ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พี่ใหญ่ และ ผม ขอเชิญชวนทุกๆท่าน ไปร่วมลงนามถวายพระพร หรือ การตั้งสัจจะต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าจะทำความดี(ในเรื่องที่ตนเองประสงค์ที่จะทำเพื่อถวายบุญต่อองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) กัน

    ร่วมลงชื่อถวายพระพร

    ขอเชิญชวนทุกๆท่านร่วมลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (เป็นลิงค์)

     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ไม่มีสิ่งใดจะกล่าว และไม่รู้จะหาเหตุผลใดที่จะไม่อนุโมทนาและสาธุบุญต่อท่านทั้งหลายข้างต้นที่ได้บริจาคเพื่อช่วยเหลือสงฆ์อาพาธให้แก่โรงพยาบาลที่มีการรักษาสงฆ์อาพาธทั้ง 9 แห่งนี้ได้ คงจะมีแต่คำว่าขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณ เท่านั้น และก็ขอสัญญาว่าจะนำปัจจัยที่ได้รับการบริจาคจากท่านทั้งหลายที่หามาได้ด้วยความยากลำบากนี้ ใช้ไปเพื่อการรักษาสงฆ์อาพาธตามปณิธาณของทุนนิธิฯ ทุกบาท ทุกสตางค์อย่างมิให้ตกหล่นครับ ขออนุโมทนากับทุกท่านอีกครั้ง... นิพานะ ปัจจะโย โหตุ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2009
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สืบหาพระเครื่องดีประจำค่ำคืนศุกร์นี้ เป็นพระกริ่งครับ เห็นองค์ผู้เสกแต่ละองค์แล้วต้องบอกได้เลยว่า อู้ว...ลองดูกันดีกว่าครับ บอกใบ้ให้อีกที ตอนนี้ราคาพระกริ่งชุดนี้ราคาอย่างมากไม่เกินพันห้าเองครับ

    พระดี พิธีใหญ่ ราคาไม่แพง " พระกริ่งมหาราช 2512


    พระกริ่งมหาราช เป็นพระกริ่งที่ทางวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
    ในมหามงคลวโรกาสที่ทรงได้รับการเทิดทูนอย่างสูง สุดจากปวงชนชาวไทยที่ได้ถวาย พระราชสมัญญานามต่อท้ายพระปรมาภิไธยว่า "มหาราช" พระพิธีใหญ่มาก ชื่อเป็นมงคล "มหาราช" เพื่อเทิดพระเกียรติรัชกาลที่9มหาราช

    พระกริ่งมหาราช สร้างโดยสมเด็จพระสังฆราช (ป๋า) สร้างขึ้นเมื่อปี 2512 สมัยดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระวันรัต พุทธ ศิลป์ เป็นพระกริ่งขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ถอดแบบมาจากพระบูชาเชียงแสนสิงห์หนึ่ง มีพระเกจิอาจารย์สมัยนั้นร่วมปลุกเสกมากถึง 108 คณาจารย์ ปลุกเสก 3 วัน 3 คืน รายนามพระเกจิอาจารย์ร่วมปลุกเสก อาทิเช่น สมเด็จป๋า หลวงปู่โต๊ะ หลวงพ่อมุ่ย หลวงพ่อเงิน หลวงปู่ทิม ฯลฯ

    รุ่น นี้นายช่างเกษม มงคลเจริญ เป็นนายช่างผู้แกะพิมพ์ ซึ่งท่านฝากผลงานในรูปแบบพระเครื่อง “ขนาดเล็ก” เช่น “พระกริ่ง-พระชัยวัฒน์” ไว้มากมายโดยในรอบระยะเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2510-2535 และที่รู้จักกันดีก็คือ “พระกริ่งอาจารย์ไสว” รุ่นต่าง ๆ และรุ่นที่พระอาจารย์ไสวเป็นเจ้าพิธีทำการผสมเนื้อโลหะและเททองเองเช่น “พระกริ่งจอมสุรินทร์ปี 2513, พระกริ่งมหาราชวัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์ท่าเตียน) ปี 2512, พระกริ่งนเรศวรเมืองงายปี พ.ศ. 2512, พระกริ่งศรีนคร, พระกริ่ง จปร.วัดราชบพิธปี 2513, พระกริ่งอวโลกิเตศวร หลวงพ่อเกษม เขมโกปี 2518, พระกริ่งนางพญา, พระกริ่งธรรมราชา, พระกริ่งตากสิน, พระกริ่งลพบุรี, หลวงพ่อแพวัดพิกุลทอง, พระกริ่งเอกาทศรถ ฯลฯ” ก็ได้อาศัยฝีมือนายช่างเกษมมาทำการ “ออกแบบและแกะแม่พิมพ์” พร้อมควบคุมการผลิต ซึ่งพระแต่ละรุ่นที่ผ่านมือช่างเกษม ล้วนแต่งดงามและสุดยอดทั้งนั้น

    พระกริ่งมหาราชนี้ ผู้ซึ่งผสมเนื้อโลหะและเป็นเจ้าพิธีในการสร้างพระกริ่งมหาราช คือ พระอาจารย์ไสว สุมโน

    พระกริ่งมหาราช ได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกเมื่อวันที่ 3-4 ธันวาคม พ.ศ.2512 ณ พระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม โดย สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณณสิริมหาเถร) เมื่อครั้งยังทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ "สมเด็จพระวันรัต" ทรงจุดเทียนชัยและประทับนั่งปรกเป็นประธานในพิธี ร่วมกับพระเกจิอาจารย์ 107 รูป ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดเกจิอาจารย์แห่งยุค โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลวงปู่ทิม วัดช้างให้ ที่รับนิมนต์มาปลุกเสก ทว่าท่านทราบล่วงหน้าว่าจะละสังขารจึงได้มอบแผ่นจารอักขระไว้เพื่อหลอมเป็น ชนวนโลหะในการสร้างพระกริ่งมหาราชนี้ด้วย ซึ่งจากรายนามพระเกจิอาจารย์ที่ร่วมปลุกเสก ที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก ประกอบด้วย

    1.พระครูพิศิษฐอรรถการ (พ่อท่านคล้าย) วัดสวนขัน นครศรีธรรมราช
    2.หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา นครปฐม
    3.พระอาจารย์ฝั้น วัดป่าอุดมสมพร สกลนคร
    4.พระญาณวิลาส (แดง) วัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี
    5.พระอาจารย์นำ แก้วจันทร์ วัดดอนศาลา พัทลุง
    6.หลวงพ่อแต้ม วัดพระลอย สุพรรณบุรี
    7..หลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ลำปาง
    8.หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ สุพรรณบุรี
    9.หลวง พ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม นครปฐม
    10.พระราชธรรมาภรณ์ (เงิน) วัดดอนยายหอม นครปฐม
    11.พระเทพสาครบุรี (แก้ว) วัดช่องลม สมุทรสาคร
    12พระครูสังวรสุตาภิวัฒน์ (สาย) วัดหนองสองห้อง สมุทรสาคร
    13.พระครูสุตาธิการี (ทองอยู่) วัดใหม่หนองพะอง สมุทรสาคร
    14.พระครูภาวนานุโยค (หอม) วัดชานหมาก ระยอง
    15.หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว สุพรรณบุรี
    16.พระครูโกวิทสมุทรคุณ (เนื่อง) วัดจุฬามณี สมุทรสงคราม
    17.พระ อาจารย์เทียม วัดหนองจิก พระนครศรีอยุธยา
    18.พระครูปลัดพรหม (พรหม) วัดขนอนเหนือ พระนครศรีอยุธยา
    19.พระครูประสาธน์ขันธคุณ (มุม) วัดปราสาทเยอร์ ศรีสะเกษ
    20.พระครูปัญญาโชติวัฒน์ (เจริญ) วัดทองนพคุณ เพชรบุรี ฯลฯ

    ภาย หลังเสร็จพิธีพุทธาภิเษก ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามแล้ว คณะกรรมการจัดสร้างได้อัญเชิญพระกริ่งมหาราชทั้งหมด
    ไปถวายท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส อธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวเป็นกรณีพิเศษที่พระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาส
    ทำให้พระกริ่งมหาราชได้รับการประกอบพิธีโดยพระคณาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณจำนวน 108 รูป อันเป็นเลขมงคลตามคติความเชื่อของ
    ไทยอันสืบเนื่องมาแต่โบราณกาล


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    ขอขอบคุณเนื้อเรื่องและรูปภาพจาก
    udon 108.com
     
  4. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ใกล้ปีใหม่เข้าไปทุกวัน ท่านใดมีกำหนดการไปไหว้พระทำบุญที่จังหวัดอยุธยา อย่าลืมไปที่วัดประดู่ทรงธรรมด้วย ได้ทั้งชมวัดเก่าแก่ที่เป็นตักศิลาด้านวิชาของชาวกรุงเก่า ได้กราบหลวงปู่เยี่ยมทำบุญกับพระสงฆ์ปฏิบัติดีที่กำลังอาพาธ และถ้าไปถึงกุฏิหลวงปู่จะเห็นพระองค์ใหญ่ที่ยังสร้างไม่เสร็จ นำปัจจัยร่วมสร้างพระกับคุณยายชีที่ดูแลหลวงปู่อยู่ได้อีกด้วย ท่านใดไปกราบหลวงปู่แล้วอย่าลืมพระหรือลูกแก้วที่หลวงปู่เยี่ยมอธิษฐานจิตไว้อย่างดี ผู้มีจิตดีสัมผัสแล้วบอกว่า เยี่ยม สมชื่อหลวงปู่จริงๆนะครับ
    [​IMG]

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SNC00158.jpg
      SNC00158.jpg
      ขนาดไฟล์:
      158.3 KB
      เปิดดู:
      1,550
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    [​IMG]

    ภาพหลวงปู่เมื่อปีที่แล้วก่อนอาพาธ


    ก็ต้องเป็นอย่างที่คุณโสระบอกตามข้างบนครับ ลูกแก้วท่านไม่ธรรมดาจริงๆ สัมผัสลูกแก้วที่ผ่านการเสกจากท่านครั้งแรกนั่งมองหน้ากันแล้วร้องเอ๊ะ...ทำไมจิตท่านแรงยังงี้ พอพิจารณาจากรูปจึงรู้ว่า ท่านตั้งใจเพ่งพลังเป็นอย่างมาก
    มิน่าเล่า กระแสจิตที่ประจุในลูกแก้วท่านเลยแรงและแข็งแกร่งนับว่าสุดยอดมาก และเหมาะแก่การมีไว้คุ้มครองและบูชาติดตัวโดยแท้ ใครผ่านไปทางอยุธยา ไปกราบท่าน ไปทำบุญช่วยค่ารักษาอาการอาพาธให้ท่าน และช่วยบริจาีคสร้างพระที่ท่านยังทำค้างอยู่ นับว่าไม่เสียหลายในโอกาสแห่งการทำบุญวันเฉลิมฯ นี้เลยจริงๆ ได้ช่วยทั้งพระอริยสงฆ์ที่อาพาธ ได้ช่วยกันสร้างพระพุทธรูป คงไม่ต้องบอกถึงอานิสงส์บุญเช่นกัน (คุณโสระบอกว่า พระแก้วมรกตของท่านก็ไม่เบานา ส่วนผมได้เป็นพิมพ์พระพุทธชินราชมาก็ต้องว่าเอาได้เหมือนกัน)


    ภาพจากหลวงปู่ทั้งหมดนำมาจาก

    �š�ä����ٻ�Ҿ�� Google ����Ѻhttp://www.212cafe.com/freewebboard/user_board/praonline2/picture/0000_0.jpg


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2009
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พลังเตโชกสิณ

    [​IMG]

    สำหรับพลังทางจิตหรือฤทธิ์ทางจิตในหลักพระพุทธศาสนานั้นได้กล่าวถึงที่มาว่า โดยการใช้การทำสมาธิด้วยวิธีการเพ่งเตโชกสินหรือกสินไฟ ซึ่งเป็น 10 วิธีในการฝึกกรรมฐาน 40 วิธี ซึ่งพลังของการเพ่งกสิน และอานาปานัสสติ (อยู่ในอนุสสติ 10) มีอำนาจส่งผลให้ผู้บำเพ็ญได้ถึงรูปฌานที่ 4 หรือจตุตฌาน (ปฏิภาคนิมิต) จัดเป็นฌานสูงสุด ซึ่งเป็นฤทธิ์ทางจิตเหนือสามัญชน

    “ก้องจักรวาล” จับเข่าคุยกับอาจารย์ชูเดช ชื่นชม ประธานศูนย์ปฏิบัติธรรมพ่อปู่ฤาษีตาไฟ อยู่ที่เลขที่ 10/15 ถ.อุทยาน(อักษะ) หน้าพุทธมณฑล แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ ซึ่งศิษยานุศิษย์เรียกท่านว่า “ปู่” ท่านเล่าว่า ปู่จะเน้นการฝึกกรรมฐานโดยนำการใช้เตโชกสินหรือเพ่งไฟเป็นหลัก

    ปู่ชูเดชกล่าวอีกว่า พลังเตโชกสินมีอำนาจลึกลับ คนโบราณเชื่อว่าวิธีโยคะของโยคีจะช่วยให้จิตมีฤทธิ์สำเร็จตามประสงค์ ซึ่งคนธรรมดาเข้าใจไม่ได้ ใช้สมาธิคุมการหายใจหรือลมปราณ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่เก่าแก่ และมีการใช้กันอีกหลายลัทธิ วิธีการฝึกของโยคีในยุคพุทธกาล การฝึกลมปราณก็คือการฝึกอาณาปนสติ 16 ชั้น แรกเป็นสมถะล้วนๆ แต่ต่อมามีการพัฒนาควบคู่กับวิปัสสนา ดังนั้นวิธีฝึกลมปราณจึงมาก่อนพุทธกาล ซึ่งอาจเรียกได้ว่าโยคีกับโยคะเป็นของคู่กัน
    หากพูดถึงโยคีคนในสมัยนี้คิดว่าเป็นลัทธิอย่างหนึ่งนอกพุทธศาสนา นี่เป็นเรื่องของภาษาเป็นกลาง ซึ่งใช้กับทุกลัทธิที่มีการกระทำทางจิต


    จริงๆ แล้วกสินเป็นกรรมฐานใน 40 อย่าง แต่ปู่ถนัดในด้านกสินไฟ (เตโชกสิน) ปู่ก็เพ่งไฟไปตามที่ครูบาอาจารย์ได้ถ่ายทอดชี้แนะกันมา เพราะเมื่อจิตเป็นสมาธิขึ้นขณะหนึ่งจะมีพลังมีอำนาจลึกลับ บางคนมีจิตหยั่งรู้เหตุรู้การณ์ล่วงหน้าระดับหนึ่ง คนที่มีเหตุมีเคราะห์ พอเห็นหน้าจะบอกเหตุล่วงหน้าให้ทราบได้ก็หาทางแก้ไข


    เพราะฉะนั้นคนที่ถูกกระทำ ถ้าใช้คาถาอาคมหรือใช้สมาธิธรรมดา มันก็แก้ไขได้ระดับหนึ่งแต่ไม่หมดไม่หายขาด แต่ถ้าเกจิก็ดีฆราวาสก็ดี หากได้เพ่งกสินด้วย ก็เป็นการใช้พลังคาถาอาคมกับพลังจิตที่เกิดจากเพ่งกสิน จะช่วยคนที่ถูกคุณไสย ถูกลมเพลมพัด ไปเหยียบของ เมื่อถึงพลังของอาคมกับกสินก็จะช่วยได้หายขาดได้ โดยใช้พลังจิตเพ่งลงในน้ำมนต์ เป็นสื่อขับฤทธิ์มนต์ดำก็จะช่วยได้เป็นผลยิ่งขึ้น

    ทุกวันนี้บอกโลกเจริญ จริงๆ แล้ว แต่ปู่บอกว่าไม่ได้เจริญเพียงแต่ไฟฟ้าสว่างเฉยๆ หากตราบใดมนุษย์ในปฐพีทั่วโลกไม่มาค้นจิต ก็ไม่พบความจริง เพราะบางเรื่องเป็นอำนาจลึกลับซับซ้อน ทุกคนมีอำนาจจิตลึกๆ แต่เราจะสามารถนำมาใช้ได้หรือไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง หากมีผู้รู้ก็สามารถนำออกมาใช้ได้ เมื่อผ่านการฝึกกรรมฐาน คำว่าอิทธิฤทธิ์นั้น ฤทธิ์ก็มาจากจิต เพราะเมื่อฝึกจิตก็อาจได้อำนาจฌานญาน ก็สามารถใช้ศาสตร์ที่เราเรียนเราฝึกมาช่วยคนได้ เหมือนพระโพธิธรรม “ท่านตักม้อ” ท่านก็หันหน้าเข้าค้นหาสัจธรรม แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องค้นหาจิต

    หากจิตบวกสมถะบวกกสิน เราต้องเพ่งต้องมองให้จิตรวมเป็นหนึ่งจึงนำพลังมาช่วยเพื่อนมนุษย์ได้ สำหรับการเพ่งกสินไฟแรกๆ จริงอยู่จะร้อน แต่พอจิตมีพลังสมาธิเข้มแข็งจะมีแต่ความเยือกเย็น

    ปู่ได้ไปสงเคราะห์ชาวมาเลเซียและสิงคโปร์ มีผู้หญิงมาเลย์คนหนึ่ง อยู่ๆ เกิดเห็นดวงไฟลอยขึ้นบนบ้าน พอรุ่งเช้าท้องก็โตขึ้นอย่างน่ากลัว ไปพบหมอได้ตรวจแล้วว่าไม่ได้ตั้งครรภ์แต่ประการใด หมอก็จะหาวิธีรักษาแต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายถึง 4 แสนเหรียญ ทนมา 4 เดือนแล้ว ตกลงจะผ่าตัดทั้งๆ ที่หมอตรวจแล้วไม่สามารถระบุโรคได้ แต่ก่อนที่จะไปผ่าตัด มีคนแนะนำให้มาหาปู่ที่ศูนย์สำนักที่ปู่เปิดที่รัฐปีนัง ปู่ก็รักษาพร้อมอาบน้ำมนต์ให้ 3 วันก็อาเจียนออกมาท้องยุบไม่ต้องไปผ่าตัด ทั้งนี้เกิดจากถูกกระทำด้วยคุณไสย หมอก็งงว่ารักษาให้หายได้อย่างไรโดยไม่ต้องผ่าตัด

    มีอีกคนหนึ่งเดินไม่ได้มา 8 เดือน หมอพยายามหาสาเหตุและรักษาก็ยังไม่หาย วันหนึ่งมีคนพามาหาปู่ ปู่ก็ปัดเป่าและรดน้ำมนต์ให้ 3 วันก็สามารถใช้ไม้เท้าพยุงตนเองเดินกลับไปบ้านได้ เพราะฉะนั้นการถูกของเป็นเรื่องอำนาจจิตลึกลับซับซ้อน.. ที่สิงค์โปร์ มีผู้หญิงคนหนึ่ง เพื่อนๆ เรียกขวานฟ้าหน้าดำ เพราะโดนกระทำด้วยคุณไสยมา 9 ปีแล้วรักษาไปทั่วไม่หาย ปู่ก็รักษาเขาดิ้นทุรนทุรายแล้วอาเจียนออกมาอย่างหนัก มารดน้ำมนต์อีก 3-4 ครั้งก็หายหน้าผ่องใสไม่ดำคล้ำเหมือนที่ผ่านมา ที่มาเลเซียและสิงคโปร์เขาเชื่อเรื่องคุณไสยมากพอสมควร ปู่ชูเดชกล่าว

    ทั้งนี้ อาจารย์ชูเดช ชื่นชม นับเป็นนักเสียสละที่ “ก้องจักรวาล” ไปสัมผัสแล้วว่า ท่านยินดีต้อนรับทุกรูปทุกนาม มาฝึกค้นคว้าทางจิต หรือช่วยผู้คนไม่ได้ตั้งอยู่บนความโลภ แต่มีความปรารถนาดีที่จะช่วยคนที่ทุกข์กายทุกข์ใจ ติดต่อได้ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมปู่ฤาษีตาไฟ ถ.อุทยาน (สาย 4หน้าพุทธมณฑ) สอบถามได้ที่ โทร.083-315-6949, 084-7274399


    http://www.ryt9.com/s/bmnd/662982
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    ให้พ่อ...จากทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถมอาจสาคร


    ทุกบุปผา มาลัยคือใจราษฎร์ ภักดีบาทองค์บพิตรเป็นนิจสิน
    พระ คือ บิดาข้าแผ่นดิน ร่วมร้อยรินมาลัยถวายพระพร
    ลุ ๕ ธันวามหาราช "วันพ่อแห่งชาติ" คือองค์อดิศร
    พระเปี่ยมล้นด้วยเมตตาเอื้ออาทร พสกนิกรเป็นสุขทุกคืนวัน

    บทกลอนจากซุบซิบดอทคอม



    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Dx6AoEz-fMg"]YouTube- MV - King of Kings[/ame]



    [​IMG]


    “พ่อ”
    ไม่เพียงแต่จะหมายถึงชายในฐานะผู้ให้กำเนิดแก่ลูก หรือเป็นคำที่ลูกเรียกผู้ให้กำเนิดตนเท่านั้น แต่คำ ๆ นี้ยังรวมถึงภาระความรับผิดชอบที่ผู้ชายคนหนึ่งๆ จะพึงมีในฐานะหัวหน้าหรือผู้นำของครอบครัวอีกด้วย

    วัน พ่อแต่ละปีที่ผ่านไป คุณให้ความสำคัญกับท่านแค่ไหน อย่ามองข้ามความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้นะครับ หาการ์ดให้คุณพ่อหรือบอกรักท่าน เอ็มไทย อยากให้เพื่อนๆ รักคุณพ่อมากขึ้นทุกลมหายใจ

    เป็น สองมือ อุ้มชู เลี้ยงดูลูก เป็นสายใย พันผูก คอยห่วงหา
    เป็นอ้อมกอด อบอุ่น ค้ำจุนมา เป็นสายตา ห่วงใย ใคร่อาทร

    ยามเจ็บไข้ เฝ้าดูแล ด้วยชีวิต ยามพลั้งผิด ท่านอบรม คอยบ่มสอน
    ยามเหนื่อยหน่ายกำลังใจไม่สั่นคลอน ยามใดใด ยังอาทร ไม่เปลี่ยนแปร

    ด้วยความรัก ของพ่อ ที่ยิ่งใหญ่ ด้วยหัวใจ สะอาดใส เป็นแน่แท้
    ด้วยชีวิต เพื่อลูก .. เฝ้าดูแล ด้วยสองมือ ไม่ผันแปร เป็นอื่นใด



    5
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2009
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ครั้งหนึ่งในชีวิต ก่อนตายควรไปกราบนมัสการท่านให้ได้...ปีใหม่นี้ หากไม่รู้จะไปที่ไหนก็ตรงนี้ล่ะ ไปถวายผ้าขาวพับหนึ่ง กับเงินหน่อยหนึ่ง อธิษฐานเอาอย่างหลวงปู่ชอบก็ได้


    [​IMG]

    [​IMG]


    หลวงปู่มั่นเล่าเรื่องพระธาตุพนมให้หลวงพ่อวิริยังค์ ฟัง

    ท่านอาจารย์มั่นฯ ได้เล่าขณะที่ข้าพเจ้าทำหมากถวายท่านเวลากลางวันต่อไ ปอีกว่า พวกเราก็ต้องเดินทางหลังจากออกพรรษาแล้ว รอนแรมตามฝั่งแม่น้ำโขงเรื่อยลงมา ณ ตามฝั่งแม่น้ำโขงนั้นก็มีหมู่บ้านเป็นหย่อม ๆ หลายก๊ก เช่น ภูไท ไทยดำ ลาวโซ่ง ท่านเล่าว่า ภูไทมีศรัทธาดีกว่าทุกก๊กแต่ภูไทนี้การภาวนาจิตใจอ่อน รวมง่าย รักษาไม่ใคร่เป็น ส่วนลาวโซ่งนั้นไม่ใคร่เอาไหนเลย แต่ทุก ๆ ก๊กก็ทำบุญนับถือพุทธทั้งนั้น เขาให้พวกเราได้มีชีวิตอยู่ก็นับว่าดี แต่ขณะนี้ตัวของเราเองก็ยังมองไม่เห็นธรรมของจริง ยังหาที่พึ่งแก่ตนยังไม่ได้ จะไปสอนผู้อื่นก็เห็นจะทำให้ตัวของเราเนิ่นช้า จึงไม่แสดงธรรมอะไร นอกจากเดินทางไป พักไป บำเพ็ญสมณธรรมไป ตามแต่จะได้

    ครั้นแล้วท่านอาจารย์เสาร์ก็พาข้ามแม่น้ำโขงกลับประเ ทศไทย ที่ท่าข้ามตรงกับพระธาตุพนมพอดีท่านเล่าไปเคี้ยวหมากไปอย่างอารมณ์ดีว่า

    ขณะนั้นพระธาตุพนมไม่มีใครเหลียวแลดอก มีแต่เถาวัลย์นานาชนิดปกคลุมจนมิดเหลือแต่ยอด ต้นไม้รกรุงรังไปหมด ทั้ง ๓ ศิษย์อาจารย์ก็พากันพักอยู่ที่นั้น เพื่อบำเพ็ญสมณธรรม ขณะที่ท่านอยู่กันนั้น พอตกเวลากลางคืนประมาณ ๔-๕ ทุ่ม จะปรากฏมีแสงสีเขียววงกลมเท่ากับลูกมะพร้าว และมีรัศมีสว่างเป็นทาง ผุดออกจากยอดพระเจดีย์ แล้วก็ลอยห่างออกไปจนสุดสายตา และเมื่อถึงเวลาก่อนจะแจ้ง ตี ๓-๔ แสงนั้นก็จะลอยกลับเข้ามาจนถึงองค์พระเจดีย์แล้วก็หายวับเข้าองค์พระเจดีย์ไป ทั้ง ๓ องค์ศิษย์อาจารย์ได้เห็นเป็นประจักษ์เช่นนั้นทุกๆ วัน ท่านอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลเถระ จึงพูดว่า “ที่พระเจดีย์นี้ต้องมีพระบรมสาริกธาตุอย่างแน่นอน” ในตอนนี้ผู้เขียนกับ

    พระอาจารย์มั่น ฯ ได้เดินธุดงค์มาพักอยู่ที่วัดอ้อมแก้วมี ๒ องค์เท่านั้น และมีตาปะขาวตามมาด้วยหนึ่งคน ท่านจึงมีโอกาสเล่าเรื่องราวเบื้องหลังให้ข้าพเจ้าฟั ง ซึ่งน่าจะเป็นประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี ผู้เขียนจำได้ว่าเป็นปีที่พระราชทานเพลิงศพพระอาจารย ์เสาร์ กนฺตสีลเถระ คุณนายพวงจากจังหวัดอุบลราชธานี จะตีตั๋วให้ไปทางเครื่องบิน ท่านบอกว่า “เราจะเดินเอา” จึงได้พาผู้เขียนพร้อมด้วยตาปะขาวบ๊อง ๆ คนหนึ่งซึ่งไม่ค่อยจะเต็มเต็งเท่าไรนักไปด้วย เดินไปพักไป แนะนำธรรมะแก่ผู้เขียนไปพลาง จนไปถึงพระธาตุพนม เขตจังหวัดนครพนม แล้วท่านก็พาผู้เขียนพักอยู่ที่นี่และได้ฟังเรื่องรา วของพระธาตุพนม ซึ่งจะได้เล่าสู่กันฟังต่อไปข้างหน้า โดยจะเล่าถึงการสถาปนาพระธาตุพนม ดังนั้นท่านจึงได้ชักชวนญาติโยมทั้งหลายในละแวกนั้น ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน และส่วนมากก็เป็นชาวนา ได้มาช่วยกันถากถางทำความสะอาดรอบบริเวณองค์พระเจดีย ์นั้น ได้พาญาติโยมทำอยู่เช่นนี้ถึง ๓ เดือนเศษๆ จึงค่อยสะอาด เป็นที่เจริญหูเจริญตามาตราบเท่าทุกวันนี้
    เมื่อญาติโยมทำความสะอาดเสร็จแล้ว ท่านอาจารย์ก็พาญาติโยมในละแวกนั้นทำมาฆบูชา ซึ่งขณะนั้น ผู้คนแถวนั้นยังไม่รู้ถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาแต่ อย่างใด ทำให้พวกเขาเหล่านั้นเกิดศรัทธาเลื่อมใสอย่างจริงจัง จนได้ชักชวนกันมารักษาอุโบสถ ฝึกหัดกัมมัฏฐานทำสมาธิกับท่านอาจารย์จนได้ประสบผลตา มสมควร การพักอยู่ในบริเวณของพระธาตุพนมทำให้จิตใจเบิกบานมา ก และทำให้เกิดอนุสรณ์รำลึกถึงพระพุทธเจ้าได้อย่างดียิ่ง

    ท่านอาจารย์มั่นฯ ได้เล่าต่อไปว่าก่อนท่านจะกลับประเทศไทย ท่านเป็นโรคริดสีดวงจมูกประจำตัวมานาน โรคนั้นมักจะกำเริบบ่อย ๆ จึงทำให้ท่านกำหนดเอาเวทนาเป็นอารมณ์ ด้วยอำนาจแห่งความเพียรที่ท่านกำหนดเอาเวทนาเป็นอารม ณ์อย่างมิได้ท้อถอยนั้น วันหนึ่งจิตของท่านได้รวมเป็นอัปปนาสมาธิ ขณะที่จิตถอยออกจากอัปปนาสมาธิแล้ว ได้ปรากฏความรู้ที่น่าอัศจรรย์ขึ้นมาว่า โรคนี้เป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากกรรมในปัจจุบัน เนื่องจากได้กระทำกรรมไว้ และเมื่อได้พิจารณาตามรูปเรื่องจนเห็นสมจริงตามความร ู้นั้นทุกประการแล้ว จิตก็รวมลงเป็นอัปปนาสมาธิอีก คราวนี้ปรากฏว่ามีอีกาตัวหนึ่งมาจับอยู่บนศีรษะ แล้วมันก็เอาจะงอยปากจิกกินจมูกของท่านจนหมดไป ตั้งแต่นั้นมา โรคริดสีดวงจมูกของท่านก็หายเป็นปกติ นี่เป็นการระงับความอาพาธด้วยธรรมโอสถเป็นครั้งที่สองจากนั้นท่านทั้ง ๓ ก็ได้ออกเดินทางจาริกต่อไป และแสวงหาความสงบตามป่าดงพงพีไปเรื่อย ๆ โดยมุ่งหวังเพื่อบรรลุธรรม แต่ก็ยังไม่สมความตั้งใจไว้ ต่อมาพระอาจารย์เสาร์ ก็พากลับจังหวัดอุบลราชธานี.อันเป็นถิ่นเดิมของท่าน




    เรื่องเล่า....หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ระลึกชาติ

    คัดจากหนังสือคุณทองทิว สุวรรณทัต (มีหลายเล่ม)

    ผู้เขียนเคยสัมภารณ์ผู้ระสึกชาติได้มาหลายรายและได้นำคำสัมภาษณ์นั้นๆมาเขียนหลายเรื่องแล้ว แต่ไม่มีเรื่องใดดูจะอัศจรรย์ดังเรื่องของผู้ระลึกชาติได้เท่าท่านนี้เลย ทั้งนี้เพราะท่านเป็นพระเถระ ที่ใช้ชีวิตสมณเพศทั้งหมดอยู่กับการปฏิบัติ จนบางครั้งแทบจะเอาชีวิตไปทิ้งกลางป่ากลางดง และเนื่องจากผลของการปฏิบัติธรรม จึงทำให้ท่านสามารถระลึกชาติย้อนหลังไปได้อีกหลายสิบชาติ

    ท่านผู้นี้คือ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ซึ่งเป็นศิษย์เอกที่เลิศในทางอภิญญาของ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะบูรพาจารย์ของพระเถระทั้งหลายในปัจจุบัน

    แต่ก่อนที่จะเล่าสู่กันฟัง จำเป็นจะต้องเรียนท่านผู้อ่านทั้งหลายให้ทราบเสียก่อนว่า เรื่องของ หลวงปู่ชอบ ระลึกชาติตอนนี้ ผู้เขียนได้รับอนุญาตจาก คุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต ศิษย์ของท่านผู้บันทึกชีวประวัติของหลวงปู่เรียบร้อยแล้ว จึงขอขอบพระคุณคุณหญิงสุรีพันธุ์ มา ณ โอกาสนี้

    ในเรื่อง บุพเพนิวาสานุสติญาณ หรือ ญาณระลึกชาติได้นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลวงปู่จะมีหรือไม่ สมเด็จพระพุทธองค์ได้ญาณนี้เมื่อคืนวันตรัสรู้ในเวลาปฐมยามซึ่งเป็นญาณลำบแรกที่ทรงบรรลุ ทราบทราบระลึกชาติหนหลังได้ ทั้งของพระองค์เองและสัตว์โลกอื่นๆ ตั้งแต่ชาติหนึ่งจนถึงเอนกชาติหาประมาณมิได้....

    พระพุทธองค์ไม่แต่จะเคยเป็นเทวดา อินทร์ พรหม มนุษย์ ที่เป็นทั้งท้าวพระยามหากษัตริย์ พระเจ้าจักรพรรดิเท่านั้น หากท่านเคยเป็นคนยากจนเข็ญใจ ก็มีอยู่หลายชาติ ทั้งเคยเป็นสัตว์เดรัจฉาน แม้การตกนรกหมกไหม้ก็เคยผ่านขุมนรกต่างๆ มาแล้วเช่นกัน ทำให้พระพุทธองค์ทรงเบื่อหน่ายในชาติกำเนิด การเวียนว่ายตายเกิดเป็นอย่างยิ่ง การจุติแปรผัน ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ของสัตว์โลกไม่มีที่สิ้นสุด ญาณนี้เองเป็นเบื้องต้น เป็นบันไดขั้นแรกในคืนวันเพ็ญเดือนหก เมื่อสองพันห้าร้อยสามสิบพรรษาเศษที่ผ่านมา และเป็นเหตุให้พระองค์ไปสู่การตรัสรู้ คือ พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในกาลต่อมา

    สำหรับญาณการระลึกรู้อดีตชาตินี้ ศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้เคยขอโอกาสกราบเรียนถราบหลวงปู่ ซึ่งท่านก็ยอมเล่าให้ฟังบ้างเป็นสังเขป หลวงปู่บอกว่า ท่านไม่ได้ระลึกชาติได้มากมายอะไร ที่สมเด็จพระพุทธองค์ทรงระลึกได้เป็นเอนกชาติหาประมาณมิได้นั้น เป็นเพราะพระพุทธองค์ทรงมหาสติ มหาปัญญา มหาบารมีอย่างหาผู้ใดเทียบมิได้

    สำหรับหลวงปู่นี้ เท่าที่ระลึกชาติได้ ท่านไม่เคยเป็นกษัตริย์มักจะเป็นคนตกทุกข์ได้ยากเสียมากกว่า เคยเป็นพ่อค้าขายผ้าชาติลาว ออกเดินทางมากับ พ่อเชียงหมุน(อุปัฏฐากคนหนึ่งในชาตินี้) ข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งไทย มาทานผ้าขาวหนึ่งวาและเงิน 50 สตางค์ บูชาถวายพระธาตุพนมพร้อมทั้งอธิษฐานขอให้ได้บวชได้พ้นทุกข์ ท่านเล่าว่าท่านเคยมาช่วยสร้างพระธาตุพนมด้วยสมัยพระมหากัสสปะเถระเจ้า พระธาตุพนมนี้สร้างก่อนพระปฐมเจดีย์

    ท่านเคยเป็นคนยางอยู่ในป่า เคยเกิดเป็นทหารพม่ามารบกับไทย แต่ยังไม่ทันฆ่าคนไทย ก็ตายเสียก่อน เคยเกิดอยู่เมืองปัน พม่า ชาตินี้ท่านก็ได้กลับไปดูบ้านเกิดในชาติก่อนที่เมืองปันด้วย

    เคยเป็นทหารไปหลบภัยที่ถ้ำกระ เชียงใหม่ และได้ตายเพราะอดข้าวที่นั่น

    หลวงปู่ เคยเป็นพระภิกษุ รักษาศีลอยู่กับพระอนุรุทธ เคยเป็นสามเณรน้อย ลูกศิษย์พระมหากัสสปะ

    สำหรับการเกิดเป็นสัตว์นั้น หลวงปู่เล่าว่า ท่านผ่านพ้นมาอย่างทุกข์ยากแสนเข็ญ เช่นเคยเกิดเป็นผีเสื้อแล้วถูกค้างคาวไล่จับเอาไปกินที่ถ้ำผาดิน เคยเกิดเป็นฟาน หรือเก้ง ไปแอบกินมะกอก กินยังไม่ทันอิ่มสมอยาก ก็ถูกมนุษย์ไล่ยิง เขายิงที่โคกมนถูกที่ขา วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงไปตายที่บ้านม่วง

    เมื่อครั้งเกิดเป็นหมีไปกินแตงช้าง (แตงร้าน) ของชาวบ้านถูกเจ้าของเขาเอามีดไล่ฟันถูกหัวถูกหู เคราะห์ดีไม่ถึงตาย แต่ก็บาดเจ็บมาก ต้องทนทุกข์ไปจนกระทั่งหายไปเอง
    เคยเกิดเป็นไก่ มีความรักผูกพันรักชอบนางแม่ไก่สาว จึงอธิษฐานให้ได้พบกันอีก ทำให้กลับมาเกิดเป็นไก่ซ้ำถึง 7 ชาติ

    เคยเกิดเป็นปลา ซึ่งอยู่ในสระ (ปัจจุบันอยู่ที่สวนหลังบ้านของ พล.อ.อ.พโยม เย็นสุดใจ)

    ท่านเล่าถึงชีวิตของการเป็นสัตว์ว่าแสนลำเค็ญ อดอยากปากแห้ง มีความรู้สึกร้อน หนาว หิวกระหายเหมือนมนุษย์ แต่ก็บอกไม่ได้ พูดไม่ได้ ต้องเที่ยวซอกซอนไปอยู่ตามป่า ตามเขาตามประสาสัตว์ ฝนตกก็เปียกหนาวสั่น แดดออกก็ร้อนไหม้เกรียม อาศัยถ้ำ อาศัยร่มไม้ไปตามเพลง บางทีมาอยู่ใกล้หมู่บ้านหิวกระหาย เห้นพืชผลที่ควรกินเป็นอาหารได้ พอจะจับใส่ปากใส่ท้องได้บ้าง ก็กลับกาลายเป็นของที่เขาหวงห้าม มีเจ้าของต้องถูกเขาขับไสไล่ทำร้าย

    ชีวิตที่เวียนว่ายวนอยู่ในกองทุกข์ตามอำนาจกรรมที่กระทำมานี้ แต่บางทีภพชาตินั้นก็ยืดยาวต่อไปด้วยอำนาจกิเลสตัณหายกตัวอย่างเช่น ตอนท่านเกิดเป็นไก่ ใจนึกปฏิพันธ์รักใคร่นางแม่ไก่ ชื่นชอบภพชาติที่เป็นไก่ของตน ปรารถนาขอให้พบนางไก่อีก ก็ต้องวนเวียนกลับมาเกิดเป็นไก่อยู่เช่นนั้น

    หลวงปู่เล่าว่า แม้ท่านพระอาจารย์มั่นเอง เมื่อท่านระลึกชาติได้ เห็นภพชาติที่เวียนวนกลับไปเกิดเป็นสุนัขถึงหมื่นชาติ ท่านยังเกิดความสลดสังเวช ถึงกับขออธิษฐานเลิกปรารถนาพุทธภูมิ เพราะการบำเพัญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตนั้น ท่านจะต้องบำเพ็ญต่อไปอีกเป็นแสนกัปปแสนกัลป์ฯ เคราะห์ดีที่ท่านเกิดสลดสังเวชคิดได้ ท่านพระอาจารย์มั่นจึงสามารถดำเนินความเพียรเร่งรัดตัดตรงเข้าสู่พระนิพพานเป็นผลสำเร็จได้

    วันหนึ่งระหว่างหลวงปู่กำลังวิเวกอยู่ที่เชียงใหม่ ตกกลางคืนท่านก็เข้าที่ภาวนาตามปกติ ปรากฏภาพนิมิต มีแม่ไก่ตัวหนึ่งมาหาท่าน กิริยาอาการนั้นนอบน้อมอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่งมาถึงก็ใช้ปีกจับต้องกายท่าน จูบท่าน ท่านประหลาดใจที่สัตว์ ตัวเมียแสดงกิริยาอันไม่สมควรต่อพระเช่นนั้น จึงได้ดุว่าเอา แต่แม่ไก่ตัวนั้นก็อ้างว่า เคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมาถึง 7 ชาติแล้ว ความผูกพันยังมีอยู่ไม่อาจจะลืมเลือนได้ แม้จะรู้ว่าพระคุณเจ้าเป็นภิกษุสงฆ์ไม่บังควรจะแสดงความอาวรณ์ผูกพันเช่นนี้ ตนมีกรรมต้องมาบังเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่ำต้อยน้อยวาสนา ก็ได้แต่นึกสมเพชตัวเองอยู่มาก อย่างไรก็ดี เมื่อพระคุณเจ้าผู้เคยเป็นคู่ชีวิตมาอยู่ในถิ่นที่ใกล้ตัวเช่นนี้ ตนอดใจมิได้จึงมากราบขอส่วนบุญบารมี

    ในนิมิตนั้นปรากฏว่าหลวงปู่ได้เอ็ดอึงเอาว่าเราเป็นคนเจ้าเป็นสัตว์ จะมาเคยเป็นสามีภรรยากันได้อย่างไร เราไม่เชื่อเจ้า
    แม่ไก่ก็เถียงว่า ถ้าเช่นนั้นคอยดู พรุ่งนี้เช้าตอนท่านไปบิณฑบาต ข้าน้อยจะไปจิกจีวรท่านให้ดู
    ตอนเช้าหลวงปู่ครองผ้าออกไปบิณฑบาตตามปกติท่านเล่าว่า ท่านไม่ได้นึกอะไรมาก ด้วยคิดว่าเป็นนิมิตเหลวไหลไร้สาระ แต่เมื่อท่านเดินบิณฑบาตเข้าไปในหมู่บ้านยางที่ชื่อบ้านป่าพัวะ อำเภอจอมทอง ก็มีแม่ไก่ตัวเมียตัวหนึ่งตรงรี่เข้ามาจิกจีวรท่านข้างหลัง! หมู่เพื่อนที่ไปด้วยก็ตกใจ เพราะเป็นสัตว์ตัวเมีย เกรงท่านจะอาบัติ จึงช่วยกันไล่ แต่แม่ไก่ตัวนั้นก็ยังพยายามวิ่งเข้ามาอีก
    คืนนั้นหลวงปู่เข้าที่พิจารณาซ้ำ ก็รู้ว่าแม่ไก่ตัวนั้นเคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมา 7 ชาติแล้วจริงๆ เป็นที่น่าเวทนาสงสารอย่างยิ่งที่นางกระทำไม่ดีไว้ ไม่มีศีล จึงต้องตกไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้

    ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้อ่านบทความนี้แล้ว พึงระวังเทอญฯ

    ที่มา: http://board.agalico.com/showthread.php?t=10780
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    รู้มั๊ย? ว่าพวกเราที่มีศีลธรรมอยู่ในหัวใจแล้ว ก่อนนอนทำไมเราควรที่จะต้องกราบหมอน อ่านด้วยกันน๊ะ อ่านแล้วจะอุ่นใจ ชื่นใจ เป็นมงคลแก่ตนเอง แล้วจะนอนหลับฝันดี...




    [​IMG]


    ภาพประกอบจาก

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. โอลีฟ

    โอลีฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +257
    ขอร่วมทำบุญกับทางทุนนิธิฯ จำนวน ๑,๔๐๐ บาทค่ะ
    เงินจะเข้าบุญชีวันที่ ๙ ธ.ค. ๒๕๕๒ ช่วงเย็นค่ะ

    รายชื่อขอแจ้งกับคุณโสระค่ะ อนุโมทนากับทุกท่านค่ะ
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ภาพพระพิมพ์สมเด็จสกุล 2408 ซึ่งเป็นพระขนาดใหญ่มีขนาด 1.2 นิ้ว * 1.8 นิ้ว ในภาพเป็นขนาดใหญ่มีทั้งหน้าเดียว และแบบสองหน้ามีกริ่งในตัว(ปิดทองเก่าทุกองค์) ส่วนผมเองชอบแบบสองหน้าและมีกริ่งที่หายากกว่าและเข้มขลังกว่า พระพิมพ์สกุลนี้แรงมาก เคยนำเรียนถามอาจารย์ประถมฯ บอกแค่จับพระพิมพ์สกุลนี้ สองสามองค์ก็ชามือไปวันสองวันเลยทีเดียว ก็ท่านหลวงปู่อุตตระ หัวหน้าคณะหลวงปู่บรมครูพระธรรมฑูตเทพโลกอุดรท่านทำให้เองก็ย่อมเหนือกว่าสกุลอื่นๆ เป็นธรรมดา หรือหากเปรียบเทียบอิทธิคุณในพระพิมพ์ท่านฯ บอกว่าแรงกว่าวัดระฆัง 3 เท่า ก็เห็นจะจริงอย่างนั้น เพราะท่านเป็นพระอาจารย์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ นั่นเอง ในสนามท่าพระจันทร์ เห็นมีแต่เนื้อขาวธรรมดา ไม่ปิดทองและไม่ค่อยสวยเลยไม่ได้เก็บเพิ่ม เพราะมีครบทั้ง 44 พิมพ์แล้ว แต่ถ้าใครยังไม่มีเก็บได้ครับ องค์ละสักยี่สิบบาทมั๊ง (สำหรับสีขาว) ส่วนสีทองตามรูป เดินดูแล้วไม่เห็นแฮะ หรือที่เห็นแล้วก็ล้วนแต่มีหน้าเดียวทั้งนั้น ส่วนความเก่าก็ดูเอาตามรูปครับ ของงี้ปลอมกันยาก แต่บอกได้คำเดียวพระพิมพ์สกุลนี้ ดูแล้วไม่เบื่อหากกำลังสมาธิดีๆ รับรองได้เพลินใจจริงๆ


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    ภาพทั้งหมดนำมาจาก
    ศิษย์สมเด็จดอทคอม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2009
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ฝอยอิทธิคุณของพระพิมพ์สกุลนี้จากเวบของรูปข้างต้น


    <TABLE border=0 cellSpacing=0 borderColor=#00ffff width="90%" align=center><TBODY><TR><TD>รวมพระสมเด็จ 2408

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top>รายละเอียด</TD><TD>: ลักษณะองค์พระเป็นสมเด็จฯสี่เหลี่ยมผืนผ้า (ชิ้นฟัก) จากเนื้อว่าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เช่น ดิน เกษรดอกไม้ และผงพุทธคุณต่างๆ มาผสมกันโดยม่มีโลหะเจือปนโดยมาเป็นผงพุทธคุณ และมีเนื้อตะกั่วถ่ำชาด้วย บางองค์มีสองหน้ามีกริ่งอยู่ข้างใน เป็นเนื้อดิน เนื้อว่าน เนื้อผงพุทธคุณ เนื้อตะกั่วถ่ำชาโดยไม่มีกริ่งเนื้อโลหะ และบางองค์มีสองหน้าแต่ไม่มีกริ่ง มีหน้าเดียวก็มี เนื้อหามวลสารคราบไคลความเก่า ร่องรอยธรรมชาติ คราบกรุมีอยู่ทั่วองค์พระ ตัวองค์พระเป็นพระสมเด็จฯที่สวยงามมาก บ่งบอกว่าถึงความเก่าแก่อายุร้อยกว่าปี ถึงยุคท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ปลุกเสกสร้างอย่างแน่นอน

    พุทธคุณมีอยู่มากมาย มีทั้งอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาร์ย์ ให้คุณแก่ผู้ครองครองที่เป็นคนดี มีศีลธรรม กตัญญุรู้คุณ ทำบุญ , ทำทาน สร้างบุญบารมีอยู่เสมอๆ จะมีโชคลาภ ลาภลอย ต่างๆมากมาย จะมีความก้าวหน้าในการงานไม่ว่ารับราชการหรือค้าขาย จะฝ่าฟันอุปสรรค์ต่างๆได้เป็นอย่างดี จะแก้ไขปัญหาได้ทุกปัญหา จะมีความสำเร็จในชีวิต จะมั่งมีศรีสุขตลอดไป ท่านฯสามารถดูอย่างจุใจในหลายแบบพิมพ์ได้ โดยคลิก...ที่หัวข้อพระสมเด็จพิมพ์พิเศษ พ.ศ. ๒๔๐๘ หน้าเวปไซด์นี้...

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  13. teerins

    teerins เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +1,796
    โมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ

    วันนี้โอนเงินทำบุญกับสงฆ์อาพาธเข้าทุนนิธิฯ 409 บาทแล้วครับ
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    คำคมเพื่อดำรงตนนำมาฝากครับ

    ฝึกจิตให้สงบเป็นกุศลสูงสุด

    การทำบุญด้วยทรัพย์สินเงินทอง เป็นบุญภายนอกตัวเราถึงจะทำมากมายขนาดไหนก็ตาม เราก็ยังวุ่นวายใจ เร่าร้อน ไม่สบายใจ เพราะว่าไม่ได้ทำบุญภายในตัวเราเอง ซึ่งเป็นบุญที่มีอยู่แล้วในตัวเรา ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง ไม่ต้องวิ่งหาไปทำที่อื่น แต่ต้องลงทุนด้วยแรงกาย และฝึกฝนใจ ให้เกิดสติ สมาธิ ปัญญา จึงจะถือว่าเป็นการทำบุญสูงที่สุดในชีวิต และได้มากที่สุด เพราะจะทำให้เราเกิดความสงบผาสุขใจ ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์ดี ร้าย ได้ เสีย รู้เหตุของทุกข์ จนถึงวิธีการดับทุกข์ที่เกิดขึ้น จะรู้เท่าทันว่า ที่เราเครียดกลุ้มใจ ก็เพราะเราไปอย่ากได้ ดี มี เป็น ไม่รู้จัก พอนั่นเอง ในเมื่อสิ่งเหล่านั้น เสื่อมสลายหายไปหมดไป เราจึงเสียดายเสียใจ เพราะเราไปหลงคิดว่า มันเป็นของเราไม่น่าจากเราไปเลย รู้สึกผิดหวังสูญเสียแต่ตามความเป็นจริงแล้ว ที่เราสูญเสีย ทรัพย์สินเงินทองนั้น ถือว่า เราเสียเพียงนิดเดียวเอง เพราะว่าอีกหน่อยเราจะต้องสูญเสียมากว่านี้อีก นั่นก็คือเมื่อวันสุดท้ายชองชีวิตมาถึงเราจะต้องเสียแม้กระทั่งร่างกาย ชีวิตนี้ มันจะเป็นวันที่เราสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้อะไรจากเงินทองที่เราหามาด้วยความทุกข์ยากเหน็ดเหนื่อยตลอดชีวิต เราต้องไปจากมัน เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว นอกจาก บาป – บุญ กรรมดี – ขั่ว และธรรมะ ที่จะติดตามตัวเราไปทุกภพชาติ


    ทำบุญอย่างเดียว ยังไม่พอ

    คนส่วนมากที่ยังไม่เข้าใจธรรม จึงมุ่งมั่นยึดติดอยู่กับการให้ทาน ทำบุญ ถวายสังฆทาน เป็นต้น โดยคิดว่าบุญที่เราทำจะทำให้เราร่ำรวย พบแต่โชคดี สุขสบายไปสวรรค์ ฯลฯ
    การทำบุญ เจตนาที่ถูกต้องได้มากที่สุด คือการเสียสละ ความโลภ ยึดติดผูกพันหวงแหน ในทรัพย์สินที่เรามีอยู่ ความโลภที่อยู่ในจิตใจเราจะค่อยๆ ลดลงเบาบางลง
    แต่ถ้าเราไปต้องการผลตอบแทนจากการทำบุญ โดยขอให้ร่ำรวยมีความสุข ระวังจะเป็นการเพิ่มอัตตาความรู้สึกว่าเป็นตัวเราของเรามันจะเพิ่มมากชึ้นเรื่อยๆ จะเกิดความยึดติดผูกพันเกิดความอยากได้ไม่รู้จักพอ จิตใจจะเร่าร้อน อยากได้ไม่สิ้นสุด
    การทำบุญควรทำตามสมควร ตามฐานะ โอกาส แต่ทำแล้วอย่าให้ตัวเราเดือดร้อน ทำมาก-น้อยไม่สำคัญ สำคัญที่เรารู้จักการเสียสละความผูกพันหวงแหนในทรัพย์สิน จิตจะค่อยๆ คลายจากความยึดมั่นยึดติดกับสิ่งของ จะได้เป็นพื้นฐานเพื่อก้าวขึ้นไปสู่การปฏิบัติที่สูงขึ้นไป
    ทำบุญอย่างเดียว แต่ไม่ฝึกจิตให้สงบ และรู้เท่าทันทุกสิ่งตามความเป็นจริง ก็ยังไม่สามารถทำจิตใจเราสบายหมดทุกข์ได้ แม้จะรวยมหาศาล มีทุกสิ่งครบ แต่จิตใจเรายังเร่าร้อนวุ่นวาย เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น
    ทรัพย์สมบัติช่วยให้เรามีความสะดวกสบายชั่วคราวขณะที่เรามีชีวิตอยู่เท่านั้น พอเราตายเราก็ต้องจากมันไปเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว เราต้องจากทิ้งทุกสิ่งไม่ได้อะไรจริงๆ



    อย่าทำสมาธิอย่างเดียว

    บางคนคิดว่าต้องทำสมาธิอย่างเดียวให้มันสงบมากๆ ลึกๆ แล้วมันจะหมดกิเลสสำเร็จโดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องไปพิจารณานึกคิดอะไร จะคิดไม่ได้คิดแล้ววุ่นวาย จะต้องหลบเข้าสมาธิอย่างเดียวความคิดแบบนี้ยังไม่ถูกต้อง
    สมาธิเป็นเพียงพื้นฐานของจิต เพื่อให้จิตมีฐานที่มั่นคง แข็งแรงมีรากฐานที่ดี เช่น การตอกเสาเข็มให้แน่นเพื่อก่อสร้างอะไร แล้วจะไม่ล้มจะแข็งแกร่งเพราะพื้นแน่น
    เราทำสมาธิเป็นครั้งคราวบางเวลาเท่านั้นเท่าที่เรามีเวลาว่างแต่ตามความจริงแล้ว ถ้าเรารู้จักการกำหนด ไม่ว่าทำงาน กิน ดื่ม คิด นึก เดิน นั่ง ทุกอิริยาบถ ให้มีสติกำหนดจดจ่ออยู่กับการกระทำนั้นๆ เราก็จะได้สมาธิตามธรรมชาติ เป็นการทำหน้าที่ของชีวิตได้ถูกต้อง จิตใจจะไม่วุ่นว่าย จะสงบได้ง่าย
    การทำสมาธิอย่างเดียว ยังไม่สามารถดับทุกข์ทางจิตได้ มันเป็นเพียงหลบปัญหาขณะหนึ่งเท่านั้นเอง พอออกจากสมาธิแล้วจะฟุ้งซ่านเหมือนเดิม จะต้องรู้จักใช้ปัญญาคิดเพื่อปล่อยวาง
    เราจะต้องมีปัญญาประกอบด้วย เมื่อจิตสงบแล้วต้องรู้จักนำเอาปัญหาชีวิต มาพิจารณาหาทางแก้ไข เราคิดอยู่ด้วยความสงบ จะไม่ทำให้จิตวุ่นเป็นทุกข์ เราคิดเพื่อที่จะปล่อยออกไป ผ่อนคลายออกไป คิดแล้วอย่าไปเก็บเอาไว้ในจิต
    ต้องรู้จักการเพ่งพินิจพิจารณาถึง การเกิด แก่ เจ็บ ตาย กฏของพระไตรลักษณ์ ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนไม่จีรังยั่งยืนของทุกสิ่งในชีวิต มันต้องเปลี่ยนแปลงเสมอให้รู้เท่าทัน

    ขอขอบคุณ
    http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=chotiepanyo&date=05-09-2008&group=1&gblog=51
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    หายไปนานทีเดียว อนุโมทนาและสาธุบุญด้วยครับวันที่ 27 ธ.ค.นี้ หากไม่ติดภารกิจใดๆ ขอเชิญมาทำบุญด้วยกันที่ รพ.สงฆ์ในวันครบรอบ 2 ปี ทุนนิธิฯด้วยครับ


    [​IMG]
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ภาพเดิมจากหน้า 92 นี่ก็สุดยอดครับพลังแรงไม่เบาไปเดินหาเอาเองที่ท่าพระจันทร์ยังเห็นอยู่ประปรายอย่างองค์ 2411 คู่นี้ องค์ละ 20 สององค์ 40 ได้กาแฟเย็น 1 แก้วพอดีหรืออาจจะน้อยกว่าซะด้วย กับพระร้อยกว่าปี คนละเรื่องจริงๆ


    พระพิมพ์สกุลวังหน้า แบบพระสมเด็จชิ้นฟักจารึกปี พ.ศ.2411

    [​IMG]



    [​IMG]

    พระพิมพ์สกุลวังหน้า แบบพระสมเด็จทรงครุฑข้างฉัตร


    [​IMG][​IMG]

    พระพิมพ์สกุลวังหน้า แบบพระสมเด็จแหวกม่าน

    [​IMG]


    พระพิมพ์สกุลวังหน้า แบบพระสมเด็จหลังเบี้ย

    [​IMG]

    [​IMG]

    พระพิมพ์สกุลวังหน้า แบบพระสมเด็จโตนั่งเทศนา

    [​IMG]


     
  17. rawats_99

    rawats_99 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,947
    ทำไมถึงราคาไม่แพงละครับของดีๆๆๆๆๆๆน่าจะมีคนต้องการมากๆๆๆๆและเก่าด้วยก็ยิ่งต้องการๆๆๆๆๆ...ผมสนจายๆๆๆๆแต่ที่แน่ๆตาไม่ค่อยถึงจับพลังไม่ได้ความรู้น้อยกริ่งเกรงว่าได้มาแล้วเก้ทั้งกระบิไปงั้น
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระข้างบนไม่ใช่พระเก๊ เพราะสร้างมาเป็นองค์จริงๆ ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องเรียกว่า "พระนอกมาตรฐานวงการพระเครื่อง" พระที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตฯ ท่านเสก มีที่ไหนล่ะองค์ละ 5 บาท 10 บาท เค้าจึงเล่นหากันเฉพาะกลุ่ม มีไว้เพื่อสะสม หรือแจกให้ฟรี พระพิมพ์ในสกุลนี้และสกุลอื่นๆ ก็เช่นกัน ราคาสิบบาทยี่สิบบาท แต่ผ่านจากการตรวจด้วยพลังภายในจากพระที่เชี่ยวชาญด้านสมถะ และวิปัสสนากรรมฐานแล้ว อิทธิคุณสุดยอดมาก ถ้าอ่านดูในกระทู้นี้ต้นๆ หรือใน tag สงฆ์อาพาธข้างล่างจะพบเองเพราะน้องในคณะทุนนิธิฯ ทำไว้ให้ดูหมดแล้ว อีกอย่างกระทู้นี้เป็นกระทู้ทำบุญ พูดคุยเรื่องพระสกุลวังหน้าได้เป็นแค่กระสาย ถ้าอยากรู้เรื่องพระพิมพ์สกุลนี้ต้องดูในกูเกิลเอาครับ เอาเป็นว่าลงไว้ให้รู้ ให้เห็น ว่าถ้าเจอและหากสนใจก็เก็บไว้ ส่วนเรื่องการตรวจพลังนั้น ต้องฝึกครับ ไม่มีใครเป็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ต้องผ่านการฝึกฝนทั้งนั้น ที่สำคัญคือฐานบุญทั้งทาน ศีล และภาวนา ต้องมาก่อน ผมจึงมีกระทู้นี้ เพื่อให้บาทฐานในเรื่องทานมัยนั้นเต็มที่ซะก่อน เมื่อใจบุญแล้ว ศีลจะตามมา เมื่อสำรวมในศีลแล้ว ภาวนาก็จะง่ายขึ้น ทำได้อย่างนี้แล้วอย่างอื่นค่อยว่ากันครับ และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ หากมีเวลาไปที่ รพ.สงฆ์ในวันที่ 27 ธ.ค. นี้ัด้วยกันครับ ไปทำบุญทำทานกัน มาพบปะสนทนากัน เริ่มจัดสังฆทานอาหารเวลา 7.30 น. สักวันสิ่งที่เราอยากได้จะมาเอง มาด้วยทานมัยแห่งบุญที่ตนเองทำครับ ก็คงเป็นอย่างที่ อ.ประถมฯ ท่านบอก "พระท่านก็เลือกคนแขวน" เหมือนกันเน้อ...
     
  19. benyapa

    benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,088
    ค่าพลัง:
    +5,431
    อิอิ สาธุค่ะ
     
  20. รับโชค

    รับโชค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,131
    ค่าพลัง:
    +11,878
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...