ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +3,210
    โมเยได้เจอบทความ เลยนำมาฝาก
    ในบางตอนของบทความอาจมีบางส่วน สอดคล้อง
    กับบทความต่างๆ ที่พี่ทางสายธาตุนำมาลงไว้ค่ะ

    ศิลปวัฒนธรรม

    วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 28 ฉบับที่ 03

    เรื่องจากปก
    สุทธิศักดิ์ ระบอบ สุขสุวานนท์


    แกะรอย "หลังบ้าน" สมเด็จพระนเรศ ในเอกสารต่างชาติ

    พระ ราชพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยาที่ถูกชำระเรียบเรียงขึ้นในสมัยศรีอยุทธยาตอนปลาย จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มักจดบันทึกเรื่องราวของสมเด็จพระนเรศ (หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า สมเด็จพระนเรศวร) ไว้แต่เฉพาะเรื่องการศึกสงครามกับอาณาจักรเพื่อนบ้านข้างเคียง จนมองข้ามเรื่องราวส่วนพระองค์ที่เกี่ยวเนื่องกับเจ้านายฝ่ายในหรือ "หลังบ้าน" ในภาษาชาวบ้านสามัญยุคปัจจุบัน

    แม้พระราชพงศาวดารกรุง ศรีอยุทธยาจะมิได้กล่าวถึง "หลังบ้าน" หรือพระมเหสีของสมเด็จพระนเรศไว้เลย แต่เรื่องราวของบรรดาพระมเหสีของสมเด็จพระนเรศกลับไปปรากฏอยู่ในเอกสารต่าง ชาติถึง ๕ ฉบับด้วยกัน คือ จดหมายเหตุบาทหลวงมาร์เซโล เด ริบาเดเนอิรา ของสเปน, จดหมายเหตุฟานฟลีตของฮอลันดา, พงศาวดารละแวกของเขมร, คำให้การขุนหลวงหาวัดและพงศาวดารของพม่า



    สมเด็จพระอัครมเหสีของสมเด็จพระนเรศ

    ในจดหมายเหตุสเปน

    History of the Philippines and Other Kingdom เป็นจดหมายเหตุสเปนที่บาทหลวงมาร์เซโล เด ริบาเดเนอิรา (Marcelo de Ribadeneira, O.F.M.) เขียนขึ้นจากคำบอกเล่าของบาทหลวงนิกายฟรานซิสกัน ที่เคยพำนักอยู่ในพระนครศรีอยุทธยาระยะหนึ่ง ซึ่งพรรณนาถึงกรุงพระนครศรีอยุทธยาในห้วง พ.ศ. ๒๑๒๕ ปลายรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๑๒-๓๓) และตั้งแต่ พ.ศ. ๒๑๓๙ ในต้นรัชสมัยสมเด็จพระนเรศ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๓๓-๔๘)

    เนื้อ ความตอนหนึ่งกล่าวถึงกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคของพระเจ้าแผ่นดินสยาม ซึ่งมีสมเด็จพระอัครมเหสีและพระราชโอรสผู้ทรงพระเยาว์โดยเสด็จมาด้วย ข้าพเจ้าเห็นว่าเรื่องนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะถ้าหากพระเจ้าแผ่นดินสยามพระองค์นี้หมายถึงสมเด็จพระนเรศแล้ว ข้อถกเถียงเรื้อรังเกี่ยวกับเรื่องที่สมเด็จพระนเรศมีพระราชโอรสหรือไม่นั้น จะยุติลงในฉับพลันทันที จดหมายเหตุบาทหลวงมาร์เซโล เด ริบาเดเนอิรา เล่าว่า

    "...ครั้งหนึ่งบาทหลวงนิกายฟรานซิสกันได้เห็นพระเจ้าแผ่น ดินประทับในเรือพระที่นั่งที่ตกแต่งประดับประดาแล้วล้วนไปด้วยพระปฏิมากร เพื่อจะเสด็จพระราชดำเนินเยือนพระอารามแห่งหนึ่ง มีเรือสี่ลำแล่นล่วงหน้าไปก่อนเรือพระที่นั่ง เพื่อเป็นการค้ำประกันความปลอดภัยของพระเจ้าแผ่นดิน เรือเหล่านี้บรรทุกผู้คนเป่าแตรเงินเล็กๆ เพื่อป่าวประกาศการเสด็จพระราชดำเนินถึง บรรดาเรือล้วนมีรูปทรงวิจิตรพิสดารและแกะสลักอย่างน่าพิศวงด้วยรูปปฏิมา ประดับประดาอย่างหรูหรา ก่อเกิดความรู้สึกประทับใจถึงโขลงช้างที่ลอยเหนือน่านน้ำ ด้วยเรือเหล่านี้ลอยเลื่อนไปเบื้องหน้าและท้ายเรือโลดทะยาน

    "เรือ สี่ลำเหล่านี้หยุดที่พระอารามแห่งหนึ่งบนชายฝั่ง เพราะพวกเขาคาดหมายว่า พระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จพระราชดำเนินเพื่อทรงเจริญพระพุทธมนต์และทรงบำเพ็ญพระ ราชกุศล ตามติดมาอย่างใกล้ชิดเรือสี่ลำนั้นเป็นเรืออื่นๆ อีกหลายลำที่ใหญ่กว่านั้น แต่ละลำบรรทุกผู้คนมากมายที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบประเภทต่างๆ เรือแต่ละลำมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แห่งราชสำนัก ๑ คน แล้วจากนั้นเป็นพระราชกุมารพระองค์เยาว์ที่สุดในพระเจ้าแผ่นดินที่เสด็จ ปรากฏพระองค์ในเรือพระที่นั่งที่ตกแต่งอย่างหรูหรามาก ตามติดมาเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีและสาวสรรกำนัลใน สมเด็จพระอัครมเหสีประทับแต่เพียงลำพังพระองค์ และบรรดานางกำนัลนั่งในเรือลำอื่นที่ตกแต่งอย่างน่าอัศจรรย์ และกั้นด้วยม่านอย่างรอบคอบจนเป็นไปได้ที่จะสามารถมองผ่านม่านจากภายในออกมา สู่โลกภายนอกได้ โดยที่คนภายนอกไม่เห็นคนภายใน

    "สุดท้ายที่มาถึงใน กระบวนพยุหยาตราโดยชลมารคคือองค์พระมหากษัตริย์ ประทับในเรือพระที่นั่งขนาดกว้างใหญ่ที่ดูแต่ไกลเหมือนนกกระยางตัวมหึมาที่ แผ่ปีกอันกว้างใหญ่ออกมา เป็นเรือพระที่นั่งปิดทองทั้งองค์ และโดยที่ฝีพายมีเป็นจำนวนมาก อิริยาบถในการพายของพวกเขาจึงดูเหมือนนกตัวใหญ่เหินลมเหนือท้ายเรือพระที่ นั่ง พระเจ้าแผ่นดินประทับเหนือพระราชบัลลังก์ เคียงข้างพระองค์เป็นสาวน้อยผู้เลอโฉมข้างละ ๒ คนคอยถวายอยู่งานโบกพัด เพื่อให้พระองค์ทรงสดชื่นจากความร้อนระอุของดวงอาทิตย์ ทันทีที่เรือพระที่นั่งหยุดลง ฝูงชนก็ผลักดันกันไปข้างหนึ่งและหมอบราบลง และยกมือขึ้นประนมในลักษณาการศิโรราบจนกระทั่งพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราช ดำเนินผ่านไป แล้วเรือพระที่นั่งของพระราชกุมารผู้ทรงพระเยาว์ก็ติดตามมาพรั่งพร้อมด้วย เหล่าขุนนางชั้นสูง

    "เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินถึงพระ อาราม พระองค์ได้รีบเสด็จไปถวายเครื่องราชสักการะแด่พระปฏิมากรทั้งหลาย และหลังจากนั้นพระองค์ได้เสด็จลงสรงสนานกลางสระน้ำใสในปริมณฑลของพระอาราม บรรดาเจ้าพนักงานภูษามาลาและชาวที่ได้อัญเชิญน้ำสรงปริมาณหนึ่งไว้เพื่อ สักการบูชา และพวกเขาได้อยู่งานถวายพระมูรธาภิเษก จนกระทั่งพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินกลับสู่พระราชวัง"

    บางตอน ของบทความ บรรยายได้ จนเห็นภาพที่งดงามมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2010
  2. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +3,210
    แม้เรื่องราวของเหตุการณ์จะไม่อาจ ระบุได้อย่างแน่ชัดว่า พระเจ้าแผ่นดินสยามที่เสด็จฯ ทางชลมารคครั้งนั้นเป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชผู้พ่อหรือสมเด็จพระนเรศ ผู้ลูกกันแน่ แต่เหตุการณ์ในลำดับถัดไปกลับเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ช่วยในการไขปริศนาใน ข้อนี้ได้ จดหมายเหตุบาทหลวงมาร์เซโล เด ริบาเดเนอิรา เล่าต่อไปว่า

    "บรรดา บาทหลวงของนิกายฟรานซิสกันของเราได้มีโอกาสอันหายากยิ่งในการที่ได้เห็นการ เสด็จออกรับแขกเมืองจากกัมพูชา ได้มีการสร้างบ้านพักทันทีสำหรับคณะราชทูต เป็นบ้านพักที่กว้างขวางและตกแต่งประดับประดาอย่างหรูหรา ใกล้ที่พักนั้นเป็นหอสูงทรงแคบที่พวกเขาได้จารึกชื่อและความเป็นมาของคณะ ราชทูตกัมพูชาโดยจารเป็นตัวอักษรเขมร ด้วยพิธีกรรมอันเอิกเกริกตามควรแก่ฐานะของคณะราชทูต พวกเขาได้กระตุ้นให้ฝูงชนโบกธงทิว แกว่งไกวหอก ถือคันธนูและธนู เมื่อการทั้งหลายทั้งปวงเตรียมพร้อมสรรพแล้ว ทหารนักล่า ๖,๐๐๐ คน และทหารธนู ๑๒,๐๐๐ คน ได้ตั้งแถวเรียงรายตามชายฝั่งน้ำ เพื่อต้อนรับการมาถึงของคณะราชทูต แตรเดี่ยวเล็กและแตรทองเหลืองดังกังวานขึ้นในอากาศ เมื่อราชทูตขึ้นบก ราชทูตมีข้าราชสำนักชั้นสูงติดตามไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินซึ่งประทับรอคอยเขา อยู่อย่างสง่างาม"

    เมื่อนำเอาเหตุการณ์ในจดหมายเหตุสเปนมาสอบเทียบ เคียงกับพระราชพงศาวดารฯ พระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) ของไทย พบว่ารัชกาลสมเด็จพระนเรศมีการกล่าวถึงพระราชพิธีอาสวยุทธและการต้อนรับคณะ ทูตกัมพูชาที่เดินทางมาถวายเครื่องราชบรรณาการยังราชสำนักศรีอยุทธยา ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ที่พระเจ้าแผ่นดินสยามเสด็จฯ ทางชลมารคและการเสด็จออกรับทูตกัมพูชาในจดหมายเหตุสเปน ความว่า

    "ลุ ศักราช ๙๔๕ ปีมะแมศกเบญจศก สมเด็จพระนเรศเป็นเจ้า ครั้นเสร็จการพระราชพิธีอาสวยุทธแล้ว มีพระราชบริหารสั่งให้เกณฑ์ทัพเตรียมไว้ และพลฉกรรจ์ลำเครื่องแสนหนึ่ง ช้างเครื่องแปดร้อย ม้าพันห้าร้อย กำหนดเดือนอ้ายจะยกไปตีกรุงกัมพูชาธิบดี..."

    "ลุศักราช ๙๔๙ ปีกุนนพศก ราชบุตรนักพระสัฏฐาผู้เป็นพญาละแวก เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์เสด็จไปปราบ ขณะเมื่อทหารข้าหลวงเข้าเมืองละแวกในเพลากลางคืนนั้น ราชบุตรมาอยู่หน้าที่ ครั้นทัพไทยเข้าเมืองได้แล้วความกลัวก็มิได้ไปหาบิดา หนีออกจากหน้าที่กับบ่าวประมาณ ๓๐ คน เข้าป่า พากันหนีไปถึงแดนเมืองล้านช้าง ครั้นรู้ข่าวว่ากองทัพหลวงเสด็จพระราชดำเนินกลับไปกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา แล้ว ก็พากันกลับมายังเมืองละแวก เสนาบดีที่เหลืออยู่กับสมณชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎรจึงพร้อมกันยกพระราชบุตร ท่านขึ้นราชาภิเษกเป็นพญาละแวกครอบครองแผ่นดินแทนบิดา

    "พญาละแวก ครั้นได้ครองสิริสมบัติแล้ว ก็อุตสาหะบำรุงสมณพราหมณาจารย์โดยยุติธรรมราชประเพณีมาได้เดือนเศษ จึงตรัสปรึกษาเสนาบดีกระวีมุขทั้งหลายว่า แต่ก่อนพระราชบิดาเราไปกระทำเสี้ยนหนามต่อกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา มิได้เกรงพระเดชเดชานุภาพ สมเด็จพระพุทธิเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์อันทรงอิศวรภาพดุจสุริยเทวบุตร จันทรเทวบุตรอันมีรัศมีสว่างโลกธาตุ ความพินาศฉิบหายจึงถึงพระองค์แลญาติประยูรวงศ์ในกรุงกัมพูชาธิบดี แลครั้งนี้เราจะทำดุจพระบิดานั้นมิได้ ว่าจะอ่อนน้อมขอเอาพระเดชเดชานุภาพสมเด็จพระเจ้ากรุงเทพมหานครศรีอยุทธยา เป็นที่พึ่งที่พำนัก ความสุขสวัสดีจะได้มีแก่เรา ท่านทั้งหลายจะเห็นประการใด เสนาบดีมนตรีมุขทั้งปวงกราบทูลว่า ซึ่งพระองค์ดำรัสนี้ควรนัก ขอพระราชทานให้แต่งดอกไม้เงินทองเครื่องราชบรรณาการ มีพระราชสาสน์ไปอ่อนน้อมโดยราชประเพณีเมืองขึ้นเมืองออกกรุงเทพมหานครแล้ว ความสิริสวัสดีพิพัฒนมงคลก็จะบังเกิดมีไปตราบเท่ากัลปาวสาน

    "พญา ละแวกได้ฟังดังนั้นยินดีนัก จึงให้แต่งดอกไม้ทองเงิน จัดเครื่องราชบรรณาการเป็นอันมาก แล้วแต่งลักษณะราชสาสน์ให้ออกญาวงศาธิบดี พระเสน่หามนตรี หลวงวรนายก เป็นทูตานุทูตจำทูลพระราชสาสน์ คุมเครื่องราชบรรณาการมา

    "ครั้นถึงด่านปราจีนบุรี กรมการก็คุมทูตานุทูตเข้าไปยังกรุงเทพมหานคร เสนาบดีนำเอากิจจานุกิจกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระพุทธิเจ้าอยู่หัวดำรัสให้เบิกทูตเฝ้า ณ มุขเด็จหน้าพระที่นั่งมังคลาภิเษก ตรัสพระราชปฏิสันถาร ๓ นัดแล้ว พระศรีภูริปรีชาก็อ่านพระราชสาสน์ในลักษณะนั้นว่า ข้าพระองค์ผู้ครองกรุงอินทปัตถ์กุรุรัฐราชธานี ขอถวายบังคมมาแทบพระวรบาทบงกชมาศ สมเด็จพระผู้จอมมงกุฎราชกรุงทวาราวดีศรีอยุทธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรี รมย์อุดมพระราชนิเวศน์มหาสถาน ด้วยพระบิดาข้าพระองค์มิได้รักษาขอบขัณฑเสมาโดยราชประเพณี กระทำพาลทุจริตมิได้รู้จักกำลังตนกำลังท่าน มาก่อเกิดเป็นปรปักษ์แก่กรุงเทพมหานคร อุปมาดังจอมปลวกมาเคียงเขาพระสิเนรุราชบรรพต มิดังนั้นดุจมิคชาติตัวน้อยองอาจยุทธนาการด้วยพญาราชสีห์อันมเหศวรศักดานุ ภาพก็ถึงแก่กาลพินาศจากไอสุริยสวรรยานั้น ก็เพื่อผลกรรมอันได้กระทำมาแต่ก่อน แลข้าพระองค์ครองแผ่นดินเมืองละแวกครั้งนี้จะได้เอาเยี่ยงอย่างพระบิดานั้น หามิได้ จะขอเอาพระเดชเดชานุภาพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ปกเกล้าปก กระหม่อมดุจฉัตรแก้วแห่งท้าวมหาพรหม อันมีปริมณฑลกว้างขวางร่มเย็นไปทั่วจักรวาล ข้าพระองค์ขอถวายสุวรรณหิรัญรัตนมาลาบรรณาการมาโดยราชประเพณี สืบไปตราบเท่ากัลปาวสาน

    "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสได้ทรงฟัง ก็มีพระทัยเมตตาแก่พระสุธรรมราชา พญาละแวกองค์ใหม่เป็นอันมาก สั่งให้ตอบพระราชสาสน์ไปว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะได้อาฆาตจองเวรแก่ราชบุตรนัดดานักพระสัฏฐาหามิได้ แลซึ่งบิดาท่านเป็นไปจนถึงกาลนิราลัยนั้น ก็เพื่อเวรานุเวรแต่อดีตติดตามมาให้ผลเห็นประจักษ์ แลให้พญาละแวกองค์ใหม่นี้ครอบครองไพร่ฟ้าประชาราษฎรโดยยุติธรรมราชประเพณี พระมหากษัตราธิราชเจ้าแต่ก่อนนั้นเถิด แล้วสั่งให้เจ้าพนักงานตอบเครื่องราชบรรณาการ แล้วพระราชทานเสื้อผ้าเงินตราแก่ทูตานุทูตโดยสมควร อยู่สามวันทูตก็กราบถวายบังคมลาไปยังกรุงกัมพูชาธิบดี"

    การพระราช พิธีอาสวยุทธที่กระทำกันใน จ.ศ. ๙๔๕ ปีมะแมเบญจศก (พ.ศ. ๒๑๒๖) นั้นน่าจะผิด เพราะปีศักราชดังกล่าวยังคงอยู่ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชผู้พ่อ แต่เมื่อสอบกับพระราชพงศาวดารฯ ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์แล้ว ควรปรับเป็น จ.ศ. ๙๕๕ มะเส็งศก (พ.ศ. ๒๑๓๖) ช้ากว่ากัน ๑๐ ปี ดังนั้นการต้อนรับทูตกัมพูชาใน จ.ศ. ๙๔๙ ปีกุนนพศก (พ.ศ. ๒๑๓๐) ควรปรับปีศักราชให้ช้าตามไปด้วยอีก ๑๐ ปีเช่นกัน จึงควรเป็น จ.ศ. ๙๕๙ ปีระกานพศก (พ.ศ. ๒๑๔๐) โดยทั้งสองเหตุการณ์จะอยู่ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศทั้งสิ้นตรงตามที่กล่าวไว้ ในพระราชพงศาวดารฯ พระจักรพรรดิพงศ์ (จาด)

    กฎมณเฑียรบาลที่ตราขึ้น ในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีเจ้า พระองค์ที่ ๔ (สมเด็จพระบรมไตรโลกเจ้า ครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑) เล่าถึงการพระราชพิธีอาสยุชแข่งเรือ (อาสวยุทธ) ไว้ว่า

    "เดือน ๑๑ การอาสยุชพิทธี มีหม่งครุ่มซ้ายขวา ระบำหรทึกอินทเภรีดนตรี เช้าธรงพระมหามงกุฎราชาประโภค กลางวันธรงพระสุพรรณมาลา เอย็นธรงพระมาลาสุกหร่ำสภักชมภู สมเดจ์พระอรรคมเหสีพระภรรยาธรงพระสุวรรณมาลา นุ่งแพรลายทองธรงเสื้อ พระอรรคชายาธรงพระมาลาราบนุ่งแพรดารากรธรงเสื้อ ลูกเธอหลานเธอธรงศิรเพศมวยธรงเสื้อ พระสนมใส่สนองเกล้าสภักสองบ่า สมรรถไชยเรือต้นสรมุกขเรือสมเดจ์พระอรรคมเหสี สมรรถไชยไกรสรมุกขนั้นเปนเรือเสี่ยงทาย ถ้าสมรรถไชยแพ้ไซ้เข้าเหลีอเกลีออี่มศุกขเกษมเปรมประชา ถ้าสมรรถไชยชำนะไซ้จะมียุข"

    ส่วนพระราชโอรสผู้ทรงพระเยาว์ที่ตามมา ในกระบวนเสด็จฯ ทางชลมารคของสมเด็จพระนเรศและสมเด็จพระอัครมเหสีนั้น ข้าพเจ้าเข้าใจว่าพระองค์คงเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระนเรศที่ประสูติแต่ สมเด็จพระอัครมเหสีพระองค์เดียวกันนี้เอง พระองค์จึงควรมีฐานันดรศักดิ์เป็นที่ "สมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า" รัชทายาทผู้มีสิทธิธรรมในราชบัลลังก์ศรีอยุทธยา โดยจะเป็นรองก็แต่สมเด็จเอกาทศรุทรอิศวร (สมเด็จพระเอกาทศรถ ครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๔๘-๕๓) ซึ่งสมเด็จพระนเรศทรงยกย่องให้เกียรติพระอนุชาร่วมพระชนนีผู้นี้ให้มีฐานะ สูงส่งเสมอด้วยพระองค์ ดังพบพระราชพงศาวดารฯ ฉบับความพิสดารเรียกสมเด็จพระนเรศและสมเด็จเอกาทศรุทรอิศวรรวมกันว่า "พระบาทสมเด็จพระพุทธิเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์"

     
  3. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +3,210
    "พระมณีรัตนา"

    พระอัครมเหสีของสมเด็จพระนเรศ

    ในคำให้การขุนหลวงหาวัดของพม่า

    คำ ให้การขุนหลวงหาวัด (พระราชพงศาวดารแปลจากภาษารามัญ) ความจริงเป็นเอกสารฉบับเดียวกับคำให้การชาวกรุงเก่า (พงศาวดารไทยตามฉบับพม่า) ตามต้นฉบับในหอเมืองร่างกุ้งของพม่า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า หลังจากกองทัพพม่าตีพระนครศรีอยุทธยาแตกใน พ.ศ. ๒๓๑๐ พม่าได้จดคำให้การของเชลยศึกที่เจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยศรีอยุทธยา โดยอาศัยล่ามมอญที่รู้ภาษาไทยจดคำให้การเป็นภาษามอญ แล้วค่อยแปลเป็นภาษาพม่าในภายหลัง ซึ่งปัจจุบันได้ข้อยุติแล้วว่าคำให้การชาวกรุงเก่าเป็นเอกสารฉบับเดียวกับ โยธยา ยาสะเวง (พงศาวดารอยุทธยา) ของพม่า ได้เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติสืบต่อ จากสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชพระราชบิดาใน จ.ศ. ๙๕๒ ปีขาลโทศก (พ.ศ. ๒๑๓๓) ความว่า

    "ส่วนพระนเรศวรนั้น ก็เข้าไปกรุงศรีอยุทธยา ก็เสด็จเข้าสู่พระราชฐาน อันอัครมหาเสนาบดีและมหาปุโรหิตทั้งปวง จึงทำการปราบดาภิเษกแล้วเชื้อเชิญขึ้นให้เสวยราชสมบัติ จึงถวายอาณาจักรเวนพิภพแล้วจึงถวายเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ทั้ง ๕ และเครื่องมหาพิไชยสงครามทั้ง ๕ ทั้งเครื่องราชูปโภคทั้งปวงอันครบครัน แล้วจึงถวายพระนามใส่ในพระสุพรรณบัตรสมญา แล้วฝ่ายในกรมจึงถวายพระมเหษีพระนามชื่อพระมณีรัตนา แล้วถวายพระสนมกำนัลทั้งสิ้น แล้วครอบครองราชสมบัติเมื่อจุลศักราช ๙๕๒ ปีขาลโทศก อันพระเอกาทศรถนั้นก็เปนที่มหาอุปราช"

    เมื่อคราวที่ สมเด็จพระนเรศเสด็จขึ้นครองราชสมบัติในกรุงพระนครศรีอยุทธยาใน พ.ศ. ๒๑๓๓ กรมฝ่ายในได้ทูลเกล้าฯ ถวาย "พระมณีรัตนา" ขึ้นเป็นพระอัครมเหสี พร้อมด้วยพระสนมอีกจำนวนหนึ่ง ตามทรรศนะของข้าพเจ้าเข้าใจว่า พระนางคงเป็นเจ้าหญิงที่สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ละโว้สายสุพรรณภูมิของ สมเด็จพระบรมมหาจักรพรรดิวรราชาธิราช (ครองราชย์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๑๐๖ และครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๑๑๐-๑๒) และสมเด็จพระมหินทราธิราช (ครองราชย์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๑๐๖-๑๐ และครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๑๑๒) โดยอาศัยการเทียบเคียงจากพระนามของ "พระรัตนมณีเนตร" เจ้านายฝ่ายในสมัยสมเด็จพระบรมมหาจักรพรรดิวรราชาธิราชที่มีพระนามคล้ายคลึง กัน

    คำให้การขุนหลวงหาวัดเล่าถึงเรื่องราวของพระรัตนมณีเนตรว่า

    "ครั้น ต่อมาพระเจ้าล้านช้างได้ทรงทราบว่า พระเจ้ากรุงศรีอยุทธยามีช้างเผือกถึง ๗ ช้าง จึงทรงจัดพระราชธิดามีนามว่ารัตนมณีเนตร กับเครื่องบรรณาการให้ทูตจำทูลพระราชสาสน์เจรีญทางพระราชไมตรีเข้ามายังกรุง ศรีอยุทธยา มีใจความในพระราชสาสน์ทูลขอช้างเผือกด้วย พระมหาจักรวรรดิ์ก็พระราชทานช้างเผือกพังให้ กิตติศัพท์อันนั้นทราบไปถึงพระเจ้าหงษาวดีๆ ก็ทรงพระพิโรธ ตรัสว่า พระเจ้ากรุงศรีอยุทธยาไม่อยู่ในยุติธรรม ไปผูกไมตรีกับพระเจ้าล้านช้าง ให้ช้างเผือกพังไปกับพระเจ้าล้านช้าง เมื่อทำสัตย์สาบานกับเรานั้นว่านอกจากเราแล้วจะไม่ให้แก่ใครเลย ตรัสแล้วก็ให้พวกพลทหารไปคอยซุ่มสกัดทาง คอยแย่งชิงช้าง ซึ่งพระมหาจักรวรรดิ์พระราชทานไปแก่พวกล้านช้าง เมื่อทูตเมืองล้านช้างนำช้างไปถึงที่พวกหงษาวดีซุ่มอยู่ พวกหงษาวดีก็ออกสกัดฆ่าฟันพวกล้านช้างแย่งชิงเอาช้างเผือกพังไปได้ นำไปถวายพระเจ้าหงษาวดี..."

    เรื่องที่พระเจ้าล้านช้างถวาย "พระรัตนมณีเนตร" พระราชธิดาแด่พระมหาจักรวรรดิ์พระเจ้าแผ่นดินศรีอยุทธยา เพื่อแลกเปลี่ยนกับช้างเผือกนั้น แท้ที่จริงมีเค้าโครงเรื่องมาจากเหตุการณ์ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมมหาจักรพร รดิวรราชาธิราช สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชกษัตริย์ศรีสัตนาคนหุตทูลขอ "พระเทพกษัตรเจ้า" (พระราชพงศาวดารฯ ฉบับความพิสดารเรียก "พระเทพกษัตรีย์") พระราชธิดาในที่ประสูติแต่ "พระสุริโยทัย" พระอัครมเหสีที่สิ้นพระชนม์กับคอช้างแทนพระราชสวามีในศึกหงสาวดี จ.ศ. ๙๑๐ วอกศก (พ.ศ. ๒๐๙๑) ซึ่งเป็นตระกูลวงศ์กตัญญูอันประเสริฐ สำหรับเป็นที่พระอัครมเหสี (เอกอัครราชกัลยาณี) ของพระองค์เมื่อ จ.ศ. ๙๒๕ กุนศก (พ.ศ. ๒๑๐๖)

    แต่ขณะนั้น "พระเทพกษัตรเจ้า" ประชวรอย่างหนัก สมเด็จพระบรมมหาจักรพรรดิวรราชาธิราช จึงทรงตัดสินพระทัยส่ง "พระแก้วฟ้า" พระราชธิดาที่ประสูติแต่พระสนมไปแทน แต่เมื่อทางสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชทรงทราบว่าเจ้าหญิงศรีอโยทธยาที่ส่งไปมิ ใช่ "พระเทพกษัตรเจ้า" จึงแต่งทูตนำ "พระแก้วฟ้า" มาส่งคืนยังราชสำนักศรีอโยทธยาใน จ.ศ. ๙๒๖ ชวดศก (พ.ศ. ๒๑๐๗) แล้วขอพระราชทาน "พระเทพกษัตรเจ้า" อีกครั้งตามที่พระองค์ได้ทรงตั้งพระทัยไว้แต่แรก พระราชพงศาวดารฯ ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์เล่าว่า

    "ศักราช ๙๒๕ กุนศก...ในปีเดียวนั้น พระเจ้าล้านชางให้พระราชสาส์นมาถวายว่าจะขอสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระเทพกระษัต รเจ้า แลทรงพระกรุณาพระราชทานแก่พระเจ้าหล้านช้าง แลครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระเทพกระษัตรเจ้าทรงพระประชวร จึงพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระแก้วฟาพระราชบุตรีให้แก่พระ (เจ้า) หลานชาง

    "ศักราช ๙๒๖ ชวดศก พระเจ้าล้านช้างจึงให้เชิญสมเด็จพระแก้วฟ้าพระราชบุตรีลงมาส่งยังพระนครษรี อยุทธยา แลว่าจะขอสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระเทพกระษัตรเจ้านั้น แลจึงพระราชทานสมเด็จพระเทพกระษัตรเจ้าไปแก่พระเจ้าล้านช้าง ครั้งนั้นพระเจ้าหงษารู้เนื้อความทั้งปวงนั้น จึงแต่งทัพมาซุ่มอยู่กลางทาง แลออกชิงเอาสมเด็จพระเทพกระษัตรเจ้าได้ ไปถวายแก่พระเจ้าหงษา..."

    เชลย ศึกศรีอยุทธยาเมื่อครั้งเสียกรุงใน พ.ศ. ๒๓๑๐ เริ่มลืมเลือนเรื่องที่สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชกษัตริย์ศรีสัตนาคนหุต (พระเจ้าล้านช้าง) ส่งทูตมาทูลขอ "พระเทพกษัตรเจ้า" จากสมเด็จพระบรมมหาจักรพรรดิวรราชาธิราชไปเสียบ้างแล้วในบางส่วน จึงเล่าผิดเพี้ยนปนเปกันไปว่า สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชทรงเป็นผู้ส่งพระราชธิดามาถวายแด่สมเด็จพระบรมมหา จักรพรรดิวรราชาธิราช ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่า "พระรัตนมณีเนตร" เป็นพระนามที่แปลงมาจากพระนามของ "พระแก้วฟ้า" อย่างแน่นอน

    การที่ "พระมณีรัตนา" มีพระนามคล้ายคลึงกับ "พระรัตนมณีเนตร" (พระแก้วฟ้า) นั้น อาจมีนัยยะสำคัญบางประการที่บ่งบอกว่า พระนางเป็นเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ที่สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์เก่าของสมเด็จพระ มหาจักรพรรดิราชาธิราชและสมเด็จพระมหินทราธิราช มากกว่าที่จะเป็นเจ้านายฝ่ายเหนือจากราชวงศ์สุโขทัย (พระร่วง) ด้วยกันกับสมเด็จพระนเรศ

    การที่สมเด็จพระนเรศทรงอภิเษกสมรสกับพระ มณีรัตนาเจ้าหญิงจากราชวงศ์ละโว้สายสุพรรณภูมิ อาจมีส่วนในการสร้างเสริมสิทธิธรรมในราชบัลลังก์ศรีอยุทธยา ซึ่งพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเพิ่งทรงสถาปนาขึ้นใหม่ภายหลังจากที่พิชิตกรุง พระนครศรีอโยทธยาได้สำเร็จใน พ.ศ. ๒๑๑๒ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการจรรโลงสถาบันกษัตริย์ภายใต้การปกครองของ ราชวงศ์สุโขทัย (พระร่วง) จากหัวเมืองฝ่ายเหนือให้หยั่งรากมั่นคง

    ด้วย ความที่ "พระมณีรัตนา" และ "พระรัตนมณีเนตร" มีพระนามคล้ายคลึงกันอย่างมากจนแทบแยกกันไม่ออก ข้าพเจ้าจึงสงสัยว่า "พระมณีรัตนา" อาจเป็นบุคคลเดียวกับ "พระรัตนมณีเนตร" คือ "พระแก้วฟ้า" พระขนิษฐาต่างพระมารดาของ "พระวิสุทธิกษัตรีย์" (มีพระนามเดิมว่า "พระสวัสดิราช") พระนางจึงมีศักดิ์เป็นพระมาตุจฉาของสมเด็จพระนเรศ และพระนางอาจกินตำแหน่งสมเด็จพระอัครมเหสีอีกทางหนึ่งด้วยก็เป็นได้? เพราะไม่พบหลักฐานยืนยันว่า "พระแก้วฟ้า" ถูกพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองนำตัวไปยังราชสำนักหงสาวดีเมื่อคราวเสียกรุงใน พ.ศ. ๒๑๑๒



    "โยธยามี้พระญา"

    พระมเหสีอยุทธยาของสมเด็จพระนเรศ

    ในพงศาวดารพม่า

    เมื่อ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๐๙๔-๒๑๒๔) ทรงพิชิตเมืองเชียงใหม่ได้ใน พ.ศ. ๒๑๐๑ พระองค์ทรงปล่อยให้เจ้านายเชียงใหม่ยังคงปกครองบ้านเมืองอยู่ตามเดิม จนกระทั่งพระนางวิสุทธิเทวีเจ้าสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. ๒๑๒๑ การสืบทอดสันตติวงศ์ในเมืองเชียงใหม่เกิดขาดช่วง พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองจึงโปรดให้ "อนรธาเมงสอ" พระราชโอรสเสด็จไปเสวยราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่แทน ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่เรียกพระองค์ว่า "ฟ้าสาวัตถีนรธามังคอย"

    พระ เจ้าเชียงใหม่อนรธาเมงสอ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๒๑-๕๐) เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองที่ประสูติแต่ "ราชเทวี" พระมเหสี ซึ่งมีนามเดิมว่า "สิ่นทวยละ" เป็นพระธิดาของจตุคามณิแห่งดีแปยิน พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองโปรดให้พระเจ้าเชียงใหม่อนรธาเมงสออภิเษกสมรสกับ "เซงพยูเชงเมดอ" (แปลว่ามารดาเจ้าช้างเผือก) พระธิดาของพระเจ้าแปรตะโดธรรมราชาพระอนุชาของพระองค์

    พระเจ้าเชียงใหม่อนรธาเมงสอมีพระราชโอรสธิดาด้วยมารดาเจ้าช้างเผือกทั้งสิ้น ๓ พระองค์ด้วยกัน

    ๑. "เมงตุลอง" (พระราชพงศาวดารฯ ฉบับความพิสดารเรียกพระองค์ว่า พระทุลอง) หลังจากพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองทรงสวรรคตใน พ.ศ. ๒๑๒๔ และพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงพระเชษฐาไม่ทรงพระปรีชาสามารถเยี่ยงพระราชบิดา พระเจ้าเชียงใหม่อนรธาเมงสอจึงหันมาสวามิภักดิ์ต่อราชสำนักศรีอยุทธยา เมื่อสมเด็จพระนเรศเสด็จยกทัพขึ้นไปตีเมืองหงสาวดีเป็นครั้งที่ ๒ พระองค์มีพระราชกำหนดให้พระเจ้าเชียงใหม่อนรธาเมงสอยกทัพโดยเสด็จไปในราชการ สงครามด้วย แต่พระองค์ทรงติดขัดเรื่องที่ออกญารามเดโชข้าหลวงศรีอโยทธยาที่ขึ้นไปเป็น เจ้าเมืองเชียงแสนได้เกลี้ยกล่อมผู้คนไว้เป็นกำลังจำนวนมาก ทำให้เจ้าเมืองล้านนาต่างพากันกระด้างกระเดื่องต่อพระองค์จนไม่อาจทิ้งเมือง ไปได้ จึงมีรับสั่งให้เมงตุลองพระราชโอรสคุมทัพเชียงใหม่ไปช่วยราชการสงครามแทน พระองค์ หลังเสร็จศึกหงสาวดีครั้งที่ ๒ เมงตุลองได้เสด็จลงมาประทับอยู่ยังราชสำนักศรีอโยทธยา และพระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับพระธิดาองค์โตของสมเด็จพระนเรศ ครั้น "พระมหาเทวี" พระมารดาของพระองค์สิ้นพระชนม์ พระเจ้าเชียงใหม่อนรธาเมงสอทรงขอพระราชทานเมงตุลองกลับขึ้นไปแต่งการพระราช พิธีถวายพระเพลิงพระศพพระมหาเทวียังเมืองเชียงใหม่ แล้วส่ง "พระไชยธิป" พระอนุชาของเมงตุลองมาเป็นตัวจำนำแทน

    ๒. "พระไชยธิป" พระอนุชาของเมงตุลอง (พระทุลอง) ปรากฏพระนามอยู่ในพระราชพงศาวดารฯ ฉบับความพิสดารของไทย แต่ไม่ปรากฏพระนามในพงศาวดารพม่า สันนิษฐานว่าพระองค์น่าจะเป็นพระอนุชาร่วมอุทรของเมงตุลอง พระองค์ทรงมาประทับยังพระนครศรีอโยทธยาในฐานะตัวจำนำแทนพระเชษฐา

    ๓. "โยธยามี้พระญา" พระราชธิดาองค์โตของพระเจ้าเชียงใหม่อนรธาเมงสอ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวไว้ในคำอธิบายพระราชพงศาวดารฯ ฉบับพระราชหัตถเลขาว่า พระเจ้าเชียงใหม่อนรธาเมงสอทรงถวายพระราชธิดาให้แก่สมเด็จเอกาทศรุทรอีศวรใน คราวเดียวกับที่เปลี่ยนเอาพระไชยธิปมาเป็นตัวประกันแทนเมงตุลอง ภายหลังพระนางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระมเหสีของสมเด็จพระนเรศ พงศาวดารพม่าจึงมักเรียกพระนางว่า โยธยามี้พระญา แปลว่ามเหสีอยุทธยา

    เรื่อง ราวของโยธยามี้พระญา (มเหสีอยุทธยา) พบมีบันทึกอยู่แต่ในพงศาวดารพม่า และน่าเสียดายที่เรื่องราวของพระนางค่อยๆ เลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทยและพม่า ภายหลังจากที่พระนางเสด็จมาประทับอยู่ยังราชสำนักศรีอยุทธยาในฐานะพระมเหสี ของสมเด็จพระนเรศ



    "เจ้าขรัวมเหสีจันทร์"

    พระชายาม่ายของสมเด็จพระนเรศ

    ในจดหมายเหตุฟานฟลีตของฮอลันดา

    จดหมาย เหตุฟานฟลีต (The Historical Account of the War of Succession Following the Death of King Pra Interajasia, 22nd King of Ayuthian Dynasty) เยเรเมียส ฟาน ฟลีต (Jeremias van Vliet) หัวหน้าสถานีการค้าบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาประจำพระนครศรีอยุทธยา เรียบเรียงขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๖๐๔ (นับอย่างไทยโบราณอยู่ในห้วง พ.ศ. ๒๑๘๒) ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๗๒-๙๙) ได้กล่าวถึงพระชายาม่ายของสมเด็จพระนเรศ (พระองค์ดำ) ไว้ในเหตุการณ์เมื่อครั้งพระอินทราชา (พระเจ้าทรงธรรมครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๕๔-๗๑) กริ้วพระหมื่นศรีสรรักษ์ (พระเจ้าปราสาททอง) และน้องชาย (สมเด็จพระศรีสุธรรมราชาธิราชครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๙๙) ที่ไปทำร้ายพระยาแรกนาขวัญ

    "ขณะนั้นออกญากลาโหมเพิ่งมียศเป็นพระ หมื่นศรีสรรักษ์ และมีอายุประมาณ ๑๘ ปี วันหนึ่งเมื่อมีการทำพิธีนี้เขาได้อยู่ที่ชนบทนั้นด้วย โดยมากับน้องชายซึ่งบัดนี้เป็นฝ่ายหน้าหรือมหาอุปราช ทั้ง ๒ คนขี่ช้างมีบ่าวไพร่ติดตามมาหลายคน และได้โจมตีพระยาแรกนาอย่างดุเดือด ดูเหมือนว่ามีเจตนาจะฆ่าพระยาแรกนาและกลุ่มผู้ติดตามทั้งหมดด้วย ฝ่ายองครักษ์เห็นดังนั้นก็เข้าต่อสู้ป้องกันพระเจ้าแผ่นดินปลอม ต่อต้านสองขุนนางหนุ่ม และขว้างก้อนหินไปถูกน้องชายได้รับบาดเจ็บ พระหมื่นศรีสรรักษ์ก็ถอดดาบและโถมเข้าสู้อย่างดุเดือด จนพระยาแรกนาและองครักษ์จำต้องถอยหนี พระยาแรกนากลับมายังพระราชวังและนำความกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวถึง เหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นโดยพระหมื่นศรีสรรักษ์เป็นผู้ก่อ

    "พระ เจ้าอยู่หัวกริ้วเป็นกำลังถึงเรื่องความชั่วร้ายที่ได้เกิดขึ้น พระองค์รับสั่งให้ค้นหาตัวพระหมื่นศรีสรรักษ์ และให้นำมายังพระราชวัง แต่คนชั่วผู้นี้รู้ตัวดีว่ามีผู้ติดตามจับ จึงซ่อนตัวอยู่ในโบสถ์กับบรรดาพระสงฆ์ และไม่กล้าเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินในขณะที่ทรงพิโรธหนัก เมื่อพระเจ้าแผ่นดินไม่อาจลงโทษให้สมกับพระอารมณ์ขุ่นเคืองได้ ออกญาศรีธรรมาธิราชจำต้องได้รับผลการกระทำนี้ พระองค์รับสั่งว่าจะประหารชีวิตเขาถ้าหากไม่นำตัวบุตรชายมาเฝ้า พระหมื่นศรีสรรักษ์เมื่อทราบข่าว จึงออกจากที่หลบซ่อนมาเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว และทูลขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ถูกมหาดเล็กจับตัวไว้ พระเจ้าแผ่นดินทรงฟันเขา ๓ ทีที่ขาทั้ง ๒ ข้าง จากหัวเข่าลงมาถึงข้อเท้า แล้วพระองค์จับเขาโยนเข้าไปในคุกใต้ดิน รับสั่งให้พันธนาการไว้ด้วยโซ่ตรวนที่ส่วนทั้ง ๕ ของร่างกาย พระหมื่นศรีสรรักษ์ถูกจำขังอยู่ในคุกมืดเป็นเวลา ๕ เดือน จนกระทั่งเจ้าขรัวมณีจันทร์ (Zian Croa Mady Tjan) ชายาม่ายของพระเจ้าอยู่หัวในพระโกศ คือพระ Marit หรือพระองค์ดำ ได้ทูลขอ จึงได้กลับเป็นที่โปรดปรานอีก"

    จดหมายเหตุฟานฟลีตในฉบับแปลภาษา อังกฤษและฝรั่งเศสเรียกพระนามพระชายาม่ายของสมเด็จพระนเรศ (พระมะริด) ว่า "เจ้าขรัวมณีจันทร์" (Zian Croa Mady Tjan) พึงสังเกตว่าพระนามนี้ดูคล้ายคลึงกับ "พระมณีรัตนา" พระอัครมเหสีที่ปรากฏอยู่ในคำให้การขุนหลวงหาวัด จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นบุคคลเดียวกัน

    แต่เมื่อสอบย้อนกลับไป ยังต้นฉบับภาษาฮอลันดาโบราณพบว่า เยเรเมียส ฟาน ฟลีต จดพระนามพระชายาม่ายในสมเด็จพระนเรศว่า "Tjau Croa Mahadijtjan" แตกต่างจากฉบับแปลภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสอย่างเห็นได้ชัด ข้าพเจ้าเห็นควรแปลถ่ายพระนามของพระนางเป็นภาษาไทยว่า "เจ้าขรัวมเหสีจันทร์" มากกว่า "เจ้าขรัวมณีจันทร์" ตามฉบับแปลภาษาไทย

    ด้วย เหตุนี้เจ้าขรัวมเหสีจันทร์จึงน่าจะเป็นพระมเหสีในสมเด็จพระนเรศคนละพระองค์ กับ "พระมณีรัตนา" ในคำให้การขุนหลวงหาวัด เยเรเมียส ฟาน ฟลีต กล่าวถึงเจ้าขรัวมเหสีจันทร์แค่เพียงครั้งเดียว โดยมิได้กล่าวถึงภูมิหลังความเป็นมาของพระนาง

    แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่า เจ้าขรัวมเหสีจันทร์ผู้นี้ต้องมีความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งกับพระหมื่น ศรีสรรักษ์ (พระเจ้าปราสาททอง) อย่างแน่นอน เพราะมิเช่นนั้นพระนางผู้เป็นเจ้านายฝ่ายในชั้นผู้ใหญ่คนสำคัญคงไม่กล้าออก หน้าให้การช่วยเหลือพระหมื่นศรีสรรักษ์ผู้กระทำความผิดอุกฉกรรจ์ให้พ้นโทษ อย่างแน่นอน ซึ่งข้อสงสัยนี้ต้องสอบค้นหาความจริงกันต่อไป



    "พระเอกกษัตรีย์"

    พระมเหสีเชลยศักดิ์ของสมเด็จพระนเรศ

    ในพงศาวดารละแวกของเขมร

    พงศาวดาร ละแวก ฉบับแปล จ.ศ. ๑๑๗๐ พระองค์แก้วเจ้านายเขมรได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งโปรดให้ขุนสาราบรรจงปลัดกรมอาลักษณ์พระราชวังบวรฯ แปลเป็นภาษาไทยใน จ.ศ. ๑๑๗๐ (พ.ศ. ๒๓๕๑) กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศยกทัพไปตีเมืองละแวกได้สำเร็จใน จ.ศ. ๙๕๖ ปีมะเมียฉศก (พ.ศ. ๒๑๓๗) สมเด็จพระราชโองการ พระบรมราชารามาธิราชธิบดี (นักพระสัตถา) กษัตริย์กัมพูชาหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่เมืองศรีสันธร ส่วนพระศรีสุริโยพรรณพระอนุชาผู้ดำรงตำแหน่งพระมหาอุปโยราชออกถวายบังคมยอม แพ้ สมเด็จพระนเรศจึงนำตัวพระศรีสุริโยพรรณและพระราชวงศ์เขมรกลับมาเป็น "เชลยศักดิ์" ยังพระนครศรีอยุทธยา ภายหลังสมเด็จพระนเรศโปรดให้แต่งตั้ง "พระเอกกษัตรีย์" พระราชธิดาในพระศรีสุริโยพรรณเป็นพระมเหสีใน จ.ศ. ๙๕๗ ปีมะแมสัปตศก (พ.ศ. ๒๑๓๘)

    "ครั้น ณ ปีมะเมียฉศก (พ.ศ. ๒๑๓๗) สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า พระองค์ได้สมบัติในเมืองละแวก สมดุจหนึ่งพระทัยปรารถนาแล้ว พระองค์ก็เลิกกองทัพกลับมาศรีอยุทธยา แล้วพระองค์ให้นำมาซึ่งพระศรีสุริโยพรรณกับพระมเหสี พระราชบุตร พระราชธิดา และพระศรีไชยเชษฐ พรรคพวกพระศรีสุริโยพรรณเข้ามาอยู่เมืองกรุงศรีอยุทธยาด้วย ให้ตั้งบ้านอยู่นอกกำแพงกรุง และเมื่อพระนเรศเป็นเจ้านำเอาซึ่งพระศรีสุริโยพรรณนั้นมา พระชันษาพระศรีสุริโยพรรณนั้นได้ ๓๘ ปี แล้วจึงสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้านำเอาพระราชธิดาพระศรีสุริโยพรรณพระองค์ หนึ่งทรงพระนามว่า พระเอกษัตรี เป็นพระมเหสีพระนเรศวรเป็นเจ้า ในปีมะแมสัปตศก (พ.ศ. ๒๑๓๘)"

    แต่เอกสารฝ่ายไทยอย่างพระราช พงศาวดารฯ ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ซึ่งให้ข้อมูลที่แม่นยำกว่ากล่าวว่า เหตุการณ์เมื่อคราวเสียเมืองละแวกให้แก่กองทัพสมเด็จพระนเรศนั้นเกิดขึ้นใน จ.ศ. ๙๕๕ มะเส็งศก (พ.ศ. ๒๑๓๖) ปีศักราชเร็วกว่าพงศาวดารละแวก ๑ ปี

    "ศักราช ๙๕๕ มะเส็งศก... ณ วัน ๖ฯ๑๐๒ ค่ำ เวลารุ่งแล้ว ๓ นาฬิกา ๖ บาท เสด็จพยุหบาตราไปเอาเมืองละแวก แลตั้งทัพชัยตำบลบางขวด เสด็จไปครั้งนั้นได้ตัวพญาศรีสุพรรในวัน ๑ฯ๑๔ ค่ำนั้น"

    ด้วยเหตุ นี้เหตุการณ์เมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศโปรดให้แต่งตั้ง "พระเอกกษัตรีย์" ขึ้นเป็นที่พระมเหสี ในพงศาวดารละแวก เมื่อ จ.ศ. ๙๕๗ ปีมะแมสัปตศก (พ.ศ. ๒๑๓๘) ควรปรับปีศักราชให้เร็วกว่าตามไปด้วย ๑ ปี การสถาปนา "พระเอกกษัตรีย์" เป็นพระมเหสีควรเกิดขึ้นใน จ.ศ. ๙๕๖ ปีวอกฉศก (พ.ศ. ๒๑๓๗)

    หลังจากสมเด็จพระนเรศพิชิตเมืองละแวกได้ใน พ.ศ. ๒๑๓๖ อาณาจักรกัมพูชาก็ขาดเสถียรภาพ เกิดการแย่งชิงราชสมบัติภายในกลุ่มเจ้านายเขมรจนถึงขั้นเป็นจลาจล ส่งผลให้เมืองละแวกว่างกษัตริย์ลง ในที่สุด สมเด็จพระเทวีกษัตรีย์และขุนนางเขมรได้แต่งพระราชสาสน์เข้ามากราบบังคมทูล สมเด็จพระนเรศ เพื่อขอพระราชทานพระศรีสุริโยพรรณ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๔๔-๖๑) กลับไปครองราชสมบัติเมืองละแวก พระราชพงศาวดารฯ ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) เล่าว่า

    "ลุศักราช ๙๕๒ ปีขาลโทศก ในเมืองละแวกไซร้ เมื่อพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธิเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ยกทัพหลวงเสด็จไปปราบราชศัตรูในเมืองละแวก แลเทเอาครัวอพยพทั้งปวงเสด็จมายังกรุงพระนครแล้ว อยู่ภายหลังมาจึงลูกพญาละแวกซึ่งหนีไปอยู่เมืองล้านช้างนั้นก็คืนมายังเมือง ละแวก ประมูลไพร่พลทั้งปวง ได้เป็นพญาละแวกแล้วแต่งดอกไม้เงินทองเครื่องบรรณาการมาถวายทุกปีมิได้ขาด ครั้นพญาละแวกนั้นพิราลัยไซร้ หาผู้จะปกครองแผ่นดินเมืองละแวกนั้นมิได้ จึงสมณะพราหมณาจารย์แลมุขมนตรีทั้งปวงแต่งดอกไม้เงินทอง แลเครื่องบรรณาการมาถวายบังคมพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธิเจ้าอยู่หัวทั้ง สองพระองค์ ขอพระสุพรรมาธิราชผู้น้องพญาละแวกก่อนนั้นไปครองแผ่นดินเมืองละแวก

    "พระ บาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธิเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ก็ทรงพระกรุณาพระราชทาน เครื่องราชาบริโภคสำหรับพระมหากษัตริย์ ให้เอาพระศรีสุพรรมาธิราชไปเป็นพญาละแวก แลตรัสให้พญาสวรรคโลก พญาพันธารา แลพลทหารสามพันเอาพระศรีสุพรรมาธิราชไปส่งถึงเมืองละแวก โดยทางเรือปีขาลโทศกนั้น"

    แม้พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยาจะระบุ ถึงเหตุผลที่สมเด็จพระนเรศทรงตัดสินพระทัยส่งพระศรีสุริโยพรรณศัตรูเก่ากลับ ไปครองราชย์เป็นกษัตริย์กัมพูชา แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่า "พระเอกกษัตรีย์" พระมเหสีเชลยศักดิ์ ผู้นี้น่าจะคงมีส่วนในการเพ็ดทูลโน้มน้าวพระทัยให้สมเด็จพระนเรศตัดสิน พระทัยส่งพระบิดาของพระนางไปเสวยราชสมบัติยังเมืองละแวก นอกจากนี้พระนางอาจเข้าไปมีบทบาทในการดำเนินนโยบายการเมืองระหว่างประเทศของ ราชสำนักศรีอยุทธยาและกัมพูชาไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว



    "หลังบ้าน" สมเด็จพระนเรศ

    ตาม ทรรศนะของข้าพเจ้า หากคำให้การขุนหลวงหาวัดยังพอมีข้อเท็จจริงตกตะกอนนอนก้นอยู่บ้าง สมเด็จพระอัครมเหสีในสมเด็จพระนเรศที่ปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุสเปนคงเป็น พระองค์เดียวกับ "พระมณีรัตนา" โดยสมเด็จพระนเรศมีพระราชโอรสที่ประสูติแต่พระนางด้วย ๑ พระองค์ และพงศาวดารพม่ายังให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า สมเด็จพระนเรศทรงมีพระราชธิดาอีก ๑ พระองค์ พระนางได้อภิเษกสมรสกับเมงตุลอง (พระทุลอง) พระราชโอรสของพระเจ้าเชียงใหม่อนรธาเมงสอ แสดงว่าสมเด็จพระนเรศมีพระราชโอรสธิดาเท่าที่สอบค้นได้อย่างน้อย ๒ พระองค์

    "โยธยามี้พระญา" (มเหสีอยุทธยา) เจ้าหญิงพม่าผู้เป็นพระราชธิดาพระเจ้าเชียงใหม่อนรธาเมงสอ พระนางทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระนเรศด้วยเหตุผลทางการเมืองเป็นสำคัญ

    "เจ้า ขรัวมเหสีจันทร์" ในจดหมายเหตุฟานฟลีตนั้น พระองค์ทรงดำรงพระชนมชีพมาจนถึงรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม และพระนางคงมีบทบาทสำคัญในราชสำนักฝ่ายในมิใช่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งเข้าใจว่าเป็นคนละพระองค์กับ "พระมณีรัตนา" พระอัครมเหสี

    ทาง ด้าน "พระเอกกษัตรีย์" พระมเหสีเชลยศักดิ์ในพงศาวดารละแวกนั้นไม่เป็นปัญหาให้ต้องขบคิด เพราะเอกสารเขมรระบุชัดว่า พระนางเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระศรีสุริโยพรรณกษัตริย์เมืองละแวก

    แม้ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยาจะมุ่งเน้นแต่จดบันทึกพระราชกรณียกิจของ กษัตริย์ จนมองข้ามบทบาทสำคัญทางประวัติศาสตร์ของ "หลังบ้าน" พระมเหสีคู่พระบารมีทั้ง ๔ พระองค์ของสมเด็จพระนเรศ แต่เรื่องราวของพระนางกลับมิได้เลือนหายไปตามกาลเวลา โดยมีเอกสารต่างชาติต่างภาษาเป็นเครื่องยืนยันถึงความมีตัวตนอยู่จริงใน ประวัติศาสตร์ศรีอยุทธยาที่ถูกบดบังจากเมฆหมอกแห่งความไม่รู้มาเนิ่นนานหลาย ศตวรรษ


    หน้า 146
    ที่มา:
    http://www.matichon.co.th/art/art.php?srctag=0601010150&srcday=2007/01/01&search=
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2010
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,900
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เมื่อสักครู่ได้ข่าวจากวัดวรเชษฐ์ โดยรับทราบข่าวจากหลวงพี่วัลลภ

    ท่านได้บอกว่าทหารได้กันพื้นที่เนินดินที่เคยเป็นสถานที่ตั้ง

    พระกฤษฏาธารถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไว้

    เพื่อให้ทหารมาฝึกซ้อมยิงโดยเอาเนินดินเป็นเป้าซ้อมยิง

    ทำอย่างนี้เป็นการไม่สมควรต่อพระมหากษัตริย์ผู้มีบุญคุณอย่างใหญ่หลวงต่อคนไทยทั้งปวง

    เอาใจช่วยให้วัดวรเชษฐ์ ผ่านสถานการณ์นี้ไปให้ได้ค่ะ
     
  5. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466




    ถ้าข่าวนี้ยืนยันอยากจะขอเรียนเสนอแนะทางวัดหรือฆราวาสที่เกี่ยวข้องควรจะ

    เป็นผู้ดำเนินการป้องกันหรือปกป้อง พูดง่ายๆก็คีอการต่อสู้บนความถูกต้องและ

    ชอบธรรม ตามแนวทางดังต่อไปนี้

    1.ร้องเรียนไปยังกองทัพบก โดยเรียน ท่านผู้บัญชาการทหารบก(ผ่าน

    เสนาธิการทหารบก)

    2.ร้องเรียนไปยังคณะกรรมาธิการรัฐสภา คณะฯที่เป็นเจ้าของเรื่องกรณีวัด

    วรเชษฐ หรือคณะฯที่เกี่ยวกับศาสนา

    3.ร้องเรียนไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

    4.ร้องเรียนไปที่ ท่านกร ทัพพะรังสี เว็บไซต์ www.korn.in.th

    5.ร้องเรียนไปที่นายกรัฐมนตรีผ่านเว็บไซต์ 1111

    6.ข้อสุดท้าย กรุณาติดต่อหลังไมค์


    ปล.ข้อสำคัญที่ต้องเป็นทางวัด เพราะวัดคือเจ้าของ เปรียบเหมือนเจ้าของ

    บ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของผู้อื่น ที่จะมาก่อความเดือด

    ร้อนรำคาญและอาจเป็นเหตูให้เกิดอันตรายจากกระสุนปืนจนถึงกับบาดเจ็บหรือ

    เสียชีวิตได้

    หมายเหตุ ในการดำเนินการร้องเรียนทั้ง 6 ข้อนั้น ควรดำเนินการไปพร้อมกันนะครับ


     
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,900
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ตอนนี้หลวงพี่วัลลภ นั่งอยู่ใต้ต้นไทร ปากทางเดินเข้าไปเนินดิน

    พระบรมรูปสมเด็จฯและพระบรมรูปต่างๆ ตอนนี้เก็บอยู่ที่กุฏิหลวงพ่อ

    ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ ทหารนำไปเก็บไว้ที่อาคารใกล้ๆ บริเวณนั้นค่ะ
     
  7. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,900
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 width="96%" align=center bgColor=#455272 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=150 bgColor=#ced3e1>สมเกียรติ
    Anonymous


    </TD><TD vAlign=top bgColor=#dee3e4><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center>คำตอบที่ 030 - เขียนเมื่อ 18 กันยายน 2552 15.58 น.</TD><TD vAlign=center align=right>[​IMG] [​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE><HR width="100%" color=#666666 SIZE=1><TABLE style="BORDER-RIGHT: #999999 1px solid; BORDER-TOP: #999999 1px solid; BORDER-LEFT: #999999 1px solid; BORDER-BOTTOM: #999999 1px solid" cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center bgColor=#fafafa border=0><TBODY><TR><TD>ข่าว วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๒ เวลา ๘.๓o น. ข้าพเจ้า สมเกียรติ กาญจนชาติ ได้เดินทางนำสำเนาเอกสาร การตรวจสอบกรณี วัดวรเชษฐ์ นอกเกาะ โดยฝากเอกไว้ เนื่องจากท่านเจ้าคณะจังหวัดมีกิจนิมนต์ใน กรุงเทพ หลังจากนั้นได้เดินทางไป วัดวรเชษฐ์ นอกเกาะ ได้พบกับ ป้ายประกาศ ของทหารจังหวัดทหารบกสระบุรี ประกาศว่าจะมีการซ้อมยิงปืน โดยใช้กระสุนจริง เป็นที่ประจักแจ้งแล้วว่าทางหารที่รับผิดชอบไม่ได้ให้ความสำคัญ ของสถานที่เนินดิน ที่ คณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา ได้ประสานเรื่องนี้กับหน่วยงานทางทหารอยู่ จึงขอประกาศแจ้งมา ให้ ประชาชน พ่อ แม่ พี่ น้อง ผู้รักในประวัติศาสตร์ของชาติทั่งหลาย ไปชมการซ้อมยิงปืนได้ ในวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๒ ในวันนั้นขอเชิญ สื่อมวลชนที่รักใน คุณธรรมจริยธรรม ไปร่วมทำข่าวด้วยครับ (พม่า เขมร คงชอบใจมาก)


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    </TD></TR></TBODY></TABLE><HR width="100%" color=#666666 SIZE=1><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center></TD><TD vAlign=center align=right>Back to Top</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>



    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 width="96%" align=center bgColor=#455272 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=150 bgColor=#ced3e1>สมเกียรติ
    Anonymous


    </TD><TD vAlign=top bgColor=#dee3e4><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center>คำตอบที่ 031 - เขียนเมื่อ 18 กันยายน 2552 16.00 น.</TD><TD vAlign=center align=right>[​IMG] [​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE><HR width="100%" color=#666666 SIZE=1><TABLE style="BORDER-RIGHT: #999999 1px solid; BORDER-TOP: #999999 1px solid; BORDER-LEFT: #999999 1px solid; BORDER-BOTTOM: #999999 1px solid" cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center bgColor=#fafafa border=0><TBODY><TR><TD>๒.

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    </TD></TR></TBODY></TABLE><HR width="100%" color=#666666 SIZE=1><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center></TD><TD vAlign=center align=right>Back to Top</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    เรื่องนี้คณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา อยู่ในระหว่างประสานเรื่องนี้กับหน่วยงานทางทหารอยู่ ผลสรุปยังไม่ออกมา แต่ทหารดำเนินการ

    อ้างอิงข้อมูลเดิมของคุณสมเกียรติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2010
  8. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,900
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เมื่อสักครู่ได้โทรคุยกับท่านพลตรี พิจิตร แล้วท่านให้รณรงค์เรื่องการเผยแพร่เรื่องราวของวัดวรเชษฐ์ออกไปให้มากที่สุด

    นั่นเป็นวิธีดำเนินการที่ดีที่สุด สำหรับกรณีนี้
     
  9. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,900
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ท่านพลตรีพิจิตร แนะนำว่าให้เผยแพร่ด้วยข้อมูล หลักฐานที่มีอยู่

    วัดป่าแก้ว แห่งกรุงศรีอยุธยา คือที่ใด

    วัดที่จัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนเรศวรมหาราชคือที่ใด

    รณรงค์ให้คนรู้ให้มากที่สุดค่ะ

    ท่านเตือนมาด้วยค่ะว่า ท่านใดนำเรื่องราวของพระองค์ท่านไปทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวมักจะเกิดวิบัติกับคนผู้นั้นค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2010
  10. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,900
    ค่าพลัง:
    +6,434
    หลวงพี่วัลลภท่านบอกญาติโยมไว้ว่าไม่ต้องเป็นห่วง

    ให้สวดมนต์ ทำบุญ กันไปตามปกติ

    ทุกอย่างจะลงตัวด้วยธรรมะจัดสรร
     
  11. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,900
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]


    เมื่อวานขออนุญาตพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรอยู่ที่บ้านเพื่อน ขอถ่ายรูปท่าน

    พอจับกล้องไปที่องค์ท่าน สร้อยอุกามณีที่อยู่บนองค์ท่านเห็นเป็นแสงไฟกระพริบต่อเนื่องเหมือนไฟสีสรรที่ใช้ประดับเลยเห็นกันทั้งสองคน

    โอ้ แปลกใจมากในสิ่งที่ได้เห็น แล้วก็กดชัตเตอร์ ได้รูปนี้มา และสามารถกดได้เพียงรูปเดียว กล้องก็ไม่ทำงานอีกเลย

    พอออกจากห้องพระเพื่อน กล้องก็กลับมาทำงานปกติค่ะ

    เมื่อเช้าหลวงพี่พระมหาฤทธิชัย กัลยาโณท่านเดินทางมาถึงสระกระโจมแล้วเมื่อเช้านี้

    ท่านได้นำพระบรมรูปมาอีก 5 องค์ เดิมทางสายธาตุและเพื่อนเช่าไว้อีก 3 องค์

    เมื่อวานคุยกับพี่พิจิตรจึงคิดว่าจะเช่าไปถวายหลวงพ่อสิงห์ทนอีกองค์ค่ะ

    เดี๋ยวต้องหาทางไปพบหลวงพี่พระมหาฤทธิชัยเพื่อรับองค์พระบรมรูปในวันนี้

    สงสัยจะไปถึงสุพรรณค่ำแน่ๆเลย จากนนทบุรีไปสุพรรณบุรี ทางสายธาตุจะไปกับเพื่อนวันนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    เพิ่มเติมจากท่านจงรักฯนะครับ สังเกตุจากป้ายในภาพจะเห็นว่าเป็นการซ้อมของนักศึกษาวิชาทหารซึ่งก็น่าจะเป็นพวกเด็กที่เรียน ร.ด.(รักษาดินแดน) นะครับ
    ถ้าอย่างไรก็ลองร้องเรียนไปที่กรมร.ด.(กรมการรักษาดินแดน)ดูสิครับ ไอ้พวกไม่รู้ที่ต่ำที่สูงนี่สมควรตายครับ
     
  13. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    เห็นด้วยครับ เรื่องราวขององค์สมเด็จพ่อพระนเรศเป็นเจ้าท่านเป็นส่วนหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์ชาติไทยครับ ใครเอาไปหากินส่วนตัวละก็ขอให้มันผู้นั้นจงดับอนาถ
     
  14. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +3,210
    [​IMG]

    นำภาพ กฤษดาอภินิหาร ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในพิธีบวงสรวง และถวายพระแสง

    ณ. วัดเชียงแสน อ. สารภี จ.เชียงใหม่ มาให้ชมค่ะ

    ขอพระบารมีแผ่ไพศาล ปกป้องคุ้มครองแผ่นดินไทยให้ร่มเย็น

    แม้นไม่มีใคร วิญญาณกู จักสู้เอง
     
  15. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +3,210
    [​IMG]

    ดวงธรรม ขณะพิธี เทวาภิเษก

    พระบรมรูป สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ.วัดโลกโมฬี จ.เชียงใหม่

    ปัจจุบัน พระบรมรูปนี้ อัญเชิญมาประดิษฐาน ที่ กองพันพัฒนาที่ 3 อ.แม่ริม
     
  16. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    สาธุ น่าอัศจรรย์นัก ขออนุโมทนาขอรับ
     
  17. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    -อนุโมทนากับคุณไก่เหลืองหางขาว และพี่โม ด้วยนะครับ

    -ฟอร์ทได้อ่านพบเรื่องดีๆในเวบพลังจิตนี้ เห็นว่าน่าจะเป็นความรู้หรือข้อมูล

    ที่สมควรนำมาเผยแพร่กันต่อ ส่วนจะคิดกันอย่างไรต่อไปนั้นโปรดใช้

    วิจารณญาณตามอัธยาสัยนะขอรับ




    <TABLE class=tborder id=post2338964 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] 12-08-2009, 02:58 PM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Lukhgai<!-- google_ad_section_end --> [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2338964", true); </SCRIPT>
    ผู้ร่วมสนับสนุนบริจาค

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Nov 2008
    สถานที่: ความมีปัญญา ย่อมรู้ได้จากการสนทนา
    ข้อความ: 2,822
    Groans: 7
    Groaned at 23 Times in 17 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 5,017
    ได้รับอนุโมทนา 16,517 ครั้ง ใน 1,934 โพส
    พลังการให้คะแนน: 479 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2338964 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->การรับขันธ์อันตรายถึงชีวิต<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>


    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"></INS></INS>
    rabbit_eatingมีผู้คนจำนวนมากถูกทักว่ามาองค์ เป็นช่องทางทำมาหากินของพวก มิจฉาชีพ อาสัยช่องทางของเรื่องลี้ลับมาหลอกลวงต้มตุ๋น แท้จริงแล้วมนุษย์เราเกิดมามีองค์เทพปกปักษ์รักษา อย่างน้อย 2 องค์ (อยู่ห่างจากเราเพียง 3 ศอก) ตำหนักทรง ร่างทรงต่างๆ หลอกให้ไปรับขันธ์ ล้วนแล้วแต่เป็นผี หรือสัมภเวสีทั้งสิ้น

    rabbit_eating

    เนื่องจากผีเหล่านี้ร่อนเร่พเนจร ไม่มีสังขาร จึงมาอาศัยร่างมนุษย์เกาะกินบุญ ทำบุญไปเท่าไหร่สัมภเวสีพวกนี้เอาไปหมด ทำบุญมาก แต่ชีวิตก็ไม่ดีขึ้น มันจะดีได้อย่างไรในเมื่อท่านไปรับ "ผีเข้าตัว" บางขันธ์มีเป็นสิบวิญญาณ ขึ้นอยู่กับสำนักไหน สำนักที่เป็นเสือสมิง บรรดาที่ถูกหลอกรับขันธ์มาก็เป็นวิญาณเสือสมิงเข้าตัวทั้งนั้น ที่ผ่านมาปราบไปเป็นจำนวนมาก

    rabbit_eating

    ร่างทรงต่างๆ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผี เข้าใจว่าเป็นเทพเจ้า อ้างตนเป็นเทพองค์ใหญ่ๆ เพราะถ้าบอกว่าเป็นผีนายมั่ง นางมี.. ก็คงไม่มีใครไปเชื่อถือ เลยอ้างตนเป็นพระแม่อุมาบ้าง ,เสด็จพ่อ ร.5 บ้าง (ท่านไม่มาดูหมอดูดวง หรือมายุ่งกับเรื่องผัวเมีย ทำนายทายทักอะไรเพระท่านไม่มีหน้าที่ เพราะเทพที่มีหน้าที่เค้ามีอยู่),บ้างก็อ้างเป็นกรมหลวงชุมพรบ้าง พระเจ้าตาก ก็วนเวียนกันอยู่แค่นี้ เพราะกษัตริย์ไทยดังๆ อยู่ไม่กี่องค์ หากินง่าย ยิ่งเป็น ร.5 มากที่สุดเพราะคนนับถือ เยอะ ..


    rabbit_eating

    ในข้อเท็จจริงแล้ว ใครทรงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านแจ้งความเรียกตำรวจจับได้เลย ..หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กฏหมายเค้ามีอยู่ บางคนก็ทรง ร8..!!

    rabbit_eating

    ผู้ที่รับขันธ์มา ส่วนใหญ่แล้วชีวิตอัปปาง วิบัติ ลมสลายเกือบทุกรายไป ที่ยังไม่ออกเหตุก็เพราะบุญยังเยอะ สุดท้ายจบลงด้วย โรคมะเร็ง เบาหวาน อัมพฤกา อัมพาต หรืออุบัติเหตุ แทบทั้งสิ้น รวมถึงเจ้าของตำหนักคนทรงก็ตามมักจะจบชีวิตด้วยเหตุนี้ โดนกัดกินอวัยวะภายในเจ็บป่วยในบั้นปลายชีวิต...บ้างก็ล้มตายด้วยอุบัติเหตุ..ไปเลย



    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ปัญญา เปรียบเสมือนเครื่องประดับแห่งตน<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>ขอบคุณคุณ Lukhgai ครับ <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR vAlign=bottom><TD></TD><TD width="100%">
    PaLungJit.com > พลังจิต > เรื่องผี - ผี - คลิปผี </TD></TR><TR><TD class=navbar style="FONT-SIZE: 10pt; PADDING-TOP: 1px" colSpan=3>[​IMG] การรับขันธ์อันตรายถึงชีวิต

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2010
  18. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    -อนุโมทนากับคุณฟอร์ท ช่วงนี้ดูจะเงียบไปนะครับ โพสต์ที่นำมาวาง

    ให้ความรู้ดีมากนะครับ เข้าไปอ่านในกระทู้ก็ได้พบว่าข้าพเจ้าเองก็ได้

    เคยเข้าไปรวมวงอยู่ด้วย เท่าที่ได้เคยพบเห็นมีกันอยู่มากมายหลาย

    สำนักทีเดียว ใครจะโชคดีหรือโชคร้ายนอกจะเกี่ยวกับวิบากกรรมแล้ว

    ยังเป็นเรื่องของการมีและใช้สติกับปัญญาด้วยนะครับ

    -เพื่อให้ไปกันได้กับเนื้อหาสาระของคุณฟอร์ท ขอนำบทความของคุณ

    เปลว สีเงิน บางตอนมาฝากกันครับ ชื่อหัวเรื่องก็กินใจ ท้ายเรื่องก็ธรรมะ

    ของสมเด็จโต ไว้เตือนตาเตือนใจ กันครับ....


    ยามไกล-ฝากของ "จากใจ" เยี่ยมถึง


    <!-- main-content-block --><!-- 23 กุมภาพันธ์ 2553 - 00:00 -->
    23 กุมภาพันธ์ 2553 - 00:0




    .............

    กินข้าว-กินปลา สามารถล้างคาวได้ แต่เวรกรรมนั้น ล้างไม่ได้ แต่คลี่จากร้ายให้คลายพอรับด้วย "กรรมดี" ได้ ส่วนจะได้มาก-ได้น้อยแค่ไหน ก็สุดแต่วาสนาว่าจะมีเพื่อใช้เวลาที่เหลือนี้ "สร้างกรรมดี" เพื่อคลาย หรือ "สร้างกรรมร้าย" เพื่อขันชะเนาะสู่ทางตาย-ไร้ทางออก!

    เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า

    เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน

    เจ้ามามือเปล่า เจ้าจะ เอาอะไร

    เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา

    เขาเล่าขานสืบๆ กันมาว่าเป็นคติธรรมของ "สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ผมไม่ยืนยัน คติธรรมยาวกว่านี้ แต่เอาเท่านี้เถอะ ผมซาบซึ้งด้วยเห็นจริง มีติดไว้บนหิ้งพระที่บ้าน ..........



    ๐๐๐ ขอขอบคุณ คุณเปลว สีเงิน หนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์ ครับ
     
  19. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +3,210
    อนุโมทนา กับน้องฟอร์ทด้วยจ้า

    ห่างไปนานเหมือนกันนะจ๊ะน้อง


    อนุโมทนา กับทุกท่านค่ะ

    พี่จงรักภักดี น้องไก่เหลืองหางขาว น้องฟอร์ท และคุณพี่ทางสายธาตุ
     
  20. ลูกพ่อขุน

    ลูกพ่อขุน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +10
    (โอ้โห...ผู้เฉียวชาญยุทธ ตำราพงศาวดาร) แล้วในหนังสือพงศาวดารได้กล่าวถึงอำเภอสบเมยหม้ายอยากรู้จัง เง่าในรูปเหมือนมาก ขออนุโมทนากับ ด.ญ.สุวันดี ด้วยในบุญที่กำลังสร้าง ใคร่ทำบุญทำกรรมอะไรกับใคร่ไว้ก็มักจะกลับมาเจออย่างนั้น ที่ขอให้แต่งเพลงหม้ายใช่อะไรนิ มีเรื่องเล่าว่าเผ่าพันธ์พญานากมักจะค่อยรับใช้ศาสนาค่อยตายเกิดมารับใช้ผู้ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าสักองค์ ที่นี้มีเรื่องอยู่ว่าที่ทิศบูรพามีที่เกิบสมบัตของพระศรีอริยเมตไตรยอยู่มากมายเต็มไปด้วยของศักสิทธิ์ ที่มีเรื่องเล่านี้เพราะมีเครื่องบินหายไปในเขาใหญ่เมื่อสองปีที่แล้ว พอได้ฟังเพลงได้ยินเสียงประกอบดนตีพื้นบ้านน่าฟังดี ก็เท่านั้น ที่เชียงใหม่ก็มีถ้ำเชียงดาวใช้หม้ายที่มีพญานากที่หลวงปู่มันเคยอยู่ ก็น่าลองดูนะ อถิฐานดูหม้าย การอถิฐานต้องมีเสียงน่ะถ้าอถิฐานในใจทานคงหม้ายได้ยิน แล้วทำสมาธิ จะรู้ศึกว่าทานกำลังออกมาดูเปล่า แล้วจะมีนิมิตรให้แต่งเพลงได้หม้าย(จงเชื่อเราเคยทำบุญทำกรรมอะไรมักจะกับมาเจอและเกียวข้องด้วย) ถ้าหม้ายนั้นก็หม้ายเป็นไรที ก่อนฤดูฝนเรื่องต้องปรากฏ หม้ายน่าเก็นสองเดือนนี้ (ถ้าทำได้จะหม้ายเสียเปล่า)ถ้าทำได้ก็ต้องเก็บรักษาไว้ได้ เราทำอะไรไว้ก็มักจะกลับมาเกี่ยวข้องกะสิ่งนัน ที่หาเครื่องบินหม้ายเจอเพราะมีที่หนึ่งที่เครื่องบิน บินเข้าไปไกล้หม้ายได้ทีและหม้ายมีใคร่เข้าไปได้แม้นแต่พรานป่าในพื้นที่และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทั้งหมอดูทรงเจ้าทุกตำหนักทั้งในและนอกต่างก็พูดไปคนละที่สุดถ้ายก็หม้ายเจอทีแล้วมีคำถาม เจ้าของใคร่พูดจริงรู้จริง น่าสงสารก็แต่พ่อแม่นักบินที่ยังตามหาอยู่ ถ้าเป็นผมพ่อแม่ผมจะตามหาอย่างนี้หม้าย ทุกที่ที่ว่าเจ้าทรงดีทานไปมาหมดไม่ว่าจะที่เป็นข่าวว่าดูแม่นรู้จริง ทั้งหม้ายเป็นข่าวเขาไปมาหมดนิ น่าอิจฉานักบินสองคนนั้นน่ะที่มีพ่อแม่อย่างนี้ (ให้คุณโมเยจงสัตธาว่าคนเขาเคยยทำอะไรไว้ก็จะกับมาเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นในเรื่องนั้นสิ่งนั้น)จะได้รู้สักที่ว่าสิ่งต่างที่เกิดขึ้นกับเราในต้อนนี้ทำหม้ายถึงเกิดขึ้นถึงเกี่ยวข้องถึงเจออย่างนี้ หม้ายเฉาะคุณโมเย ทุกคนขอให้คิดดู (ท่านเห็นบุญที่ ด.ญ.สุวันดี กำลังสร้างหม้าย)ท่านว่าเหมือนใคร่ เหมือนพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์เคยสร้างหม้าย แต่จะมองให้เป็นให้เหมือนเลยก็หม้ายได้ที (คงอี่กนานกว่าจะพูดคุยบอกเล่ากานใหม่)ถือว่าผ่านมาก็ผ่านไป ก่อนฤดูฝนเจอกานใหม่ คุณโมเยคุณไปถ้ำเชียงดาวแล้วพญานากออกมาจริงคุณจะกลัวหม้ายแล้วคุณจะขออะไรแล้ววถ้าคุณกลัวแล้วถ้าคุณเคยเป็นละคุณยังกลัวอยู่หม้าย 5555555555555=+ หม้ายใช้ว่าใคร่อยากเป็นแล้วยกขันก็จะได้เป็น จะเป็นชาติเดี่ยวแล้วมาต้องขออี่กเกิดตายเกี่ยวข้องกับสิงนั้นไปตลอด เจอเทวดาก็เคยทำบุญเกี่ยวข้องกับเทวดา 5555555555555555555555
     

แชร์หน้านี้

Loading...