความรู้ปรากฏแก่จิตในขณะที่คิดนั้นเองว่า เศรษฐีมีทรัพย์มากกว่าพระราชาได้ หลวงพ่อท่านสั่งสมบารมีมาสิบหกอสงไขยกับอีกแสนกัป วิมานก็ย่อมใหญ่เป็นธรรมดา ตั้งแต่นั้นมาผู้เขียนก็ชอบแอบดูวิมานชาวบ้านเรื่อยมาจนนานๆ เข้าก็เลิกไปเอง ที่โบราณท่านว่าวาสนาบารมีแข่งไม่ได้นั้น มันจริงอย่างนี้

    <O:p
    ขอเล่าเรื่องฟังเทศน์ที่พระจุฬามณี ให้ฟังสักนิดราวกลางปี พ.ศ. 2517 ผู้เขียนมาฝึกกรรมฐานกับหลวงพ่อที่ตึกขาว พอหมด เวลาหลวงพ่อก็บอกว่า “คุณปริญญา ฉันเจออาจารย์คุณบนดาวดึงส์” ผู้เขียนได้ยินก็นึกไม่ออกว่าองค์ไหน เพราะเวลานั้นผู้เขียนไปมาหาสู่พระอาจารย์หลายองค์ด้วยกันก็พอนึก ๆ เอาเองว่า คงเป็นหลวงพ่อสิม

    <O:p
    ดังนั้นพอผู้เขียนกลับไปถึงเชียงใหม่ก็รีบขึ้นไปถ้ำผาปล่องไปถามหลวงพ่อสิมว่า “วันนั้นหลวงพ่อขึ้นไปดาวดึงส์ใช่ไหม” หลวงพ่อสิมถามว่า “ใครบอก” ผู้เขียนก็ตอบว่า “หลวงพ่อมหาวีระบอก” หลวงพ่อสิมขอดูรูปหลวงพ่อ ผู้เขียนก็นำขึ้นไปถวาย และผู้เขียนก็เล่าใฟ้ท่านฟังว่า หลวงพ่อมหาวีระ บอกว่า “ฉันชอบหลวงพ่อสิมอยู่สองอย่าง คือท่านเคารพพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจและท่านมีกตัญญูสูง”

    <O:p
    หลวงพ่อสิมก็ปรารภว่า “ท่านไม่รู้จักเราท่านยังสามารถรู้ในจิตในใจเราได้” หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า “พระทุกองค์ที่ได้ตั้งแต่วิชชาสามจะขึ้นไปฟังพระพุทธเจ้า เทศน์ที่พระจุฬามณีทุกๆ วันพระ” และการเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าที่พระจุฬามณีพระทั้งหลายก็จะนั่งเรียงลำดับใกล้ไกล จากพระพุทธองค์ตามอริยผล อริยมรรค และกำลังฌานที่ได้และตามบารมีที่สั่งสมมา

    <O:p
    หลังจากฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว ผู้เขียนก็เคยอธิฐานขอดูลำดับพระที่มีชื่อเสียงหลายองค์ว่าท่านขนาดไหนกันบ้าง เมื่อท่านเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระจุฬามณี (ด้วยความอยากรู้เท่านั้น) ทุกๆครั้งที่ขึ้นไปขอดู เห็นหลวงพ่ออยู่ชิดด้านขวาพระพุทธองค์เป็นเบอร์หนึ่งทุกที พระหลายองค์ที่มีชื่อเสียง ท่านก็นั่งอยู่ในแถวพระอรหันต์ก็มี พระอนาคามีก็มี แต่ขอโทษทีบรรดาพวกจิตว่างท่านไปอยู่ไหนกันหมดก็ไม่ทราบ ไม่เคยเห็นสักที

    <O:p
    ขอปรารภเรื่องจิตว่างสักนิด หลวงพ่อท่านพูดทุกครั้งที่มีผู้มาถามเรื่องจิตว่าง ท่านว่า คำว่า จิตว่าง คือ ว่างจาก โลภะโทสะ โมหะ แต่จิตไม่ได้ว่างแบบไม่เสวยอารมณ์ใดๆ จิตว่างแบบนั้นมีเฉพาะพระอนาคามี และพระอรหันต์ที่เข้านิโรธสมาบัติเท่านั้น จิตคนทั่ว
    ไปต้องเสวยอารมณ์ เมื่อจิตละอกุศล จิตก็ยึดกุศล


    [​IMG]

    <O:p
    ผู้เขียนขอยกคาถา 4 ที่พวกจิตว่างส่วนใหญ่ยึดอยู่ (เอ๊ะ ถ้าว่างก็ต้องไม่ยึดสิ) โดยไม่รู้จริงมาให้พิจารณาดูสักนิด พระบาลีที่ว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ นั้น หลวงพ่อท่านบอกว่า ควรจะแปลว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นโลกียวิสัย ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” ไม่ใช่ไม่ยึดแม้กระทั้ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระนิพพาน ลองคิดพิจารณากันดูนะครับ


    กลับเข้าเรื่องใหม่นะครับ เมื่อผู้เขียนรู้เสียแล้วว่าหลวงพ่อท่านเป็นพระขนาดไหน ความวางใจอย่างเต็มที่ในครูบาอาจารย์ก็บริบูรณ์ และก็เป็นเหตุที่ทำให้ผู้เขียนถูกพระองค์ที่สิบทักเมื่อคราวฉลองวัดผู้เขียนขอเอาความอวดดีของตัวมาเล่าสู่กันฟังสักเรื่อง ที่จริง ไอ้เรื่องมานะถือตัวอวดดีนั้นผู้เขียนไม่เป็นรองใคร ผู้เขียนถือตัวอยู่เสมอว่ามีอาจารย์ดีใครอย่าได้มาบอกบุญให้ทำที่วัดอื่นเลย ใจมันไม่อยากทำ ถ้าทำก็เพราะเกรงใจคนไม่ใช่เพราอยากทำบุญ ผู้เขียนรู้ว่าเนื้อนาบุญของผู้เขียนนั้นเป็นอุดมมงคลแล้วจะไปโง่ทำนาดอน นาแล้งทำไม ตอนวันฉลองวัดก็รู้ๆ กันอยู่ (เพราะหลวงพ่อบอกล่วงหน้า) ว่าจะมีพระชั้นเยี่ยมๆ มาวัด

    <O:p
    ผู้เขียนไม่ได้ตื่นเต้นตามไปด้วยเลย เพราะเรารู้ของเราอยู่ว่าแค่นี้เราพอแล้ว พอผู้คนตื่นเต้นกันมากๆ ผู้เขียนก็ผสมโรงหลอกชาวบ้านว่า ท่านพระโมคคัลลาน์ และท่านพระสารีบุตร มาที่อาคารเสริมศรีแล้ว ไปดูซิ (ที่จริงท่านนั่งพนมมืออยู่นั้นหลายปีแล้ว) ก็บอกเขาไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง น้าน้อย (กานดา อมาตยกุล) มาบอกว่า เธอไปดูซิ มีพระดีที่ศาลาหลังเก่าน่ะ ผู้เขียนนั้น รู้มานานแล้วว่าในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของหลวงพ่อ

    <O:p
    น้าน้อย (กานดา อมาตยกุล) มีทิพจักขุญาณแจ่มใสไม่เป็นรองใคร ก็เลยแอบไปดู พบรัชนีกลางทางก็ชวนไปดูด้วย เธอก็เย้าเอาว่า ไหนว่ามีอาจารย์ดีองค์เดียวไง ก็เลยตอบไปว่า น้าน้อยให้ไปดู ก่อนจะถึงผู้เขียนอธิษฐานว่า ถ้าท่านเป็นพระดีจริง ก็ขอให้ท่านทัก เราโดยอย่าให้คนอื่นรู้ พอผู้เขียนก้าวพ้นบันได้ขึ้นไปบนชานก็ได้ยินเสียงมาทีเดียวว่า “ไอ้คนบางคนมันถือตัวว่ามีอาจารย์ดี แล้วตัว มันเองดีเหมือนอาจารย์หรือเปล่า” พอได้ยินเข้าก็ซึมไปเลย รีบเข้าไปกราบสุดตัวเลยทีเดียว


    [​IMG]
    <O:p


    หลวงพ่อชี้ทางนิพพาน<O:p
    ผู้เขียนได้พบหลวงพ่อเมื่อปลายปี พ.ศ. 2516 หลังจากซาบซึ้งตรึงใจกับหนังสือสองเล่มที่ท่านเขียนคือ ประวัติหลวงพ่อปาน และ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน มาหลายเดือน มาหาท่านที่วัดสองครั้งก็ไม่พบ จนกระทั่งท่านขึ้นไปเชียงใหม่จึงได้พบท่านที่นั่น ผู้เขียนสนใจพระพุทธศาสนามานานแล้ว ได้เคยอ่านหนังสือแนะนำวิธีฝึกพระกรรมฐาน ตั้งแต่วิสุทธิมรรคลงไป
    <O:p
    อยากจะพูดว่าทุกเล่มทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษ พอมาพบหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานของหลวงพ่อ ก็บังเกิดความซาบซึ้งตรึงใจมาก คิดว่าไม่มีหนังสือใดที่วิเศษไปกว่านี้อีกแล้ว แล้วก็เลยขโมยท่านพิมพ์แจกในงานแซยิดแม่และเอาไปถวายที่วัด 200 เล่ม แต่ไม่ได้พบหลวงพ่อ พอพบท่านที่เชียงใหม่ท่านก็สอนทั้งสองคืน พูดเรื่องโทษของการกินเหล้า จนผู้เขียนเลิกเหล้าตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    และสอนว่าใครก็ตามที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนาและมีจิตศรัทธาเลื่อมใส ท่านว่าบารมีเต็มแล้ว สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน แล้วท่านก็บอกให้พิจารณาละสังโยชน์สาม และกำหนดว่าอย่างน้อยจะต้องเป็นพระโสดาบันให้ได้ ผู้เขียนอายุ 34 ปี ในขณะนั้น หัดฝึกกรรมฐานสัมมาอรหังกับหลวงปู่สดวัดปากน้ำตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เทกระโถนหลวงปู่บุดดา มาตั้งแต่เล็กๆ ได้พบพระอาจารย์ดีๆ มาก็มากมาย

    <O:p
    แต่สงสัยในเรื่องนิพพานมาตลอดเวลาว่า จะต้องสั่งสมบารมีไปอีกเท่าไหร่กันจึงจะถึงสักที มีอะไรเป็นเครื่อง หมายเครื่องกำหนด พึ่งจะได้พบแสงสว่างจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อวันนั้นเอง เหมือนกับมีคนมาเปิดโลกยันพระนิพพานให้ดูทั้งหมด ใจฟูเป็นอันมาก พอหลวงพ่อกลับไปแล้วก็รีบไปเล่าให้หลวงพ่อสิมฟังว่าได้พบพระที่บอกให้ผู้เขียนเร่งให้ถึงนิพพานใน ชาตินี้ให้ได้ ผู้เขียนมีหวังแล้ว

    <O:p
    หลังจากครั้งนั้นก็ยังได้ยินท่านประกาศว่า “ถ้าเชื่อฉัน ทุกคนถึงนิพพานหมดในชาติหน้า แต่หลายคนจะถึงในชาตินี้” ท่านทั้งหลายเคยได้ยินพระองค์อื่นกล้าคิดหรือกล้าพูดเช่นนี้บ้างไหม

    <O:p
    นอกจากนี้ในการพบท่านครั้งแรกนั้น ท่านยังเล่าเรื่องอื่น ๆ ให้ฟังอีกและบอกว่า “คุณมาเกิดชาตินี้ คุณลงมาไม่ครบอายุขัยนะ เข้าใจไหม” ก็ตอบท่านว่าเข้าใจครับ แต่ไม่ยักกะถามท่านว่า “อายุเท่าไหร่จะตาย” ต่อมาลงมากราบท่านที่วัด พอสบโอกาสก็กราบ เรียนท่านว่า “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อเอาผมไปนิพพานด้วยนะครับ”

    <O:p
    ท่านตอบว่า “เอาไปซี่ ไม่งั้นฉันจะไปตามคุณรึ” ผู้เขียนก็กราบ ๆๆ หลังจากนั้นอีกหลายปี ได้ติดตามท่านไปเก็บลูกศิษย์อีกหลายๆ แห่ง (เล่าได้อีกมากไว้เล่าในเล่มต่อไปแล้วกัน) เห็นลีลาต่าง ๆ ของท่านด้วยความซาบซึ้งในมหากรุณา แล้วก็เกิดความสงสัยว่า ท่านจะตัดตอนหยุดเก็บลูกศิษย์แค่ไหน

    <O:p
    ก็กราบเรียนถามท่านว่า “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อจะตัดตอนหยุดเก็บลูกศิษย์แค่ไหนครับ” ท่านบอกว่า “ฉันจะเก็บของฉันไปจนหมด ฉันเก็บลูกศิษย์ของฉันครบแน่” ผู้เขียนได้ยินแล้วสะท้อนใจในกำลังใจและมหากรุณาที่ยิ่งใหญ่ไพศาลหาประมาณมิได้ขององค์ท่าน และลูกศิษย์ทุกท่านก็คงจะอุ่นใจได้นะครับ


    [​IMG]
    หลวงพ่อต่อชีวิตให้<O:p</O:p
    ในปี พ.ศ. 2521 ผู้เขียนมาฝึกมโนมยิทธิ พอขึ้นไปได้วันที่สอง ชักจะสนุกสนานและจิตทิ้งขันธ์ 5 ได้เป็น เมื่อเสร็จแล้วมากราบหลวงพ่อ หลวงพ่อเล่าว่า ท่านพระกาฬถือขวานสองเล่มมายืนอยู่ข้างหลังผู้เขียน หลวงพ่อก็ถามท่านว่ามาทำไม ท่านพระกาฬตอบว่า “ผมไม่มีอะไรกับพระคุณท่าน แต่ไอ้นี่” แล้วชี้มาที่ผู้เขียน “ผมต้องจัดการ” หลวงพ่อก็ขอให้ท่านอโหสิให้ และขอชีวิตผู้เขียนไว้โดยให้ทำบุญสร้างพระพุทธชินราชหน้าตัก 30 นิ้วถวาย อุทิศส่วนกุศลเฉพาะพระกาฬ ก็เลยรอดตายมาได้จนทุกวันนี้

    <O:p
    ดังนั้นพูดจริงๆ แล้วชีวิตผู้เขียนนี้ก็เป็นของท่านแต่ความเลวของผู้เขียนยังมาก ไม่ค่อยจะสำนึกบุญคุณของท่านที่ท่วมหัวท่วมตัวอยู่ แต่บางครั้งเมื่อใจสะอาดก็ระลึกได้เสียที อย่างเมื่อตอนบวชที่วัดท่าซุงครั้งแรก พอออกมาจากโบสถ์มากราบท่านที่ศาลานวราชเดิม ความรู้เดิมมันท่วมเข้ามาว่า สัญญากับท่านเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะลงมาช่วยท่านเป็นมือเป็นเท้าให้กับท่าน แต่พอลงมาแล้ว ก็มาดื้อกับท่าน มาเบี้ยวกับท่าน ความเสียใจก็ขึ้นมาจุกที่คอ น้ำตาไหลห้ามไม่หยุด ญาติโยมก็นึกว่าปีติจนน้ำตาไหล แต่ผู้เขียนเองรู้ว่า เสียใจที่เป็นลูกที่เลวเลยร้องไห้


    [​IMG]<O:p


    หลวงพ่อให้ปัญญา<O:p
    หลวงพ่อองค์นี้ถ้าได้อยู่ใกล้ๆ ท่านดูเหมือนว่า กิเลสเราจะหมดลงไปโดยไม่รู้ตัว แลปัญญาเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ผู้เขียนจึงชอบอยู่ใกล้ๆ ท่านเพื่อให้ตัวเองมีความรู้เกิดขึ้นมากๆ และก็จริงๆ ว่าทุกๆ ครั้งที่อยู่กับท่านดูมันจะรู้ๆๆๆ ไปหมด เวลาหลวงพ่อจะสั่งอะไรก็ตามแต่ ท่านจะสั่งเพื่อให้เราใช้ปัญญาของตัวเองประกอบ เพื่อให้เราภูมิใจว่าเราคิดได้เอง เพราะฉะนั้นผู้เขียนจึงชอบดู ท่านสั่งงานและก็ดูเหมือนว่าจะรู้ใจท่านไปด้วย


    <O:p
    ทุกครั้งที่เรามีเรื่องสงสัยท่านจะตอบโดยไม่ต้องถาม เรื่องนี้ศิษย์ทุกคนพูดเหมือนกันหมดและเดากันว่า เจโตปริยญานท่านชัดเจนแจ่มใส ผู้เขียนเองโดนเรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งเรื่องสอนและเรื่องแก้สงสัย เมื่อเร็วๆ นี้เองมีความสงสัยว่า ปัญญาบารมี นี่เขาสั่ง สมกันอย่างไรไปอ่านดูในทศชาติ ท่านพระมโหสถ ท่านเกิดมาท่านก็ฉลาดเลย แล้วจะสั่งสมปัญญาบารมีกันอย่างไรเล่า ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง เสียงเทศน์มาแล้ว “การทำสมาธิ คือการสั่งสมปัญญาบารมี”

    <O:p
    ผู้เขียนมีความเห็นว่า เรื่องแก้สงสัย ในใจลูกศิษย์นี้หลวงพ่อไม่ได้ใช้เจโตปริยญานขณะที่ท่านรับแขก ถ้ามัวแต่ใช้เจโตปริยญาณดูใจลูกศิษย์ทุกๆ คนก็ไม่ทันกิน หลวงพ่อนั้นท่านมีปฏิสัมภิทาญาณของพระอนุพุทธซึ่งครอบทั้งจักรวาลในขณะใดขณะหนึ่งก็ได้ นอกจากนี้ท่านยังมีผู้บอกบทอีกนับไม่ถ้วน ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา

    <O:p
    เพราะฉะนั้นเรื่องนัตถิปัญญาสมาอาภาแสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มีขององค์หลวงพ่อท่านสว่างทั้งโลกจริง เรื่องนี้จึงเป็นเรื่อง อาเทศนาปาฏิหาริย์และอนุสาสนีปาฎิหาริย์ อันอาศัยปฏิสัมภิทาญาณของหลวงพ่อและไม่ใช่เจโตปริยญาณ ถ้าใครอยากจะดูอา
    เทศนาปาฏิหาริย์ ก็ขอให้ตั้งใจดีๆ แล้วดูหลวงพ่อรับแขกเถิด จะเห็นได้ทุกๆ วัน<O:p
    ทีนี้ก็ขอเล่าเกร็ดต่างๆ อีกเล็กน้อยปิดท้ายเรื่องก็แล้วกันนะครับ...<O:p
    <O:p


    [​IMG]


    หลวงพ่อแจกพระ<O:p
    เวลาประมาณบ่ายสี่โมงเย็นของวันอาทิตย์วันหนึ่ง ปลายปี 2517 ขบวนลูกศิษย์ 8 คนได้เข้าไปกราบหลวงพ่อเพื่อจะกลับกรุงเทพฯ ที่กุฎิริมน้ำ หลวงพ่อท่านนั่งอยู่บนเก้าอี้พับ ท่านบอกให้ผู้เขียนหยิบพานพระเครื่องส่งให้ท่าน ตอนนั้นเพิ่งออกพรรษาใหม่ๆ และ หลวงพ่อทำพิธีพุทธาภิเษกรุ่นแรกของท่าน (เหรียญสีเงิน) และเหรียญหลวงปู่ปาน (เหรียญสีทอง) ตลอดทั้งพรรษาเสร็จใหม่ๆ ใครๆ จึงอยากได้เหรียญรุ่นนี้กันมาก พานพระเครื่องเป็นพานขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ <?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:metricconverter>8 นิ้ว ก้นตื้น ปากบาน
    <O:p
    ในพานมี เหรียญหลวงพ่อสีเงิน 15 เหรียญ และเหรียญหลวงปู่ปานสีทอง 3 เหรียญ หลวงพ่อเริ่มหยิบเหรียญทองและเหรียญเงินส่งให้ลูกศิษย์ตั้งแต่คนที่หนึ่ง คนที่อยู่หลังๆ ก็หน้าเสียเพราะทุกคนเห็นกันอย่างชัดเจนว่า เหรียญทองมีอยู่ 3 เหรียญเท่านั้น ผู้เขียนรับคนแรกแล้วก็นั่งรออยู่ข้าง ๆ ท่าน หลวงพ่อก็หยิบพระแจกเป็นคู่ เหรียญทองเหรียญเงินไปเรื่อยจนครบคน

    <O:p
    พอหมดคนท่านก็พูดว่า “หมดพอดี” ผู้เขียนก็กราบเรียนท่านว่า “หยิบได้พอดีอย่างนี้ มีหลวงพ่อหยิบได้องค์เดียวเท่านั้น” ทุกคนก็พูดกันใหญ่ว่าหลวงพ่อ หยิบได้อย่างไร แต่ท่านก็ได้หยิบให้ดูแล้ว ทั้ง 8 คนเห็นอย่างชัดเจน


    [​IMG]<O:p
    <O:p


    หลวงพ่อแตกฉานทุกภาษา<O:p
    ครั้งหนึ่งมีผู้เอาสีกระป่องหลายกระป๋องอยู่มาถวายท่าน ท่านก็ให้ช่างเอาไปทา ช่างก็ใช้ไม่เป็น ฉลากก็เป็นภาษาต่างประเทศ ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เข้าไปถามหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านนั่งอยู่ในกุฎิริมน้ำองค์เดียว ท่านก็หยิบกระป๋องขึ้นมาอ่านฉลากข้างกระป๋อง
    แล้วก็บอกวิธีใช้ให้ช่าง

    พอผู้เขียนไปที่วัด น้าน้อยกานดา ก็รีบมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง<O:p
    อีกครั้งหนึ่งผู้เขียนตามท่านไปเชียงราย ไปพักอยู่ที่วัดเม็งราย หลวงพ่อท่านนอนอยู่บนกุฎิ ผู้เขียนก็นอนเฝ้าท่านอยู่ที่ใต้ถุน พอตกดึกก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อเปิดวิทยุฟังภาษาต่างประเทศ ซึ่งผู้เขียนเองก็ไม่รู้ว่าเป็นภาษาพม่า ภาษาแม้ว หรือภาษาอะไร
    ท่านก็ฟังของท่าน พอผู้เขียนเล่าเรื่องนี้ให้หลวงพี่ที่ไปด้วยฟัง ท่านก็บอกว่า หลวงพ่อฟังบ่อยแต่จะไม่ทำให้ใครรู้

    <O:p
    ตอนไปที่ชิคาโก พวกเราไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ฟิลด์มิวเซียม ก็มีเจ้าหน้าที่ที่รู้ภาษาอียิปต์โบราณมารับจ้างเขียนชื่อใครก็ได้เป็น ภาษาอียิปต์โบราณอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ผู้เขียนก็เข้าไปจ้างให้เขาเขียนชื่อ “พระมหาวีระ ถาวโร” เขาก็เขียนมาให้ พอกลับมาถึงที่พัก ก็เอาไปถวายท่านแล้วกราบเรียนถามท่านว่า หลวงพ่อทราบไหมว่าอะไร ท่านบอกว่า “มันเขียนผิดนี่หว่า ชื่อข้าต้องมีตัว ……” แล้วท่านก็ทำท่าเขียนในอากาศให้ดู ผู้เขียนก็กราบเรียนถามท่านว่า ท่านทราบได้อย่างไร ท่านก็บอกว่า “ปุโรหิตเขามาบอก”

    <O:p
    ครั้งหนึ่งหลวงพ่อลงมาสอนกรรมฐานที่กรุงเทพฯ พอกลับไปถึงกุฎิที่วัด คนเลี้ยงแมวก็มารายงานว่า “พอหลวงพ่อไปกรุงเทพฯ แมวก็ไม่กินข้าว” หลวงพ่อก็ย้อนทันทีว่า “แกเรียกมันว่าอีใช่ไหมล่ะ” คนเลี้ยงแมวก็ถามว่า “หลวงพ่อรู้ได้ยังไง” ท่านตอบว่า “ก็มันฟ้องข้าอยู่นี่ไง”

    เพื่อเป็นการประหยัด เนื้อที่ และทรัพย์พยากรณ์ ของเวป
    ผมจะไม่ใช้ วิธีตั้งกระทู้ใหม่ แต่จะขอทยอย ลงในหน้า ต่อ ๆ ไป เพื่อเทอดบารมี พระเดช พระคุณ หลวงพ่อ

    [​IMG]







    <!-- google_ad_section_end --><HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.984129/[/MUSIC]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มิถุนายน 2012
  2. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
    ...กราบอนุโมทนาค่ะ...
     
  3. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    ขอบคุณมากครับ ท่านเจ้าของกระทู้ อ่านเพลินดีจัง



    (good)
     
  4. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    [​IMG]
    กราบ อนุโมทนา สาธุ ค่ะ
     
  5. Pongroch

    Pongroch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2008
    โพสต์:
    496
    ค่าพลัง:
    +1,479
    ขออนุโมนาเป็นอย่างสูงค่ะ
     
  6. pinya

    pinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    240
    ค่าพลัง:
    +842
    ก็กราบเรียนถามท่านว่า “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อจะตัดตอนหยุดเก็บลูกศิษย์แค่ไหนครับ” ท่านบอกว่า “ฉันจะเก็บของฉันไปจนหมด ฉันเก็บลูกศิษย์ของฉันครบแน่”
    กราบหลวงพ่อคะและขออนุโมทนากับลุงด้วยนะคะ
    เกิดปิติมากๆระหว่างอ่านเรื่องราวของหลวงพ่อคะ
     
  7. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    หลวงพ่ออยู่รอสงเคราะห์ลูกหลานญาติมิตร

    [​IMG]<O:p

    เมื่อประมาณปี พ.ศ.2512 ในวันหนึ่งหลังจากที่หลวงพ่อฉันอาหารเพลในแพริมแม่น้ำของวัดท่าซุงเสร็จ ก็ชวนข้าพเจ้าและผู้ติดตามเคลื่อนย้ายจากแพไปกุฏิ ระหว่างทางหลวงพ่อได้หยุดยืนใต้ร่มไทรต้นหนึ่งริมแม่น้ำ แล้วพูดบอกข้าพเจ้าว่า
    <O:p
    “ณ ที่แห่งนี้บริเวณนี้ต่อไปในอนาคตอันใกล้จะมีลูกหลานและญาติสนิทมิตรสหายของฉันในอดีต จะกี่ภพกี่ชาติมาแล้วก็ตามที่มาเกิดทันฉันในชาติปัจจุบัน จะพากันมาชุมนุม ณ ที่แห่งนี้เป็นหมื่นๆ แสนๆ คน”

    <O:p
    ข้าพเจ้าในขณะนั้น ได้ฟังหลวงพ่อพูดแล้วก็ให้นึกสงสารหลวงพ่อสุดหัวใจและรำพึงอยู่ในใจว่า “โถ! จะมีใครมาเป็นหมื่นเป็นแสนคน ทุกวันนี้ก็ดูเหมือนจะมีแต่ผู้คนในชุดของข้าพเจ้าเท่านั้นเอง”
    <O:p
    และข้าพเจ้าก็เชื่ออย่างเหลือเกินว่า หากผู้ใดเป็นข้าพเจ้าในขณะนั้นก็คงต้องคิดเช่นเดียวกับข้าพเจ้า เพราะรอบกายที่ยืนอยู่ไม่ว่าจะเหลียวไปทางด้านใด ก็เห็นแต่ความรกร้างว่างเปล่า และสิ่งปรักหักพังทั้งสิ้นถาวรวัตถุอันเป็นหลักของวัด อาทิเช่นโบสถ์,วิหารก็ชำรุดทรุดโทรมไปหมดไม่มีแม้แต่หลังคา,ศาลา 1 หลังก็ตั้งอยู่บนเสาที่โย้เย้มีสภาพเอียงกระเท่เร่พร้อมที่จะล้มพังเมื่อไรก็ได้ ส่วนหอไตรเล็กๆ อีก 1 หลัง

    [​IMG]


    ก็มีแต่โครงส่วนเมรุโบราณที่เผาศพด้วยฟืนนั่น ก็มีแต่คราบตระไคร่น้ำจับดำไปหมดคงมีแต่กุฏิเจ้าอาวาสเก่าๆ 1 หลัง กุฏิเล็กๆของหลวงพ่ออีก 1 หลังและแพริมฝั่งแม่น้ำเท่านั้นที่พอใช้การได้บ้าง ทั้งหมดที่กล่าวนี้ก็คือวัดท่าซุงในขณะนั้นจริงๆ ส่วนฝั่งวัดตรงข้ามถนนที่เป็นโบสถ์ใหม่ หรือศาลานวราชก็ดี,ศาลา <?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:metricconverter>2 ไร่ <st1:metricconverter w:st="on" ProductID="4 ไร่">4 ไร่</st1:metricconverter> หรืออาคารอื่นใดก็ดีหามีไม่คงมีแต่ป่าไผ่ดงดิบตลอดแนว สรุปความว่าวัดท่าซุงในตอนที่หลวงพ่อพูดกับข้าพเจ้านั้น อยู่ในสภาพของวัดร้างจริงๆ หลวงพ่อเห็นอาการอันเงียบสงบและแววตาของข้าพเจ้า ก็คงจะทราบว่าในใจข้าพเจ้านึกคิดอย่างไร ท่านก็ได้เมตตาพูดต่อไปว่า
    <O:p
    “ฉันนั้นได้เคยปรารถนาพุทธภูมิไว้ แต่หากดำรงเจตนาเดิมก็จะต้องมาเกิดอีก 7 ชาติ จึงจะได้พบและอุปการะลูกหลาน ญาติมิตรที่เคยเกี่ยวข้องผูกพันกับฉันมาแต่ในอดีตชาติได้ทั้งหมด ซึ่งนับเป็นภาระที่หนักมาก และฉันก็เบื่อหน่ายโลกมนุษย์นี้เต็มทน จึงได้ลาพุทธภูมิ และได้เอาชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของฉัน ดังนั้นภาระในชาตินี้ของฉันจึงมีมาก เพราะจะต้องอยู่ช่วยลูกหลาน ญาติมิตร ที่เคยเกิดร่วมภพร่วมชาติกับฉันมาในอดีตชาติ และมาเกิดทันฉันในชาตินี้ทั้งหมด ให้พ้นจากอบายภูมิด้วย

    หากผู้ใดมีบุญบารมี ก็จะไปถึงพระนิพพานหากผู้ใดบุญบารมียังน้อย ก็จะพยายามให้สร้างบุญกุศลเพื่อไปพักในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ไว้ก่อนเมื่อพระศรีอาริย์มาตรัสรู้ ก็จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในสมัยของพระศรีอาริย์พอดี ด้วยวิธีนี้จะช่วยให้เขา เหล่านั้นพ้นจากอบายภูมิไปได้ แต่กุศลผลบุญหลักที่จะช่วยให้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็คือ การถวายสังฆทาน และการสร้างวิหารทานนั่นเอง ดังนั้น ต่อไปในอนาคตที่นี่ จะมีการก่อสร้างวิหารทานมาก บริเวณวัดท่าซุงในขณะนี้จะไม่พอ จะต้องขยายวัดไปทางดงไผ่ฝั่งตรงข้ามวัดท่าซุงด้วย”

    [​IMG]

    ในขณะนั้น แม้หลวงพ่อจะได้เมตตาบอกข้าพเจ้าโดยละเอียดแล้ว เช่นไรก็ตาม ข้าพเจ้าหาได้เข้าใจไม่ด้วยไร้ปัญญา คงคิดอยู่แต่ในใจว่าคนจะมาเป็นหมื่นเป็นแสนคนได้อย่างไร? และการก่อสร้างที่จะต้องขยายไปถึงดงไผ่ฝั่งตรงข้ามยิ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ใหญ่ เพราะเอาแต่บูรณะโบสถ์,วิหาร,ศาลา,หอไตร และกุฏิเดิมในวัดเก่า ที่มีอยู่ก็ใช้เงินมากมหาศาลอยู่แล้ว จะทำได้อย่างไร
    <O:p
    “แต่ท่านผู้อ่านทั้งหลายในปัจจุบันนี้ที่วัดท่าซุงก็เป็นไปตามที่หลวงพ่อบอกข้าพเจ้าไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2512 แล้วทุกประการ ในพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร และพิธีตางๆผู้คนก็พากันไปเป็นหมื่นเป็นแสนจริงๆ และการก่อสร้างวิหารทานก็ได้กระทำกันเกินกว่าที่ข้าพเจ้าวาดภาพเอาไว้เสียอีก และดูเหมือนจะไม่มีการจบสิ้นด้วย
    <O:p
    ดังนั้น หากข้าพเจ้าจะคิดวาหลวงพ่อระลึกชาติในกาลก่อนได้ (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ)รู้ที่มาของคนและสัตว์ที่มาเกิดว่ามาจากที่ใด(จุตูปปาตญาณ)และรู้เหตุการณ์ต่อไปในอนาคตของคน,สัตว์,สิ่งของ และสถานที่ได้(อนาคตังสญาณ)ก็คงไม่มีผู้ใดว่าใช่ไหมครับ”

    อ้างอิง หนังสือ สู่แสงธรรม<O:p
    <SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มิถุนายน 2010
  8. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    หลวงพ่อรู้อารมณ์จิต

    [​IMG]

    เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2518 ข้าพเจ้าได้พาภรรยาพร้อมด้วยผู้ติดตามอีก 2 ท่านคือ พ.อ.อ.สายศิริรัตน์และ พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ ไปร่วมงานพิธี 100 ปี หลวงปู่ปาน ที่วัดท่าซุง อุทัยธานี ในวันนั้นข้าพเจ้าจำได้ว่ามีพระสุปฏิบันโน ระดับสูงจากภาคเหนือมาร่วมในงานพิธีมากมายอาทิเช่น หลวงปู่คำแสน วัดสวนดอก หลวงปู่คำแสน(เล็ก) วัดดอนมูล หลวงปู่ครูบาธรรมชัย หลวงปู่ครูบาวงศ์ หลวงปู่สิม หลวงปู่บุดดาและหลวงปู่มหาอำพันจากวัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯเป็นต้น(ความจริงมีมากกว่านี้ แต่เนื่องจากกาลเวลาผ่านมานานมาก และข้าพเจ้าเกรงจะเกิดการผิดพลาดขึ้นจึงมิกล้าเอ่ยถึงท่านอื่นๆ อีก)
    <O:p

    เมื่อใกล้เวลาที่หลวงพ่อจะขึ้นศาลา ข้าพเจ้าและผู้ติดามก็พากันรีบขึ้นไปรอหลวงพ่ออยู่บนศาลาร่วมกันบรรดาศิษย์ทั้งหลาย ซึ่งมาชุมนุมกันอยู่อย่างแน่นขนัด และต่างก็ชะเง้อมองลงไปดูขบวนแห่ของหลวงพ่อซึ่งเมื่อเห็นก็บังเกิดอาการขนลุกซู่ เพราะภาพที่ปรากฏก็คือ หลวงพ่อของเราประทับนั่งอยู่บนเสลี่ยงเป็นสง่า และรอบๆเสลี่ยงนั้นมีหลวงปู่ทั้งหลายที่ข้าพเจ้ากล่าวมาแล้วข้างต้นเดินตามมาด้วยอาการสงบเสงี่ยมเสมือนหนึ่งขุนศึกถวายอารักขาจอมทัพฉะนั้น (นี่เป็นความรู้สึกส่วนตัวที่เกิดขึ้นในจิตของข้าพเจ้าในขณะนั้นจริงๆ มิใช่มากล่าวเยินยอหลวงพ่อที่เป็นอาจารย์เกินเหตุ)

    [​IMG]
    <O:p

    เมื่อเสลี่ยงของหลวงพ่อขึ้นมาบนศาลา และเคลื่อนใกล้มายังจุดที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นหลวงพ่อซึ่งนั่งอยู่บนเสลี่ยงมีผิดสีดำและเคี้ยวหมากอีกด้วย(ตามปกติหลวงพ่อจะไม่ฉันหมาก) จิตในตอนนั้นของข้าพเจ้า ก็บังเกิดความอยากได้ชานหมากที่หลวงพ่อกำลังขบเคี้ยวอยู่ขึ้นมาอย่างรุนแรง

    และคิดว่าหากได้มาข้าพเจ้าจะกินและกลืนลงท้องทันที น่าจะเป็นศิริมงคลอย่างยิ่ง ทันใดนั้นสิ่งที่เหลือเชื่อก็อุบัติขึ้น กล่าวคือ หลวงพ่อคายหมากที่กำลังขบฉับอยู่ลงในฝ่ามือแล้วพูดดังๆ ว่า “เอ้า คุณมนูญ เอาไป” พร้อมกับปาชานหมากนั้นมาทางกลุ่มของข้าพเจ้าซึ่งเบียดอยู่กับศิษย์ อื่นๆ แน่นขนัดข้าพเจ้าในขณะนั้นทำอะไรไม่ถูก เพียงแต่ยกแขนแบมือขึ้นเหนือศีรษะ ท่ามกลางฝ่ามือของผู้อื่นเป็นจำนวนมากที่กระโดดขึ้นแย่งชานหมากที่ลอยมา

    แต่ทว่าหมากของหลวงพ่อคำนั้นกลับมาตกอยู่ในฝ่ามือของข้าพเจ้าที่ยกชูขึ้นเฉยๆ ทั้งคำโดยมิได้กระจายหรือตกไปเป็นของผู้ใดเลยแม้แต่น้อย ซึ่งข้าพเจ้าก็รับเอาใส่ปาก และเคี้ยวกลือลงไปตามที่ได้ตั้งใจไว้แต่แรกโดยทันทีท่ามกลางความประหลาดใจแก่ผู้ที่อยู่รอบข้างเป็นอย่างยิ่ง
    <O:p

    ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าดังกล่าวนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากคิดว่าหลวงพ่อรู้ถึงอารมณ์จิตของข้าพเจ้าในขณะนั้นว่า อยากได้ชานหมากที่ท่านกำลังขบเคี้ยวเป็นอย่างยิ่งจึงโยนให้มา และการที่หลวงพ่อจะรู้ถึงอารมณ์จิตของข้าพเจ้าได้หลวงพ่อก็ต้องได้เจโตปริยญาณ อย่างแน่นอน

    [​IMG]

    นอกจากนั้นหลวงพ่อจะต้องทรงอภิญญาด้วย จึงสามารถบังคับชานหมากทั้งคำมิให้แตกกระจายและหลบเลี่ยงจากการไขว่คว้าของผู้อื่น จนกระทั่งมาตกลงบนฝ่ามือของข้าพเจ้าได้ดังที่ตั้งใจจะให้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์อีกด้วย

    <O:p
    อีกครั้งหนึ่ง พออากาศตรีเรวัตร วิริยพงศ์(ยศในตอนนั้นขณะที่เป็นเจ้ากรมจเรทหารอากาศ) และนาวาอากาศเอกสมชาย ถึงพุ่ม(ยศในตอนนั้น ขณะที่เป็นรองเจ้ากรมจเรทหารอากาศ) ได้พากันมาที่บ้านพักของข้าพเจ้าในกองบิน 4 ตาคลี ตอนเย็นหลังจากการปฏิบัติภารกิจตรวจเยี่ยมกองบินของกรมจเรฯทั้งนี้เพราะทั้สองท่านมีความศรัทธาธรรมเลื่อมใสในหลวงพ่อมาก และได้ทราบว่าข้าพเจ้าจะเดินทางออกจากกองบินฯในตอนพลบค่ำ เพื่อไปนั่งกรรมฐานที่วัดท่าซุง จึงอยากจะขอติดตามไปด้วย



    ระหว่างที่ระเวลาออกเดินทาง ท่านทั้งสองก็เล่าถึงความในใจให้ข้าพเจ้าฟังว่า การไปคราวนี้ตั้งใจจะเรียนถามปัญหาธรรมะที่ยังเคลือบแคลงสงสัยในหลายๆเรื่องจากหลวงพ่อ ซึ่งข้าพเจ้าก็แนะนำไปว่าให้เรียนถามท่านหลังจากที่หลวงพ่อคุมศิษย์นั่งปฏิบัติกรรมฐานแล้วเพราะจะเป็นช่วงที่หลวงพ่อสอนศิษย์ และให้ศิษย์สอบถาม ทั้งสองก็เข้าใจ ปรากฏว่าในคืนนั้นหลังจากที่หลวงพ่อคุมศิษย์นั่งปฏิบัติพระกรรมฐานเสร็จ

    [​IMG]

    หลวงพ่อก็สอนทุกคนนานผิดปกติ และเมื่อสอนเสร็จหลวงพ่อก็หันไปพูดกับนาวาอากาศเอกสมชายว่า “เป็นยังไง จะคิดปฏิวัติในหรืออย่างไร จึงมีปัญหามากมายนัก ยังจะมีข้ออันใดที่สงสัยอีกไหม? ” นาวาอากาศเอกสมชายก็พนมมือตอบหลวงพ่อว่า “ที่ผมและเจ้ากรมเรวัตร คุยถกเถียงกันถึงปัญหาธรรมะมาโดยตลอดนั่น หลวงพ่อได้ตอบไปทั้งหมดแล้ว จนไม่มีข้อสงสัยใดใดที่จะต้องสอบถามอีกแล้วครับ”

    เป็นอันว่าหลวงพ่อรู้ถึงอารมณ์จิตของท่านทั้งสองหมดว่าสงสัยอะไรบ้างและการรู้อารมณ์จิตของผู้นั้น หลวงพ่อได้แสดงให้ศิษย์รุ่นต่อๆ มาเห็นมามากต่อมาก หากข้าพเจ้าจะนำมาเล่าก็คงไม่รู้จบ จึงขอยุติไว้เพียงแค่นี้<O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มิถุนายน 2010
  9. พอชูเดช

    พอชูเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,276
    ค่าพลัง:
    +4,339
    สาธุครับ

    -มหาโมทนากับกุศลจิตทุกท่าน ขอให้สำเร็จตามที่ปรารถนาครับ

    สาธุ
     
  10. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    จะไปดู นรก สวรรค์ พรหม นิพพานได้อย่างไร?<O:p

    เมื่อหลวงพ่อได้ยืนยันให้ข้าพเจ้าทราบ อย่างแน่ชัดแล้วว่า นรก สวรรค์ พรหม และนิพพาน มีจริงตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ก็ทำให้ข้าพเจ้าอยากที่จะได้ไปรู้ไปเห็นกับเค้าบ้าง จะได้ไม่ต้องมาเป็นมนุษย์หลงโลก หรือปลาหลงหนองน้ำเน่าอย่างที่หลวงพ่อว่าอีกต่อไป ดังนั้นข้าพเจ้าจึงรีบถามหลวงพ่อต่อในทันใดว่า

    [​IMG]

    <O:p
    “ ถ้านรก สวรรค์ พรหม นิพพาน มีจริง แล้วผมจะไปดูกับเขาบ้างได้ไหมครับหลวงพ่อ?”
    <O:p
    หลวงพ่อหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ถามข้าพเจ้าว่า “เออ ที่คุณอ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้มาจนทุกวันนี้นั้น เป็นเพราะคุณเชื่อตามครูที่เขาสอนคุณใช่หรือไม่?”
    <O:p
    ข้าพเจ้านิ่งคิดเพราะไม่ทราบว่าหลวงพ่อจะมารูปใดแน่ แต่ก็ตอบว่า “ครับ ต้องเชื่อครู”
    <O:p
    “ ถ้าครูสอนว่า ก.ไก่ ต้องเขียนอย่างนี้ ข.ไข่ ต้องเขียนยังนี้ แต่คุณไม่สนใจ กลับหนีไปเล่นหยอดหลุม ทอยกองเสีย คุณจะรู้ไหมว่า ก.ไก่ เขียนอย่างไร ข.ไข่ เขียนอย่างไร?” หลวงพ่อถามไปเรื่อยๆ
    <O:p
    “คงไม่ทราบครับ” ข้าพเจ้าตอบอย่างระวัง
    <O:p
    “ถ้าครูสอน กอ-อะ-กะ,กอ-อา-กา แล้วคุณไม่ฟังไปเล่นหยอดหลุม ทอยกองอีก คุณจะอ่านออกเสียงกับเขาได้ไหม?” หลวงพ่อถามต่อ<O:p
    “คงไม่ได้ครับ” ข้าพเจ้าตอบตามความเป็นจริง<O:p
    “คราวนี้ถ้าครูสอนให้อ่าน ตาดี ตีงู....แล้วคุณก็ยังหนีไปเล่นหยอดหลุม ทอยกองอีก คุณคิดว่าคุณจะผสมคำอ่านไปกับเขาได้ไหม?” หลวงพ่อถามยิ้มๆ<O:p
    “คงไม่ได้ครับ” ข้าพเจ้าตอบ<O:p
    “รวมความว่าที่คุณอ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้ เพราะคุณเชื่อตามที่ครูสอนแน่นะ” หลวงพ่อถามย้ำ<O:p
    “ครับต้องเชื่อครู”
    <O:p
    “นั่นแหล่ะ เหมือนกัน ถ้าคุณอยากจะไปดูว่า นรก สวรรค์ พรหม และนิพพานมีจริงหรือไม่ คุณก็ต้องเชื่อและปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซิ คราวนี้คุณลองถามตัวเองดูซิว่า คุณเคยให้ทานไหม เคยรักษาศีลไหม เคยเจริญพระกรรมฐานไหม เคยเจริญวิปัสสนากรรมฐานไหม เคยบูชาพระหรือไหว้พระสวดมนต์เป็นประจำไหม เคยรู้จักระงับนิวรณ์ 5 บ้างไหม เคยทรงพรหมวิหาร 4 บ้างไหม...เป็นต้น ถ้าคุณไม่ตอบ ฉันก็จะตอบแทนให้ในหลักใหญ่ๆ ว่าทานนั้นคุณอาจทำบ้างโดยเต็มใจบ้างไม่เต็มใจบ้าง ศีล ของคุณเอาแต่ศีล 5 เฉยๆ ก็รู้สึกว่าจะกระพร่องเต็มที โดยเฉพาะศีลข้อ 5 ของคุณนั้น

    [​IMG]

    ขาดกระจุย ยิ่งการเจริญภาวนาด้วยแล้ว คุณไม่มีเลยนะ นี่ฉันพูดชี้ให้คุณเฉพาะแค่ทาน ศีล ภาวนา ซึ่งเป็นบันได 3 ขั้น เท่านั้นนะ เมื่อเป็นเช่นนี้คุณก็คงตอบตัวเองได้ใช่ไหมว่า คุณนั้นหาได้เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาอย่างจริงจังไม่ ดังนั้นการที่คนอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ เพราะไม่เชื่อครูฉันใด คุณก็ย่อมไม่มีวันได้ไปเห็น นรก สวรรค์ พรหม และนิพพาน เพราะคุณไม่เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าฉันนั้น”
    <O:p
    ข้าพเจ้านั่งตาปริบๆ ฟังหลวงพ่ออย่างตั้งอกตั้งใจ แม้ใจซึ่งเต็มไปด้วยมิจฉาทิฐิอยากที่จะโต้แย้งบ้าง แต่ก็อับจนปัญญาไม่ทราบว่าจะโต้แบบใด เพราะหลวงพ่อพูดความจริงทุกอย่าง จึงได้แต่ส่งเสียงอึกอักอยู่ในลำคอ
    <O:p
    หลวงพ่อเห็นข้าพเจ้านั่งฟังด้วยอาการสงบ ก็พูดว่า “การที่พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักการให้ทานนั้น ก็เพราะทานเป็นพื้นฐานของบุญขั้นแรก หากเป็นคุณปฏิบัติตามได้จะมีผลอย่างมหาศาล คุณลองพิจารณาดูจะเห็นได้ว่า ทุกครั้งที่คุณควักเงินออกบริจาคเป็นทานจิตของคุณในขณะที่ให้ทานย่อมไม่มีความโลภใช่ไหม เพราะถ้ายังมีความโลภ คุณก็บริจาคทานไม่ได้เงิน 10 บาท 20 บาทก็มีความหมายใช่ไหม และจิตคุณขณะที่ให้ทานก็ย่อมไม่มีความโกรธใช่ไหม เพราะถ้าคุณมีความโกรธอยู่ใครมาขอแค่ 1 บาท คุณก็ไล่ตะเพิดไปแน่ๆ ใช่ไหม และเมื่อจิตไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ

    ก็ย่อมไม่มีความหลงใช่หรือไม่และผลที่ตามมาจากการให้ทานบ่อยๆ นี้เองจะทำให้คุณเกิดพรหมวิหาร 4 ใน 2 ข้อแรกคือ เมตตา(ความรัก) และกรุณา(ความสงสาร) ขึ้นโดยไม่รู้ตัว และเมื่อความเมตตา กรุณาเกิดขึ้นในจิต ก็จะทำให้คุณยิงนก ตกปลา ฆ่าชีวิตคนและสัตว์ไม่ได้ จะลักขโมยของผู้ใดก็เกิดความสงสารเห็นใจ จะเป็นชู้กับลูกเมียใครก็ทำไม่ได้จะโกหกมุสาใครแม้แต่นัดเขาไว้ไม่ไปตามนัดก็สงสารเขา จะเสพย์สุรายาเมาก็สงสารลูกเมียในที่สุดคุณก็จะรักษาศีล 5 ได้โดยไม่ยากเย็น เป็นการก้าวเข้าสู่บันไดขั้นที่ 2 ของบุญได้ใช่ไหมและเมื่อใดศีล 5 ของคุณบริสุทธิ์ การเจริญพระกรรมฐานซึ่งเป็นบันไดขั้นที่ 3 ก็ย่อมไม่มีอุปสรรคมากนัก”

    [​IMG]

    <O:p
    ข้าพเจ้าฟังหลวงพ่ออธิบายอย่างเพลิดเพลิน และคิดตามไปด้วยเหตุและผลโดยตลอด แม้จะยืดยาวเพียงไรข้าพเจ้าก็จดจำได้อย่างแม่นยำและจำได้ตลอดกาลด้วย (สำหรับเรื่องการจำแม่นนี้ อาจเป็นเพราะข้าพเจ้าเคยสร้างสมมาแต่ปางก่อนก็ได้ เพราะตั้งแต่เด็กข้าพเจ้าข้าพเจ้าสอบได้ที่ 1 มาโดยตลอดก็เพราะสามารถอ่านหนังสือครั้งเดียวจำได้ โดยไม่ต้องนั่งท่องจำเหมือนคนอื่นให้เสียเวลาเลย)
    <O:p
    หลวงพ่อก็คงรู้ว่าข้าพเจ้าเข้าใจที่ท่านพูด และยังมีความในใจที่จะฟังต่ออย่างไมรู้สึกเบื่อหน่าย จึงอธิบายต่อว่า “การที่จะนั่งพิสูจน์ค้นคว้า เกี่ยวกับ นรก สวรรค์ พรหม และนิพพาน หรือหลักสูตรพระพุทธศาสนาในเรื่องต่างๆ นั้น จะมาค้นคว้าหากันในด้านวัตถุของโลกวิทยาศาสตร์นั้นย่อมไม่มีทางสำเร็จ เพราะเป็นการค้นหาและพิสูจน์ที่ไม่ตรงจุด ถ้าจะให้ตรงจุดก็จะต้องหัดทรงอารมณ์ดีขั้นต้นๆ 3 ประการให้ได้เสียก่อน คือ 1. เลิกสนใจกับความดีความชั่วของคนอื่น สนใจแต่อารมณ์ของตนเองให้<O:p
    <O:p
    ทรงอยู่ในความดีโดนเฉพาะ 2 .ทรงศีล 5 บริสุทธิ์ตลอดกาล ไม่แนะนำให้ผู้อื่นทำลายศีล และไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำลายศีล 3 . ระงับนิวรณ์ 5 ให้ได้เมื่อทรงอารมณ์ดี 3 ประการได้แล้วก็พยายามทรงพรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) ให้ครบถ้วนตลอดเวลาที่มีลมปราณอยู่ และให้ทรงได้เป็นปกติด้วยต่อจากนั้นไป คุณก็ฝึกจิตจับนิมิตด้วยกสินอย่างใดอย่างหนึ่ง 3 อย่างนี้ คือ 1.เตโชกสิณ(เพ่งไฟ) 2. โอทาตกสิณ (เพ่งสีขาว) 3. อาโลกกสิณ(เพิ่งแสงสว่าง) การเพ่งนั้นเมื่อคุณทรงอารมณ์ขั้นต้นจนเป็นปกติ ผลของการเพ่งไม่มีอะไรยากใช้เวลาอย่างช้าไม่เกิน 7 วัน

    ก็จะทรงนิมิตเป็นฌานได้อย่างสบาย และใช้นิมิตนั้นเป็นสื่อ นรก สวรรค์ และพรหมโลกได้ และเมื่อใด หากคุณทรงวิปัสสนาญาณได้ อารมณ์ถึงโคตรรภูญาณเป็นอย่างน้อยคุณก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่า พระนิพพานนั้นมีจริงอีกด้วยและถ้าจะให้ดีอีกสักนิด เห็นชัดอีกสักหน่อย คุณก็พยายามละโลกธรรม 8 ประการเสียเลยเรื่องได้ลาภเสื่อลาภ ได้ยศเสื่อมยศ สุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา จงปล่อยไป ไม่สนใจเอามาเป็นอารมณ์ หากทำได้เช่นนี้แล้ว คุณก็จะสามารถพิสูจน์ความจริงได้ว่า นรก สวรรค์ พรหม และพระนิพพาน นั้นมีจริง อ้าวนั่นคุ๕นั่งหลับไปแล้วรึ”

    [​IMG]
    <O:p
    “ป่าวครับหลวงพ่อผมเข้าสมาธิฟังครับ ผมถนัดในการนั่งหลับตาฟังเพราะจำได้แม่นยำดี อ้อ หลวงพ่อครับ โคตรภูญาณ คืออะไรครับ?” ข้าพเจ้าตอบแล้วถามต่อ
    <O:p
    “เมื่อคุณเจริญสมถกรรมฐานด้วยการเพ่งกสิณจนได้ทิพจักษุญาณแล้ว คุณก็จะต้องเจริญวิปัสสนาญาณให้เข้าถึงโคตรภูญาณ ยังไงล่ะ โคตรภูญาณนั้นจะอยู่ระหว่างโลกียะกับโลกุตระ คือ ส่วนหนึ่งของใจยังเป็นโลกียชน แต่อีกส่วนหนึ่งของใจจะเป็นโลกุตรชน คือใกล้เป็นพระโสดาบันนั่นแหละ” หลวงพ่อตอบ “เป็นยังไงยังงงๆ ใช่ไหม ไม่เป็นไร ต่อไปฉันจะเขียนคู่มือปฏิบัติพระกรรมานให้ อ่านดูแล้วปฏิบัติตามไปสักวันหนึ่งไม่นานเกินรอคุณก็จะเข้าใจที่ฉันพูดมานี้ทุกอย่างได้เอง”
    <O:p
    “หลวงพ่อครับ แล้วมโนมยิทธิ ล่ะครับไปดูนรก สวรรค์ พรหม นิพพานได้ไหม?” ข้าพเจ้ารีบถามเพราะเคยได้ยินบางท่านพูดถึงกัน
    <O:p
    “คุณจะต้องเข้าใจก่อนนะว่ามโนมยิทธินั้น หมายถึงอะไร มโนมยิทธิแปลว่าฤทธิ์ทางใจ ถ้ามโนมยิทธิแบบเต็มกำลังแล้ว ท่านหมายถึงการถอดจิตออกกจากร่างแล้วท่องเที่ยวไปในภพต่างๆ และผู้ที่จะสามารถทำได้ จะต้องทรงวิชชาสาม หรือ ทรงอภิญญา 6 คุณไม่เข้าใจอีกละซิ เห็นนั่งทำหน้างงๆ ไม่เป็นไรถ้าอยากจะรู้ว่าวิชชาสาม หรืออภิญญา 6 มีอะไรบ้าง ฉันจะเขียนไว้ในคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานแล้วคุณไปอ่านเอาเองก็แล้วกัน เอาเป็นว่าถ้าหากคุณทางฌาน 4 ได้ในกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งกสิณ 3

    [​IMG]

    อย่างที่ฉันว่าแต่ขอแนะนำให้เอาอาโลกกสิณ คือเพ่งแสงสว่าง จะเป็นการดีเพราะเป็นกสิณที่สร้างทิพยจักษุญาณโดยตรง เมื่อได้ทิพยจักษุญาณแล้วก็ทำจิตให้โปร่งสว่างไสว แล้วกำหนดจิตว่าของร่างกายนี้จงเป็นโพรงก็จะเห็นว่าร่างกายเป็นโพรงใหญ่ต่อจากนี้ก็กำหนดจิตว่า ขอร่างอีกร่างหนึ่งจงปรากฏขึ้นภายในกายนี้ กายอีกกายหนึ่งก็จะปรากฏขึ้นต่อจากนี้ก็ค่อยบังคับกายนั้นให้เคลื่อนไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายอาทิเช่น ตับไตไส้ปอด เส้นเลือดทุกเส้น ลำไส้ทุกส่วน ประสาททุกส่วนบังคับให้กายนั้นเดินไปตรวจให้ถ้วนทั่วทั้งร่างกาย จะเห็นว่าแม้เส้นเลือดฝอยเล็กๆ ร่างนั้นก็เดินไปได้อย่างสบาย เสมือนเดินอยู่บนถนนสายใหญ่ เห็นร่างกายเรานี้เป็นโพรงใหญ่คล้ายเรือหรือถ้ำขนาดใหญ่เมื่อท่องเที่ยวในรางกายจนชำนาญแล้ว ก็ควรหาความรู้ในสภาพของอวัยวะต่างๆ ตลอดจนสภาพความสกปรกโสมมในร่างกายของเราไปด้วยเมื่อมีความชำนาญในการเที่ยวและการตรวจสอบสภาพร่างกายของเราดีแล้ว

    ก็กำหนดจิตว่าเราจะไปนรกขุมใด สวรรค์ชั้นใด พรหมชั้นใด หรือ พระนิพพาน หรือบ้านใด เมืองใด ดาวดวงใด ก็พุ่งกายออกไปก็จะถึงถิ่นที่ประสงค์ทันที ให้เวลาไม่ถึงครึ่งวินาที เมื่อถึงแล้วจิตจะบอกเองว่าสถานที่นั้นเป็นภพภูมิใด บ้านเมืองใด ใครบ้างที่พบโดยไม่ต้องมีคนบอกเพราะสภาพของจิตเป็นทิพย์ กิเลสไม่ได้หุ้มห่อไปด้วย จึงรู้อะไรได้ตามความเป็นจริงเสมอ เป็นยังไงล่ะ นั่งฟังเพลินเลย น่าสนุกนะ หากฝึกได้ละก็คุณได้เที่ยวสนุกแน่ ไม่ต้องเสียค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พักและค่าใช้จ่ายอื่นใดเลยนะ ไม่ต้องไปเที่ยวยืมใครหายใจ ไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของบ้านเจ้าของสถานที่ สามารถเข้าไปตรวจสอบอะไรต่ออะไรได้หมดเลยนะ”<O:p
    “ครับ ผมจะพยายามฝึก” ข้าพเจ้าตอบ

    [​IMG]

    <O:p
    เป็นยังไงครับ ท่านผู้อ่านท่านใดอยากรู้ว่า นรก สวรรค์ พรหม และนิพพานมีจริงหรือไม่ จะไม่ลองพิสูจน์โดยการฝึกปฏิบัติตามที่หลวงพ่อสอนบ้างหรือ ยิ่งในปัจจุบันนี้ หนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานของหลวงพ่อก็ยังมีการจัดพิมพ์ขึ้นมาแล้ว มิหน้ำซ้ำหลวงพ่อยังได้เมตตาฝึกมโนมยิทธิให้ลูก หลาน ญาติ มิตร อยู่อย่างสม่ำเสมอทุกเดือนที่บ้าน พลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ณ ซอยสายลมอีกด้วย จึงนับเป็นโอกาสดีอย่างยิ่งของท่านที่สนใจทั้งหลาย
    <O:p
    อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็แอบภาคภูมิใจอยู่มิใช่น้อยที่คำถามข้อนี้ของข้าพเจ้ามีส่วนช่วยผลักดัน ให้หลวงพ่อต้องจัดทำหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานขึ้นมา เพราะหลวงพ่อคงได้พิจารณาแล้วว่าหากไม่จัดทำขึ้น ก็คงต้องนั่งตอบคำถามของข้าพเจ้าซึ่งเป็นคนขี้สงสัยอยู่อย่างไม่มีวันจบสิ้นนั่นเอง และแม้ข้าพเจ้าจะหมดสงสัย ลูกหลานญาติมิตรของหลวงพ่ออีกไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนคนก็คงจะต้องสงสัยโน่นสงสัยนี่กันอีก

    และหลวงพ่อก็คงจะต้องตอบคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ดี ดังนั้นหากท่านผู้อ่านไม่เข้าใจในศัพท์บางคำที่ข้าพเจ้าเขียนก็ดีหรือปฏิบัติไปแล้วติดขัดในขั้นตอนใดก็ดี ขอจงได้อ่านในคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานบ้าง ไตรภูมิ บ้าง มหาสติปัฏฐาน 4 และหนังสืออื่นๆ ที่หลวงพ่อเขียนเอาไว้เถิด ก็จะเข้าใจได้เอง ยิ่งปฏิบัติ ปัญญาก็จะยิ่งเกิดจนในที่สุดท่านจะสามารถถามเองและตอบเองได้อย่างน่าพิศวง

    [​IMG]

    <O:p
    <SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT>
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.984161/[/MUSIC]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มิถุนายน 2010
  11. Nok Nok

    Nok Nok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +3,297
    กราบอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ ^_^
    [​IMG]
     
  12. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291

    พุทธพยากรณ์ ณ พระอุโบสถ วัดท่าซุง

    [​IMG]
    <O:p
    หลังจากงานพิธีผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิตผ่านไปแล้ว วันต่อมาอันเป็นวันสำคัญของประวัติวัดท่าซุง ภายในพระอุโบสถแห่งนี้ หลวงพ่อพร้อมด้วยญาติโยมพุทธบางท่าน อันมี "คุณโยมอ๋อย" เป็นต้น
    <O:p
    ส่วนพระก็มีหลวงพ่อ พระสมชาย (ออกไปจากวัดนานแล้ว) และผู้เขียน ทุกท่านได้ร่วมกันกล่าวคำถวายอาคารสถานที่ต่าง ๆ ภายในบริเวณวัดทั้งหมด เพื่อถวายไว้เป็นสมบัติในพระพุทธศาสนา โดยตั้งใจถวายตรงต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า หลวงพ่อเป็นผู้กล่าวนำ แล้วให้ทุกคนว่าตาม พอจะสรุปใจความได้ดังนี้...

    ตั้งนะโม ๓ จบ โดยว่าพร้อมกัน
    <O:p
    "ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายอาคารสถานที่ก่อสร้างทั้งหลายเหล่านี้ อันมีพระอุโบสถ ศาลา วิหารการเปรียญ เป็นต้น แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อไว้เป็นศาสนสมบัติในบวรพระพุทธศาสนา ขอผลบุญทั้งหลายเหล่านี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด..."

    [​IMG]

    <O:p
    เมื่อทุกท่านกราบพร้อมกัน ๓ ครั้งแล้ว หลังจากนั้นหลวงพ่อจึงได้เล่าให้ฟังว่า ในขณะนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดา ได้ทรงเสด็จมาเป็นสักขีพยาน และได้ทรงตรัสพยากรณ์สถานที่นี้ต่อไปในอนาคตว่า "นับจากนี้ไปอีก ๑๘๐ ปี จะมีพระอรหันต์องค์หนึ่ง มีอายุ ๒๗ ปี รูปร่างสูงขาวท้วม พร้อมกับพระเจ้าธรรมิกราช ร่วมกันบูรณะปฏิสังขรณ์วัดนี้อีกครั้งหนึ่ง<O:p
    ต่อจากนี้ไป ๑๐ ปีแรก จะมีพระอรหันต์ ๓ องค์ และอีก ๗ ปีหลัง จะมีพระอรหันต์ ๕ องค์.." ดังนี้
    <O:p
    อันนี้เป็นพระพุทธพยากรณ์ที่ผู้เขียนยังพอจำได้ แต่อายุของพระอรหันต์องค์นี้ จำไม่ได้ว่า ท่านบอกอายุ ๒๗ หรือ ๒๘ ปี ประมาณนี้แหละ
    <O:p
    ต่อมาหลวงพ่อได้ให้ทำ "แผ่นทองคำจารึก" มีผู้ร่วมบริจาคกันมากมาย ถ้าจำไม่ผิดคิดว่า หลวงพ่อจะให้โยมแอ๊ (คุณ<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>ยุพดี จักษุรักษ์) เป็นผู้จัดทำ แล้วท่านได้นำบรรจุไว้ภายในพระอุโบสถ พร้อมกับได้บันทึกเรื่องนี้ ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบด้วย<O:p
    ส่วนข้อความที่จารึกไว้ ส่วนใหญ่ท่านผู้อ่านก็คงจะทราบบ้างแล้ว แต่ขอนำมาบันทึกไว้เป็นหลักฐานในหนังสือเล่มนี้ด้วย มีใจความดังต่อไปนี้...

    [​IMG]

    <O:p
    "เราพระมหาวีระ มีพระราชานามว่า ภูมิพล เป็นผู้อุปถัมภ์ ร่วมด้วยพุทธศาสนึกชนส่วนใหญ่ สร้างวัดนี้ไว้เป็นพุทธบูชา เมื่อศักราชล่วงไปได้ ๒๗๐๐ ปีปลาย จะมีพระเจ้าธรรมิกราช นามว่า ศิริธรรมราชา สืบเชื้อสายมาจากเชียงแสนบวกสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์ จะมาบูรณะวัดนี้สืบพระศาสนาต่อไป คณะเราขอโมทนาด้วยแต่อยู่ช่วยไม่ได้ เพราะไปพระนิพพานหมด เริ่มสร้างเมื่อ ๒๕๑๗ แล้วเสร็จเมื่อ ๒๕๑๙"

    ใครจะเป็นผู้มาบูรณะ..? <O:p
    เรื่องพระพุทธพยากรณ์นั้น ภายหลังมีผู้โจษขานกันมาก บางคนถึงกับล้อเล่นในหมู่ลูกศิษย์ โดยเฉพาะพวกที่ชอบปรารถนาพุทธภูมิ บอกว่าให้ลงมาเกิดในสมัยนั้น คืออีก ๑๘๐ ปีข้างหน้า ตามพุทธพยากรณ์
    <O:p
    ต่อมาหลวงพ่อบอกว่า ท่านที่จะต้องมารับช่วงต่อไปนั้น จะต้องมาจาก "พุทธภูมิ" เดิมเหมือนกัน แล้วขอลาพุทธภูมิในภายหลัง เพราะผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์มาก่อน ย่อมมีความเข้มแข็งเป็นพิเศษ สามารถที่จะอดทนต่อสู้อุปสรรค เพื่อดำรงไว้ซึ่งอายุพระพุทธศาสนาให้สืบต่อไปได้อีก อีกหลายปีต่อมา เมื่อหลวงพ่อพร้อมด้วยคณะของท่าน ได้มีโอกาสเดินทางไปยุโรปจำนวน ๗ ประเทศ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศษ อิตาลี เยอรมัน เป็นต้น
    <O:p
    เรื่องนี้ผู้เขียนได้รับคำบอกเล่า จากพระที่ร่วมเดินทางไปด้วยว่า ครั้งนี้หลวงพ่อได้สงเคราะห์ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งในอดีตเป็นนักรบผู้แกล้วกล้า สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี่เอง จึงเรียกกันว่า "๕ ทหารเสือ"

    [​IMG]

    <O:p
    ท่านเหล่านี้พลาดไปอยู่ในนรก หลวงพ่อจึงจำเป็นต้องช่วยอย่างเต็มที่ โดยพระพุทธองค์ทรงเสด็จมาเป็นประธาน แล้วให้หลวงพ่อเข้าสมาบัติเต็มกำลัง พร้อมกับคณะเดินทางทุกท่าน ช่วยกันอุทิศแผ่ส่วนกุศลทั้งหมด ให้พ้นจากขุมนรกอันร้อนแรงนั้น
    <O:p
    ท่านกล่าวว่า โอกาสที่จะช่วยนั้นมิใช่จะมีได้ง่าย ๆ ทั้งนี้ ต้องเคยเกี่ยวเนื่องถึงกัน และเขาก็ได้เคยสร้างสมบุญกุศลไว้แล้ว เมื่อวาระมาถึงจึงจะช่วยได้ เมื่อกลับมาถึงวัดแล้ว หลวงพ่อจึงได้เป็นเจ้าภาพบวชพระให้ ๑ องค์ บวชเณรให้ ๒ องค์ โดยลูกชาย ๒ คนของ พ.อ.(พิเศษ)สถาพร พงศ์พิทักษ์ เป็นผู้รับอาสาบวชเณร ส่วนพระฉัตรชัย เป็นผู้รับอาสาบวชพระ เวลานี้ยังบวชอยู่ที่วัดนี้ หลังจากได้รับอนุโมทนาส่วนกุศลทั้งหมดนี้แล้ว ผู้ล่วงลับเหล่านั้นได้เป็นเทวดาอยู่ชั้นจาตุมหาราช เวลานี้ท่านได้มาช่วยอารักขาเขตวัดแห่งนี้ด้วย

    ผู้ที่จะมาบูรณะวัดในกาลข้างหน้า <O:p
    ท่านบอกว่าในจำนวน ๕ ทหารเสือนี้แหละ ในจำนวน ๒ คนนี้ ซึ่งมีเชื้อสายมาจาก "พุทธภูมิ" ในอดีตทั้งสองคนนี้เคยอยู่ที่ อิตาลี และ เยอรมัน คนหนึ่งจะได้มาเป็นพระอรหันต์องค์นั้น ส่วนอีกคนหนึ่งจะมาเกิดเป็นพระเจ้าธรรมิกราช ตามพระพุทธพยากรณ์นั้น
    <O:p
    และสถานที่แห่งนี้ หลวงพ่อได้เคยเล่าให้พระฟัง หลังจากทำสังฆกรรมในพระอุโบสถ เมื่อประมาณ ๒-๓ ปีก่อนว่า สถานที่บริเวณวัดท่าซุงแห่งนี้ ตั้งแต่อดีตกาลนานมาแล้ว ได้มีผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ๗๒ องค์ โดยท่านทั้งหมดได้มาปรากฏแล้วบอกให้หลวงพ่อทราบ

    [​IMG]

    พุทธพยากรณ์ ที่ตึกกองทุน คืนวันที่ ๘ ก.ค.๒๕๒๑ <O:p
    "...สมเด็จองค์ปัจจุบันท่านพูดว่า ดีแล้ว...เรื่องเบื้องต้นไม่ต้องห่วง...เรื่องฌานโลกีย์ พวกแกนะไม่มีหรอก ไม่ต้องห่วงสั้น ตียาวเลย พวกของแกไม่มีใครเหลือหรอก ถามว่าเมื่อก่อนนี้ล่ะ ท่านบอกว่า เมื่อก่อนนี้ยังไม่ถึงเวลา ท่านสอนยากมาเรื่อย เพราะยังไม่ถึงเวลา ถามว่าถ้าเขามาใหม่ล่ะ ตอบว่ามาใหม่ก็เหมือนกันมันเต็ม การฟักตัวแม้จะอยู่ที่อื่นก็ตาม มันก็เต็ม เวลานี้เทปและหนังสือสั่งมาซื้อกันตั้งเยอะ เทปนี่มีประโยชน์มาก

    สมเด็จท่านทรงตรัสต่อไปว่า
    <O:p
    "อีก ๒๐ ปีข้างหน้า จะมีพระอรหันต์นับแสน" ไม่ใช่เราผู้เดียวเป็นผู้สอน คือว่าทั่ว ๆ ไป กลุ่มเรานี่จะมาก คำว่า "กลุ่มเรา" นี่ อาจจะไม่มีตัวมาอยู่นะ เขาอาจจะมีหนังสือมีเทป แล้ว ท่านตรัสต่อไปว่า
    <O:p
    "ที่ฉันให้บันทึกเสียงใหม่ ทำเป็นตำราใหม่ เพราะว่าถึงเวลา เวลานี้คนที่จะถึงเวลาเข้าถึงมุมง่ายแล้ว นี่เป็นเวลานะ คำว่า "เวลา" หมายถึงกำลังใจมันตีขึ้นมา มีแรงขึ้น ๆ<O:p
    ก็เลยถามท่านว่า ตอนก่อนทำไมไม่ให้สอนแบบนี้ ท่านบอกว่าสอนไม่ได้หรอกคุณ..! คนมันหาว่าง่ายเกินไป เลยไม่เอาเลย ต้องยาก ๆ..."
    <O:p
    ท่านผู้อ่านจะสังเกตได้ว่า ก่อนหน้านั้นหลวงพ่อสอนวนเวียนเฉพาะ "อารมณ์ฌาน"เท่านั้น พอเริ่มกลางปี ๒๕๒๑ จึงเริ่มสอนเข้าสู่ "อารมณ์พระอริยะ" พอถึงเดือนกันยายน ๒๕๒๑ หลวงพ่อเริ่มสอน "มโนมยิทธิ" แบบครึ่งกำลัง ในตอนนี้หลวงพ่อเล่าว่า สมเด็จทรงตรัสว่า

    "ต่อจากนี้ไปอีก ๒๐ ปี อภิญญาใหญ่จะเข้า" <O:p
    ฉะนั้น เมื่อ ๒-๓ ปีที่ผ่านมา หลวงพ่อบอกว่าเวลานี้เกณฑ์ "อภิญญา" จะเริ่มเข้า ให้พระไปฝึก "กสิณ" ชอบกสิณกองไหน ให้ฝึกกองนั้นก่อน แล้วกองอื่น ๆ จะตามมา แล้วท่านได้สั่งให้พระเจ้าหน้าที่เปิดเทป "การฝึกกสิณ" ที่หลวงพ่อเคยสอนไว้แล้ว นำมาเปิดเสียงตามสายอยู่พักหนึ่ง
    <O:p
    ในตอนงาน "หล่อสมเด็จองค์ปฐม" วันที่ ๑๕ มี.ค.๒๕๓๕ ได้มีอาจารย์นำเด็กนักเรียนชั้น ป.๒ มาจาก โรงเรียนแม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ จำนวนหลายสิบคน เฉพาะที่ได้มโนมยิทธิ และสามารถขอสิ่งของจากเทวดานางฟ้าได้ มีอยู่ประมาณ ๓-๔ คน เธอได้มากราบนมัสการหลวงพ่อที่ตึกรับแขก แล้วขอเหรียญ ๑ บาทจากหลวงปู่ปาน ปรากฏว่าเธอสามารถขอมาได้จริง ๆ ต่อหน้าญาติโยมทั้งหลายในขณะนั้น
    <O:p
    ปรากฏว่าหลังจากกลับไปแล้ว อาจารย์เขียนจดหมายมาเล่าให้ฟังว่า มีเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่เคยมาวัดนี้ เธอสามารถลอยขึ้นไปในขณะยืนอยู่ โดยลอยสูงขึ้นไป พอพ้นหัวเพื่อน ๆ ด้วยกัน แล้วจึงค่อย ๆ ลงมา เธอได้เล่าให้ฟังว่า นางฟ้าเอา "เกือกแก้ว" จากสวรรค์มาให้ใส่ จึงสามารถลอยขึ้นได้ แต่ตอนนี้ต้องขอเอากลับไปก่อน ไว้เวลาไม่มีใครเห็น จะเอามาให้ใส่อีก
    <O:p
    ในขณะที่บันทึกอยู่นี้ ก็ได้รับทราบข่าวเพียงแค่นี้ ไม่ทราบว่าจะมีเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์อะไรอีก ไว้คอยติดตามข่าวต่อไป อีกไม่นานเกินรอใกล้เวลาที่จะครบ ๒๐ ปี ตามที่พระองค์ทรงตรัสไว้ เราก็คงจะได้พบเห็นสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่านี้ (ถ้าไม่ตายจากกันไปเสียก่อนนะ...สำหรับท่านที่ชอบฤทธิ์เดช ทั้งหลาย...)

    [​IMG]

    พุทธพยากรณ์ วันที่ ๒๐ ส.ค.๒๕๓๑ (จากหนังสืออ่านเล่น เล่ม ๑) <O:p
    พระที่จบ ป.๔ มี ๔ องค์<O:p
    พระจบ ป.๓ กำลังเรียน ป.๔ มี ๑๗ องค์<O:p
    พระจบ ป.๓ ยังไม่เข้าเรียน ป.๔ มี ๑๓ องค์<O:p
    ป.๒ ที่เป็นพระจบ ๑ องค์ ที่เป็นฆราวาสจบ ๓๒ องค์<O:p
    ป.๑ พระ ๑๓ องค์ ฆราวาส ๑๓๗ องค์<O:p
    "อีก ๑๐ ปี พระจบ ป.๔ อีก ๗ องค์ นอกนั้นจบเมื่อใกล้ตาย ฆราวาสจะจบ ป.๔ เมื่อใกล้ตายจากนี้ไปอีก ๕๐ ปี อีกนับแสนองค์..."

    พุทธพยากรณ์ วันที่ ๒๖ ต.ค.๒๕๓๔ (บ้านสายลม กรุงเทพฯ) <O:p
    "...สัญญาต่ออายุหมดไปเมื่อวันที่ ๑๘ แล้วก็ต่อมาวันที่ ๒๖ เสมหะก้อนใหญ่มันออกทุกอย่าง หายหมด แล้วท่านก็บอกว่า "นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปให้สอนเฉพาะสังโยชน์" ท่านบอกต่อไปว่า ขอให้อยู่ต่อไปสักหน่อยหนึ่ง ถามท่านว่า ถ้าอยู่แล้วจะมีประโยชน์อะไร ท่านบอกว่า "นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป (ท่านไม่บอกกำหนด) จะมีคนบรรลุอรหันต์ถึง ๗๐๐,๐๐๐ คนเศษ"

    คำพยากรณ์ วันที่ ๔ ต.ค.๒๕๓๕ (บ้านสายลม กรุงเทพฯ) <O:p
    "...เมื่อคืนนี้ท่านลุงบอกว่า คนจะไปนิพพานกันได้ทั้งหมด ความจริงคนทุกคนนี่ไปนิพพานหมด ไม่มีใครเหลือแต่จะไปก่อนไปหลังอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ใครขี้เกียจมากก็นานหน่อย ขี้เกียจน้อยก็เร็วนิด ถ้าธุรกิจมากเห็นจะนานมากหน่อย เพราะอะไรรู้ไหม..เพราะจิตมีกังวล แต่ว่าเราก็ต้องแบ่งเวลา..."

    คำสัญญาจากท่านพระยายมราช (หลวงพ่อเล่าที่สายลม เมื่อวันที่ ๔ ต.ค.๒๕๓๕) <O:p
    "...เมื่อกี้นี้เขาอุทิศส่วนกุศลนะ แล้วลุงทั้งสองท่านก็มายืนอยู่ ท่านเลยบอกว่า ให้ทุกคนนึกว่าร่างกายมันไม่ดี และที่เรามีทุก ๆ อย่าง เพราะอาศัยร่างกายอย่างเดียวนะ คราวนี้ท่านบอกให้นึกไว้เสมอ ถ้าเวลาจะตายให้สังเกตดู ถ้าใครยังเห็นว่าร่างกายดี "จะปวดท้อง" เอาอย่างนั้นนะ เอาหมดเลย ท่านบอกทั้งหมด เพราะว่าถ้าไม่ใช่พวกเก่า ไม่มา พวกนี้เป็นพวกเก่า และมีบุญล้นแล้วควรจะไปนิพพานได้แล้ว

    [​IMG]

    <O:p
    ท่านบอกว่า ทุกคนทำบุญล้นแล้ว แต่ต้องทำเรื่อยไปนะ ถ้าบุคคลใดยังมีความประมาทอยู่ เพียงคิดว่าร่างกายดี "จะปวดท้อง" ปวดมากด้วย ปวดจนกระทั่งเห็นว่าร่างกายไม่ดี จึงจะตาย ทำไมจึงปวด...ท่านทำให้ปวด ท่านจะไล่นะ...วิธีไล่ของท่าน!"
    <O:p
    (หมายเหตุ ผู้เขียนขอเสริมจากคำบอกเล่าจากผู้อื่น ที่ได้รับฟังมาจากหลวงพ่อที่บ้านสายลมเช่นกันว่า ในขณะที่ป่วยหนักใกล้จะตายนั้น ท่านปู่พระอินทร์ก็จะมาปรากฏให้เห็นด้วย) เป็นอันว่า ผู้เขียนก็ได้รวบรวม "โอวาท" เก่า ๆ รวมทั้ง "คำพยากรณ์" ต่าง ๆ ที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงใกล้วาระสุดท้ายของท่าน คือการสอนกรรมฐานที่บ้านสายลม และงานทำบุญวันเกิดของท่าน เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕ โดยนำข้อมูลเหล่านี้ มาลำดับไว้แต่เพียงโดยย่อ พอที่ผู้อ่านจะค้นคว้าได้สะดวก
    <O:p
    จึงหวังว่าคงจะเป็นที่พอใจแก่ผู้อ่านทุกท่าน หากมีข้อบกพร่องหรือผิดพลาดประการใด ขอได้โปรดช่วยทักท้วงด้วย จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
    <O:p
    ทั้งนี้ ขอสรุปไว้แต่เพียงย่อ ๆ ว่า เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๔ เวลา ๕.๐๐ น. พระกาล มาบอกหลวงพ่อว่า เป็นเวลาที่จะต้องไปจากโลกนี้แล้ว ครั้นเมื่อถึงเวลาจริง ๆ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ตลอดถึงเทพพรหมทั้งหลายมาห้อมล้อมไว้ หลวงพ่อจึงมีชีวิตอยู่ได้อีก<O:p
    ตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันมรณภาพ นับเป็นเวลาเกือบ ๑ ปีพอดี หลวงพ่อคงจะทราบไว้ก่อนตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ท่านถึงได้เร่งรัดงานต่าง ๆ พร้อมทั้งมอบหมายภารกิจไว้ล่วงหน้า เมื่อถึงเวลาท่านก็ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ คงทิ้งไว้แต่สังขารที่เป็นทุกข์ เพื่อไปสู่แดนที่เป็นเอกันตบรมสุขอย่างแท้จริง
    <O:p
    ฉะนั้น ก่อนที่จะยุติข้อเขียนนี้ ขอนำ "จดหมายของหลวงพ่อ" มาปิดท้ายรายการ เพื่อนำมารวบรวมไว้เป็นประวัติ มิใช่จะมีเจตนาเป็นอย่างอื่น แต่เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นความวิริยะอุตสาหะ ในฐานะที่ท่านเป็นครูบาอาจารย์ ท่านยังได้เสียสละเวลาตอบจดหมายแก่ลูกศิษย์ทุกคน ที่มีความขัดข้องใจในธรรมะ
    <O:p
    ซึ่งในเวลานั้นผู้เขียนยังมีความสับสนในข้อปฏิบัติ เพราะศึกษาจากแต่ละสำนักแล้ว ท่านสอนไม่เหมือนกัน จึงทำให้ต้องเขียนจดหมายไปรบกวนหลวงพ่อ และท่านก็ได้กรุณาตอบให้ทราบไว้ดังนี้...

    [​IMG]<O:p

    (พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังมอบ "ล็อคเก็ต" ให้เป็นที่ระลึก)
    <O:p
    วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท <O:p
    ๑ กรกฎาคม ๒๕๑๗

    คุณ<st1:personName w:st="on" ProductID="ชัยวัฒน์ นาคสวัสดิ์">ชัยวัฒน์ นาคสวัสดิ์</st1:personName> <O:p
    จดหมายของคุณมาคอยฉันที่วัดนานแล้ว แต่ฉันไม่มีเวลาอ่าน ทั้งนี้เนื่องด้วยการเดินทางเป็นเหตุ มาวันนี้พอมีเวลาบ้าง จึงค้นจดหมายที่คั่งค้างประมาณ ๕๐ ฉบับเศษ ออกมาตรวจ ปรากฏว่าจดหมายของคุณแอบมานอนกับกองจดหมาย อาศัยที่จดหมายมีมากจัด ขอตอบสั้น ๆ ดังนี้
    <O:p
    (๑) การได้ทิพยจักษุญาณ ไม่จำเป็นต้องได้พระโสดาบัน เมื่อฝึกอารมณ์เข้าถึงอุปจารสมาธิ ก็ทำให้เกิดได้ แต่ไม่ใคร่สว่างหรือชัดเจน ต่อเมื่อฌานสูงขึ้น และทรงตัวได้ดี ก็จะสว่างและชัดเจนขึ้น ตามขนาดของฌาน ถ้าเป็นพระอริยเจ้า ก็จะชัดเจนมากขึ้น อุปาทานจะไม่ใคร่ล้อเลียน แต่ก็เอาแน่ไม่ใคร่ได้นัก ทางที่ดีเมื่อได้แล้ว ควรหาทางติดต่อกับพระพุทธเจ้า ผลจะสมบูรณ์แบบ
    <O:p
    (๒) สวรรค์มี ๖ ชั้น พรหมมี ๒๐ ชั้น คือ รูปพรหมมี ๑๖ ชั้น พรหมที่ไม่มีรูปมี ๔ ชั้น รวม ๒๐ ชั้นพอดี
    <O:p
    (๓) ถ้าเราให้เป็นกสิณโดยตั้งใจไว้เดิมว่า เพ่งสีเขียว ก็เป็นนิมิตกสิณ ถ้าไม่ได้ตั้งใจไว้เดิม มันปรากฏเอง เป็นนิมิตของอานาปานุสสติ
    <O:p
    (๔) เรื่องการเพ่งนิมิต จะเอาไว้ภายในหรือภายนอก ก็มีผลเสมอกัน
    <O:p
    (๕) ดวงปฐมมรรค ที่แท้ก็คือดวงกสิณ เมื่อมีสมาธิดี และอารมณ์ตัดสังโยชน์สามได้ ก็เป็นปฐมมรรค ถ้าอารมณ์ตัดสังโยชน์ไม่ได้ ก็เป็นกสิณธรรมดา ดูแต่ดวงไม่ได้ ต้องดูใจที่ละกิเลสด้วย
    <O:p
    ขอตอบเท่านี้นะ หวังว่าคงเข้าใจ ด้วยจดหมายที่จะตอบมีมาก และเห็นว่าตอบเท่านี้ก็พอแล้ว<O:p

    [​IMG]

    ขอได้รับความนับถือ<O:p
    (พระมหาวีระ ถาวโร)<O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มิถุนายน 2010
  13. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260


    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่

    www.tangnipparn.com<O:p
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา



    [​IMG]</O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2010
  14. ดาวจรัสแสง

    ดาวจรัสแสง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    542
    ค่าพลัง:
    +3,015
    ขอบพระคุณคุณอริบุตรเป็นอย่างยิ่งค่ะ ที่ได้นำเสนอ เนื้อหา สาระ ธรรมทานที่มีประโยชน์

    อยากอ่านหนังสือทั้งหมดจังเลย

    อนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  15. เกิดมานาน

    เกิดมานาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2009
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +2,547
    ได้อ่านแล้วอิ่มไปหมดปิติมาก รักและเคารพท่านมาก ขอตามท่านไปนิพพานในชาตินี้ด้วยนะครับ กำลังเร่งปฏิบัติอยู่ครับ
     
  16. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    ทุกเรื่อง ที่ผม นำมาเป็นกระทู้ ทั้งปัจจุบัน และอนาคต ผมได้ลง แบบหมดไส้ หมดพุง ไว้ให้ดาวน์โหลด หมดแล้ว ครับ รู้สึกจะชื่อเรื่อง ดาวน์โหลด คำสอนพระราชพรหมยาน นะครับ
     
  17. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    พยากรณ์ คืนวันที่ ๑๗ มี.ค.๒๕๑๘

    "...ถ้าพระไม่บอก ก็ไม่บอก อาตมาก็ไม่พูด สำหรับวันนี้ตอนท้ายท่านมาสั่ง บอกว่า.."อารมณ์ ๓<O:p

    ๑. พิจารณาว่าเราต้องตายเป็นปกติ เพราะความตายเป็นธรรมดา ความเกิดแล้วต้องตาย ทำอารมณ์ใจไว้<O:p
    ๒. เราจะทรงศีล ๕ บริสุทธิ์<O:p
    ๓. มีนิพพานเป็นที่ไป <O:p

    การกำหนดจิตไว้ทั้ง ๓ นี้ พระท่านบอกว่า พุทธบริษัทที่มานั่งอยู่ที่นี่เกือบทั้งหมด หรืออาจทั้งหมดก็ได้ มีโอกาสทุกคน คือตั้งใจไว้วันละเล็กละน้อย คือวัน ๆ หนึ่งให้นึกถึงอารมณ์ ๓ ประการนี้ไว้<O:p

    ท่านถือว่าผลจะเกิดขึ้นแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าหากว่าอารมณ์ทั้ง ๓ นี้ มีปรากฏกับใจ สำหรับท่านพุทธบริษัทที่มาอยู่แล้ว มีอยู่ ท่านบอกว่าอารมณ์ ๓ อย่างนี้มีอยู่แล้ว ที่คนทรงแล้วมีอยู่<O:p

    การพยายามทำใจให้สูงยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณา กายคตากรรมฐาน และ อสุภกรรมฐาน เป็นปกติ ที่ว่าสภาวะของความเกิดเป็นของน่าเบื่อ ร่างกายเป็นของสกปรก แล้วก็พิจารณาให้ใช้ พรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ เป็นการตัดอารมณ์ของความโกรธ ความพยาบาท ท่านบอกว่า คุณธรรม ๒ ประการอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทที่นั่งอยู่ก็มีโอกาสเหมือนกัน <O:p

    เป็นอันว่า การเจริญกรรมฐานของพุทธบริษัทที่มานั่งทั้งหมดไม่ไร้ผล เป็นไปตามความตั้งใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เว้นไว้แต่ว่าถ้าใครประมาท ก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ แล้วก็ดีใจที่บรรดาญาติโยมทั้งหลาย เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้าย พระท่านมาพยากรณ์ดีมาก อย่างนี้ได้ฟังยาก..."


    พยากรณ์ คืนวันที่ ๒๕ ก.ย.๒๕๑๘ <O:p

    "...พระท่านสั่งมาหน่อยเดียว ถ้าไม่สั่งก็ไม่พูด ทุกคนที่มาที่นี่ทั้งหมด เป็นผู้ที่มีจิตศรัทธาตั้งใจ เป็นกุศลจริง ๆ สิ่งที่ท่านทั้งหลายตั้งใจไว้ จงมั่นใจว่าจะได้รับผลสมความปรารถนา<O:p
    ทั้งนี้ ต้องมีเงื่อนไขว่า สุดแล้วแต่กำลังใจ ถ้าใครต้องการชาตินี้ ก็ได้ชาตินี้ ถ้าไม่แน่ใจ ก็อาจจะหลายชาติหน่อย..."


    ศาลานวราช ธ.ค.๒๕๒๐ <O:p

    "...พวกคุณนี่ตั้งใจดีแล้ว แต่การตั้งใจของพวกคุณ ถ้าไม่ตัดขันธ์ ๕ ได้เพียงใด การตั้งใจของพวกคุณก็ไม่สำฤทธิ์ผล จึงขอให้ทุกคน...พยายามอย่าสนใจกับขันธ์ ๕ ของตนเอง
    อย่าสนใจขันธ์ ๕ ของคนอื่น อย่าสนใจวัตถุธาตุทั้งหมด เท่านี้พอ มันไม่ยากที่จะตัด แต่วันเวลาเท่านั้นนะ เราจะเร่งรัดเร็วเกินไปไม่ได้ ถ้าวันเวลายังไม่ถึงเพียงไร ก็ทำไปเพื่อถึงเวลานั้น ถ้าวันเวลาถึงเมื่อไร ก็สิ้นสุดกันเมื่อนั้นแหละ..."

    โอวาทคล้ายวันเกิดหลวงพ่อ ที่บ้านสายลม เมื่อ ๕ ก.ค.๒๕๑๘
    <O:p
    "...ที่ท่านทั้งหลายเคยปรารภให้อาตมาฟังว่า บารมียังน้อยเกินไป ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้บ้าง ไม่สามารถจะเข้าถึงพระนิพพานได้บ้าง อย่างนี้อาตมาไม่เชื่อ ทั้งนี้เพราะอะไร... เพราะว่าถ้ามองหน้าบรรดาท่านทั้งหลายแล้ว สร้างบุญบารมีกันมามาก และเคยพบองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า คือพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายสิบวาระ จนกระทั่งมีจิตใจตั้งมั่นอยู่ในปรมัตถบารมี เป็นส่วนมาก<O:p

    ทำไมบรรดาท่านพุทธบริษัทจึงจะกล่าวว่า การเข้าพระนิพพานเป็นของยาก อันนี้อาตมาไม่เห็นด้วย หากว่าบารมีของบรรดาท่านพุทธบริษัทเห็นว่าน้อยไป ก็ช่วยสร้างเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ มันสร้างใหม่ขึ้นมาได้<O:p

    บารมี ๑๐ คือตั้งใจไว้ว่าเราจะให้ทานไม่เกินกำลังใจ ไม่เกินทรัพย์สินความพอดีของเรา เราตั้งใจจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เราจะระงับนิวรณ์ ๕ ประการ คือไม่ทำจิตให้รุ่มร่ามในด้านอกุศลธรรม เรามีสัจจะความจริงใจ ตั้งเข้าไว้ว่าจะทำอะไร ให้ทำตามความจริงทุกอย่าง เรามีความพากเพียรอดทนต่ออุปสรรคที่พึงเกิดขึ้น

    เรามีปัญญาพิจารณาว่าสิ่งใดควรไม่ควร เรามีความเมตตา ความรัก มีความปรารถนาดี ต่อคนและสัตว์นอกจากตัวเรา ตั้งใจไว้ว่าเวลาที่เราทำความดีนี้ เราประสงค์อะไร ตั้งจิตไว้โดยเฉพาะ และมีความอดทนในเวลาที่ทำ ทำใจวางเฉยเมื่อทุกข์มันเกิดขึ้น <O:p

    เท่านี้แหละ...บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้ากำลังใจของท่านครบถ้วนบริบูรณ์เมื่อไร ขึ้นชื่อว่า "บารมีทั้ง ๑๐ ประการนี้" ของท่านทั้งหลายเต็มครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว สมเจตนาที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ตั้งใจเทศน์สอนบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้เป็นผู้มีบารมีเต็ม และก็จะเข้าถึงพระนิพพานได้ โดยไม่ยาก..."

    โอวาทคล้ายวันเกิดหลวงพ่อ วัดท่าซุง คืนวันที่ ๒๓ ส.ค. ๒๕๒๒
    <O:p
    "...บรรดาลูก ๆ ทั้งผู้หญิงผู้ชายที่มีเจตนาดี และลูกพวกนี้ก็ดี และพวกท่านก็ดี ก็ติดตามกันมาแล้วทั้งหมด ถ้าเราจะใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณกำหนด ก็ถือว่าเราติดตามกันมาแล้วอย่างน้อยก็ ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป เป็นการบำเพ็ญบารมีร่วมกันมานาน
    <O:p
    ฉะนั้น ในชาตินี้คณะพวกท่านทั้งพระภิกษุสามเณร และลูกหญิงลูกชายทั้งหมด ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในชาติก่อน ๆ ต่างคนต่างก็มารวมกัน มาช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนา"<O:p

    "...ส่วนมากพวกท่านก็ได้มโนมยิทธิ ซึ่งเป็นอภิญญาที่มีความสำคัญ กรรมฐานวิชชาสามก็ดี อภิญญาก็ดี คนที่จะก้าวเข้ามาในเขตนี้นะ มันยากเหลือเกิน ถ้าไม่บำเพ็ญบารมีมาแล้วด้วยดีนะ ให้ฝึกไปจนตายมันก็ไม่ได้ และนอกจากจะไม่ได้แล้ว บางคนก็บังเอิญจะได้ ได้แล้วก็ไปทิ้ง นี่การได้แล้วไม่ทิ้ง ฝึกฝนด้วย ดีแสดงว่า บารมีของเราเต็ม การฝึกฝนมาแบบนี้ ก็แสดงว่าพวกท่านสร้างความดีไว้มากตั้งแต่ชาติในอดีต จงถือว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของพวกเรา จำไว้ให้ดีนะ แต่ว่าใครจะเกิดอีกต่อไปก็ตามใจเถิด<O:p

    ผมไม่ได้ว่าอะไรหรอก... เป็นอันว่า การติดตามกันมาเป็นระยะเวลา ๑๖ อสงไขยและแสนกัป ทีนี้ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องตามกันอีกแล้ว จะไปตามในเมืองนรกจะพบหรือไม่พบ ก็ไม่บอกนะ เป็นอันว่าเราก็เลิกเกิดกันเสียที พวกท่านนี่ความจริงถ้าหากว่าจะว่ากันโดยบารมี และบรรดาลูก ๆ ก็เหมือนกัน

    การบำเพ็ญบารมีมานี่...มันก็เกินไปเสียแล้ว...มันล้น เขาเรียกว่า "บารมีล้น" เพราะว่า "สาวกภูมิ" นี่เขาบำเพ็ญบารมีกันเพียง ๑ อสงไขยกับแสนกัป สำหรับผมที่ต้องว่ากันถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ก็เพราะว่าตอนนั้นได้ปรารถนาพระโพธิญาณ..."<O:p

    "...ฉะนั้น ชีวิตของผมจะอยู่ไปนานหรือไม่นาน ก็เป็นภารกิจของคนภายใน ผมได้กราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาแล้วว่า ถ้าภารกิจใดก็ตาม ยังเกื้อประโยชน์ให้แก่บรรดาประชาชนส่วนใหญ่ ผมก็จะอยู่ แต่ว่ากิจอันนี้ไม่มีความหมายเมื่อไร ผมไปเมื่อนั้น
    <O:p
    ฉะนั้น หากว่าเวลานี้บรรดาลูกหญิงก็ดี ลูกชายก็ดี ภิกษุสามเณรก็ดี ยังเห็นภารกิจในพระพุทธศาสนามีความสำคัญ ผมก็คงจะอยู่ได้อีกหลายวัน ถ้าหากว่าพวกท่านไม่เห็นความสำคัญเมื่อไร ผมก็ไม่ อยู่..." <O:p

    "...ผมจะตายหรือผมจะมีชีวิตอยู่ ขอพวกท่านทั้งหมดให้ตั้งใจไว้ว่า เราเป็นคนกลุ่มเดียวกัน จงอย่าทำตนเหมือน ภิกษุโกสัมพี ในสมัยนั้นองค์สมเด็จพระชินสีห์ยังมีชีวิตอยู่ ต่างคนต่างก็อวดเลว แตกกันเป็นสองพวก อย่างนี้เป็นการทำลายตัวเอง<O:p

    การศึกษาของบรรดาท่านทั้งหลาย นอกจาก คันถธุระ ก็ยังมี วิปัสสนาธุระ เรื่องวิปัสสนาธุระนี่ เป็นเครื่องยืนยันว่าพวกเราจะดี ว่าจะทรงวิปัสสนาธุระไว้ได้หรือไม่ได้ ก็อาศัย ความสามัคคี เป็นเหตุ<O:p

    ฉะนั้น ขอทุกท่านถ้าเห็นแก่ชีวิตผมก็ดี และเห็นแก่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ผมรู้ตัวว่ากำลังกายมันไม่ดี แต่ว่าได้พยายามสร้างทุกอย่าง เพื่อวางพื้นฐานไว้ให้แก่พวกท่าน เพราะว่าในสถานที่นี้ก็ได้รับพยากรณ์ว่า จะเป็นศูนย์ที่มีความสำคัญต่อไปในเบื้องหน้า วัดนี้ถ้ามันจะพังจริง ๆ ก็ต้อง พ.ศ.สิ้นไป ๔,๕๐๐ ปีเศษ คือ ๔,๕๐๐ ปีเศษ วัดนี้จึงจะสลายตัว<O:p

    ฉะนั้น ในวันฝังลูกนิมิต บรรจุของในหลุมนิมิต องค์สมเด็จพระธรรมสามิสร์ก็ทรงตรัสว่า แดนของวัดนี้เป็นแดนของพระอริยเจ้ามาในกาลก่อน แต่ก็มาสิ้นแสงของพระอริยเจ้าลงไปประมาณ ๔๐ ปีนะ นับแต่ปีนี้ไป<O:p

    แต่ความจริงตอนนั้นก็ประมาณ ๔๐ ปี นับแต่ปีนี้ไปก็เป็น ๕๐ ปี ขาดตอนพระอริยเจ้ามา ๔๐ ปี แต่ใน ๑๐ ปีต้น ก็ยังมีพระผู้ทรงฌาน หลังจากนั้นมา ๓๐ ปี ต้องถอยหลังไปนะ ถ้านับเวลานี้มันก็ ๕๐-๓๐ ปีนั้น เป็น "ภิกขุพานิช" คือจิตหยาบสะสมกิเลสกันขนาดหนัก แล้วต่อมานี่เราก็รื้อฟื้นขึ้นมา<O:p

    ท่านกล่าวว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป หลังจากฝังลูกนิมิตในปี พ.ศ.๒๕๒๐ แล้ว ท่านบอกว่าจากนี้ไป ๓ ปี วัดนี้จะมีพระอริยเจ้าประจำตลอดไป จนถึงพระพุทธศาสนาล่วงไปถึง ๔,๕๐๐ ปี หลังจากนั้น จึงจะขาดพระอริยเจ้า..."


    ในตอนสุดท้ายหลวงพ่อได้สรุปไว้ว่า<O:p

    "...งานทั้งหมดที่ทำนี่ ขอท่านทั้งหลายจงอย่าถือว่าเป็นงานของผม เพราะงานทั้งหมดเป็นงานของพระพุทธเจ้า ผมทำเพื่อพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น<O:p

    ในที่สุดนี้ ผมในฐานะที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็มาด้วยกำลังของ "พุทธภูมิ" ต้องลำบากยากกาย ทั้งกายและใจมาสิ้นเวลา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป บุญบารมีอันใดที่บำเพ็ญมาแล้วในตอนต้นจนถึงอวสาน จัดว่าเป็นชาติสุดท้ายในชาตินี้<O:p

    ขอบุญบารมีนี้ ที่ผมบำเพ็ญมาแล้วก็ดี และขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอบุญบารมีของบรรดาพระสงฆ์อริยสาวกทั้งหลาย จงปกป้องบรรดาท่านทั้งหลาย ช่วยกำลังกาย กำลังใจของท่าน ให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามระบอบของพระพุทธศาสนาและขอให้ทุกท่านโดยถ้วนหน้า จงบรรลุผล กล่าวคือตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้ <O:p

    และอีกประการหนึ่ง กิจอันใดก็ตาม ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระประสงค์ ขอองค์สมเด็จพระพุทธองค์ จงบันดาลจิตใจของบรรดาภิกษุสามเณร และลูกหญิงลูกชาย ให้ปฏิบัติเหตุนั้นให้เต็มที่ มีผลตามที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระพุทธประสงค์<O:p

    ในที่สุดนี้ ขอท่านทุกองค์ และบรรดาคนทุกคน จงประสพแด่ความสุขสวัสดิพิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้ว ขอบรรดาท่านทั้งหลาย ที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงบรรลุธรรมนั้น ตามที่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้ว ในชาติปัจจุบันนี้เทอญฯ..."

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1024108/[/MUSIC]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 มิถุนายน 2010
  18. kkookk

    kkookk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    345
    ค่าพลัง:
    +1,326
    ขออนุโมทนากับธรรมะอันประเสริฐจากครูบาอาจารย์ด้วยครับ...สาธุ สาธุ สาธุ
     
  19. maruko_k

    maruko_k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +1,318
    อนุโมทนาค่ะ เป็นบุญเหลือเกินที่ได้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อในชาตินี้
     
  20. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    [​IMG]
    กราบ อนุโมทนา สาธุ ค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...